26 พฤศจิกายน 2567, 11:54:08
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 7 8 [9] 10 11 ... 29  ทั้งหมด   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: เรื่องดี--มาแบ่งปัน  (อ่าน 615167 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
iamfrommoon
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2535
คณะ: พาณิชยศาสตร์และการบัญชี
กระทู้: 8,396

เว็บไซต์
« ตอบ #200 เมื่อ: 06 พฤศจิกายน 2550, 13:26:53 »

Inside ชีวิต:อย่าด่วนตัดสินคนอื่น  โดย ศ.ดร.นพ.วิทยา นาควัชระ
 โดย ผู้จัดการรายสัปดาห์ 2 พฤศจิกายน 2550 14:49 น.
 
 
       เหตุการณ์วันนั้นแม้จะนานมาแล้ว แค่ก็ให้บทเรียนชีวิตแก่ผมมาก
       
        ลืมไม่ลง และทำให้ต้องระวังตัวในการจะตัดสินใครต่อใครมากขึ้น ผมจะเล่าให้ฟังดังนี้...
       
        มีคนรู้จักกันเอาช็อกโกแลตอย่างดีจากต่างประเทศมาฝาก 2 กล่อง ผมพิจารณาดูแล้วเห็นว่าไม่ควรกิน เพราะจะทำให้เกิดโรคอ้วน แต่จะเอาไปฝากลูกเพื่อน 2 คนที่เขายังไม่อ้วน
       
        เย็นวันหนึ่งเลิกงานแล้วจึงขับไปหาเขา
       
        ระหว่างทางรถติดมาก โดยเฉพาะตรงสี่แยกแห่งหนึ่งรถติดยาวและฝนก็ตกพรำๆ
       
        ผมเห็นเด็กขายพวงมาลัย 2 คนเดินขายพวงมาลัย เพื่อจะขายให้คนในรถที่ติดยาว แต่ก็ไม่มีคนสนใจจะซื้อเพราะฝนกำลังตกพรำๆ ด้วย
       
        ผมเห็นแล้วเกิดความสงสาร แต่ไม่ได้คิดอยากซื้อพวงมาลัยหรอก เพราะเคยคิดว่าการขายของบนถนนเป็นสิ่งที่ไม่ควรสนับสนุน เพราะผิดกฎหมาย แต่ก็เข้าใจและเห็นใจคนที่ยากจนที่เขาต้องการทำงานเพื่อเอาตัวรอด
       
        ด้วยความสงสารจึงทำให้ผมเปลี่ยนใจจากการที่จะเอาช็อกโกแลตไปฝากลูกเพื่อน กลับคิดว่าลูกเพื่อนก็เคยมีโอกาสได้กินช็อกโกแลตดีๆ มาแล้ว ถ้าเราเอามาให้เด็กขายพวงมาลัย 2 คนนี้แทนจะดีกว่า เพราะเขาคงไม่มีโอกาสได้กินช็อกโกแลตดีๆอย่างนั้นมาก่อน
       
        คิดแล้วก็บีบแตรรถเบาๆเรียกเด็กทั้ง 2 คนเข้ามา เขาจะได้ดีใจนึกว่าผมจะซื้อพวงมาลัย แต่ผมบอกเขาว่า ไม่ซื้อหรอก แต่ผมมีขนม2กล่องเป็นของดีไม่เสีย จะให้เขาคนละกล่อง ให้เขารับเอาไปกินได้
       
        เขามองหน้าผมอย่างงงๆและรับกล่องช็อกโกแลตไป ลืมขอบคุณด้วย
       
        ผมดีใจที่ได้ทำสิ่งดีๆ ที่ไม่ได้นึกมาก่อนสำเร็จแล้ว นึกในใจว่าเด็กลืมบอบคุณเพราะคงงงๆ ก็ไม่ถือสา จึงขับรถต่อไป แต่เนื่องจากรถติดมากขยับไปได้นิดก็หยุด ยังไม่ผ่านไฟแดงอยู่ดี
       
        ขณะที่รถหยุดอยู่นั้นผมเห็นเด็กทั้งสองวิ่งเข้ามาหาผมอีก พร้อมทั้งชูพวงมาลัยในมือทั้งสองคน
       
        ผมคิดว่า เอ! เด็กสองคนนี้อยากขายพวงมาลัยมากจัง ให้ขนมไปแล้วยังอยากให้ซื้อพวงมาลัยอีก ไม่น่าจะตื้อเรา แต่อีกใจก็สงสารอีกนั้นแหละ ไหนๆ ทำความดีแล้วช่วยซื้อพวงมาลัยเด็กอีกสักหน่อยคงไม่เป็นไร
       
        จึงแง้มกระจกรถยนต์ถามว่า จะขายพวงมาลัยอีกหรือ ขายอย่างไร
       
        เด็กตอบว่า เขาไม่อยากขายพวงมาลัยให้ผมหรอก แต่เขาจะเอาพวงมาลัยมาให้ผมคนละ 5 พวง เพราะผมให้ขนมเขา เขาก้อยากให้พวงมาลัยแก่ผม
       
        ผมรู้สึกอึ้ง คิดไม่ถึง ดีใจกึ่งแปลกใจ บอกเขาไปว่าอยากอุดหนุนเขา ให้เขารับเงินไปด้วย
       
        เขาบอกว่าไมรับเงินหรอก ที่ผมยังให้ขนมเขาได้ เขาก็อยากให้พวงมาลัยผมบ้างเป็นการตอบแทน
       
        ผมเข้าใจเขา รู้สึกผิดกับการตัดสินใจเกี่ยวกับเขาเร็วเกินไป นึกว่าเขาเห็นผมให้ขนมแล้วยังไม่พอยังอยากให้ซื้อพวงมาลัยอีก
       
       ตกลงผมยอมรับพวงมาลัยจากเขา โดยขอรับคนละพวงก็พอ
       
        เรายิ้มให้กันก่อนจากกันอย่างมีความสุขทั้งสองฝ่าย
       
        คืนนั้นผมกลับบ้าน เอาพวงมาลัย 2 พวงนั้นใส่พานกราบพระพุทธรูปที่บ้านด้วยความเบิกบานใจเป็นพิเศษ
       
        เรื่องนี้ทำให้คิดว่าความกตัญญูกตเวทีมีได้จริง เห็นได้ทันตาเห็นด้วย และอย่าด่วนตัดสินพฤติกรรมของใครๆ เร็วเกินไป
       
        ส่วนใหญ่มนุษย์จะตัดสินคนอื่นๆ เร็วไป เพราะดูจากพฤติกรรมภายนอก ซึ่งเป็นสิ่งไม่ควรและผิดพลาดได้ง่าย เช่น....
       
        อย่าตัดสินคนจน ว่าเขาต้องเป็นขโมยหรือขี้โกง
       
        อย่าตัดสินคนที่เรียนน้อยว่าเขาโง่
       
        อย่าตัดสินคนที่แต่งกายเชยๆ และบุคลิกไม่ดี ว่าเขาเป็นคนด้อยคุณภาพ
       
        อย่าตัดสินคนที่ไม่ทำงาน ว่าเขาเป็นคนขี้เกียจ
       
        อย่าตัดสินคนที่ไม่พูดกับเรา ว่าเขาเป็นคนหยิ่ง (เขาอาจหูหนวก ไม่ได้ยินเราพูดก็ได้)
       
        อย่าตัดสินคนที่พูดห้วนๆ กริยาห้าวๆ ว่าเป็นคนจิตใจกระด้าง ฯลฯ
       
        ส่วนใหญ่เรามักตัดสินคนจากพฤติกรรมภายนอกที่เราไม่ชอบ เลยด่วนตัดสินว่าเขาไม่ดีและเป็นคนผิด
       
        เราไม่มีสิทธิตัดสินใครๆ ว่าเขาไม่ดีและเป็นคนผิดหรอก เพราะเราไม่ใช่ผู้พิพากษา เราน่าจะนึกเพียงว่า เราไม่ชอบบุคลิกลักษณะบางอย่างของเขา...เท่านั้น
       
        และจากเหตุการณ์เด็กขายพวงมาลัยสองคนนี้ คงยิ่งจะทำให้ระมัดระวังในการตัดสินคนอื่น ให้มากขึ้น


*************************************************

อืม เนอะ...ฮี่ ฮี่...Cheesy
บันทึกการเข้า

@@ธรรมชาติสร้างความขัดแย้ง เพื่อให้คนเรียนรู้ซึ่งกันและกันได้ดียิ่งขึ้น@@@

นายป้อ
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,124

« ตอบ #201 เมื่อ: 06 พฤศจิกายน 2550, 20:31:33 »

:oops: รูปอะไรเอ่ย........ตอบมา..เดี๋ยวเฉลยให้........หุๆๆ

บันทึกการเข้า
Aj.O
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,241

« ตอบ #202 เมื่อ: 17 พฤศจิกายน 2550, 14:23:54 »

ปลาโลมางัย! :lol:
บันทึกการเข้า

...
ลูกพิ้ง
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,287

« ตอบ #203 เมื่อ: 17 พฤศจิกายน 2550, 16:32:05 »

อ้างจาก: "Aj.O"
บทความเบาๆ พอจะใช้เป็นยากล่อมประสาทแด่ตัวข้าพเจ้าเอง :?  :!:  :?:
(พอดีเห็นว่าน่าสนใจ เลยก็อปเค้ามาจากเวบนึง)
http://mikkaze.spaces.live.com/blog/cns!671D38CB05A971D2!242.entry

ความสุขชั่วเวียนธูป ความทุกข์ชั่ววูบเทียน

รู้สึกอย่างนึงเลยว่า คนที่คิดประโยคนี้นี่คิดได้ไงกันฟระ โดนใจโจ๋อย่างแรงครับพี่น้อง...
        ความสุขชั่วเวียนธูป......ความทุกข์ชั่ววูบเทียน
ชีวิตจริงๆ มันก็เป็นเหมือนคำพูดนี้เปี๊ยบเลย เวลามีความสุขทำไม๊..ทำไมมันช่างผ่านไปเร็วนักนะ แต่พอมีทุกข์ปุ๊บ ทุกสิ่งทุกอย่างจะถาโถมเข้ามาอย่างไม่หยุดยั้ง จนอาจตั้งตัวไม่ทัน แต่มันก็คือสัจธรรมของการดำเนินชีวิตอย่างแท้จริง
        เมื่อไหร่ที่มีความสุขเข้ามา จนจิตใจเบิกบานล่ะก็ จนบางทีจากที่นั่งๆอยู่อาจลอยจนหัวจะชนฝาเพดาน ....เคยเป็นกันมั้งมั้ย...(เราเคยรู้สึกแบบนี้มั่งป่าวหว่า) แต่พอทุกข์เท่านั้นแหละ เหมือนแผ่นดินจะแยก ฟ้าจะถล่ม ไม่ก็อยากรู้สึกว่าเมื่อไหร่อีโลกร้อนจะทำให้น้ำท่วมโลกซะทีนะ จะได้เลิกคิดให้ปวดสมอง....(เว่อร์ไปปะเนี่ย)
        แต่พอโตขึ้น ตอนนี้กลับขอเปลี่ยนความคิดซะใหม่ว่า เวลามีความสุขทีไร ต้องคอยระแวงกับตัวเองว่า ฮั่นแน่.....ต่างดาวจะมาบุกโลกแล้ว....ไม่ช่ายยยย มันต้องมีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นตามมาแน่นอน ทำจาย...ทำจาย...แล้วก็ยิ้มสู้เข้าไว้
          เพราะมันก็อยู่เพียงชั่วครั้งชั่วคราวซะจริงๆ แต่ก็อยากบอกว่า เวลานั้นช่างมีค่านัก จะเก็บ จะถ่ายรูปไว้ จะอัดคลิบวีซีดี (ไม่ใช่หนัง...นะ) เพื่อให้จดจำอยู่ในร่องสมอง มันก็ดีไม่น้อย เพราะว่าเวลาทุกข์เมื่อไรจะได้มีเรื่องดีๆที่อยู่ในความทรงจำที่พอระลึกได้บ้าง จะได้บรรเทาความเครียดหรืออมทุกข์ให้หายไปหน่อยก็ยังดี
       ถ้าอย่างนั้นลองคิดในมุมใหม่ดีมั้ยล่ะ เพียงแค่เลื่อนมาแค่ 1มม. เท่านั้น.....
       ไม่ว่าจะมีความสุข หรือมีความทุกข์ จงคิดไว้ว่านั่นไม่ใช่ความสุขและไม่ใช่ความทุกข์ แต่มันคือสถานการณ์ธรรมดาที่เกิดขึ้นปกติ ที่พิสูจน์จิตใจของเรามากกว่า ให้แข้มแข็งขึ้น ให้แกร่งขึ้น แล้วอาจได้มุมมองใหม่ที่ดีกับชีวิตก็ได้ ดังนั้นในทุกๆเรื่องที่เกิดขึ้นกับชีวิตคุณ ไม่ว่ามันจะทำให้คุณยิ้มได้อย่างไม่มีเหตุผล หรือร้องไห้จนน้ำตาเป็นสายเลือด แต่ในทุกๆสถานการณ์ ไม่มี 1+1 = 2 และในทุกๆสถานการณ์ ไม่ใช่สีขาวหรือสีดำ เพียงแต่ว่าสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นมันมีตั้งหลายสี มีตั้งหลายมุมมอง เพียงแต่คุณมองมันในมุมมองแบบไหน เพราะทุกอย่างล้วนให้ประโยชน์และแง่คิดที่ดีกับชีวิตเสมอ
           .....เชื่อผมมั้ยล่ะ เพียงแค่เลี่อนไป 1 มม. เท่านั้น.


 Cool เพิ่งมาได้อ่าน....พอได้อ่านแล้ว....ก็รู้สึกดีจัง....

สะดุดใจกับคำคำนี้..."ความสุขชั่วเวียนธูป ความทุกข์ชั่ววูบเทียน"....คนที่คิดประโยคนี้น่าจะใช่...

คุณทรงกลด  บางยี่ขัน-บก.หนังสือะเดย์นะค่ะ...คือเคยอ่านหนังสือที่เค้าเขียนไว้...

ชื่อ..สองเงาในเกาหลี...บันทึกการเดินทางท่องเที่ยวของชายหนุ่มกับหญิงสาวแปลกหน้า..

ที่ต่างคนไม่รู้จักกันมาก่อน...แต่ได้มีโอกาสไปเที่ยวด้วยกัน....แล้วก็มีอยู่ตอนนึงในหนังสือ

ใช้ชื่อว่า ความสุขชั่วเวียนธูป ความทุกข์ชั่ววูบเทียน  นี่ล่ะค่ะ....

ลองไปหามาอ่านกันดูนะค่ะ  ..แล้วคุณอยากจะเก็บกระเป๋า.....

ไปตามหาอีกเงาไปร่วมเดินทางด้วยกัน :oops:  :oops:  :oops: :wink:  
บันทึกการเข้า
Aj.O
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,241

« ตอบ #204 เมื่อ: 17 พฤศจิกายน 2550, 19:12:35 »

อ้างจาก: "ลูกพิ้ง"
Cool เพิ่งมาได้อ่าน....พอได้อ่านแล้ว....ก็รู้สึกดีจัง....

สะดุดใจกับคำคำนี้..."ความสุขชั่วเวียนธูป ความทุกข์ชั่ววูบเทียน"....คนที่คิดประโยคนี้น่าจะใช่...

คุณทรงกลด  บางยี่ขัน-บก.หนังสือะเดย์นะค่ะ...คือเคยอ่านหนังสือที่เค้าเขียนไว้...

 ทำไมชื่อเหมือนผมเลยฟร่ะ?  :?  :shock:
บันทึกการเข้า

...
Mr.EggMan
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,826

« ตอบ #205 เมื่อ: 18 พฤศจิกายน 2550, 03:05:20 »

โซเครติส กล่าวไว้ว่า
"จำไว้เถิด เรื่ิองของมนุษย์ ไม่มีอะไรที่แน่นอน
 ดังนั้นเลี่ยงความสุขอันไม่จำเป็น ยามรุ่งเรือง
   หรือความหดหู่หม่นหมองโดยไม่จำเป็น ในห้งของความยากลำบาก"

ซึ่งหมายถึง เวลาสุข อย่าสุขเกิน จนลืมคิดถึงความทุกข์ และ เวลาทุกข์ ก็อย่ามัวจมอยู่กับมัน โดยไม่รับรู้ถึงความสุข สุขหรือทุกข์ เป็นเพียงสภาวะ ที่จิตใจของมนุษย์ตอบรับกับสิ่งที่เข้ามาในชีวิต โดยใช้ตัวเองเป็นบรรทัดฐาน
บันทึกการเข้า

jakkreepan@hotmail.com
Love is in the A...I...R......H
Aj.O
Cmadong Member
Hero Cmadong Member
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,241

« ตอบ #206 เมื่อ: 18 พฤศจิกายน 2550, 22:00:51 »

อ้างจาก: "Mr.EggMan"
โซเครติส กล่าวไว้ว่า
"จำไว้เถิด เรื่ิองของมนุษย์ ไม่มีอะไรที่แน่นอน
 ดังนั้นเลี่ยงความสุขอันไม่จำเป็น ยามรุ่งเรือง
   หรือความหดหู่หม่นหมองโดยไม่จำเป็น ในห้งของความยากลำบาก"

ซึ่งหมายถึง เวลาสุข อย่าสุขเกิน จนลืมคิดถึงความทุกข์ และ เวลาทุกข์ ก็อย่ามัวจมอยู่กับมัน โดยไม่รับรู้ถึงความสุข สุขหรือทุกข์ เป็นเพียงสภาวะ ที่จิตใจของมนุษย์ตอบรับกับสิ่งที่เข้ามาในชีวิต โดยใช้ตัวเองเป็นบรรทัดฐาน


กรูก็เคยได้ยินคำกลอนนึงมันกล่าวไว้ว่า
ในความสุข มีทุกข์ที่แอบแฝง...ในความทุกข์มีแสงแห่งสุขซ่อน

แต่บางจังหวะของชีวิต ความทุกข์มันยาวนานไปหน่อย เลยจมติดจนลืมไปว่าสักวันมันก็ต้องพ้นไป
(ส่วนความสุขยาวนานหรือไม่นั้น ไม่ค่อยมีใครจำ เพราะเราทนอยู่กับมันได้เราเลยไม่ใส่ใจว่ามันจะยาวหรือสั้น) :?
บันทึกการเข้า

...
party
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,875

« ตอบ #207 เมื่อ: 06 ธันวาคม 2550, 08:14:40 »

เมื่อวานตามติดทีวีเลยอะ ตั้งแต่พระองค์เสด็จตอนเช้า และ เย็น เห็นแล้วน้ำตาไหลเลย ภาพที่พระองค์ทรงโบกพระหัตถ์ให้กับพสกนิกรที่มารอรับเสด็จ แล้วตอนกลางคืนพระองค์ยังทรงเปิดไฟในรถพระที่นั่งเพื่อให้พสกนิกรได้เห็นพระพักตร์ของทั้ง 2 พระองค์อีก

ขณะเสด็จก้อชื่นใจ เห็นพระองค์สามารถเสด็จพระราชดำเนินได้คล่องขึ้น อยากให้พระองค์เป็นแรงบันดาลใจที่สูงสุดของพสกนิกรไทยตราบนานเท่านาน

ไม่อยากให้พระองค์เหนื่อยมากไปกว่านี้อีกแล้ว อยากให้คนไทยรักมาก และ สามัคคีต่อกัน หยุดเห็นแก่ตัว เห็นแก่ประเทศและพ่อหลวงอันเป็นที่รักสูงสุดของไทยให้มากๆๆ พระองค์จะได้สบายพระราชหฤทัย

เริ่มทำจริงๆเสียทีเถอะ อย่าแค่ฟัง ให้เข้าใจในหลวงด้วย

รักในหลวงมากกกกกก ขอจงทรงพระเจริญ มีพลานามัยที่แข็งแรง เป็นพ่อหลวงของพสกนิกรไทยตราบนานเท่านาน

^____^
บันทึกการเข้า

http://happinessparty.multiply.com/
<embed src=\\\"http://images.multiply.com/multiply/horizontal-headshot-badge.swf\\\" type=\\\"application/x-shockwave-flash\\\" wmode=\\\"transparent\\\" FLASHVARS=\\\"user_id=happinessparty&enc=U2FsdGVkX1.XgxV7rEZX6q1u2Jyr2y9bKY8Amx,Hc,GTybsHCwE8.8sOCJWnoHQj
Apirat T.
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,357

« ตอบ #208 เมื่อ: 19 ธันวาคม 2550, 11:49:01 »

ไม่รู้มีคนเคยเอามา post ไว้แล้วหรือยัง
แต่อ่านแล้วชอบ
ถ้าซ้ำก้อขออภัย  :wink:

------------------------------------

The end of the day
วินทร์ เลียววาริณ

ผมมีประสบการณ์หาแพทย์ที่เพิ่งจบใหม่หลายครั้ง
พบว่าบางทีค่ารักษากับหมอใหม่แพงกว่าหมอที่มีประสบการณ์ยาวนาน

ทั้งที่ขัดกับหลักตรรกที่ว่า หมอที่ทำงานยาวนานน่าจะคิดค่ารักษาแพงกว่า

เหตุผลก็เพราะว่า
หมอจบใหม่บางคนเกิดอาการเกร็งอาจเกิดความกลัววูบขึ้นมาว่า
"จะเกิดอะไรขึ้นหากวินิจฉัยโรคพลาด?"

เมื่อเกร็งก็เกิดความไม่แน่ใจ
เพื่อความปลอดภัยต่ออาชีพของตน

ก็สั่งให้มีการทดสอบในห้องแล็บเพิ่มอีกหลายรายการ

ยกตัวอย่างเช่นเมื่อคนไข้ท้องเสีย ก็สั่งตรวจดูว่าเกิดจากเชื้อโรคชนิดใด
ทั้งที่คนไข้บอกว่าไม่ได้กินอาหารสกปรกอย่างแน่นอน

ผลตรวจที่ออกมาสรุปว่าท้องเสียไม่ได้เกิดจากเชื้อโรค
หากจากความเครียด
เมื่อรวมค่าตัวของหมอใหม่ (ซึ่งไม่สูงนัก) กับค่าตรวจในแล็บและอื่นๆ
รวมๆ แล้วก็มากกว่าที่คนไข้ควรจ่าย
เมื่อรักษากับหมอที่มีประสบการณ์กว่า

ครั้งหนึ่งผมเกิดอาการปวดหัวตึบๆ
หมอใหม่ก็จัดการส่งผมไปสแกนสมอง
ทั้งที่ผมรู้ว่าไม่เป็นอะไรมาก
"เพื่อความชัวร์" หมอว่า

เมื่อเห็นใบเสร็จ ผมก็เกิดอาการปวดหัวกว่าเดิม

เพื่อนสถาปนิก-ผู้รับเหมาคนหนึ่งบอกผมว่า
ในงานทุกชิ้นของเขา จะเจาะจงใช้แต่ช่างชั้นหนึ่งเท่านั้น
ไม่ใช้ 'มือใหม่หัดขับ ' เลย
ทั้งที่ค่าแรงช่างเก่าแพงกว่า 2-3 เท่า

"ทำไม?" ผมถาม
เขายกตัวอย่างงานปูน ช่างปูนที่เพิ่งทำงานไม่นานค่าแรงต่อวันถูกมาก
แต่เนื่องจากยังอ่อนประสบการณ์ จึงใช้ปูนซิเมนต์เปลืองมาก
ทุกครั้งที่ตักปูนมาก่อกำแพงหรือฉาบ ปูนมักหล่นเรี่ยราด
ส่วนที่ตักเกินมาก็ปาดทิ้ง กว่าจะจบงานหนึ่งชิ้น ต้องเสียปูน ไปเกินจำเป็น

ขณะที่ช่างที่เชี่ยวชาญใช้ปูนเท่าที่จำเป็นเพราะแม่นงานกว่า
เมื่อคิดรวมดูแล้ว ใช้ช่างเชี่ยวชาญถูกกว่าและได้งานที่ดีกว่า

ในช่วงชีวิตของเรา ต้องพบกับการตัดสินเลือกของสองอย่างที่เลือกยาก
ส่วนมากมักมีเรื่องเงินทองมาเกี่ยว

คนส่วนมากเมื่อเจอกับการตัดสินใจดังกล่าว
มักหนีไม่ค่อยพ้นสัจธรรมของ ' เสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย'

ยกตัวอย่างเช่นเมื่อไปสมัครงานสองบริษัทและได้งานทั้งสองแห่ง
แห่งหนึ่งให้เงินเดือนสูง แต่งานจำเจ
อีกแห่งหนึ่งเงินเดือนต่ำกว่ามาก แต่งานท้าทาย

หลายคนเลือกเงินเดือนสูงไว้ก่อน
เพราะมันทำให้รู้สึกว่ามีคนเห็นคุณค่าของเรามากพอที่ยอมจ่ายมากๆ

ในชีวิตของเรายังมีอีกหลายเรื่องที่เราต้องตัดสินใจเลือกไปทางซ้ายหรือทางขวา
และเป็นการเลือกที่ยากเอาการ

จะเรียนคณะวิชาที่ทำเงินหรือคณะวิชาที่ชอบ ?
จะเลือกงานที่ให้เงินเดือนมากหรือเงินเดือนน้อย?
จะเลือกผู้หญิงที่ความสวยหรือความเก่ง? ฯลฯ

ฝรั่งมีวลีหนึ่งที่ว่า at the end of the day หมายถึง การวัดผลในตอนจบวัน
เป็นการใช้ชีวิตโดยการมองภาพรวม

จะลงทุนมากหรือน้อย จะทำงานใหญ่หรือเล็ก
ไม่สำคัญเท่ากับว่า ในตอนจบวันคุณเหลือเงินในกระเป๋าสตางค์เท่าไร

แม่ค้าขายขนมครกที่ทำงานไปเรื่อยๆ ตลอดวัน
เมื่อหักค่าใช้จ่ายแล้ว อาจจะมีเงินในกระเป๋ามากกว่าเจ้าของร้านอาหารติดแอร์ฯ
ที่ถึงแม้รายได้ต่อวันจะสูงกว่ามาก แต่ค่าโสหุ้ยก็สูงเช่นกัน

บางทีเมื่อวัดกันที่ ' ในตอนจบวัน ' อาจทำให้เราตัดสินใจหลายๆ เรื่องได้ง่ายขึ้น
ในตอนจบวัน แฟนคุณช่วยคุณสร้างเงินหรือถลุงเงิน?
ในตอนจบวัน คุณเก่งกว่าเดิมหรือเปล่า?
ในตอนจบวัน คุณมีความสุขมากกว่าความทุกข์หรือไม่?
และในตอนจบวัน คุณรู้สึกว่าชีวิตในวันนั้นสูญเปล่าหรือไม่?

วินทร์ เลียววาริณ
บันทึกการเข้า
mmwindoo_79
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 254

« ตอบ #209 เมื่อ: 19 ธันวาคม 2550, 12:03:21 »

ไม่ซ้ำ ดีมากแครม
บันทึกการเข้า
ลูกพิ้ง
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,287

« ตอบ #210 เมื่อ: 19 ธันวาคม 2550, 13:18:51 »

Cheesy ขอบคุณมากนะจ้ะ..ตาแคม..ที่เอามาโพสต์ให้ได้อ่านกัน...

อ่านข้อเขียนของคุณวินทร์....ที่ตาแคมมาโพสต์แล้ว...

ได้คิดถึงอะไรหลายอย่างเกี่ยวกับตอนจบของวันแต่ละวัน...

ว่าแล้ว..ก็นึกถึงต่อไปถึงอีกไม่กี่วัน..ข้างหน้าที่จะเป็น..The end of year...

ก่อนวันขึ้นปีใหม่...หรือเมื่อขึ้นปีใหม่ในแต่ละปี...มีใครทบทวนถึง...

วันของปีที่ผ่านๆ มา กันบ้างไหมค่ะ..ว่ามีอะไรเกิดขึ้นในชีวิตบ้างไหม...

ปีที่ผ่านมา..เป็นอย่างไรในเรื่องของสุขภาพ...หน้าที่การงาน...ประสบการณ์แปลกๆ ใหม่ๆ

ความรัก...ความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง...ฯลฯ...

แล้วก้อตั้งเป้าหมายกับสิ่งใหม่ๆ ในปีใหม่ที่จะก้าวเข้ามาต่อไป :wink:
บันทึกการเข้า
Mouy (Again)
มือใหม่หัดเมาท์
*

ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 150

« ตอบ #211 เมื่อ: 29 ธันวาคม 2550, 12:50:09 »

หวัดดีปีใหม่จ้า... หายไปเสียนาน แต่ก็ไม่ได้ไปไหนไกล ยังคงวนๆ เวียนๆ แถวหอพักอยู่เลย... เพิ่งมีโอกาสได้เช็คเมล์ในช่วงปีใหม่ เจอเรื่องถูกใจ เลยคิดว่าเอามาแปะไว้ในบอร์ดท่าจะดี..เป็น forward mail จ๊ะ... หลายคนอาจเคยได้รับแล้ว แต่บางคนอาจยังไม่ได้นะ...ยกเครดิตให้แก่ผู้เล่าค่ะ.....

REAL LOVE

ใครที่ แฟนกะภรรยา/สามี ไม่เป็นเหมือนที่คุณคาด หวังลองมองมุมนี้บ้าง
สืบเนื่องจากหนึ่งในกระทู้ของสาวสวยรวยความสามารถที่เป็นกิ๊ก อยู่กับสามีชาวบ้าน
เกี่ยวกับการ มองต่างมุมที่สามีไปมีกิ๊กและแนะนำทางตรงและทางอ้อม
ให้ผู้หญิงปฎิวัติตัวเองให้สวยและ ดึงดูดใจสามี
จนกระทู้นี้ถูกโหวตติดอันดับไปแล้วนั้น
ผมในฐานะ ผู้ชายไทยคนหนึ่งที่รักภรรยามากๆ
อยากจะเล่าเรื่องตัวเองกับภรรยาให้ฟังบ้าง ครับ
ภรรยาผม ตั้งแต่คบมา 12 ปีนั้น ไม่เคย:
1 ทำงานบ้าน ใดๆเลย ไม่ชอบและไม่ทำ มีบ้างนานๆครั้ง นับครั้งได้

2 ไม่ทำอาหาร ให้ทานเลย

3 ไม่ชอบ เลี้ยงสัตว์ในบ้าน ผมรักหมามาก แต่เมียไม่ให้เลี้ยงก็ไม่เลี้ยง วุ้ย) เมียกะ หมานะ เลือก หมา เอ้ย เมียอยู่แล้ว

4 ไม่เคยพูด คำหวานหรือ ให้การด์ในวันสำคัญ ผมต่างหาก ชอบ surprise เค้าทุกครั้ง(มีบ้าง ที่เค้า ให้การด์คือ ผมทวง!)

5 รายได้ผม เดือนเป็นแสนๆ เค้าเก็บบริหารในบ้านหมด ผมได้ใช้อาทิตย์ละ 1500 ครับ น้อย กว่าเด็ก จบใหม่อีก

6 ขี้บ่น มากๆๆ บ่นทุกเรื่องที่บ่นได้

7 ไม่ชอบแต่ง ตัวไม่เคยแต่งหน้าไปทำงานในชีวิต

8 ไม่ค่อย เปิดมือถือ จนเพื่อนเค้ารำคาญกันไปหมดแล้ว

9 ไม่ชอบเดิน ห้าง ไม่ชอบของทันสมัย hitech ซึ่งตรงข้ามกับผม

แต่....ผมรักเธอมาก ยิ่งกว่าชีวิตผม ผมตายแทนเมียได้ทุกเมื่อ
เงินประกัน ชีวิตเป็นชื่อเธอคนเดียว ทุกข้อที่ยกตัวอย่าง
ส่วนใหญ่ผม รับได้แต่ต้น บางข้อผมอึดอัดในตอนต้นแต่คุยกันแล้ว
ผมรับได้ครับ และตามใจเธอทุกอย่าง อะไรที่ทำแล้ว แฟนผมมีความสุข
ผมทำให้ได้ ทุกอย่าง ท ุกวันนี้ ชินและมีความสุขมากๆๆ
ถ้าภรรยาผมไป ปรับปรุงตัวเองให้เด่นหรือแปลกไป ผมรับไม่ได้ครับ
เพื่อนมีล้อว่ากลัวเมีย บ้าง
ผมเฉยครับและบอกว่า ผมมีความสุขมากๆอยู่แล้ว
ไม่แคร์ใครครับระวังเพื่อน กับเมีย
ผมเลือกเมียครับ เวลาคุณแก่ เวลาคุณป่วย
เวลาคุณจะตาย คุณจะกุมมือ เพื่อนแล้วร้องไห้หรือป่าวครับ ?
ลูกเมียต่างหาก คือ คนที่จะแบ่ง ปัน ทั้งสุขและทุกข์กับเรา
ผมโชคดีที่มี เพื่อนดีๆที่ไม่ยุ่งเรื่องส่วนตัวผมเยอะมากๆ
ชีวิตผมผมเลือกเอง ครับ
ผมรักของผมแบบนี้สิ่งที่จะบอก ทุกคนคือ

1 คุณเลือก แฟนของคุณแบบนี้เอง ถ้าเค้าไม่ถูกใจจะไปบ่นทำไม

2 No one is perfect. คุณก็ไม่ perfect ผมก็ไม่ perfect แต่ถ้าคนสองคน รักกันมากๆ เราจะ มองแต่ข้อดีของกันและกันครับ Positive thinking กับชีวิต ครับ แล้ว ชีวิตจะมีความสุข

3 อย่าไป เปรียบเทียบชิวิตคู่เรากับคนอื่น เทียบสูงไม่เท่าเทียบต่ำยังเหลือเรายังโชคดี กว่าคนหลาย ล้านในโลกที่มีโอกาส รัก และ ถูกรักหลายคนไม่มี โอกาสแม้แต่จะเดิน พูด หรือ ทานข้าวเอง

ผมและครอบ ครัวเพิ่งไปบริจาคเงินและเลี้ยงเด็กพิกา รปากเกร็ดมา
ชีวิตหลาย ร้อยชีวิตในที่แห่งนั้น
ลำบากกว่าเราเป็นร้อยเป็นพันเท่า
และใครบางคน มัวแต่วิจารณ์สิ่งที่ไม่ดีของคนข้างตัวที่
เราเป็นคนเลือกเอง นิ้วหนึ่ง นิ้วที่ชี้ต่อว่า แฟนคุณนั้นอีกสี่นิ้วชี้หาตัวคุณเองนะครับ

ถ้าคุณเบื่อ แฟนคุณเรื่องนั้นเรื่องนี้
แล้วไปมีคนใหม่ เดี๋ยวคุณก็หาเรื่อง ติ หาเรื่อง ว่า แฟนคนใหม่คุณได้อีก
คุณไม่รักและ ภูมิใจในแฟนคุณ
แล้ว ใครจะรักครับ และผมไม่อยากให้ผู้หญิงเอาเรื่องผมไปให้แฟนคุณอ่านเพื่อให้ทำตาม
คนไม่ใช่หุ่นยนต์ครับ
กรุณาเคารพ ตัวตนปัจเจกชนของผู้ชายแต่ละคนที่ไม่เหมือนกันด้วย
เพราะผู้หญิงหลายคนหรือคุณเองก็ทำสิ่งดีๆที่แฟนผมทำมากมายให้ผม ไม่ได้
ภรรยาของผมมี ข้อดีเป็นล้านๆๆข้อ
มากกว่าข้อเสียเก้าข้อข้างต้น

เช่น

เป็นเด็ก เรียน

ไม่เคยเที่ยวกลางคืนในชีวิต

ไม่ดื่มเหล้า เบียร์และเล่นอบายมุขใดๆ

และเป็นคนใจบุญมากๆ

ท่องชินบัญชร ได้คล่อง

ตอนแต่งงาน ท่องบทสวดได้หมด ผมไม่ได้เลย!
อายสุดๆๆ
สุดท้ายผ มก็ พัฒนาเรื่องทางธรรมไปให้ใกล้เธอมากที่สุด
พยายามครับ ,

ภรรยาผมให้นม ลูกเองมาสองปีกว่า
เหนื่อยมากๆ แต่ เธอไม่บ่นสักคำ
ผมซึ้งมากครับ

มีกี่คนใน ประเทศที่เป็นแบบนี้

ผมภูมิใจของผมเองนะ ไม่ได้โอ้อวด ,

ผมจะถอย รถ Accord
ป้ายแดงให้ภรรยา
เธอยืนยันขอขับรถเล็กคันเก่าสองแสนโลแล้วไปเรื่อยๆ
รถซื้อมาราคาลดสมชื่อ เก็บเงินให้ลูกดีกว่าเธอว่างั้นครับ
เรื่องอื่นๆ ฟุ่มเฟือยไม่ต้องพูดถึง
เธอใช้มือถือรุ่นเก่าสุดครับ
ยิ่งไปกว่า นั้น ผมเป็นแฟนคนแรกในชีวิตเธอครับ
เดี๋ยวนี้ อย่าถามวัยรุ่นสมัยนี้เลยครับเรื่องนี้
อายุสามสิบ ต้นๆ
เราปลดหนี้บ้าน 150 ตารางวาแถวรามคำแหง
ราคาตลาดตอนนี้ 8-10 ล้านในเวลา เพียง
6 ปี เรามีรถหลายคัน
มีเงินเก็บ เป็นล้าน
ไปเที่ยวเมืองนอกทุกปี
ด้วยการบริหารเงินในบ้านของเธอ
เราคิดว่า ก่อนสี่สิบเราสามารถเกษียณตัวเองได้ ถ้าเราอยากทำ
ทั้งที่เรา สองคนเริ่มต้นจากศูนย์ทั้งคู่
โหนรถเมล์มาด้วยกัน
ทุกอย่างมา จากสองมือเรา
ไม่มีจากที่บ้านเลยเพราะที่บ้านเราทั้งสองรับราชการทั้ง คู่

ผมอยาก สรุป สั้นๆว่า
ถ้าเรามัวหลง ละเลิงกับกิเลสรอบข้างไม่ว่าจะเป็นกิ๊กใหม่ที่ดู
สาวกว่าแฟนเราดูหนุ่มดูดี กว่าแฟนเรา
ปรับตัวเราไปให้ดึงดูดเค้าเราจะไม่มี วันพอใจกับคู่และชีวิตเลยครับ
คุณจะเหนื่อย ตลอดชีวิตและไม่มีวันพบรักแท้
ลองนึกเล่นๆ ว่า
ถ้าสมัยรุ่นคุณพ่อคุณแม่เราสมัยนั้นเป็นแบบรุ่นเราบางคน
สังคมไทยคง วิบัติสุดๆครับ
เราคงไม่อยากให้รุ่นลูกรุ่นหลานของ เรานำด้านไม่ดีของรุ่นเราไปปรับใช้นะครับ
เหรียญมีสอง ด้านครับ อยู่ที่มองด้านไหน
คุณอาจจะปรับตัวเองเพื่อหลอกบางคนบางเวลาได้
แต่คุณหลอกทุกคน ทุกเวลาไม่ได้
เป็นตัวของตัวเองดีที่สุดครับ
เค้าจะรักที่ ตัวคุณ ไม่ใช่เสื้อผ้า เครื่องประดับหรือเงินคุณ
จงพอใจกับคู่ ของคุณเพราะ " คุณเป็นคนเลือกเองครับ"

สุดท้ายสุขสันต์วันปีใหม่...มีความสุขกันทั่วหน้านะจ๊ะ...
บันทึกการเข้า
ppornson
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,724

« ตอบ #212 เมื่อ: 29 ธันวาคม 2550, 15:34:43 »

ยังไงผมก็รับเจ๊หมวยได้ทุกเรื่องนะครับ...จุ๊บ จุ๊บ
บันทึกการเข้า
yungying
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,987

« ตอบ #213 เมื่อ: 04 มกราคม 2551, 16:18:20 »

บทความดีๆทั้งนั้นเลยค่ะ..ถูกใจๆ
บันทึกการเข้า

ttp://dekhorcu.multiply.com/
too
ตู้ rcu85
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: วิศวกรรมศาสตร์
กระทู้: 1,281

เว็บไซต์
« ตอบ #214 เมื่อ: 07 มกราคม 2551, 00:20:34 »

เพิ่งอ่านบทความนี้ เห็นว่าดี เลยนำมาแบ่งปันกันครับ

-----------------------------------------------------------
จากหนังสือชื่อ “ชวนม่วนชื่น”
อาจารย์พรหมหรือพระวิสิทธิสังวรเถร
(ท่านเป็นพระฝรั่ง เป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่ชา สุภัทโท แห่งวัดหนองป่าพง)

ก้อนอิฐที่ไม่เข้าที่เข้าทางสองก้อน

หลัง จากการซื้อที่ดินเพื่อสร้างวัดเมื่อ พ.ศ. 2526 นั้น เราก็หมดตัวและเป็นหนี้โดยที่ยังไม่มีสิ่งปลูกสร้างใดๆ แม้แต่เพิงที่อาศัยได้บนที่ดินผืนนั้น ในช่วง2-3อาทิตย์แรก เราต้องอาศัยนอนอยู่บนบานประตูเก่าๆ ที่ซื้อมาถูกๆ จากคนขายของเก่า เราหนุนบานประตูเก่าๆนั้นให้สูงขึ้นจากพื้นดินด้วยก้อนอิฐ (เราไม่มีแม้แต่เบาะนอน นั่นก็เป็นของแน่นอนอยู่แล้วเพราะว่าเราเป็นพระป่านี่)ท่านเจ้าอาวาสได้บาน ประตูที่ดีที่สุด เป็นบานประตูเรียบๆ ส่วนบานประตูของอาตมาเป็นชนิดที่มีบัว แถมยังมีรูขนาดใหญ่พอควรอยู่ตรงกลางตรงบริเวณที่เคยเป็นลูกบิด โชคดีนะที่เขาถอดลูกบิดออกไปแล้ว แต่เจ้ารูนี่ก็ยังคงอยู่เกือบจะกลางเตียงประตูของอาตมาทีเดียว อาตมาเคยพูดตลกๆว่า อาตมาไม่ต้องลุกจากเตียงไปเข้าห้องน้ำหรอกนะ! ความจริงที่แสนหนาวก็คือว่า ลมสามารถพัดกรูผ่านเจ้ารูนี่มาถึงตัวอาตมา ทำให้อาตมาไม่ค่อยได้หลับได้นอนในช่วงค่ำคืนเหล่านั้น

พวก เราเป็นพระจนๆ ที่ต้องการอาคารที่พักอาศัย แต่ไม่มีกำลังทรัพย์พอที่จะจ้างช่างก่อสร้างได้ แค่ค่าวัสดุต่างๆก็แพงเกินพอแล้ว อาตมาจึงต้องเรียนรู้ว่าเขาทำงานก่อสร้างกันอย่างไร เตรียมฐานรากอย่างไร ตลอดจนถึงการผสมคอนกรีต การก่ออิฐ การตั้งหลังคา งานประปา และทุกๆอย่าง ก่อนจะบวชอาตมาเคยเป็นนักฟิสิกส์ทฤษฏี และเป็นครูโรงเรียนมัธยมผู้ไม่เคยคุ้นกับการใช้แรงงานด้วยมือทั้งสองนี้ เพียงไม่กี่ปีอาตมากลายเป็นช่างก่อสร้างที่มีฝีมือไม่เบา ขนาดที่จะสามารถเรียกคณะทำงานของอาตมาได้ว่า บริษัทพุทธก่อสร้าง (BBC – Buddhist Building Company) แต่ขณะที่เริ่มต้นนั้นมันช่างเป็นเรื่องยากเย็นแสนเข็ญเอามากๆ

การ ก่ออิฐอาจจะดูเป็นเรื่องง่ายๆ เพียงแค่โปะปูนลงไปแล้ววางก้อนอิฐ แตะด้านนี้ทีด้านนั้นทีให้เข้าที่ ตอนอาตมาเริ่มก่ออิฐใหม่ อาตมาแตะกดมุมหนึ่งลงเพื่อให้ได้ระดับ อีกมุมหนึ่งกลับยกขึ้น พออาตมากดด้านที่ยกขึ้นนั้นให้ลงมา อิฐก็เริ่มแตกแถวแตกแนว หลังจากที่อาตมาดันมันกลับเข้าที่ มุมแรกก็เริ่มสูงเกินไปอีกแล้ว โยมลองทำดูซิ!

เพราะ อาตมาเป็นพระ อาตมาจึงมีความอดทนและมีเวลาที่จะทำงานได้โดยไม่จำกัด อาตมาจึงทำงานอย่างประณีตที่สุด โดยไม่สนใจว่าจะต้องใช้เวลายาวนานเท่าใด เพื่อให้มั่นใจได้ว่าอิฐทุกๆก้อนจะถูกวางไว้อย่างสมบูรณ์แบบที่สุด ในที่สุดการก่อกำแพงอิฐแผงแรกของอาตมาก็สำเร็จลง อาตมาก้าวถอยออกมายืนชื่นชมผลงาน ในชั่วขณะนั้นแหละที่อาตมาสังเกตเห็น…โอ้ย!….อาตมาก่ออิฐพลาดไปสองก้อน อิฐก้อนอื่นๆเป็นแถวเป็นแนวสวยงาม มีแต่เจ้าอิฐสองก้อนนี่แหละที่เอียงๆ ทำมุมกับแนวอิฐก้อนอื่นๆมันดูแย่มากๆเลย มันทำให้กำแพงทั้งแผงดูไม่ดีเลย

ขณะ นั้นปูนก่ออิฐก็แข็งเกินกว่าที่จะสามารถดึงอิฐออกมาก่อใหม่เสียแล้ว อาตมาจึงกราบเรียนท่านเจ้าอาวาส ขอทุบกำแพงเพื่อเริ่มต้นก่ออิฐใหม่อีกครั้ง หรือถ้าจะให้ดีก็อยากจะระเบิดมันทิ้งไปเลย อาตมาก่ออิฐไม่ดี และอาตมาก็รู้สึกอับอาย ท่านเจ้าอาวาสไม่อนุญาตให้รื้อ กำแพงนี่จะต้องคงอยู่

(มีต่อครับ)
บันทึกการเข้า
too
ตู้ rcu85
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: วิศวกรรมศาสตร์
กระทู้: 1,281

เว็บไซต์
« ตอบ #215 เมื่อ: 07 มกราคม 2551, 00:24:01 »

(ต่อ)

เวลา อาตมาพาแขกเยี่ยมชมวัดที่เริ่มตั้งใหม่ของเรา อาตมาพยายามหลีกเลี่ยงที่จะพาแขกเดินไปทางกำแพงนั้น อาตมาไม่อยากให้ใครๆเห็นมันเลย จนกระทั่งวันหนึ่งเมื่อเวลาผ่านไปได้3-4เดือน ขณะที่อาตมากำลังเดินอยู่กับผู้มาเยี่ยมวัดคนหนึ่ง เขาสังเกตเห็นกำแพงนั้น แล้วก็เปรยขึ้นมาว่า “กำแพงนี้สวยดี”

อาตมา ถามเขาด้วยความประหลาดใจว่า “คุณลืมแว่นสายตาของคุณไว้ในรถรึเปล่า? สายตาคุณเสื่อมรึเปล่า? คุณไม่เห็นรึว่ามีอิฐถึงสองก้อนที่วางไม่ดีจนทำให้กำแพงนี้เสียหายหมด?

คำ พูดที่เขาตอบอาตมานั้นได้เปลี่ยนแปลงทัศนคติทั้งหมดของอาตมาต่อกำแพงนั้น ต่อตัวอาตมาเอง และต่อหลายๆแง่มุมของชีวิต เขาบอกอาตมาว่า “ใช่ ผมเห็นอิฐที่วางไม่ดีสองก้อนนั้นแต่ผมก็ได้เห็นด้วยว่ามีอิฐอีก 998 ก้อน ก่อไว้อย่างสวยงามเป็นระเบียบ”

อาตมา ถึงกับอึ้งทีเดียว นับเป็นครั้งแรกในรอบสามเดือนที่อาตมาสามารถมองเห็นอิฐก้อนอื่นๆ บนกำแพงนั้นนอกเหนือจากเจ้าสองก้อนที่เป็นปัญหา ไม่ว่าจะเป็นอิฐที่อยู่ด้านบน ด้านล่าง ด้านซ้าย และด้านขวาของเจ้าอิฐสองก้อนนั้น ล้วนแต่เป็นอิฐที่ก่อไว้อย่างดีไม่มีที่ติ ยิ่งไปกว่านั้นจำนวนอิฐที่ดีนี้มีมากกว่าเจ้าอิฐไม่ดีสองก้อนนั้นมากมายนัก ก่อนหน้านี้ตาของอาตมาจับจ้องเฉพาะแต่ที่อิฐสองก้อนนั้น ตาของอาตมามืดบอดต่อสิ่งอื่นๆทั้งหมด อาตมาจึงไม่อาจทนมองกำแพงนั้นได้และไม่ต้องการให้ผู้อื่นได้เห็นกำแพงนั้น ด้วย เป็นเหตุให้อาตมาอยากจะทลายกำแพงนั้นทิ้ง เดี๋ยวนี้เมื่ออาตมาสามารถเห็นอิฐดีๆแล้ว กำแพงนั้นก็ไม่น่าเกลียดอีกต่อไป มันก็เป็นเหมือนกับที่ผู้มาเยี่ยมคนนั้นพูด “กำแพงนี่สวยดี” เดี๋ยวนี้กำแพงก็ยังคงอยู่ แม้เวลาจะผ่านไป 20 ปีแล้ว อาตมาเองก็ลืมเสียแล้วว่าเจ้าอิฐไม่ดีสองก้อนนั้นมันอยู่ตรงไหนแน่ อาตมาไม่สามารถเห็นจุดผิดพลาดนั้นจริงๆ

มนุษย์ เราสักกี่คนที่ตัดสัมพันธ์หรือหย่าร้างเพียงเพราะเพ่งมองเห็นแต่ “อิฐไม่ดีสองก้อน” ที่อยู่ในตัวคู่ชีวิตของเขา พวกเรากี่คนที่เคยรู้สึกท้อแท้สิ้นหวังจนอาจจะเคยคิดฆ่าตัวตายเพียงเพราะเรา มองเห็นแต่ “อิฐไม่ดีสองก้อน” ในตัวของเรา ทั้งๆที่ในความเป็นจริงมี “อิฐที่ดีและอิฐที่ดีจนไม่มีที่ติ” มากมายอยู่เคียงข้างส่วนที่บกพร่อง ไม่ว่าจะมองไปทางข้างบน ข้างล่าง ข้างซ้าย ข้างขวา เพียงแต่เรามองมันไม่เห็นเท่านั้น แทนที่จะเห็นสิ่งดีๆที่มีอยู่ สายตาของเรากลับเพ่งมองจดจ่อเฉพาะสิ่งที่ผิดพลาด ทั้งหมดที่เราเห็นมีแต่สิ่งผิดพลาด จนเราคิดอยากจะทำลายมันทิ้งเสีย มันน่าเศร้าจริงๆ ที่หลายครั้งหลายหนเราได้ลงมือทลาย “กำแพงที่ดี” นั้นไปจริงๆ

เรา ทุกคนย่อมมี “ก้อนอิฐที่ไม่เข้าที่เข้าทางสองก้อน” แต่แต่ละคนก็ย่อมมี “ก้อนอิฐที่ดีจนไม่มีที่ติ” จำนวนมากมายกว่าข้อบกพร่องหลายเท่า เมื่อเรามองเห็นมันแล้ว สิ่งต่างๆก็ดูจะไม่ร้ายนัก ไม่เพียงแต่เรามองเห็นมันแล้ว สิ่งต่างๆก็ดูจะไม่เลวร้ายนัก ไม่เพียงแต่เราจะสามารถอยู่กับตนเองและข้อผิดพลาดบางประการของเราได้อย่าง สุขสงบแล้ว เรายังสามารถมีความสุขกับการใช้ชีวิตร่วมกับสามีหรือภรรยาของเราด้วย นับเป็นข่าวร้ายสำหรับทนายความผู้เชี่ยวชาญเรื่องการหย่าร้าง แต่เป็นข่าวดีสำหรับโยม

อาตมา ได้เล่าเรื่องสั้นๆนี้หลายครั้ง ช่างก่อสร้างคนหนึ่งที่ได้ฟังเรื่องนี้ได้มาพบอาตมาเพื่อบอกความลับเกี่ยว กับงานก่อสร้างเขาบอกว่า “ช่างก่อสร้างอย่างเราๆนี้มักจะทำสิ่งผิดพลาดได้เสมอ เพียงแต่เราจะบอกลูกค้าว่ามันเป็นเอกลักษณ์พิเศษที่ไม่มีบ้านใดในละแวกนั้น มีเหมือน แถมเรายังเบิกค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นสองสามพันเหรียญอีกด้วย”

ฉะนั้น มันเป็นไปได้ที่เอกลักษณ์พิเศษจะมีจุดเริ่มต้นมาจากความผิดพลาด ในทำนองเดียวกัน ถ้าเพียงแต่โยมจะเลิกมองจดจ้องอยู่เฉพาะแต่ข้อผิดพลาด สิ่งที่โยมเห็นว่าเป็นข้อบกพร่องในตัวโยม ในตัวสามีหรือภรรยาของโยม และในชีวิตทั่วๆไปอาจจะกลับกลายเป็น “ลักษณะพิเศษเฉพาะตัว” ที่จะเพิ่มคุณค่าให้แก่ชีวิตของโยมนะ

------------------------------------------------------------------
ช่วงนี้รู้สึกเครียดกับปัญหาหลายอย่าง พอมาอ่านเรื่องนี้ เลยทำให้รู้ว่าเรามัวแต่มองด้านแย่ๆ จนลืมมองด้านดีที่อยู่รอบตัวเราครับ
บันทึกการเข้า
ชาร์ป
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,119

« ตอบ #216 เมื่อ: 07 มกราคม 2551, 15:25:05 »

http://www.thaivi.com/webboard/viewtopic.php?t=30745

 Shocked
บันทึกการเข้า
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #217 เมื่อ: 07 มกราคม 2551, 15:36:40 »

อ้างจาก: "ppornson"
ยังไงผมก็รับเจ๊หมวยได้ทุกเรื่องนะครับ...จุ๊บ จุ๊บ

Nong Pornson,
psst..shhhuuu...is he a man or a women??
p.nn
บันทึกการเข้า


khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #218 เมื่อ: 07 มกราคม 2551, 15:44:50 »

Nong Mouy(again),
your experience wondered me and touched me so bad!!I would nearly think you have a "golden marry" behind you already!! why?? because what you can describe your couple life is the truth of life...a normal,simple couple life...one should know who/what the best for each...can not compare,can not copy..and the best of the best..I heard it personally from my mother in law,who gets married for 55 years!! she told me a sentence I never forget...simple and easy to learn from...she said"concentrate to your life,your partner,your family"yes,I am close enough to see that even her couple runs also not sweet everyday!! and I can devide also between the healthy couple and a wrong/sick couple life...but that was not mine!! I should better concentrate to mine...is it true??
thank you for sharing experience with us here...
Nice!
p.nn
บันทึกการเข้า


Max
Hero Cmadong Member
***

ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,435

« ตอบ #219 เมื่อ: 07 มกราคม 2551, 16:10:04 »

เทคนิคการดื่ม จอห์นนี่ วอล์กเกอร์ ชั้นเทพ

ดื่มอย่างไรไม่ให้เสียของพร้อมสัมผัสกับรสชาติที่แอบซ่อน ( ลอกเค้ามา )
รู้จักคำว่า ' เสียของ ' กันบ้างมั้ย ? คนไทยเราน่ะ ชอบทำให้เสียของอยู่เรื่อย
โดยเฉพาะนิสัย ' การดื่มแบบผสมมิกเซอร์ ' ทั้งหลาย
นั่นแหละคือการทำให้วิสกี้ชั้นดีที่บางทีไม่ควรผสมใดๆ ต้อง ' เสียของ '
วันนี้จะหยิบเอาเรื่องวิสกี้ตระกูล จอห์นนี่ วอล์กเกอร์ มาพูดกันซะหน่อย
เพราะว่าตระกูลนี้มีหลาย ' เลเบิ้ล ' เหลือเกิน ซึ่งมีวิธีการดื่มเฉพาะซะด้วย
เริ่มจาก ' เรด เลเบิ้ล ' (Red Label) กันก่อนเลยดีกว่า
จอห์นนี่ วอล์กเกอร์ เรด เลเบิ้ล น่าจะดูถูกใจคนไทยที่สุด
เพราะน้องเล็กสุดขวดนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อการดื่มตลอดค่ำคืน
พูดง่ายๆ ก็คือกินได้นานๆ สนุกสนานกันทั้งคืนนั่นแหละ
แถมวิธีการกินที่ถูกต้องนั้น ก็ต้องผสมกับ ' มิกเซอร์ ' ทั้งหลาย
อันเป็นวิธีการดื่มที่นิยมในหมู่คนไทยอยู่แล้วซะอีก
ตอนนี้ จอห์นนี่ วอล์กเกอร์ เรด เลเบิ้ล ก็เลยขายดีที่สุดไปโดยปริยาย
ง่ายๆ จะใส่น้ำแข็ง ผสมโคล่า ชามะนาว หรือโซดาก็ได้ทั้งนั้น
สุดแล้วแต่ว่าจะชอบรสชาติแบบไหนหลังผสมมิกเซอร์แล้วเท่านั้นเอง
แต่นักดื่มมืออาชีพมักนิยมผสมน้ำก่อนแล้วจึงผสมโซดาตามลงไป
ในอัตราส่วน2:1หรือที่เรียกกันว่า ' โซดาลอย ' นั่นเอง...
ผสมเสร็จก็ เอ็นจอย ดริ๊งกิ้ง กันได้ทั้งคืน ( แต่อย่าขับรถหลังดื่มนะ )

โตขึ้นมาหน่อย กับความเคร่งขรึมแบบ จอห์นนี่ วอล์กเกอร์ แบล็ค เลเบิ้ล
วิสกี้ชั้นดีจากการหมักบ่มเพื่อให้ได้รสชาติที่คลาสสิกที่สุดนานถึง 12 ปี
วิธีการดื่มที่ถูกต้องนั้นก็คลาสสิกไม่แพ้รสชาติของตัววิสกี้
ง่ายๆ เท่ๆ ดูดีด้วยสไตล์ที่เรียกกันว่า ' ออน เดอะ ร็อก ' นั่นเอง
หรือถ้าอยากย๊ากอยากจะผสมมิกเซอร์เหลือเกิน
ก็ต้องใส่น้ำแข็งเข้าไปเยอะๆ วิสกี้ ครึ่งแก้ว และโซดาอีกครึ่งแก้ว
แค่นี้แหละ ก็จะได้สัมผัสรสชาติที่แท้จริงของ จอห์นนี่ วอล์กเกอร์ แบล็ค เลเบิ้ล
มาถึงวิสกี้ตระกูล จอห์นนี่ วอล์กเกอร์ ที่ไม่ค่อยจะเห็นบ่อยนักบ้างดีกว่า
เริ่มจาก จอห์นนี่ วอล์กเกอร์ โกลด์ เลเบิ้ล อายุ 18 ปีกันก่อน
แค่นำ จอห์นนี่ วอล์กเกอร์ โกลด์ เลเบิ้ล ไปใส่ในช่องแช่แข็งสัก 24 ชั่วโมง
ถ้าที่ในช่องแช่แข็งยังเหลือก็นำแก้วทรงสูงเปล่าๆ แช่ไว้ด้วย
พอได้เวลา ก้รินใส่แก้วที่แช่ไว้ข้างกันๆ นั่นแหละ แล้วดื่มเข้าไปเลย
ทันทีที่วิสกี้เย็นจัดปะทะกับความอุ่นในปาก กลิ่นหอมหวนนุ่มลิ้นจะอบอวล
แหม...ยิ่งถ้ามีช็อกโกแล็ตดีๆ ไว้กินเข้าคู่ล่ะก็ จะเป็นความสุขที่ลืมไม่ลงเลย เชียว
ส่วน จอห์นนี่ วอล์กเกอร์ กรีน เลเบิ้ล ที่มีจำหน่ายแบบจำกัดประเทศนั้น
หาน้ำแข็งก้อนใหญ่ๆ สักก้อน ใส่ในแก้วปากกว้างเพียงแค่ก้อนเดียว
ไม่ต้องกลัวว่าน้ำแข็งก้อนนั้นจะเหงา เพราะเราจะเฝ้ามองอย่าทะนุถนอม
จากนั้นริน จอห์นนี่ วอล์กเกอร์ กรีน เลเบิ้ล ลงไปไม่ต้องท่วมน้ำแข็ง
แกว่งแก้วเล็กน้อย ให้อุณหภูมิของวิสกี้ชะอุณหภูมิของน้ำแข็งก้อนโต
ดมกลิ่นวิสกี้ที่ระเหยขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนลิ้มรสวิสกี้ที่อุณหภูมิพอเหมาะพอดี
งานนี้จะได้ รสชาติ กลิ่น และแสงที่วิสกี้ตกกระทบกับก้อนน้ำแข็งชวนมอง
ปิดท้ายกันที่วิสกี้ชั้นสูง จอห์นนี่ วอล์กเกอร์ บลู เลเบิ้ล อายุ 25 ปี
ที่หมักบ่มจากมอลต์คุณภาพสูง ตามวิธีการคลาสสิกแบบศตวรรษที่ 19
วิธีการดื่มวิสกี้ชั้นสูงนี้ก็คลาสสิกมาก เตรียมแก้วบรั่นดีสวยๆ ไว้สัก 2 ใบ
แก้วนึงรินวิสกี้รอไว้ ส่วนอีกแก้วนึงรินน้ำแร่เย็นๆ ไว้เช่นกัน
ดื่มน้ำแร่เย็นๆ เพื่อปรับอุณหภูมิในช่องปากกันก่อน
จากนั้นจิบ จอห์นนี่ วอล์กเกอร์ บลู เลเบิ้ล ในแก้วบรั่นดีอีกใบตาม
เมื่อน้ำแร่เย็นๆ ที่หลงเหลืออยู่ในช่องปากผสมกับวิสกี้ชั้นดีนี้
รสชาติที่แอบซ่อนจะซึมผ่านเพดานปากไปมัดใจนักดื่มเหล้าทั้งหลาย ไม่รู้ลืม
เสร็จสิ้นครบทั้ง 5 เลเบิ้ลของตระกูล จอห์นนี่ วอล์กเกอร์ กันแล้ว
ต่อจากนี้นักดื่มเหล้าชาวไทยทั้งหลาย ก็จะดื่มได้แบบไม่เสียของกันแล้ว
แต่ที่สำคัญที่สุด ดื่มแล้วจะมึนน้อยหรือมึนมาก ก็อย่าขับรถเลย
บันทึกการเข้า
นายป้อ
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,124

« ตอบ #220 เมื่อ: 07 มกราคม 2551, 21:22:59 »

:oops: มีวิธีกินนม...มั้ยพี่แม็ค.....

...จากคนไม่ดื่มเหล้า......เอิ๊กๆๆ....
บันทึกการเข้า
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #221 เมื่อ: 07 มกราคม 2551, 21:44:33 »

Open and juab juab...I mean:for instant UHT...
p.nn(Gin tonic)
บันทึกการเข้า


Max
Hero Cmadong Member
***

ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,435

« ตอบ #222 เมื่อ: 08 มกราคม 2551, 10:08:57 »

กินแต่พอดีๆ เด๋วมันจะสำลัก

เหอๆ  Cheesy
บันทึกการเข้า
นายป้อ
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,124

« ตอบ #223 เมื่อ: 08 มกราคม 2551, 23:39:47 »

:oops:  :oops:  :oops:
บันทึกการเข้า
iamfrommoon
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2535
คณะ: พาณิชยศาสตร์และการบัญชี
กระทู้: 8,396

เว็บไซต์
« ตอบ #224 เมื่อ: 09 มกราคม 2551, 10:32:12 »

ขอขอบคุณข้อมูลจากเว็บฯ ดร.บุญชัย ค่ะ

จิตรานุภาพของการตั้งมั่นอยู่ในปัจจุบัน  
 
 บทความที่นำเสนอสรุปจากหนังสือชื่อ The Power of Now แต่งโดย Eckhart Tolle ว่าด้วยเรื่องของพลังแห่งการจดจ่ออยู่กับปัจจุบัน ซึ่งจะช่วยให้เราให้เราประสบความสำเร็จ มีความสุข และมีความสงบในจิตใจ ผู้แต่งได้อธิบายถึงกลไกของความคิดที่ก่อให้เกิดความทุกข์และวิธีการสร้างความสุขให้บังเกิดขึ้นในจิตใจ

 
ซึ่งมีใจความสำคัญดังต่อไปนี้

ระบบความคิดซึ่งก่อให้เกิดความทุกข์ มีลักษณะตามสภาวะธรรมชาติ ดังนี้

ทำงานด้วยตัวของมันเอง เกิดขึ้นซ้ำไปซ้ำมา และไม่สามารถบังคับได้

ข้อมูลจากการวิจัยทั่วโลกพบว่า มนุษย์มีความคิดที่ผุดขึ้นเองตามธรรมชาติมากกว่าห้าหมื่นเรื่องต่อวัน ความคิดเหล่านี้เป็นสาเหตุให้มนุษย์เกิดความทุกข์ เพราะส่วนใหญ่มักเป็นเรื่องที่ทำให้จิตใจเศร้าหมองเช่น ความอยากมี อยากเป็น อยากได้ ความไม่อยากมี ไม่อยากเป็น ไม่อยากได้ หรือความโกรธเกลียดอาฆาตแค้น เป็นต้น โดยมนุษย์ส่วนใหญ่มักเข้าใจผิดว่าความคิดดังกล่าวเป็นตัวเรา เป็นของเรา และถือว่าเป็นเรื่องธรรมชาติไม่จำเป็นต้องแก้ไขใด ๆ ฉะนั้น เมื่อมีความทุกข์หรือมีความอึดอัดใจ พวกเขาเหล่านั้นจึงรู้เพียงแต่ว่า พวกเขาไม่มีความสุข แต่ไม่รู้ว่าจะแก้ไขอย่างไรหรืออาจจะหาทางออกโดยการเสาะแสวงหาความสุขด้วยวิธีการต่าง ๆ เพื่อเป็นการชดเชย โดยมองข้ามต้นตอของความทุกข์ไปโดยสิ้นเชิง ซึ่งวิธีนี้เป็นหนทางออกจากความทุกข์เพียงชั่วคราวเท่านั้น เพราะเมื่อกลับมาคิดอีกก็ทุกข์อีก วนเวียนเป็นวงจรอุบาทว์ไม่มีที่สิ้นสุด

วิธีการแก้ไขคือ ให้ตระหนักอยู่เสมอว่า ความคิดไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา เราจึงควบคุมไม่ได้ และถึงแม้ว่าเราจะบังคับความคิดไม่ได้ แต่เราก็มีสิทธิ์ที่จะเลือกคิดเฉพาะเรื่องที่ดี มีประโยชน์ และสร้างสรรค์ได้ เราไม่จำเป็นจะต้องจมอยู่กับกองทุกข์เสมอไป เราสามารถเลือกที่จะมีความสุขได้ด้วยตัวของเราเอง

ไม่อยู่กับปัจจุบัน

ความคิดที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติมักเป็นเรื่องในอดีตทั้งในแง่บวกและแง่ลบ หรือไม่ก็เป็นเรื่องในอนาคตที่ยังมาไม่ถึง ความคิดเหล่านี้ก่อให้เกิดความทุกข์ทั้งสิ้น เพราะเรื่องในอดีต หากเป็นเรื่องในแง่ลบย่อมทำให้เราจิตใจเศร้าหมอง แต่ถ้าเป็นเรื่องในแง่บวกก็อาจทำให้เราประมาทและเผลอเรอได้ ส่วนเรื่องในอนาคต มักเป็นเรื่องเกี่ยวกับความกังวลหรือคิดเกินปรุงแต่งไปเอง

ก่อให้เกิดอารมณ์

ความคิดที่เกิดขึ้นในขณะที่เราไม่รู้เนื้อรู้ตัวนั้น จะเป็นความคิดที่เต็มไปด้วยตัวกูของกู จึงก่อให้เกิดอารมณ์ได้ทั้งในแง่ลบและแง่บวกเช่น เมื่อถูกตำหนิหรือด่าทอ จิตใจเราจะปรุงแต่งทันที เกิดเป็นความคิดต่อต้าน จนเกิดเป็นอารมณ์โกรธ เพราะคิดว่า ตัวเราเป็นเจ้าของความคิดเหล่านั้น หรือเมื่อเห็นของที่โปรดปรานจิตใจจะปรุงเป็นความคิด จนเกิดเป็นอารมณ์รักหรือพอใจ เมื่อนั้นจะเกิดเป็นตัณหา ความอยากที่จะครอบครอง เมื่อไม่ได้ดังใจก็จะเกิดความทุกข์ตามมา

เป็นเสียง

เมื่อจิตใจเกิดการปรุงแต่ง จะแสดงออกมาในรูปแบบของเสียงที่ดังอยู่ในใจ หากเราเชื่อว่าเสียงดังกล่าวเป็นตัวเรา เราก็จะมีพฤติกรรมและคำพูดเป็นไปตามความคิดที่ผุดขึ้นมา ซึ่งตามที่ทราบกันดีแล้วว่า ความคิดที่เกิดขึ้นเองเมื่อเราไม่รู้เนื้อไม่รู้ตัวนั้น จะเต็มไปด้วยความยึดมั่นถือมั่น ซึ่งส่งผลให้การกระทำและคำพูดของเราปราศจากความรู้สึก เต็มไปด้วยความเป็นตัวกูของกู และวินาทีที่เราไม่รู้เนื้อไม่รู้ตัว ความคิดในแง่ลบที่ผุดขึ้นจะมีผลต่อจิตใจของเราทันที ก่อให้เกิดความทุกข์สุมอยู่ในจิตใจ




วิธีการสร้างความสุขและเปิดจิตเข้าสู่ความสงบโดยไม่ต้องนั่งกรรมฐาน

           1) ฝึกรู้ทันความคิดและอารมณ์ที่ปรุงแต่งขึ้นมาทุกวินาที

หลักในการมองความคิดหรือมองอารมณ์คือ เราจะต้องสวมบทบาทเป็น “ผู้มอง” อย่างเดียวโดยไม่ต้องเติมสีปรุงแต่ง แม้ว่าอารมณ์ที่เกิดขึ้นจะเป็นสุขหรือทุกข์ก็ตามที อย่างไรก็ตาม การฝึกมองอารมณ์นั้นจะปลอดภัยกว่าการมองความคิดเพราะการมองความคิด อาจจะหยุดไม่ได้และอาจทำให้เสียสติ ดังนั้น จึงแนะนำว่า เมื่อมีความคิดเกิดขึ้นให้ เพียงทำใจ“รู้”ว่ามีความคิดเกิดขึ้น หากเป็นความคิดที่ไม่ดี ไม่สร้างสรรค์ ให้ตัดทิ้งทันทีไม่ต้องเสียดาย ให้เลือกคิดแต่ในสิ่งที่ดี หมั่นสร้างความคิดที่ดีให้เกิดขึ้นในจิตใจเพื่อเป็นการทดแทนความคิดที่ไม่ดี และพยายามประคองไม่ให้ความคิดที่ไม่ดีเกิดขึ้นได้อีกเลย เมื่อนั้นจิตใจจะเกิดความสงบและสบาย จิตจะเข้าใกล้ความเป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบานมากขึ้นในทุกขณะจิต

2) ฝึกความรู้สึกทั่วทั้งสรรพางค์กายและฝึกหายใจลึก ๆ ให้บ่อยที่สุดเท่าที่จะทำได้

การฝึกความรู้ตัวทั่วพร้อมจะช่วยให้มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง เพราะจิตไม่เกาะอยู่กับความคิด จึงไม่เกิดความทุกข์ ความเครียด หรือความกังวล เมื่อจิตใจดีร่างกายก็จะดีตามไปด้วย นอกจากนั้น การฝึกความรู้สึกทางร่างกายจะช่วยให้มองเห็นอารมณ์ได้ชัดเจนยิ่งขึ้นเช่น หากเรานั่งท่าเดิมเป็นเวลานาน ร่างกายจะปวดเมื่อย ส่งผลให้เกิดเป็นอารมณ์ที่อึดอัดซึ่งสามารถสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน

3) ฝึกมองดูผัสสะที่กระทบทางตา หู จมูก ลิ้น กาย

เมื่อมีการกระทบเกิดขึ้นทางอายาตนะทั้งห้า ให้ตั้งเรารับรู้ถึงการกระทบดังกล่าวอย่างแท้จริง เพื่อฝึกการจดจ่ออยู่กับปัจจุบัน

4) ฝึกความคิดที่ถูกต้อง

หัดยอมรับความเป็นจริงที่เกิดขึ้นต่อหน้า ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่น่าพอใจหรือไม่ก็ตาม และให้ตระหนักอยู่เสมอว่าความคิดนั้นไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา และเราไม่สามารถบังคับมันได้ จะทำให้จิตใจถอดถอนออกจากความเป็นตัวกูของกู สามารถมองความจริงตรงตามความเป็นจริง จิตใจจะสงบ เมื่อนั้นจึงจะเกิดปัญญาช่วยให้เราสามารถหนีออกจากกองทุกข์ได้

5) คบหาสมาคมกับคนที่มีสติและสมาธิ

เพื่อเป็นการวัดระดับความมีสติและสมาธิของตนเอง เพราะถ้าตัวเราเองยังไม่รู้ว่าสภาวะของคนที่มีสติและสมาธิเป็นอย่างไรแล้ว ตัวเราจะพัฒนา แก้ไข และปรับปรุงพลังสติและสมาธิของตนเองได้อย่างไร ฉะนั้น เราจึงควรศึกษาพฤติกรรม คำพูด และการกระทำของคนเหล่านั้น เพื่อนำมาประยุกต์ใช้และพัฒนากำลังสติและสมาธิของเราต่อไป เมื่อเรามีสติและสมาธิเพียงพอ ความคิดในทางอกุศลย่อมกระทบเราไม่ได้ เมื่อนั้นเราจึงมีความสุข เป็นอิสระจากความทุกข์ และสามารถลืมตาอ้าปากสามารถสร้างชีวิตที่ดีและมีคุณภาพได้ด้วยสองมือของเราอย่างแท้จริง
 
บันทึกการเข้า

@@ธรรมชาติสร้างความขัดแย้ง เพื่อให้คนเรียนรู้ซึ่งกันและกันได้ดียิ่งขึ้น@@@

  หน้า: 1 ... 7 8 [9] 10 11 ... 29  ทั้งหมด   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

สมาคมนิสิตเก่าหอพักนิสิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มวลสมาชิกสมาคม คณาจารย์ และนิสิตเก่าทุกคน ขอน้อมเกล้าถวายความอาลัย  พระผู้เสด็จสู่สวรรคาลัย ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ <;))))><