หัวข้อ: รู้ไว้ใช่ว่า แล้วก็ได้แต่ภาวนา อย่าได้เกิดกับใครอีกเลย เริ่มหัวข้อโดย: ปุจฉา ที่ 27 มีนาคม 2551, 15:50:12 แม้จะรู้และเชื่อในเรื่องกัมมุนาวัตตีโลโก แต่ก็อดสะเทือนใจ เจ็บแค้นด้วยไม่ได้
ข้อมูลนี้ได้มาจากการส่งต่อทางอินเตอร์เนต โปรดพิจารณา นี่คือผลพวงที่การบริหารประเทศพัฒนาไปสู่ระบอบธนาธิปไตย หรือยุคเงินเป็นใหญ่ในแผ่นดิน ศาสนาธรรมหดหายเหลืออยู่เพียงทรากของพิธีการและอามิสบูชา ตอนที่ 1 > Date: Fri, 21 Mar 2008 10:20:37 +0700 > Subject: Fwd: มี ลูก หลาน ภรรยา ญาติพี่น้องช่วยบอกต่อกันไปด้วย > ผมมีตัวตนแต่ไม่ต้องการเปิดเผยชื่อ เรื่องต่อไปนี้จะเป็นตัวบอกว่าทำไมผมจึงบอกไม่ได้ > ประมาณสองสัปดาห์หลังปีใหม่ ภรรยาผมลางานเพื่อไปติดต่องานราชการ เสร็จแล้วแวะ Central ลาดพร้าว เพื่อหาซื้อหนังสือแนวที่เธอชอบอ่านที่ B2S ระหว่างที่กำลังเลือกหาซื้อหนังสืออยู่นั้นก็มีผู้หญิงคนหนึ่งอายุประมาณ สามสิบเข้ามาทักทาย บอกว่าชอบหนังสือแนวสืบสวนสอบสวนเช่นกันและ มีหนังสือที่น่าสนใจหลายเล่มที่น่าอ่านมาก การสนทนาก็เป็นไปอย่างมี มิตรไมตรีต่อกัน เพราะจากลักษณะท่าทางและการแต่งตัวดูเหมือนเป็น คนทำงานทั่วไป แล้วผู้หญิงคนนั้นก็ให้นามบัตรภรรยาผมมา ส่วนภรรยาผมก็ให้เบอร์มือถือเธอไปเพราะเห็นว่าเป็นผู้หญิงด้วยกัน หัวข้อ: รู้ไว้ใช่ว่า แล้วก็ได้แต่ภาวนา อย่าได้เกิดกับใครอีกเลย เริ่มหัวข้อโดย: ปุจฉา ที่ 27 มีนาคม 2551, 15:51:39 ตอนที่ 2 การติดต่อพูดคุยก็ มีขึ้นเป็นระยะๆ และมีนัดเจอกันเพื่อให้หนังสือภรรยาผมมาอ่านแล้วก็บอกว่า จะรีบไปทำงาน แต่หนังสือที่ให้มาเป็นหนังสือแนวสืบสวนธรรมดาที่ภรรยาผม เคยอ่านมาแล้ว จึงอยากจะคืนกลับไปการนัดเจอกันก็เกิดขึ้นอีกครั้ง แต่คราวนี้ผู้หญิงคนนั้นชวนทานข้าวเพราะเป็นช่วงเกือบเที่ยงวันแล้ว และได้แนะนำให้รู้จักผู้ชายคนหนึ่งที่นั่งรออยู่ที่ Food Center เธอบอกว่าเป็นเพื่อนที่ทำงานชอบอ่านหนังสือแนวนี้เช่นกัน ผู้ชายคนนั้น ถามภรรยาผมและผู้หญิงคนนั้นว่า จะทานอะไรจะไปซื้อมาให้ ด้วยความ เกรงใจ จึงทานเหมือนกันเป็นก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นหมู แต่ภรรยาผมก็พยายามจะขอตัวไปซื้อ น้ำมาให้แต่ทางผู้หญิงคนนั้น ชิงเดินไปซื้อมาให้ก่อน พอนั่งทานไปได้ประมาณ ครึ่งชามและดื่มน้ำไปหน่อย ภรรยาผมก็เกิดอาการมึนๆ และเริ่มง่วงนอน เพียงอีกไม่กี่นาทีต่อมา เริ่มควบคุมตัวเองไม่ได้ ผู้หญิงคนนั้นก็เข้ามาประคองตัวภรรยาผมแล้วพูดบอกผู้ชายว่า คงเป็นลมช่วยพาออกไปสูดอากาศข้างนอกหน่อย ตอนนั้น ภรรยาผมบอกว่าไม่สามารถ พูดอะไรได้ ร่างกายยืนแทบไม่ไหว ระหว่างเดินผ่านตัวห้างมาลานจอดรถเห็นผู้ชายโทรศัพท์เพียงไม่ถึงหนึ่งนาที รถตู้สีขาวก็มาจอด แล้วทั้งคู่ก็พาภรรยาผมขึ้นรถ วินาทีนั้นภรรยาผมบอกว่าเธอพยายามขัดขืนแต่ ทั้งคู่ก็ใช้กำลังพาเธอขึ้นรถแล้วปิดประตูรถ บนรถมีผู้ชายสองคนนั่งมาในรถด้วย เมื่อรถวิ่งออกจากห้างภรรยาผมพยายาม ร้องขอความช่วยเหลือแต่ก็ไม่มีเสียงและผู้ชายที่นั่งอยู่บนรถเอามือมาปิดปากเธอไว้ พอรถวิ่งออกมาระยะหนึ่งผู้ชายที่เจอกันที่ Food Center เริ่มปลดเสื้อผ้าภรรยาผม เธอพยายามร้องขอความช่วยเหลือและต่อสู้แต่ก็ไม่มีเรี่ยวแรง ผู้ชายอีกสองคนที่นั่งรออยู่บนรถก็ช่วยกันถอด สิ่งที่เกิดขึ้นต่อไปคงไม่ต้องบรรยายกันอีก โดยมีผู้หญิงเป็นคนเก็บภาพเป็นระยะๆ เวลาผ่านไปนานแค่ไหนไม่ทราบ รู้สึกตัวอีกที่ภรรยาผมถูกนำ มาทิ้งที่ห้องน้ำหญิงของปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่งแถวสุขาภิบาลสองย่านบางกะปิ หัวข้อ: รู้ไว้ใช่ว่า แล้วก็ได้แต่ภาวนา อย่าได้เกิดกับใครอีกเลย เริ่มหัวข้อโดย: ปุจฉา ที่ 27 มีนาคม 2551, 15:52:52 ตอนที่ 3 กะปิ > ผมไปรับเธอแล้วถามว่าเกิดอะไรขึ้น เธอไม่พูดอะไรได้แต่ร้องไห้และไม่ไปทำงานอีกเลย นั่งซึมอยู่กับบ้าน สามวันต่อมาคุณแม่ของภรรยาโทรมาบอกว่ามีจดหมายลงทะเบียนส่งมาที่ บ้านให้ไปรับผมก็ไปรับ แล้วเปิดออกดู มีภาพถ่ายพร้อมขอเงินสดสี่แสนบาทเป็นค่าฟิล์มและ ภาพถ่ายทั้งหมด > ผมพูดไม่ออก ทุกความรู้สึกวิ่งพุ่งเข้ามาในใจ สับสน เสียใจ แค้นใจ เจ็บใจ ผมปรึกษาเรื่องนี้กับคุณพ่อและเพื่อนท่านที่เป็นนายตำรวจ มีความเห็นเหมือนกันว่าต้องแจ้ง ความกับตำรวจ เพราะเงินสี่แสนครอบครัวเราคงหามาให้ได้ยาก ผมกับภรรยาเป็นเพียงลูกจ้าง กินเงินเดือนเท่านั้น ในวันส่งเงินตามนัดหมายตำรวจกองปราบวางแผนอย่างดีและสามารถจับพวกเดนสังคมได้สองคนได้ฟิล์มและภาพจำนวนหนึ่ง และตำรวจกำลังตามจับพวกที่เหลืออีกสามคน แต่ก็ไม่แน่ใจว่าภาพถ่ายยังคงมีเหลืออยู่อีกหรือเปล่า ซึ่งหลังจากพวกมันถูกจับผมก็ได้รับโทรศัพท์ขู่ว่าจะเอาภาพลง internet สองครั้ง ทุกวันนี้ภรรยาผมไม่ได้ทำงานอีกแล้ว อยู่บ้านด้วยอาการซึมเศร้าและไม่ต้องการ พบปะกับใครเลย ส่วนผมก็ไม่กล้าออกไปไหนเช่นกันทำงานเสร็จก็กลับบ้าน ชีวิตความเป็นอยู่ มีแต่ความกลัว ระแวง คิดมาก เหมือนเป็นโรคประสาท ผมจึงอยากฝากบอกเรื่องราวของ ผมให้เป็นข้อมูลกับทุกคน > ทุกวันนี้การหากินบนความทุกข์ร้อนของคนอื่นเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้วครับ ขอบุญกุศลในการให้ข้อมูลนี้ ทำให้ชีวิตครอบครัวผมดีขึ้นด้วยเถอะ อย่าลืมบอกต่อๆกันไปด้วยครับ > พ. ศรีฯ หัวข้อ: รู้ไว้ใช่ว่า แล้วก็ได้แต่ภาวนา อย่าได้เกิดกับใครอีกเลย เริ่มหัวข้อโดย: nuchon ที่ 28 มีนาคม 2551, 15:26:56 ถ้าเป็นเรื่องจริง งั้นทุกวันนี้สังคมไทยก้อเสื่อมลงอย่างมาก นู๋ก้อมีเรื่องหนึ่ง เ็ป็นเรื่องทำนองเดียวกัน ลองอ่านดูนะคะ
เพื่อนๆ คะเรามีเรื่องอยากเล่าไว้เพื่อเตือนใจลูกผู้หญิงทุกคน เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อเราไปรู้จักผู้ชายคนนี้ที่สถานบันเทิงแห่งหนึ่ง โดยบังเอิญเราไปกับเพื่อนผู้หญิงหลายคน ทั้งๆที่ปกติเราก็ไม่ได้เป็นคนเที่ยวกลางคืนนะ แต่วันนั้นเรามีนัดพบเพื่อนเก่าสมัยมัธยมที่ไม่ ได้เจอกันนาน และเสียงโหวตของคนอยากไปที่นี่ก็มากกว่า เราก็เลยต้องไปเจอเพื่อนที่นั่นทั้งๆที่ไม่ได้อยากไปเลย เพื่อนเราหลายคนก็พาแฟนมาเปิดตัว ซึ่งเราเองไม่เคยมีแฟน เราไปคนเดียวก็ไม่ได้คิดอะไรมากก็นั่งพูดคุยกันตามประสาคนไม่เจอกันนาน แต่เราก็นั่งได้ไม่นานเริ่มรู้สึกอยากกลับบ้านเพราะว่าเหม็นกลิ่นบุหรี่มาก (เราเป็นภูมิแพ้ ) และเราก็ไม่ชอบเสียงหนวกหู! พูดกันก็ต้องตะโกนอ่ะ เลยบอกเพื่อนๆ ว่า ขอตัวกลับก่อน เอาไว้วันหลังค่อยเจอกันใหม แฟนเพื่อนเราคนหนึ่งก็อาสาเดินออกไปส่งขึ้นแท็กซี่ เพราะว่าไม่อยากให้เราเดินคนเดียวออกจากร้านไป และร้านนี้ก็ไกลจากบ้านมากๆ แต่พอเราเดินออกมาจากร้านไม่นาน รู้สึกตัวอีกที เราก็ตื่นขึ้นมาอีกทีอยู่บนเตี ยงในโรงแรมแล้ว.... เรามองตัวเอง...ในสภาพเปลือยล่อนจ้อน ..เนื้อตัวเป็นจ้ำๆ เรารู้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเรา ยังกะหนังไทยเลยเนอะ แต่มันคือเรื่องจริง นี่คือตัวเรา นี่เราหรือเนี่ย... เราไม่คิดว่าครั้งแรกของเราที่ทนุถนอมมากว่ายี่สิบปีจะต้องมอบให้แก่สัตว์ นรก เรารวบรวมสติได้ในเวลาอันรวดเร็ว บอกกับตัวเองว่าเราไม่สามารถย้อนเวลาคืนมาได้แล้วเราไม่รู้ว่าจะเกิดอะไร ถ้าไอ้สัตว์นรกตัวนี้ตื่นขึ้นมา...เราอาจจะถูกมันข่มขืนอีกก็รอบได้ เราเลยรีบแต่งตัวแล้วหวังจะออกจากโรงแรมให้เร็วที่สุดก่อนที่มันจะตื่น เราจะวิ่ง ๆ ๆ เอาร่างอันโสมมของเราไปให้พ้นจะสถานที่แห่งนี้ให้ได้ ป่านนี้พ่อแม่เราจะห่วงขนาดไหนที่ลูกไม่กลับบ้านทั้งคืนโดยไม่ติดต่ออะไรเลย เราจะแจ้งความดีไหม เพื่อนเรารู้หรือยังว่าเกิดอะไรขึ้น สารพัดคำถามที่เกิดขึ้นในใจของเรา เราได้แต่ก้มหน้ารับสภาพไป..... แล้วเราก็ต้องตกใจที่พบว่าตัวเองเป็นกำลังเป็นนางเอกคลิปวิดิโออยู่ มันถ่ายคลิปเก็บไว้เพื่ออะไร เพื่ออวดคน เพื่อแบลคเมล์เรา หรือ อะไร.. และไม่ใช่แค่เราคนเดียว ยังมีเพื่อนเราในนั้น มีคนอีกเกือบสิบคนที่ตกในสภาพเดียวกับเรา นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้เพื่อนเราคนนี้พยายามคะยั้นคะยอนัดพบเพื่อนเก่า เพื่อให้แฟนตัวเองได้ลิ้มรสชาติใหม่ๆหรือปล่าวเนี่ย เราเลยโทรไปถามเพื่อนเรา เหมือนเพื่อนเราจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น มันไม่ยอมรับโทรศัพท์ และเลิกติดต่อกับเราอีกเลย เล่ามาถึงจุดนี้ อยากให้เพื่อนๆ ทุกคนระวังตัวให้ดี อย่าไว้ใจเพื่อนตัวเอง อย่าให้ใครไปส่งเราตามลำพัง และหากเกิดอะไรขึ้นต้องมีสติ |