หัวข้อ: โดนห้าม เริ่มหัวข้อโดย: ปุจฉา ที่ 24 กรกฎาคม 2550, 19:49:29 นมัสการพระอาจารย์ค่ะ
ดิฉันมีลูกชายโตแล้ว 1 คน อยู่มัธยมปลาย แล้วก็โชคดีตั้งท้องอีก ดีใจมาก แต่เค้าอยู่กับเราไม่นาน ไม่ทันได้ลืมตาดูโลก ก็แท้งลูกไปตอน 6 เดือน ดิฉันเสียใจมาก เพื่อนชวนไปนั่งสมาธิภาวนากับอาจารย์(ไม่ได้เป็นพระ) ท่านสอนดีมาก ช่วยให้พ้นจากความทุกข์ไปได้ จึงไปเป็นประจำทุกวันเสาร์ครึ่งวัน แต่ปรากฎว่าครั้งสุดท้ายที่ได้ไปคือ ที่จังหวัดกระบี่ช่วงเกิดสึนามิ สามีปั่นป่วน ติดต่อกันไม่ได้ เขาคงเป็นห่วง แต่ก็โกรธดิฉันมาก สั่งห้ามตั้งแต่นั้นมาไม่ให้ไปปฎิบัติธรรมที่ไหนทั้งสิ้น อยากไปบางทีต้องหาพี่ที่สามีรู้จักมาพาไป ในที่สุดก็เบื่อจะพยายาม เบื่อจะเถียงกับเขา เลยหันไปเรียนป.โท จะจบแล้วค่ะ ไม่รูทำไมยังอยากจะภาวนา และยังคิดถึงลูกที่จากไปไม่หาย รู้อยู่ว่าหายคิดถึงลูกคนนั้นได้ด้วยการภาวนา แต่โดนห้ามเสียแล้ว ทำอย่างไรดีค่ะ เพราะต้องมีอาจารย์สอน สอบจิตให้ทุกครั้งที่ไป (เป็นการภาวนาสายพม่าค่ะ) นมัสการค่ะ หัวข้อ: Re: โดนห้าม เริ่มหัวข้อโดย: jimsy ที่ 25 กรกฎาคม 2550, 11:24:45 "...คนสมัยนี้เขาเป็นทุกข์เพราะความคิด ที่ใจเป็นทุกข์เพราะเกิดความยึดมั่น แล้วมีการปรุงแต่งในความคิด และอุบายที่จะละความทุกข์ก็คือหยุดการปรุงแต่ง แล้วปล่อยวางให้เป็น
นี่คือหลักการ แต่การจะทำเช่นนั้นได้ต้องอาศัยภาวนา ทำใจให้สงบจึงจะเกิดพลัง มีสติปัญญามองเห็นเหตุเห็นผล แล้วจิตใจก็จะมีการปล่อยวางได้ เมื่อละความยึดมั่นได้ ความทุกข์ในสิ่งนั้นก็หมดไป..." (หลวงปู่ดูลย์ อตุโล) หัวข้อ: Re: โดนห้าม เริ่มหัวข้อโดย: ปุจฉา ที่ 25 กรกฎาคม 2550, 14:09:42 อ้างจาก: "ปุจฉา" นมัสการพระอาจารย์ค่ะ ดิฉันมีลูกชายโตแล้ว 1 คน อยู่มัธยมปลาย แล้วก็โชคดีตั้งท้องอีก ดีใจมาก แต่เค้าอยู่กับเราไม่นาน ไม่ทันได้ลืมตาดูโลก ก็แท้งลูกไปตอน 6 เดือน ดิฉันเสียใจมาก เพื่อนชวนไปนั่งสมาธิภาวนากับอาจารย์(ไม่ได้เป็นพระ) ท่านสอนดีมาก ช่วยให้พ้นจากความทุกข์ไปได้ จึงไปเป็นประจำทุกวันเสาร์ครึ่งวัน แต่ปรากฎว่าครั้งสุดท้ายที่ได้ไปคือ ที่จังหวัดกระบี่ช่วงเกิดสึนามิ สามีปั่นป่วน ติดต่อกันไม่ได้ เขาคงเป็นห่วง แต่ก็โกรธดิฉันมาก สั่งห้ามตั้งแต่นั้นมาไม่ให้ไปปฎิบัติธรรมที่ไหนทั้งสิ้น อยากไปบางทีต้องหาพี่ที่สามีรู้จักมาพาไป ในที่สุดก็เบื่อจะพยายาม เบื่อจะเถียงกับเขา เลยหันไปเรียนป.โท จะจบแล้วค่ะ ไม่รูทำไมยังอยากจะภาวนา และยังคิดถึงลูกที่จากไปไม่หาย รู้อยู่ว่าหายคิดถึงลูกคนนั้นได้ด้วยการภาวนา แต่โดนห้ามเสียแล้ว ทำอย่างไรดีค่ะ เพราะต้องมีอาจารย์สอน สอบจิตให้ทุกครั้งที่ไป (เป็นการภาวนาสายพม่าค่ะ) นมัสการค่ะ จะขออนุญาตเสนอในสิ่งที่เคยได้อ่านพบมาแล้วได้นำไปปฏิบัติตามได้ผลจริง ๆ ค่ะ ถ้าสนใจมากกว่านี้มีข้อมูลให้เยอะค่ะ อ่านแบบนี้ไปก่อนคือเป็นกรณีคล้าย ๆ กันนะคะ นำไปประยุกต์ได้ เพราะ กระแสจิตที่ดี ที่มีให้แก่กัน ระดับบุญที่เสมอกัน ก็จะทำให้เกิดความเข้าใจในกันและกัน จะพูดจากันได้ง่ายขึ้นค่ะ แล้วพอง่ายขึ้นก็หมั่นช่วยเขารักษาศีล เข้าที่ภาวนาด้วยกัน จะเป็นคู่บุญต่อไปค่ะ ถ้าอยากรู้เรื่องคู่บุญก็ถามได้ค่ะ จะนำมาฝากอีก แล้วเราเป็นแม่บ้านไม่ต้องหนีไปภาวนาที่ไหนหรอกค่ะ ทำบ้านให้เป็นวัด ไปไหนเราแบกเครื่องมือปฏิติบัติธรรมไปด้วยทุกที่ คือกาย กับใจ ของเรานะคะ พยายามให้มีสติตามดูตามรู้กายใจของเราอยู่เนือง ๆ ให้อยู่กับปัจจุบัน มีสติตื่นรู้ว่าเรากำลังทำอะไร การคิดถึงลูกก็เนื่องจากเราเผลอสติปล่อยให้ความคิดครอบงำเรา ดึงเราจมดิ่งไปสู่วังวนแห่งความทุกข์ การที่เรามีความทุกข์แทรกขึ้นมาแสดงว่าจิตเราไม่ได้อยู่ในปัจจุบัน (จากที่ครูบาอาจารย์ท่านเคยเตือนไว้น่ะค่ะ) ดิฉันก็เคยผ่านข้อทุกข์มาเช่นกัน คุณแม่เพิ่งเสียไม่นาน ดิฉันใช้การเจริญสติรักษาจิตตัวเอง คอยดึงไม่ให้จมดิ่งลงไปในห้วงแห่งความเศร้าโศรก ช่วยได้มากทีเดียวค่ะ ลองอ่านสิ่งที่ดิฉันนำมาฝากดูนะคะ นำมาจากการตอบคำถามในหนังสือเตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัวของดังตฤณ ค่ะ) ถาม – สามีเป็นคนกิเลสหนา ชอบเห็นกงจักรเป็นดอกบัว มองไม่เห็นคุณและโทษตามจริง เห็นใครทำบุญก็ชอบขัดขวาง อัตตาแรง ชอบข่มผู้อื่น อยากให้เขากลับใจมาฝักใฝ่ธรรมะอย่างเราบ้าง จะมีอุบายวิธีแก้นิสัยบ้างไหม? ผมขออนุญาตแปลงคำถามใหม่ให้เกิดมุมมองที่ชัดเจนขึ้นนะครับ คุณกำลังถามว่า ‘ทำอย่างไรจึงจะสามารถเปลี่ยนชีวิตสามีให้เป็นตรงข้ามได้?’ เมื่อเห็นโจทย์ให้ชัดเจนเสียอย่างนี้ก็จะพอรู้ว่าต้องลงทุนลงแรงกันประมาณใด การเปลี่ยนแปลงชีวิตทั้งชีวิต หรืออีกนัยหนึ่งคือการพลิกความรู้สึกนึกคิดของใครคนหนึ่งให้เป็นตรงข้ามกับที่ผ่านมาทั้งหมดนั้น ลองตรองดูนะครับว่าจะมีสิ่งใดยากเย็นเท่านี้ได้อีก คุณกำลังทำในสิ่งที่ท้าทายที่สุด ยากเย็นที่สุดแล้ว ลองนึกดูว่าชั่วชีวิตเราเปลี่ยนแปลงตัวเองมากี่ครั้ง ชนิดพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือน่ะครับ ถ้าหากว่าเคยมีประสบการณ์เปลี่ยนแปลงชนิดพลิกคว่ำคะมำหงายมาก่อน ขอให้ลองถามตัวเองว่าคุณต้องพบเจอแรงบันดาลใจที่ทรงอิทธิพลเพียงใดจึงสามารถแปรคุณไปได้มากขนาดนั้น แน่นอนว่าคงไม่ใช่การชักชวนเล่นๆง่ายๆเหมือนใครชวนเราดูทีวีหรือตีปิงปองเป็นแน่ บางคนบอกว่าไม่ต้องมีใครชักชวน ก็ชอบธรรมะมาตั้งแต่เด็กๆ เพราะที่บ้านมีบรรยากาศธรรมะธัมโมอยู่แล้ว ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ขอให้มองว่าฐานชีวิตเป็นสิ่งสำคัญมาก ถ้าพ่อแม่เริ่มพูดเรื่องธรรมะให้ลูกๆฟังมาตั้งแต่เด็กๆ ก็ถือว่าลูกๆนั้นได้รับผลกรรมอันดีที่มีมาแต่ชาติปางก่อนแล้ว แค่เกิดมายังไม่ทันต้องขวนขวายใดๆ ธรรมะก็เข้าหล่อหลอมจิตใจให้กลายเป็นคนดีมีศีลสัตย์เสียแล้ว ใครมีชีวิตแบบไหน ก็จะรู้สึกว่าชีวิตแบบนั้นเป็นของง่าย เห็นตัวเองอยู่บนเส้นทางที่เคยคุ้นเป็นอันดี แต่จะรู้สึกฝืนหรือเกิดแรงต้านในทันทีที่ถูกตะล่อมให้เปลี่ยนเส้นทางเป็นอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเส้นทางที่ขนานกันราวกับไม่มีวันหาจุดตัดจุดข้ามได้เลย หากคุณประสงค์จะให้เขาข้ามมา ก่อนอื่นต้องใช้ประโยชน์จากความเป็นคนใกล้ชิดกับเขาให้เต็มที่ นั่นคือทำตัวเป็นสะพานเชื่อมทางขนานที่ข้ามยากนั้นให้กับเขาครับ! หากคนใกล้ตัวที่สุดเป็นแรงบันดาลใจอย่างที่สุด การเปลี่ยนแปลงเป็นตรงข้ามก็มีสิทธิ์เกิดขึ้นได้จริง ถาม – ปัจจุบันเวลาสวดคาถาชินบัญชร ทำบุญ ทำความดีต่างๆ ก็มักอธิษฐานกับพระพุทธองค์เสมอว่าขอให้อานิสงส์แห่งบุญที่เราทำนี้ ช่วยดลบัลดาลให้สามีมีสติตื่นขึ้น อย่าได้มัวหลับใหลเห็นกงจักรเป็นดอกบัวต่อไปอีกเลย หากอธิษฐานอย่างนี้เรื่อยๆไม่ทราบว่าจะพอช่วยเขาได้บ้างหรือไม่? มักมีการบรรยายสรรพคุณบทสวดมนต์ต่างๆกันมากครับ โดยเฉพาะในหมู่ชาวพุทธไทยเรา สวดกี่จบๆแล้วจะทำให้เกิดผลดีอย่างนั้นอย่างนี้ บางทีไปไกลถึงขนาดสวดบางบทแล้วไม่ต้องเกิดไม่ต้องตายอีก อยู่เป็นสุขค้างฟ้าบนสรวงสวรรค์ชั่วนิรันดรก็ยังมี ก่อนอื่นเราต้องทำความเข้าใจว่าบทสวดมนต์คืออะไร จึงจะทราบอานิสงส์ของการสวดอย่างถ่องแท้ และอาศัยเป็นเครื่องช่วยได้ถูกเรื่องถูกทาง หากคุณแปลบทสวดต่างๆเป็นไทย จะพบว่าบทสวดมนต์ก็คือการท่องจำความรู้ทางศาสนาบ้าง บรรยายคุณลักษณ์ของสิ่งศักดิ์สิทธิ์บ้าง หรือสรรเสริญพระรัตนตรัยบ้าง สำหรับชินบัญชรนั้น หากใครเคยอ่านฉบับแปลเป็นไทยจะพบว่ามีการอาราธนาสิ่งศักดิ์สิทธิ์แบบจำเพาะเจาะจงชื่อของพวกท่านมาประดิษฐาน ณ ตำแหน่งต่างๆในเรา ซึ่งเป็นอุปเท่ห์หนึ่งทางไสยเวทวิทยาคม ผู้ประพันธ์บทสวดต่างๆได้นั้น ต้องมีอัจฉริยภาพเกินมนุษย์อยู่มาก นั่นคือนอกจากจะรู้เรื่องภาษาอย่างแตกฉาน ยังต้องมีทักษะในการร้อยเรียงให้ออกเสียงแล้วเกิดความไพเราะคมคาย โดยเฉพาะชินบัญชรจะเป็นตัวอย่างหนึ่งของการประดิษฐ์ที่ยิ่งใหญ่ หากลองสวดเร็วๆจะรู้สึกถึงความคมกริบจากกระบวนการเปล่งคำโดยรวม คนคิดประดิษฐ์อะไรอย่างนี้ได้ต้องมีจิตที่แทงทะลุศาสตร์หลายๆด้าน เช่นเข้าใจเรื่องพลังสัมพันธ์อันเป็นนามธรรม เข้าใจสรรคำวิเศษมาประกอบให้เกิดภาวะเข้มขลังอุกฤษฎ์ แม้ผู้ท่องบ่นสวดภาวนาไม่รู้ความหมายเลย ก็เหนี่ยวนำให้เกิดกำแพงปกป้องน่าเกรงขาม ตลอดจนเกิดรัศมีเสน่ห์ดึงดูดใจได้มากกว่าเดิม ไม่น่าแปลกใจที่ผู้สวดชินบัญชรจะพบประสบการณ์น่าอัศจรรย์ประการต่างๆ นับตั้งแต่รู้สึกว่าตัวเองเข้มแข็งและคมคายขึ้น มีอำนาจในตัวสูงขึ้น ชินบัญชรจึงเป็นที่รู้จักและนิยมแพร่หลาย โดยเฉพาะในไทยตั้งแต่สมเด็จโต พรหมรังสีท่านดัดแปลงให้สั้นและถวาย ร.๔ เป็นต้นมา (หลายคนเข้าใจว่าสมเด็จโตเป็นผู้ประพันธ์ จริงๆไม่ใช่นะครับ ชินบัญชรเป็นของโบราณที่แพร่หลายในหลายประเทศ ของเดิมยาวกว่านี้มาก) อย่างไรก็ตาม ตบะอำนาจซึ่งเกิดขึ้นง่ายๆมักนำมาซึ่งความทะนง ความรู้สึกเหนือคนอื่น ตลอดจนการเห็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทางพุทธศาสนาไปในทางเดียวกับลัทธิที่นิยมมนต์กฤตยาอาถรรพณ์ คือมองว่าพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลายเป็นผู้บันดลบันดาลฤทธิ์อำนาจและความปลอดภัยทั้งหลายให้เรา ขอเพียงเราสวดวิงวอนร้องขอเท่านั้น ตัวอย่างในกรณีนี้คือคุณอาจเชื่ออยู่ลึกๆว่าถ้าสวดชินบัญชรแล้วจะอธิษฐานขอให้เกิดอำนาจเปลี่ยนแปลงจิตใจของสามีได้ ขอบอกตรงๆครับว่ามีส่วนกระทบสามีได้จริง คือสามีคุณอาจเกิดความคร้ามเกรง หรือเห็นคุณมีความคมเข้มบางประการที่น่าเกรงใจ ตลอดจนทำให้เขาขนลุกได้ในบางครั้งเมื่อคุณปั้นท่านิ่งขรึม ประเด็นสำคัญคือ ความน่าเกรงขามกับเสน่ห์ดึงดูดใจไม่ใช่สะพานเชื่อมระหว่างทางเก่าของเขากับทางใหม่ในธรรมสำหรับเขา และบางทีอาจจะไม่ใช่แม้แต่สายใยผูกพันอันลึกซึ้งระหว่างสามีกับภรรยาที่อยู่ร่วมกัน กระแสความเมตตาต่างหากที่เป็นจุดเริ่มต้นทั้งหมด ทั้งการเชื่อมทางเก่ากับทางใหม่ ทั้งการกล่อมเกลาจิตใจ และทั้งเป็นสัมผัสเย็นละไมให้รู้สึกถึงเงาสงบใต้ร่มธรรมในช่วงเริ่มต้นสำหรับเขา ผมไม่ได้ยุให้คุณเลิกสวดชินบัญชร แต่อยากให้ทดลองสวดบทอิติปิโสฯ ซึ่งเป็นการสรรเสริญพระรัตนตรัย จาระไนคุณแห่งพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์โดยไม่หวังผลตอบแทน ซึ่งโดยธรรมชาตินั้น เมื่อเราสรรเสริญคุณวิเศษอันใด ก็เท่ากับเรายอมรับกระแสแห่งคุณวิเศษนั้นๆเข้ามาในเราด้วยอยู่แล้ว ภาษาที่ร้อยเรียงขึ้นเป็นบทสวดอิติปิโสฯมีความเพราะพริ้งในแบบที่อ่อนโยน ก่อให้เกิดความแช่มชื่นสบายใจ ที่สำคัญคือถอดแบบมาจากพุทธพจน์โดยตรง ใครสวดอิติปิโสฯทุกค่ำเช้าด้วยใจยินดี หรือตั้งจิตไว้ในแบบรู้ทางที่จะสวดด้วยโสมนัสตั้งแต่ต้นจนจบได้หลายๆครั้ง จะรู้สึกถึงเมตตาที่ก่อตัวขึ้นเป็นทุนใหญ่ เมื่อรู้สึกถึงเมตตาเยือกเย็นแล้ว ลองอธิษฐานนิ่งๆอยู่ในความสุขนั้นว่า เมื่อคุณปรากฏตัวให้สามีเห็น หรือสามีได้ยินเสียงคุณพูด ขอให้สามีจงได้ส่วนแห่งความสุขเช่นเดียวกับคุณ หากทำทุกเช้าค่ำ ทุกวัน นั่นก็คือการแผ่เมตตาครบวงจร คือทั้งในขณะลับหลังกันไม่เห็นตัว ทั้งในขณะอยู่ต่อหน้าพูดจากัน คุณจะเห็นความเปลี่ยนแปลงในตัวเองก่อน แล้วจะเห็นผลเป็นความสงบอ่อนโยนลงในสามีเป็นอันดับต่อมาอย่างแน่นอน การแผ่เมตตาให้กันเป็นพุทธวิธี เป็นสิ่งที่ผู้คนในยุคพุทธกาลนิยมกระทำกัน และได้ผลสำเร็จเป็นมิตรไมตรีไม่มีระคายต่อกัน เพราะเป็นการปรับพื้นฐานทางใจต่อกันใหม่ แล้วต่อยอดเป็นพฤติกรรมอันเป็นที่รักในการอยู่ร่วมกัน มนุษย์มีสัญชาตญาณเอาดีเข้าตัว เมื่อใจเขาเห็นชัดว่าชีวิตแบบใดดีกว่า เป็นสุขกว่า เย็นรื่นกว่า ก็ย่อมเลือกชีวิตแบบนั้นในที่สุด ไม่อาจทนต้านได้ เมื่อเขาเลือกที่จะเย็นตามคุณ ก็แปลว่าคุณสามารถชักนำให้เขาไปพบพระ หรือนำหนังสือธรรมะไปให้เขาอ่านได้โดยไม่พบกระแสต้านดังเคย สำคัญคืออย่าเพิ่งผลีผลาม รอดูจังหวะที่เขาเป็นทุกข์และขอคำปรึกษาเอง ตรงนั้นจะเป็นช่วงเวลาเหมาะสมที่สุด นอกจากอาศัยเครื่องทุ่นแรงช่วยในเบื้องต้นดังกล่าวแล้ว ก็ควรมองให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับเขาอย่างชัดเจนด้วย ๑) สำรวจด้านดีในตัวคุณที่มีอิทธิพลต่อความคิดของเขา เขาได้ส่วนนิสัยแบบใดในด้านดีของคุณไว้บ้าง ไม่ว่าจะเป็นในด้านความคิด คำพูด หรือการกระทำ คู่ผัวตัวเมียที่อยู่ร่วมกันนานๆต้องมีสิ่งใดสิ่งหนึ่งถ่ายเทถึงกัน ตัวอย่างเช่นแต่เดิมไม่ชอบให้อาหารสัตว์ พอเห็นเราให้อาหารสัตว์บ่อยๆจนเป็นภาพชินตา ก็อาจกลายเป็นแนวโน้มที่เขาจะชอบให้อาหารสัตว์ตาม เมื่อพบว่าด้านดีของเราอันใดแปรใจเขาให้โน้มเอียงมาใกล้เราได้ ก็ให้เร่งเพิ่มคุณงามความดีในด้านนั้นๆให้มากขึ้น ด้วยเจตนาให้เขาได้ส่วนดีจากการอยู่กับเราไปมากที่สุด ๒) สำรวจด้านเสียในตัวคุณที่มีอิทธิพลต่อความคิดของเขา เขาได้ส่วนนิสัยแบบใดในด้านเสียของคุณไว้บ้าง ไม่ว่าจะเป็นในด้านความคิด คำพูด หรือการกระทำ เช่นคนที่อยู่ร่วมกันมักแสดงความหงุดหงิดใส่กันง่ายๆเมื่อไม่ได้อย่างใจ ไม่มีใครเห็นคนอื่นหงุดหงิดแล้วอยากคล้อยตามหรืออยากโอ๋ตลอดไป มีแต่ว่าเห็นใครหงุดหงิดใส่ก็อยากหงุดหงิดตอบ เมื่อพบว่าด้านเสียของเราอันใดผลักไสเขาห่างจากธรรมะ ก็ให้เร่งลดนิสัยใจคอในด้านนั้นๆให้น้อยลง ด้วยเจตนาให้เขางดเว้นอกุศลธรรมนั้นๆตามเรา โดยสรุปคือเราอยากให้ใครเป็นอย่างไร ก็จำเป็นต้องใช้ตัวเราเองเป็นสะพานให้เขาข้ามมาจากฟากเดิมของเขา และวิธีที่จะเป็นสะพานได้อย่างแท้จริง ก็คือเราต้องทอดตัวไปถึงฝั่งนั้นแล้วอย่างมั่นคงเป็นการกรุยทางให้ก่อนครับ[/color] |