26 พฤศจิกายน 2567, 11:51:17
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 4 5 [6] 7 8 ... 29  ทั้งหมด   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: เรื่องดี--มาแบ่งปัน  (อ่าน 615164 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
นายป้อ
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,124

« ตอบ #125 เมื่อ: 08 กรกฎาคม 2550, 13:15:36 »

:shock: เชื่อได้เร้อ.........
บันทึกการเข้า
iamfrommoon
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2535
คณะ: พาณิชยศาสตร์และการบัญชี
กระทู้: 8,396

เว็บไซต์
« ตอบ #126 เมื่อ: 10 กรกฎาคม 2550, 09:50:44 »

ช่วงนี้หลายคนอาจเบื่องาน แล้วคิดจะเปลี่ยนงาน หรือเปลี่ยนแล้ว พอดีอ่าน Bizweek ประจำ มีแง่คิดหลายๆ อย่างเกี่ยวกับการทำงาน และชีวิตก็เลยขอเอามาฝากน้องๆ นะคะ

สุขและทุกข์ในงานมาจากไหน  โดย รัศมี ธันยธร ผู้อำนวยการศูนย์ความคิดสร้างสรรค์ www.creativitycenter.co.th

ดิฉันสนใจเรื่องการทำงานอย่างมีความสุข เพราะเห็นว่าความสุขและความรู้สึกดีๆ นั้น ทำให้คนมีกำลังใจ มีแรงใจ ซึ่งจะส่งผลให้มีกำลังกายมีแรงกายด้วย เมื่อแรงใจแรงกายดี เราจะสามารถใช้กายและใจนี้สร้างสรรค์สิ่งดีงามที่เป็นประโยชน์ต่อตนเอง ครอบครัว องค์กร ประเทศชาติ และสังคมโลกได้อย่างเต็มที่ได้ เราใช้เวลาในที่ทำงานเกือบทั้งวัน ถ้าเราทำงานแล้วมีความสุข ความสุขนั้นมีแนวโน้มว่าจะติดตัวเราไปถึงคนที่บ้านและคนนอกที่ทำงานด้วย


ตอนเด็กๆ บางครั้งเราเคยคิดว่าคนทำงานเพราะเงินอย่างเดียว แต่เมื่อโตขึ้นและได้ทำงานจริงๆ สิ่งต่างๆ และประสบการณ์ต่างๆ ที่เข้ามาในชีวิต ทำให้เราได้รับความรู้สึกใหม่ๆ ที่ทำให้ความคิดสมัยเด็กๆ เริ่มเปลี่ยนไป คนที่ทำงานมานานแล้วมักจะบอกคนรุ่นหลังว่า เขาทำงานเพราะเขามีความสุขที่ได้ทำ คนที่ยังไม่ได้ทำงานหรือเด็กไม่ค่อยเข้าใจเท่าใดนัก เพราะในความเห็นของเด็กนั้น การเล่นไปวันๆ โดยไม่ต้องทำอะไรอย่างอื่นเป็นเรื่องที่สุขมาก แต่เมื่อมาดูคนทำงานแล้วดูเหมือนต้องทำโน่นทำนี่ตลอดวัน แทบไม่ได้มีโอกาสเล่นเท่าใดนัก แล้วจะมีความสุขได้อย่างไรกัน

อะไรที่ทำให้คนมีสุขหรือทุกข์ในการทำงาน

ในห้องสัมมนาด้านการคิดสร้างสรรค์ทางบวกของบริษัทที่ปรึกษาด้านเทคโนโลยีสารสนเทศที่ก้าวหน้าแห่งหนึ่ง ดิฉันขอให้ผู้เข้าสัมมนาเขียนว่าอะไรที่ทำให้เขามีความสุขในการทำงาน และอะไรที่ทำให้เขามีความทุกข์ในการทำงาน โดยให้เขาเขียนเป็นข้อๆ ลงในกระดาษเปล่า

พออ่านมาถึงตรงนี้อาจมีบางท่านเห็นว่าคำตอบมีชัดเจนอยู่แล้ว จะมาถามอีกทำไมให้เสียเวลา เพราะคนจะสุขในงานก็เพราะได้เงินเยอะ และทุกข์ในงานเพราะได้เงินน้อย แต่คนทำงานที่เขียนเล่าให้ฟังนั้นเขาบอกอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งอ่านแล้วเราจะเข้าใจเลยว่า บางอย่างทำให้สุขได้มากกว่าได้เงินเยอะ และบางอย่างทำให้ทุกข์หนักว่าได้เงินน้อยเสียอีก

จากการสำรวจพบว่าคนทำงานรู้สึกมีความสุขจากปัจจัยหลักๆ ดังนี้

1. สุขจากการที่ตนเองทำงานได้สำเร็จราบรื่น เช่น ทำงานได้สำเร็จลุล่วง ทำงานที่ยากและท้าทายได้สำเร็จด้วยดี วางแผนแล้วได้ทำตามแผน แบ่งงานได้เหมาะสมกับงานที่รับ นำเสนองานเสร็จ เพื่อนร่วมงานช่วยกันทำงานเสร็จ ได้รับความร่วมมือจากคนรอบข้าง ทำงานได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ งานเสร็จตามเป้าหมายและเวลา ส่งมอบงานให้ลูกค้าสำเร็จสามารถปิดโครงการได้

2. สุขจากการคิดแก้ปัญหาได้ เช่น สามารถแก้ปัญหาได้ เวลามีปัญหาแล้วแก้สถานการณ์ตรงนั้นได้ เวลาลูกค้าเจอปัญหา หรือต้องการคำแนะนำ สามารถช่วยลูกค้าให้ผ่านเรื่องดังกล่าวได้ ให้คำปรึกษาแก่เพื่อนร่วมงานได้

3. สุขจากความภูมิใจที่ได้สร้างประโยชน์ให้คนอื่น เช่น ได้สร้างสรรค์งานใหม่ สร้างประโยชน์ที่แท้จริงโดยใช้องค์ความรู้ที่มีอยู่ เห็นคนได้รับประโยชน์จากสิ่งที่เราทำในระยะยาว คนรอบข้างมีความรู้เพิ่มขึ้นโดยเรา ตอบคำถามลูกค้าได้ ได้ช่วยเหลือลูกค้าและเพื่อนร่วมงาน เห็นลูกค้าและทีมงานได้ประโยชน์จากงานที่เราทำ เห็นลูกค้าสนุกและมีความสุขในงานของเขา เห็นทีมงานมีความสนุกกับงานที่กำลังทำ ช่วยเหลือครอบครัวและคนอื่นได้

4. สุขจากการที่ได้พัฒนาตนเอง เช่น มีโอกาสได้พัฒนาตนเอง ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ แล้วทำให้ ได้เจออะไรแปลกๆ ใหม่ๆ แล้วท้าทายดี ได้เจอเรื่องใหม่ คนใหม่ มีความรู้ความสามารถที่ดีเพียงพอต่อการทำงาน

5. สุขจากการมีสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบข้าง เช่น สามารถเข้ากับลูกค้าได้เป็นอย่างดี เพื่อนร่วมงานน่ารักสนุกสนาน ทำงานเป็นทีม ทุกคนทำงานอย่างมีความสุข ได้ความเป็นมิตรจากทุกคน ได้กำลังใจจากคนรอบข้าง ได้รับคำชมเชยและขอบคุณจากคนรอบข้าง ได้รับคำแนะนำจากผู้รู้ในปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างไม่กั๊ก เพื่อนมาช่วยแก้ปัญหาให้กับเรา ได้พูดคุยกับเพื่อนร่วมงาน ได้เฮฮาสนุกสนาน เพื่อนร่วมงานเข้าใจซึ่งกันและกัน ลูกค้ามีความสัมพันธ์ที่ดีกับเรา หัวหน้ามีความเข้าใจลูกน้อง ได้รับการยอมรับจากลูกค้า ได้รับความชื่นชมจากลูกค้า มีลูกค้าเข้ามาต่อเนื่อง สามารถบาลานซ์ชีวิตและงานได้ มีเวลาสำหรับตัวเอง บ้าน ครอบครัว และงานอย่างสมดุล สิ่งแวดล้อมเหมาะแก่การทำงาน

ขณะที่ทุกข์ในที่ทำงานมาจากปัจจัยหลักๆ ดังนี้

1. ทุกข์จากการคิดแก้ปัญหาไม่ได้ เช่น เกิดปัญหาในที่ทำงาน เช่น คิดไม่ออก ทำไม่ทัน รู้สึกว่าทำไม่ได้ตามที่ได้รับมอบหมาย ทุกข์ตอนที่ลูกค้าต้องการอะไร แล้วหาวิธีไม่ได้ ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ ใช้เวลานาน เวลาลูกค้ามีปัญหาแล้วหาทางออกได้ช้ากว่าที่เราคาดหวัง แก้ปัญหาให้คนในทีมงานไม่ได้ บางครั้งทำงานแล้วมีปัญหากันในทีมแล้วไม่สามารถเคลียร์กันได้ ทำงานไม่ค่อยทันไม่มีใครสนับสนุนช่วยเหลือเมื่อมีปัญหา พอแก้ปัญหาไม่ได้แล้วไม่รู้จะปรึกษาใคร งานเสร็จแล้วแต่ต้องกลับมาแก้ไข

2. ทุกข์จากความไม่ราบรื่นในการทำงาน เช่น ทำได้ตามที่ต้องการแล้วอยู่ดีๆ ก็เปลี่ยน ทำเท่าไรก็ไม่เคยพอใจกับงานที่เขาต้องการ เจอคนไม่มีเหตุผล เพื่อนร่วมงานและหัวหน้าไม่เข้าใจเรา และเราก็ไม่สามารถอธิบายให้ได้ เพราะเขาไม่รับฟังเรา โดนลูกค้าต่อว่า ลูกค้าไม่รับฟังในสิ่งที่พูด ถูกเร่งงานทุกอย่างให้ได้เร็วทันใจ ทั้งๆ ที่มีงานล้นมือแล้ว ไม่ชัดเจนว่าลูกค้าจะเอาอะไร มีตั้งหลายวิธีแต่ลูกค้าไม่พอใจ

3. ทุกข์จากความสัมพันธ์ที่ไม่ดีกับคนรอบข้าง เช่น มีปัญหาภายในทีม คุยกันไม่รู้เรื่อง ไม่คุยกัน เพื่อนร่วมงานคิดไม่ดีต่อกัน ไม่สามารถไว้วางใจเพื่อนร่วมงาน คนรอบข้างทำงานร่วมกับเราแล้วไม่ได้ดังใจ คนใกล้ชิดเราไม่เข้าใจการทำงานของเรา

4. ทุกข์จากงานและอื่นๆ เช่น การทำงานไปวันๆ งานไม่ท้าทาย งานผิดพลาด สุขภาพไม่แข็งแรง อึดอัด สุขภาพเสื่อมโทรม สภาพแวดล้อมไม่ดี อุณหภูมิในห้องไม่เหมาะสม

คนทำงานต่างอาชีพกันมีรายละเอียดในงานต่างกัน แต่ในประเด็นของความสุขและความทุกข์ในงานนั้นมีแก่นหลักๆ อยู่ไม่ต่างกันเท่าใดนัก
บันทึกการเข้า

@@ธรรมชาติสร้างความขัดแย้ง เพื่อให้คนเรียนรู้ซึ่งกันและกันได้ดียิ่งขึ้น@@@

yungying
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,987

« ตอบ #127 เมื่อ: 10 กรกฎาคม 2550, 12:33:02 »

การเรียนมีแต่.......ทุกข์ :cry:  :cry:  :cry:
บันทึกการเข้า

ttp://dekhorcu.multiply.com/
ชาร์ป
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,119

« ตอบ #128 เมื่อ: 13 กรกฎาคม 2550, 02:31:49 »

เอ้า ... นำเรื่องที่น่ารัก ๆ มาฝาก ... เป็นเรื่องของคนที่ใช้นามแฝง ว่า por_jai นะครับ

 Shocked

ไม่ได้ สรุปมา ครับ ก็ลองอ่านดูทั้งกระทู้แล้วกันนะครับ

http://www.thaivi.com/webboard/viewtopic.php?t=26510
บันทึกการเข้า
too
ตู้ rcu85
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: วิศวกรรมศาสตร์
กระทู้: 1,281

เว็บไซต์
« ตอบ #129 เมื่อ: 13 กรกฎาคม 2550, 14:20:41 »

^
^
เข้าไปดูมาแล้ว น่ารักดีครับ
บันทึกการเข้า
นายป้อ
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,124

« ตอบ #130 เมื่อ: 14 กรกฎาคม 2550, 02:02:43 »

:shock: ........... :lol:
บันทึกการเข้า
yungying
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,987

« ตอบ #131 เมื่อ: 16 กรกฎาคม 2550, 12:26:51 »

อ้างจาก: "ชาร์ป"
เอ้า ... นำเรื่องที่น่ารัก ๆ มาฝาก ... เป็นเรื่องของคนที่ใช้นามแฝง ว่า por_jai นะครับ

 Shocked

ไม่ได้ สรุปมา ครับ ก็ลองอ่านดูทั้งกระทู้แล้วกันนะครับ

http://www.thaivi.com/webboard/viewtopic.php?t=26510


 อ่านแล้ว  Cheesy  Cheesy  Cheesy  Cheesy
บันทึกการเข้า

ttp://dekhorcu.multiply.com/
too
ตู้ rcu85
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: วิศวกรรมศาสตร์
กระทู้: 1,281

เว็บไซต์
« ตอบ #132 เมื่อ: 19 กรกฎาคม 2550, 14:08:28 »

แวะเอาเรื่องราวของคุณหมอที่ติดเชื้อ HIV มาให้อ่านครับ

http://www.medchula.com/54/question.asp?GID=1657

หากรักสบายซักนิด
นึกคิดทำขี้เกียจ
ถึงตอนนี้คงไม่เครียด
ที่กระเดียดมาเป็นหมอ

เวลาย้อนกลับไม่ได้
สิี่งที่เปลี่ยนไม่รั้งรอ
หากยังนั่งเพียงวอนขอ
ก็ไม่รูต้องรออีกเท่าใด

ชีวิตในวันนี้
โทษใครดีที่เปลี่ยนไป
เพราะเราหรือเพราะใคร
หรือเพราะไซร้ที่เกิดมา

ทุกคนมีความทุกข์
แต่ถ้าลุกมารักษา
อย่ายอมแพ้กับชะตา
เพราะว่าข้าคือคนจริง
บันทึกการเข้า
Mouy (Again)
มือใหม่หัดเมาท์
*

ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 150

« ตอบ #133 เมื่อ: 20 กรกฎาคม 2550, 10:09:53 »

ไม่รู้ว่ามีใครได้อ่าน forward mail นี้หรือยังนะคะ... น่าสนใจดีทีเดียวล่ะค่ะ...

วิธีใช้กระดาษหน้าที่สาม

ได้รับ ฟอร์เวิร์ด เมล ฉบับหนึ่ง ไม่ใช่ฉบับที่ขอซื้อ "ปาติหาน" ด้วยเงิน 80 บาท แต่เป็นเมลที่ต้องการกระดาษที่ใช้แล้วทั้งสองหน้า
เมื่อแรกที่เห็น.-เมลฉบับนี้ก็งงว่า ใครหนอจะสามารถเอากระดาษสองหน้าไปใช้ประโยชน์ได้อีก เลยลองถามคนรอบข้างว่า ถ้าจะเอากระดาษที่ใช้แล้วสองหน้าไปใช้อีกจะเอาไปทำอะไรให้ได้ประโยชน์สูงสุด
ชั่งกิโลขาย พับถุงใส่กล้วยแขก ทำเปเปอร์มาร์เช่ พับนก ห่ออะไรที่ไม่ใช้แล้ว ฯลฯ มีใครคิดได้มากกว่านี้ดิฉันไม่รู้ แต่ไม่มีใครคิดถึงเรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้เลย
นัยยะสำคัญของเมลฉบับนี้ คือ ต้องการใช้ประโยชน์จากกระดาษหน้าที่สาม แปลกใจใช่ไหม เพราะกระดาษหนึ่งแผ่นก็จะมีแค่ด้านหน้ากับด้านหลัง แค่ได้ใช้กระดาษรีไซเคิลแทนการใช้กระดาษใหม่ก็นับว่าช่วยในเรื่องการประหยัดทรัพยากรธรรมชาติ คือ ต้นไม้ ได้มากโข
แต่นี่เป็นรีไซเคิลซ้อนรีไซเคิล ให้ได้ใช้ประโยชน์อีกต่อหนึ่ง ก่อนที่จะส่งไปชั่งกิโลขาย
ผู้ที่ร้องขอบริจาคกระดาษที่ใช้แล้วทั้งสองหน้า คือ มูลนิธิช่วยคนตาบอดแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ทางมูลนิธิต้องการนำกระดาษที่ใช้แล้วทั้งสองหน้าไปใช้กับการเรียนการสอนภาษาเบลล์ของคนตาบอด ในเมื่อคนตาบอดมองไม่เห็นอะไรอยู่แล้ว กระดาษจะใช้แล้วไปมากน้อยขนาดไหน จะสีอะไรย่อมไม่มีผล เพราะทางสมาคมต้องการแค่ไปสอนภาษาเบลล์ให้คนตาบอดได้หัดเขียนหัดอ่านเท่านั้น
ถ้าใครช่วยได้ ส่งกระดาษที่คุณใช้แล้ว แต่ยังอยู่ในสภาพดีไปได้ที่
มูลนิธิช่วยคนตาบอดแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์
เลขที่ 420 ถนนราชวิถี แขวงทุ่งพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพฯ 10400
โทรศัพท์ 0-2354-8365
ช่วยกัน...ช่วยกัน เป็น "ปาติหาน" เล็กๆ น้อยๆ  

 :wink:
บันทึกการเข้า
ชาร์ป
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,119

« ตอบ #134 เมื่อ: 22 กรกฎาคม 2550, 12:05:39 »

สมาธิ สมาธิ ..

ลองอ่านกระทู้นี้ครับ

http://www.thaivi.com/webboard/viewtopic.php?t=26763

 Shocked
บันทึกการเข้า
yungying
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,987

« ตอบ #135 เมื่อ: 22 กรกฎาคม 2550, 23:13:42 »

Cheesy  Cheesy
บันทึกการเข้า

ttp://dekhorcu.multiply.com/
ชาร์ป
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,119

« ตอบ #136 เมื่อ: 26 กรกฎาคม 2550, 10:39:30 »

ให้พี่ Bekamon เห็นร่ำ ๆ ว่าอยากรู้ทำไมถึงแต่งงาน ... แสดงว่า ท่าทางพี่ bekamon กำลังจะแต่งงาน  :lol:

 
อ้างถึง   

นำมาฝากสำหรับคน  จะสละโสด



ความเชื่อ 10 อย่างเกี่ยวกับการแต่งงาน



ก่อนที่จะเริ่มความสัมพันธ์ถึงขั้นแต่งงานกันนั้น
ลองมองความเชื่อเก่าๆและ
วิเคราะห์ดูสักหน่อยว่าเป็นอย่างไร
ทำไมคนที่แต่งงานแล้วถึงได้หย่าร้างกันมาก
นัก



1. ความเชื่อ :
ผู้ชายได้ประโยชน์มากกว่าผู้หญิงเมื่อแต่งงานกันแล้ว

ความจริง :
จากที่มีการวิจัยศึกษามาแล้วพบว่า
ทั้งผู้ชายและผู้หญิงต่างไม่มีฝ่ายใดเสียเปรียบ
แม้ว่าแต่ละคู่จะใช้ชีวิตที่แตกต่างกัน
แต่เมื่อแต่งงานพวกเขา
ก็จะมีชีวิตที่ยาวนานขึ้น ... มีความสุขขึ้น
สุขภาพดีขึ้นแถมยังอาจจะรวยขึ้นอีกต่างหาก
ฝ่ายสามีโดยมากจะได้ประโยชน์เรื่องสุขภาพที่ดีขึ้นส่วนฝ่ายภรรยานั้นแน่นอน ... ทางด้านการเงิน

2. ความเชื่อ :
การมีบุตรทำให้ชีวิตแต่งงานได้ใกล้ชิดกันมากขึ้นและเพิ่มความสุข
ให้ชีวิตแต่งงานด้วย

ความจริง :
และจากหลายๆการวิจัยพบว่า
บุตรคนแรกจะทำให้ช่องว่างระหว่างแม่และพ่อ
ห่างกันขึ้นและเพิ่มความกดดันให้แก่กัน
ด้วยความที่เป็นมือใหม่ในการเลี้ยงลูก
แต่อย่างไรก็ตาม
การที่มีบุตรทำให้อัตราการหย่าร้างนั้นลดน้อยลง

3. ความเชื่อ :
ปัจจัยที่ทำให้ประสบความสำเร็จในชีวิตคู่คือโชคและความรักที่แสนโรแมนติก

ความจริง :
นอกเสียจากโชคและความรักแล้ว
สิ่งที่สำคัญสำหรับชีวิตคู่ที่จะนำไป
สู่การใช้ชีวิตที่ยาวนานร่วมกันคือความเป็นมิตรความเป็นเพื่อน
เพราะหลังจากการแต่งงาน
ต่างฝ่ายต่างต้องทำงานหนัก
ต้องเสียสละและข้อสัญญาต่างๆ
คู่ที่มีความสุขที่สุดก็คือคู่ที่รักกันเป็นดั่งเพื่อน
สามารถแชร์ในทุกๆเรื่องและมีความสนใจในสิ่งเดียวกัน
ทำให้มีความเข้าใจกันได้ดี

4. ความเชื่อ :
ผู้หญิงที่มีการศึกษายิ่งสูง
ยิ่งทำให้ได้แต่งงานช้าลง

ความจริง :
จากการศึกษาเมื่อเร็วๆนี้
ผู้หญิงที่จบการศึกษาระดับอุดมศึกษาได้
แต่งงานไปมากกว่าคนที่ไม่จบการศึกษา
ความจริงๆแล้วผู้หญิงยิ่งมีการศึกษาจะยับยั้งเรื่องการใช้ชีวิตคู่มากขึ้น
และเลือกที่จะอยู่เป็นโสดกันมากขึ้น ... นั่นเอง

5. ความเชื่อ :
คู่ที่อยู่กินกันก่อนแต่งงานและดูใจศึกษากันก่อนจะมาอยู่กันจริง
มีความพึงพอใจในคู่รักและทำให้รักกันได้ยาวนานยิ่งกว่าคู่ที่แยกกันอยู่

ความจริง :
หลายๆการวิจัยที่พบว่าคู่ที่อยู่กินกันก่อนแต่งงานจะมีความพึงพอใจ
กันน้อยลงและโอกาสที่จะหย่าร้างหรือเลิกรากันไปมีสูงขึ้น
เหตุผลหนึ่งก็คือ
เมื่อมีปัญหามักจะเพิ่มปัญหากันเข้าไปอีก
และทัศนคติในการจะใช้ชีวิตแต่งงานด้วย
กันก็จะเป็นเรื่องที่ยากอยู่สักหน่อย
หากการอยู่กินด้วยนั้นไม่สามารถจะแก้ปัญหาต่างๆเมื่อพบได้
และไปใช้ชีวิตหลังแต่งงานด้วยกันปัญหาก็มักจะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว

6. ความเชื่อ :
ผู้คนไม่สามารถที่จะคาดหวังได้ว่าจะอยู่ด้วยกันหลังแต่งงานไปได้
ตลอดชีวิตเหมือนที่เคยคิดเอาไว้
เพราะใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันมามากพอ

ความจริง :
คนในยุคปัจจุบันแต่งงานกันช้าที่อายุมากขึ้นกว่าสมัยก่อนและการใช้
ชีวิตอิสระเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องการกันมากขึ้น
เมื่อได้เห็นได้รู้จักกันมากขึ้น ... ก็เกิดความเบื่อ
ด้วยความเป็นคนรุ่นใหม่ที่มักจะมองหาสิ่งใหม่ๆให้เรียนรู้อยู่เสมอ
ครึ่งหนึ่งของการหย่าร้างใช้ชีวิตคู่ร่วมกันมาได้ 7 ปี

7. ความเชื่อ :
การแต่งงานทำให้ผู้หญิงเสี่ยงกับความรุนแรงในครอบครัวมากกว่า
เมื่อตอนที่เป็นโสด

ความจริง :
เป็นดั่งเช่นว่า
การจดทะเบียนสมรสนั้นเป็น
"ใบอนุญาตในการทำร้ายร่างกาย"
จากการสำรวจพบว่าคู่ที่แต่งงานกันแล้วมักมีปัญหาที่รุนแรงมากกว่าก่อนที่จะ
แต่งงานกันเสียอีก
และโดยมากแล้วหากสามีทำร้ายภรรยาก็จะไม่พบการรายงานหรือแจ้งความใดๆ
เหตุผลหนึ่งที่เกิดความรุนแรงขึ้นเพราะฝ่ายชายมักจะต้องดูแลให้ฝ่ายหญิงกินดีอยู่ดีอยู่เสมอ
ทำให้เกิดความขัดแย้งกันและเมื่อเกิดความรุนแรงในครอบครัวขึ้น
ผู้หญิงมักจะคิดเรื่องการหย่าร้างมากขึ้น

8. ความเชื่อ :
คู่ที่แต่งงานแล้วจะมีเซ็กซ์กันน้อยลงกว่าตอนที่ยังเป็นโสดกันอยู่

ความจริง :
คู่ที่แต่งงานกันแล้วจะมีทั้งเซ็กซ์ที่มากขึ้นและดีขึ้นอีกด้วย
ไม่เพียงแต่มีเซ็กซ์ได้บ่อยขึ้นแต่พวกเค้ายังสนุกไปกับมัน
ทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ

9. ความเชื่อ :
คู่ที่อยู่กินกันก่อนแต่งงานก็เหมือนแต่งงานนั่นแหละ
เพียงแค่ ... ไม่มี"ใบสมรส"

ความจริง :
คู่ที่อยู่กินกันก่อนแต่งงานมักไม่ได้รับสิ่งที่คู่แต่งงานได้รับ
ทั้งทางสุขภาพ ฐานะ และความรู้สึก
และด้วยความรู้สึกที่ไม่มั่นคงในความรักจึงไม่มีการแต่งงานเกิดขึ้น
เพราะถึงอย่างไรผู้หญิงก็ยังเป็นนางสาวเมื่อเลิกร้างกับฝ่ายชายนั่นเอง

10. ความเชื่อ :
เพราะว่ามีอัตราการหย่าร้างที่สูงขึ้น
คู่ที่รักกันอย่างมีความ
สุขหลังแต่งงานทำให้พวกเขาไม่คิดหย่าร้างไม่ว่าการแต่งงานนั้นจะเป็นอย่างไร

ความจริง : เมื่อสมัย 20 - 30 ก่อนนั้น
จะมีความเครียดในการงาน และข้อขัดแย้ง
มากมายในการแต่งงาน
ทำให้คู่รักมักจะคิดหย่าร้างกัน
แต่ในปัจจุบันคู่รักโดยมาก
มักจะคบหาดูใจกันนานหลายปีจนมีความมั่นใจในคู่ของตน
และมีหน่วยงานที่คอยช่วย
เหลือสำหรับผู้หญิงที่มีปัญหา
ในการตอบคำถามและช่วยในด้านจิตใจ

อย่างไรก็ตาม
การแต่งงานคือการตัดสินใจของคนสองคน
การจะมีความสุขหรือไม่นั้นก็
ขึ้นกับคนเพียงสองคนที่จะมีความเข้าใจ
เห็นอกเห็นใจกันมากน้อยเพียงใด

จากคุณ : GABLIEL
บันทึกการเข้า
too
ตู้ rcu85
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: วิศวกรรมศาสตร์
กระทู้: 1,281

เว็บไซต์
« ตอบ #137 เมื่อ: 26 กรกฎาคม 2550, 11:48:18 »

เพิ่งอ่านเรื่องนี้มา ได้ข้อคิดอะไรดีๆเหมือนกัน

ความสุขที่ถูกมองข้าม
พระไพศาล วิสาโล

คุณเป็นคนหนึ่งหรือไม่ที่เชื่อว่า ยิ่งมีเงินทองมากเท่าไร ก็ยิ่งมีความสุขมากเท่านั้น ความเชื่อดังกล่าวดูเผิน ๆ ก็น่าจะถูกต้องโดยไม่ต้องเสียเวลาพิสูจน์ แต่ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ประเทศไทยน่าจะมีคนป่วยด้วยโรคจิตน้อยลง มิใช่เพิ่มมากขึ้น ทั้ง ๆ ที่รายได้ของคนไทยสูงขึ้นทุกปี ในทำนองเดียวกันผู้จัดการก็น่าจะมีความสุขมากกว่าพนักงานระดับล ่าง ๆ เนื่องจากมีเงินเดือนมากกว่า แต่ความจริงก็ไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไป

ไม่นานมานี้มหาเศรษฐีคนหนึ่งของไทยได้ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ว ่า เขารู้สึกเบื่อหน่ายกับชีวิต เขาพูดถึงตัวเองว่า "ชีวิต(ของผม)เริ่มหมดค่าทางธุรกิจ" ลึกลงไปกว่านั้นเขายังรู้สึกว่าตัวเองไม่มีความหมาย เขาเคยพูดว่า "ผมจะมีความหมายอะไร ก็เป็นแค่....มหาเศรษฐีหมื่นล้านคนหนึ่ง" เมื่อเงินหมื่นล้านไม่ทำให้มีความสุข เขาจึงอยู่เฉยไม่ได้ ในที่สุดวิ่งเต้นจนได้เป็นรัฐมนตรี ขณะที่เศรษฐีหมื่นล้านคนอื่น ๆ ยังคงมุ่งหน้าหาเงินต่อไป ด้วยความหวังว่าถ้าเป็นเศรษฐีแสนล้านจะมีความสุขมากกว่านี้ คำถามก็คือ เขาจะมีความสุขเพิ่มขึ้นจริงหรือ ?

คำถามข้างต้นคงมีประโยชน์ไม่มากนักสำหรับคนทั่วไป เพราะชาตินี้คงไม่มีวาสนาแม้แต่จะเป็นเศรษฐีร้อยล้านด้วยซ้ำ แต่อย่างน้อยก็คงตอบคำถามที่อยู่ในใจของคนจำนวนไม่น้อยได้บ้างว ่า ทำไมอัครมหาเศรษฐีทั้งหลาย รวมทั้งบิล เกตส์ จึงไม่หยุดหาเงินเสียที ทั้ง ๆ ที่มีสมบัติมหาศาล ขนาดนั่งกินนอนกินไป ๗ ชาติก็ยังไม่หมด
แต่ถ้าเราอยากจะค้นพบคำตอบให้มากกว่านี้ ก็น่าจะย้อนถามตัวเองด้วยว่า ทำไมถึงไม่หยุดซื้อแผ่นซีดีเสียทีทั้ง ๆ ที่มีอยู่แล้วนับหมื่นแผ่น ทำไมถึงไม่หยุดซื้อเสื้อผ้าเสียทีทั้ง ๆ ที่มีอยู่แล้วเกือบพันตัว ทำไมถึงไม่หยุดซื้อรองเท้าเสียทีทั้ง ๆ ที่มีอยู่แล้วนับร้อยคู่

แผ่นซีดีที่มีอยู่มากมายนั้น บางคนฟังทั้งชาติก็ยังไม่หมด ในทำนองเดียวกัน เสื้อผ้า หรือรองเท้า ที่มีอยู่มากมายนั้น บางคนก็เอามาใส่ไม่ครบทุกตัวหรือทุกคู่ด้วยซ้ำ มีหลายตัวหลายคู่ที่ซื้อมาโดยไม่ได้ใช้เลย แต่ทำไมเราถึงยังอยากจะได้อีกไม่หยุดหย่อน
ใช่หรือไม่ว่า สิ่งที่เรามีอยู่แล้วในมือนั้นไม่ทำให้เรามีความสุขได้มากกว่าส ิ่งที่ได้มาใหม่ มีเสื้อผ้าอยู่แล้วนับร้อยก็ไม่ทำให้จิตใจเบ่งบานได้เท่ากับเสื ้อ ๑ ตัวที่ได้มาใหม่ มีซีดีอยู่แล้วนับพันก็ไม่ทำให้รู้สึกตื่นเต้นได้เท่ากับซีดี ๑ แผ่นที่ได้มาใหม่ ในทำนองเดียวกันมีเงินนับร้อยล้านในธนาคารก็ไม่ทำให้รู้สึกปลาบ ปลื้มใจเท่ากับเมื่อได้มาใหม่อีก ๑ ล้าน
พูดอีกอย่างก็คือ คนเรานั้นมักมีความสุขจากการได้ มากกว่าความสุขจากการ มี มีเท่าไรก็ยังอยากจะได้มาใหม่ เพราะเรามักคิดว่าของใหม่จะให้ความสุขแก่เราได้มากกว่าสิ่งที่ม ีอยู่เดิม บ่อยครั้งของที่ได้มาใหม่นั้นก็เหมือนกับของเดิมไม่ผิดเพี้ยน แต่เพียงเพราะว่ามันเป็นของใหม่ ก็ทำให้เราดีใจแล้วที่ได้มา

    จะว่าไปนี่อาจเป็นสัญชาตญาณที่มีอยู่กับสัตว์หลายชนิดไม่เฉพาะแ ต่มนุษย์เท่านั้น ถ้าโยนน่องไก่ให้หมา หมาก็จะวิ่งไปคาบ แต่ถ้าโยนน่องไก่ชิ้นใหม่ไปให้ มันจะรีบคายของเก่าและคาบชิ้นใหม่แทน ทั้ง ๆ ที่ทั้งสองชิ้นก็มีขนาดเท่ากัน ไม่ว่าหมาตัวไหนก็ตาม ของเก่าที่มีอยู่ในปากไม่น่าสนใจเท่ากับของใหม่ที่ได้มา

ถ้าหากว่าของใหม่ให้ความสุขได้มากกว่าของเก่าจริง ๆ เรื่องก็น่าจะจบลงด้วยดี แต่ปัญหาก็คือของใหม่นั้นไม่นาน
ก็กลายเป็นของเก่า และความสุขที่ได้มานั้นในที่สุดก็จางหายไป ผลก็คือกลับมารู้สึก "เฉย ๆ" เหมือนเดิม และดังนั้นจึงต้องไล่ล่าหาของใหม่มาอีก เพื่อหวังจะให้มีความสุขมากกว่าเดิม แต่แล้วก็วกกลับมาสู่จุดเดิม เป็นเช่นนี้ไม่รู้จบ น่าคิดว่าชีวิตเช่นนี้จะมีความสุขจริงหรือ ? เพราะไล่ล่าแต่ละครั้งก็ต้องเหนื่อย ไหนจะต้องขวนขวายหาเงินหาทอง ไหนจะต้องแข่งกับผู้อื่นเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการ ครั้นได้มาแล้วก็ต้องรักษาเอาไว้ให้ได้ ไม่ให้ใครมาแย่งไป แถมยังต้องเปลืองสมองหาเรื่องใช้มันเพื่อให้รู้สึกคุ้มค่า ยิ่งมีมากชิ้นก็ยิ่งต้องเสียเวลาในการเลือกว่าจะใช้อันไหนก่อน ทำนองเดียวกับคนที่มีเงินมาก ๆ ก็ต้องยุ่งยากกับการตัดสินใจว่าจะไปเที่ยวลอนดอน นิวยอร์ค เวกัส โตเกียว มาเก๊า
หรือซิดนีย์ดี

ถ้าเราเพียงแต่รู้จักแสวงหาความสุขจากสิ่งที่มีอยู่แล้ว ชีวิตจะยุ่งยากน้อยลงและโปร่งเบามากขึ้น อันที่จริงความพอใจในสิ่งที่เรามีนั้นไม่ใช่เรื่องยาก แต่ที่เป็นปัญหาก็เพราะเราชอบมองออกไปนอกตัว และเอาสิ่งใหม่มาเทียบกับของที่เรามีอยู่ หาไม่ก็เอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น เมื่อเห็นเขามีของใหม่ ก็อยากมีบ้าง คงไม่มีอะไรที่จะทำให้เราทุกข์ได้บ่อยครั้งเท่ากับการชอบเปรียบ เทียบตัวเองกับคนอื่น การเปรียบเทียบจึงเป็นหนทางลัดไปสู่ความทุกข์ที่ใคร ๆ ก็นิยมใช้กัน

    นิสัยชอบเปรียบเทียบกับคนอื่น ทำให้เราไม่เคยมีความพอใจในสิ่งที่ตนมีเสียที แม้มีแฟนที่ดี ก็ยังไม่พอใจ เพราะรู้สึกว่าแฟนของคนอื่นสวยกว่า หล่อกว่า หรือเอาใจเก่งกว่า แม้มีลูกที่น่ารัก ก็ยังไม่พอใจเพราะรู้สึกว่าสู้ลูกของคนอื่นไม่ได้ แม้จะมีหน้าตาดี ก็ยังรู้สึกว่าตัวเองไม่สวย เพราะไปเปรียบเทียบตัวเองกับดาราหรือพรีเซนเตอร์ในหนังโฆษณา
    การมองแบบนี้ทำให้ "ขาดทุน" สองสถาน คือนอกจากจะไม่มีความสุขกับสิ่งที่มีอยู่แล้ว ยังเป็นทุกข์เพราะไม่ได้สิ่งที่อยาก พูดอีกอย่างคือไม่มีความสุขกับปัจจุบัน แถมยังเป็นทุกข์เพราะอนาคตที่พึงปรารถนายังมาไม่ถึง


ไม่มีอะไรที่เป็นอุทธาหรณ์สอนใจได้ดีเท่ากับนิทานอีสปเรื่องหมา คาบเนื้อ คงจำได้ว่า มีหมาตัวหนึ่งได้เนื้อชิ้นใหญ่มา ขณะที่กำลังเดินข้ามสะพาน มันมองลงมาที่ลำธาร เห็นเงาของหมาตัวหนึ่ง (ซึ่งก็คือตัวมันเอง) กำลังคาบเนื้อชิ้นใหญ่ เนื้อชิ้นนั้นดูใหญ่กว่าชิ้นที่มันกำลังคาบเสียอีก ด้วยความโลภ (และหลง) มันจึงคายเนื้อที่คาบอยู่ เพื่อจะไปคาบชิ้นเนื้อที่เห็นในน้ำ ผลก็คือเมื่อเนื้อตกน้ำ ชิ้นเนื้อในน้ำก็หายไป มันจึงสูญทั้งเนื้อที่คาบอยู่และเนื้อที่เห็นในน้ำ

บ่อเกิดแห่งความสุขมีอยู่กับเราทุกคนในขณะนี้อยู่แล้ว เพียงแต่เรามองข้ามไปหรือไม่รู้จักใช้เท่านั้น เมื่อใดที่เรามีความทุกข์ แทนที่จะมองหาสิ่งนอกตัว ลองพิจารณาสิ่งที่เรามีอยู่และเป็นอยู่ ไม่ว่า มิตรภาพ ครอบครัว สุขภาพ ทรัพย์สิน รวมทั้งจิตใจของเรา ล้วนสามารถบันดาลความสุขให้แก่เราได้ทั้งนั้น ขอเพียงแต่เรารู้จักชื่นชม รู้จักมอง และจัดการอย่างถูกต้องเท่านั้น
แทนที่จะแสวงหาแต่ความสุขจากการได้ ลองหันมาแสวงหาความสุขจากการ มี หรือจากสิ่งที่ มี ขั้นต่อไปคือการแสวงหาความสุขจากการ ให้ กล่าวคือยิ่งให้ความสุข ก็ยิ่งได้รับความสุข

สุขเพราะเห็นน้ำตาของผู้อื่นเปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม และสุขเพราะภาคภูมิใจที่ได้ทำความดีและทำให้ชีวิตมีความหมาย จากจุดนั้นแหละก็ไม่ยากที่เราจะค้นพบความสุขจากการ ไม่มี นั่นคือสุขจากการปล่อยวาง ไม่ยึดถือในสิ่งที่มี และเพราะเหตุนั้น แม้ไม่มีหรือสูญเสียไป ก็ยังเป็นสุขอยู่ได้

เกิดมาทั้งที น่าจะมีโอกาสได้สัมผัสกับความสุขจากการ ให้ และ การ ไม่มี เพราะนั่นคือสุขที่สงบเย็นและยั่งยืนอย่างแท้จริง

ที่มา http://www.biolawcom.de/?/article/231
บันทึกการเข้า
Max
Hero Cmadong Member
***

ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,435

« ตอบ #138 เมื่อ: 26 กรกฎาคม 2550, 12:55:33 »

อารมณ์ประมาณ อยากมีกิ๊ก หลายคน ช่ายเปล่า  Cheesy
บันทึกการเข้า
party
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,875

« ตอบ #139 เมื่อ: 26 กรกฎาคม 2550, 13:12:12 »

อ้างจาก: "Max"
อารมณ์ประมาณ อยากมีกิ๊ก หลายคน ช่ายเปล่า  Cheesy


ฮั่นแน่...แอบรู้และเข้าใจความรู้สึกคนอื่น อยางนี้พี่Maxต้องเคยรู้สึกอย่างนี้มาก่อนแน่เลย 555
บันทึกการเข้า

http://happinessparty.multiply.com/
<embed src=\\\"http://images.multiply.com/multiply/horizontal-headshot-badge.swf\\\" type=\\\"application/x-shockwave-flash\\\" wmode=\\\"transparent\\\" FLASHVARS=\\\"user_id=happinessparty&enc=U2FsdGVkX1.XgxV7rEZX6q1u2Jyr2y9bKY8Amx,Hc,GTybsHCwE8.8sOCJWnoHQj
MahDee
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,081

« ตอบ #140 เมื่อ: 26 กรกฎาคม 2550, 15:22:48 »

ได้ข้อคิดดี ดี ครับ  :wink:

จะสุขหรือทุกข์ อยู่ที่ตัวเอง...
บันทึกการเข้า

RCU 2541>> ปะกาโด่ง 81
----------------------------
http://www.facebook.com/MrMahD
yungying
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,987

« ตอบ #141 เมื่อ: 26 กรกฎาคม 2550, 15:51:52 »

อ้างจาก: "MahDee"
ได้ข้อคิดดี ดี ครับ  :wink:

จะสุขหรือทุกข์ อยู่ที่ตัวเอง...


เห็นด้วยอย่างยิ่ง Cheesy  Cheesy
บันทึกการเข้า

ttp://dekhorcu.multiply.com/
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #142 เมื่อ: 26 กรกฎาคม 2550, 16:34:47 »

Nong Sharp,
your text is...excelllent!
applaud!
p.nn(married)
บันทึกการเข้า


ชาร์ป
Global Moderator
Hero Cmadong Member
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,119

« ตอบ #143 เมื่อ: 26 กรกฎาคม 2550, 23:16:54 »

นั่งฝังวิทยุในรถ ...

คอนโด โครงการนี้น่าสนใจดีเหมือนกัน  Shocked

เขาบอกว่า ผ่อนเริ่มต้น 4 พันกว่าบาท ... (ราคาถูกสุดของโครงการล่ะนะ ... 1.49 ล้านบาท)

แต่ดู Floor Plan แล้วน่าสนใจดี

http://www.ps-condo.com/ivyriver/ivycondo.wmv

http://www.ps-condo.com/ivyriver/location.html

วันที่ 4-5 ส.คน นี้ เขามี event กันอีกครั้ง  น่าไปดูเหมือนกัน ...

 Shocked
บันทึกการเข้า
ppornson
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,724

« ตอบ #144 เมื่อ: 27 กรกฎาคม 2550, 10:55:54 »

ไอ้ชาร์ปมันถูกฝังในรถพร้อมวิทยุไปแล้ว..
บันทึกการเข้า
Max
Hero Cmadong Member
***

ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,435

« ตอบ #145 เมื่อ: 27 กรกฎาคม 2550, 12:02:28 »

555 หน่วยพิสูจน์หลักฐาน  Cheesy
บันทึกการเข้า
iamfrommoon
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2535
คณะ: พาณิชยศาสตร์และการบัญชี
กระทู้: 8,396

เว็บไซต์
« ตอบ #146 เมื่อ: 08 สิงหาคม 2550, 13:24:30 »

เมื่อได้รับเมล์จากแพะมา และพี่อ่านเรื่องนี้เสร็จไม่รู้คนอื่นจะเหมือนพี่ปุ๊กมั้ย รู้แต่ว่า...ตัวเองน้ำตาไหลออกมาเอง...เพราะนั่นคือ สิ่งที่แม่พี่ทำกับพี่ในทุกๆ วันด้วยคำถามเดิมๆ...ตั้งแต่ได้รับ forward mail มาเสมอๆ เรื่องดี ดีนี้...ทราบซึ้ง กินใจที่สุด เลยอยากเอามาแบ่งปันค่ะ...ใกล้ถึงวันแม่แล้วพี่ก็เตรียมอะไรเล็กๆ น้อยๆ ส่งให้ท่านแล้วหล่ะ แม่บอกว่า ไม่ต้องการอะไรมากแค่ลูกเป็นคนดีของแม่ก็ภูมิใจและดีใจยิ่งกว่าของขวัญใดๆ แล้ว...


*************************************************************

>ก่อนอื่นต้องขออภัยสำหรับเจ้าของต้นเรื่อง มันอาจตอกย้ำความเจ็บปวดกับคุณในเรื่องนี้
>แต่เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ควรเผยแพร่ เพื่อตอกย้ำคนที่ได้ชื่อว่าลูกทุกคนให้หันกลับมาดูคนที่ส่งเสียคุณเลี้ยงดูคุณมาด้วยความเหนื่อยยาก

> วันนี้เราหันไปเหลียวท่านบ้างหรือเปล่า ก่อนจะไม่มีโอกาสดูแล เมื่อท่านจากเราไปแล้วการจัดงานใหญ่โตมันไม่มีประโยชน์อะไร เวลาท่านอยู่ทำไมไม่ทำ?
>ความรู้สึกของน้องคนหนึ่งที่บรรยายออกมาจากใจ ในขณะที่.... ผมก็เป็นเช่นเด็กวัยรุ่นทั่วๆไป เรียน เที่ยว นอน กิน ดึกๆผมก็โทรคุยกับแฟนของผม ซึ่งทั้งหมดเหล่านี้มันก็เป็นกิจวัตรประจำวันของผม และผมก็เชื่อว่าใครๆเค้าก็ทำแบบนี้กัน

>'จ้า ตัวเอง วันนี้กินข้าวรื้อยาง '
>'กิน
>กับอะไรบ้าง แล้วตอนกินตัวเองคิดถึงเค้ามั้ยเนี่ย'
>'รู้มั้ยตัวเอง ถ้าเค้า
>เป็นผีเนี่ย เค้าอยากเป็นกระสือที่รักจะได้เห็นใจไง'
>'ตัวเองวางก่อนดิ ก่อน
>ดิ'
>
> ประโยคต่างๆที่ผมได้คิดและคัดสรร เตรียมพร้อมมาต่างๆก่อนโทร ผมยังคงใช้เวลาส่วนใหญ่ตอนดึกไปกับการคุยโทรศัพท์ ระยะเวลาอันผมได้ใช้ไปในแต่ละครั้งนั้น พอรู้สึกอีกทีก็ผ่านไปหลายชั่วโมงแล้ว แต่ผมก็ไม่ชอบนะ หากใครจะมาว่าผมไร้สาระ ก็ไม่เห็นหรอคนส่วนใหญ่เค้าก็ทำกัน

>'เอ้อ เกือบลืมไปอีกอย่างกิจวัตรอีกอย่างนึงของผมก็คือ แม่ของผมมักชอบโทรหาผมทุกวัน'
>'ตอนนี้ลูกอยู่หอรึยัง'
>'เย็นนี้กินข้าวอิ่มมั้ย'
>'วันนี้เรียนเป็นยังไงบ้าง'
>'อย่าไปเที่ยวที่ไหนไกลนะ '

>โธ่!คำถามเดิมๆ ผมก็ตอบไปแบบเดิมๆ แม่ผมก็ไม่เบื่อซักที ยังคงโทรหาผมเป็นประจำ
>โชคดีที่ผมพยายามตัดบทคุย ผมกับแม่น่ะคุยกันไม่กี่นาทีก็วางแล้ว ก็มันไม่มีอะไรจะคุยจะให้ผมทำยังไง จนกระทั่งวันนั้น

>' ตัวเองตอบเค้าได้รึยังว่ารักเค้ามั้ย'
>'เร็วๆสิ เค้ายังอุตส่าห์
>บอกรักตัวเองไปแล้วนะ '
>'แล้วยังจะใจร้ายไม่บอกรักเค้าอีกหรอ'
>
> ติ๊ดๆ ติ๊ดๆ เสียงจากโทรศัพท์บอกผมว่ามีสายซ้อน ผมมองไปที่หน้าจอมันขึ้นชื่อว่า 'Home'
>'โธ่ แม่โทรมาทำไมตอนนี้เนี่ย กำลังเข้าด้ายเข้าเข็มเลย'
>
> ผมไม่สลับสายผม ผมยังคงคุยกับสุดที่รักของผมต่อไป เพราะผมรู้ว่า
> สิ่งที่แม่จะคุยกับผมก็คงเป็นประโยคเดิมๆ 'และนั่นก็เป็นโอกาสสุดท้ายที่ผมจะมีโอกาสฟังเสียงของแม่'
>
>หลังจากนั้นไม่นานทางญาติของผมโทรมาแจ้งผมว่า
>
>เมื่อคืนนี้บ้านของผมถูกขโมยเข้า และแม่ของผมขัดขืนและได้ต่อสู้กับโจรจึง
>ถูกโจรใช้มีดแทงเข้าที่ท้อง แม่เสียชีวิตเพราะทนพิษบาดแผลไม่ไหว
>ญาติของผมเล่าอีกว่า ตอนไปพบศพแม่นั้น ในมือของแม่กำโทรศัพท์ไว้แน่นและเบอร์โทรออก
> ล่าสุดของเธอไม่ใช่โทรแจ้งตำรวจหรือเรียกรถพยาบาลแต่แม่เลือกที่จะโทรหา 'ผม' สิ่งสุดท้ายในชีวิตที่แม่ผมเลือกที่จะทำคือ โทรศัพท์หาผมเพื่อฟังเสียงของผม
>
>วินาทีนั้นน้ำตาของผมไหลอาบแก้ม ผมพูดอะไรไม่ออก มือและตัวของผมสั่น
>วันนั้นผมเลือกที่จะคุยกับแฟนผม ดีกว่าที่จะคุยกับแม่ของผม
>
>ผู้หญิงคนเดียวในโลก ที่คุยกับผมเป็นคนแรกในชีวิต
>ผู้หญิงคนเดียวที่ผมสามารถที่จะคุยกับเธอได้ทุกเวลา โดยที่ผมไม่ต้องเตรียมบทพูดใดๆ
>ไม่ต้องกังวลว่าเธอจะประทับใจหรือไม่ ไม่ต้องมีมุข ไม่ต้องมีคำหวานใดๆ
>คนเดียวในโลกที่โทรมาหาผมเพียงแค่ฟังผมพูดประโยคเดิมๆ
>คนเดียวในโลกที่ไม่ว่าโทรศัพท์เธอจะโปรโมชั่นแพงแค่ไหนก็ยังโทรหาผม
>'และคนเดียวในโลกที่เลือกคุยกับผมในวินาทีสุดท้ายในชีวิต'
>
> ในบางครั้งประโยคที่ว่า 'ไม่มีคำว่าสาย หากเราคิดที่จะแก้ตัว' มันก็ไม่เป็นความจริง
>'เพราะบางปรากฏการณ์ในโลก เกิดขึ้นได้แค่ครั้งเดียว'

> อาจเป็นเพราะเวรกรรมของผม
>หลังจากนั้นไม่นานแฟนผมที่ผมใช้เวลาคุยกับเธอวันหลายๆชั่วโมงคุยกับเธอก็ทิ้งผมไป
>วันนี้ผมเริ่มเข้าใจชีวิตมากขึ้นหลายๆอย่างที่คนส่วนใหญ่ทำมิได้หมายถึงสิ่งที่ถูกต้องเสมอไป
>เพราะตัวเราเท่านั้นที่เป็นผู้ต้องรับผลการกระทำของเราเอง
>'เราจะรู้ว่าสิ่งใดสำคัญก็ต่อเมื่อเราต้องเสียมันไป'
>ทุกวันนี้ผมนั่งมองโทรศัพท์ รอที่จะตอบคำถามเดิมๆให้ผู้หญิงคนหนึ่งฟัง
>แต่ผู้หญิงคนนั้นคงไม่มีอีกแล้ว

***********************************************************
บันทึกการเข้า

@@ธรรมชาติสร้างความขัดแย้ง เพื่อให้คนเรียนรู้ซึ่งกันและกันได้ดียิ่งขึ้น@@@

Dr.Poot
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,330

« ตอบ #147 เมื่อ: 08 สิงหาคม 2550, 13:26:38 »

:cry:  :cry:  :cry:  :cry: ซึ้งจังเลยค่า
บันทึกการเข้า
Dr.Poot
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,330

« ตอบ #148 เมื่อ: 08 สิงหาคม 2550, 13:29:57 »

ซึ้งกันอีกเรื่องแล้วกันนะ

>>แม่โกหกผม 8 ครั้งในชีวิต 1. เรื่องเริ่มขึ้นตอนเมื่อผมเป็นเด็ก ๆ ผมเกิดใน
>ครอบครัวยากจน ครอบครัวของเราจนมากจนต้องอดข้าวบ่อย ๆ เมื่อไหร่ก็ตามเมื่อถึง
>เวลากินข้าว...แม่จะแบ่งข้าวม าให้ผมเพิ่มขึ้นอีก พร้อมทั้งพูดว่า"ลูกต้องกิน
>ข้าวเพิ่มขึ้นนะ...ส่วนแม ่ไม่ค่อยหิว" นี้เป็นครั้งแรกที่แม่โกหกผม 2.
>เมื่อผม
>เติบโตขึ้น คุณแม่เพียรพยายามหาเวลาว่างไปตกปลาในแม่น้ำ เพื่อว่าผมจะได้กิน
>อาหารที่มีประโยชน์ต่อการเจริญเติ บโตของผม แม่ต้มปลาที่ตกมาได้ทำเป็นซุปให้ผม
>กิน ในขณะที่ผมกินแกงต้มปลา..แม่จะนั่งข้าง ๆผม แทะกิน เศษเนื้อปลาที่ติดอยู่
>ตามก้างปลาหลังจากที่ผมไ ด้กินเนื้อปลาไปแล้ว ผมรู้สึกตื้นตันใจมาก..ผมพยายาม
>แบ่งเนื้อปลาให้แม่ แต่แม่ปฎิเสธทันควันพร้อมกับกล่าวว่า "ลูกกินเถอะ...แม่ไม่
>ค่อยชอบกินเนื้อปลา" นี่เป็นครั้งที่ 2 ที่แม่โกหกผม 3. เมื่อผมเรียนอยู่ชั้น
>มัธยม เราต้องใช้เงินเพิ่มมากขึ้น แม่ต้องหารายได้พิเศษด้วยการรับงานเล็ก
>ๆน้อย
>จากโรงงานมาทำที่บ้าน บางครั้งผมตื่นขึ้นมาตอนตี 1 หรือตี 2...ผมยังเห็นแม่
>กำลังทำงาน "แม่ครับ...นอนเถอะครับมันดึกมากแล้ว พรุ่งนี้แม่ต้องไปทำงานอีก"
>แม่ยิ้มกับผมพูดว่า "ลูกนอนต่อก่อนนะ...แม่ยังไม่เหนื่อย...นอนไม่หล ับ" ครั้ง
>ที่ 3 แล้วที่แม่โกหกผม 4. ตอนเมื่อใกล้จบชั้นมัธยมผมต้องไปสอบเป็นวันสุดท้าย
>แม่อุตส่าห์หยุดงานไปเป็นเพื่อนและเพื่อเป็นกำลังใจใ ห้ผม
>มันเป็นวันที่แดดร้อน
>มาก ๆ...แม่ต้องรอผมอยู่หลายชม. เมื่อผมทำข้อสอบเสร็จ...รีบออกมาหาแม่ เห็นแม่
>ผมมีเหงื่อออกท่วมตัว.. แต่ท่านกลับรินน้ำเย็นที่เตรียมมาให้ผมดื่ม ผมเห็นแม่
>รู้สึกเหนื่อยและร้อนจึงขอให้แม่ดื่มน้ำก่อ น แม่พูดขึ้นว่า "ลูกดื่มเถอะ....
>แม่ยังไม่กระหายน้ำ" นั่นเป็นครั้งที่ 4 ที่แม่โกหกผม 5. หลังจากที่พ่อผมล้ม
>ป่วยและเสียชีวิต คุณแม่ที่น่าสงสารต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อหารายได้มาจ ุนเจือ
>ครอบครัว แต่ก็ยังไม่ค่อยเพียงพอไม่ว่าคุณแม่จะพยายามมากขึ้นเ พียงไร
>คุณลุงที่
>อยู่ข้าง ๆบ้านท่านเป็นคนดี พยายามมาช่วยเหลือครอบครัวเราเสมอ....เช่นซ่อมแซม
>บ้า นที่ผุพัง..ฯลฯ เพื่อนบ้านเห็นครอบครัวลำบากมากก็แนะนำให้แม่แต่งงาน ใหม่
>แต่แม่ยืนกรานไม่เห็นด้วย แม่พูดกับผมว่า
>"แม่มีลูกอยู่ทั้งคน...แม่ไม่ต้องความ
>รักอีก" แม่โกหกผมเป็นครั้งที่ 5 แล้ว 6. ในทื่สุดผมก็เรียนจบและมีงานทำ
>ผมอยาก
>ให้แม่ซึ่งตรากตรำทำงานหนักมาตลอดได้พักผ่อนบ้าง แต่แม่ไม่ยอม.....กลับไปตลาด
>ทุกเช้า ขายผักที่หามาได้เพื่อเลี้ยงชีพทั้ง ๆที่ผมพยายามส่งเงินมาให้แม่ (ผม
>ต้องไปทำงานในเมืองที่ห่างไกล) แม่ผมไม่ค่อยยอมรับเงินผม..บางครั้งยังส่งเงิน
>กลับคื นให้ผมอีก แม่พูดกับผมว่า
>"แม่มีเงินพอใช้แล้ว...ลูกควรเก็บเงินไว้สร้าง
>ฐานะ" แม่โกหกผมเป็นครั้งที่ 6 7. เพื่ออนาคตที่ก้าวหน้า.. ผมตัดสินใจเรียนต่อ
>ปริญญาโทด้วยทุนของมหาวิทยาลัยที่ม ีชื่อเสียงในอเมริกา
>เมื่อผมเรียนจบก็ได้งาน
>ทำที่นั่นและมีเงินเดือนค่อนข้างสูง เมื่อทำงานไปได้สักพัก...ผมอยากให้แม่ผมมา
>อยู่กับผมท ี่อเมริกา
>เพื่อว่าแม่จะได้หยุดทำงาน...พักผ่อนให้สบายในบั้นปลายของ
>ชีวิต แต่แม่ผมไม่อยากรบกวนผม...บอกผมว่า "แม่ไม่คุ้นเคยกับชีวิตต่างแดน"
>ครั้ง
>ที่ 7 แล้วซินะที่แม่โกหกผม 8. เมื่อแม่แก่ตัวลงไปเรื่อย ๆ..
>ในที่สุดแม่ก็เป็น
>มะเร็งและต้องเข้ารับการผ่าตัดที่โ รงพยาบาล ผมลางานแล้วรีบบินกลับมาหาแม่สุด
>ที่รักทันที แม่ผมนอนพักฟื้นอยู่บนเตียงเมื่อผมไปถึง น้ำตาผมไหลอาบแก้มเมื่อ
>เห็นแม่ซึ่งผ่ายผอมและดูทรุดโ ทรมลงอย่างมาก แม่รู้สึกดีใจมากที่เห็นผม....
>พยายามยิ้มอย่างสดชื่น ด้วยความลำบาก ผมรู้ดีว่าแม่ได้ฝืนความเจ็บปวดรวด
>ร้าวอย่างสุดฝืน จากโรคมะเร็งร้ายที่ลามไปทั่วทั้งตัว ผมโอบกอดแม่พร้อมกับ
>ร้องไห้ด้วยความสงสาร หัวใจผมในขณะนั้นเศร้าหมองและเจ็บปวดอย่างที่สุด แม่
>พยายามปลอบผมด้วยเสียงที่แหบพร่าและสั่นเครือ "ลูกรักของแม่...เห็นหน้าลูกแม่
>ไม่รู้สึกเจ็บแล้ ว" นี่เป็นครั้งที่ 8 ที่แม่โกหก และเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิต
>ของแม่ที่โกหกผม แม่ที่ผมรักและบูชามาตลอดชีวิตได้ปิดตาลงและจากผมไปอย่างไม่มี
>วันกลับ หลังจากที่เธอกล่าวคำโกหกครั้งที่ 8 จบลง.........
บันทึกการเข้า
portpatt
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #149 เมื่อ: 08 สิงหาคม 2550, 17:59:06 »

ชอบมากทั้งสองเรื่องเลยค่ะ ฝากเพลงมาให้ฟังกันด้วยนะค่ะ :)
บันทึกการเข้า
  หน้า: 1 ... 4 5 [6] 7 8 ... 29  ทั้งหมด   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

ทำไมหอพักนิสิตจุฬาจึงเป็นดินแดนมหัศจรรย์            " ไม่ได้เป็นแค่หอให้นอนพัก  แต่เป็นบ้านอบอุ่นรักให้อาศัย  ไม่เป็นแค่ที่ซุกหัวยามหลบภัย  แต่สร้างใจให้เข้มแข็งแกร่งการงาน"  <))))><