26 พฤศจิกายน 2567, 01:38:00
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 23 24 [25] 26 27 ... 29  ทั้งหมด   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: เรื่องดี--มาแบ่งปัน  (อ่าน 615068 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #600 เมื่อ: 20 กันยายน 2553, 20:54:50 »

ตอน ตอน...
รึ
สั้น สั้น...
ที่ว่าสุดยอด?


เรื่องself madeนี่อ่านเรื่องไหนก็สุขใจคะ
จริงๆแล้วมันแฝงกำลังกาย กำลังจิตเท่าไหร่
Ehrgeiz หากขาด Durchhaltenvermögenก็ไม่รอดคะ
      บันทึกการเข้า


Mouy (Again)
มือใหม่หัดเมาท์
*

ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 150

« ตอบ #601 เมื่อ: 22 กันยายน 2553, 18:37:02 »

ไม่แน่ใจว่าในบอร์ดเคยมีเรื่องนี้แล้วหรือยัง...หรือใครบางคนอาจจะเคยได้อ่านกันบ้างแล้ว...เรื่องมันเหมือนคุ้นๆ... แต่จำไม่ได้ว่าเคยอ่านที่ไหน...ได้อ่านอีกรอบก็รู้สึกดี...เลยแวะเอามาแปะเสียหน่อย...คิดถึงจ้า... บ่ฮู้บ่หัน


ชายหนุ่มคนหนึ่งได้รับเชิญจากมหาวิทยาลัยเอกชน เพื่อให้เป็นวิทยากรพิเศษสอนวิชาปรัชญาให้กับนักศึกษาปริญญาโท เขาเตรียมการสอนอยู่หลายวันจึงตัดสินใจจะสอนนักศึกษาเหล่านั้นด้วยแบบฝึกหัดง่ายๆ แต่แฝงไว้ด้วยข้อคิด
เขาเดินเข้าห้องเรียนมาพร้อมด้วยของสองสามอย่างบรรจุอยู่ในกระเป๋าคู่ใจ เมื่อได้เวลาเรียน เขาหยิบ เหยือกแก้ว ขนาดใหญ่ขึ้นมา แล้วใส่ ลูกเทนนิส ลงไปจนเต็ม ' พวกคุณคิดว่าเหยือกเต็มหรือยัง ?' เขาหันไปถามนักศึกษาปริญญาโท แต่ละคนมีสีหน้าตาครุ่นคิดว่าอาจารย์หนุ่มคนนี้จะมาไม้ไหนก่อนจะตอบพร้อมกัน '
        เต็มแล้ว...' เขายิ้มไม่พูดอะไรต่อหันไปเปิดกระเป๋าเอกสารคู่ใจ หยิบกระป๋องใส่กรวดออกมา แล้วเท กรวดเม็ดเล็กๆ จำนวนมากลงไปในเหยือกพร้อมกับเขย่าเหยือกเบาๆ กรวดเลื่อนไหลลงไปอยู่ระหว่างลูกเทนนิสอัดจนแน่นเหยือก เขาหันไปถามนักศึกษาอีก " เหยือกเต็มหรือยัง ?' นักศึกษามองดูอยู่พักหนึ่งก่อนจะหันมาตอบ ' เต็มแล้ว...'
        เขายังยิ้มเช่นเดิม หันไปเปิดกระเป๋าหยิบเอาถุงทรายใบย่อมขึ้นมา และเททรายจำนวนไม่น้อยใส่ลงไปในเหยือก เม็ดทราย ไหลลงไปตามช่องว่างระหว่างกรวดกับลูกเทนนิสได้อย่างง่ายดาย เขาเทจนทรายหมดถุง เขย่าเหยือกจนเม็ดทรายอัดแน่นจนแทบล้นเหยือก เขาหันไปถามนักศึกษาอีกครั้ง " เหยือกเต็มหรือยัง ?'
        เพื่อป้องกันการหน้าแตกนักศึกษาปริญญาโทเหล่านั้นหันมามองหน้ากัน ปรึกษากันอยู่นาน หลายคนเดินก้าวเข้ามาก้มๆ เงยๆ มองเหยือกตรงหน้าอาจารย์หนุ่มอยู่หลายครั้ง มีการปรึกษาหารือกันเสียงดังไปทั้งห้องเรียน จวบจนเวลาผ่านไปเกือบห้านาที หัวหน้ากลุ่มนักศึกษาจึงเป็นตัวแทน เดินเข้ามาตอบอย่างหนักแน่น
" คราวนี้เต็มแน่นอนครับอาจารย์'
" แน่ใจนะ'
" แน่ซะยิ่งกว่าแน่อีกครับ'
คราวนี้เขาหยิบ น้ำอัดลม สองกระป๋องออกมาจากใต้โต๊ะแล้วเทใส่เหยือกโดยไม่รีรอ ไม่นานน้ำอัดลมก็ซึมผ่านทรายลงไปจนหมด ทั้งชั้นเรียนหัวเราะฮือฮากันยกใหญ่ เขาหัวเราะอย่างอารมณ์ดี
" ไหนพวกคุณบอกว่าเหยือกเต็มแน่ๆ ไง' เขาพูดพลางยกเหยือกขึ้น
" ผมอยากให้พวกคุณจำบทเรียนวันนี้ไว้ เหยือกใบนี้ก็เหมือนชีวิตคนเรา ลูกเทนนิสเปรียบเหมือนเป็นเรื่องสำคัญที่สุดในชีวิต เช่น ครอบครัว คู่ชีวิต การเรียน สุขภาพ ลูก และเพื่อน สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่คุณต้องสนใจจริงจัง สูญเสียไปไม่ได้ เม็ดกรวดเหมือนสิ่งสำคัญรองลงมา เช่น งาน บ้าน รถยนต์
ทรายก็คือเรื่องอื่นๆ ที่เหลือเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่เราจำเป็นต้องทำ แต่เรามักจะหมกมุ่นอยู่กับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้
เหยือกนี้เปรียบกับชีวิตของคุณ ถ้าคุณใส่ทรายลงไปก่อน คุณจะมัวหมกมุ่นอยู่กับเรื่องเล็กๆน้อยๆ อยู่ตลอดเวลา
ชีวิตเต็มแล้ว... เต็มจนไม่มีที่เหลือให้ใส่กรวด ไม่มีที่เหลือใส่ให้ลูกเทนนิสแน่นอน'
ชีวิตของคนเราทุกคน ถ้าเราใช้เวลาและปล่อยให้เวลาหมดไปกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เราจะไม่มีที่ว่างในชีวิตไว้สำหรับเรื่องสำคัญกว่า
เพราะฉะนั้นในแต่ละวันของชีวิต เราต้องให้ความสนใจกับเรื่องที่ทำให้ตัวเราและครอบครัวมีความสุข ใช้ชีวิตเล่นกับลูกๆ หาเวลาไปตรวจร่างกาย พาคู่ชีวิตกับลูกไปพักผ่อนในวันหยุด พากันออกกำลังกาย เล่นกีฬาร่วมกันสักชั่วโมงสองชั่วโมง เพื่อสุขภาพและความสัมพันธ์ที่ดีในชีวิต เราต้องดูแลเรื่องที่สำคัญที่สุดจริงๆ ดูแลลูกเทนนิสของเราก่อนเรื่องอื่นทั้งหมด หลังจากนั้นถ้ามีเวลาเหลือเราจึงเอามาสนใจกับสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบๆ ตัวเรา
นักศึกษาคนหนึ่งยกมือขึ้นถาม " แล้วน้ำที่อาจารย์เทใส่ลงไปล่ะครับ หมายถึงอะไร ?'
เขายิ้มพร้อมกับบอกว่า " การที่ใส่น้ำลงไปเพราะอยากให้เห็นว่า ไม่ว่าชีวิตของเราจะวุ่นวายสับสนเพียงใด ในความ
สับสนและวุ่นวายเหล่านั้นคุณยังมีที่ว่างสำหรับการแบ่งปันน้ำใจให้กันเสมอ...'
      บันทึกการเข้า
BU_KA
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 986

« ตอบ #602 เมื่อ: 22 กันยายน 2553, 22:16:51 »

น้องหมวยที่รัก

สบายดีใช่ไหม

เรื่องนี้ต่อยอดจาก 7 Habits ค่ะ

แต่ 7 HBs ไม่ไ้ด้เติมน้ำใจอันงดงามลงไป
      บันทึกการเข้า
Apirat T.
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,357

« ตอบ #603 เมื่อ: 24 กันยายน 2553, 01:30:51 »

เป็นผม ตอบว่าไม่เต็มตั้งแต่คำถามแรกแล้ว
 smoke
      บันทึกการเข้า
ppornson
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,724

« ตอบ #604 เมื่อ: 27 กันยายน 2553, 12:16:52 »

เฮ้ย ปกติน้าแครมมเต็มเร็วไ่ม่ใช่เหรอ..

รักพี่หมวยคร้าบบบบบ..  หึหึ หึหึ หึหึ รักนะ รักนะ รักนะ
      บันทึกการเข้า
Apirat T.
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,357

« ตอบ #605 เมื่อ: 28 กันยายน 2553, 08:05:54 »

ความสุขที่ถูกมองข้าม
(พระไพศาล วิสาโล)

คุณเป็นคนหนึ่งหรือไม่ที่เชื่อว่า ยิ่งมีเงินทองมากเท่าไร ก็ยิ่งมีความสุขมากเท่านั้น ความเชื่อดังกล่าวดูเผิดๆ ก็น่าจะถูกต้องโดยไม่ต้องเสียเวลาพิสูจน์ แต่ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงประเทศไทยน่าจะมีคนป่วยด้วยโรคจิตน้อยลง มิใช่เพิ่มมากขึ้น ทั้งๆ ที่รายได้ของคนไทยสูงขึ้นทุกปี ในทำนองเดียวกันผู้จัดการก็น่าจะมีความสุขมากกว่าพนักงานระดับล่างๆ เนื่องจากมีเงินเดือนมากกว่า แต่ความจริงก็ไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไป

ไม่นานมานี้มหาเศรษฐีคนหนึ่งของไทยได้ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ว่า เขารู้สึกเบื่อหน่ายกับชีวิต เขาพูดถึงตัวเองว่า "ชีวิต(ของผม)เริ่มหมดค่าทางธุรกิจ" ลึกลงไปกว่านั้นเขายังรู้สึกว่าตัวเองไม่มีความหมาย เขาเคยพูดว่า "ผมจะมีความหมายอะไร ก็เป็นแค่ มหาเศรษฐีหมื่นล้านคนหนึ่ง" เมื่อเงินหมื่นล้านไม่ทำให้มีความสุข เขาจึงอยู่เฉยไม่ได้ ในที่สุดวิ่งเต้นจนได้เป็นรัฐมนตรี ขณะที่เศรษฐีหมื่นล้านคนอื่นๆ ยังคงมุ่งหน้าหาเงินต่อไป ด้วยความหวังว่าถ้าเป็นเศรษฐีแสนล้านจะมีความสุขมากกว่านี้ คำถามก็คือ เขาจะมีความสุขเพิ่มขึ้นจริงหรือ

คำถามข้างต้น คงมีประโยชน์ไม่มากนักสำหรับคนทั่วไป เพราะชาตินี้คงไม่มีวาสนาแม้แต่จะเป็นเศรษฐีร้อยล้านด้วยซ้ำ แต่อย่างน้อยก็คงตอบคำถามที่อยู่ในใจของคนจำนวนไม่น้อยได้บ้างว่า ทำไมอัครมหาเศรษฐีทั้งหลาย รวมทั้งบิล เกตส์จึงไม่หยุดหาเงินเสียที ทั้งๆ ที่มีสมบัติมหาศาล ขนาดนั่งกินนอนกินไป 7 ชาติก็ยังไม่หมด

แต่ถ้าเราอยากจะค้นพบคำตอบให้มากกว่านี้ ก็น่าจะย้อนถามตัวเองด้วยว่า ทำไมถึงไม่หยุดซื้อแผ่นซีดีเสียทีทั้งๆ ที่มีอยู่แล้วนับหมื่นแผ่น ทำไมถึงไม่หยุดซื้อเสื้อผ้าเสียทีทั้งๆ ที่มีอยู่แล้วเกือบพันตัว ทำไมถึงไม่หยุดซื้อรองเท้าเสียทีทั้งๆ ที่มีอยู่แล้วนับร้อยคู่
แผ่นซีดีที่มีอยู่มากมายนั้น บางคนฟังทั้งชาติก็ยังไม่หมด ในทำนองเดียวกัน เสื้อผ้า หรือรองเท้า ที่มีอยู่มากมายนั้น บางคนก็เอามาใส่ไม่ครบทุกตัวหรือทุกคู่ด้วยซ้ำ มีหลายตัวหลายคู่ที่ซื้อมาโดยไม่ได้ใช้เลย แต่ทำไมเราถึงยังอยากจะได้อีกไม่หยุดหย่อน

ใช่หรือไม่ว่า สิ่งที่เรามีอยู่แล้วในมือนั้นไม่ทำให้เรามีความสุขได้มากกว่าสิ่งที่ได้มาใหม่ มีเสื้อผ้าอยู่แล้วนับร้อยก็ไม่ทำให้จิตใจเบ่งบานได้เท่ากับเสื้อ 1 ตัวที่ได้มาใหม่ มีซีดีอยู่แล้วนับพันก็ไม่ทำให้รู้สึกตื่นเต้นได้เท่ากับซีดี 1 แผ่นที่ได้มาใหม่ ในทำนองเดียวกันมีเงินนับร้อยล้านในธนาคารก็ไม่ทำให้รู้สึกปลาบปลื้มเท่ากับเมื่อได้มาใหม่อีก 1 ล้าน

พูดอีกอย่างก็คือ คนเรานั้นมักมีความสุขจากการได้ มากกว่าความสุขจากการมี มีเท่าไรก็ยังอยากจะได้มาใหม่ เพราะเรามักคิดว่าของใหม่จะให้ความสุขแก่เราได้มากกว่าสิ่งที่มีอยู่เดิม
บ่อยครั้งของที่ได้มาใหม่นั้นก็เหมือนกับของเดิมไม่ผิดเพี้ยน แต่เพียงเพราะว่ามันเป็นของใหม่ก็ทำให้เราดีใจแล้วที่ได้มาจะว่าไปนี้อาจเป็นสัญชาตญาณที่มีอยู่กับสัตว์หลายชนิดไม่เฉพาะแต่มนุษย์เท่านั้น ถ้าโดยนน่องไก่ให้หมา หมาก็จะวิ่งไปคาบ แต่ถ้าโยนน่องไก่ชิ้นใหม่ไปให้ มันจะรีบคายของเก่าและคาบชิ้นใหม่แทน ทั้งๆ ที่ทั้งสองชิ้นก็มีขนาดเท่ากัน ไม่ว่าหมาตัวไหนก็ตาม ของเก่าที่มีอยู่ในปากไม่น่าสนใจเท่ากับของใหม่ที่ได้มา

ถ้าหากว่าของใหม่ให้ความสุขได้มากกว่าของเก่าจริงๆ เรื่องก็น่าจะจบลงด้วยดี แต่ปัญหาก็คือของใหม่นั้นไม่นานก็กลายเป็นของเก่า และความสุขที่ได้มานั้นในที่สุดก็จางหายไป ผลก็คือกลับมารู้สึก "เฉยๆ" เหมือนเดิม และดังนั้นจึงต้องไล่ล่าหาของใหม่มาอีก เพื่อหวังจะให้มีความสุขมากกว่าเดิม แต่แล้วก็วกกลับมาสู่จุดเดิม เป็นเช่นนี้ไม่รู้จบ น่าคิดว่าชีวิตเช่นนี้จะมีความสุขจริงหรือ

เพราะไล่ล่าแต่ละครั้งก็ต้องเหนื่อย ไหนจะต้องขวนขวายหาเงินหาทอง ไหนจะต้องแข่งกับผู้อื่นเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการ ครั้งได้มาแล้วก็ต้องรักษาเอาไว้ให้ได้ ไม่ให้ใครมาแย่งไป แถมยังต้องเปลืองสมองหาเรื่องใช้มันเพื่อให้รู้สึกคุ้มค่า ยิ่งมีมากชิ้นก็ยิ่งต้องเสียเวลาในการเลือกว่าจะใช้อันไหนก่อน ทำนองเดียวกับคนที่มีเงินมากๆ ก็ต้องยุ่งยากกับการตัดสินใจว่าจะไปเที่ยวลอนดอน นิวยอร์ค เวกัส โตเกียว มาเก๊า หรือซิดนีย์ดี

ถ้าเราเพียงแต่รู้จักแสวงหาความสุขจากสิ่งที่มีอยู่แล้ว ชีวิตจะยุ่งยากน้อยลงและโปร่งเบามากขึ้น อันที่จริงความพอใจในสิ่งที่เรามีนั้นไม่ใช่เรื่องยาก แต่ที่เป็นปัญหาก็เพราะเราชอบมองออกไปนอกตัว และเอาสิ่งใหม่มาเทียบกับของที่เรามีอยู่ หาไม่ก็เอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น เมื่อเห็นเขามีของใหม่ก็อยากมีบ้าง คงไม่มีอะไรที่จะทำให้เราทุกข์ได้บ่อยครั้งเท่ากับการชอบเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น การเปรียบเทียบจึงเป็นหนทางลัดไปสู่ความทุกข์ที่ใครๆ ก็นิยมใช้กัน

นิสัยชอบเปรียบเทียบกับคนอื่น ทำให้เราไม่เคยมีความพอใจในสิ่งที่ตนมีเสียที แม้จะหน้าตาดีก็ยังรู้สึกว่าตัวเองไม่สวยเพราะไปเปรียบเทียบตัวเองกับดาราหรือพรีเซนเตอร์ในหนังโฆษณา
การมองแบบนี้ทำให้ "ขาดทุน" สองสถาน คือนอกจากจะไม่มีความสุขกับสิ่งที่มีอยู่แล้ว ยังเป็นทุกข์เพราะไม่ได้สิ่งที่อยาก พูดอีกอย่างคือ ไม่มีความสุขกับปัจจุบัน แถมยังเป็นทุกข์เพราะอนาคตที่พึงปรารถนายังมาไม่ถึง ไม่มีอะไรที่เป็นอุทธาหรณ์สอนใจได้ดีเท่ากับนิทานอีสปเรื่องหมาคาบเนื้อ คงจำได้ว่า มีหมาตัวหนึ่งได้เนื้อชิ้นใหญ่มา ขณะที่กำลังเดินข้ามสะพาน มันมองลงมาที่ลำธาร เห็นเงาของหมาตัวหนึ่ง ซึ่งก็คือตัวมันเอง กำลังคาบเนื้อชิ้นใหญ่ เนื้อชิ้นนั้นดูใหญ่กว่าชิ้นที่มันกำลังคาบเสียอีก ด้วยความโลภและหลง มันจึงคายเนื้อที่คาบอยู่ เพื่อจะไปคาบชิ้นเนื้อที่เห็นในน้ำ ผลก็คือ เมื่อเนื้อตกน้ำ ชิ้นเนื้อในน้ำก็หายไป มันจึงสูญทั้งเนื้อที่คาบอยู่และเนื้อที่เห็นในน้ำ

บ่อเกิดแห่งความสุขมีอยู่กับเราทุกคนในขณะนี้อยู่แล้วเพียงแต่เรามองข้ามไปหรือไม่รู้จักใช้เท่านั้น เมื่อใดที่เรามีความทุกข์ แทนที่จะมองหาสิ่งนอกตัว ลองพิจารณาสิ่งที่เรามีอยู่และเป็นอยู่ไม่ว่า มิตรภาพ ครอบครัว สุขภาพ ทรัพย์สิน รวมทั้งจิตใจของเรา ล้วนสามารถบันดาลความสุขให้แก่เราได้ทั้งนั้น ขอเพียงแต่เรารู้จักชื่นชม รู้จักมอง และจัดการอย่างถูกต้องเท่านั้น

แทนที่จะแสวงหาแต่ความสุขจากการได้ ลองหันมาแสวงหาความสุขจากการมี หรือจากสิ่งที่มี ขึ้นต่อไปคือการแสวงหาความสุขจากการให้ กล่าวคือยิ่งให้ความสุข ก็ยิ่งได้รับความสุข สุขเพราะเห็นน้ำตาของผู้อื่นเปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม และสุขเพราะภาคภูมิใจที่ได้ทำความดีและทำให้ชีวิตมีความหมาย
จากจุดนั้นแหละ ก็ไม่ยากที่เราจะค้นพบความสุขจากการไม่มี นั่นคือความสุขจากการปล่อยวาง ไม่ยึดถือในสิ่งที่มีและเพราะเหตุนั้น แม้ไม่มีหรือสูญเสียไป ก็ยังเป็นสุขอยู่ได้ เกิดมาทั้งที น่าจะมีโอกาสได้สัมผัสกับความสุขจากการให้ และการไม่มีเพราะนั่นคือสุขที่สงบเย็นและยั่งยืนอย่างแท้จริง
      บันทึกการเข้า
ชาร์ป
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,119

« ตอบ #606 เมื่อ: 28 กันยายน 2553, 10:32:40 »

"happiness depends on what you can give not what you can get"

M.K. Gandhi

      บันทึกการเข้า
ชาร์ป
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,119

« ตอบ #607 เมื่อ: 28 กันยายน 2553, 17:29:06 »

"How to be number one ?" คำถามสำหรับเบอร์หนึ่งอย่าง "สิงห์" กับเรื่องเล่าของผู้แพ้ที่ไม่ยอมแพ้

How to be number one ? เป็นคำถามสำหรับถามผู้ที่เป็น เบอร์หนึ่งเท่านั้น หากพูดถึงธุรกิจเบียร์เบอร์หนึ่งในวงการธุรกิจในประเทศไทยตอนนี้ต้องพูดถึง ตรา "สิงห์" บริษัทในเครือ บุญรอดบริวเวอรี่แน่นอน หลังจากที่ต่อสู่ฝ่าฟันจนกลับมาประสบความสำเร็จอย่างงดงาม วันนี้สิงห์สามารถยืนอยู่บนบัลลังก์อย่างสง่างาม
 

คุณฉัตรชัย วิรัตน์โยสินทร์ ผู้อำนวยการสายการตลาด บริษัท สิงห์ คอร์เปอเรชั่น จำกัด กล่าวในงานสัมนา "SCG Paper Business Seminar 2010" ในหัวข้อ "อยู่อย่างสิงห์ การตลาดพลิกวิกฤติเป็นโอกาส" ว่า สำหรับเรื่องการเป็นเบอร์หนึ่งคิดว่าเฉยๆเพราะเราเป็นที่หนึ่งทุกปี แต่ถ้าเปลี่ยนคำถามว่าที่หนึ่งแล้วกำไรไหม ตรงนี้ต่างหากเป็นสิ่งที่ทำให้สะดุ้ง เพราะ 10 ปี ที่แล้วตราสินค้าของสิงห์เป็นอันดับหนึ่ง แต่บริษัทกลับใกล้เจ๊ง


หากพูดถึงการเป็นที่หนึ่งต้องมีส่วนประกอบ 3 อย่างคือ ตราสินค้า ยอดขาย และกำไร ซึ่งวันนี้อาจพูดได้ว่า "สิงห์" เป็นอันดับหนึ่งเพราะ มีทุกอย่างเป็นอันดับหนึ่ง แต่ถ้าถามอีกว่าตอนนั้นที่บอกว่าใกล้เจ๊งแล้วกลับมาได้อย่างไร พวกเราคงไม่ได้ชนะเพราะเรื่องพวกเครื่องมือการตลาด การขนส่งพวกนี้ แต่คำตอบคือ เพราะวัฒนธรรมองค์กรของสิงห์ วัฒนธรรมมีทุกที่ บริษัทจะเล็กจะใหญ่ก็ต้องมีบุคลิกที่ไม่เหมือนองค์กรอื่น จะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม ถ้าถามว่าจบโรงเรียนอะไร มันก็จะมีบุคลิกลักษณะแบบนี้ติดอยู่ ตัวนี้แหละที่จะทำให้เราไปได้ไกล ถ้าพัฒนาได้ดี


ถ้าลองย้อนกลับไปเทียบสิงห์กับช้างเมื่อกว่า 10 ปี ดูยอดและส่วนแบ่งการตลาดตอนนั้น "สิงห์" ลดเหลือแค่ 20% แพ้ต่อการขาย "เหล้าพ่วงเบียร์"


คุณสันติ ภิรมย์ภักดีหัวเรือใหญ่ของบริษัทบอกให้เราหาสาเหตุที่ล้มเหลว ซึ่งพบว่าในตำราการตลาดที่บอกสาเหตุของความล้มเหลว เราแทบไม่ต้องเลือกเลย เราคัดมาหมดอย่าง ประมาท เลินเล่อ ล่าช้าต่อการตอบสนอง, เมินเฉยต่อความต้องการของลูกค้า, ไม่ ประเมินศักยภาพของคู่แข่ง, ไม่จัดทำแผนธุรกิจเพื่อ รองรับการเปลี่ยนแปลง, เสียเปรียบเรื่องต้นทุน, บริหารสินทรัพย์ไม่มีประสิทธิภาพ และพนักงานขาดการมีส่วนร่วม แต่คุณสันติเพิ่ม 2 ข้อ ที่สำคัญคือ


"หยิ่ง หลงตัวเอง และจมปลักกับความสำเร็จในอดีต อันนี้ต้องด่าผม คุณมาด่าผมไม่ได้เดี๋ยวพวกคุณจะโดนไล่ออก" คุณฉัตรชัยเล่าคำพูดของคุณสันติ


แต่พอมาในช่วงปี 45 "สิงห์" เริ่มพลิกสถานการณ์จี้ก้น"ช้าง" คนมักเริ่มถามเสมอว่าแพ้แล้วกับมาชนะได้อย่างไร ?


คุณยุพา ฝ่ายบุคคลของบริษัทบอกว่า ถ้าจะหาคำเดียวที่อธิบายคำตอบของคำ ถามได้ดีที่สุดคือ "สันติวิถี" เริ่มต้นจากการ ยอมรับความจริง วันที่เราเหลือส่วนแบ่งการตลาดแค่ 20% คุณสันติกล่าวว่า "ผมยอมรับว่าแพ้ แต่ผมไม่ยอมแพ้ พวกคุณจะสู้กับผมไหม อย่าไปโทษเรื่องกฎหมายขายพ่วง เรามีชีวิตแบบนี้ก็ต้องสู้แบบนี้ เลิกแก้ตัวเรื่องขายพ่วง"


การสู้ของเราคงไม่อยากเป็นแบบ "ลีโอไนดัส" กษัตริย์ของชาวสปาร์ตันในภาพยนต์เรื่อง "300" ที่สู้ถวายหัว ประวัติศาสตร์จารึกชื่อ แต่ตอนท้ายตาย ไม่เหลือชื่อในโลกความเป็นจริง หรือ "แม็กซิมัส" จากเรื่อง "กลาดิเอเตอร์" ที่เก่งคน เดียวสุดท้ายก็ตาย หรือแม้แต่เราก็ไม่ใช่ "ซุปเปอร์แมน" ที่สู้แบบไม่มีวันตาย


คุณสันติบอกให้เราสู้แบบ "นิค วอยจิค" (Nick Vujicic) ชายที่ไม่มีแขนและไม่มีขาแต่หันหน้าสู้ความจริง เอาอีโก้ออกไป หากแม้ว่ามีต้องมีให้เยอะเพียงต้องคุมให้อยู่ บางคนมีมากจนนึกว่าตัวเองเป็นพระเจ้า แต่เมื่อเสียหายแล้วก็โทษคนอื่นโดยไม่รู้ตัว

 
"อีโก้เยอะทำให้ทีมเวิร์คเสีย ท่านต้องให้คนอื่นเตือน เมื่อเตือนแล้วอย่าโกรธ ท่านต้องฟัง ตื่นเช้ามาไปส่องกระจกให้เห็นว่ามีสองหูหนึ่งปาก หมายความว่าฟังให้เยอะๆ พูดให้น้อยๆ"


แต่เดิมเราไม่เคยไปเยี่ยมลูกค้า คิดว่าเราเป็นเทพ แต่จงไปเยี่ยมลูกค้า อย่าเย่อหยิ่ง เมื่อลองไปเยี่ยมแล้วคนที่พบหน้าเขามีแต่มาสมน้ำหน้า ไม่มีมาสนใจ แต่เราไปเยี่ยมบ่อยๆก็เริ่มดีขึ้น ลูกค้าเริ่มเห็นเราดีขึ้น


ต่อไปคือการพุ่งเป้าหรือโฟกัสไปที่ปัญหา ปัญหาอยู่ที่ตรงไหนให้สนใจสิ่งที่เกิดขึ้น ใช้การคิดง่ายๆ หากลองคิดดูว่าคนกำลังจะจมน้ำตายขอความช่วยเหลือ คงไม่มีใครวิเคราะห์ว่า "คุณจมน้ำเพราะอะไรขอเวลาวิเคราะห์ก่อน" เราต้องกระโดดลงไปช่วยทันที โดยใช้หลักการ "Kiss" ซึ่งย่อมาจาก "Keep it simple stupid" หมายความว่าให้ทำอะไรง่ายๆ ให้คนทั่วไปเข้าใจได้ เมื่อเกิดปัญหาขึ้นเราไม่มีเวลามานั่งทำวิจัย วิเคราะห์อะไรมากมายนัก ต้องแก้ปัญหาด้วยวิธีที่เข้าใจได้ง่าย เมื่อง่ายก็เกิดความรวดเร็ว ซึ่งจะทำให้เกิดความมั่นใจในตัวเองต่อมา


ทั้งนี้ เมื่อเกิดความมั่นใจในตัวเองแล้ว หลักการดังกล่าวจะทำให้เกิดความเป็น "ธุรกิจแบบครอบครัว" ซึ่งเป็นหลักการที่บริหารได้มีประสิทธิภาพหลักการหนึ่งโดย "บริหารพวกมืออาชีพแบบ ครอบครัว และบริหารครอบครัวแบบมืออาชีพ"


นอกจากนี้ ความเป็นผู้นำเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญ แต่ปัญหาคือนิยามของคำว่า "ความเป็นผู้นำ" คืออะไร หรือคือ คุณธรรม ปัญญา ความเป็นผู้ใหญ่ หรือ การรู้แพ้ รู้ชนะ หัดฟังผู้อื่น

 

สิ่งที่จะเป็นเครื่อง วัดผู้นำ มีหลัก 5 อย่าง คือต้องมี "พลัง บวก" สามารถเป็นผู้นำทั้งในเวลาที่แพ้และชนะ ซึ่งพิสูจน์ได้จากประโยคของคุณสันติข้างต้นแล้วว่า "ผมยอมรับว่าแพ้ แต่ผมไม่ยอมแพ้"


เมื่อมีพลังบวกก็ต้องมี "พลัง" ท้าทายความสามารถของตัวเอง พร้อมกับการค้นหาความสามารถสูงสุด และเชื่อมั่นตัวเอง เพราะเราไม่มีทางรู้ว่าตัวเองทำอะไรได้จนกว่าจะลองทำ อย่างเช่น การตั้งเป้ากับดีลเลอร์ว่าถ้าขายได้เกินยอดที่ตั้งเอาไว้จะให้ลิตรละล้าน ซึ่งปีที่เริ่มพูดเล่นๆ สิงห์จ่ายไป 90 ล้าน !!


ผู้นำต้องมีความ "เชื่อ มั่น"  คุณสมศักดิ์ยกตัวอย่าง พอล พ็อตต์ หนุ่มอาชีพเซลล์ขายโทรผู้ชนะบริติช กอต ทาเลนต์ แต่เดิมที่เคยคิดว่าเป็นแค่ผู้แพ้ โดนเพื่อนแกล้งบ่อยๆ เมื่อถูกเพื่อนแกล้งก็มานั่งร้องไห้ แต่ตอนที่ร้องไห้บังเอิญได้ฟังเพลง "โอเปร่า" จนรู้สึกว่าชอบจึงไปฝึกฝนอยู่เรื่อยๆด้วยความคิดว่ามันเป็นสิ่งที่ช่วยคลาย อารมณ์ได้ เมื่อมีโอกาสก็เดินทางไปแข่งรายการเรียลริตี้โชว์จนได้รางวัลกลับมา

 

(ชมคลิปโอเปร่า ของหนุ่มเซลล์แมน http://www.youtube.com/watch?v=1k08yxu57NA ที่คุณสมศักดิ์แนะนำว่ามีผู้ชมเกือบ 70 ล้านคนนับตั้งแต่ปี 2007 )


เชื่อมั่นแล้วก็ต้อง "กล้า ตัดสินใจ" คุณสันติ เคยพูดในช่วงวิกฤติว่า "เราจะขาวก็ขาว จะดำก็ดำ ต้องลงมือทำแล้วสันติจะรับผิดชอบเอง" ซึ่งหน้าที่ของผู้บริหารต้องตั้งคำถามให้ถูกต้องเท่านั้น และแบ่งงานให้ลูกน้องทำ จำไว้เสมอว่าตำแหน่งยิ่งสูง งานยิ่งน้อย


"คนเราไม่กล้าตัดสินใจเพราะกลัวล้มเหลว"


"บริหารจัดการองค์กร" บริหารคนให้เป็น บริหารการเปลี่ยนแปลงต้องรู้ว่าโลกเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ประเทศไทยมีจำนวนประชากรมากเป็นอันดับ 20 ของโลก แต่คนเกือบครึ่งของประเทศไม่ช่วยทำงาน มองแค่ว่าอีกเมื่อฝ่ายหนึ่งทำงาน เราจะไม่ทำ หนำซ้ำยังแกล้งฝ่ายที่ทำงานด้วย นอกจากนี้ยังบอกว่า" รอเวลาที่กูจะบริหารบ้างแล้วกัน"


"ที่สำคัญคืออย่านั่งรอ เปลี่ยนแปลงเพราะกลัวจะเสี่ยง แต่จริงๆแล้วการไม่เปลี่ยนแปลงคือการเสี่ยง ดังนั้น การไม่เสี่ยงคือการเสี่ยงนั่นเอง ถ้าไม่ต้องการเสี่ยงก็ต้องเสี่ยงเปลี่ยนแปลง ทุกคนมีโอกาสเท่ากันเหมือนการซื้อล็อตเตอรี่ สิ่งที่ไม่คาดคิดเกิดง่ายกว่าที่คิดอยู่ที่ใครเห็นโอกาสก่อนกัน เมื่อได้โอกาสแล้วจะบริหารกันอย่างไร"


การเล่นไพ่ที่ดีคือวางกลยุทธ์เล่นให้ได้แต้มมากกว่าเจ้ามือ อย่าเล่นให้ได้แต้มสูงสุด ได้แต้มเท่าที่จำเป็นเท่านั้น ไม่ใช่จั่วตลอด


แต่ในเวลาที่เราทำสำเร็จ คนมักจะบอกว่าเรา "คิดบวก" เมื่อล้มเหลวก็มักจะเป็น "ประมาท" เส้นบางๆที่กั้นทั้งสองอย่างคือ "สติ" การที่จะคิดนอกกรอบได้ต้องคิดในกรอบให้เป็นก่อน


คุณสมศักดิ์กล่าวก่อนจบการบรรยายว่า ตอนนี้การค้าเสรีเปิดแล้ว เหตุการณ์ต่างๆเกิดขึ้นได้เสมอ จงย้ำตัวเองเสมอว่าแม้จะเป็นผู้ชนะ แต่ไม่ใช่ "ผู้นำ" ตลอดไป
      บันทึกการเข้า
Mouy (Again)
มือใหม่หัดเมาท์
*

ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 150

« ตอบ #608 เมื่อ: 02 ตุลาคม 2553, 15:39:55 »

อืมม เห็นช่วงหลัง สิงห์โปรโมทเรื่องสังคมเยอะขึ้นมาก... แต่ก็เพิ่งรู้นะว่าตอนนี้กลับมาเป็นอันดับ 1 แล้ว... พอมานั่งอ่านดูก็โยงเรื่องเข้ากับเรื่องที่เอกมาโพสต์ได้เหมือนกันนะ... การกลับมาเป็นอันดับ 1 นั้น อาจเป็นผลมาจากการให้ของสิงห์ก็ได้... (แต่มีคนบอกว่าเพราะตอนนี้คนบริหารรุ่นใหม่ของช้างนั้น ไม่เก่ง...ยังด้อยประสบการณ์เมื่อเทียบกับคนของสิงห์)... อ้าว....อันนี้ก็ต้องดูกันต่อไป....

ปล. ตอนนี้หมวยไม่ค่อยสบายเท่าไหร่.. กรดไหลย้อนทำพิษ... แต่ก็เรื่อยๆค่ะ... อาจจะหายเงียบไปบ้าง แต่ก็ยังคงคิดถึงเสมอ..
      บันทึกการเข้า
Apirat T.
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,357

« ตอบ #609 เมื่อ: 03 ตุลาคม 2553, 20:30:31 »

จุ๊บุ จุ๊บุ
 อายจัง
      บันทึกการเข้า
ppornson
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,724

« ตอบ #610 เมื่อ: 04 ตุลาคม 2553, 09:08:38 »

หายไวๆนะพี่ เค้าว่าต้องนอนให้หัวสูงกว่าช่วงตัว กินอาหารเย็นอย่าดึกมาก

ถ้าไม่มีคนดูแลเดี๋ยวไปป้อนยาให้นะพี่..จุ๊บๆๆ
      บันทึกการเข้า
Mouy (Again)
มือใหม่หัดเมาท์
*

ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 150

« ตอบ #611 เมื่อ: 04 ตุลาคม 2553, 16:18:30 »

555....ขอบคุณมากครับ...
แต่ป้อนยา...ไม่ต้องก้อได้...(เดี๋ยวอาการพี่ทรุด....555...)
      บันทึกการเข้า
telek78
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: RCU2538
กระทู้: 1,924

เว็บไซต์
« ตอบ #612 เมื่อ: 06 ตุลาคม 2553, 08:32:21 »

อ้างถึง
ข้อความของ ppornson เมื่อ 04 ตุลาคม 2553, 09:08:38
หายไวๆนะพี่ เค้าว่าต้องนอนให้หัวสูงกว่าช่วงตัว กินอาหารเย็นอย่าดึกมาก

ถ้าไม่มีคนดูแลเดี๋ยวไปป้อนยาให้นะพี่..จุ๊บๆๆ

นอนให้หัวสูงกว่าช่วงตัว
คนมีพุงก็แย่ละสิ
      บันทึกการเข้า
ppornson
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,724

« ตอบ #613 เมื่อ: 06 ตุลาคม 2553, 09:42:34 »

เค้าไม่ให้กรดมันย้อนขึ้นมาย่ะ..
      บันทึกการเข้า
telek78
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: RCU2538
กระทู้: 1,924

เว็บไซต์
« ตอบ #614 เมื่อ: 06 ตุลาคม 2553, 11:14:50 »

อ้างถึง
ข้อความของ ppornson เมื่อ 06 ตุลาคม 2553, 09:42:34
เค้าไม่ให้กรดมันย้อนขึ้นมาย่ะ..

จะแก้ปัญหากรดไหลย้อน
ให้ดื่มน้ำสบู่ต้มสุกลงไป เพื่อทำให้ในกระเพราะเรามีสถานะเป็นกลาง
หลังจากดื่มไปสักสามนาที ให้เอากระดาษลิตมัสแตะที่ลิ้น
ถ้ากระดาษเปลี่ยนจากน้ำเงินเป็นแดง หรือแดงเป็นน้ำเงิน
แสดงว่ายังไม่กลางจริง ให้เติมปูนขาว

(ล้อเล่นนะ ผู้ปกครองควรพิจารณา)
      บันทึกการเข้า
Apirat T.
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,357

« ตอบ #615 เมื่อ: 07 ตุลาคม 2553, 22:04:50 »

อ้างถึง
ข้อความของ Mouy (Again) เมื่อ 04 ตุลาคม 2553, 16:18:30
แต่ป้อนยา...ไม่ต้องก้อได้...(เดี๋ยวอาการพี่ทรุด....555...)

มันยังไม่รู้ตัวครับพี่
จัดมาอีกหนักๆ
      บันทึกการเข้า
telek78
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: RCU2538
กระทู้: 1,924

เว็บไซต์
« ตอบ #616 เมื่อ: 08 ตุลาคม 2553, 12:39:30 »

อ้างถึง
ข้อความของ Apirat T. เมื่อ 07 ตุลาคม 2553, 22:04:50
อ้างถึง
ข้อความของ Mouy (Again) เมื่อ 04 ตุลาคม 2553, 16:18:30
แต่ป้อนยา...ไม่ต้องก้อได้...(เดี๋ยวอาการพี่ทรุด....555...)

มันยังไม่รู้ตัวครับพี่
จัดมาอีกหนักๆ

อยากเห็นพี่หมวยด่าคนบ้าง
เคยได้ยินแรงสุดก็

"บ้านะ"
"อย่ามาทะเล้น"

อะไรแบบนี้เอง
      บันทึกการเข้า
Mouy (Again)
มือใหม่หัดเมาท์
*

ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 150

« ตอบ #617 เมื่อ: 10 ตุลาคม 2553, 12:17:24 »

555....ปล่อยๆๆ มันไปเถอะ...
      บันทึกการเข้า
ppornson
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,724

« ตอบ #618 เมื่อ: 11 ตุลาคม 2553, 14:25:58 »

 งง งง

ไม่รู้จริงๆอ่ะ ไม่ get..
      บันทึกการเข้า
telek78
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: RCU2538
กระทู้: 1,924

เว็บไซต์
« ตอบ #619 เมื่อ: 11 ตุลาคม 2553, 20:49:03 »

พี่หมวยที่น่ารักของน้องทั้งหลาย...
ไปงานแต่งงานหลิมหรือเปล่าครับ
      บันทึกการเข้า
Mr.EggMan
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,826

« ตอบ #620 เมื่อ: 12 ตุลาคม 2553, 20:18:25 »

 smoke

ผมวิเคราะห์แล้วครับ ว่าพี่หมวยมีโอกาส เป็นโรคกรดไหลย้อนได้ง่ายกว่าคนปกติ เนื่องจากขนาดลำตัวสั้น จากกระเพาะถึงหลอดอาหารประมาณหนึ่งฟุตเท่านั้น

อ่ะ ล้อ เล่น ขำขำคร้าบ หายไวไวนะครับ อย่าเครียดๆ ท่องไว้ๆ
      บันทึกการเข้า

jakkreepan@hotmail.com
Love is in the A...I...R......H
telek78
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: RCU2538
กระทู้: 1,924

เว็บไซต์
« ตอบ #621 เมื่อ: 13 ตุลาคม 2553, 11:47:20 »

ว่าไป รอพี่หมวยโตก่อนเถอะ
      บันทึกการเข้า
Apirat T.
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,357

« ตอบ #622 เมื่อ: 13 ตุลาคม 2553, 11:58:00 »

^
^
บ้า พี่หมวยเค้าก็โตแล้วนะ
แต่โตเฉพาะขาอ่ะ
 เหอๆๆ

พี่หมวย ผมขอโต๊ดดดดดดด
      บันทึกการเข้า
ชาร์ป
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,119

« ตอบ #623 เมื่อ: 13 ตุลาคม 2553, 12:16:41 »

ท่าทาางพี่หมวยจะหายหน้าหายตาไปอีกนาน
      บันทึกการเข้า
telek78
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: RCU2538
กระทู้: 1,924

เว็บไซต์
« ตอบ #624 เมื่อ: 13 ตุลาคม 2553, 12:35:59 »

อ้างถึง
ข้อความของ Apirat T. เมื่อ 13 ตุลาคม 2553, 11:58:00
^
^
บ้า พี่หมวยเค้าก็โตแล้วนะ
แต่โตเฉพาะขาอ่ะ
 เหอๆๆ

พี่หมวย ผมขอโต๊ดดดดดดด

เป็นชาวญี่ปุ่นชื่อ คาโต้
เวลาเราเรียก ต้องเรียกว่า คาโต้จัง
      บันทึกการเข้า
  หน้า: 1 ... 23 24 [25] 26 27 ... 29  ทั้งหมด   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

ทำไมหอพักนิสิตจุฬาจึงเป็นดินแดนมหัศจรรย์            " ไม่ได้เป็นแค่หอให้นอนพัก  แต่เป็นบ้านอบอุ่นรักให้อาศัย  ไม่เป็นแค่ที่ซุกหัวยามหลบภัย  แต่สร้างใจให้เข้มแข็งแกร่งการงาน"  <))))><