iamfrommoon
|
|
« เมื่อ: 03 พฤศจิกายน 2549, 11:32:44 » |
|
ผมเชื่อว่า หนังสือเล่มนี้ ดีที่สุดในโลก คุณจะอ่านหรือไม่มันเรื่องของคุณ ขออนุญาตนำบทความบางท่อนจาก
“หนังสือหยุดความเลวที่ไล่ล่าคุณ” ของ พ.อ.(พิเศษ) ทองคำ ศรีโยธิน, สมคิด ลวางกูร ****************************************************
...ตัดเงินเดือน...
พอกราบคุณย่าเสร็จ ผมก็หันมาคุยกับอาจารย์ ถามว่า….อาจารย์กำลังทำอะไรครับ อาจารย์ตอบว่าผมกำลังตัดรายจ่ายอยู่...คุณทองคำ ผมต้องจ่าย..ค่าแม่ครัว..คนขับรถ คนสวน ค่าใช้จ่ายในบ้านและให้แม่อีกเดือนละ 300 บาท ตอนนี้รายได้กับรายจ่ายมันไม่ค่อยสัมพันธ์กันต้องตัดรายจ่ายลงบ้าง ผมก็ทำหน้าที่เป็น Advisor บอกว่า เงินเดือนที่ให้แม่ 300 นี่ตัดได้นี่ครับ อาจารย์หันหน้ามามองผม ...แล้วยิ้ม... ทำไมล่ะ? ผมบอกว่า อาหาร 3 มื้อ ..อาจารย์ก็จัดให้..เรียบร้อย เสื้อผ้า..อาจารย์ก็ซื้อให้ใหม่..ปีละ 3 ชุด ..เรียบร้อย เจ็บป่วย ไม่สบาย ..อาจารย์ก็พาหมอมาฉีดยาให้ เรียบร้อย เพราะฉะนั้น เงินเดือน 300 นี่ ตัดได้ครับ
ท่านบอกว่า "ตัดไม่ได้เด็ดขาด”...คุณทองคำ 300 บาทนี่ สำคัญที่สุด สำคัญยังไง? เงิน 300 บาทนี่ เป็นเงินสำหรับ…เลี้ยงหัวใจแม่…
ผมฟังแล้ว...สะอึก โอ...นี่เป็นเงินเลี้ยงหัวใจแม่ พวกเรา เคยได้ยินไหมครับ? ผมนึกว่า ให้อาหาร...เสื้อผ้า.. เจ็บป่วยก็เอาหมอมารักษา น่าจะพอแล้ว ท่านบอกว่า อาหารกินแล้วก็ไปส้วม เสื้อผ้าเก่าแล้ว ก็เป็นผ้าขี้ริ้ว หมอรักษา ก็รักษาอาการทางกาย สิ่งต่างๆ ที่เราจัดให้ทั้งหมดนี้ เป็นอาหารกาย แต่ 300 บาทนี่ เป็นอาหารเลี้ยงหัวใจแม่ หัวใจต้องการอาหารที่มาหล่อเลี้ยงให้..เอิบอิ่ม...เบิกบาน...เป็นสุข คุณทองคำ ลองนึกดู คนที่ไม่มีเงินอยู่ในตัวเลยนี่ เป็นยังไง? "หัวใจมันแฟบ หัวใจมันเหี่ยวเฉา ...เหมือนดอกไม้ยามเย็น" ใครที่เป็นข้าราชการจะรู้ พอเลยวันที่ 25 ไปแล้วนี่ มันเหี่ยว ๆ ยังไงชอบกล ไม่มีเงินค่ารถไม่มีเงินค่าอาหาร ไม่มีเงินซื้อข้าวสาร มันเหี่ยวไปจนถึงสิ้นเดือน แม่อยู่กับเรา ก็จริง แต่ถ้าแม่ ไม่มีเงินอยู่ในมือนี่ หัวใจท่านเหี่ยว... พอถึงวันเงินเดือนออก ทุกคนหน้าบาน..เหมือนดอกไม้ยามเช้า จิตใจสดชื่น...เบิกบาน...มีความสุข รับเงินเดือนมาใหม่ๆ หน้าสดใส สั่งกาแฟยังเสียงดังฟังชัด ทุกสิ้นเดือน พอเงินเดือนออก ผมเข้าไปกราบแม่ บอกแม่ว่า วันนี้เงินเดือนออกครับ ผมนำเงินมาบูชาพระคุณแม่ 300 บาทครับ เอาเงิน 300 บาทใส่มือแม่ แม่ก็ให้ศีล ให้พร ยกหมอนขึ้น เอาเงินวาง แล้ววางหมอนทับ มีความสุข เดือนละ 300 สามสี่เดือน ก็เป็นพันใช่ไหมครับ แล้วเงินนี่สำคัญยังไง เลี้ยงหัวใจแม่อย่างไร?
... คุณย่าให้... ท่านเล่าต่อว่า ตอนนั้นท่านมีลูก 2 คน เป็นผู้หญิงทั้งคู่กำลังท้องคนที่ 3 วันหนึ่ง ก็พาเมียไปโรงพยาบาล แม่ถามว่า คลอดหรือยัง? ยังครับแม่
วันต่อมาถามอีก คลอดหรือยัง คลอดแล้วครับแม่ ผู้หญิงหรือผู้ชาย? ผู้ชายครับ โอ๊ย...แม่ดีใจจังเลย ได้หลานไว้สืบสกุล มานี่...มานี่.. ยกหมอนขึ้น..นับเงินส่งให้ 600 บาท เอาเงิน 600 บาทนี่ไปซื้อทอง 6 สลึง เอามารับขวัญหลานชาย แต่ก่อนทองคำบาทละ 400 อาจารย์รีบไปซื้อทองมาให้ วันรุ่งขึ้น แม่เขาอุ้มลูกขึ้นมาหาย่า ย่ากอดหลานชาย... สวมสายสร้อยให้เป่าหัวให้เสร็จ พอเด็กคนนี้โต พูดได้ มีคนถามว่าสายสร้อยนี้ใครซื้อให้ คุณย่าซื้อให้ ชี้มือไปที่คนตาบอด คนที่ใหญ่ที่สุดในบ้าน คือ คุณย่า ไม่ใช่พ่อแม่ เพราะเงิน 300 บาทนี่ เสกให้คนตาบอดขลัง ถ้าคุณย่าไม่มีเงิน จะรับขวัญหลานได้อย่างไร ? เห็นไหมครับ ? ไม่ใช่ว่า.. พอโตขึ้น.. มีคนถามว่า.. คนนี้เป็นใคร.. บอกว่า ... ยายแก่ตาบอดนี่.. มาอาศัยพ่อแม่ฉันอยู่.. เห็นหรือยังคุณทองคำ เงินเดือนๆ ละ 300 บาทนี่ ทำให้คนแก่ตาบอด กลายเป็นเทพเจ้า ..สร้อยนี่ คุณย่าให้...เงินเดือนมีฤทธิ์...วันดีคืนดีนะ คุณทองคำ แม่ครัว ล้างชามเสร็จ คุณย่าก็บอกให้มานวดขาให้ แม่ครัวหน้ามุ่ย ทำงานเหนื่อยจะตายยังต้องมานวดให้อีก นั่งขยำ ๆ หน้าคว่ำ พอนวดเสร็จคุณย่าหยิบเงินให้ 30 บาท แม่ครัวยิ้มหน้าบาน ยกมือไหว้ขอบคุณค่ะ
วันรุ่งขึ้น พอล้างจานเสร็จรีบวิ่งมานั่งใกล้ๆ วันนี้นวด...อีกไหมคะ..คุณย่า เห็นไหมเงินเดือน300 บาท ที่เราให้แม่เรานี่ มันมีฤทธิ์ มีคน.. มายกมือไหว้ มีคน มาปรนนิบัติ มีคน มานวดให้ ถ้าไม่มีเงินเดือนๆ ละ 300 บาทนี้ แม่เราจะมีฤทธิ์ได้อย่างไร
...บันไดไปสวรรค์... วันหนึ่งพระมาเรี่ยไร จะสร้างโบสถ์ อาจารย์นิมนต์พระเข้ามาแล้วชี้มือ ... บอกมรรคทายก..ว่า.. โน่นไปเรี่ยไรกับคุณย่าโน่น มรรคทายกบรรยายว่าจะสร้างโบสถ์...กว้างเท่านั้น..ยาวเท่านี้ สูงเท่าไร...สวยงามยัง...ราคาเท่าไร... คุณย่ายกหมอนขึ้น นับเงินมา 500 พนมมืออธิษฐาน ขอให้ศาสนาของพระองค์ ยืนยงไปอีก 5 พันปี นิพพานปัจโยโหตุ ทำบุญ...สร้างโบสถ์ไว้เป็นมิ่งขวัญในพระศาสนา ตกลงเงินเดือน ๆ ละ 300 ที่เราให้เป็นบันไดพาแม่ไปสวรรค์ นี่ถ้าแม่ไม่มีเงินในมือ แม่จะได้ทำบุญไหม”
...คุณยายตากผ้า... พอพระให้พรเสร็จ ก็เดินผ่านไปบ้านถัดไป ยายแก่บ้านโน้น กำลังเก็บผ้าอยู่หลังบ้าน มรรคทายก ตะโกนข้ามรั้ว ทำบุญสร้างโบสถ์ไหม คุณยาย สร้างที่วัดนครนายก นี่...หลวงพ่อมาด้วย มาบอกบุญเองเลย เดี๋ยวอีกสักครู่ วกกลับมาใหม่ได้ไหมล่ะ ยายไม่มีเงินหรอก ยายอาศัยลูกสาวเขาอยู่ เดี๋ยวเผื่อลูกสาวเขากลับมาทัน จะขอเงินเขาทำบุญ ยายแก่คนนี้ ไม่มีเงิน เพราะลูก เอามาเลี้ยงแปะๆ แมะๆ ไว้ข้างรั้วบ้าน เอาไว้คอยเก็บผ้า
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
@@ธรรมชาติสร้างความขัดแย้ง เพื่อให้คนเรียนรู้ซึ่งกันและกันได้ดียิ่งขึ้น@@@
|
|
|
Aj.O
|
|
« ตอบ #1 เมื่อ: 04 พฤศจิกายน 2549, 23:12:11 » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
...
|
|
|
Aj.O
|
|
« ตอบ #2 เมื่อ: 04 พฤศจิกายน 2549, 23:14:53 » |
|
Update ไม่ให้หายไป.... อิอิ หาเรื่องใหม่มาให้อ่านจ้า... เพื่อน ...
มีแม่ลูกคู่หนึ่งเดินบนชายหาด แล้วลูกก็ถามแม่ว่า "แม่ครับ ทำอย่างไรจึงจะรักษาเพื่อน ให้รักและอยู่กับเรานานๆ" แม่คิดอยู่ครู่หนึ่งก็ก้มลง เอามือทั้งสองกำทรายแล้วชูให้ลูกดู จากนั้นแม่ก็บีบมือข้างหนึ่งให้แน่น ทันใดนั้นเองทรายก็ไหลออกจากมือข้างนั้นเรื่อยๆ แม่บีบมืออยู่พักหนึ่ง แล้วก็แบมือให้ลูกดู มือข้างที่บีบแน่น หรือทรายอยู่เพียงเล็กน้อย แต่มือข้างที่กำอย่างหลวมๆยังคงมี ทรายอยู่เต็ม เมื่อลูกเห็นดังนั้นก็นิ่งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดกับแม่ขึ้นว่า "ผมเข้าใจแล้วครับ" แล้วคุณเข้าใจไหมว่าอะไร...
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
...
|
|
|
iamfrommoon
|
|
« ตอบ #3 เมื่อ: 06 พฤศจิกายน 2549, 07:55:56 » |
|
Thank u อีกทีนะจ๊ะ กำลังตามเจ้าของกระทู้น้องหมวยมาอยู่นะเนี่ย ไม่รู้หลงทาง แล้วกลับมาได้ยัง แต่ที่แน่ๆ อาทิตย์นี้เจอกัน แล้วจะเอารูปสวยๆ หล่อของชาวซีมะโด่งมาฝากนะ..."คืนสู่เหย้า" ย่อยๆ เลยหล่ะ ฮ่าๆๆๆ :wink:
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
@@ธรรมชาติสร้างความขัดแย้ง เพื่อให้คนเรียนรู้ซึ่งกันและกันได้ดียิ่งขึ้น@@@
|
|
|
party
|
|
« ตอบ #4 เมื่อ: 06 พฤศจิกายน 2549, 16:14:31 » |
|
ไม่รู้จะเป็นเรื่องดีๆ หรือ เปล่า...แต่มุขนี้ขำดีนะ..ได้ forwarded mail มาคะ
*****จดหมายจากลูกถึงพ่อ******
>> >กราบเท้าคุณพ่อคุณแม่ที่เคารพ
> >คุณพ่อคะ คุณแม่คะ
>>เป็นอย่างไรบ้างสบายดีหรือเปล่าคะ
>> >ผ่านมาเกือบครึ่งปีตั้งแต่หนูเข้ามาเรียนในกรุงเทพฯ
>> >หนูไม่ได้ติดต่อคุณพ่อคุณแม่เลย
>> >หนูอยู่ที่นี่สบายดี...พี่มากเค้ารักหนูและดูแลหนูเป ็นอย่างดี
>> >สงสัยหรือคะว่าพี่มากคือใคร
>> >จำได้มั้ยคะวันที่หนูจากคุณพ่อคุณแม่ที่สถานีรถทัวร์ เข้ามาเรียนที่กรุงเทพฯ
>> >รถทัวร์ที่หนูนั่งมาเกิดอุบัติเหตุใกล้ปั๊มน้ำมันแห่ งหนึ่งในกรุงเทพฯ
>> >หลังเกิดอุบัติเหตุ มีคนมาล้อมหน้าล้อมหลังหนูเต็มไปหมดเลยค่ะ
>> >และมีคนขโมยกระเป๋าเดินทางและกระเป๋าตังค์ไป
>> >พี่มากเค้าเป็นเด็กปั๊มที่นั่นค่ะ
>>พอรถชนกันเค้าก็เข้าไปช่วยปฐมพยาบาล
>> >เราเจอกันที่นั่นค่ะคุณพ่อเค้าเป็นคนดีมาก
>เราพูดคุยกันซักครู่ใหญ่
>>รู้สึกถูกคอกันมากคุณแม่ขา
>นี่แหละมั้งคะที่เรียกว่ารักแรกพบ
>> >พอเค้ารู้ว่าหนูยังไม่มีที่พักไม่มีญาติในกรุงเทพฯ
>> >และยังไม่รู้จะไปพักที่ไหนแถมยังบาดเจ็บจากอุบัติเหต ุ
>> >พี่มากเลยชวนหนูไปอยู่ด้วยกันที่หอพักใกล้ๆปั๊มน้ำมั นนั้น
>> >ด้วยความตกใจและไม่มีที่พึ่งทำให้หนูรับปากพี่เค้าไป โดยไม่รู้ตัว
>> >แต่ว่าคุณพ่อคะพี่มากเป็นคนดีมากค่ะ เค้าไม่เคยแตะต้องตัวหนูเลย
>> >เราอยู่ด้วยกันปร ะมาณ2เดือน พี่มากจึงขอหนูแต่งงานค่ะ
>> >หนูขอโทษที่ไม่ได้บอกคุณพ่อคุณแม่ก่อน
>> >แต่ด้วยความใกล้ชิดทำให้หนูไม่สามารถยั้งใจไว้ได้
>> >จึงได้บอกตกลงพี่มากเค้าไป
> >อภัยให้เรานะคะนึกว่าเห็นแก่เด็กตาดำๆ
>>ที่จะเกิดมาดูโลกนี้อีกไม่นานเท่าไร
>หนูกำลังมีหลานให้คุณแม่ค่ะ
>> >คาดว่าการเรียนเทอมแรกนี้คงต้องพักไว้ก่อน
>>หรือไม่ก็ต้องเลิกเรียนไปเลย
>> >เพราะว่าหนูคงต้องช่วยพี่มากหาเงินก่อนที่ท้องจะใหญ่ ไปกว่านี้
>> >พอลูกคลอดแล้วก็คงต้องอยู่เลี้ยงลูกอีก คงไปเรียนไม่ได้
>> >เงินทองก็หมดไปทุกวันๆแต่หนูก็ยังสุขใจดีค่ะ ไม่ต้องห่วง
>> >คุณพ่อคุณแม่อย่าโกรธหนูนะคะ
>มันเป็นเรื่องสุดวิสัยจริงๆ
>> >แต่หนูคิดว่าคุณพ่อคุณแม่คงจะให้อภัย
>> >เมื่อคลอดลูกแล้วหนูจะพาพี่มากและลูกไปกราบเท้าคุณพ่ อคุณแม่ที่บ้านนะคะ
>> > >ที่หนูเขียนจดหมายมาหาคุณพ่อคุณแม่วันนี้
>>มีข่าวดีและข่าวร้ายมาบอกค่ะ
>ข่าวดีก็คือที่หนูเล่ามาทั้งหมดนั่น
>>เป็นเรื่องไม่จริงค่ะหนูล้อเล่นค่ะ!!
>> >ส่วนข่าวร้ายก็คือเทอมแรกหนูสอบได้F 3 วิชาD 2 วิชา และ C อีก1วิชา
>> > >เห็นมั้ยคะ มันไม่ได้ร้ายแรงไปกว่าที่หนูเล่ามาตั้งแต่ต้นหรอก
>> >ดีกว่าซะอีกจริงมั้ยคะ ฉะนั้นอย่าโกรธหนูนะคะ
>> >ด้วยรักและเคารพอย่างสูง
> >หนูดาที่รักของคุณพ่อคุณแม่
>> >ป.ล.เงินที่คุณพ่อให้มาหมดแล้วล่ะค่ะ
>> >ถ้าคุณพ่อจะเห็นใจช่วยโอนเงินเข้าให้หนูด้วยนะคะ" >
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
party
|
|
« ตอบ #5 เมื่อ: 06 พฤศจิกายน 2549, 16:15:49 » |
|
จดหมายตอบกลับ
>> >--------------------------- > >สวัสดีจ้ะลูกรักของพ่อ
>> >ที่ลูกเล่ามาทั้งหมดตั้งแต่แรกนั่นน่ะ ทำเอาพ่อใจไม่ดีไปเลยเชียว
>> >พ่ออ่านจดหมายลูกได้แค่ครึ่งเดียวก็โกรธจัดจนไม่ได้อ ่านต่อ
>> >เพราะว่าบันดาลโทสะทำให้พ่อกับแม่ทะเลาะกันยกใหญ่
>> >แม่เค้าไม่เชื่อว่าเป็นเรื่องจริงเพราะเค้ารักลูกมาก
>> >คิดว่าลูกคงจะไม่ทำให้เค้าผิดหวัง
>> >แต่พ่อก็โมโหซะจนลืมตัวทะเลาะกับแม่อย่างแรง
>> >ลูกก็รู้ว่าแม่ป่วยเป็นโรคหัวใจอยู่
>> >พ่อผิดเองที่ไม่รู้จักคิดรู้จักยั้งความโกรธ เราทะเลาะกันแรงมาก
>> >จนแม่เค้า......ล้มลงหัวใจวาย ยาที่เคยมีอยู่ในบ้านก็หาไม่เจอ
>> >พ่อพาแม่แกส่งโรงพยาบาลก็สายไปซะแล้ว
>> >พ่อกำลังเศร้ามากคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
>> >มันเกิดจากพ่อไม่อ่านจดหมายของแกให้จบซะก่อน
>แม่แก็เลยมีอันเป็นไป
>> > >อ้อพ่อมีข่าวดีและข่าวร้ายสำหรับลูก >
>> >ข่าวดีคือแม่แกยังอยู่สบายดีไม่มีอะไรพ่อล้อเล่น
>> >ข่าวร้ายคือแม่เค้าเสียไพ่เลยไม่มีเงินส่งไปให้ลูก
>> >แต่มันก็ยังดีกว่าที่แม่เค้าจะเป็นอะไรไปใช่ไหมล่ะ
>> >หวังว่าลูกคงอ่านจดหมายจนจบนะ
>> >ไม่ใช่ตกใจตะลีตะเหลือกไปฆ่าตัวตายซะก่อน
> >รักลูกมากจ้ะ
> >พ่อ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
i_tan
มือใหม่หัดเมาท์
ออฟไลน์
กระทู้: 78
|
|
« ตอบ #6 เมื่อ: 10 พฤศจิกายน 2549, 14:25:25 » |
|
-*- ผมกลับมาแล้วพี่ แต่แค่แอบเข้ามาเล่นเป็นนินจา แว๊บไปแว๊บมาก่อนชั่วคราวเท่านั้นเองแหละคับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
i_tan
มือใหม่หัดเมาท์
ออฟไลน์
กระทู้: 78
|
|
« ตอบ #7 เมื่อ: 10 พฤศจิกายน 2549, 14:58:02 » |
|
จดหมายตอบกลับ (อีกที)
คุณพ่อคะ คุณแม่คะ
หนูได้อ่านจดหมายของพ่อแล้วนะคะ ข่าวดีคือหนูอ่านจดหมายตั้งแต่ต้นจนจบเลยคะ ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะว่าหนูจะฆ่าตัวตาย หนูไม่กล้าหรอกคะ อีกอย่างคือหนูกลัวบาปอ่ะคะ กลัวมั๊กๆด้วย T.T ส่วนข่าวร้ายคือตอนนี้หนูโดนมาเฟียจับตัวอยู่คะ หนูเอาเงินที่คุณพ่อคุณแม่ให้มาไปแทงพนันฟุตบอลจนเป็นหนี้เค้าหลายแสนบาทเลยค่ะ เค้าบอกว่าถ้าไม่หาเงินมาใช้หนี้ เค้าจะตัดแขนขาหนูแล้วส่งหนูไปนั่งขอทานหาเงินใช้หนี้ให้เค้าอะคะ เรื่องจิงนะคะ!! ถ้าคุณพ่อคุณแม่จะเห็นใจช่วยโอนเงินเข้าให้หนูด้วยนะคะ ด่วนเลยนะคะ หนูไม่อยากถูกส่งกลับบ้านแบบแพ๊คใส่ลัง เหลือแต่หัวโผล่ออกมานอกลังอ่ะคะ Y.Y
เห็นมั้ยคะ มันไม่ได้ร้ายแรงไปกว่าที่หนูเล่ามาตั้งแต่ต้นหรอก
ด้วยรักและเคารพอย่างสูง หนูดาที่รักของคุณพ่อคุณแม่
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Aj.O
|
|
« ตอบ #8 เมื่อ: 14 พฤศจิกายน 2549, 22:28:53 » |
|
อัพเดตสักหน่อย เดี๋ยวกระทู้ตาย ไม่สนใจ โจ้แล้ว... ชอบชักใบให้เรือล่มมมมม.... เรามาอ่านเรื่องใหม่กันต่อดีกว่า... อันนี้มอบให้สำหรับคนทำงานหนักนะจ๊ะ....
คนตัดไม้...
มีคนตัดไม้คนหนึ่ง นำฟืนไปขายให้แก่ร้านขายฟืน ซึ่งร้านขายฟืน ก็ปฏิบัติต่อคนตัดไม้ดีมาก ดังนั้นคนตัดไม้จึงคิดอยากตอบแทน โดยการจะตัดไม้ให้ได้เป็นจำนวนมากๆ ในวันแรกคนตัดไม้ตัดไม้ได้ 20 ต้น แล้วนำมาให้ร้านขายฟืนซึ่งร้านขายฟืนก็ชมเชยและปฏิบัติต่อ คนตัดไม้อย่างดี แต่พอในวันที่ 2 คนตัดไม้ก็ตั้งใจจะตัดให้ได้มากขึ้นแต่ปรากฏว่ากลับตัดได้เพียง 18 ต้น ในวันรุ่งขึ้นก็กะว่าจะตัดให้ได้มากยิ่งขึ้นแต่ก็กลับเหลือ 16 ต้น ยิ่งนับวันผ่านไปเรื่อยๆก็ตัดได้น้อยลงเรื่อยๆ จนในที่สุดคนตัดไม้ก็รู้สึกละอายใจ จึงไปกล่าวคำขอโทษกับทางร้านขายฟืน แต่เจ้าของร้านขายฟืนก็กลับถามคนตัดไม้ว่า คุณลับขวานครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่" คนตัดไม้ตอบว่า ผมไม่มีเวลาหยุดลัดขวานเลย เพราะขนาดไม่หยุดยังตัดไม้ได้น้อยขนาดนี้" ซึ่งเจ้าของร้านก็บอกแก่คนตัดไม้ว่า คุณลองคิดดูสิว่าหากคุณหยุดลับขวานให้คม โดยเสียเวลาเพียงเล็กน้อย คุณอาจตัดไม้ได้มากกว่านี้ก็ได้ เปรียบได้กับการทำงาน ถ้าคุณก้มหน้าก้มตาทำโดยไม่หยุดพักหยุดคิด ก็เปรียบได้กับคนตัดไม้ คุณก็จะล้าลงไปเรื่อย..
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
...
|
|
|
Aj.O
|
|
« ตอบ #9 เมื่อ: 16 พฤศจิกายน 2549, 18:10:08 » |
|
ล้วงเอากระทู้เก่ามารวมร่างกับกระทู้นี้เลยดีกว่า... ขี้เกียจตั้งใหม่ เดี๋ยวต้องคอยอัพเดตอยู่เรื่อยๆ ทุกเจ็ดวัน(รึเปล่านะ?) :?
ความรู้สึก ระยะห่างระหว่างคน...
ตอบเมื่อ: Sat Mar 04, 2006 10:37 pm
วันเวลาที่ผ่านมา ชั่วระยะเวลาหนึ่งของชีวิต ผู้คนมากมายผ่านเข้ามา บางคนผ่านมาเพียงเพื่อจะผ่านไป แต่กลับบางคนกลับไม่เป็นเช่นนั้น จากคนแปลกหน้า กลายเป็นคนรู้จัก คนคุ้นเคย ล่วงเลย ไปถึงกลายเป็นคนรักกัน
เวลาเปลี่ยน สถานการณ์เปลี่ยน สถานภาพทางความรู้สึกของเราก็อาจมีการเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย บางคนยังคงความเป็นคนแปลกหน้า ยังรักษาระยะห่างของการเป็นคนรู้จักคนคุ้นเคย หรือ คนรักกันไว้ได้อย่างคงที่
บางคน เปลี่ยนแปลงจากคนแปลกหน้า กลายเป็นคนคุ้นเคย
จากคนเคยคุ้น กลายมาเป็น คนรักกัน .... ทำลายระยะห่างของความรู้สึกให้สั้นลงอย่างรู้สึกได้
และเมื่อนั้น เรื่องราวดี ๆ สวยงามทางความรู้สึกจึงเกิดขึ้น ...
แต่ในทางกลับกัน... ระยะห่างของบางคน อาจห่างไกลออกไปจนสุดหูสุดตา จากคนเคยรัก คนเคยคุ้น ....กลายเป็นแค่คนเคยรู้จัก ...
กลายเป็นคนแปลกหน้าทางความรู้สึกไป ... แน่นอนว่า ระยะห่างของคนรู้จัก กับ คนรัก ย่อมไม่เท่ากันเป็นแน่ แต่นั่นแหละ ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปได้เสมอ...
ฉันเชื่อในเรื่องของการเปลี่ยนแปลงของเวลา พอ ๆ กับเชื่อในเรื่องของการเปลี่ยนแปลงของความรู้สึก... ไม่มีมาตราวัดใด ๆ ที่จะใช้วัดระยะห่างของความรู้สึกได้ และระยะห่างในแต่ละสถานภาพทางความรู้สึกในแต่ละคนก็คงจะไม่เท่ากัน...
เราระบุชัดไม่ได้ว่า 1 เท่ากับ 1 ในความรู้สึกของอีกคน 1 ในความรู้สึกของคนหนึ่ง อาจจะเป็น 100 ในความรู้สึกของอีกคนก็เป็นได้ ... และในเมื่อการคบหากันเป็นปฏิสัมพันธ์ของคนสองคน .... เราจึงมองเห็นความไม่ลงตัว เห็นระยะห่างที่ไม่เท่ากันของคนสองคนได้เสมอ
กับคนบางคน เราอยากเป็นมากกว่าคนรู้จัก เราก็จะพยายามที่จะทำให้ระยะห่างของเรามันสั้นลง กับคนบางคน เราอยากเป็นน้อยกว่าที่เป็นอยู่ . ....... เราก็จะพยายามที่จะทำให้ระยะห่างของเรายาวไกลออกไป...
แต่กลับบางคนเรากลับอยากจะรักษา ระยะห่าง ตรงกลาง ไว้ให้คงที่ ไม่ให้ห่างหาย จางหนี หรือ เข้ามาใกล้จนเรารู้สึกอึดอัด.... เคยรู้สึกใช่ไหมว่า ... ขณะที่เราเดินเข้าหา บางคนกลับกำลังเดินหนี กับบางคนเรากำลังเดินหนี บางคนกลับเดินตาม
กับบางคนเราก็ต้องการระยะห่างประมาณหนึ่ง ไม่ต้องใกล้มาก แต่ไม่ต้องการห่างหายไปไหน...
ขณะที่บางคนวิ่งตาม ล้มลุกคลุกคลาน
เจ็บปวดกับระยะห่างของอีกคนที่ทิ้งไว้ตรงหน้า ขณะเดียวกันกับที่อีกคนก็วิ่งหนี โดยไม่คิดจะหันกลับมามองความเจ็บปวดของอีกคน อะไรก็เกิดขึ้นได้ กับความรู้สึกคน... เหนื่อยแสนเหนื่อย ล้าแสนล้า .... แต่สุดท้ายก็ยังพยายาม พยายามที่จะยื้อยุดฉุดดึงอยู่เช่นนั้น
บางคนปล่อยความรู้สึกของอีกคนไว้ บนความห่าง ห่างจนลับตา ... ไม่เคยหันกลับมามองหรือรับรู้ความเป็นไปของอีกคน ไม่เคยรับรู้ว่า ... ระยะห่างที่เขาทิ้งไว้อีกคนมันสร้างความเจ็บปวดได้ประมาณไหน แต่ก็มีบางคนที่เหนื่อยล้ากับระยะห่างที่พยายามรักษาไว้เพียงแค่นั้น ไม่ต้องห่างไป แต่ เข้าใกล้กว่านี้ไม่ได้ ... ต้องการเพียงเส้นขนานที่ไม่มีทางมาบรรจบ :roll: การทำลายระยะห่างของคนสองคนอาจไม่ใช่เรื่องยาก แต่ก็ไม่ได้ง่ายดายนักสำหรับอีกหลาย ๆ คน
บางคนพยายามมาเกือบทั้งชีวิต.... ระยะห่างที่ว่าก็ยังคงห่างอยู่เช่นเดิม....
ขณะที่บางคนอยู่นิ่ง ๆ ไม่วิ่งหนี ไม่วิ่งตาม ปล่อยทุกอย่างให้เป็นหน้าที่ของเวลา ไม่เรียกร้องให้เกิดความคาดหวัง ไม่ปล่อยละเลยจนเหมือนชาเฉย
ระยะห่างนั้นกลับขยับเข้ามาใกล้ราวปฏิหาริย์... เอาใจช่วยสำหรับคนที่กำลังพยายามเดินเข้าหา... ให้อีกคนหันกลับมามองบ้าง ระยะห่างจะได้สั้นลง พยายามต่อไป เพราะวันหนึ่งคุณอาจรู้สึกว่าความพยายามของคุณมิได้ไร้ค่า
ร้องขอสำหรับคนที่กำลังเดินหนี ให้หันกลับมามองความรู้สึกของอีกคนบ้าง เพราะบางทีคุณอาจจะสูญเสียอะไรดี ๆ ไป เพราะระยะห่างที่คุณทิ้งไว้ให้อีกคน
เห็นใจกับการรักษาระยะห่างให้คงที่สำหรับบางคน เพราะบางทีมันก็ทรมานมากกว่า การพยายามเดินเข้าใกล้หรือห่างหนี...เสียอีก... :?
แล้วคุณ ๆ เล่า
เคยนึกย้อนกลับมามอง ระยะห่าง ของคุณกับผู้คนรอบตัวกันบ้างไหม... เคยรู้สึกไหมว่า
บางที ความห่างไกล กับ ระยะห่างของความรู้สึกเป็นกลับเป็นตัวแปรผกผันกัน
เคยรู้สึกได้ถึงระยะห่างทั้งที่ตัวอยู่ใกล้ๆ หรือรู้สึกใกล้กันแล้วทางความรู้สึกทั้งที่ตัวอยู่แสนไกล กันบ้างไหม.... เคยคิดกันบ้างไหมว่า
ระหว่างคนพยายามเดินหนี คนที่พยายามเดินตาม และคนที่พยายามยังไงระยะห่างกลับเท่าเดิม
คนไหนเจ็บปวดไปกว่ากัน... :|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
...
|
|
|
Aj.O
|
|
« ตอบ #10 เมื่อ: 16 พฤศจิกายน 2549, 18:20:32 » |
|
เราเหนื่อยอ่ะ
ไม่เดิน ไม่วิ่งตามใครแล้ว ตอนแรกก็นั่ง ยองๆ รอมีแรงแล้วค่อย เดิน
ได้ที่แล้วก็ค่อยวิ่งอ่ะ แต่ตอนนี้ นั่งขัดสมาธ แล้ว สักพักก็ว่าจะนอนหงาย
มองทองฟ้าแล้วอ่ะ เหนื่อยแล้ว ใครจะทำอะไรก็ช่างเค้าเถอะ
ใครคิดถึงเรา เดี๋ยวก็คงเดินมาหา แล้วก็ชะโงกหน้ามาขัดจังหวะตอนเรามองท้องฟ้า
ว่า " ทำอะไรอยู่อ่ะ" :wink: เรื่องบางเรื่อง การยืนรอนั้นเร็วกว่าการวิ่งตาม แต่ จงอย่าคิดว่าจะเป็นเช่นนั้นเสมอ บางครั้ง เราก็ต้องออกแรงวิ่งบ้าง แม้จะไม่ได้อะไรเลย ก็ถือว่าเป็นการออกกำลังกายล่ะกัน หุ หุ ก่อนจะวิ่งก็ต้องดูทิศด้วยนะโว้ย... อือ..ไอ้ MAX มันนอนอยู่เดี๋ยวไปเหยียบมันเข้า นั่นดิ วิ่ง ๆ กันเนี่ย
ระวังเหยีบบ ข้าพเจ้าเข้านะ
พักเหนื่อยเดี๋ยวค่อยวิ่ง ต่อ :wink: มันนอนอยู่คนเดียว หรือมีคนนอนอยู่ข้างล่างมันอีกคนวะ
ตาแคม มีคนนอนอยู่ข้างล่าง
ดีกว่ามีคนนอนอยู่ข้างบนว่ะ ตาแคม ตอบเมื่อ: Sat Mar 18, 2006 9:49 pm ห่างก็คือห่าง ใกล้ก็คือใกล้ เดี๋ยวห่างเดี๋ยวใกล้ ... ให้ใจคอยวุ่นวายสับสน ไม่รู้ว่าควรห่างเท่าไร ไม่รู้ว่าต้องเข้าไกล้เท่าไร รู้แต่ว่า อยากมองข้าง ๆ แล้วยังเห็นว่ายังอยู่ ... บางครั้งก็อยากเดินคนเดียว บางครั้งก็อยากมีเพื่อนเดิน บากครั้งอยากพาใครเดิน แต่หลายครั้งที่อยากอยู่เฉย ๆ มองชีวิตคนอื่นเดินไป ชีวิต มันต้องมีแรงดันให้ก้าวเดิน ทำเพียงแค่ตัวเอง แรงอาจจะไม่พอ แต่ถ้าทำเพื่อใครคนหนึ่ง แรงมันมากมายมหาศาล ทำให้ทุกก้าวของชีวิต นั้นเปี่ยมด้วยพลังแห่งความมุ่งมั่น และความหมาย ความรู้สึก มันอาจห่างเหินไป แต่ความทรงจำมันยังอยู่ ... รอจังหวะเพียงสักครั้งให้ได้แว่บขึ้นมาให้ระลึกถึง เมื่อห่างเหิน มองข้างก็ห่างหายไป แรงผลักดันของชีวิตก็เหือดหายไป ... เมื่อได้เข้าใกล้ มองข้างก็อุ่นใจ แรงผลักอันมหาศาลก็ได้ขับเคลื่อนชีวิตต่อไป ... เราคิดว่า หากเราได้มีกิจกรรมใหม่ๆ หรือพัฒนาสิ่งเดิมที่เคยทำร่วมกันอย่างต่อเนื่อง สม่ำเสมอแล้ว ก็จะเป็นสื่อเบื้องต้นที่ทำให้เราได้ใกล้ชิดกัน แต่ทุกอย่างย่อมต้องมีการพักบ้างนะคะ มีระยะห่างเล็กน้อยก็ยังดี เพื่อให้สายใยที่มีความผูกพันทำงานแทนน่ะ หากยังสามารถทำงานได้ก็เกิดความรู้สึกคิดถึงกัน ก็เป็นอารมณ์ที่มีความสุขอย่างหนึ่งนะคะ น้อง Sharp ขอยกนิ้วให้...มัน "โดนใจ" มาก...ซึ้งมาก ถึง มากที่สุด...
แล้วจะรออ่านเรื่อยๆ นะคับ มีอยู่ช่วงนึง ผมมักจะเขียนใส่ในสมุดประจำตัวแต่ละคนตอนจบค่าย สำหรับคนที่มีแฟนอยู่แล้วตอนนั้น JIB JIB น่าจะเคยอ่าน...
......ความรัก..หาใช่แต่เพียงการยอมรับความเป็น "ปัจเจกชน" ของแต่ละฝ่ายเท่านั้น หากแต่เป็น
การเปิดโอกาสให้อีกฝ่าย ได้มีโอกาสพัฒนาความเป็น "ปัจเจกชน" ของตนเอง ถึงแม้ว่าการทำ
อย่างนั้น จะเสี่ยงต่อการอยู่"ห่างกัน" ก็ตาม...
อ่านจากหนังสือประวัติส่วนตัวของคุณนฤมล..(ไม่รู้เขียนถูกรึเปล่า..)ที่เป็นพิธีกรรายการทุ่งแสงตะวันน่ะ..
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
...
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #11 เมื่อ: 17 พฤศจิกายน 2549, 08:27:39 » |
|
จาย์โอ ข้อความของกระผมไม่ต้อง post ก้อได้นะ รู้สึกผมจะเป็นพวกชอบออกนอกประเด็นเรื่อยอ่ะ หุหุ
ตาแคม :lol:
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Aj.O
|
|
« ตอบ #12 เมื่อ: 22 พฤศจิกายน 2549, 22:57:43 » |
|
อัพเดตครับ :wink: เรื่อง: เจ้าหญิงก้อนหินกับเจ้าชายน้ำหยด ที่มา: ไม่ระบุ
หลังจากผิดหวังในความรัก เจ้าหญิงก็เสียใจ นั่งนิ่งไม่เคลื่อนไหว จนร่างกายค่อยๆ กลายเป็นหิน ชายใดสามารถทนกอดก้อนหินได้ด้วยความรักจริง ก้อนหินจะกลับมาเป็นเจ้าหญิงงดงามดั่งเดิม เจ้าชายน้ำหยดอ่านแผ่นป้ายหน้าก้อนหินรูปทรงประหลาดอย่างสนใจ "ต้องกอดนานเท่าไหร่" เจ้าชายถามคนเฝ้าก้อนหิน "ไม่รู้... เพราะยังไม่มีใครทนกอดได้สำเร็จสักคน" คนเฝ้าก้อนหินตอบโดยไม่เงยหน้า "เราจะกอดเจ้าหญิงเอง" แล้วเจ้าชายก็ค่อยๆ นั่งลงบรรจงกอดก้อนหินอย่างทะนุถนอม ..........
หนึ่งปีผ่านไป เจ้าชายน้ำหยดยังกอดก้อนหินอยู่ "นี่ท่านยังกอด ก้อนหินอยู่อีกหรือ" คนเฝ้าก้อนหินรู้สึกทึ่งกับความอดทนของเจ้าชาย "ท่านทำได้อย่างไร" "เพราะข้าอยู่กับปัจจุบัน" เจ้าชายเห็นคนเฝ้าก้อนหินงง เจ้าชายจึงอธิบายต่อ "ถ้าท่านกอดก้อนหิน หนึ่งวัน ท่านทำได้หรือไม่" "สบายมาก" คนเฝ้าก้อนหินตอบโดยไม่ต้องคิด "แล้วถ้ากอด สองวัน ล่ะ" "อาจเริ่มเบื่อนิดๆ" "แล้วถ้า สามวัน สี่วัน หรือสิบวันล่ะ" "ไม่เอา ข้าไม่มีความอดทนขนาดนั้นหรอก" "นั่นเพราะท่านไม่อยู่กับปัจจุบัน... ท่านคิดไปก่อนล่วงหน้าว่าไม่ไหว" "ไม่เข้าใจ" "ในเมื่อท่านบอกว่ากอดก้อนหินหนึ่งวันได้สบายมาก พรุ่งนี้หรือวันต่อไป มันจะต่างกันตรงไหน มันก็เป็นแค่ หนึ่งวัน ที่ผ่านไปเช่นเดียวกัน" เจ้าชายลูบก้อนหินราวกับมีชีวิต "ในสายตาท่าน อาจจะเห็นว่าข้ากอดก้อนหินนี้มาเป็นเวลาหนึ่งปี แต่ในความรู้สึกข้า ข้าเพิ่งกอดเจ้าหญิงผ่าน 'หนึ่งวัน' มาแค่ 365 ครั้งเท่านั้นเอง" "ข้าก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี แต่ช่างมันเถอะ ข้าต้องการรู้แค่ว่า ที่ท่านกอดก้อนหินเพราะท่านรักเจ้าหญิงจริง ๆ หรือเพราะต้องการเอาชนะ" "ข้ารักจริง" ปากเจ้าชายตอบโดยมือยังไม่คลายกอดจากก้อนหิน "เอาอย่างนี้ละกันท่าน... นั่นน่ะมันแค่ก้อนหิน ส่วนข้าสิ 'เจ้าหญิง' ตัวจริง" คนเฝ้าก้อนหินลุกขึ้นยืน ถอดเสื้อผ้าชุดมอมแมมออก "ข้าว่า... ท่านมากอดข้าดีกว่า"
......... ตกลงเลยไม่รู้ว่าจะให้เจ้าชายดีใจ หรือกระโดดเตะเจ้าหญิงดี
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
...
|
|
|
Aj.O
|
|
« ตอบ #13 เมื่อ: 22 พฤศจิกายน 2549, 22:59:58 » |
|
ตอบเมื่อ: Fri Apr 21, 2006 12:02 pm
นี่มันแค่ภาคแรกเอง ภาคแรก..สอนให้รู้ว่า 1.ผู้ชายบอกว่ารักได้ เมื่อเห็นแค่หน้าตา 2.ผู้หญิงสวย จะเอาแต่ใจ เย็นชาและเรื่องมาก เลยจำเป็นต้องเลือกผู้ชายโดยดูที่ความอดทน
- - - - - - - - - - - อ่ะ..แต่งต่อให้ เนื้อเรื่องภาคสอง เจ้าชายกะเจ้าหญิงอยู่กันอีก 1 ปี ก็เลิกกัน เจ้าชายพบว่าเจ้าหญิงไม่ได้ดีอย่างที่คิด เจ้าชายตัดสินใจบอกข้อเสียของเจ้าหญิงให้เธอฟัง แล้วบอกเธอว่า ถ้าเธอไม่แก้ไข เจ้าชายคงทนไม่ไหว เจ้าหญิงตัดพ้อว่าเจ้าชายเปลี่ยนไปไม่อดต่อเธอเหมือนเมื่อก่อน เมื่อเจ้าหญิงไม่คิดจะเปลี่ยนแปลง..เจ้าชายจึงเดินทางจากไป เจ้าหญิงเสียใจกลับไปนั่งเฝ้าที่หน้าก้อนหินเหมือนเดิม
ภาคสอง..สอนให้รู้ว่า 1.ความรักของผู้ชาย ที่เกิดจากการมองแค่ภายนอก อาจจะไม่ยั่งยืนนัก 2.รอคอยให้ได้มาซึ่งรัก ทำให้เราทรมาน แต่การต้องอยู่กับความรักที่ทำให้เราเจ็บ มันทรมานกว่า เราอดทนกับอย่างแรกได้ แต่อาจทนกับอย่างที่สองไม่ได้ 3.เค้าทนข้อเสียเราได้ ไม่ได้หมายความว่าเค้าจะทนตลอดไป เมื่อรู้ข้อเสียของตัวเอง ควรพยายามลดมันลงเพื่อให้คนที่คุณรักอยู่กับคุณนานๆ 4.แต่ไม่มีใครสามรถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ 100% มันมากเกินไป เราขอให้เค้าเปลี่ยนเพื่อเราได้ แต่เราเองก็ควรเปิดใจยอมรับความเป็นตัวเค้าเช่นกัน
เด๋ว ว่างๆจะมาแต่งภาคสามต่อนะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
...
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #14 เมื่อ: 23 พฤศจิกายน 2549, 12:53:05 » |
|
เมื่อชัยอายุ 6 ขวบ ขณะที่นั่งรถไปกับพ่อ ถูกตำรวจจับเพราะขับรถเร็วเกินกำหนด พ่อแอบยื่นเงิน 500 บาทให้ตำรวจ และได้รับอนุญาตปล่อยตัวไป พ่อหันมาพูดกับชัยว่า "ไม่เป็นไรลูก เงินแค่นี้ซื้อเวลา ใครใครเขาทำกันทั้งนั้นแหละ"
เมื่อชัยอายุ 8 ขวบ ป้าพาไปซื้อของที่ห้างสรรพสินค้าเป็นเงิน 75 บาท เมื่อป้าไปชำระเงิน ยื่นธนบัตรร้อยบาทให้พนักงาน ได้รับเงินทอน 55 บาท เพราะลูกค้ามาก และเข้าใจว่าธนบัตร 50 บาทคือ 20 บาท ป้ารับเงินทอนและใส่กระเป๋าทันที แทนที่จะบอกพนักงานว่าทอนเงินผิด เมื่อออกจากร้านป้าก็พูดกับชัยว่า "ไม่เป็นไรหลาน ความผิดของเขาเองใครใครเขาทำกันทั้งนั้นแหละ"
เมื่อชัยอายุ 9 ขวบ ครูให้การบ้านปลูกต้นหอมแดงในกระบะ 2 สัปดาห์ แล้วนำไปส่งที่โรงเรียน แม่ลืมซื้อหัวหอมแดงมาให้ชัย เมื่อครบกำหนดวันส่ง แม่ให้พ่อไปซื้อต้นหอมแดงที่ตลาด และฝังลงในกระบะให้ชัยนำไปส่งครู และพูดว่า "ไม่เป็นไรลูก ครูไม่รู้หรอก มีส่งก็ดีแล้ว ใครใครเขาทำกันทั้งนั้นแหละ"
เมื่อชัยอายุ 12 ขวบ ชัยทำแว่นตาใหม่ราคาแพงของลุงแตก ลุงจึงนำใบเสร็จไปอ้างกับบริษัทเครดิต ที่ลุงใช้บริการอยู่ว่าแว่นตาถูกขโมยได้รับเงินชดใช้มา 15,000 บาท เต็มราคาที่ซื้อมา ลุงพูดกับชัยอย่างภาคภูมิใจว่า "ไม่เป็นไรหรอกหลาน สิทธ์ของเราใครใครเขาก็ทำกันทั้งนั้นแหละ"
เมื่อชัยอายุ 15 ปี ได้เป็นนักฟุตบอลของโรงเรียน ครูฝึกได้สอนวิธีกลั่นแกล้ง ฝ่ายตรงข้ามให้บาดเจ็บโดยไม่ผิดถือว่าอยู่ในเกม ครูฝึกบอกว่า "ไม่เป็นไรหรอก ได้เปรียบไว้ก่อนเป็นดี ใครใครเขาทำกันทั้งนั้นแหละ"
เมื่อชัยอายุ 16 ปี ได้ไปทำงานระหว่างปิดเทอมที่แผนกซูปเปอร์มาร์เก็ต ของห้างสรรพสินค้าที่มีชื่อแห่งหนึ่ง หัวหน้าแผนกให้ชัยจัดกระเช้าผลไม้ โดยแนะนำให้จัดวางผลไม่สวยจวนจะเน่าอยู่ก้นตะกร้า คัดผลสวย ใบโตสีสด จัดวางอยู่ส่วนบน หัวหน้าแผนกสอนว่า "ไม่เป็นไรหรอก ผู้ซื้อไม่ได้ใช้เอง แต่นำไปฝากคนอื่น ใครใครเขาทำกันทั้งนั้นแหละ"
เมื่อชัยอายุ 18 ปี ได้สมัครสอบเพื่อเข้าขอรับทุนของมหาวิทยาลัย ปรากฏผลทราบเป็นการภายในว่ามาเป็นอันดับ 2 เมื่อพ่อรู้เข้าจึงไปพูดกับกรรมการซึ่งเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกัน ในที่สุดชัยก็ได้รับทุน พ่อพูดกับชัยว่า "ไม่เป็นไรลูก เป็นโอกาสของเรา ใครใครถ้ามีโอกาส เขาทำกันทั้งนั้นแหละ"
เมื่อชัยอายุ 19 ปี เพื่อนเอาข้อสอบปลายปีที่ขโมยมาขายกับชัยเป็นเงิน 1,500 บาท ชัยลังเลใจและตัดสินใจซื้อในที่สุด เพราะเพื่อนพูดว่า "ไม่เป็นไรหรอกชัย เกรดมีผลกับอนาคตนะ ใครใครเขาทำกันทั้งนั้นแหละ"
เมื่อชัยอายุ 24 ปี ชัยถูกจับข้อหายักยอกเงินบริษัท 700,000 บาท และต้องติดคุก พ่อกับแม่ไปเยี่ยมและตัดพ้อต่อว่า "ทำไมลูกทำอย่างนี้กับพ่อแม่ ที่บ้านเราไม่ได้สอนให้ลูกเป็นคนขี้โกงเลยนะ"
แนวคิดจาก It' s ok , son , everybody does it. ที่มา Forward Mail
ตาแคม :arrow:
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
audit
มือใหม่หัดเมาท์
ออฟไลน์
กระทู้: 136
|
|
« ตอบ #15 เมื่อ: 23 พฤศจิกายน 2549, 13:47:38 » |
|
โอ๊ะ โอ พี่แคมก็มีสาระกะเค้าเป็นด้วยแฮะ
นึกว่าคิดแต่เรื่องแบบนั้นเป็นอย่างเดียว 555
:wink:
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #16 เมื่อ: 24 พฤศจิกายน 2549, 12:43:39 » |
|
จริงๆ แล้วพี่เป็นคนดีมีสาระนะน้องออดิท แต่ไม่แสดงออก ฮ่าๆ
ตาแคม :lol:
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
MahDee
|
|
« ตอบ #17 เมื่อ: 24 พฤศจิกายน 2549, 16:09:08 » |
|
คติสอนใจ จากโน๊ต อุดม
ความรู้มาก ๆ บางทีเหมือนกำแพงอิฐที่เรียงตัวสูง ความรู้สูง กำแพงสูง ความรู้รอบด้าน ก็เหมือนกำแพงสูงรอบตัว บางครั้งมันอาจทำให้มองออกไปไม่เห็นอะไร นอกจากอิฐที่ตนเองก่อขึ้นมา
กลิ่นของความรัก ก็เช่นเดียวกับห้องน้ำ เข้าไปแรก ๆ จะรู้สึกว่าได้กลิ่น อยู่ในนั้นนาน ๆ ไปจะเคยชิน จนลืมว่ามีกลิ่นนั้นอยู่ จนกว่าจะออกมาจากบริเวณนั้นและกลับเข้าไปใหม่
ถ้าเรารักใครสักคน เราควรเปิดโอกาสให้เขาได้ทำผิดหลาย ๆ ครั้ง เพราะเราเองก็ต้องการโอกาสอย่างนั้นเช่นกัน อย่าบอกเลยว่าเป็นคนดี ความหยิ่งยโส ก็มีอยู่ในคนถ่อมตัว ครูที่สอนนักเรียน ก็มีความโง่ ซ่อนอยู่ ความขลาดกลัว ก็มีอยู่ในนักมวยแชมป์โลก ความเบื่อหน่าย ก็มีอยู่ในพนักงานต้อนรับที่กระตือรือร้น ความเห็นแก่ตัว ก็มีอยู่ภายในใจของนักสังคมสงเคราะห์ มันอยู่คู่กัน รอวันปรากฏตัวออกมา
ถ้าสันดานห่วย ๆ มันเป็นกระดาษ เรามีแค่หินทับกระดาษคนละก้อน ลมกิเลสพัดมา ก็ขึ้นกับว่าก้อนหินของใครก้อนใหญ่พอที่ทับมันไว้ ไม่ให้ปลิวเพ่นพ่านเท่านั้นเอง..
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
MahDee
|
|
« ตอบ #18 เมื่อ: 24 พฤศจิกายน 2549, 16:17:03 » |
|
มีเรื่องเล่าว่า...
มีพระองค์หนึ่ง...ชอบทำอะไรแปลกๆ... วันหนึ่ง...พวกกรุงเทพฯ...เอากฐินไปทอดที่วัด...
จัดงานกันใหญ่โต...มีหนัง...มีลิเก...มีดนตรี...ผู้คนแห่กันมามืดฟ้ามัวดิน... ก่อนทอดกฐิน..ผู้คนมารวมกันเต็มศาลา...
หลวงพ่อเรียกเด็กวัดมา...
บอกให้ไปเอาเนื้อจากโรงครัวมาก้อนหนึ่ง...แล้วเอาเชือกมาด้วย... หลวงพ่อจัดการ...เอาเนื้อ...ผูกติดกับหลังหมา ผูกเสร็จ...ก็ปล่อยหมา ...
หมาเห็นเนื้ออยู่บนหลัง...ก็ไล่งับ... พอหัวโดดงับ...ตัวก็ขยับหนี... เพราะหมามันกัดหลังตัวเองไม่ถึง...
ยิ่งโดดงับเร็ว...ก้อนเนื้อก็หนีเร็ว... โดดไม่หยุด...เนื้อก็หนีไม่หยุด...น่าสงสารหมามาก... หมาโดดอยู่นาน...งับเท่าไหร่...เนื้อก็ไม่เข้าปากสักที...
ผู้คนบนศาลา...พากันหัวเราะชอบใจ... หัวเราะเยาะหมา...ว่าทำไมมันถึงโง่ยังงี้... ไล่งับ...จะกินเนื้อ...ที่ตัวเองไม่มีทางไล่ตามทัน ตลอดชีวิต... หลวงพ่อ...มองดูด้วยความสนุกสนานจนหนำใจแล้ว...
ก็แก้เชือกออกมากหลังหมา... แล้วหันมาพูดกับญาติโยมว่า...
มนุษย์เรา...มีความรู้สึกว่า...ตัวเองพร่อง...ตัวเองยังไม่เต็ม... ต้องเติมตลอดเวลา...เติมไม่หยุด...เพื่อให้ตัวเองเต็ม... เราอยากสวย...อยากทันสมัย...
ไปหาซื้อเสื้อผ้าที่สวยที่สุด...ทันสมัยที่สุดใส่... ดีใจได้เดือนเดียว...มีรุ่นใหม่ออกมาอีกแล้ว...สวยกว่า...ทันสมัยกว่า... อยากได้โทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่... ซื้อเสร็จ ๓ เดือน...รุ่นใหม่ก็โผล่มาอีกแล้ว... ซื้อคอมพิวเตอร์ทันสมัยที่สุด...
๒ เดือนต่อมา...มีรุ่นใหม่กว่าออกมา...ของเราตกรุ่น...
ซื้อรถเบนซ์...ทันสมัยที่สุด...แพงมาก... ขับได้ ๖ เดือน...มีรุ่นใหม่ออกมาอีกแล้ว... ทันสมัยกว่า...แพงกว่า...ของเรากลายเป็นเชย... เราต้องก้มหน้าก้มตา...ทำงานทั้งวัน ทั้งคืน...หาเงินมา...
เพื่อมาทำให้ตัวเองทันสมัย... ซื้อเสื้อผ้าใหม่...มือถือใหม่...คอมพิวเตอร์ใหม่...รถยนต์คันใหม่... เหน็ดเหนื่อยแสนสาหัส... เพื่อไม่ให้ตัวเองตกรุ่น... ปัจจุบัน...
เรากำลังไล่งับความทันสมัย...เหมือนหมาที่ไล่งับเนื้อบนหลังของมัน... ทั้งที่รู้ว่า...ต่อให้ไล่งับทั้งชีวิต...ก็ไม่มีทางตามทัน... น่าสงสารไหมโยม... คนเต็มศาลา...เมื่อกี้หัวเราะครึกครื้น...
ด่าว่า...หมามันโง่... ตอนนี้เงียบสนิท...เหมือนไม่มีคนอยู่...
ไม่รู้ว่า...กำลังสงสารหมา... หรือ...กำลังทบทวนความโง่...ตัวเอง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #19 เมื่อ: 27 พฤศจิกายน 2549, 18:30:49 » |
|
เรื่องแบบนั้นของน้องออดิทมันเป็นเรื่องแบบไหนหว่า..
ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีสำหรับทุกท่าน..ช่วงนี้ขอเก็บข้อมูลอย่างเดียวก่อนนะ..
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
party
|
|
« ตอบ #20 เมื่อ: 29 พฤศจิกายน 2549, 11:12:45 » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
party
|
|
« ตอบ #21 เมื่อ: 06 ธันวาคม 2549, 11:34:40 » |
|
เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา ไปซื้อหนังสือชุด เรื่อง "มิเกะเนะโกะ โฮล์มส์ แมวสามสียอดนักสืบ" เป็นเรื่องแนวสืบสวน สอบสวนของญี่ปุ่น อ่านเรื่องย่อแล้วน่าสนใจ (มากกก)เลยไปหามาอ่านปรากฎว่าตอนนี้ไปถึงเล่มที่ 9 แล้วจะอ่านเล่ม 9 เลยก้อกลัวไม่ได้อรรถรส เลยเริ่มอ่านตั้งแต่เล่ม 1 ตอน..ปริศนาศพนักศึกษาสาว...ผลปรากฎว่า...
สนุกมากกกก..อ่านแล้ววางไม่ลง..จะจบเล่ม 1 แล้ว..plotเรื่องจะเป็นแนวแบบ เรื่อง "โคนัน" คะ สนุกจริงๆ หรือว่า พี่คนไหนอ่านแล้วบ้างคะ ถ้ายังขอแนะนำให้อ่าน เผื่อบางท่านจะเป็นยาแก้เหงาได้คะ :lol:
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Aj.O
|
|
« ตอบ #22 เมื่อ: 16 ธันวาคม 2549, 21:54:13 » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
...
|
|
|
Aj.O
|
|
« ตอบ #23 เมื่อ: 21 ธันวาคม 2549, 14:48:32 » |
|
อันนี้ขอวิจารณ์ค่านิยมที่ถือสืบๆกันมา เพราะโลกแห่งประชาธิปไตย ทุกคนย่อมมีสิทธิ์ตั้งคำถามและโต้แย้งความเชื่อเดิมๆได้ พระพุทธเจ้ายังสอนหลักกาลามสูตรไว้ ทำไมเราจะวิพากษ์ความเชื่อเดิมๆไม่ได้ล่ะ
การบริจาคแบบพระเวสสันดร ผมมองว่าเป็นการบริจาคที่งี่เง่า :twisted:
เหตุผลคือ เมื่อมีคนที่บริจาคแบบไม่หวังผล ไม่ตรวจสอบผล หวังเพียงให้ทานแล้ว จะมีคนอีกประเภท คือ พวกกาฝากสังคม เกิดขึ้นตามมาด้วย บางคนอาจมองว่าไม่เกี่ยวกัน แต่ผมเห็นว่า มันเกี่ยวข้องกันอย่างมาก!
ผมเคยอ่านบทความของคุณประภาส ชลสรานนท์(ขวัญใจคุณ ppornson) เค้าเขียนวิจารณ์เปรียบเทียบสังคมทั้งสอง เขากล่าวว่า สังคมไทยมีการเอาเปรียบกันบ่อยครั้งกว่าสังคมอเมริกัน ไม่ใช่ว่าคนอเมริกันมีความเคารพกันมากกว่า แต่คนอเมริกันเวลาถูกเอาเปรียบเค้าจะต่อสู้เพื่อสิทธิอันชอบธรรมของตน ในขณะที่คนไทยหลายคนมักทำทองไม่รู้ร้อน ถือว่าทำบุญทำทาน!?! :x และพวกฝรั่งเวลาเสียภาษีหรือบริจาคเงินให้มูลนิธิอะไรแล้ว เค้ามักจะตรวจสอบด้วย ว่าภาษีหรือเงินบริจาคที่เสียไปนั้น ถูกนำไปใช้ตามเจตนารมณ์ของเขาหรือเปล่า? ในขณะที่คนไทยปล่อยเลยตามเลย ทำให้พวกสิบแปดมงกุฏจอมเรี่ยไรทั้งหลายถือกำเนิดขึ้นมากมาย ถ้าไม่มีคนอย่างพระเวสสันดร คนอย่างชูชกก็ไม่มีทางเกิดขึ้นได้เช่นกัน เมื่อไม่มีคนให้(อย่างไร้เหตุผลอันควร)ย่อมไม่มีคนที่เอาแต่ขอ(โดยไม่พึ่งพาตนเอง)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
...
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #24 เมื่อ: 27 ธันวาคม 2549, 21:51:15 » |
|
เราว่ามันเป็นเชิงปรัชญา โดยมีนัยเรื่องการบริจาคขั้นสูงสุดมากกว่านะ AJ O..
เพราะอยู่ใน10ชาติที่บำเพ็ญบารมีต่างๆ จนครบ10 ประการ..(พระพุทธเจ้าของเราพระองค์นี้ทรงเป็น ปัญญาธิกพุทธเจ้า คือ พระพุทธเจ้าที่บำเพ็ญพระบารมีโดยทรงใช้ปัญญาอย่างแรงกล้า โดยกำหนดระยะเวลาการบำเพ็ญพระบารมี ๔ อสงไขย กับ ๑oooo กัป..)
ดังนั้น..การบริจาคในชาติสุดท้าย คือพระเวสสันดอนนั้น คงเอาตรรกะทางสังคมปัจจุบันไปรองรับไม่ได้..เนื่องจากเป็นการบรรยายการตัดทิ้งทุกอย่างถึงขั้นสูงสุด..
ดังเช่นในปัจจุบันที่เราแปลคำว่า..สันโดษ..ผิดกันซะส่วนมาก..ซึ่งเราเอาตรรกะในปัจจุบันไปรองรับเช่นกัน..
เป็นนามธรรมมากกว่านะ..AJ.O
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
party
|
|
« ตอบ #25 เมื่อ: 04 มกราคม 2550, 11:31:19 » |
|
นิยามรัก ฉบับขำขำ
รัก.......... แท้..เป็น..................ตำนาน รัก.......... สิ้นลมปราน..เป็น.......บทประพันธ์
รัก.......... ไม่แปรผัน..เป็น.........นิยาย รัก.......... จนวันตาย..เป็น.........นิทาน
รัก.......... ตลอดกาล..เป็น.........ละคร รัก.......... อยู่ทุกตอน..เป็น.........ละครน้ำเน่า
รัก.......... ไม่เคยเก่า..เป็น.........จริงช่วงแรก รัก.......... ในความแปลก..เป็น....คำฮิต
รัก.......... ด้วยชีวิต..เป็น...........ลิเก รัก.......... ไม่โลเล..เป็น.............ความฝัน
รัก.......... เธอนิรันด์..เป็น..........ชื่อเพลง รัก.......... นะตัวเอง..เป็น...........เด็กอมมือ
รัก.......... ซื่อสัตย์..เป็น.............คำลวง รัก.......... หมดทรวง..เป็น..........คำติดปาก
รัก.......... เธอมาก..เป็น.............คำฮอต รัก.......... เดียวตลอด..เป็น........ไปไม่ได้!!!!!
:lol: :lol: :lol:
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
iamfrommoon
|
|
« ตอบ #26 เมื่อ: 12 มกราคม 2550, 08:44:10 » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
@@ธรรมชาติสร้างความขัดแย้ง เพื่อให้คนเรียนรู้ซึ่งกันและกันได้ดียิ่งขึ้น@@@
|
|
|
ชาร์ป
|
|
« ตอบ #27 เมื่อ: 17 มกราคม 2550, 01:40:58 » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
iamfrommoon
|
|
« ตอบ #28 เมื่อ: 23 มกราคม 2550, 17:45:26 » |
|
อ่านแล้ว น่ารักดี เลยเอามาแบ่งปัน************************************************************ *********************************************************** ************************************************************* ************************************************************* ************************************************************ ************************************************************ ************************************************************* *********************************************************** :lol: :lol:
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
@@ธรรมชาติสร้างความขัดแย้ง เพื่อให้คนเรียนรู้ซึ่งกันและกันได้ดียิ่งขึ้น@@@
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #29 เมื่อ: 23 มกราคม 2550, 19:56:40 » |
|
ฮิ้ว...
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
หลิม 81
|
|
« ตอบ #30 เมื่อ: 24 มกราคม 2550, 10:16:24 » |
|
เฮ....
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
@ ปีนี้ปีของผม @
|
|
|
Mr.EggMan
|
|
« ตอบ #31 เมื่อ: 24 มกราคม 2550, 10:51:44 » |
|
เหมาะสำหรับ พี่ปุ๊กกี้,นู๋แอน, คุณผึ้ง (แหม ชื่อน่าเคารพจิงๆ) และสาวที่ยังโสด
8 อาชีพที่ควรหาเป็นแฟนครับ
1. นักปีนเขา - เพราะความใฝ่ฝันของนักปีนเขา คือ จุดสุดยอด และเขามักไม่ไปคนเดียว 2. นักยิมนาสติก - ทุกท่าของเขาล้วนมีคะแนนเสมอเขาอาจจบด้วยท่าตีลังกาหลังเหยียดตรงสองรอบแถมเกลียวอีกครึ่งรอบให้คุณหวาดเสียวเล่นและถ้าคุณเจอนักยิมนาสติกลีลาล่ะก็ว๊าว...ว....ว. 3. นักกอฟล์ -เขาสามารถตีได้ถึง 18 หลุมในวันเดียว 4. นักฟุตบอล -คุณจะเลิกกังวลเรื่องเขาจะยิงเข้าทางประตูหลังไปได้เลย 5. นักเต้นรำ -เขาจะถามคุณก่อนเสมอว่า "ชอบจังหวะไหนครับ" ถ้าคุณชอบ แทงโก้ก็บอกได้หรือจะเอานุ่ม นวลแบบวอลซ์ ก็ไม่เลว 6. นักรักบี้ -ลีลาการปล้ำของเขาสะใจอย่าบอกใคร 7. นักว่ายน้ำ -มีให้เลือกหลายท่า ทั้งท่ากบท่าฟรีสไตล์ กรรเชียง หรือผีเสื้อ 8. หมอฟัน -เพราะหมอฟันมักจะถามคุณด้วยความห่วงใยเสมอว่า "เสียวไหมครับ"
อุ๊ยตาย...อุ๊ยตาย...คนอาไรลามก
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
jviruch-78
|
|
« ตอบ #32 เมื่อ: 24 มกราคม 2550, 10:54:14 » |
|
รับไม่ได้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
หลิม 81
|
|
« ตอบ #33 เมื่อ: 24 มกราคม 2550, 11:11:14 » |
|
ฮ่า มากคับพี่น้อง...
ชอบ ชอบ :lol:
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
@ ปีนี้ปีของผม @
|
|
|
iamfrommoon
|
|
« ตอบ #34 เมื่อ: 24 มกราคม 2550, 11:21:02 » |
|
:shock: :shock: :shock: ต๊ายตา Eggman คิดเองปะ...สุดยอด ฮา อ้อ request อยากรู้ๆ 2 อาชีพจ๊ะ (คิดเหมือนกันกับพี่ปะ อุบไว้ก่อนนะ เหอเหอ)
9. นักธุรกิจ ........
10. Sales Representation ให้หลิมกับแคมเลย .........
:lol: :lol: :lol:
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
@@ธรรมชาติสร้างความขัดแย้ง เพื่อให้คนเรียนรู้ซึ่งกันและกันได้ดียิ่งขึ้น@@@
|
|
|
Mr.EggMan
|
|
« ตอบ #35 เมื่อ: 24 มกราคม 2550, 11:53:18 » |
|
9. นักธุรกิจ - ก็ดีครับ ชอบได้เสีย แต่พวกนี้เป็นนักลงทุน ดังนั้นจะไม่ออกแรงพร่ำเพรื่อ
10. พวกเซลล์ เนี่ย - ไม่ค่อยดีครับ มักจะโอ้อวดเกินความเป็นจริง พูดอย่างเดียวไม่ค่อยลงมือทำ
อิอิอิ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
BeKamon
มือใหม่หัดเมาท์
ออฟไลน์
กระทู้: 235
|
|
« ตอบ #36 เมื่อ: 24 มกราคม 2550, 12:51:34 » |
|
Eggman นายไข่ -- ขอบคุณที่แนะนำนะคะ อืมมมมมมมม :shock:
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
Something might change, but something never changes. (The Matrix Revolution)
|
|
|
iamfrommoon
|
|
« ตอบ #37 เมื่อ: 24 มกราคม 2550, 13:17:31 » |
|
ขอนอกเรื่องอีกที แม๊น ลืมได้ไง
11. วิศวกร ........
12. สถาปนิก ........ :lol: :lol:
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
@@ธรรมชาติสร้างความขัดแย้ง เพื่อให้คนเรียนรู้ซึ่งกันและกันได้ดียิ่งขึ้น@@@
|
|
|
Joker_rcu79
Full Member
ออฟไลน์
กระทู้: 332
|
|
« ตอบ #38 เมื่อ: 24 มกราคม 2550, 13:33:05 » |
|
คิดได้ไง เจ๋งดีวะ แถมวะ แบบว่าอยากรู้ 13.นักเคมี .............. 14.นักกายภาพบำบัด........... ตอบดีๆนะมรึง ฮีืึฮึ :twisted:
joker
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
jviruch-78
|
|
« ตอบ #39 เมื่อ: 24 มกราคม 2550, 16:51:22 » |
|
ไม่อยากตอบเอง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
หลิม 81
|
|
« ตอบ #40 เมื่อ: 24 มกราคม 2550, 17:17:44 » |
|
ช่วยตอบครับ
11. วิศวกร - เรื่องโครงสร้างและสรีระเป็นหลัก คุณต้องเป็นคนที่โครงสร้างแข็งแรง มั่นคงและสามารถรองรับแรงกระแทกได้ดี :lol:
12. สถาปนิก - คุณสบายใจได้ครับ เค้าเก่งเรื่องการออกแบบ ต่อให้คุณหุ่นเป็นอย่างไร เค้าสามารถดีไซน ให้ออกมาดูเก๋ แต่ระวังนะครับแบบแปลก ๆ ที่คนอื่นมักงง เค้าจะเห็นว่ามันสวยเสมอ
หนุ่มกำลังหัด
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
@ ปีนี้ปีของผม @
|
|
|
ชาร์ป
|
|
« ตอบ #41 เมื่อ: 24 มกราคม 2550, 17:25:40 » |
|
เก่งจิง ๆ สมเกียรติ
งั้นถ้าเป็น
วิศวกรไฟฟ้า ล่ะ
:twisted:
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Mr.EggMan
|
|
« ตอบ #42 เมื่อ: 24 มกราคม 2550, 17:32:58 » |
|
วิศวะ ไฟฟ้า น่ะเหรอ
- หลักๆจะเป็นพวก ไฟ(ราคะ) แรงสูง แต่มักจะมีปัญหาเรื่องลัดวงจร สาวๆต้องระวังไว้นะ
แต่วิศวะ โยธา เนี่ย ขอแนะนำ เพราะเค้าถนัดงาน "เอาเสาไปลงหลุม"
ทะลึ่งเล็กน้อย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
jviruch-78
|
|
« ตอบ #43 เมื่อ: 25 มกราคม 2550, 08:14:49 » |
|
ดีน่ะ กรูเป็นวิศวะเคมี ไม่ถนัดเรื่องเอาเสาลงหลุม ถนัดแต่ ใช้สารหล่อลื่น
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #44 เมื่อ: 25 มกราคม 2550, 08:19:33 » |
|
มีอาชีพแมวเป่า
ตาแคม
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
(n_n)Cellkrub
Full Member
ออฟไลน์
รุ่น: 2540
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์
กระทู้: 579
|
|
« ตอบ #45 เมื่อ: 25 มกราคม 2550, 08:58:09 » |
|
ดีน่ะ กรูเป็นวิศวะเคมี ไม่ถนัดเรื่องเอาเสาลงหลุม ถนัดแต่ ใช้สารหล่อลื่น เหอะๆๆ คิดได้ไง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Mr.EggMan
|
|
« ตอบ #46 เมื่อ: 25 มกราคม 2550, 10:23:24 » |
|
สำหรับ วิศวะเคมี เนี่ย นะนอกจากเรื่องสารหล่อลื่นแล้ว ยังชำนาญเรื่องของการคำณวนการปล่อยของเหลวในท่อด้วยใช่ไหมคร้าบ (Fluid)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
หลิม 81
|
|
« ตอบ #47 เมื่อ: 30 มกราคม 2550, 12:45:28 » |
|
ช่วยเพิ่มเติม เซียนพระ (ppornson) และ จัดซื้อ (ไอ้ชาร์ป) ให้ด้วยพี่ไข่
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
@ ปีนี้ปีของผม @
|
|
|
MahDee
|
|
« ตอบ #48 เมื่อ: 09 กุมภาพันธ์ 2550, 11:09:55 » |
|
ขอเปลี่ยนแนวหน่อยนะครับ พอดีอ่านแล้ว เออ...มันก็จริงแฮะ...----------------------------------------------------------------------- คุกกี้ 1 ห่อกับการตัดสินคน ที่สนามบินนานาชาติระดับโลก มีนักธุรกิจหญิงแต่งตัวดี จำเป็นต้องรอเวลาถึง 3 ชั่วโมง ในการเปลี่ยนเครื่องบินเพื่อไปจุดหมายปลายทาง เธอจึงตัดสินใจเดินไปซื้อหนังสือ 1 เล่ม และคุ๊กกี้ 1ห่อ และเตรียมหาที่นั่งเพื่ออ่านและกิน ฆ่าเวลาไปพลางๆ เธอสอดส่ายมองหาที่นั่งได้ 1 แห่ง เมื่อนั่งลงก็เตรียมหนังสือและคุ๊กกี้ เพื่ออ่านและกินไปพลาง ๆ เธอสังเกตเห็นว่าข้าง ๆ เธอมีชายหนุ่มซึ่งนั่งเหยียดกายอย่างไม่สนใจใคร ว่าจะมีใครนั่งอยู่ข้าง ๆ เขา สักครู่หนึ่ง ขณะที่เธออ่านหนังสือ ชายหนุ่มก็หยิบขนมคุ๊กกี้ออกจากถุง ซึ่งวางอยู่ระหว่างคนทั้งสอง แล้วกินมันอย่างละชิ้นเธอมองด้วยความโกรธแต่ไม่ต้องการทำเรื่องวุ่นวาย เธอจึงทำเป็นไม่สนใจ เธอเริ่มรู้สึกเบื่อที่จะกินคุ๊กกี้และเฝ้ามองนาฬิกา ในขณะที่ชายหนุ่มซึ่งเป็นผู้ขโมยไร้ยางอาย กำลังกินมันให้หมดสิ้นไป เธอเริ่มโมโหและคิดในใจว่า " ถ้าฉันไม่ใช่ผู้ดีมีการศึกษาแล้วละก็....ฉันจะชกหน้าเจ้าหมอนี้ให้แหลก ไปเลย " ทุกครั้งที่เธอหยิบกิน 1 ชิ้น ชายหนุ่มก็หยิบมันกิน 1 ชิ้น ทั้งสองส่งสายตามองกัน เมื่อคุ๊กกี้เหลือเพียงชิ้นสุดท้าย เธอหยุดและอยากรู้ว่าชายหนุ่มจะทำอย่างไร ชายหนุ่มค่อย ๆ หยิบคุ๊กกี้ชิ้นสุดท้ายแล้วหักออกเป็น 2 ชิ้น ส่งให้เธอครึ่งชิ้นและกินเองครึ่งชิ้น เธอรับจากชายหนุ่มอย่างรวดเร็วและคิดในใจว่า " เขาช่างเป็นคนไร้มารยาทสุดๆ ช่างไร้การศึกษา ไม่มีแม้แต่พูดขอบคุณสักคำ" เธอลุกขึ้นหยิบข้าวของทั้งหมดแล้วตรงไปยังประตูขึ้นเครื่อง ไม่แม้แต่เหลียวหลังกลับมามองหัวขโมยผู้ไร้มารยาทซึ่งยังนั่งอยู่ที่เดิม ภายหลังจากขึ้นเครื่องและนั่งประจำที่อย่างสบายแล้ว เธอก็หยิบหนังสือที่อ่านค้างอยู่ขึ้นมาอีกครั้ง ในขณะที่หยิบหนังสือจากกระเป๋า ก็พบว่ามีขนมคุ๊กกี้ 1 ห่อ เธอตกใจมากมาก ถ้าคุ๊กกี้ของฉันยังอยู่ที่นี่ ก็แปลว่า...คุ๊กกี้ห่อนั้นเป็นของชายหนุ่มที่แบ่งให้เธอกิน เธอลุกขึ้นทันที แล้ววิ่งออกจากเครื่องบินไปยังที่นั่งของชายหนุ่ม แต่คงเหลือแต่ที่นั่งว่างเปล่า มันสายไปเสียแล้วที่จะได้ขอโทษชายหนุ่ม ระหว่างเดินกลับเข้าเครื่อง เธอรู้สึกเจ็บปวดหัวใจ เธอนั่นเองที่ไร้มารยาท เป็นหัวขโมยที่ไร้การศึกษาตัวจริง.......... มีกี่ครั้งในชีวิตของคนเรา ที่ค้นพบในภายหลังว่า " สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นมันไม่ใช่เรื่องจริง มันเป็นการเข้าใจผิด มีกี่ครั้งในชีวิตที่เราขาดความไว้วางใจผู้อื่น และทำให้เราตัดสินผู้อื่นจากความคิดเย่อหยิ่งของเราเอง ซึ่งห่างไกลจากความเป็นจริงมากมาย " ......... นี่แหละที่ทำให้เราต้องคิดซ้ำแล้วซ้ำอีกก่อนตัดสินผู้อื่น หลาย ๆ สิ่งไม่ได้เป็นอย่างที่เห็น ควรมองผู้อื่นในแง่ดี แล้วคอยสงสัยตัวเองว่า " เรามองโลกในแง่ดีพอแล้วหรือยัง ? เราเคยแบ่งปันอะไรแก่คนอื่นบ้างหรือไม่ "..........
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Mr.EggMan
|
|
« ตอบ #49 เมื่อ: 09 กุมภาพันธ์ 2550, 11:26:08 » |
|
น่าสนใจดี มะดี พี่ว่าเนี่ยคือการที่เราเที่ยวไปตัดสินคนอื่น โดยอาศัยตัวเราเองเป็นหลัก มันจะทำให้ง่ายต่อการเกิดอคติ หรือ bias น่าเก็บไปคิด
ยกตัวอย่าง : ไอ้ดล : วันนั้นไปเที่ยวที่รัชดา มา เห็นพี่โต้ง ไปเดินเข้าๆออกๆ ที่อาบอบนวดแห่งหนึ่ง ไอ้โก๋ (ลิ้นสว่าน) : โอะโหย๋ ว่าแล้ว เนี่ยเราอ่านใน webboard เห็นพี่โต้งชอบพูดเรื่อง ไปอาบน้ำอะไรนองเนี่ย ตอนแรกนึกว่าล้อเล่น ที่แท้ก็ของจริง
ผลที่เกิดขึ้น : เพื่อนโต้งในสายตาน้องๆ กลายเป็นคนติดอ่าง ความจริง : วันนั้นมันไปตามเก็บงานที่สร้างไว้
ดังนั้นอย่าด่วนตัดสินว่าใครดีหรือเลว เพราะเราอาจจะยังไม่เข้าใจสถานะการณ์ดีพอ(จริงไหม...น้าแคม)
เหตุการณ์สมมุติอีกครั้ง
ตึกยังรู้พัง สตางค์ยังรู้หมด แต่มิตรภาพที่สวยสด ไม่มีหมดเหมือนสตางค์คร้าบ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #50 เมื่อ: 09 กุมภาพันธ์ 2550, 13:15:46 » |
|
เกี่ยวอะไรกับตูอีกล่ะเนี่ย
ตาแคม (คนเลวในสายตาเธอ)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #51 เมื่อ: 09 กุมภาพันธ์ 2550, 14:13:38 » |
|
เดี๋ยวนี้ติดอ่างต้องเป็นเสี่ยบั๊มโว้ย..คุยกับมันมาเมื่อวาน...ไอ้นี่..สุดยอด..
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
iamfrommoon
|
|
« ตอบ #52 เมื่อ: 13 กุมภาพันธ์ 2550, 14:01:04 » |
|
เมื่อกี้นี้ได้รับเมล์จากแพะ-เพื่อนรัก เห็นแล้วรู้สึก ปลื้มใจไปกับเพื่อนด้วย ที่ตุ๊กตาโป๊ะโกะของแพะไปถึงน้องๆ เหล่านี้ แล้วเราจะพลาดโอกาสดีๆ ที่จะทำให้เด็กๆ ผู้ด้อยโอกาสที่จะมีตุ๊กตาดีๆ ไว้กอดและเป็นของรักของเขาเหรอคะ หากใครอยากร่วมโครงการก็โทร.ตามเบอร์ที่อยู่ในรูปก็ได้นะคะ
From: somluk Date: 02/13/07 12:51:13 To: Pookkie; Subject: : Bear Project from Dek Toh เคยได้ยินป่ะ โครงการเด็กโต๋ น้องที่บริษัทเขาร่วมกับโครงการนี้แหละ แพะก็ฝากตุ๊กตาเขียวในรูปที่น้องผู้ชายน่ารัก ๆ ยกมือน่ะ (น้องมีแววฉลาดเหมือนแพะ 555) ถ้ามีโครงการอีกปีหน้าจะบอกนะจ๊ะเผื่อใครอยากร่วมบริจาค เห็นแล้วคิดถึงตอนไปค่ายเนอะ ----- Original Message ----- From: "Ms. Kannarat" To: "'somluk'" Sent: Tuesday, February 13, 2007 11:50 AM Subject: FW: Bear Project from Dek Toh
> มีน้องโป๊ะโก๊ะ ของใครก้อไม่รู้เป็นนายแบบด้วยหล่ะปล. แพะจ๊ะ ฉันขอเอาเมล์เรื่องดีๆ ของแกมาแบ่งปันให้น้องๆ ได้อ่าน คงไม่ว่าอะไรนะเพื่อน L O V E :lol: :lol:
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
@@ธรรมชาติสร้างความขัดแย้ง เพื่อให้คนเรียนรู้ซึ่งกันและกันได้ดียิ่งขึ้น@@@
|
|
|
หลิม 81
|
|
« ตอบ #53 เมื่อ: 13 กุมภาพันธ์ 2550, 18:42:16 » |
|
เรื่องการตัดสินคนเนี่ยะ ผมมีประสบการณ์มาแล้วครับ
เพื่อนผม ไปเที่ยวหมอนวด เจอหมอน้อยหน้าตาไม่ดี และคงคิดว่าบริการไม่ดีด้วย...ที่ไหน ประทับไปเลยครับ อย่าไปตัดสินคนที่ภายนอก (ภายในดีมาก ๆ ) :lol:
เพื่อนนะครับ เพื่อน....จิง จิ๊ง.... :lol:
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
@ ปีนี้ปีของผม @
|
|
|
ชาร์ป
|
|
« ตอบ #54 เมื่อ: 13 กุมภาพันธ์ 2550, 23:23:49 » |
|
หุ หุ
สำหรับข้าพเจ้า
หน้าตาดี แต่ ใจดี อีกต่างหาก
:lol:
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Dr.Poot
|
|
« ตอบ #55 เมื่อ: 15 กุมภาพันธ์ 2550, 15:10:22 » |
|
มีโอกาสได้ดู หนังเรื่องเด็กโต๋ ด้วย สนุก และน่ารัก ดูแล้วอมยิ้ม ทะเล ความใฝ่ฝันของเด็ก...
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
party
|
|
« ตอบ #56 เมื่อ: 15 กุมภาพันธ์ 2550, 15:28:56 » |
|
แต่พี่ๆละคนเริ่มมีรูปเป็นของตัวเองแล้ว....หล่อลากดินนนนนนนนนนน...จริงๆ 555555 :lol: :lol:
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #57 เมื่อ: 15 กุมภาพันธ์ 2550, 22:22:07 » |
|
กรูไม่เชื่อมรึง..ไอ้หลิม..
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #58 เมื่อ: 16 กุมภาพันธ์ 2550, 08:27:36 » |
|
แต่พี่ๆละคนเริ่มมีรูปเป็นของตัวเองแล้ว....หล่อลากดินนนนนนนนนนน...จริงๆ 555555 :lol: :lol: คนเข้าบอร์ดจะเริ่มน้อยลง เพราะเริ่มเห็นถึงความน่ากลัวของแต่ละคน ตาแคม
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
party
|
|
« ตอบ #59 เมื่อ: 16 กุมภาพันธ์ 2550, 08:40:40 » |
|
แต่พี่ๆละคนเริ่มมีรูปเป็นของตัวเองแล้ว....หล่อลากดินนนนนนนนนนน...จริงๆ 555555 :lol: :lol: คนเข้าบอร์ดจะเริ่มน้อยลง เพราะเริ่มเห็นถึงความน่ากลัวของแต่ละคน ตาแคม แต่หนูเชื่อคะว่า....ความน่ารักของพี่แคม...ยังคงอยู่คะ..55555 :lol:
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Dr.Poot
|
|
« ตอบ #60 เมื่อ: 16 กุมภาพันธ์ 2550, 08:46:03 » |
|
แต่พี่ๆละคนเริ่มมีรูปเป็นของตัวเองแล้ว....หล่อลากดินนนนนนนนนนน...จริงๆ 555555 :lol: :lol: พี่ว่าเหมือนถูกบังคับต่างหาก :cry: :cry:
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
iamfrommoon
|
|
« ตอบ #62 เมื่อ: 07 มีนาคม 2550, 09:06:58 » |
|
ดีหรือไม่ดี.....ยากที่จะบอก
นานมาแล้ว มีพระราชาองค์หนึ่ง พระราชาองค์นี้ มีคนสนิทคนหนึ่งที่พระองค์สนิทมาก และมักจะพาไปไหนมาไหนด้วยเสมอในทุกๆที่
แล้ววันหนึ่ง พระราชาก็ถูกหมาตัวหนึ่งกัดนิ้ว แผลฉกรรจ์มาก พระราชาจึงถามคนสนิทว่า นี่เป็นลางไม่ดีของพระองค์หรือเปล่า
คนสนิทกลับตอบว่า " ดี หรือไม่ดี ยากที่จะบอก " และในที่สุด พระราชาก็ถูกตัดนิ้ว และพระราชาก็ถามคนสนิทอีกว่า นี่เป็นลางไม่ดีของพระองค์หรือเปล่า คนสนิทกลับตอบว่า " ดี หรือไม่ดียากที่จะบอก " พระราชาโกรธมาก เลยจับคนสนิทขังไว้ในคุก
วันหนึ่ง พระราชาก็ได้เสด็จออกป่าล่าสัตว์ พระองค์ทรงตื่นเต้นมาก แล้วก็มุ่งเข้าไปในป่า ลึกเข้าไปเรื่อยๆ เมื่อมารู้ตัวอีกทีก็พบว่าพระองค์ได้หลงทางเสียแล้ว แต่ก่อนที่อะไรจะเลวร้ายไปกว่านั้น พระองค์ก็ได้พบกับชนเผ่าพื้นเมืองในป่าแห่งนั้น คนป่าพวกนั้น ต้องการจับพระราชาไปบูชายัญ
แต่พวกเขาก็พบว่าพระราชานิ้วขาด จึงรีบปลดปล่อยพระราชา เพราะเชื่อว่าพระราชาไม่ใช่มนุษย์ที่สมบูรณ์เลย และไม่เหมาะที่จะนำไปบูชายัญ พระราชาจึงตัดสินใจกลับพระราชวังในที่สุด และสุดท้าย พระองค์ก็เข้าใจคำพูดของคนสนิทที่บอกว่า " ดีหรือไม่ดี ยากที่จะบอก " เพราะถ้าพระองค์มีนิ้วครบสมบูรณ์ พระองค์ต้องถูกฆ่าโดยคนป่าพวกนั้นอย่างแน่นอน
พระราชาจึงสั่งปล่อยตัวคนสนิท และขอโทษเขา แต่พระราชากลับประหลาดใจ เมื่อคนสนิทกลับไม่โกรธพระองค์เลย ในทางตรงข้ามเขากลับบอกว่า
มันไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไรเลยที่ท่านขังข้าไว้ ทำไมงั้นหรือ เพราะว่าถ้าพระองค์ไม่ขังข้าไว้ ข้าก็จะต้องตามท่านไปในป่า และในเมื่อท่านไม่เหมาะจะถูกบูชายัญ ข้าคงจะถูกนำไปบูชายัญแทนเป็นแน่
อีกครั้งกับคำที่ว่า ดี หรือไม่ดี ยากที่จะบอก เรื่องนี้อาจกล่าวได้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในโลกนี้ ไม่มีการสรุปได้อย่างแน่นอนว่า ดี หรือ ไม่ดี บางครั้งสิ่งที่ดี อาจจะกลายเป็นสิ่งที่เลวร้าย ในขณะที่สิ่งที่เลวร้ายอาจกลายเป็นดีได้
สิ่งดีๆอะไรก็ตาม ที่เกิดขึ้นกับเรา จงสนุกสนานกับมัน แต่อย่าไปยึดติดกับมัน จงคิดเสียว่ามันเป็นสิ่งที่มาสร้างความประหลาดใจให้กับชีวิตของคุณ อะไรต่างๆ ที่มันเลวร้าย ซึ่งเกิดขึ้นกับคุณ ไม่จำเป็นต้องไปเศร้าเสียใจ ในตอนท้าย มันอาจจะไม่ใช่สิ่งที่เลวร้าย .........................................................
ถ้าพวกเราเข้าใจได้อย่างนี้ พวกเราจะพบว่า การใช้ชีวิตนั้น ไม่ใช่เรื่องยากเลย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
@@ธรรมชาติสร้างความขัดแย้ง เพื่อให้คนเรียนรู้ซึ่งกันและกันได้ดียิ่งขึ้น@@@
|
|
|
Ton(Poodle)
บุคคลทั่วไป
|
|
« ตอบ #63 เมื่อ: 08 มีนาคม 2550, 17:28:05 » |
|
ข้อความดีๆ จาก หนังสือ วันแรกของวันที่เหลือ (วิน เหลียววาริน)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Ton(Poodle)
บุคคลทั่วไป
|
|
« ตอบ #64 เมื่อ: 08 มีนาคม 2550, 17:37:55 » |
|
ข้อความดีๆ จาก หนังสือ วันแรกของวันที่เหลือ (วิน เหลียววาริน) แก้ตัวหน่อย ข้อความนี้แล้วกัน Subject: คน 1 คน ^____^ >> >การที่เราจะคบหาหรือรู้จักใครสักคน >>>ไม่ว่าจะในฐานะอะไรก็ตาม >>> >>>สิ่งหนึ่งที่ควรท่อง >>>ควรจำไว้อยู่เสมอก็คือ >>> >>>“คน” >>>เป็นสิ่งมีชีวิต >>>ที่มีทั้งด้านบวก และด้านลบ อยู่ในนั้น >>> >>>อย่าตั้งใจกับคน >>>1 คนมากเกินไป>>> >>>เพราะไม่มีใครอยากเป็นต้นเหตุของความล้มเหลว>> >>> >>>อย่าคาดหวังกับ คน >>>1 คนมากเกินไป>>> >>> >>>เพราะไม่มีใครสามารถเป็นทุกอย่าง >>>ที่ทุกคนอยากให้เป็น>>> >>> >>>อย่าให้เวลากับคน >>>1 คนมากเกินไป>>> >>> >>>เพราะไม่ว่าใครก็อยากมีช่วงเวลาของความเป็นส่วนตัว.. . คนเดียว >>> >>>อย่าพยายามเปลี่ยนแปลงคน >>>1 คนมากเกินไป >>> >>>เพราะนั่นจะทำให้เค้าไม่หลงเหลือความเป็นตัวของตัวเอง >>> >>>อย่าควบคุมชีวิตคน >>>1 คนมากเกินไป >>> >>>เพราะมนุษย์มักจะหาวิธีการแทรกตัว >>>เพื่อออกมาจากกฎที่ถูกกำหนด>>> >>> >>>อย่าบีบบังคับคน >>>1 คนมากไปกว่านี้ >>>เพราะถ้าคนๆนั้น >>>หลุดจากภาวะบีบบังคับมาได้ >>> >>>คุณจะกลายเป็นคนที่ถูกหันหลังให้ในทันที >>> >>>เธอ. . . ลองมองดูฉันดีๆ >>>ฉันมีลมหายใจ >>> >>>ไม่ใช่ภาพวาด ที่จะสวยงามอยู่ตลอดเวลา >>> >>>ฉันเองก็เป็น “คน” >>>เป็นสิ่งมีชีวิตที่มี 2 ด้าน.. . เช่นกัน >>>...อยากรู้จักใครสักคน >>>ต้องหัดเรียนรู้ >>>ไม่ใช่เปลี่ยนแปลง... >>>
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
party
|
|
« ตอบ #65 เมื่อ: 09 มีนาคม 2550, 08:05:41 » |
|
พี่Ton(Poodle)--- นี้แหละ คือความจริงที่ไม่อิงนิยายคะ ---- :lol: :lol:
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
iamfrommoon
|
|
« ตอบ #66 เมื่อ: 12 มีนาคม 2550, 07:56:20 » |
|
ได้อ่านเรื่องการใช้ชีวิตกลางทะเลทรายของพี่รังสรรค์ RS_Oman รุ่นพี่ซีมะโด่งเราที่เป็นคนไทยของ PTTEP ไปทำการค้นหาขุดเจาะแหล่งน้ำมัน เพื่อประเทศไทยเรา...อยากให้น้องๆ ไปอ่านค่ะ หรือหากอยากได้ข้อมูลความรู้เพิ่มเติมก็ไปคุยกับพี่รังสรรค์ได้ เป็นอีกหนึ่งความภูมิใจของซีมะโด่งเหมือนกันค่ะ ตามไปได้ที่ลิ้งค์นี้เลยhttp://www.cmadong.com/community/board/admin/index.php?admin=1&sid=be48680faf5a347147c49bb022cd6c15 :lol: :lol:
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
@@ธรรมชาติสร้างความขัดแย้ง เพื่อให้คนเรียนรู้ซึ่งกันและกันได้ดียิ่งขึ้น@@@
|
|
|
Dr.Poot
|
|
« ตอบ #67 เมื่อ: 12 มีนาคม 2550, 12:12:59 » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
iamfrommoon
|
|
« ตอบ #68 เมื่อ: 12 มีนาคม 2550, 12:14:57 » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
@@ธรรมชาติสร้างความขัดแย้ง เพื่อให้คนเรียนรู้ซึ่งกันและกันได้ดียิ่งขึ้น@@@
|
|
|
Dr.Poot
|
|
« ตอบ #69 เมื่อ: 12 มีนาคม 2550, 12:42:43 » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #70 เมื่อ: 17 เมษายน 2550, 09:45:52 » |
|
จริงเท็จ ลองพิจารณากันดูนะ ----------------------------------------------------------------
ข้อความนี้คัดลอกมาจากเว็บอื่น จาก กระแสที่ มี การ ห้อย ตุ๊กตา เอาไว้ ท้ายรถเป็นจำนวน มาก เริ่มจาก คนกลุ่ม เล็กๆ แล้วก็ มากขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็น แฟชั่น ในที่สุด พ่อ แม่ พี่ น้อง บนท้องถนน หรือกระทั่ง คนขับรถโดยสารสาธารณะ เริ่ม เอามาห้อยบ้าง (โดยไม่รู้ที่มาที่ไป) ลุกลามไป ถึง รถกระป้อ รถบรรทุก รถมอไซด์ รถยนต์ทุกชนิด มันดูน่ารัก เท่ห์ และไม่เสียหายอะไร ค่าใช้จ่ายต่ำมาก (ผมก็ว่าเช่นนั้น) และ เป็น จุดสังเกต ว่านั่นคือรถของเรา ซึ่งผมเองยังไม่มีรถ และกำลังจะซื้อรถเร็วๆนี้ ก็มีความคิดที่จะทำเช่นกัน แต่พอได้อ่านกระทูก่อนหน้านี้ เรื่องที่มาที่ไปของการห้อยตุ๊กตา ได้ความว่า --------------------------------------------------------------------------------
ในเริ่มแรกเดิมทีนั้น ตอนแรกๆจะห้อยตุ๊กตาที่มีรูปร่าง "เหมือนคน " กันครับ พวกตุ๊กตาบาบี้ หรืออะไรก็ได้ ที่ดูออกว่า " เป็นรูปคน"
แล้วเค้าห้อยทำไม ... การห้อยตุ๊กตารูปคน ทำเพื่อแก้เคล็ดครับ สำหรับรถที่เคย "ลากคนไปอยู่ใต้ท้องรถ " มาแล้ว ด้วยความเชื่อที่ว่า เพื่อไม่ให้วิญญาณคนที่ถูกลาก ตามติดอยู่ใต้ท้องรถตลอดไป จะขายราคาก็ตก เงินก็ไม่มี เดี๋ยวไม่มีรถใช้ [ คล้ายๆกับเรื่องที่เราไปแย่งนอนเตียงผีน่ะครับ ถ้าเราไปนอนแทน ผีก็นอนไม่ได้] เรื่องตุ๊กตาห้อยท้องรถก็เช่นกัน ห้อยไว้ เพื่อเอาตุ๊กตามา " แย่งที่" ไม่ให้วิญญาณ มาอาศัยใต้ท้องรถเราอยู่ครับ บางคนซื้อรถมือสอง แล้วเห็นอะไรแปลกๆขณะขับรถ หรือไม่ไว้ใจประวัติรถ ก็มักจะมาห้อย กันเอาไว้ก่อนน่ะครับ ....... มาตอนนี้กลายเป็นว่า ... ห้อยเป็นแฟชั่น
แต่การห้อยเป็นรูปตุ๊กตาหมีหรืออะไรต่างๆน่ะ กันวิญญาณไม่ได้นะครับ แต่อาจจะทำให้วิญญาณเร่ร่อน ตามติดรถไปได้อีก การโชว์ ตุ๊กตา หรืออะไรต่างๆที่เป็นของที่มนุษย์ใช้ที่มันดูน่ารักน่าเล่นน่ะ ไม่ต่างอะไรกับการ " เชื้อเชิญ" นะครับ ถ้าใส่ไว้ในรถจะไม่เป็นไร แต่ถ้านอกรถเป็นการ แสดงการเชื้อเชิญครับ [คล้ายๆกับการตอบ " ครับ" หรือเปิดประตูรับน่ะครับ ทำให้วิญญาณเข้ามาในบ้านเราได้] ถ้าเผลอไปลากคนไปอยู่ใต้ท้องรถมาแล้ว ไม่จำเป็นต้องห้อยตลอดไปนะครับ แค่ 49 วันก็พอ กลัวนับผิด จะห้อยเกินไปบ้างก็ไม่เป็นอะไร วิญญาณใต้ท้องรถน่ะ แม้โดนแย่งที่ แต่มีสิ่งเหนี่ยวอยู่สิ่งเดียวครับ ก็คือใต้ท้องรถที่ลากเค้าน่ะแหละครับ วิญญาณที่สามารถยึดติดอยู่กับสิ่งเหนี่ยวได้ จะไม่ไปผุดไปเกิดนะครับ แต่ถ้าไม่สามารถยึดติดได้ จะไปผุดไปเกิดในช่วง 49 วันครับ ฉะนั้น ถ้าเผลอห้อยแล้วหลุด หรือโดนหมางับหายไป ให้เริ่มต้นห้อยและนับ 1 ใหม่ ไปอีก 49 วันนะครับ -------------------------------------------------------------------------------- นั่น คือ สาเหตุ และ ดูเหมือนการห้อย จะมีผลร้าย ด้านความเชื่อ ซึ่ง ถ้า ไม่ห้อยรูป คน อาจทำให้มีวิญญานติดรถไปได้ ผมจึงคิด สรุป ให้เข้าใจง่ายๆ ว่า
--> ห้อยตุ๊กตารูปคน = กันผี = แฟชั่น = ห้อยได้ไม่มีผลเสีย
--> ห้อยรูป อื่นๆที่ไม่ใช่รูปคน = เรียกผีมา = แฟชั่น = น่ารัก แต่อาจมีวิญญาณคนตายตามท้องถนนติดมา = มีผลเสีย (ถ้าไม่เชื่อ ก็ไม่เป็นไร)
--> ถ้าอยากห้อยรูป อื่นๆที่ไม่ใช่รูปคน = ห้อยได้ตามปกติ = แฟนชั่นสวยงาม = ดึงดูดผีตามตุ๊กตามา = มีผีติดรถ = เอาพระมาห้อยในรถ
= ผีจะโดนพระไล่ไปเองโดยอัตโนมัติ = ผีตัวไหม่ไม่รู้ว่ามีพระ ก็ เข้ามาตามตุ๊กตาอีก = โดนพระไล่ ไปอีก เป็นแบบนี้ เรื่อยไป
ที่มา : Forward Mail คับ -------------------------------------------------------------------
ตาแคม
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Platongkoh
Full Member
ออฟไลน์
กระทู้: 344
|
|
« ตอบ #71 เมื่อ: 17 เมษายน 2550, 10:44:07 » |
|
กระจ่างครับ........ ขอบคุณพี่แคมมาก ผมสงสัยมานานแล้ว........ช่วงนี้ก็เห็นเยอะขึ้น....
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ttp://platongkohphoto.multiply.com/
|
|
|
Mr.EggMan
|
|
« ตอบ #72 เมื่อ: 17 เมษายน 2550, 11:29:05 » |
|
ถามต่อ ตอนนี้เห็นเค้า ไปห้อยตุ๊กตากันที่ปลายท่อไอเสียด้วย เหตุผลเดียวกันหรือเปล่านะ :?:
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Aj.O
|
|
« ตอบ #73 เมื่อ: 17 เมษายน 2550, 23:27:52 » |
|
บทความของตาแคมได้สาระดีมากครับ ปล.ว่าแต่ว่า วิญญาณที่ตาแคมพูดถึง คงอยากเห็นหมีกระมัง..ถึงได้ชอบมาอาศัยรถที่มีตุ๊กตาหมี :lol:
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
...
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #74 เมื่อ: 18 เมษายน 2550, 07:57:28 » |
|
ก๊อปเค้าอีกทีครับ ถ้าอยากรู้ที่นอกเหนือจากนี้ ก็มิสามารถตอบได้ ไว้ถ้าเจออะไรใหม่ จะมา post อีกที หุหุ
ตาแคม
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
iamfrommoon
|
|
« ตอบ #75 เมื่อ: 18 เมษายน 2550, 08:06:29 » |
|
Thank you นะตามแคม พี่ก็สงสัยเหมือนกัน ทำไมคนถึงเอามาห้อยท้ายรถ...ที่แท้ก็กลัวผีนี่เอง 555 เอ แล้วถ้าเอาตุ๊กตาลิงไปไว้ล่ะคับมันหมายถึงอะไรฮับ อิอิ :wink: :lol: :lol:
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
@@ธรรมชาติสร้างความขัดแย้ง เพื่อให้คนเรียนรู้ซึ่งกันและกันได้ดียิ่งขึ้น@@@
|
|
|
ป๋าบอล
มือใหม่หัดเมาท์
ออฟไลน์
กระทู้: 196
|
|
« ตอบ #76 เมื่อ: 18 เมษายน 2550, 13:03:35 » |
|
อืมๆๆ...กำลังสงสัยเรื่องนี้พอดีเลย สรุปว่า ถ้าใครกลัวตุ๊กตาหมี ให้เอาศพมาห้อยไว้ท้ายรถใช่มั้ยครับ เข้าใจแล้วๆ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #77 เมื่อ: 18 เมษายน 2550, 15:00:31 » |
|
แล้วถ้าคนไม่อยากเห็นหมีทำงายอ่ะ ป๋าบอล (คำถามจากจารย์โอ หุหุ) ต้องเอาอะไรไปแขวนไว้ที่รถ ------------------------------------------------------------ ข้อมูลจากการวิจัยโดยดูเร็กซ์ สำรวจประชากร 26,000 คู่ ทั่วโลก โดยเฉลี่ยคนมีเพศสัมพันธ์ 104 ครั้ง/ปี กรีกเฉลี่ยมากสุด 164 ครั้ง/ปี (แทบจะวันเว้นวันเลยนะเนี่ย) ญี่ปุ่นเฉลี่ยต่ำสุด 48 ครั้ง/ปี (ถึงว่าผลิตอุปกรณ์กันซะเยอะเชียว หุหุ) เวลาการมีเพศสัมพันธืเฉลี่ย 18.3 นาที/ครั้ง ไนจีเรียเฉลี่ยสูงสุด 24 นาที/ครั้ง อินเดียวต่ำสุด 13.2 นาที/ครั้ง ที่มา นสพ. ไทยรัฐ ฉบับวันที่ 18 เม.ย. 50 หุหุ ตาแคม
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #78 เมื่อ: 19 เมษายน 2550, 10:07:42 » |
|
ท่าทางจะตก mean กระฉูด..เพราะสถิติเป็นศูนย์...ฮือๆๆ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
BeKamon
มือใหม่หัดเมาท์
ออฟไลน์
กระทู้: 235
|
|
« ตอบ #79 เมื่อ: 19 เมษายน 2550, 10:36:12 » |
|
พี่ปุ๊ก -- ชอบเรื่อง "ดี / ไม่ดี...อยากที่จะบอก" อืมมมม บางที ก็ค้นหาคำตอบว่า สิ่งนี้ดีหรือไม่ดี แต่มันไม่เจอคำตอบอะ พออ่านเรื่องนี้ มันก็เป็นการมองกันคนละแง่มุมนะคะ
บางครั้งสิ่งที่เราคิดว่า มันไม่ดี มันอาจจะดีก็ได้ อืมมม ไม่มีกฎเกณฑ์อะไรมาวัด มาแบ่งกัน หรือว่า เพื่อนๆ พี่ๆ มีเกณฑ์อะไรมาวัดการกระทำ หรือสิ่งต่างๆ ว่า ดีหรือไม่ดีบ้างคะ ช่วยโพสต์ให้ความกระจ่างหน่อย จะขอบคุณมากเลยค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
Something might change, but something never changes. (The Matrix Revolution)
|
|
|
หลิม 81
|
|
« ตอบ #80 เมื่อ: 19 เมษายน 2550, 10:39:18 » |
|
ชึวิตจริงของใคร บางคน.... เมา....แต่ได้ใจภรรยา บุญนำ ตื่นขึ้นมาตอนสาย ๆ ของวันเสาร์ เขารู้สึกปวดหัวและเมาค้าง เนื่องจากเมื่อคืนดื่มหนักไปหน่อย แต่เขาก็ต้องแปลกใจเมื่อเขาพบว่ามียาแก้ปวดหัว ไทลินอล 2 เม็ด กับน้ำหนึ่งแก้ววางอยู่บนโต๊ะข้างหัวเตียง เสื้อผ้าที่เขาใส่เมื่อคืนนี้ ได้ถูกซักสะอาดและรีดอย่างเรียบร้อย ทุกสิ่งทุกอย่างในห้องนอนถูกจัดไว้เป็นระเบียบ ขณะที่เขาเอายาขึ้นมากิน เขามองเห็นโน้ตวางอยู่บนโต๊ะมีข้อความว่า >" ที่รัก อาหารเช้าของคุณอยู่ในเตา > > > กาแฟอยู่ในกระ ติกน้ำร้อน > ฉันไปซื้อของที่ตลาดประเดี๋ยวกลับมา > รักคุณมากที่สุด " บุญนำขยี้ตาแล้วลองหยิกแขนตัวเอง> > เมื่อรู้ว่านี่ไม่ใช่เขาฝันไปแน่นอนจึงเกิดความสงสัย " มันเกิดอะไรขึ้น ? "> โดยปกติ เขาจะมีปากเสียงกับภรรยาของเขาทุกครั้งที่เขาเมากลับบ้าน> > แต่เมื่อคืนนี้เขาเมายิ่งกว่าคืนใด ๆ> > แต่ทำไมทุกอย่างมันกลับเป็นตาลปัตรอย่างนี้> > >> > >เขาเดินเข้าไปในครัว อาหารเช้ากาแฟถูกเตรียมไว้อย่างดีสำหรับเขา> > >เมื่อยกมานั่งกินที่โต๊ะอาหาร> เขาพบว่าลูกชายนั่งกินอาหารเช้าอยู่ก่อนแล้ว> > >บุญนำ : เมื่อคืนนี้เกิดอะไรขึ ้น ?> > >ลูกชาย : เมื่อคืนนี้พ่อกลับบ้านตอนตีสาม พ่อเมามากเดินโซเซชนตู้แตก> > >เก้าอี้หัก แล้วพ่อยังอาเจียนเลอะบ้านไปหมด> > บุญนำ : จริงเหรอ ? แม่ไม่โกรธหรือ ?> > >ลูกชาย : แม่ลงมาดูแล้วโกรธมาก แม่ลากพ่อไปยังห้องนอน> > >แล้วแม่ก็ถอดกางเกงที่เลอะอาเจียรของพ่อออก> > บุญนำ : แล้วไงต่อ ? > > >ลูกชาย : พ่อไม่ยอมให้แม่ถอด พ่อได้แต่พูดว่า " คุณ คุณ อย่าดีกว่า> > >ผมมีเมียแล้ว อนาคตของใคร!!!
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
@ ปีนี้ปีของผม @
|
|
|
Mr.EggMan
|
|
« ตอบ #81 เมื่อ: 19 เมษายน 2550, 13:03:16 » |
|
ผู้ชายเลวๆที่แสนดี
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Ton(Poodle)
บุคคลทั่วไป
|
|
« ตอบ #82 เมื่อ: 19 เมษายน 2550, 13:42:42 » |
|
ชายคนหนึ่งเพิ่งจะมาพูดได้ตอนอายุ 4 ขวบ ชายคนนั้น...เพิ่งจะมาอ่านหนังสือออกตอนอายุ 8 ขวบ ชายคนนั้น...เคยถูกไล่ออกจากโรงเรียน ชายคนนั้น...เคยถูกปฎิเสธจากโรงเรียนอาชีวะแห่ง ซูริค ชายคนนั้น...เคยถูกอาจารย์ระบุว่า "สมองช้า ไม่ชอบสังคมและล่องลอยอยู่ในความฝันอันโง่เขลาของ ตัวเองตลอดเวลา" ชายคนนั้น...ชื่อ "อัลเบิร์ต ไอสไตน์" บิดาแห่งปรมาณู
ชายคนหนึ่งเคยถูกปฎิเสธจงเรียนเตรียมทหารเวสต์พอยต์ ชายคนนั้น...ลองสมัครใหม่ดูอีกที ชายคนนั้น...ถูกปฎิเสธอีกครั้ง ชายคนนั้น...พยายามเป็นครั้งที่สาม ชายคนนั้น...ได้รับอนุญาตให้เข้าเรียน ชายคนนั้น...ได้เป็นทหารสมใจ ชายคนนั้น...เข้าไปอยู่ในหน้าประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่สองได้สำเร็จ
ชายคนนั้น...ชื่อ "นายพล ดักลาส แมคอาเธอร์" ผู้พิชิตแปซิฟิคแห่งสงครามโลกครั้งที่สอง
ชายกล ุ่มหนึ่งเป็นนักดนตรี ชายกลุ่มนั้น...เคยถูกปฎิเสธจากผู้บริหารคนหนึ่งจากบริษัทเดคคาเรคคอร์ติ้ง ชายกลุ่มนั้น...ถูกปฎิเสธด้วยเหตุผลที่ว่า"เราไม่ชอบเสียงเพลงของพวกเขา และกลุ่มนักดนตรีที่เล่นกีตาร์กำลังจะหมดสมัยแล้ว” ชายกลุ่มนั้น...มีนามว่า "เดอะ บีเทิลส์" สี่เต่าทองแห่งตำนาน
ชายคนหนึ่ง...เป็นนักกีฬา ชายคนนั้น...เล่นบาสเกตบอลให้กับทีมโรงเรียนมัธยม ชายคนนั้น...เคยถูกคัดออกจากทีมโรงเรียน ชายคนนั้น...ชื่อ "ไมเคิล จอร์แดน" หนึ่งในนักกีฬาบาสเกตบอลที่ทำเงินมากที่สุดในโลก
ชายคนหนึ่ง...เป็นนักแต่งเพลงชาวเยอรมัน ชายคนนั้น...สูญเสามสามารถในการฟังลงเรื่อยๆ ชายคนนั้น...หูหนวกสนิทเมื่อมีอายุได้ 46 ปี ชายคนนั้น...ได้ใช้ช่วงเวลาบั้นปลายชีวิตประพันธ์เพลงที่ยอดเยี่ยมที่สุด ชายคนนั้น...ชื่อ "ลุดวิก ฟาน บีโธเฟน" (Ludwig van Beethoven) นักประพันธ์เพลงชื่อก้องโลก
ชายคนหนึ่งสอบตกประถม 6 ชายคนนั้น...เคยมีชีวิ ตที่พ่ายแพ้และล้มเหลวมาตลอด ชายคนนั้น...ล้วนทำประโยชน์ครั้งใหญ่ๆเมื่อเขากลายเป็นผู้สูงอายุแล้ว ชายคนนั้น...ได้เป็นนายกรัฐมนตรีอังกฤษเมื่ออายุ 62 ปี ชายคน ั้น...ชื่อ "วินสตัน เชอร์ชิล" อดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษ
ชายคนหนึ่งเรียนปริญญาตรี ชายคนนั้น...เคยถูกจัดให้เป็นแค่นักศึกษาระดับกลางเท่านั้น ชายคนนั้น...เคยสอบได้อันดับที่ 15 จากนักศึกษา 22 คนในวิชาเคมี ชายคนนั้น...ชื่อ "หลุยส์ ปาสเตอร์"
ชายคนหนึ่งเป็นนักร้อง ชายคนนั้น...เคยถูกผู้จัดการของ แก รนด์โอเลโอเพรย์ไล่ออก ชายคนนั้น...เคยโดนดูถูกว่า "แกมันไปไม่ถึงไหนเลย แกควรกลับไปขับรถบรรทุกมากกว่า" ชายคนนั้น...ชื่อ "เอลวิส เพรสลีย์"
หญิงคนหนึ่งเป็นนางแบบผู้เปี่ยมไปด้วยความหวัง หญิงคนนั้น...ทำงานให้กับบริษัท Blue Book Modeling Agency หญิงคนนั้น...เคยโดน ผอ.บริษัท บลูบุ๊ค โมเดลลิ่งเอเจนซี่ดูถูกว่า "เธอควรไปเรียนด้านเลขาฯหรือไม่ก็แต่งงานเสียดีกว่า" หญิงคนนั้น...ชื่อ นอร์มา จีน เบเกอร์ หรือที่รู้จักกันในนาม "มาริลีน มอนโร" นั่นเอง
ชายคนหนึ่ง หลงใหลวิชาการเงินอย่างมาก ชายคนนั้น...ยื่นใบสมัครกับมหาวิทยาลัยธุรกิจฮา วาร์ดอันเลื่องชื่อ ชายคนนั้น...ถูกปฎิเสธในเวลาต่อมา ชายคนนั้น...ไม่ยอมแพ้ เดินหน้าเข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยธุรกิจโคลัมเบีย ชายคนนั้น...สำเร็จการศึกษา ชายคนนั้น...ปัจจุบันมีสินทรัพย์รวมกว่า 44,000 ล้านเหรียญสหรัฐจากเงินลงทุนเพียง 100เหรียญสหรัฐ ชายคนนั้น...ชื่อ "วอเรน บัฟเฟตต์" นักลงทุนอัจฉริยะอภิมหาเศรษฐีอันดับสองของโลก
ชายคนหนึ่ง หลงใหลในคอมพิวเตอร์อย่างมาก ชายคนนั้น...ชอบหมกตัวกับคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ ชายคนนั้น...ถูกเพื่อนมองว่า "สกปรก - บ้าคอมพิวเตอร์" ชายคนนั้น...เคยเสนอซอฟแวร์ระบบให้กับ แอปเปิ้ล คอมพิวเตอร์ ชายคนนั้น...ถูกปฎิเสธอย่างไม่ใยดี ชายคนนั้น...ปัจนคือผู้ให้การช่วยเหลือด้านเงินทุนกับ แอปเปิ้ลคอมพิวเตอร์ ชายคนนั้น...เคยถูก ไอบีเอ็ม มองว่า "แค่เด็ก" ชายคนนั้น...ปัจจุบันเป็นผู้นำบริษัทซอฟแวร์ที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดในโลก ชายคนนั้น...ชื่อ วิลเลี่ยม เฮนรี่ เกตส์ ที่สาม หรือที่รู้จักกันในนาม " บิลล์ เกตส์" ผู้ก่อตั้งไมโครซอฟต์ มหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของโลก ผู้ถือครองสินทรัพย์กว่า 46,000 ล้านเหรียญ
เชื่อว่า...ทุกคนเคยแพ้ เชื่อว่า...ทุกคนเคยล้มเหลว แต่...คนแพ้ไม่ใช่คนที่ล้มเหลว คนล้มเหลวคือ........คนที่ล้มเลิกต่างหาก
____________ ชีวิตต้องสู้ :wink:
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #84 เมื่อ: 20 เมษายน 2550, 11:40:22 » |
|
ทำไงถึงจะคิดแบบนี้ได้ เหมือนง่ายๆ นะ แต่ทำได้ยาก
ตาแคม :?
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
iamfrommoon
|
|
« ตอบ #85 เมื่อ: 20 เมษายน 2550, 16:56:34 » |
|
>>> กาแฟใส่เกลือ
>>>เขาเจอเธอในงานเลี้ยงแห่งนึง >>>เธอดูโดดเด่นมากและมีคนมากมายรุมล้อมเธอ >>>ในขณะที่เขาดูเป็นผู้ชายธรรมดาคนนึง >>>ไม่มีใครใส่ใจเขาเลย >>> >>>และหลังงานเลี้ยงเลิก >>>เขาได้มีโอกาสชวนเธอไปทานกาแฟต่อ >>>เธอประหลาดใจมาก >>>แต่ท่าทีที่สุภาพของเขา ทำให้เธอตอบตกลง >>> >>>พวกเขานั่งในร้านกาแฟดีๆแห่งนึง >>>เขาดูประหม่าจนพูดอะไรไม่ออก >>>เธอรู้สึกอึดอัดมาก จนคิดในใจว่า >>>ได้โปรดให้ฉันกลับบ้านเหอะ >>> >>>แต่ทันใดนั้น.....เขาถามบ๋อยว่า ขอเกลือป่นได้ไหม >>>อยากเอามาใส่ในกาแฟ >>>ทุกคนในร้านหันมาจ้องเขาด้วยความประหลาดใจ >>>เขาอายจนต้องก้มหน้า >>>แต่ก็ยังเติมเกลือลงในกาแฟ และก็ดื่มมันเสียด้วย >>> >>>ทำให้เธอต้องถามเขาอย่างอดไม่ได้ว่า ทำไมชอบกาแฟรสชาติแบบนี้ >>>เขาตอบว่า เมื่อเขายังเด็กบ้านเกิดเขาอยู่ริมทะเล >>>เขาเป็นลูกน้ำเค็มเล่นกับทะเลทุกวัน เคยชินกับรสเค็มของเกลือ >>>เหมือนกับรสชาติของกาแฟเค็ม >>>เพราะฉะนั้นเมื่อทุกครั้งที่เขาได้ลิ้มรสกาแฟเค็มๆเขาก็จะคิดถึงวัยเด็ก >>>คิดถึงบ้านเกิด เขาคิดถึงพ่อแม่ทียังอยู่ที่นั่น >>> >>>เขาเล่าไปก็น้ำตาไหลอาบแก้ม >>>เธอรู้สึกสงสารเขาจับใจ >>>นั่นเป็นความในใจลึกๆของเขา >>>ผู้ชายคนไหนที่กล้าบอกว่าเขาคิดถึงบ้าน >>>แสดงว่าเขาต้องรักครอบครัวอย่างมาก >>>และมีความรับผิดชอบต่อครอบครัว >>>ดังนั้นเธอก็เริ่มประทับใจในตัวเขา เริ่มชวนเขาคุย >>>เล่าถึงบ้านเกิดของเธอบ้าง ชีวิตในวัยเด็ก ครอบครัวของเธอ >>>เธอกับเขาคุยกันถูกคอมากขึ้นเรื่อยๆ >>>และจากการเริ่มต้นที่ดี ทำให้เขากับเธอคืบหน้าความสัมพันธ์ต่อไป >>> >>> >>>จนในที่สุด เธอก็ค้นพบว่า เขาคือผู้ชายแบบที่เธอต้องการอย่างแท้จริง >>>เขาใจกว้าง อ่อนโยน อบอุ่น และดูแลเป็นอย่างดี เขาเป็นผู้ชายที่สมบูรณ์แบบ >>>แต่เธอเกือบจะมองข้ามเขาไป! >>>ต้องขอบคุณกาแฟแก้วนั้น >>> >>>และชีวิตรักที่สวยงามเช่นนี้ ก็เหมือนดังเรื่องทั่วไป >>>เมื่อเธอตกลงใจแต่งงานกับเขา และก็มีความสุขมาโดยตลอด.... >>>โดยทุกๆครั้งที่เธอชงกาแฟให้กับเขา >>>เธอต้องใส่เกลือลงไปในกาแฟให้ทุกครั้งไป >>>เธอรู้ว่านี่เป็นกาแฟที่เขาชอบมากที่สุด >>> >>> >>>หลังจากนั้นอีกสี่สิบปีเขาก็จากเธอไป >>>ทิ้งจดหมายไว้ให้เธอฉบับนึงข้างในมีใจความว่า >>> >>>ที่รัก อภัยให้ผมด้วย >>>ที่ต้องโกหกคุณชั่วชีวิต >>>มีเรื่องเดียวเท่านั้นที่ผมโกหกคุณ เรื่องกาแฟเค็มนั่น >>>จำวันแรกที่เรามีนัดกันได้ไหม >>>ผมประหม่ามากในตอนนั้น >>>จริงๆแล้วผมต้องการน้ำตาล แต่ผมพูดผิดเป็นขอเกลือ >>>ซึ่งมันยากที่จะกลับคำในตอนนั้น ผมจึงต้องปล่อยมันไป >>>ซึ่งผมไม่คิดว่า นั่นจะทำให้เราได้เริ่มต้นการพูดคุยกัน >>>ผมพยายามที่จะสารภาพกับคุณหลายต่อหลายครั้ง >>>แต่ผมก็ไม่กล้าที่จะสารภาพออกไป >>>ทำให้ผมสัญญากับตัวเองว่า จะไม่โกหกอะไรคุณอีกแม้แต่ครั้งเดียว >>>ตอนนี้ผมจากไปแล้ว ผมไม่ต้องหวาดกลัวอะไรอีก >>>ดังนั้นจึงเล่าความจริงในจดหมายฉบับนี้ >>> >>>แท้จริงแล้วผมไม่ได้ชอบทานกาแฟรสเค็มเลยแม้แต่น้อย >>>มันรสชาติค่อนข้างแย่ทีเดียว >>>แต่ว่าผมทานมันตลอดทั้งชีวิตตั้งแต่ได้รู้จักคุณ >>>ผมไม่เคยนึกเสียใจในสิ่งที่ทำเพื่อคุณเลย >>>การได้พบคุณเป็นความสุขอันยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดชีวิตของผม >>>ถ้าผมได้มีโอกาสมีชีวิตอีกครั้ง ผมก็ยังอยากจะได้พบคุณ >>>และมีคุณเป็นภรรยาผมอีกครั้งเช่นกัน >>>แม้ว่าผมจะต้องดื่มกาแฟรสเค็มอีกตลอดชีวิตก็ตาม! >>> >>>น้ำตาของเธอหยดใส่กระดาษจดหมายจนเปียกชุ่ม >>>และหลังจากนั้น หากมีใครถามเธอ >>>กาแฟรสเติมเกลือรสชาติเป็นเช่นไร >>> >>> >>>เธอก็จะตอบเสมอว่า "มันหวาน"
:oops: :oops: :oops:
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
@@ธรรมชาติสร้างความขัดแย้ง เพื่อให้คนเรียนรู้ซึ่งกันและกันได้ดียิ่งขึ้น@@@
|
|
|
Mr.EggMan
|
|
« ตอบ #86 เมื่อ: 21 เมษายน 2550, 15:52:10 » |
|
เพื่อเป็นประโยชน์ครับ อยากให้รู้กันมากๆ... กฎหมายใหม่ของกระทรวงยุติธรรม คุ้มครองประชาชน - ผู้หญิงโดนข่มขื่น แจ้งความ และใบรับรองแพทย์แจ้งว่าโดนข่มขืน รับเงิน 30,000 บาท - ถูกทำร้ายร่างกาย แจ้งรับเงิน 30,000-70,000 บาท - เป็นพลเมืองดี แต่ถูกทำร้ายร่างกายได้รับบาดเจ็บ แจ้งรับเงิน 100,000 บาท อายุการแจ้งความไม่เกิน 1 ปี ดำเนินการอย่างข้า 4 เดือน โทรสอบถามได้ที่กระทรวงยุติธรรม หรือโทร 1133 หาดูหนังสือพิมพ์ข่าวสด วันที่ 11-12 มกราคม 2550 ได้ ถ้าไม่เชื่อ… ส่งต่อด้วย ขอบคุณคนไทยทุกคน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #87 เมื่อ: 21 เมษายน 2550, 16:18:13 » |
|
โดนผู้หญิงรังแกหัวใจ..กรูจะได้เท่าไหร่คับ..
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
iamfrommoon
|
|
« ตอบ #88 เมื่อ: 22 เมษายน 2550, 02:54:35 » |
|
โดนผู้หญิงรังแกหัวใจ..กรูจะได้เท่าไหร่คับ.. รังแกจนได้ัหัวใจเราไปรึเปล่า ถ้าอันนี้คงไม่มีโรงพักไหนรับแจ้งครับ เพราะสมยอมน่ะ ฮ่าๆๆๆ :lol:
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
@@ธรรมชาติสร้างความขัดแย้ง เพื่อให้คนเรียนรู้ซึ่งกันและกันได้ดียิ่งขึ้น@@@
|
|
|
หลิม 81
|
|
« ตอบ #89 เมื่อ: 23 เมษายน 2550, 11:12:19 » |
|
โดนผู้หญิงรังแกหัวใจ..กรูจะได้เท่าไหร่คับ.. ของผมหนักไปทาง...ข่มขืนจิตใจ แต่ไม่สามารถออกใบรับรองแพทย์ได้ เพราะโดนหมอ ( ) ข่มขืน... :oops: :oops: น่าสงสารจัง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
@ ปีนี้ปีของผม @
|
|
|
party
|
|
« ตอบ #90 เมื่อ: 23 เมษายน 2550, 11:18:57 » |
|
เพื่อนกลุ่มหนูผู้ชายตอนที่ยังเรียนเศรษฐฯ เค้าบอกว่า เวลาเข้าห้องน้ำทีไร โดนข่มขืนทางสายตา ทู้กกกกที 5555555
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
iamfrommoon
|
|
« ตอบ #91 เมื่อ: 21 พฤษภาคม 2550, 16:11:14 » |
|
เด็กหนุ่มคนหนึ่ง...เป็นชาวสงขลา...
เรียนเก่งมาก...
ได้ทุนไปเรียนอเมริกา...ตั้งแต่เด็ก...จนจบด็อกเตอร์...
จึงกลับมาเยี่ยมบ้าน...
บ้านของเด็กหนุ่ม...
อยู่อีกฟากหนึ่ง...ของทะเลสาบสงขลา...
ต้องนั่งเรือแจว...ข้ามไป...ใช้เวลาแจวประมาณหนึ่งชั่วโมง...
เรือที่ติดเครื่องยนต์...ไม่มีเหรอ...ลุง... ?
ไม่มีหรอกหลาน...ที่นี่มันบ้านนอก...
มันห่างไกลความเจริญ...มีแต่เรือแจว...
โอ...ล้าสมัยมากเลยนะลุง...โบราณมาก...
ที่อเมริกา....เขาใช้เครื่องบินกันแล้วลุง...ลุงยังมานั่งแจวเรืออยู่อีก...
ไปส่งผมฝั่งโน้น...เอาเท่าไร...ลุง... ?
80 บาท...
OK ...ไปเลยลุง...
ในขณะที่ลุงแจวเรือ...
หนุ่มนักเรียนนอก...ก็เล่าเรื่องความทันสมัย...
ความก้าวหน้า...ความศิวิไลช์...ของอเมริกาให้ลุงฟัง...
เมืองไทย...เมื่อเทียบกับอเมริกาแล้ว...ล้าสมัยมาก...
ไม่รู้คนไทย...อยู่กันได้ยังไง... ?
ทำไมไม่พัฒนา...ทำไมไม่ทำตามเขา...เลียนแบบเขาให้ทัน... ?
ลุง...ลุงใช้คอมพิวเตอร์...ใช้อินเตอร์เน็ต...เป็นไหม... ?
ลุงไม่รู้หรอก...ใช้ไม่เป็น...
โอโฮ้...ลุงไม่รู้เรื่องนี้น่ะ....ชีวิตลุงหายไปแล้ว...25 %... .
แล้วลุงรู้ไหมว่า...เศรษฐกิจของโลก...ตอนนี้เป็นยังไง... ?
ลุงไม่รู้หรอก...
ลุงไม่รู้เรื่องนี้นะ...ชีวิตของลุงหายไป...50 %
ลุง...ลุงรู้เรื่องนโยบายการค้าโลกไหม...ลุง... ?
ลุง...ลุงรู้เรื่องดาวเทียมไหม...ลุง... ?
ลุงไม่รู้หรอก...หลานเอ๊ย...
ชีวิตของลุง...ลุงรู้อยู่อย่างเดียว...
ว่าจะทำยังไง...ถึงจะแจวเรือให้ถึงฝั่งโน้น...
ถ้าลุงไม่รู้เรื่องนี้...ชีวิตของลุง...หายไปแล้ว...75 %
พอดีช่วงนั้น...
เกิดลมพายุพัดมาอย่างแรง...คลื่นลูกใหญ่มาก...ท้องฟ้ามืดครึ้ม...
นี่พ่อหนุ่ม...เรียนหนังสือมาเยอะ...จบดอกเตอร์จากต่างประเทศ...
ลุงอยากถามอะไรสักหน่อยได้ไหม... ?
ได้...จะถามอะไรหรือลุง... ?
เอ็งว่ายน้ำเป็นไหม... ?
ไม่เป็นจ๊ะ...ลุง....
ชีวิตของเอ็ง...กำลังจะหายไป 100 % ...แล้วพ่อหนุ่ม... :lol: :lol:
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
@@ธรรมชาติสร้างความขัดแย้ง เพื่อให้คนเรียนรู้ซึ่งกันและกันได้ดียิ่งขึ้น@@@
|
|
|
|
นายป้อ
|
|
« ตอบ #93 เมื่อ: 26 พฤษภาคม 2550, 16:18:35 » |
|
:lol: แหม...เพื่อนชาร์ป..นายนี่นะ...
...ต้องรีบมีแฟนเป็นตัวเป็นตนได้แล้วล่ะ.....
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
iamfrommoon
|
|
« ตอบ #95 เมื่อ: 30 พฤษภาคม 2550, 11:22:48 » |
|
อิอิ....ขอเสริมค่ะว่า หากใครอยากอ่าน ผู้หญิงเก่งแม่พระแห่งประเทศแถบแอฟริกาท่านนี้...ไปอ่านได้ในหนังสือ "คู่สร้างคู่สม" ฉบับ 10-20 พ.ค. 2550 ค่ะ อาจารย์ให้สัมภาษณ์แบบ 4 หน้ากระดาษเลย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
@@ธรรมชาติสร้างความขัดแย้ง เพื่อให้คนเรียนรู้ซึ่งกันและกันได้ดียิ่งขึ้น@@@
|
|
|
ลูกพิ้ง
|
|
« ตอบ #96 เมื่อ: 30 พฤษภาคม 2550, 11:35:03 » |
|
:shock: กำลังจะพิมพ์บอกเหมือนพี่ปุ๊กกี้เล้ย.....
สงสัยต้องหลีกทางให้แฟนพันธุ์แท้คู่สร้างคู่สมตัวจริงอย่างพี่ปุ๊กกี๊ซะแล้วเจ้าค่ะ :lol: :lol:
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
iamfrommoon
|
|
« ตอบ #97 เมื่อ: 30 พฤษภาคม 2550, 12:26:45 » |
|
:shock: กำลังจะพิมพ์บอกเหมือนพี่ปุ๊กกี้เล้ย.....
สงสัยต้องหลีกทางให้แฟนพันธุ์แท้คู่สร้างคู่สมตัวจริงอย่างพี่ปุ๊กกี๊ซะแล้วเจ้าค่ะ :lol: :lol: ฮิ ฮิ....เขาเรียกอีกอย่างว่า "ใจตรงกัน"....ฮิ ฮิ
แฟนพันธุ์แท้ ณ "คู่สร้าง-คู่สม" 15 ปีแล้ว
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
@@ธรรมชาติสร้างความขัดแย้ง เพื่อให้คนเรียนรู้ซึ่งกันและกันได้ดียิ่งขึ้น@@@
|
|
|
Mouy (Again)
มือใหม่หัดเมาท์
ออฟไลน์
กระทู้: 150
|
|
« ตอบ #98 เมื่อ: 13 มิถุนายน 2550, 00:05:47 » |
|
เข้ามาช่วยปั่นกระทู้นี้ ดีกว่า.....อิอิ รอบนี้ไม่มีเรื่องมาเล่าอ่ะ แต่มีบอร์ดของอาจารย์มาแนะนำ เผื่อใครสนใจจ้า..... http://www.pasuonline.net/
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #99 เมื่อ: 13 มิถุนายน 2550, 07:53:12 » |
|
เปิดแล้วเครียดเลยอ่ะพี่หมวย เพิ่งสอบ compre เสร็จ ยังฝันร้ายอยู่ ฮ่าๆๆๆๆๆ
ตาแคม :lol:
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Mouy (Again)
มือใหม่หัดเมาท์
ออฟไลน์
กระทู้: 150
|
|
« ตอบ #100 เมื่อ: 17 มิถุนายน 2550, 22:29:31 » |
|
รสชาติของชีวิต ใครคนหนึ่งเคยเล่าให้ฟังว่า ครั้งหนึ่งคนไทยไปท่องฝรั่งเศส เข้าภัตตาคารและสั่งอาหารมาทาน เมื่อบริกรยกอาหารมาเสิร์ฟ คนไทยก็ควักเครื่องปรุงสารพัดที่เตรียมมาทำการปรุงรสเป็นการใหญ่ พ่อครัวฝรั่งเศสตะลึงและโกรธมาก บอกว่าอาหารที่เขาทำมาดีที่สุดแล้ว การใส่เครื่องปรุงโดยไม่รู้ความเป็นการทำลายรสอาหาร เชื่อว่าพ่อครัวฝรั่งเศสคงไม่ได้โมโหคนกินที่ไม่รู้จักมารยาทและวัฒนธรรมของเขา แต่คงอยากตั้งคำถามว่า "รู้ไหมว่าอะไรคือรสชาติที่ดีที่สุด?" พ่อครัวหลายคนไม่คิดว่าอาหารเป็นเพียงอาหาร แต่เป็นศิลปะด้วย ออกแบบทั้งหน้าตาและรสชาติอาหารมาเสร็จสรรพ การปรุงรสก่อนกินจึงเป็นการดูถูกฝีมือของคนปรุง เหมือนกับการปรับสีผิวของ โมนาลิซา เพื่อตามใจความชอบของตนเอง หรือแต่งหน้ารูปปั้น เดวิด ให้มีเค้าไทยมากขึ้น วัฒนธรรมการปรุงรสก่อนกินเป็นสิ่งที่ทำให้ผมทึ่งมานานแล้ว พวกเขาตักพริกป่น 2-3 ช้อน น้ำตาล 2-3 ช้อน น้ำส้มหนึ่งช้อน ถั่วป่นอีกหนึ่งช้อน ปฏิบัติเช่นนี้กับอาหารแทบทุกเมนูโดยเท่าเทียมกัน ตั้งแต่ก๋วยเตี๋ยวน้ำใส เส้นหมี่ต้มยำ ไปจนถึงบะหมี่น้ำเป็ด ทำให้อดตั้งคำถามมิได้ว่า ไฉนแม่ครัวไม่ปรุงรสตามที่ลูกค้าส่วนใหญ่กระทำไปเสียเลย น่าจะช่วยประหยัดเวลาไปได้มาก บางครั้งผมก็อดตั้งคำถามไม่ได้ว่า พวกเขาชอบปรุงเพราะติดนิสัยปรุงรสก่อนชิม หรือเพราะความจำเป็น? เนื่องจากปริมาณพริก น้ำตาล น้ำส้มสายชู ถั่ว มากเช่นนั้นกลบรสชาติดั้งเดิมของอาหารหมด หรือทำให้แยกความแตกต่างระหว่างรสชาติอาหารสองชนิดไม่ออก ปรมาจารย์การครัวชาวฝรั่งเศสในศตวรรษที่ 18 Anthelme Brillat-Savarin เชี่ยวชาญการกินมากจนสามารถเอ่ยคำพูดว่า "บอกผมสิว่าคุณกินอะไร แล้วผมจะบอกว่าคุณเป็นคนยังไง" อาหารบ่งบอกที่มาของคนคนนั้น ชีวิตก็เหมือนอาหาร บางช่วงจืด บางช่วงหวาน บางครั้งก็เค็ม เผ็ด ทุกรสมีความหมายของมัน เราไม่สามารถที่จะใช้ชีวิตทุกรสในเวลาเดียวกันได้ บางครั้งสุขด้วยรสหวานของรัก บางทีขมด้วยความผิดหวัง เค็มด้วยหยาดเหงื่อของความอดทน เผ็ดด้วยการทดลองทำสิ่งที่ไม่เคยกล้าทำมาก่อน ชีวิตเป็นการปรับตัวไปตามสถานการณ์ ความสนุกอยู่ที่เราไม่รู้ว่ามีอะไรรอเราอยู่ การปรุงรสชีวิตก่อนก็เหมือนไม่ทันกินอาหาร ก็ปรุงรสเป็นการใหญ่ จะทำอะไรก็วางแผนว่าอย่างนั้นอย่างนี้ล่วงหน้านานเป็นปีๆ จะต้องเป็นเศรษฐีก่อนวัยสามสิบ จะมีแฟนเป็นคนแบบนั้นแบบนี้ แต่ความจริงชีวิตไม่เคยสั่งการได้ เมนูชีวิตเป็นหน้าว่างเปล่าที่รอให้เราเขียนเอง บางทีชีวิตอาจจะน่าสนุกกว่าหากเราชิมรสของมันให้ครบรส เข้าใจสภาวะและคุณค่าของแต่ละช่วงชีวิต ที่มา www.winbookclub.com
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #101 เมื่อ: 20 มิถุนายน 2550, 13:21:14 » |
|
โอ้..เจ๊หมวยชอบวินทร์เหมือนผมเรยยยย..
ท่าทางเราจะไปด้วยกันได้ดีนะ..ชอบอะไรคล้ายๆกันเยอะเลย..
จุ๊บ..จุ๊บ..
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ชาร์ป
|
|
« ตอบ #102 เมื่อ: 25 มิถุนายน 2550, 23:14:08 » |
|
หาอะไรที่ช่วยให้ยิ้มได้มา อ่านกันดีกว่า ... copy เรื่องเล่าจริงของคนอื่นมาอีกที
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
por-sim
|
|
« ตอบ #103 เมื่อ: 27 มิถุนายน 2550, 18:51:54 » |
|
เป็นกระทู้ที่ดีมาก วันหลังจะมาเยี่ยมอีกค่า
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
too
ตู้ rcu85
Hero Cmadong Member
ออฟไลน์
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์
กระทู้: 1,281
|
|
« ตอบ #104 เมื่อ: 27 มิถุนายน 2550, 21:02:41 » |
|
กระทู้นี้ดีมากครับ ขอนำบทความดีๆมาแบ่งปันกันบ้าง เอามาจากเว็บที่ผมเข้าไปอ่านเป็นประจำ
ไม่หลงกล
รินใจ Kids & Family ธันวาคม ๒๕๔๗ ปรีชาเจอสมชายในงานเลี้ยงรุ่น เลยทักเพื่อนเก่าว่ายังทำโดนัทขายอยู่หรือเปล่า
"ยังทำอยู่ แต่เห็นจะต้องเลิกเร็ว ๆ นี้" สมชายพูดเนือย ๆ
ปรีชาถามเหตุผล สมชายจึงตอบว่า "ทำยังไงก็ไม่มีกำไรน่ะซี ถ้าหากฉันทำให้รูมันโต ลองคิดดูสิว่าฉันจะต้องใช้แป้งมากแค่ไหน ถึงจะล้อมไอ้รูนั้นให้รอบ"
"ไม่เห็นยากเลย แกก็ทำให้รูมันเล็กลงสิ" ปรีชาแนะ
"ทีแรกฉันก็คิดอย่างนั้น แต่พอฉันทำให้รูมันเล็กลง ก็ต้องเพิ่มแป้งให้มากขึ้นเพื่อไปแทนส่วนที่เป็นรู แล้วฉันจะมีกำไรได้อย่างไร " สมชายตอบ
สมชายพูดมีเหตุผล แต่เป็นเหตุผลที่ชวนให้งงงวย เพราะในความเป็นจริงถ้ารูโตใช้แป้งเยอะ รูเล็กก็ต้องใช้แป้งน้อยลงเนื่องจากมีขนาดเล็กลง ปัญหาของสมชายก็คือเขาไม่ได้นึกถึงการทำให้โดนัทมีขนาดเล็กลง เมื่อในใจของเขายังติดยึดอยู่กับขนาดเดิมของโดนัท จึงคิดว่าถ้ารูเล็กลงก็ต้องใช้แป้งมากขึ้น
เหตุผลนั้นมีประโยชน์ แต่ถ้าใช้ไม่เป็นก็อาจทำให้เจ้าตัวคิดผิดพลาดหรือมองคลาดเคลื่อนจากความ เป็นจริง ความเป็นจริงนั้นมีเพียงหนึ่ง แต่เหตุผลนั้นมีหลากหลาย บางเหตุผลก็มีข้อจำกัดที่ทำให้มองไม่เห็นความจริง
ขณะที่ศาสตราจารย์กับนักศึกษาเดินคุยกันอยู่ที่สวนสาธารณะ นักศึกษาก็ชี้ให้ศาสตราจารย์ดูธนบัตร๑,๐๐๐ บาทที่ตกอยู่บนพื้นหญ้า แต่ศาสตราจารย์ไม่เชื่อว่าเป็นธนบัตร ๑,๐๐๐ บาท เหตุผลก็คือ "ถ้าเป็นแบ๊งค์พันก็ต้องมีคนเก็บไปแล้ว ที่มันยังอยู่ตรงนั้นก็เพราะว่ามันเป็นแบ๊งค์ปลอม"
เหตุผลของศาสตราจารย์ดูน่าฟัง แต่คุณคิดว่า ใครน่าเชื่อมากกว่ากัน ศาสตราจารย์หรือนักศึกษา ?
บางครั้งเพียงแค่สามัญสำนึกก็ทำให้เราเห็นความจริงได้ ขณะที่เหตุผลอาจทำให้เราห่างไกลจากความเป็นจริง ดังกรณีข้างต้น ใครที่เห็นธนบัตร ๑,๐๐๐ บาทตกอยู่บนพื้นก็ต้องเก็บทั้งนั้น แต่ที่มันยังอยู่ตรงนั้นเพราะไม่มีคนเห็นต่างหาก เรื่องแบบนี้เด็ก ๆ ก็รู้ได้จากประสบการณ์และสามัญสำนึก
เนื่องจากเหตุผลและการคิดของเรามีข้อจำกัด เราจึงไม่ควรติดยึดกับเหตุผลหรือข้อสรุปของเรามากเกินไป มิเช่นนั้นเหตุผลจะกลายมาเป็นนายเรา มันไม่เพียงครอบเราไม่ให้เห็นความจริงซึ่งปรากฏอยู่ซึ่ง ๆ หน้าเท่านั้น หากยังสามารถทำให้เรากลายเป็นคนเห็นแก่ตัว ดังที่คนจำนวนไม่น้อยมีเหตุผลสารพัดในการคอร์รัปชั่นหรือทุจริต เช่น "ถึงฉันไม่ทำคนอื่นก็ทำ" หาไม่ก็อ้างความยากจน ที่อ้างว่าตัวเองเสียสละมามากแล้ว เพราะฉะนั้นขอเม้มเข้าตัวบ้าง ก็มีอยู่บ่อย ๆ
กิเลสนั้นก็รู้จักหาเหตุผลเพื่อประโยชน์ของมันเอง เหตุผลที่ใช้ก็ดูดีทั้งนั้น บางทีก็เถียงยาก
ชายผู้หนึ่งชอบโหนตัวอยู่บนบันไดรถเมล์ ไม่ยอมเข้าไปข้างในรถ ทั้ง ๆ ที่มีที่ว่างมากมาย กระเป๋ารถเมล์จึงขอร้องว่า "พี่ ๆ ช่วยเข้ามาข้างในหน่อย อย่าโหนอย่างนั้น เดี๋ยวจะตกลงไป"
"เรื่องของกู"
"ไม่ใช่อะไร ถ้าพี่เกิดพลัดตกลงไป ตำรวจจะเล่นงานผม"
"เรื่องของมึง"
ยิ่งเรียนสูงหรือคิดเก่ง กิเลสก็ยิ่งเก่งในการหาเหตุผลมาสนับสนุนการกระทำของมัน มันมีเหตุผลร้อยแปดที่จะโมโหเคียดแค้นเวลาไม่ได้ดังใจ หรือเศร้าโศกเสียใจเมื่อประสบกับความพลัดพรากสูญเสีย ซึ่งก็เท่ากับซ้ำเติมให้เราเป็นทุกข์มากขึ้น ดังนั้นถ้าไม่อยากให้กิเลสมาเป็นนายเรา จนพาเราจมปลักแห่งความทุกข์ ก็ต้องรู้เท่าทันเหตุผลที่มันเอามาใช้ ไม่เชื่อเหตุผลหรือหลงกลมันง่าย ๆ
ขณะเดียวกันถ้าอยากให้ชีวิตมีความสุข ก็ต้องรู้จักใช้เหตุผลมาส่งเสริมคุณภาพจิตที่ดีงาม เช่น นึกถึงผลดีของการให้อภัยและการมีเมตตาจิต เวลาประสบกับความล้มเหลวก็มองหาสาเหตุแห่งความผิดพลาดมากกว่าที่จะหาเรื่อง แก้ตัวหรือโทษคนอื่น
เหตุผลถ้ารู้จักใช้ ก็สามารถช่วยให้เราปล่อยวางหรือยอมรับความจริงได้มากขึ้น
เด็กน้อยเห็นแม่ป่วย จึงช่วยแม่หุงข้าว แต่ข้าวกลับแฉะ รู้สึกเสียใจ แม่จึงบอกว่า
"อย่าเสียใจเลยลูก หุงข้าวด้วยน้ำ มันก็ต้องมีแฉะบ้างเป็นธรรมดา"
วันต่อมาเด็กน้อยหุงข้าวให้แม่อีก แต่คราวนี้ข้าวไหม้ จึงโมโหตัวเอง แม่ก็บอกว่า
"อย่าโมโหเลยลูก หุงข้าวด้วยไฟ มันก็ต้องมีไหม้บ้างเป็นธรรมดา"
ข้าวจะแฉะหรือไหม้ ก็เป็นเรื่องธรรมดา เช่นเดียวกับได้หรือเสีย แพ้หรือชนะ สรรเสริญหรือนินทา สำเร็จหรือล้มเหลว ถ้ามองเห็นเช่นนี้ได้ ชีวิตจะปล่อยวางได้มากขึ้น และเป็นทุกข์น้อยลง
ที่มา http://www.budpage.com/ba160.shtml
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #105 เมื่อ: 28 มิถุนายน 2550, 07:53:42 » |
|
Cool!! มากน้องตู้ ตาแคม
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
นายป้อ
|
|
« ตอบ #106 เมื่อ: 29 มิถุนายน 2550, 15:09:00 » |
|
:lol: กระทู้เข้า....กับตัวเอง...หุๆๆๆ
....ใครแช่งใครชังช่างเถิด ใครเชิดใครชูช่างเขา ใครเบื่อใครบ่นทนเอา ใจเราร่มเย็นเป็นพอ.....
....จิตมนุษย์ไซร้ยากแท้หยั่งถึง.....
....ก่อนที่จะหยั่งรู้จิตใคร.....จงหยั่งรู้จิตตัวเองนะครับ....
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
telek78
|
|
« ตอบ #107 เมื่อ: 29 มิถุนายน 2550, 15:10:59 » |
|
:lol: กระทู้เข้า....กับตัวเอง...หุๆๆๆ
....ใครแช่งใครชังช่างเถิด ใครเชิดใครชูช่างเขา ใครเบื่อใครบ่นทนเอา ใจเราร่มเย็นเป็นพอ.....
....จิตมนุษย์ไซร้ยากแท้หยั่งถึง.....
....ก่อนที่จะหยั่งรู้จิตใคร.....จงหยั่งรู้จิตตัวเองนะครับ.... ป้อ เปลี่ยนไป
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
wara_thip
มือใหม่หัดเมาท์
ออฟไลน์
กระทู้: 79
|
|
« ตอบ #108 เมื่อ: 29 มิถุนายน 2550, 18:06:42 » |
|
แป๊ะกระทู้นี้ไว้ก่อนน่ะค่ะ วันหลังจะเข้ามาอ่านอย่างจริงจัง (เนื่องจากตัวหนังสือเยอะเหลือเกิน)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Max
|
|
« ตอบ #109 เมื่อ: 29 มิถุนายน 2550, 18:14:44 » |
|
เหมือนกันครับ พี่ชอบแบบ
บรรทัด เว้นบรรทัดอ่ะครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Aj.O
|
|
« ตอบ #110 เมื่อ: 04 กรกฎาคม 2550, 17:48:12 » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
...
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #111 เมื่อ: 05 กรกฎาคม 2550, 08:19:47 » |
|
หึหึหึหึหึหึหึหึหึหึหึ :twisted: เอามาฝากกัน tip ในการเมมเบอร์โทรศัพท์ไว้ในมือถือ ถ้ามือถือหาย คนที่เก็บได้เค้าจะรู้ได้อย่างไงว่าต้องโทรไปบอกใคร ว่าเก็บมือถือได้ เพราะในมือถือมีเบอร์เป็นร้อยเป็นพัน ถ้าเป็นภาษาอังกฤษ เค้าจะเมมเป็นคำว่า ICE แล้วต่อด้วยชื่อของคนคนนั้น ICE = In Case of Emergency เช่น ICE Sharp, ICE Lim หรือภาษาไทย เค้าจะเมมว่า "ด่วน" นำหน้าชื่อ เช่น ด่วน ไข่, ด่วน โจ้เลีย ใครจะเอาไปใช้ก้อได้ หรือเผื่อเก็บมือถือได้ ไม่รุจะโทรไปบอกใคร ก้อลอง search ชื่อที่ขึ้นต้นด้วยคำเหล่านี้ดู (เผื่อมี) ตาแคม :wink:
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ชาร์ป
|
|
« ตอบ #112 เมื่อ: 05 กรกฎาคม 2550, 10:13:10 » |
|
หึหึหึหึหึหึหึหึหึหึหึ :twisted: เอามาฝากกัน tip ในการเมมเบอร์โทรศัพท์ไว้ในมือถือ ถ้ามือถือหาย คนที่เก็บได้เค้าจะรู้ได้อย่างไงว่าต้องโทรไปบอกใคร ว่าเก็บมือถือได้ เพราะในมือถือมีเบอร์เป็นร้อยเป็นพัน ถ้าเป็นภาษาอังกฤษ เค้าจะเมมเป็นคำว่า ICE แล้วต่อด้วยชื่อของคนคนนั้น ICE = In Case of Emergency เช่น ICE Sharp, ICE Lim หรือภาษาไทย เค้าจะเมมว่า "ด่วน" นำหน้าชื่อ เช่น ด่วน ไข่, ด่วน โจ้เลีย ใครจะเอาไปใช้ก้อได้ หรือเผื่อเก็บมือถือได้ ไม่รุจะโทรไปบอกใคร ก้อลอง search ชื่อที่ขึ้นต้นด้วยคำเหล่านี้ดู (เผื่อมี) ตาแคม :wink: โปรดอย่าใช้ ICE Sharp ... ถ้าจะใช้ทำได้อย่างเดียว จองวัด ให้ หุ หุ :lol:
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
yungying
|
|
« ตอบ #113 เมื่อ: 05 กรกฎาคม 2550, 11:28:31 » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ttp://dekhorcu.multiply.com/
|
|
|
หลิม 81
|
|
« ตอบ #114 เมื่อ: 05 กรกฎาคม 2550, 14:27:31 » |
|
ชาร์ป แมร่งคงว่างมาก หาเรื่องให้อ่านได้ตลอด...
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
@ ปีนี้ปีของผม @
|
|
|
ชาร์ป
|
|
« ตอบ #115 เมื่อ: 05 กรกฎาคม 2550, 16:32:55 » |
|
ชาร์ป แมร่งคงว่างมาก หาเรื่องให้อ่านได้ตลอด... บังเอิญหัวใจมันยังว่างอยู่น่ะ ... ชีวิตมันก้เลยว่างตาม ฮิ้วววววว .. :lol:
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Max
|
|
« ตอบ #116 เมื่อ: 05 กรกฎาคม 2550, 16:54:52 » |
|
ชาร์ป แมร่งคงว่างมาก หาเรื่องให้อ่านได้ตลอด... บังเอิญหัวใจมันยังว่างอยู่น่ะ ... ชีวิตมันก้เลยว่างตาม ฮิ้วววววว .. :lol: สาธุ!!!!!
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
party
|
|
« ตอบ #117 เมื่อ: 05 กรกฎาคม 2550, 16:56:48 » |
|
ชาร์ป แมร่งคงว่างมาก หาเรื่องให้อ่านได้ตลอด... บังเอิญหัวใจมันยังว่างอยู่น่ะ ... ชีวิตมันก้เลยว่างตาม ฮิ้วววววว .. :lol: " หัวใจผมว่าง จะมีใครบ้างจับจอง เป็นโอกาสให้คุณครอบครอง มาจับมาจองหัวใจผมได้ :lol: "
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Max
|
|
« ตอบ #118 เมื่อ: 05 กรกฎาคม 2550, 16:59:02 » |
|
บักซ๊าป เค้าชอบของสูงอ่ะ
แต่ไม่แน่นะ ของสูงอาจจะหล่นทับสักวันก็ได้อ่ะ :wink:
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
telek78
|
|
« ตอบ #119 เมื่อ: 05 กรกฎาคม 2550, 17:33:50 » |
|
ชาร์ป แมร่งคงว่างมาก หาเรื่องให้อ่านได้ตลอด... บังเอิญหัวใจมันยังว่างอยู่น่ะ ... ชีวิตมันก้เลยว่างตาม ฮิ้วววววว .. :lol: " หัวใจผมว่าง จะมีใครบ้างจับจอง เป็นโอกาสให้คุณครอบครอง มาจับมาจองหัวใจผมได้ :lol: "เล่นเพลงของครูเพลง สุรพล เลย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
นายป้อ
|
|
« ตอบ #120 เมื่อ: 05 กรกฎาคม 2550, 18:39:30 » |
|
:lol: หุๆๆ............
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ชาร์ป
|
|
« ตอบ #121 เมื่อ: 07 กรกฎาคม 2550, 05:16:36 » |
|
ไม่รู้จะลงกระทู้ไหน ... สวัสดีตอนเช้าสำหรับ ... วันที่น่าจะดี สำหรับทุกคน 07 07 07 07 วันเสาร์ (วันที่ 7 ของสัปดาห์) ที่ 07 เดือน 7 ปี 2007 บอลไทย เตะเวลา 19.35 07 pm เข็มยาว ชี้เลข 7 และ จะ ชนะ 7-0 ... :lol:
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
khesorn mueller
|
|
« ตอบ #122 เมื่อ: 07 กรกฎาคม 2550, 05:38:13 » |
|
Hey,i think I am faster enough to wake up webboard..you are faster!!!what are you doing at this time? p.07.07.07
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
yungying
|
|
« ตอบ #123 เมื่อ: 07 กรกฎาคม 2550, 09:13:56 » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ttp://dekhorcu.multiply.com/
|
|
|
Max
|
|
« ตอบ #124 เมื่อ: 07 กรกฎาคม 2550, 16:06:18 » |
|
ไม่รู้จะลงกระทู้ไหน ... สวัสดีตอนเช้าสำหรับ ... วันที่น่าจะดี สำหรับทุกคน 07 07 07 07 วันเสาร์ (วันที่ 7 ของสัปดาห์) ที่ 07 เดือน 7 ปี 2007 บอลไทย เตะเวลา 19.35 07 pm เข็มยาว ชี้เลข 7 และ จะ ชนะ 7-0 ... :lol: โอ้...มีบอลไทย ลืมเลย นี่ม่รอนั่งเรียน ตอนทุ่ม ถึงสี่ทุ่มอ่ะ เซ็งโคดๆ อาจารย์เลื่อนเวลาสอน จะโดดก็ไม่ได้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
นายป้อ
|
|
« ตอบ #125 เมื่อ: 08 กรกฎาคม 2550, 13:15:36 » |
|
:shock: เชื่อได้เร้อ.........
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
iamfrommoon
|
|
« ตอบ #126 เมื่อ: 10 กรกฎาคม 2550, 09:50:44 » |
|
ช่วงนี้หลายคนอาจเบื่องาน แล้วคิดจะเปลี่ยนงาน หรือเปลี่ยนแล้ว พอดีอ่าน Bizweek ประจำ มีแง่คิดหลายๆ อย่างเกี่ยวกับการทำงาน และชีวิตก็เลยขอเอามาฝากน้องๆ นะคะ
สุขและทุกข์ในงานมาจากไหน โดย รัศมี ธันยธร ผู้อำนวยการศูนย์ความคิดสร้างสรรค์ www.creativitycenter.co.th
ดิฉันสนใจเรื่องการทำงานอย่างมีความสุข เพราะเห็นว่าความสุขและความรู้สึกดีๆ นั้น ทำให้คนมีกำลังใจ มีแรงใจ ซึ่งจะส่งผลให้มีกำลังกายมีแรงกายด้วย เมื่อแรงใจแรงกายดี เราจะสามารถใช้กายและใจนี้สร้างสรรค์สิ่งดีงามที่เป็นประโยชน์ต่อตนเอง ครอบครัว องค์กร ประเทศชาติ และสังคมโลกได้อย่างเต็มที่ได้ เราใช้เวลาในที่ทำงานเกือบทั้งวัน ถ้าเราทำงานแล้วมีความสุข ความสุขนั้นมีแนวโน้มว่าจะติดตัวเราไปถึงคนที่บ้านและคนนอกที่ทำงานด้วย
ตอนเด็กๆ บางครั้งเราเคยคิดว่าคนทำงานเพราะเงินอย่างเดียว แต่เมื่อโตขึ้นและได้ทำงานจริงๆ สิ่งต่างๆ และประสบการณ์ต่างๆ ที่เข้ามาในชีวิต ทำให้เราได้รับความรู้สึกใหม่ๆ ที่ทำให้ความคิดสมัยเด็กๆ เริ่มเปลี่ยนไป คนที่ทำงานมานานแล้วมักจะบอกคนรุ่นหลังว่า เขาทำงานเพราะเขามีความสุขที่ได้ทำ คนที่ยังไม่ได้ทำงานหรือเด็กไม่ค่อยเข้าใจเท่าใดนัก เพราะในความเห็นของเด็กนั้น การเล่นไปวันๆ โดยไม่ต้องทำอะไรอย่างอื่นเป็นเรื่องที่สุขมาก แต่เมื่อมาดูคนทำงานแล้วดูเหมือนต้องทำโน่นทำนี่ตลอดวัน แทบไม่ได้มีโอกาสเล่นเท่าใดนัก แล้วจะมีความสุขได้อย่างไรกัน
อะไรที่ทำให้คนมีสุขหรือทุกข์ในการทำงาน
ในห้องสัมมนาด้านการคิดสร้างสรรค์ทางบวกของบริษัทที่ปรึกษาด้านเทคโนโลยีสารสนเทศที่ก้าวหน้าแห่งหนึ่ง ดิฉันขอให้ผู้เข้าสัมมนาเขียนว่าอะไรที่ทำให้เขามีความสุขในการทำงาน และอะไรที่ทำให้เขามีความทุกข์ในการทำงาน โดยให้เขาเขียนเป็นข้อๆ ลงในกระดาษเปล่า
พออ่านมาถึงตรงนี้อาจมีบางท่านเห็นว่าคำตอบมีชัดเจนอยู่แล้ว จะมาถามอีกทำไมให้เสียเวลา เพราะคนจะสุขในงานก็เพราะได้เงินเยอะ และทุกข์ในงานเพราะได้เงินน้อย แต่คนทำงานที่เขียนเล่าให้ฟังนั้นเขาบอกอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งอ่านแล้วเราจะเข้าใจเลยว่า บางอย่างทำให้สุขได้มากกว่าได้เงินเยอะ และบางอย่างทำให้ทุกข์หนักว่าได้เงินน้อยเสียอีก
จากการสำรวจพบว่าคนทำงานรู้สึกมีความสุขจากปัจจัยหลักๆ ดังนี้
1. สุขจากการที่ตนเองทำงานได้สำเร็จราบรื่น เช่น ทำงานได้สำเร็จลุล่วง ทำงานที่ยากและท้าทายได้สำเร็จด้วยดี วางแผนแล้วได้ทำตามแผน แบ่งงานได้เหมาะสมกับงานที่รับ นำเสนองานเสร็จ เพื่อนร่วมงานช่วยกันทำงานเสร็จ ได้รับความร่วมมือจากคนรอบข้าง ทำงานได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ งานเสร็จตามเป้าหมายและเวลา ส่งมอบงานให้ลูกค้าสำเร็จสามารถปิดโครงการได้
2. สุขจากการคิดแก้ปัญหาได้ เช่น สามารถแก้ปัญหาได้ เวลามีปัญหาแล้วแก้สถานการณ์ตรงนั้นได้ เวลาลูกค้าเจอปัญหา หรือต้องการคำแนะนำ สามารถช่วยลูกค้าให้ผ่านเรื่องดังกล่าวได้ ให้คำปรึกษาแก่เพื่อนร่วมงานได้
3. สุขจากความภูมิใจที่ได้สร้างประโยชน์ให้คนอื่น เช่น ได้สร้างสรรค์งานใหม่ สร้างประโยชน์ที่แท้จริงโดยใช้องค์ความรู้ที่มีอยู่ เห็นคนได้รับประโยชน์จากสิ่งที่เราทำในระยะยาว คนรอบข้างมีความรู้เพิ่มขึ้นโดยเรา ตอบคำถามลูกค้าได้ ได้ช่วยเหลือลูกค้าและเพื่อนร่วมงาน เห็นลูกค้าและทีมงานได้ประโยชน์จากงานที่เราทำ เห็นลูกค้าสนุกและมีความสุขในงานของเขา เห็นทีมงานมีความสนุกกับงานที่กำลังทำ ช่วยเหลือครอบครัวและคนอื่นได้
4. สุขจากการที่ได้พัฒนาตนเอง เช่น มีโอกาสได้พัฒนาตนเอง ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ แล้วทำให้ ได้เจออะไรแปลกๆ ใหม่ๆ แล้วท้าทายดี ได้เจอเรื่องใหม่ คนใหม่ มีความรู้ความสามารถที่ดีเพียงพอต่อการทำงาน
5. สุขจากการมีสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบข้าง เช่น สามารถเข้ากับลูกค้าได้เป็นอย่างดี เพื่อนร่วมงานน่ารักสนุกสนาน ทำงานเป็นทีม ทุกคนทำงานอย่างมีความสุข ได้ความเป็นมิตรจากทุกคน ได้กำลังใจจากคนรอบข้าง ได้รับคำชมเชยและขอบคุณจากคนรอบข้าง ได้รับคำแนะนำจากผู้รู้ในปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างไม่กั๊ก เพื่อนมาช่วยแก้ปัญหาให้กับเรา ได้พูดคุยกับเพื่อนร่วมงาน ได้เฮฮาสนุกสนาน เพื่อนร่วมงานเข้าใจซึ่งกันและกัน ลูกค้ามีความสัมพันธ์ที่ดีกับเรา หัวหน้ามีความเข้าใจลูกน้อง ได้รับการยอมรับจากลูกค้า ได้รับความชื่นชมจากลูกค้า มีลูกค้าเข้ามาต่อเนื่อง สามารถบาลานซ์ชีวิตและงานได้ มีเวลาสำหรับตัวเอง บ้าน ครอบครัว และงานอย่างสมดุล สิ่งแวดล้อมเหมาะแก่การทำงาน
ขณะที่ทุกข์ในที่ทำงานมาจากปัจจัยหลักๆ ดังนี้
1. ทุกข์จากการคิดแก้ปัญหาไม่ได้ เช่น เกิดปัญหาในที่ทำงาน เช่น คิดไม่ออก ทำไม่ทัน รู้สึกว่าทำไม่ได้ตามที่ได้รับมอบหมาย ทุกข์ตอนที่ลูกค้าต้องการอะไร แล้วหาวิธีไม่ได้ ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ ใช้เวลานาน เวลาลูกค้ามีปัญหาแล้วหาทางออกได้ช้ากว่าที่เราคาดหวัง แก้ปัญหาให้คนในทีมงานไม่ได้ บางครั้งทำงานแล้วมีปัญหากันในทีมแล้วไม่สามารถเคลียร์กันได้ ทำงานไม่ค่อยทันไม่มีใครสนับสนุนช่วยเหลือเมื่อมีปัญหา พอแก้ปัญหาไม่ได้แล้วไม่รู้จะปรึกษาใคร งานเสร็จแล้วแต่ต้องกลับมาแก้ไข
2. ทุกข์จากความไม่ราบรื่นในการทำงาน เช่น ทำได้ตามที่ต้องการแล้วอยู่ดีๆ ก็เปลี่ยน ทำเท่าไรก็ไม่เคยพอใจกับงานที่เขาต้องการ เจอคนไม่มีเหตุผล เพื่อนร่วมงานและหัวหน้าไม่เข้าใจเรา และเราก็ไม่สามารถอธิบายให้ได้ เพราะเขาไม่รับฟังเรา โดนลูกค้าต่อว่า ลูกค้าไม่รับฟังในสิ่งที่พูด ถูกเร่งงานทุกอย่างให้ได้เร็วทันใจ ทั้งๆ ที่มีงานล้นมือแล้ว ไม่ชัดเจนว่าลูกค้าจะเอาอะไร มีตั้งหลายวิธีแต่ลูกค้าไม่พอใจ
3. ทุกข์จากความสัมพันธ์ที่ไม่ดีกับคนรอบข้าง เช่น มีปัญหาภายในทีม คุยกันไม่รู้เรื่อง ไม่คุยกัน เพื่อนร่วมงานคิดไม่ดีต่อกัน ไม่สามารถไว้วางใจเพื่อนร่วมงาน คนรอบข้างทำงานร่วมกับเราแล้วไม่ได้ดังใจ คนใกล้ชิดเราไม่เข้าใจการทำงานของเรา
4. ทุกข์จากงานและอื่นๆ เช่น การทำงานไปวันๆ งานไม่ท้าทาย งานผิดพลาด สุขภาพไม่แข็งแรง อึดอัด สุขภาพเสื่อมโทรม สภาพแวดล้อมไม่ดี อุณหภูมิในห้องไม่เหมาะสม
คนทำงานต่างอาชีพกันมีรายละเอียดในงานต่างกัน แต่ในประเด็นของความสุขและความทุกข์ในงานนั้นมีแก่นหลักๆ อยู่ไม่ต่างกันเท่าใดนัก
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
@@ธรรมชาติสร้างความขัดแย้ง เพื่อให้คนเรียนรู้ซึ่งกันและกันได้ดียิ่งขึ้น@@@
|
|
|
yungying
|
|
« ตอบ #127 เมื่อ: 10 กรกฎาคม 2550, 12:33:02 » |
|
การเรียนมีแต่.......ทุกข์ :cry: :cry: :cry:
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ttp://dekhorcu.multiply.com/
|
|
|
|
too
ตู้ rcu85
Hero Cmadong Member
ออฟไลน์
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์
กระทู้: 1,281
|
|
« ตอบ #129 เมื่อ: 13 กรกฎาคม 2550, 14:20:41 » |
|
^ ^ เข้าไปดูมาแล้ว น่ารักดีครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
นายป้อ
|
|
« ตอบ #130 เมื่อ: 14 กรกฎาคม 2550, 02:02:43 » |
|
:shock: ........... :lol:
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
yungying
|
|
« ตอบ #131 เมื่อ: 16 กรกฎาคม 2550, 12:26:51 » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ttp://dekhorcu.multiply.com/
|
|
|
too
ตู้ rcu85
Hero Cmadong Member
ออฟไลน์
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์
กระทู้: 1,281
|
|
« ตอบ #132 เมื่อ: 19 กรกฎาคม 2550, 14:08:28 » |
|
แวะเอาเรื่องราวของคุณหมอที่ติดเชื้อ HIV มาให้อ่านครับ
http://www.medchula.com/54/question.asp?GID=1657
หากรักสบายซักนิด นึกคิดทำขี้เกียจ ถึงตอนนี้คงไม่เครียด ที่กระเดียดมาเป็นหมอ
เวลาย้อนกลับไม่ได้ สิี่งที่เปลี่ยนไม่รั้งรอ หากยังนั่งเพียงวอนขอ ก็ไม่รูต้องรออีกเท่าใด
ชีวิตในวันนี้ โทษใครดีที่เปลี่ยนไป เพราะเราหรือเพราะใคร หรือเพราะไซร้ที่เกิดมา
ทุกคนมีความทุกข์ แต่ถ้าลุกมารักษา อย่ายอมแพ้กับชะตา เพราะว่าข้าคือคนจริง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Mouy (Again)
มือใหม่หัดเมาท์
ออฟไลน์
กระทู้: 150
|
|
« ตอบ #133 เมื่อ: 20 กรกฎาคม 2550, 10:09:53 » |
|
ไม่รู้ว่ามีใครได้อ่าน forward mail นี้หรือยังนะคะ... น่าสนใจดีทีเดียวล่ะค่ะ...
วิธีใช้กระดาษหน้าที่สาม
ได้รับ ฟอร์เวิร์ด เมล ฉบับหนึ่ง ไม่ใช่ฉบับที่ขอซื้อ "ปาติหาน" ด้วยเงิน 80 บาท แต่เป็นเมลที่ต้องการกระดาษที่ใช้แล้วทั้งสองหน้า เมื่อแรกที่เห็น.-เมลฉบับนี้ก็งงว่า ใครหนอจะสามารถเอากระดาษสองหน้าไปใช้ประโยชน์ได้อีก เลยลองถามคนรอบข้างว่า ถ้าจะเอากระดาษที่ใช้แล้วสองหน้าไปใช้อีกจะเอาไปทำอะไรให้ได้ประโยชน์สูงสุด ชั่งกิโลขาย พับถุงใส่กล้วยแขก ทำเปเปอร์มาร์เช่ พับนก ห่ออะไรที่ไม่ใช้แล้ว ฯลฯ มีใครคิดได้มากกว่านี้ดิฉันไม่รู้ แต่ไม่มีใครคิดถึงเรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้เลย นัยยะสำคัญของเมลฉบับนี้ คือ ต้องการใช้ประโยชน์จากกระดาษหน้าที่สาม แปลกใจใช่ไหม เพราะกระดาษหนึ่งแผ่นก็จะมีแค่ด้านหน้ากับด้านหลัง แค่ได้ใช้กระดาษรีไซเคิลแทนการใช้กระดาษใหม่ก็นับว่าช่วยในเรื่องการประหยัดทรัพยากรธรรมชาติ คือ ต้นไม้ ได้มากโข แต่นี่เป็นรีไซเคิลซ้อนรีไซเคิล ให้ได้ใช้ประโยชน์อีกต่อหนึ่ง ก่อนที่จะส่งไปชั่งกิโลขาย ผู้ที่ร้องขอบริจาคกระดาษที่ใช้แล้วทั้งสองหน้า คือ มูลนิธิช่วยคนตาบอดแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ทางมูลนิธิต้องการนำกระดาษที่ใช้แล้วทั้งสองหน้าไปใช้กับการเรียนการสอนภาษาเบลล์ของคนตาบอด ในเมื่อคนตาบอดมองไม่เห็นอะไรอยู่แล้ว กระดาษจะใช้แล้วไปมากน้อยขนาดไหน จะสีอะไรย่อมไม่มีผล เพราะทางสมาคมต้องการแค่ไปสอนภาษาเบลล์ให้คนตาบอดได้หัดเขียนหัดอ่านเท่านั้น ถ้าใครช่วยได้ ส่งกระดาษที่คุณใช้แล้ว แต่ยังอยู่ในสภาพดีไปได้ที่ มูลนิธิช่วยคนตาบอดแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ เลขที่ 420 ถนนราชวิถี แขวงทุ่งพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพฯ 10400 โทรศัพท์ 0-2354-8365 ช่วยกัน...ช่วยกัน เป็น "ปาติหาน" เล็กๆ น้อยๆ
:wink:
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ชาร์ป
|
|
« ตอบ #134 เมื่อ: 22 กรกฎาคม 2550, 12:05:39 » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
yungying
|
|
« ตอบ #135 เมื่อ: 22 กรกฎาคม 2550, 23:13:42 » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ttp://dekhorcu.multiply.com/
|
|
|
ชาร์ป
|
|
« ตอบ #136 เมื่อ: 26 กรกฎาคม 2550, 10:39:30 » |
|
ให้พี่ Bekamon เห็นร่ำ ๆ ว่าอยากรู้ทำไมถึงแต่งงาน ... แสดงว่า ท่าทางพี่ bekamon กำลังจะแต่งงาน :lol:
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
too
ตู้ rcu85
Hero Cmadong Member
ออฟไลน์
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์
กระทู้: 1,281
|
|
« ตอบ #137 เมื่อ: 26 กรกฎาคม 2550, 11:48:18 » |
|
เพิ่งอ่านเรื่องนี้มา ได้ข้อคิดอะไรดีๆเหมือนกัน
ความสุขที่ถูกมองข้าม พระไพศาล วิสาโล
คุณเป็นคนหนึ่งหรือไม่ที่เชื่อว่า ยิ่งมีเงินทองมากเท่าไร ก็ยิ่งมีความสุขมากเท่านั้น ความเชื่อดังกล่าวดูเผิน ๆ ก็น่าจะถูกต้องโดยไม่ต้องเสียเวลาพิสูจน์ แต่ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ประเทศไทยน่าจะมีคนป่วยด้วยโรคจิตน้อยลง มิใช่เพิ่มมากขึ้น ทั้ง ๆ ที่รายได้ของคนไทยสูงขึ้นทุกปี ในทำนองเดียวกันผู้จัดการก็น่าจะมีความสุขมากกว่าพนักงานระดับล ่าง ๆ เนื่องจากมีเงินเดือนมากกว่า แต่ความจริงก็ไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไป
ไม่นานมานี้มหาเศรษฐีคนหนึ่งของไทยได้ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ว ่า เขารู้สึกเบื่อหน่ายกับชีวิต เขาพูดถึงตัวเองว่า "ชีวิต(ของผม)เริ่มหมดค่าทางธุรกิจ" ลึกลงไปกว่านั้นเขายังรู้สึกว่าตัวเองไม่มีความหมาย เขาเคยพูดว่า "ผมจะมีความหมายอะไร ก็เป็นแค่....มหาเศรษฐีหมื่นล้านคนหนึ่ง" เมื่อเงินหมื่นล้านไม่ทำให้มีความสุข เขาจึงอยู่เฉยไม่ได้ ในที่สุดวิ่งเต้นจนได้เป็นรัฐมนตรี ขณะที่เศรษฐีหมื่นล้านคนอื่น ๆ ยังคงมุ่งหน้าหาเงินต่อไป ด้วยความหวังว่าถ้าเป็นเศรษฐีแสนล้านจะมีความสุขมากกว่านี้ คำถามก็คือ เขาจะมีความสุขเพิ่มขึ้นจริงหรือ ?
คำถามข้างต้นคงมีประโยชน์ไม่มากนักสำหรับคนทั่วไป เพราะชาตินี้คงไม่มีวาสนาแม้แต่จะเป็นเศรษฐีร้อยล้านด้วยซ้ำ แต่อย่างน้อยก็คงตอบคำถามที่อยู่ในใจของคนจำนวนไม่น้อยได้บ้างว ่า ทำไมอัครมหาเศรษฐีทั้งหลาย รวมทั้งบิล เกตส์ จึงไม่หยุดหาเงินเสียที ทั้ง ๆ ที่มีสมบัติมหาศาล ขนาดนั่งกินนอนกินไป ๗ ชาติก็ยังไม่หมด แต่ถ้าเราอยากจะค้นพบคำตอบให้มากกว่านี้ ก็น่าจะย้อนถามตัวเองด้วยว่า ทำไมถึงไม่หยุดซื้อแผ่นซีดีเสียทีทั้ง ๆ ที่มีอยู่แล้วนับหมื่นแผ่น ทำไมถึงไม่หยุดซื้อเสื้อผ้าเสียทีทั้ง ๆ ที่มีอยู่แล้วเกือบพันตัว ทำไมถึงไม่หยุดซื้อรองเท้าเสียทีทั้ง ๆ ที่มีอยู่แล้วนับร้อยคู่
แผ่นซีดีที่มีอยู่มากมายนั้น บางคนฟังทั้งชาติก็ยังไม่หมด ในทำนองเดียวกัน เสื้อผ้า หรือรองเท้า ที่มีอยู่มากมายนั้น บางคนก็เอามาใส่ไม่ครบทุกตัวหรือทุกคู่ด้วยซ้ำ มีหลายตัวหลายคู่ที่ซื้อมาโดยไม่ได้ใช้เลย แต่ทำไมเราถึงยังอยากจะได้อีกไม่หยุดหย่อน ใช่หรือไม่ว่า สิ่งที่เรามีอยู่แล้วในมือนั้นไม่ทำให้เรามีความสุขได้มากกว่าส ิ่งที่ได้มาใหม่ มีเสื้อผ้าอยู่แล้วนับร้อยก็ไม่ทำให้จิตใจเบ่งบานได้เท่ากับเสื ้อ ๑ ตัวที่ได้มาใหม่ มีซีดีอยู่แล้วนับพันก็ไม่ทำให้รู้สึกตื่นเต้นได้เท่ากับซีดี ๑ แผ่นที่ได้มาใหม่ ในทำนองเดียวกันมีเงินนับร้อยล้านในธนาคารก็ไม่ทำให้รู้สึกปลาบ ปลื้มใจเท่ากับเมื่อได้มาใหม่อีก ๑ ล้าน พูดอีกอย่างก็คือ คนเรานั้นมักมีความสุขจากการได้ มากกว่าความสุขจากการ มี มีเท่าไรก็ยังอยากจะได้มาใหม่ เพราะเรามักคิดว่าของใหม่จะให้ความสุขแก่เราได้มากกว่าสิ่งที่ม ีอยู่เดิม บ่อยครั้งของที่ได้มาใหม่นั้นก็เหมือนกับของเดิมไม่ผิดเพี้ยน แต่เพียงเพราะว่ามันเป็นของใหม่ ก็ทำให้เราดีใจแล้วที่ได้มา
จะว่าไปนี่อาจเป็นสัญชาตญาณที่มีอยู่กับสัตว์หลายชนิดไม่เฉพาะแ ต่มนุษย์เท่านั้น ถ้าโยนน่องไก่ให้หมา หมาก็จะวิ่งไปคาบ แต่ถ้าโยนน่องไก่ชิ้นใหม่ไปให้ มันจะรีบคายของเก่าและคาบชิ้นใหม่แทน ทั้ง ๆ ที่ทั้งสองชิ้นก็มีขนาดเท่ากัน ไม่ว่าหมาตัวไหนก็ตาม ของเก่าที่มีอยู่ในปากไม่น่าสนใจเท่ากับของใหม่ที่ได้มา
ถ้าหากว่าของใหม่ให้ความสุขได้มากกว่าของเก่าจริง ๆ เรื่องก็น่าจะจบลงด้วยดี แต่ปัญหาก็คือของใหม่นั้นไม่นาน ก็กลายเป็นของเก่า และความสุขที่ได้มานั้นในที่สุดก็จางหายไป ผลก็คือกลับมารู้สึก "เฉย ๆ" เหมือนเดิม และดังนั้นจึงต้องไล่ล่าหาของใหม่มาอีก เพื่อหวังจะให้มีความสุขมากกว่าเดิม แต่แล้วก็วกกลับมาสู่จุดเดิม เป็นเช่นนี้ไม่รู้จบ น่าคิดว่าชีวิตเช่นนี้จะมีความสุขจริงหรือ ? เพราะไล่ล่าแต่ละครั้งก็ต้องเหนื่อย ไหนจะต้องขวนขวายหาเงินหาทอง ไหนจะต้องแข่งกับผู้อื่นเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการ ครั้นได้มาแล้วก็ต้องรักษาเอาไว้ให้ได้ ไม่ให้ใครมาแย่งไป แถมยังต้องเปลืองสมองหาเรื่องใช้มันเพื่อให้รู้สึกคุ้มค่า ยิ่งมีมากชิ้นก็ยิ่งต้องเสียเวลาในการเลือกว่าจะใช้อันไหนก่อน ทำนองเดียวกับคนที่มีเงินมาก ๆ ก็ต้องยุ่งยากกับการตัดสินใจว่าจะไปเที่ยวลอนดอน นิวยอร์ค เวกัส โตเกียว มาเก๊า หรือซิดนีย์ดี
ถ้าเราเพียงแต่รู้จักแสวงหาความสุขจากสิ่งที่มีอยู่แล้ว ชีวิตจะยุ่งยากน้อยลงและโปร่งเบามากขึ้น อันที่จริงความพอใจในสิ่งที่เรามีนั้นไม่ใช่เรื่องยาก แต่ที่เป็นปัญหาก็เพราะเราชอบมองออกไปนอกตัว และเอาสิ่งใหม่มาเทียบกับของที่เรามีอยู่ หาไม่ก็เอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น เมื่อเห็นเขามีของใหม่ ก็อยากมีบ้าง คงไม่มีอะไรที่จะทำให้เราทุกข์ได้บ่อยครั้งเท่ากับการชอบเปรียบ เทียบตัวเองกับคนอื่น การเปรียบเทียบจึงเป็นหนทางลัดไปสู่ความทุกข์ที่ใคร ๆ ก็นิยมใช้กัน
นิสัยชอบเปรียบเทียบกับคนอื่น ทำให้เราไม่เคยมีความพอใจในสิ่งที่ตนมีเสียที แม้มีแฟนที่ดี ก็ยังไม่พอใจ เพราะรู้สึกว่าแฟนของคนอื่นสวยกว่า หล่อกว่า หรือเอาใจเก่งกว่า แม้มีลูกที่น่ารัก ก็ยังไม่พอใจเพราะรู้สึกว่าสู้ลูกของคนอื่นไม่ได้ แม้จะมีหน้าตาดี ก็ยังรู้สึกว่าตัวเองไม่สวย เพราะไปเปรียบเทียบตัวเองกับดาราหรือพรีเซนเตอร์ในหนังโฆษณา การมองแบบนี้ทำให้ "ขาดทุน" สองสถาน คือนอกจากจะไม่มีความสุขกับสิ่งที่มีอยู่แล้ว ยังเป็นทุกข์เพราะไม่ได้สิ่งที่อยาก พูดอีกอย่างคือไม่มีความสุขกับปัจจุบัน แถมยังเป็นทุกข์เพราะอนาคตที่พึงปรารถนายังมาไม่ถึง
ไม่มีอะไรที่เป็นอุทธาหรณ์สอนใจได้ดีเท่ากับนิทานอีสปเรื่องหมา คาบเนื้อ คงจำได้ว่า มีหมาตัวหนึ่งได้เนื้อชิ้นใหญ่มา ขณะที่กำลังเดินข้ามสะพาน มันมองลงมาที่ลำธาร เห็นเงาของหมาตัวหนึ่ง (ซึ่งก็คือตัวมันเอง) กำลังคาบเนื้อชิ้นใหญ่ เนื้อชิ้นนั้นดูใหญ่กว่าชิ้นที่มันกำลังคาบเสียอีก ด้วยความโลภ (และหลง) มันจึงคายเนื้อที่คาบอยู่ เพื่อจะไปคาบชิ้นเนื้อที่เห็นในน้ำ ผลก็คือเมื่อเนื้อตกน้ำ ชิ้นเนื้อในน้ำก็หายไป มันจึงสูญทั้งเนื้อที่คาบอยู่และเนื้อที่เห็นในน้ำ
บ่อเกิดแห่งความสุขมีอยู่กับเราทุกคนในขณะนี้อยู่แล้ว เพียงแต่เรามองข้ามไปหรือไม่รู้จักใช้เท่านั้น เมื่อใดที่เรามีความทุกข์ แทนที่จะมองหาสิ่งนอกตัว ลองพิจารณาสิ่งที่เรามีอยู่และเป็นอยู่ ไม่ว่า มิตรภาพ ครอบครัว สุขภาพ ทรัพย์สิน รวมทั้งจิตใจของเรา ล้วนสามารถบันดาลความสุขให้แก่เราได้ทั้งนั้น ขอเพียงแต่เรารู้จักชื่นชม รู้จักมอง และจัดการอย่างถูกต้องเท่านั้น แทนที่จะแสวงหาแต่ความสุขจากการได้ ลองหันมาแสวงหาความสุขจากการ มี หรือจากสิ่งที่ มี ขั้นต่อไปคือการแสวงหาความสุขจากการ ให้ กล่าวคือยิ่งให้ความสุข ก็ยิ่งได้รับความสุข
สุขเพราะเห็นน้ำตาของผู้อื่นเปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม และสุขเพราะภาคภูมิใจที่ได้ทำความดีและทำให้ชีวิตมีความหมาย จากจุดนั้นแหละก็ไม่ยากที่เราจะค้นพบความสุขจากการ ไม่มี นั่นคือสุขจากการปล่อยวาง ไม่ยึดถือในสิ่งที่มี และเพราะเหตุนั้น แม้ไม่มีหรือสูญเสียไป ก็ยังเป็นสุขอยู่ได้
เกิดมาทั้งที น่าจะมีโอกาสได้สัมผัสกับความสุขจากการ ให้ และ การ ไม่มี เพราะนั่นคือสุขที่สงบเย็นและยั่งยืนอย่างแท้จริง
ที่มา http://www.biolawcom.de/?/article/231
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Max
|
|
« ตอบ #138 เมื่อ: 26 กรกฎาคม 2550, 12:55:33 » |
|
อารมณ์ประมาณ อยากมีกิ๊ก หลายคน ช่ายเปล่า
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
party
|
|
« ตอบ #139 เมื่อ: 26 กรกฎาคม 2550, 13:12:12 » |
|
อารมณ์ประมาณ อยากมีกิ๊ก หลายคน ช่ายเปล่า ฮั่นแน่...แอบรู้และเข้าใจความรู้สึกคนอื่น อยางนี้พี่Maxต้องเคยรู้สึกอย่างนี้มาก่อนแน่เลย 555
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
MahDee
|
|
« ตอบ #140 เมื่อ: 26 กรกฎาคม 2550, 15:22:48 » |
|
ได้ข้อคิดดี ดี ครับ :wink:
จะสุขหรือทุกข์ อยู่ที่ตัวเอง...
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
yungying
|
|
« ตอบ #141 เมื่อ: 26 กรกฎาคม 2550, 15:51:52 » |
|
ได้ข้อคิดดี ดี ครับ :wink:
จะสุขหรือทุกข์ อยู่ที่ตัวเอง... เห็นด้วยอย่างยิ่ง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ttp://dekhorcu.multiply.com/
|
|
|
khesorn mueller
|
|
« ตอบ #142 เมื่อ: 26 กรกฎาคม 2550, 16:34:47 » |
|
Nong Sharp, your text is...excelllent! applaud! p.nn(married)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #144 เมื่อ: 27 กรกฎาคม 2550, 10:55:54 » |
|
ไอ้ชาร์ปมันถูกฝังในรถพร้อมวิทยุไปแล้ว..
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Max
|
|
« ตอบ #145 เมื่อ: 27 กรกฎาคม 2550, 12:02:28 » |
|
555 หน่วยพิสูจน์หลักฐาน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
iamfrommoon
|
|
« ตอบ #146 เมื่อ: 08 สิงหาคม 2550, 13:24:30 » |
|
เมื่อได้รับเมล์จากแพะมา และพี่อ่านเรื่องนี้เสร็จไม่รู้คนอื่นจะเหมือนพี่ปุ๊กมั้ย รู้แต่ว่า...ตัวเองน้ำตาไหลออกมาเอง...เพราะนั่นคือ สิ่งที่แม่พี่ทำกับพี่ในทุกๆ วันด้วยคำถามเดิมๆ...ตั้งแต่ได้รับ forward mail มาเสมอๆ เรื่องดี ดีนี้...ทราบซึ้ง กินใจที่สุด เลยอยากเอามาแบ่งปันค่ะ...ใกล้ถึงวันแม่แล้วพี่ก็เตรียมอะไรเล็กๆ น้อยๆ ส่งให้ท่านแล้วหล่ะ แม่บอกว่า ไม่ต้องการอะไรมากแค่ลูกเป็นคนดีของแม่ก็ภูมิใจและดีใจยิ่งกว่าของขวัญใดๆ แล้ว...
*************************************************************
>ก่อนอื่นต้องขออภัยสำหรับเจ้าของต้นเรื่อง มันอาจตอกย้ำความเจ็บปวดกับคุณในเรื่องนี้ >แต่เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ควรเผยแพร่ เพื่อตอกย้ำคนที่ได้ชื่อว่าลูกทุกคนให้หันกลับมาดูคนที่ส่งเสียคุณเลี้ยงดูคุณมาด้วยความเหนื่อยยาก
> วันนี้เราหันไปเหลียวท่านบ้างหรือเปล่า ก่อนจะไม่มีโอกาสดูแล เมื่อท่านจากเราไปแล้วการจัดงานใหญ่โตมันไม่มีประโยชน์อะไร เวลาท่านอยู่ทำไมไม่ทำ? >ความรู้สึกของน้องคนหนึ่งที่บรรยายออกมาจากใจ ในขณะที่.... ผมก็เป็นเช่นเด็กวัยรุ่นทั่วๆไป เรียน เที่ยว นอน กิน ดึกๆผมก็โทรคุยกับแฟนของผม ซึ่งทั้งหมดเหล่านี้มันก็เป็นกิจวัตรประจำวันของผม และผมก็เชื่อว่าใครๆเค้าก็ทำแบบนี้กัน
>'จ้า ตัวเอง วันนี้กินข้าวรื้อยาง ' >'กิน >กับอะไรบ้าง แล้วตอนกินตัวเองคิดถึงเค้ามั้ยเนี่ย' >'รู้มั้ยตัวเอง ถ้าเค้า >เป็นผีเนี่ย เค้าอยากเป็นกระสือที่รักจะได้เห็นใจไง' >'ตัวเองวางก่อนดิ ก่อน >ดิ' > > ประโยคต่างๆที่ผมได้คิดและคัดสรร เตรียมพร้อมมาต่างๆก่อนโทร ผมยังคงใช้เวลาส่วนใหญ่ตอนดึกไปกับการคุยโทรศัพท์ ระยะเวลาอันผมได้ใช้ไปในแต่ละครั้งนั้น พอรู้สึกอีกทีก็ผ่านไปหลายชั่วโมงแล้ว แต่ผมก็ไม่ชอบนะ หากใครจะมาว่าผมไร้สาระ ก็ไม่เห็นหรอคนส่วนใหญ่เค้าก็ทำกัน
>'เอ้อ เกือบลืมไปอีกอย่างกิจวัตรอีกอย่างนึงของผมก็คือ แม่ของผมมักชอบโทรหาผมทุกวัน' >'ตอนนี้ลูกอยู่หอรึยัง' >'เย็นนี้กินข้าวอิ่มมั้ย' >'วันนี้เรียนเป็นยังไงบ้าง' >'อย่าไปเที่ยวที่ไหนไกลนะ '
>โธ่!คำถามเดิมๆ ผมก็ตอบไปแบบเดิมๆ แม่ผมก็ไม่เบื่อซักที ยังคงโทรหาผมเป็นประจำ >โชคดีที่ผมพยายามตัดบทคุย ผมกับแม่น่ะคุยกันไม่กี่นาทีก็วางแล้ว ก็มันไม่มีอะไรจะคุยจะให้ผมทำยังไง จนกระทั่งวันนั้น
>' ตัวเองตอบเค้าได้รึยังว่ารักเค้ามั้ย' >'เร็วๆสิ เค้ายังอุตส่าห์ >บอกรักตัวเองไปแล้วนะ ' >'แล้วยังจะใจร้ายไม่บอกรักเค้าอีกหรอ' > > ติ๊ดๆ ติ๊ดๆ เสียงจากโทรศัพท์บอกผมว่ามีสายซ้อน ผมมองไปที่หน้าจอมันขึ้นชื่อว่า 'Home' >'โธ่ แม่โทรมาทำไมตอนนี้เนี่ย กำลังเข้าด้ายเข้าเข็มเลย' > > ผมไม่สลับสายผม ผมยังคงคุยกับสุดที่รักของผมต่อไป เพราะผมรู้ว่า > สิ่งที่แม่จะคุยกับผมก็คงเป็นประโยคเดิมๆ 'และนั่นก็เป็นโอกาสสุดท้ายที่ผมจะมีโอกาสฟังเสียงของแม่' > >หลังจากนั้นไม่นานทางญาติของผมโทรมาแจ้งผมว่า > >เมื่อคืนนี้บ้านของผมถูกขโมยเข้า และแม่ของผมขัดขืนและได้ต่อสู้กับโจรจึง >ถูกโจรใช้มีดแทงเข้าที่ท้อง แม่เสียชีวิตเพราะทนพิษบาดแผลไม่ไหว >ญาติของผมเล่าอีกว่า ตอนไปพบศพแม่นั้น ในมือของแม่กำโทรศัพท์ไว้แน่นและเบอร์โทรออก > ล่าสุดของเธอไม่ใช่โทรแจ้งตำรวจหรือเรียกรถพยาบาลแต่แม่เลือกที่จะโทรหา 'ผม' สิ่งสุดท้ายในชีวิตที่แม่ผมเลือกที่จะทำคือ โทรศัพท์หาผมเพื่อฟังเสียงของผม > >วินาทีนั้นน้ำตาของผมไหลอาบแก้ม ผมพูดอะไรไม่ออก มือและตัวของผมสั่น >วันนั้นผมเลือกที่จะคุยกับแฟนผม ดีกว่าที่จะคุยกับแม่ของผม > >ผู้หญิงคนเดียวในโลก ที่คุยกับผมเป็นคนแรกในชีวิต >ผู้หญิงคนเดียวที่ผมสามารถที่จะคุยกับเธอได้ทุกเวลา โดยที่ผมไม่ต้องเตรียมบทพูดใดๆ >ไม่ต้องกังวลว่าเธอจะประทับใจหรือไม่ ไม่ต้องมีมุข ไม่ต้องมีคำหวานใดๆ >คนเดียวในโลกที่โทรมาหาผมเพียงแค่ฟังผมพูดประโยคเดิมๆ >คนเดียวในโลกที่ไม่ว่าโทรศัพท์เธอจะโปรโมชั่นแพงแค่ไหนก็ยังโทรหาผม >'และคนเดียวในโลกที่เลือกคุยกับผมในวินาทีสุดท้ายในชีวิต' > > ในบางครั้งประโยคที่ว่า 'ไม่มีคำว่าสาย หากเราคิดที่จะแก้ตัว' มันก็ไม่เป็นความจริง >'เพราะบางปรากฏการณ์ในโลก เกิดขึ้นได้แค่ครั้งเดียว'
> อาจเป็นเพราะเวรกรรมของผม >หลังจากนั้นไม่นานแฟนผมที่ผมใช้เวลาคุยกับเธอวันหลายๆชั่วโมงคุยกับเธอก็ทิ้งผมไป >วันนี้ผมเริ่มเข้าใจชีวิตมากขึ้นหลายๆอย่างที่คนส่วนใหญ่ทำมิได้หมายถึงสิ่งที่ถูกต้องเสมอไป >เพราะตัวเราเท่านั้นที่เป็นผู้ต้องรับผลการกระทำของเราเอง >'เราจะรู้ว่าสิ่งใดสำคัญก็ต่อเมื่อเราต้องเสียมันไป' >ทุกวันนี้ผมนั่งมองโทรศัพท์ รอที่จะตอบคำถามเดิมๆให้ผู้หญิงคนหนึ่งฟัง >แต่ผู้หญิงคนนั้นคงไม่มีอีกแล้ว
***********************************************************
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
@@ธรรมชาติสร้างความขัดแย้ง เพื่อให้คนเรียนรู้ซึ่งกันและกันได้ดียิ่งขึ้น@@@
|
|
|
Dr.Poot
|
|
« ตอบ #147 เมื่อ: 08 สิงหาคม 2550, 13:26:38 » |
|
:cry: :cry: :cry: :cry: ซึ้งจังเลยค่า
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Dr.Poot
|
|
« ตอบ #148 เมื่อ: 08 สิงหาคม 2550, 13:29:57 » |
|
ซึ้งกันอีกเรื่องแล้วกันนะ
>>แม่โกหกผม 8 ครั้งในชีวิต 1. เรื่องเริ่มขึ้นตอนเมื่อผมเป็นเด็ก ๆ ผมเกิดใน >ครอบครัวยากจน ครอบครัวของเราจนมากจนต้องอดข้าวบ่อย ๆ เมื่อไหร่ก็ตามเมื่อถึง >เวลากินข้าว...แม่จะแบ่งข้าวม าให้ผมเพิ่มขึ้นอีก พร้อมทั้งพูดว่า"ลูกต้องกิน >ข้าวเพิ่มขึ้นนะ...ส่วนแม ่ไม่ค่อยหิว" นี้เป็นครั้งแรกที่แม่โกหกผม 2. >เมื่อผม >เติบโตขึ้น คุณแม่เพียรพยายามหาเวลาว่างไปตกปลาในแม่น้ำ เพื่อว่าผมจะได้กิน >อาหารที่มีประโยชน์ต่อการเจริญเติ บโตของผม แม่ต้มปลาที่ตกมาได้ทำเป็นซุปให้ผม >กิน ในขณะที่ผมกินแกงต้มปลา..แม่จะนั่งข้าง ๆผม แทะกิน เศษเนื้อปลาที่ติดอยู่ >ตามก้างปลาหลังจากที่ผมไ ด้กินเนื้อปลาไปแล้ว ผมรู้สึกตื้นตันใจมาก..ผมพยายาม >แบ่งเนื้อปลาให้แม่ แต่แม่ปฎิเสธทันควันพร้อมกับกล่าวว่า "ลูกกินเถอะ...แม่ไม่ >ค่อยชอบกินเนื้อปลา" นี่เป็นครั้งที่ 2 ที่แม่โกหกผม 3. เมื่อผมเรียนอยู่ชั้น >มัธยม เราต้องใช้เงินเพิ่มมากขึ้น แม่ต้องหารายได้พิเศษด้วยการรับงานเล็ก >ๆน้อย >จากโรงงานมาทำที่บ้าน บางครั้งผมตื่นขึ้นมาตอนตี 1 หรือตี 2...ผมยังเห็นแม่ >กำลังทำงาน "แม่ครับ...นอนเถอะครับมันดึกมากแล้ว พรุ่งนี้แม่ต้องไปทำงานอีก" >แม่ยิ้มกับผมพูดว่า "ลูกนอนต่อก่อนนะ...แม่ยังไม่เหนื่อย...นอนไม่หล ับ" ครั้ง >ที่ 3 แล้วที่แม่โกหกผม 4. ตอนเมื่อใกล้จบชั้นมัธยมผมต้องไปสอบเป็นวันสุดท้าย >แม่อุตส่าห์หยุดงานไปเป็นเพื่อนและเพื่อเป็นกำลังใจใ ห้ผม >มันเป็นวันที่แดดร้อน >มาก ๆ...แม่ต้องรอผมอยู่หลายชม. เมื่อผมทำข้อสอบเสร็จ...รีบออกมาหาแม่ เห็นแม่ >ผมมีเหงื่อออกท่วมตัว.. แต่ท่านกลับรินน้ำเย็นที่เตรียมมาให้ผมดื่ม ผมเห็นแม่ >รู้สึกเหนื่อยและร้อนจึงขอให้แม่ดื่มน้ำก่อ น แม่พูดขึ้นว่า "ลูกดื่มเถอะ.... >แม่ยังไม่กระหายน้ำ" นั่นเป็นครั้งที่ 4 ที่แม่โกหกผม 5. หลังจากที่พ่อผมล้ม >ป่วยและเสียชีวิต คุณแม่ที่น่าสงสารต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อหารายได้มาจ ุนเจือ >ครอบครัว แต่ก็ยังไม่ค่อยเพียงพอไม่ว่าคุณแม่จะพยายามมากขึ้นเ พียงไร >คุณลุงที่ >อยู่ข้าง ๆบ้านท่านเป็นคนดี พยายามมาช่วยเหลือครอบครัวเราเสมอ....เช่นซ่อมแซม >บ้า นที่ผุพัง..ฯลฯ เพื่อนบ้านเห็นครอบครัวลำบากมากก็แนะนำให้แม่แต่งงาน ใหม่ >แต่แม่ยืนกรานไม่เห็นด้วย แม่พูดกับผมว่า >"แม่มีลูกอยู่ทั้งคน...แม่ไม่ต้องความ >รักอีก" แม่โกหกผมเป็นครั้งที่ 5 แล้ว 6. ในทื่สุดผมก็เรียนจบและมีงานทำ >ผมอยาก >ให้แม่ซึ่งตรากตรำทำงานหนักมาตลอดได้พักผ่อนบ้าง แต่แม่ไม่ยอม.....กลับไปตลาด >ทุกเช้า ขายผักที่หามาได้เพื่อเลี้ยงชีพทั้ง ๆที่ผมพยายามส่งเงินมาให้แม่ (ผม >ต้องไปทำงานในเมืองที่ห่างไกล) แม่ผมไม่ค่อยยอมรับเงินผม..บางครั้งยังส่งเงิน >กลับคื นให้ผมอีก แม่พูดกับผมว่า >"แม่มีเงินพอใช้แล้ว...ลูกควรเก็บเงินไว้สร้าง >ฐานะ" แม่โกหกผมเป็นครั้งที่ 6 7. เพื่ออนาคตที่ก้าวหน้า.. ผมตัดสินใจเรียนต่อ >ปริญญาโทด้วยทุนของมหาวิทยาลัยที่ม ีชื่อเสียงในอเมริกา >เมื่อผมเรียนจบก็ได้งาน >ทำที่นั่นและมีเงินเดือนค่อนข้างสูง เมื่อทำงานไปได้สักพัก...ผมอยากให้แม่ผมมา >อยู่กับผมท ี่อเมริกา >เพื่อว่าแม่จะได้หยุดทำงาน...พักผ่อนให้สบายในบั้นปลายของ >ชีวิต แต่แม่ผมไม่อยากรบกวนผม...บอกผมว่า "แม่ไม่คุ้นเคยกับชีวิตต่างแดน" >ครั้ง >ที่ 7 แล้วซินะที่แม่โกหกผม 8. เมื่อแม่แก่ตัวลงไปเรื่อย ๆ.. >ในที่สุดแม่ก็เป็น >มะเร็งและต้องเข้ารับการผ่าตัดที่โ รงพยาบาล ผมลางานแล้วรีบบินกลับมาหาแม่สุด >ที่รักทันที แม่ผมนอนพักฟื้นอยู่บนเตียงเมื่อผมไปถึง น้ำตาผมไหลอาบแก้มเมื่อ >เห็นแม่ซึ่งผ่ายผอมและดูทรุดโ ทรมลงอย่างมาก แม่รู้สึกดีใจมากที่เห็นผม.... >พยายามยิ้มอย่างสดชื่น ด้วยความลำบาก ผมรู้ดีว่าแม่ได้ฝืนความเจ็บปวดรวด >ร้าวอย่างสุดฝืน จากโรคมะเร็งร้ายที่ลามไปทั่วทั้งตัว ผมโอบกอดแม่พร้อมกับ >ร้องไห้ด้วยความสงสาร หัวใจผมในขณะนั้นเศร้าหมองและเจ็บปวดอย่างที่สุด แม่ >พยายามปลอบผมด้วยเสียงที่แหบพร่าและสั่นเครือ "ลูกรักของแม่...เห็นหน้าลูกแม่ >ไม่รู้สึกเจ็บแล้ ว" นี่เป็นครั้งที่ 8 ที่แม่โกหก และเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิต >ของแม่ที่โกหกผม แม่ที่ผมรักและบูชามาตลอดชีวิตได้ปิดตาลงและจากผมไปอย่างไม่มี >วันกลับ หลังจากที่เธอกล่าวคำโกหกครั้งที่ 8 จบลง.........
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
portpatt
บุคคลทั่วไป
|
|
« ตอบ #149 เมื่อ: 08 สิงหาคม 2550, 17:59:06 » |
|
ชอบมากทั้งสองเรื่องเลยค่ะ ฝากเพลงมาให้ฟังกันด้วยนะค่ะ :)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
หลิม 81
|
|
« ตอบ #150 เมื่อ: 20 สิงหาคม 2550, 10:49:40 » |
|
เอามาฝาก
รู้หรือไม่? ชาชนิดใดเหมาะกับเรา 1. ผู้ที่ทำงานแบบใช้สมอง ต้องซีเรียสเครียดทั้งวัน หรือนักเรียนนักศึกษาที่ตรากตรำอ่านตำหรับตำราจนดึกดื่น ควรดื่ม ชามะลิ
2. ผู้ที่รักการออกกำลังกาย หรือทำงานที่ต้องใช้แรง เสียเหงื่อมาก เหมาะกับ ชาอูหลง
3. ผู้ที่ต้องผจญสูดดมอากาศเป็นพิษอยู่เสมอ อาทิ ผู้ที่ขับขี่หรือสัญจรไปมาด้วยรถจักรยานยนต์เป็นประจำ เหมาะกับ ชาเขียว
4. ผู้ที่ในแต่ละวันนั่งตัวติดกับเก้าอี้ ไม่ค่อยขยับเขยื้อนกายไปไหนเลย อีกทั้งปกติไม่ชอบออกกำลังกายด้วยแล้ว เหมาะอย่างยิ่งกับ ชาเขียว หรือ ชาดอกไม้
5. ผู้ที่ชอบดื่มสุรา เครื่องดื่มมึนเมา ควรดื่ม ชาเขียว 6. ผู้นิยมรับประทานเนื้อสัตว์เป็นชีวิตจิตใจ เหมาะกับ ชาอูหลง
7. ผู้ที่เข้าห้องน้ำแต่ละครั้งช่างทุกข์ทรมานเสียเหลือ เกิน แล้วยังมักท้องผูกเสมอๆ เหมาะกับ ชาผสมน้ำผึ้ง
8. ผู้ที่มีระดับคอเรสเตอรอลสูง ไขมันในเลือดสูง เหมาะที่จะดื่ม ชาอูหลงหรือชาเขียว
9. มนุษย์ยุคไฮเทคที่ต้องนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ทั้ง วันทั้งคืน หากได้ดื่มชาเป็นประจำจะดีมากๆ (ชาอะไรก็ได้ทั้งนั้น) เช่น ว่างเมื่อไหร่ก็คว้าแก้วน้ำชาข้างมือยกมาดื่มสักอึกสองอึกแก้กระหาย จะช่วยป้องกันรังสีที่แผ่ออกมาจากเครื่อง อีกทั้งช่วยคลายเส้นคลายกระดูก ลดความอาการอ่อนเพลียได้อย่างชะงัดนักแล
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
@ ปีนี้ปีของผม @
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #151 เมื่อ: 20 สิงหาคม 2550, 11:25:12 » |
|
สำหรับผู้ที่ต้องการความแข็งแรงทั้งร่างกายและจิตใจ ขอแนะนำให้ดื่ม ชา-เหลิม
ตาแคม :x
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Aj.O
|
|
« ตอบ #152 เมื่อ: 25 สิงหาคม 2550, 19:19:43 » |
|
http://www.dek-d.com/board/view.php?id=667696กางเกงลิง ที่มา คอลัมน์รู้ไปโม้ด โดยน้าชาติ ประชาชื่นพจนานุกรมฉบับมติชน นิยามศัพท์ "กางเกงลิง" ว่าหมายถึงกางเกงชั้นในรัดแนบเนื้อ ไม่มีขา เป็นภาษาปาก หรือภาษาพูด
เชื่อว่าน่าจะมาจากศัพท์ที่ภาษาฝรั่งเศสและภาษาอังกฤษใช้ด้วยกันว่า "ลิงเจอรี-lingerie" ที่แปลว่าชุดชั้นในสตรี
สมัยโบราณผู้หญิงไทยนุ่งโจงกระเบน เข้าใจว่าคงไม่มีการใส่กางเกงชั้นใน ต่อมาเมื่อรับกระโปรงแบบแหม่มมาสวมจึงเริ่มใช้ชุดชั้นในแบบแหม่มด้วย แต่นิสัยคนไทยชอบพูดย่อๆ จึงเรียกกางเกงชั้นในแบบแหม่มเพียงคำต้นของ ลิงเจอรี ว่ากางเกงลิง :shock:
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
...
|
|
|
Mouy (Again)
มือใหม่หัดเมาท์
ออฟไลน์
กระทู้: 150
|
|
« ตอบ #153 เมื่อ: 28 สิงหาคม 2550, 00:50:22 » |
|
สวัสดีคร้าบบบบ.............. หายไปนาน... และก็โผล่มาเสียที..... :lol: ได้มาจากบอร์ดของเพื่อนๆ ที่เรียนด้วยกัน ซึ่งเค้าก็ได้มาจาก forward mail อีกที... เรื่องราวมีดังว่า.............
คำถามสามข้อของจักรพรรดิ์
นานมาแล้ว จักรพรรดิ์องค์หนึ่ง ทรงแสวงหาปรัชญาในการดำเนินชีวิต ท่านต้องการปัญญา เพื่อใช้ในการปกครอง และควบคุมดูแลตัวท่านเอง ศาสนาและหลักปรัชญาในสมัยนั้นยังไม่เป็นที่พอใจของท่าน ท่านจึงแสวงหาปรัชญาจากระสบการณ์ชีวิต ในที่สุด ท่านตระหนักว่า ท่านต้องการคำตอบสำหรับปัญหาพื้นฐานเพียงสามข้อเท่านั้น ท่านจะได้การนำทางที่ชาญฉลาดทั้งหมดที่ท่านต้องการจากคำตอบเหล่านั้น คำถามเหล่านั้นคือ
๑.เวลาที่สำคัญที่สุดคือเวลาใด? ๒.บุคคลที่สำคัญที่สุดคือใคร? ๓.สิ่งสำคัญที่สุดที่ต้องทำคืออะไร?
หลังจากการค้นหายาวนาน ซึ่งถ้าจะให้เล่าต้องใช้เวลานานมาก ท่านได้คำตอบทั้งสาม เมื่อได้ไปเยี่ยมฤาษีท่านหนึ่ง โยมคิดว่าคำตอบเหล่านั้นคืออะไร? โปรดอ่านทวนปัญหาอีกครั้ง หยุดคิดก่อนที่โยมจะอ่านต่อไป
เราทุกคนรู้คำตอบของปัญหาแต่แรก แต่เรามักจะลืมเสมอ แน่นอนว่า เวลาที่สำคัญที่สุด ก็คือ "ปัจจุบัน" มันเป็นเวลาเดียวจริงๆที่เรามีอยู่ ดังนั้นถ้าเราอยากจะบอกพ่อแม่ว่าเรารักท่านเพียงใด เราซึ้งใจเพียงใดที่ได้เป็นลูกของท่าน ก็จงทำเสียบัดนี้ ไม่ใช่พรุ่งนี้ ไม่ใช่อีกห้านาทีข้างหน้า
ถ้าโยมอยากจะขอโทษคู่ชีวิตของโยม ก็ไม่ต้องเริ่มคิดหาเหตุผลร้อยแปดว่าไม่น่าจะต้องทำหรอกนะ จงทำเสียเดี๋ยวนี้เลย โอกาสมันอาจจะไม่หวนกลับมาอีกแล้วก็ได้ จงคว้ามันไว้เสียเดี๋ยวนี้
คำตอบสำหรับข้อที่สองนี้ลึกซึ้งยิ่ง น้อยคนนักที่จะเดาคำตอบถูก อาตมาได้อ่านคำตอบนี้เมื่อยังเป็นนักเรียน มันทำเอาอาตมามึนไปหลายวัน เพราะมันลึกซึ้งเกินกว่าที่อาตมาจะคาดคิด คำตอบเป็นดังนี้ บุคคลที่สำคัญที่สุด คือบุคคลที่เรากำลังอยู่ด้วย
อาตมายังจำได้ถึงครั้งที่เรารวบรวมความกล้า เข้าไปหาองค์ปาฐกผู้มีชื่อเสียงมากเพื่อจะถามคำถามเป็นการส่วนตัว แล้วอาตมารู้สึกแปลกใจและปลื้มใจมากที่ท่านตั้งใจฟังอาตมาอย่างเต็มที่ มีโปรเฟสเซอร์คนอื่นๆ รอที่จะพูดกับท่านอยู่ อาตมาเป็นเพียงนักศึกษาผมยาวคนหนึ่งเท่านั้น แต่ท่านทำให้อาตมารู้สึกว่าอาตมามีความสำคัญ มันแตกต่างกันอย่างมหาศาลทีเดียว การสื่อสารและความรักจะสามารถแบ่งปันกันได้ เมื่อคนที่เราอยู่ด้วย ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม เป็นคนที่สำคัญที่สุดในโลกสำหรับเรา ณ เวลานั้น เขาจะรู้สึกได้ เขาจะเข้าใจได้ และเขาจะตอบสนองเรา
สามีภรรยามักจะบ่นว่าคู่ครองของเขาไม่เคยฟังเขาเลย เขาตั้งใจจะบอกว่าคู่ครองของเขาไม่ได้ทำให้เขารู้สึกว่าเขายังมีความหมายใดๆเหลืออยู่ ทนายจัดการเรื่องหย่าร้างคงต้องหางานใหม่แน่ๆ ถ้าทุกๆคนที่มีความสัมพันธ์ต่างระลึกได้ ถึงคำตอบของคำถามข้อที่สองของจักพรรดิ์และนำมาปฏิบัติ แม้ว่าเราเหนื่อยและยุ่งเพียงใดก็ตาม เมื่อเราอยู่กับคู่ครอง เราจะทำให้เขารู้สึกราวกับว่า เขาเป็นบุคคลที่สำคัญที่สุดในโลก
คำตอบของคำถามข้อที่สามของจักรพรรดิ์ที่ว่า "สิ่งสำคัญที่สุดที่จะต้องทำคืออะไร?" คือการปฏิบัติต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยความเมตตากรุณา (to care) ในภาษาอังกฤษคำว่า"to care" เป็นที่รวมของคำอีกสองคำ คือ 'careful' ซึ่งมีความหมายทางด้านสติและการระมัดระวัง และ 'caring' ซึ่งมีความหมายทางด้านความเมตตากรุณา เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ คำตอบนี้แสดงว่าสิ่งที่สำคัญที่สุด คือสิ่งที่อยู่ภายในจิตใจเรา ก่อนที่จะขยายความด้วยการเล่านิทานหลายเรื่อง
อาตมาขอสรุปคำถามสามข้อของจักรพรรดิ์พร้อมคำตอบอีกครั้ง
๑.เวลาที่สำคัญที่สุดคือเวลาใด? : ปัจจุบัน ๒.บุคคลที่สำคัญที่สุดคือใคร? : ผู้ที่เราอยู่ด้วย ๓.สิ่งสำคัญที่สุดที่ต้องทำคืออะไร? : to care
...
คัดมาจากบางตอนในหนังสือ ชวนม่วนชื่น ธรรมะบันเทิงหลายเรื่องเล่า โดยพระอาจารย์พรหม
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #154 เมื่อ: 28 สิงหาคม 2550, 08:22:36 » |
|
คิดถึงพี่หมวยจางงงงงงงง ตาแคม :oops: :oops:
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
mmwindoo_79
Full Member
ออฟไลน์
กระทู้: 254
|
|
« ตอบ #155 เมื่อ: 29 สิงหาคม 2550, 10:31:42 » |
|
คิดถึงพี่หมวย ไม่จืดจางงงงงงงง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #156 เมื่อ: 29 สิงหาคม 2550, 15:32:51 » |
|
คิดถึ๊งงงง..คิดถึง..มามะ..จุ๊บ จุ๊บ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
audit
มือใหม่หัดเมาท์
ออฟไลน์
กระทู้: 136
|
|
« ตอบ #157 เมื่อ: 29 สิงหาคม 2550, 17:34:31 » |
|
แหม มี่นานๆมาที ในบอร์ดกิ๊วก๊าวกันใหญ่เลย
งี้ต้องมาบ่อยๆหน่อยนะ
:wink:
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #158 เมื่อ: 30 สิงหาคม 2550, 08:47:19 » |
|
- ปรับภาษีบุหรี่ขึ้นอีก - ต่อไปการประกันเงินฝาก จะรับประกันให้เพียง 1 ล้านบาท สำหรับทุกๆ บัญชี ต่อ หนึ่งสถาบันการเงิน - บริษัทประกันภัย ต้องเป็นบริษัทมหาชนให้ได้ภายใน 5 ปี เก็บข่าวเล็กๆ น้อยๆ มาฝาก
ตาแคม
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Max
|
|
« ตอบ #159 เมื่อ: 30 สิงหาคม 2550, 09:58:48 » |
|
ต่อไปจะดูที่อัตราดอกเบี้ยอย่างเดียวไม่ได้แล้วนะครับ
ต้องดูที่ความน่าเชื่อถือของแบงค์ด้วย
แต่ยังไงผมก็คงไม่มีเงินฝากเกิน 1 ล้าน อยู่ดีล่ะครับ :wink:
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #160 เมื่อ: 07 กันยายน 2550, 13:21:33 » |
|
> กลยุทธ์ดัดหลังแก๊งฉกมือถือ > >มือถือทุกเครื่องมีเลขหมายเฉพาะตัว เพียงคีย์ *#06# > >มือถือของคุณก็จะปรากฏตัวเลข 15 หลักบนจอ นี่แหละคือ Serial No. > >ของเครื่องคุณ จงจดบันทึกและเก็บไว้ให้ดี ถ้าหากมือถือของคุณถูกขโมยไป > >คุณก็นำหมายเลขนี้แจ้งให้ Mobile Service Provider ทราบ > >เพื่อล็อกเครื่องไว้ แม้จะเปลี่ยนซิมการ์ดก็ไม่สามารถใช้เครื่องได้อีก > >จริงอยู่ คุณอาจไม่มีโอกาสได้คืนมือถือ แต่คนที่ได้ไปก็ไม่มีประโยชน์ > >ถ้าทุกคนรู้ Serial No.ของตัวเอง การขโมยมือถือก็จะไม่มีความหมาย > >จงบอกข้อมูลนี้ให้ทราบกันแพร่หลาย > >โอกาสที่คนดีตกเป็นเหยื่อคนร้าย(เฉพาะมือถือ)ก็จะลดน้อยลง > >หวังว่าสิ่งนี้จะช่วยให้สังคมน่าอยู่กว่าเดิม
ที่มา : forward mail
ตาแคม :wink:
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ชาร์ป
|
|
« ตอบ #161 เมื่อ: 12 กันยายน 2550, 00:08:46 » |
|
พี่หมวยยยยยยยยยยยยยยยย
คิด ฮอด คือ กัน เด้อลา...
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
khesorn mueller
|
|
« ตอบ #162 เมื่อ: 12 กันยายน 2550, 00:11:37 » |
|
is nong Muey men or women?? p.gatuey
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ชาร์ป
|
|
« ตอบ #163 เมื่อ: 21 กันยายน 2550, 23:19:31 » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
iamfrommoon
|
|
« ตอบ #164 เมื่อ: 02 ตุลาคม 2550, 09:23:12 » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
@@ธรรมชาติสร้างความขัดแย้ง เพื่อให้คนเรียนรู้ซึ่งกันและกันได้ดียิ่งขึ้น@@@
|
|
|
ชาร์ป
|
|
« ตอบ #165 เมื่อ: 05 ตุลาคม 2550, 17:06:25 » |
|
Positive Thinking, Positive Life
เวลาเจองานหนัก ให้บอกตัวเองว่า นี่คือโอกาสในการเตรียมพร้อมสู่ความเป็นมืออาชีพ
เวลาเจอปัญหาซับซ้อน ให้บอกตัวเองว่า นี่คือบทเรียนที่จะสร้างปัญญาได้อย่างวิเศษ
เวลาเจอความทุกข์หนัก ให้บอกตัวเองว่า นี่คือแบบฝึกหัดที่จะช่วยให้เกิดทักษะในการดำเนินชีวิต
เวลาเจอนายจอมละเมียด ให้บอกตัวเองว่า นี่คือการฝึกตนให้เป็นคนสมบูรณ์แบบ (perfectionist)
เวลาเจอคำตำหนิ ให้บอกตัวเองว่า นี่คือการชี้ขุมทรัพย์มหาสมบัติ
เวลาเจอคำนินทา ให้บอกตัวเองว่า นี่คือการสะท้อนว่าเรายังคงเป็นคนที่มีความหมาย
เวลาเจอความผิดหวัง ให้บอกตัวเองว่า นี่คือวิธีที่ธรรมชาติกำลังสร้างภูมิคุ้มกันให้กับชีวิต
เวลาเจอความป่วยไข้ ให้บอกตัวเองว่า นี่คือการเตือนให้เห็นคุณค่าของการรักษาสุขภาพให้ดี
เวลาเจอความพลัดพราก ให้บอกตัวเองว่า นี่คือบทเรียนของการรู้จักหยัดยืนด้วยขาตัวเอง
เวลาเจอลูกหัวดื้อ ให้บอกตัวเองว่า นี่คือโอกาสทองของการพิสูจน์ความเป็นพ่อแม่ที่แท้จริง
เวลาเจอแฟนทิ้ง ให้บอกตัวเองว่า นี่คือความเป็นอนิจจังที่ทุกชีวิตมีโอกาสพานพบ
เวลาเจอคนที่ใช่แต่เขามีคู่แล้ว ให้บอกตัวเองว่า นี่คือประจักษ์พยานว่าไม่มีใครได้ทุกอย่างดั่งใจหวัง
เวลาเจอภาวะหลุดจากอำนาจ ให้บอกตัวเองว่า นี่คือความเป็นอนัตตาของชีวิตและสรรพสิ่ง
เวลาเจอคนกลิ้งกะล่อน ให้บอกตัวเองว่า นี่คืออุทาหรณ์ของชีวิตที่ไม่น่าเจริญรอยตาม
เวลาเจอคนเลว ให้บอกตัวเองว่า นี่คือตัวอย่างของชีวิตที่ไม่พึงประสงค์
เวลาเจออุบัติเหตุ ให้บอกตัวเองว่า นี่คือคำเตือนว่าจงอย่าประมาทซ้ำอีกเป็นอันขาด
เวลาเจอศัตรูคอยกลั่นแกล้ง ให้บอกตัวเองว่า นี่คือบททดสอบที่ว่า "มารไม่มีบารมีไม่เกิด"
เวลาเจอวิกฤต ให้บอกตัวเองว่า นี่คือบทพิสูจน์สัจธรรม "ในวิกฤตย่อมมีโอกาส"
เวลาเจอความจน ให้บอกตัวเองว่า นี่คือวิธีที่ธรรมชาติเปิดโอกาสให้เราได้ต่อสู้ชีวิต
เวลาเจอความตาย ให้บอกตัวเองว่า นี่คือฉากสุดท้ายที่จะทำให้ชีวิตมีความสมบูรณ์ Internal Virus Database is out-of-date.
^ ^ ^ มีคนเขา forward มาให้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ชาร์ป
|
|
« ตอบ #166 เมื่อ: 09 ตุลาคม 2550, 10:11:40 » |
|
ดื่มน้ำเมื่อท้องว่าง ดีอย่างไร? .....ไม่เสียหาย น่าลองดู .......อย่างมากก็ฉี่บ่อย.......แล้วก็อย่าให้ท้องแตกหรือเกินกำลังตัวเองแล้วกัน......
การดื่มน้ำเมื่อท้องว่างผ่านกระเพาะเพื่อรักษาสุขภาพที่ดี ในประเทศญี่ปุ่นทุกวันนี้เป็นที่นิยมการดื่มน้ำทันทีหลังตื่นนอนตอนเช้า (ก่อนแปรงฟัน) เพื่อการรักษาสุขภาพที่ดี มีการทดลองทางวิทยาศาสตร์ พบว่าน้ำ สามารถใช้ชะลอความแก่ และสามารถบำบัดรักษาโรคได้ เราสามารถใช้น้ำเพื่อบำบัดรักษาโรคได้หลายโรค มีการพิสูจน์จนยอมรับว่าสามารถบำบัดรักษาโรคเหล่านี้ได้ผล 100% (ค่อยเป็นค่อยไป ต้องใช้ระยะเวลา) ปวดหัว ปวดตามตัว โรคระบบหัวใจ โรคไขข้ออักเสบ โรคหัวใจเต้นเร็วโรคลมบ้าหมู โรคอ้วน โรคหลอดลมอักเสบ โรคหืด วัณโรค อาการเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ไขสันหลังอักเสบ โรคไต และยูริก โรคแสลงคลื่นไส้ต่างๆโรคกระเพาะ โรคท้องร่วง โรคริดสีดวง โรคเบาหวาน โรคอาการท้องผูก โรคตา โรคภายในสตรี มะเร็ง และรอบเดือนไม่ปกติ โรคคอ หู จมูก
วิธีการรักษาปฏิบัติดังนี้ 1. ตื่นนอนตอนเช้า ก่อนแปรงฟัน ให้ดื่มน้ำ 4 แก้ว (640 ซีซี) 2. หลังจากนั้นสามารถแปรงฟันและล้างหน้าได้ แต่ต้องไม่ดื่ม หรือรับประทานอะไรจนกว่า 45 นาทีผ่านไป จึงจะรับประทานได้ตามปกติ 3. หลังรับประทานอาหารเช้า กลางวัน เย็น ไปแล้ว 15 นาที ต้องไม่ควรดื่มน้ำหรือรับประทานเลย จนกว่า 2 ชั่วโมงผ่านไป ............งง.........เป็นอันว่าท้องว่าง ก็แล้วกันที่กินน้ำจำนวนมาก ดูเหมือนจะอ่านเจอว่ากินพร้อมอาหาร น้ำจะไปเจือจาง อะไรสักอย่างทำให้มีผลเรื่องการย่อย ......คิดอย่าง...ธรรมชาติที่สุด ก็คือหลังอาหารจิบแก้กระหายนิดหน่อย ...... ถ้าจำนวนมากที่ว่าจะรักษานี้ก็น่าจะต้องตอนท้องว่าง อย่างว่าไม่เสียหายอะไร ระวังอย่าให้ท้องแตกแล้วกัน กระเพาะคนเราน่าจะไม่เท่ากัน ประมานให้เหมาะกับตัวเองเป็นดีที่สุด....... 4. ผู้ป่วย หรือ คนชรา ที่ไม่สามารถดื่มน้ำ 4 แก้ว ก็ขอให้ค่อยๆ ดื่ม ค่อยเป็นค่อยไปเรื่อยๆ จนได้ครบ 4 แก้ว
ข้อปฏิบัติ 4 ข้อดังกล่าวจะทำให้ท่านบำบัดรักษาโรคที่เป็นอยู่ค่อยๆ เบาและหายขาดได้ในที่สุด วิธีนี้ไม่มีผลข้างเคียงใดๆ ทั้งสิ้น จะทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น จากสถิติข้อมูลโรคที่บำบัดรักษาทำให้หายได้ภายในเวลาดังนี้ 1. โรคความดันโลหิตสูง 30 วัน 2. โรคกระเพาะ 10 วัน 3. โรคเบาหวาน 30 วัน 4. โรคท้องผูก 10 วัน 5. โรคมะเร็ง 180 วัน 6. โรควัณโรค 90 วัน
สำหรับโรคไขข้ออักเสบจะเห็นผลภายใน 3 วัน ในสัปดาห์แรกให้ปฏิบัติทุกวัน วิธีรักษาแบบนี้ไม่มีผลเสียแต่อย่างใด เพียงแต่อาจปัสสาวะบ่อยขึ้น และหลังดื่มน้ำไปแล้วประมาณ 1-2 ชั่วโมง จะปวดปัสสาวะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ชาร์ป
|
|
« ตอบ #167 เมื่อ: 09 ตุลาคม 2550, 17:22:52 » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Max
|
|
« ตอบ #168 เมื่อ: 09 ตุลาคม 2550, 18:48:07 » |
|
มีอยู่อันนึงชอบมากๆ
ปะ ไว้ที่หน้าตู้เสื้อผ้า เพราะจะได้เห็นทุกวัน
เด๋วพรุ่งนี้จะจดมาอ่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
khesorn mueller
|
|
« ตอบ #169 เมื่อ: 09 ตุลาคม 2550, 18:58:22 » |
|
สำหรับผู้ที่ต้องการความแข็งแรงทั้งร่างกายและจิตใจ ขอแนะนำให้ดื่ม ชา-เหลิม ตาแคม :x Nong sweet eyes, don't confuse me! do you mean"ชา-เหลิม"? or do you mean"ชา-หลิม"?? p.nn
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
khesorn mueller
|
|
« ตอบ #170 เมื่อ: 09 ตุลาคม 2550, 19:00:35 » |
|
that is the motto of my parents too...I miss them! thanks nong Sharp...this one is comprehensive and brief... p.ning does not have a concentration to read a long version kaaaa. p.nn
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
khesorn mueller
|
|
« ตอบ #171 เมื่อ: 09 ตุลาคม 2550, 19:02:24 » |
|
Nong Lim, how about coffee?? p.nn
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
นายป้อ
|
|
« ตอบ #172 เมื่อ: 10 ตุลาคม 2550, 20:23:25 » |
|
:oops: ใครอยากลดน้ำหนักลองดู.......
.........รับประทานพวกธัญพืชติดต่อกัน 7 วัน...น้ำหนักลด 2 กิโลกรัม...
.....ธัญพืชติดต่อกัน 15 วัน...น้ำหนักลด 5 กิโลกรัม...
.....ลองดูนะครับข้าเจ้าลองแล้ว.....ลดได้จริงๆๆ....
....แต่ทรมานมากๆๆ.....กินอย่างเดียว..เน้นที่ความอดทน......หุๆๆ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #173 เมื่อ: 12 ตุลาคม 2550, 08:10:44 » |
|
:oops: ใครอยากลดน้ำหนักลองดู.......
.........รับประทานพวกธัญพืชติดต่อกัน 7 วัน...น้ำหนักลด 2 กิโลกรัม...
.....ธัญพืชติดต่อกัน 15 วัน...น้ำหนักลด 5 กิโลกรัม...
.....ลองดูนะครับข้าเจ้าลองแล้ว.....ลดได้จริงๆๆ....
....แต่ทรมานมากๆๆ.....กินอย่างเดียว..เน้นที่ความอดทน......หุๆๆ เปลี่ยนจากกินธัญพืช มาเตะบอลทุกอาทิตย์แล้ววิ่งให้มันมากๆ หน่อย น่าจะ work กว่านะไอ้กล้าม ม่ายงั้น ก้อซักผ้า รีดผ้า กวาดบ้าน ถูบ้าน ทุกวัน (เหมือนได้หลิม) รับรองเห็นผล ตาแคม :lol:
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
iamfrommoon
|
|
« ตอบ #174 เมื่อ: 12 ตุลาคม 2550, 09:02:33 » |
|
:oops: ใครอยากลดน้ำหนักลองดู.......
.........รับประทานพวกธัญพืชติดต่อกัน 7 วัน...น้ำหนักลด 2 กิโลกรัม...
.....ธัญพืชติดต่อกัน 15 วัน...น้ำหนักลด 5 กิโลกรัม...
.....ลองดูนะครับข้าเจ้าลองแล้ว.....ลดได้จริงๆๆ....
....แต่ทรมานมากๆๆ.....กินอย่างเดียว..เน้นที่ความอดทน......หุๆๆ โอ้...เจ๋งมาก แต่คาดว่า ทำไม่ได้แน่ๆ...แต่จะลองอดทนดูนะ :wink:
ปล.ป้อพี่นึกว่า เราใช้วิธีสลับรางให้วุ่น น้ำหนักจะลดลงเร็วซะอีก ก๊ากกกกกกกกกกกกก
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
@@ธรรมชาติสร้างความขัดแย้ง เพื่อให้คนเรียนรู้ซึ่งกันและกันได้ดียิ่งขึ้น@@@
|
|
|
ลูกพิ้ง
|
|
« ตอบ #175 เมื่อ: 12 ตุลาคม 2550, 11:06:50 » |
|
มีอยู่อันนึงชอบมากๆ
ปะ ไว้ที่หน้าตู้เสื้อผ้า เพราะจะได้เห็นทุกวัน
เด๋วพรุ่งนี้จะจดมาอ่ะ :shock: อะไรอ่ะ MAX จดมายัง...จะรออ่านน๊า :wink:
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #177 เมื่อ: 15 ตุลาคม 2550, 08:34:22 » |
|
ชอบภาพชุดนี้มากๆ ได้มาจาก foward mail ครับ ใครเป็นเจ้าของมิทราบ แต่อนุญาตมา post ให้หลายๆ คนได้ดูล่ะกัน ตาแคม
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #178 เมื่อ: 15 ตุลาคม 2550, 08:41:41 » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #179 เมื่อ: 15 ตุลาคม 2550, 08:46:55 » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #180 เมื่อ: 15 ตุลาคม 2550, 08:48:37 » |
|
----- ตาแคม :wink:
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Max
|
|
« ตอบ #181 เมื่อ: 15 ตุลาคม 2550, 10:25:21 » |
|
ชอบภาพสุดท้ายว่ะ ตาแคม
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ชาร์ป
|
|
« ตอบ #182 เมื่อ: 15 ตุลาคม 2550, 11:00:48 » |
|
Forward ให้ผมได้หรือเปล่าครับ พี่ตา cam
...
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #183 เมื่อ: 15 ตุลาคม 2550, 12:04:22 » |
|
e-mail อะไรเด๋วส่งไปให้
ตาแคม
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
party
|
|
« ตอบ #184 เมื่อ: 16 ตุลาคม 2550, 08:35:39 » |
|
ไม่รู้จะโพสที่กระทู้ไหนดี...
ขอให้ในหลวงทรงหายจากอาการประชวรในเร็ววัน อยู่เป็นมิ่งขวัญของปวงชนชาวไทยตราบนานเท่านาน.......ขอจงทรงพระเจริญ...
รักในหลวงมากคะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
party
|
|
« ตอบ #185 เมื่อ: 16 ตุลาคม 2550, 08:41:03 » |
|
---ใครที่พอจะแวะผ่านไปที่ BTS อโศก เจออาม่า ก้อช่วยอุดหนุนกันหน่อยนะคะ พอดีเพื่อน(หล้า) forward mail มาให้ สงสารแกอะ ว่างๆจะแวะไปช่วยแน่นอน ---
:cry: :cry: :cry:
วันนี้ขอ เอาขนมปังอาม่า มาให้ดูหน่อยค่ะ
อาม่า อายุน่าจะสัก 65 up แต่ไม่รู้เท่าไหร่ เพราะไม่กล้าสัมภาษณ์แกมากนัก (เป็นโรคแพ้คนแก่) ที่ต้องนำมาแนะนำให้เพื่อนรู้จักกันก็เพราะว่า
วันหนึ่ง อาม่าขายขนมปัง ตรงทางลงรถไฟฟ้าสถานี อโศก ตามปกติ แต่ที่ไม่ปกติก็คือ วันนั้น อาม่า ต้องยืนถือไม้เท้าคู่ใจของแก พร้อมกับ หิ้วขนมปังใส่ถุงก๊อบแก๊บใบโต เร่ขาย ให้กับผู้คนรอบด้านที่เดินผ่าน คิดดูสิคะ คนที่จะกล้าซื้อขนมปังแกคงมีไม่เยอะ นอกจากคนที่เคยอุตหนุนกันเป็นประจำ เพราะจากสภาพแล้วคนคงกลัวว่า ของจะไม่สะอาดบ้างหละ ไม่น่ากินบ้างหละ คุณภาพไม่ดีบ้างหละ เห็นแล้วก็อดสงสารแกไม่ได้ (ก่อนหน้านี้ผ่านเจอแกทุกวันแต่ยังไม่คิดจะซื้อเพราะเป็นโรคกลัวคนแก่) วันนั้น เลยเดินเข้าไปอุตหนุนขนมปังแกไป 4 ก้อน เลยได้ถามแกว่า B: อาม่า ทำไมวันนี้ อาม่าต้องมายืนขายด้วยหละ แล้วเก้าอี้หายไปไหน อาม่า: อ๋อ วันนี้เห็นเจ้าหน้าที่เค้ามาบอกว่า ห้ามนั่งขาย เพราะมีผู้ใหญ่จะผ่าน
คิดดูสิ เพราะผู้ใหญ่จะผ่าน ถึงขึ้นทำให้แกต้องยืนถือไม้เท้าเร่ขาย ใจดำจริง ร้านแกก็ไม่ได้ทำให้กรุงเทพแย่ไปกว่าที่เป็นอยู่สักเท่าไหร่
มาต่อกันที่ ขนมปังอาม่า ดีก่า เดี๋ยวจะเสียอารมณ์ ตอนแรกกะลังคิดอยู่ว่าจะเอาขนมปังไปแจก เพื่อนพี่น้อง ที่ออฟฟิตกิน เพราะมันตั้ง 4 ก้อน และไม่รู้ว่าจะอร่อยไหม เพราะหน้าตาของขนมปังนั้นดูบ้านๆธรรมดา บรรจุในถุงแกง ที่ถูกมัดปากถุงแบบที่แม่แบ่งขนมจากบ้าน ให้ไปโรงเรียนตอนสมัยอนุบาล แต่จากที่อาม่าจับขนมปังมัดใส่ถุงแบบนั้น ทำให้ ขนมปังของอาม่า สะอาด และนุ่ม มากๆ (เพราะอาม่าขายอยู่ข้างถนน) พอได้กัดขนมปังเข้าไปรู้สึกได้เลยว่า โอ้แม่เจ้า!! นี้มัน อร่อยกว่า แบรนด์ดังๆ หลายเจ้าเลยนะเนี้ย(แต่ไม่รู้ว่าอาม่ารับมาจากไหน หรือว่าทำเอง เพราะเป็นโรคแพ้คนแก่) ที่สำคัญ กว่าความอร่อย ก็คือ ปริมาณที่ เกินราคา เพราะมันแค่ 10 บาท แต่ใส้บานตะไท ขนมปังอาม่า มี หลายไส้มากๆค่ะ แต่ราคา 10-12 บาท (ใส้กุ้งไม่รู้เท่าไหร่ไม่เคยซื้อเพราะใส่หัวหอมใหญ่) ถูกจนไม่รุ้จะถูกยังไง เพราะ ไส้เยอะ แป้งน้อย เหนียวนุ่ม เวลาเปิดขาย ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ แต่ช่วง 8.30 - 10.00 น. ก็เห็นแกอยู่แล้ว น่าจะมาเช้ากว่านั้น (วันจันทร์ ไม่ขาย, เสาร์-อาทิตย์ ไม่ทราบค่ะ)
ใครผ่านไปแถวๆนั้น แวะช่วยแกอุตหนุนหน่อยนะคะ เพราะแกจะต้องขายขนมปังให้หมดก่อนถึงจะกลับได้ ขนาดวันที่เราไปทำงานสาย เกือบ 11 โมงแล้ว แกยังนั่งขายอยู่เลย บางวันเหลือเยอะๆ ก็ช่วยซื้อหมดไม่ได้ จะกินทุกวันก็มะไหวอีก ได้แต่ช่วยแก 2-3 ชิ้น ไปวันๆ(แต่รับประกันของแกอร่อยจริงๆ ไม่งั้นไม่กล้าแนะนำ) สุดท้าย ฝากทุกคนดูแลคนชรา ที่บ้านด้วยนะคะ
ปล. ใครไปซื้อขนนมปังแล้วรักคนแก่ ฝากถามแกด้วยว่า ทำขนมเองหรือเปล่า อร่อยมากๆ
:cry: :cry: :cry:
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Max
|
|
« ตอบ #186 เมื่อ: 16 ตุลาคม 2550, 10:46:53 » |
|
ไม่รู้เค้าเรียกว่าอะไรนะครับ ผมเรียกว่ากลอนแล้วกัน
คือไปเจอที่หนังสือพิมพ์มาอครับ อ่านแล้วก็ ... เลยตัดเก็บไว้ มาปะไว้ที่
หน้าตู้เสื้อผ้า เพราะคิดว่าต้องเห็นทุกเช้าก่อนออกจากห้องครับจะได้เตือนใจตัวเองครับ
"วันที่รอคอย"
วันก่อน .... หลายครั้งลูกบอกว่ามีงานใหญ่
วันั้น .... ไม่เป็นไรพ่อแม่ดูตัวเองได้
วันนี้ .... แค่พาหลานมาเยี่ยมบ้าง...ช่างชื่นใจ
วันหน้า .... หรือวันไหนที่เจ้ามา .... กราบหน้าเมรุ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ชาร์ป
|
|
« ตอบ #187 เมื่อ: 17 ตุลาคม 2550, 16:46:54 » |
|
Subject: คำสอนของหลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ
สิ้นบุญพระอริยะสงฆ์ผู้เป็นแม่ทัพธรรมไปอีก 1 รูป หลังจากเราสูญเสียท่านพุทธทาส เมื่อไม่ นานมานี้ วันนี้ น.ส.พ. คม ชัด ลึก ได้รวบรวมคำสอนบางส่วนของท่านปัญญานันทะภิกขุมาน้อมนำเพื่อ เตือนสติพุทธศาสนิกชนให้ปฏิบัติตนตามแนวทางที่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม
1. อยู่ได้นานก็เท่านั้นแหละ ไม่เกินร้อยปี ถึงเกินไปกว่านั้นก็จะต้องมีความแก่ แก่หง่อม แล้ว ก็ต้องดับด้วยกันทั้งนั้น 2. วันนี้มีเพื่อแก้ไขมิใช่แก้ตัว มัวเพ้อเจ้ออยู่ทำไม 3. เพราะเราเกิดมาเพื่อหน้าที่ เราอยู่เพื่อหน้าที่ คือ อยู่เพื่องาน งานคือชีวิต ชีวิตคืองาน บันดาลสุข ฉะนั้น เราต้องทำงาน 4. เมื่อจะพูดอะไร จะทำอะไร จะคิดสิ่งไร จะไปกับใครที่ไหน เราก็นึกเสียก่อนว่ามันถูก หรือผิด ดีหรือชั่ว เสื่อมหรือเจริญ ทำแล้วจะได้ประโยชน์ หรือสูญเสียประโยชน์อย่างไร อย่างน ี้ เรียกว่า เราเดินตามพระ
5. พระปิดตาไม่ได้มีไว้เพื่อฟันไม่เข้า ยิงไม่ออก แต่มีเพื่อให้เรา ปิดตาจากสิ่งไม่ดี ปิดหูจาก การฟังสิ่งที่ไม่ดี และปิดปากไม่พูดสิ่งที่ไม่ดี 6. พระปางลีลามีไว้เพื่อเตือนว่า เราต้องเดินก้าวไปข้างหน้า อย่าหยุด ถ้ายังไม่ถึงที่หมาย เราต้องก้าวต่อไป เราต้องทำงาน พระอยู่ในใจเรา เราต้องช่วยเหลือตัวเอง พระที่แขวนบนคอไม่สามารถช่วยเราได้ 7. การทำงานคือการพักผ่อน ทำงานเพื่องาน ไม่ใช่ทำงานเพื่ออะไร คนโง่ทำงานแล้วทุกข์ คนฉลาดทำงานแล้วสุข 8. มีหน้าที่สอนต้องสอน ถ้าไม่สอนก็โง่ ทำแบบโง่ๆ เขามาแล้วกี่คนก็ต้องสอน 1 คนก็ต้อง สอน 9. ชีวิตคืออะไร...เกิดมาทำไม...อยู่เพื่ออะไร...ก่อนตายทำความดีเสียบ้าง...อย่าอยู่ กันไปแบบรกโลก...หนักแผ่นดิน ถึงจะมีราคา 10. อยากให้ทุกคนเป็นคนดี คิดดี พูดดี ทำดี คบคนดี...และไปสู่สถานที่ดี 11. เกิดมาชาติหนึ่ง...ตายก็ไม่เสียใจแล้ว...เพราะได้สร้างสิ่งที่เป็นประโยชน์...ตลอด กาลนาน.... 12. ฉันเกิดมาเพื่องาน...อยู่เพื่องาน...ชีวิตเป็นงาน...งานคือชีวิต...ชีวิตคืองาน บันดาลสุข...ทำงานให้สนุกเป็นสุขขณะทำงาน...ไม่หวังอะไร...ทำเพื่อให้...ไม่ได้เพื่อจะเอา... 13. จงอย่าใช้ชีวิตอยู่ให้หนักบ้านเมือง...ทำชีวิตให้มีประโยชน์...ดำรงตนเป็นคนให้...ไม่ ใช่เป็นคนเอา...ถ้าทุกคนช่วยกันให้...บ้านเมืองก็เจริญ...แต่ถ้าคิดแต่จะเอา...บ้านเมืองก็ฉิบหาย 14. มีทุกข์...มีปัญหาอย่าไปแก้ที่อื่น...ต้องแก้ที่ตัวเอง...ให้ใจตัวเองแก้ไขตัวเอง...ทำ ตัวเองให้เจริญ...มีประโยชน์ต่อประเทศชาติบ้านเมือง...ไม่อยู่รกแผ่นดิน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ชาร์ป
|
|
« ตอบ #188 เมื่อ: 21 ตุลาคม 2550, 23:17:50 » |
|
Copy เขามาอีกที ... :wink:
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #189 เมื่อ: 22 ตุลาคม 2550, 13:29:10 » |
|
โอ้..ชอบรูปมั่กๆ..
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #190 เมื่อ: 24 ตุลาคม 2550, 08:30:19 » |
|
ชายชาวอินเดียคนหนึ่ง เดินเข้าไปในธนาคารกลางเมืองนิวยอร์ค ถามหาเจ้าหน้าที่สินเชื่อ ชายคนนี้บอกกับเจ้าหน้าที่สินเชื่อว่า เขาจะต้องไปทำธุระที่ประเทศอินเดีย ประมาณ 2 สัปดาห์ ก็เลยจะขอกู้เงินสัก 170,000 บาท เจ้าหน้าที่สินเชื่อบอกกับเขาว่า การกู้ยืมเงินจะต้องมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน ดังนั้นชายชาวอินเดียยื่นกุญแจรถเฟอร์รารี่รุ่นใหม่ล่าสุด ที่จอดอยู่หน้าธนาคาร พร้อมกับเสนอให้ใช้รถคันนี้เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน เจ้าหน้าที่สินเชื่อจึงตกลงให้กู้เงินโดยใช้รถค้ำประกัน ผู้จัดการธนาคาร กับเจ้าหน้าที่สินเชื่อต่างก็ขบขันชายชาวอินเดีย ที่เอารถเฟอร์รารี่ราคา 8,500,000 บาท มาค้ำประกันเงินกู้เพียงแต่ 170,000 บาท หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ธนาคารก็นำรถเฟอร์รารี่ขับเข้าไปจอดที่ลาดจอดรถชั้นใต้ดินของธนาคาร สองสัปดาห์ผ่านไป ชายชาวอินเดียก็กลับมาที่ธนาคารพร้อมด้วยเงิน 170,000 บาท และดอกเบี้ยอีก 500 บาท นำมาชำระคืนให้กับธนาคาร เจ้าหน้าที่สินเชื่อพูดว่า 'ท่านครับ เรารู้สึกดีใจมากที่คุณจัดการธุระของคุณได้เสร็จเรียบร้อย และการกู้เงินในครั้งนี้ก็เสร็จสิ้นไปได้ด้วยดี แต่ผมสงสัยอะไรนิดหน่อย ตอนที่คุณไปแล้ว เราได้เช็คประวัติของคุณดู ก็พบว่าคุณร่ำรวยเป็นอภิมหาเศรษฐีคนนึงเลย แต่ทำไมคุณถึงต้องมากู้เงินกับเราแค่ 170,000 บาทด้วยล่ะครับ' ชาวชาวอินเดียตอบกลับไปว่า 'ไม่มีที่ไหนในนิวยอร์คอีกแล้ว ที่ผมจะสามารถจอดรถ ทิ้งไว้ได้ถึง 2 สัปดาห์ ด้วยเงินเพียง 500 บาท พร้อมกับความมั่นใจเต็มร้อยว่ารถผมจะไม่หาย' ที่มา : Forward mail ตาแคม ปล. เรื่องนี้อยากให้อ่านแนวความคิดเฉยๆ แต่ในความเป็นจริงๆ มันรวยขนาดนั้น เป็นห่วงแค่รถเหรอเป็นไปไม่ได้ บ้านมันต้องมีของเยอะกว่านี้อยู่แล้ว และรวยขนาดนี้ที่บ้านต้องมีที่จอด และก้อคนเฝ้าอยู่แล้น
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
mmwindoo_79
Full Member
ออฟไลน์
กระทู้: 254
|
|
« ตอบ #191 เมื่อ: 24 ตุลาคม 2550, 15:37:24 » |
|
ชาวอินเดียคนนั้นเป็นนักการเมือง!?
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Aj.O
|
|
« ตอบ #192 เมื่อ: 24 ตุลาคม 2550, 21:05:28 » |
|
บทความเบาๆ พอจะใช้เป็นยากล่อมประสาทแด่ตัวข้าพเจ้าเอง :? :!: :?: (พอดีเห็นว่าน่าสนใจ เลยก็อปเค้ามาจากเวบนึง) http://mikkaze.spaces.live.com/blog/cns!671D38CB05A971D2!242.entry ความสุขชั่วเวียนธูป ความทุกข์ชั่ววูบเทียนรู้สึกอย่างนึงเลยว่า คนที่คิดประโยคนี้นี่คิดได้ไงกันฟระ โดนใจโจ๋อย่างแรงครับพี่น้อง... ความสุขชั่วเวียนธูป......ความทุกข์ชั่ววูบเทียน ชีวิตจริงๆ มันก็เป็นเหมือนคำพูดนี้เปี๊ยบเลย เวลามีความสุขทำไม๊..ทำไมมันช่างผ่านไปเร็วนักนะ แต่พอมีทุกข์ปุ๊บ ทุกสิ่งทุกอย่างจะถาโถมเข้ามาอย่างไม่หยุดยั้ง จนอาจตั้งตัวไม่ทัน แต่มันก็คือสัจธรรมของการดำเนินชีวิตอย่างแท้จริง เมื่อไหร่ที่มีความสุขเข้ามา จนจิตใจเบิกบานล่ะก็ จนบางทีจากที่นั่งๆอยู่อาจลอยจนหัวจะชนฝาเพดาน ....เคยเป็นกันมั้งมั้ย...(เราเคยรู้สึกแบบนี้มั่งป่าวหว่า) แต่พอทุกข์เท่านั้นแหละ เหมือนแผ่นดินจะแยก ฟ้าจะถล่ม ไม่ก็อยากรู้สึกว่าเมื่อไหร่อีโลกร้อนจะทำให้น้ำท่วมโลกซะทีนะ จะได้เลิกคิดให้ปวดสมอง....(เว่อร์ไปปะเนี่ย) แต่พอโตขึ้น ตอนนี้กลับขอเปลี่ยนความคิดซะใหม่ว่า เวลามีความสุขทีไร ต้องคอยระแวงกับตัวเองว่า ฮั่นแน่.....ต่างดาวจะมาบุกโลกแล้ว....ไม่ช่ายยยย มันต้องมีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นตามมาแน่นอน ทำจาย...ทำจาย...แล้วก็ยิ้มสู้เข้าไว้ เพราะมันก็อยู่เพียงชั่วครั้งชั่วคราวซะจริงๆ แต่ก็อยากบอกว่า เวลานั้นช่างมีค่านัก จะเก็บ จะถ่ายรูปไว้ จะอัดคลิบวีซีดี (ไม่ใช่หนัง...นะ) เพื่อให้จดจำอยู่ในร่องสมอง มันก็ดีไม่น้อย เพราะว่าเวลาทุกข์เมื่อไรจะได้มีเรื่องดีๆที่อยู่ในความทรงจำที่พอระลึกได้บ้าง จะได้บรรเทาความเครียดหรืออมทุกข์ให้หายไปหน่อยก็ยังดี ถ้าอย่างนั้นลองคิดในมุมใหม่ดีมั้ยล่ะ เพียงแค่เลื่อนมาแค่ 1มม. เท่านั้น..... ไม่ว่าจะมีความสุข หรือมีความทุกข์ จงคิดไว้ว่านั่นไม่ใช่ความสุขและไม่ใช่ความทุกข์ แต่มันคือสถานการณ์ธรรมดาที่เกิดขึ้นปกติ ที่พิสูจน์จิตใจของเรามากกว่า ให้แข้มแข็งขึ้น ให้แกร่งขึ้น แล้วอาจได้มุมมองใหม่ที่ดีกับชีวิตก็ได้ ดังนั้นในทุกๆเรื่องที่เกิดขึ้นกับชีวิตคุณ ไม่ว่ามันจะทำให้คุณยิ้มได้อย่างไม่มีเหตุผล หรือร้องไห้จนน้ำตาเป็นสายเลือด แต่ในทุกๆสถานการณ์ ไม่มี 1+1 = 2 และในทุกๆสถานการณ์ ไม่ใช่สีขาวหรือสีดำ เพียงแต่ว่าสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นมันมีตั้งหลายสี มีตั้งหลายมุมมอง เพียงแต่คุณมองมันในมุมมองแบบไหน เพราะทุกอย่างล้วนให้ประโยชน์และแง่คิดที่ดีกับชีวิตเสมอ .....เชื่อผมมั้ยล่ะ เพียงแค่เลี่อนไป 1 มม. เท่านั้น.
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
...
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #193 เมื่อ: 25 ตุลาคม 2550, 07:54:11 » |
|
บทความเบาๆ พอจะใช้เป็นยากล่อมประสาทแด่ตัวข้าพเจ้าเอง :? :!: :?: http://mikkaze.spaces.live.com/blog/cns!671D38CB05A971D2!242.entry ความสุขชั่วเวียนธูป ความทุกข์ชั่ววูบเทียนรู้สึกอย่างนึงเลยว่า คนที่คิดประโยคนี้นี่คิดได้ไงกันฟระ โดนใจโจ๋อย่างแรงครับพี่น้อง... ความสุขชั่วเวียนธูป......ความทุกข์ชั่ววูบเทียน ชีวิตจริงๆ มันก็เป็นเหมือนคำพูดนี้เปี๊ยบเลย เวลามีความสุขทำไม๊..ทำไมมันช่างผ่านไปเร็วนักนะ แต่พอมีทุกข์ปุ๊บ ทุกสิ่งทุกอย่างจะถาโถมเข้ามาอย่างไม่หยุดยั้ง จนอาจตั้งตัวไม่ทัน แต่มันก็คือสัจธรรมของการดำเนินชีวิตอย่างแท้จริง เมื่อไหร่ที่มีความสุขเข้ามา จนจิตใจเบิกบานล่ะก็ จนบางทีจากที่นั่งๆอยู่อาจลอยจนหัวจะชนฝาเพดาน ....เคยเป็นกันมั้งมั้ย...(เราเคยรู้สึกแบบนี้มั่งป่าวหว่า) แต่พอทุกข์เท่านั้นแหละ เหมือนแผ่นดินจะแยก ฟ้าจะถล่ม ไม่ก็อยากรู้สึกว่าเมื่อไหร่อีโลกร้อนจะทำให้น้ำท่วมโลกซะทีนะ จะได้เลิกคิดให้ปวดสมอง....(เว่อร์ไปปะเนี่ย) แต่พอโตขึ้น ตอนนี้กลับขอเปลี่ยนความคิดซะใหม่ว่า เวลามีความสุขทีไร ต้องคอยระแวงกับตัวเองว่า ฮั่นแน่.....ต่างดาวจะมาบุกโลกแล้ว....ไม่ช่ายยยย มันต้องมีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นตามมาแน่นอน ทำจาย...ทำจาย...แล้วก็ยิ้มสู้เข้าไว้ เพราะมันก็อยู่เพียงชั่วครั้งชั่วคราวซะจริงๆ แต่ก็อยากบอกว่า เวลานั้นช่างมีค่านัก จะเก็บ จะถ่ายรูปไว้ จะอัดคลิบวีซีดี (ไม่ใช่หนัง...นะ) เพื่อให้จดจำอยู่ในร่องสมอง มันก็ดีไม่น้อย เพราะว่าเวลาทุกข์เมื่อไรจะได้มีเรื่องดีๆที่อยู่ในความทรงจำที่พอระลึกได้บ้าง จะได้บรรเทาความเครียดหรืออมทุกข์ให้หายไปหน่อยก็ยังดี ถ้าอย่างนั้นลองคิดในมุมใหม่ดีมั้ยล่ะ เพียงแค่เลื่อนมาแค่ 1มม. เท่านั้น..... ไม่ว่าจะมีความสุข หรือมีความทุกข์ จงคิดไว้ว่านั่นไม่ใช่ความสุขและไม่ใช่ความทุกข์ แต่มันคือสถานการณ์ธรรมดาที่เกิดขึ้นปกติ ที่พิสูจน์จิตใจของเรามากกว่า ให้แข้มแข็งขึ้น ให้แกร่งขึ้น แล้วอาจได้มุมมองใหม่ที่ดีกับชีวิตก็ได้ ดังนั้นในทุกๆเรื่องที่เกิดขึ้นกับชีวิตคุณ ไม่ว่ามันจะทำให้คุณยิ้มได้อย่างไม่มีเหตุผล หรือร้องไห้จนน้ำตาเป็นสายเลือด แต่ในทุกๆสถานการณ์ ไม่มี 1+1 = 2 และในทุกๆสถานการณ์ ไม่ใช่สีขาวหรือสีดำ เพียงแต่ว่าสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นมันมีตั้งหลายสี มีตั้งหลายมุมมอง เพียงแต่คุณมองมันในมุมมองแบบไหน เพราะทุกอย่างล้วนให้ประโยชน์และแง่คิดที่ดีกับชีวิตเสมอ .....เชื่อผมมั้ยล่ะ เพียงแค่เลี่อนไป 1 มม. เท่านั้น.ดีจัง ตาแคม :wink:
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
iamfrommoon
|
|
« ตอบ #194 เมื่อ: 25 ตุลาคม 2550, 08:17:40 » |
|
บทความเบาๆ พอจะใช้เป็นยากล่อมประสาทแด่ตัวข้าพเจ้าเอง :? :!: :?: http://mikkaze.spaces.live.com/blog/cns!671D38CB05A971D2!242.entry ความสุขชั่วเวียนธูป ความทุกข์ชั่ววูบเทียนรู้สึกอย่างนึงเลยว่า คนที่คิดประโยคนี้นี่คิดได้ไงกันฟระ โดนใจโจ๋อย่างแรงครับพี่น้อง... ความสุขชั่วเวียนธูป......ความทุกข์ชั่ววูบเทียน ชีวิตจริงๆ มันก็เป็นเหมือนคำพูดนี้เปี๊ยบเลย เวลามีความสุขทำไม๊..ทำไมมันช่างผ่านไปเร็วนักนะ แต่พอมีทุกข์ปุ๊บ ทุกสิ่งทุกอย่างจะถาโถมเข้ามาอย่างไม่หยุดยั้ง จนอาจตั้งตัวไม่ทัน แต่มันก็คือสัจธรรมของการดำเนินชีวิตอย่างแท้จริง เมื่อไหร่ที่มีความสุขเข้ามา จนจิตใจเบิกบานล่ะก็ จนบางทีจากที่นั่งๆอยู่อาจลอยจนหัวจะชนฝาเพดาน ....เคยเป็นกันมั้งมั้ย...(เราเคยรู้สึกแบบนี้มั่งป่าวหว่า) แต่พอทุกข์เท่านั้นแหละ เหมือนแผ่นดินจะแยก ฟ้าจะถล่ม ไม่ก็อยากรู้สึกว่าเมื่อไหร่อีโลกร้อนจะทำให้น้ำท่วมโลกซะทีนะ จะได้เลิกคิดให้ปวดสมอง....(เว่อร์ไปปะเนี่ย) แต่พอโตขึ้น ตอนนี้กลับขอเปลี่ยนความคิดซะใหม่ว่า เวลามีความสุขทีไร ต้องคอยระแวงกับตัวเองว่า ฮั่นแน่.....ต่างดาวจะมาบุกโลกแล้ว....ไม่ช่ายยยย มันต้องมีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นตามมาแน่นอน ทำจาย...ทำจาย...แล้วก็ยิ้มสู้เข้าไว้ เพราะมันก็อยู่เพียงชั่วครั้งชั่วคราวซะจริงๆ แต่ก็อยากบอกว่า เวลานั้นช่างมีค่านัก จะเก็บ จะถ่ายรูปไว้ จะอัดคลิบวีซีดี (ไม่ใช่หนัง...นะ) เพื่อให้จดจำอยู่ในร่องสมอง มันก็ดีไม่น้อย เพราะว่าเวลาทุกข์เมื่อไรจะได้มีเรื่องดีๆที่อยู่ในความทรงจำที่พอระลึกได้บ้าง จะได้บรรเทาความเครียดหรืออมทุกข์ให้หายไปหน่อยก็ยังดี ถ้าอย่างนั้นลองคิดในมุมใหม่ดีมั้ยล่ะ เพียงแค่เลื่อนมาแค่ 1มม. เท่านั้น..... ไม่ว่าจะมีความสุข หรือมีความทุกข์ จงคิดไว้ว่านั่นไม่ใช่ความสุขและไม่ใช่ความทุกข์ แต่มันคือสถานการณ์ธรรมดาที่เกิดขึ้นปกติ ที่พิสูจน์จิตใจของเรามากกว่า ให้แข้มแข็งขึ้น ให้แกร่งขึ้น แล้วอาจได้มุมมองใหม่ที่ดีกับชีวิตก็ได้ ดังนั้นในทุกๆเรื่องที่เกิดขึ้นกับชีวิตคุณ ไม่ว่ามันจะทำให้คุณยิ้มได้อย่างไม่มีเหตุผล หรือร้องไห้จนน้ำตาเป็นสายเลือด แต่ในทุกๆสถานการณ์ ไม่มี 1+1 = 2 และในทุกๆสถานการณ์ ไม่ใช่สีขาวหรือสีดำ เพียงแต่ว่าสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นมันมีตั้งหลายสี มีตั้งหลายมุมมอง เพียงแต่คุณมองมันในมุมมองแบบไหน เพราะทุกอย่างล้วนให้ประโยชน์และแง่คิดที่ดีกับชีวิตเสมอ .....เชื่อผมมั้ยล่ะ เพียงแค่เลี่อนไป 1 มม. เท่านั้น. อืม เนอะ ฮี่ ฮี่...เจ๋งจริงๆ เมื่อวาน Aj.O ฮัดเช่ยมั่งปะ อิอิ...
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
@@ธรรมชาติสร้างความขัดแย้ง เพื่อให้คนเรียนรู้ซึ่งกันและกันได้ดียิ่งขึ้น@@@
|
|
|
iamfrommoon
|
|
« ตอบ #195 เมื่อ: 31 ตุลาคม 2550, 17:30:19 » |
|
> >1.ผ้าขี้ริ้วยอมสกปรกเพื่อให้สิ่งอื่นสะอาด > >เสน่ห์ของคนอยู่ที่ยอมลำบากเพื่อให้ผู้อื่นเป็นสุข พ่อแม่ยอมเหนื่อยเพื่อ >ให้ลูกหลานอยู่สุขสบายความสุขแท้ของคนคือการได้ยืนแอบยิ้มอยู่เบื้องหลัง >ความสำเร็จ > >2.ผ้าขี้ริ้วดูดซับความสกปรกได้ > >แต่ก็สลัดความสกปรกออกจากตัวได้ตลอดเวลา เสน่ห์ของคนอยู่ที่รู้ตัวเองว่า >สกปรก ถึงเวลาต้องชำระล้างแล้ว มิใช่อมความสกปรกไว้แล้ว แกล้งบอกว่าตนเอง >สะอาด > >3.ผ้าขี้ริ้วเป็นผ้าที่สะอาดที่สุด>
>ในขณะที่คนมองว่าสกปรกที่สุด เหมือนคนที่ฝึกหัดขัด เกลาตนเอง รู้จักถ่อมตน >และอ่อนโยน ไม่โอหังอวดดีให้เป็นที่รังเกียจหมั่นไส้ของคนอื่น เขาจะเป็นคน >ที่มีคุณค่า ไม่ว่าจะมาจากสกุลใด การศึกษามากหรือน้อยก็ตาม เป็นผู้ใฝ่รู้ >แต่ไม่อวดดี เหมือนผ้าขี้ริ้วห่อทอง > >4.ผ้าขี้ริ้วถึงจะเป็นผ้าไม่มีราคา > >แต่มีคุณค่ายิ่งใหญ่ได้ เหมือนคนที่พยายามทำตนให้มีคุณค่า ด้วยการทำงานมิ >ใช่ด้วยการประจบ ทำตนให้มีประโยชน์ ให้มีค่า ไม่ใช่งอมืองอเท้า น้อยเนื้อ >ต่ำใจในวาสนาชะตาชีวิต ต้องสร้างกำลังใจให้ตนเองอย่ารอคอยจากคนอื่น > >5.ผ้าขี้ริ้วไม่เกี่ยงงอนว่าจะถูกใช้เช็ดถูอะไร > >เหมือนคนที่ยอมตัวอาสาทำงานที่ได้รับมอบหมาย โดยไม่ปริปากบ่น รู้จักอาสาคน >อาสาทำงาน ต้องตั้งใจทำงานโดยไม่เกี่ยงงอน ไม่ว่าจะเป็นงานใด ๆ ก็ตาม คนที่ >ตกงานเพราะไม่ยอมทำงาน > >6.ผ้าขี้ริ้วยอมให้ถูกใช้งานในที่สกปรกที่สุด > > เหมือนคนที่ยอมทำในสิ่งที่คนทั้งหลายรังเกียจ ที่เขาเห็นว่าเป็นงานชั้นต่ำ >แต่ก็ตั้งใจทำให้เป็นของมีค่าขึ้นมาได้ หรือยินดีในการบริการ เหมือนค นที่ >อิ่มเอิบเมื่อได้บริการรับใช้คนอื่น รับใช้สังคม ดีใจเมื่อคนยินดีมาใช้ >บริการความรู้ ความสามารถของตน และยินดีที่ได้เสนอตัวเข้าไปบริการมากกว่า >เข้าไปบริหาร > >7.ผ้าขี้ริ้วพอใจที่ได้อยู่เบื้องหลังความสะอาด > >เหมือนคนควรพอใจที่ได้อยู่เบื้องหลัง ความสำเร็จของคนอื่น ต้องมีความพอใจ >ที่จะทำงานปิดทองหลังพระ เป็นนายอินหรือนางอิน ผู้ปิดทองหลังพระ มีความสุข >และภูมิใจที่ได้มอบความสำเร็จให้คนอื่น มีมากที่ผู้น้อยบางคน ทำงานแล้วทำ >ให้ผู้ใหญ่เล็กลง ขณะที่ตัวเองโตขึ้น > >8.ผ้าขี้ริ้วทนทานต่อการขัดถูซักล้างไม่เปราะบาง > >เหมือนคนที่มีความอดทน ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคปัญหา แม้จะเหน็ดเหนื่อยเพียงใด >ก็อดทนได้ เพื่อให้สำเร็จ ประโยชน์สุขแก่ผู้อื่น มีจิตใจหนักแน่นไม่เปราะ >บางหักง่าย คือไม่เป็นคนทุกข์ง่ายใจเบา แต่นิ่งและหนักแน่นคงดุจแผ่นดิน > >9.ผ้าขี้ริ้วแม้จะถูกมองว่าเป็นผ้าขี้ริ้ว > > แต่ไม่ทำตัวให้ขี้เหร่ เหมือนคนที่รู้ตัวเองว่า กำลังถูกึนปรามาสสบประมาท >จะต้อ งตั้งใจเอาชนะอุปสรรค ครงนั้นให้ได้ ไม่พ่ายแพ้ต่อคำปรามาสของผู้อื่น >รู้ตัวตลอดเวลาว่ากำลังทำอะไรและมีกำลังใจในสิ่งนั้น มองเห็นคุณค่าจากสิ่ง >ที่คนทั้งหลายมองว่าไร้ค่า เมื่อมีปัญหาให้หัดมองสองด้านเสมอ ผ้าขี้ริ้วมี >เสน่ห์เพราะยอมสัมผัสกับสิ่งสกปรก > >เราต้องทำตัวเองให้มีคุณค่าและมองเห็นค่าของตัวเองก่อน แล้วเราจะไม่รู้สึก >ท้อแท้หมดหวัง > >ชีวิตของคนเราก็เช่นกัน หากทนความทุกข์ยากลำบาก ยอมสัมผัสกับงานที่ต่ำต้อย >ได้ก็จะมีเสน่ห์ และมีความหมาย ทุกคนจึงควรพากเพียรพยายามสร้างเสน่ห์ให้กับ >ชีวิต อย่างที่ผ้าขี้ริ้วสร้างเสน่ห์ให้กับตนเอง คุณเห็นด้วยไหม ที่ว่าเรา >ต้องทำตัวเองให้มีคุณค่าและมองเห็นค่าของตัวเองก่อน แล้วเราจะไม่รู้สึก >ท้อแท้หมดหวัง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
@@ธรรมชาติสร้างความขัดแย้ง เพื่อให้คนเรียนรู้ซึ่งกันและกันได้ดียิ่งขึ้น@@@
|
|
|
portpatt
บุคคลทั่วไป
|
|
« ตอบ #196 เมื่อ: 31 ตุลาคม 2550, 17:54:31 » |
|
บทความเบาๆ พอจะใช้เป็นยากล่อมประสาทแด่ตัวข้าพเจ้าเอง :? :!: :?: (พอดีเห็นว่าน่าสนใจ เลยก็อปเค้ามาจากเวบนึง) http://mikkaze.spaces.live.com/blog/cns!671D38CB05A971D2!242.entry ความสุขชั่วเวียนธูป ความทุกข์ชั่ววูบเทียนรู้สึกอย่างนึงเลยว่า คนที่คิดประโยคนี้นี่คิดได้ไงกันฟระ โดนใจโจ๋อย่างแรงครับพี่น้อง... ความสุขชั่วเวียนธูป......ความทุกข์ชั่ววูบเทียน ชีวิตจริงๆ มันก็เป็นเหมือนคำพูดนี้เปี๊ยบเลย เวลามีความสุขทำไม๊..ทำไมมันช่างผ่านไปเร็วนักนะ แต่พอมีทุกข์ปุ๊บ ทุกสิ่งทุกอย่างจะถาโถมเข้ามาอย่างไม่หยุดยั้ง จนอาจตั้งตัวไม่ทัน แต่มันก็คือสัจธรรมของการดำเนินชีวิตอย่างแท้จริง เมื่อไหร่ที่มีความสุขเข้ามา จนจิตใจเบิกบานล่ะก็ จนบางทีจากที่นั่งๆอยู่อาจลอยจนหัวจะชนฝาเพดาน ....เคยเป็นกันมั้งมั้ย...(เราเคยรู้สึกแบบนี้มั่งป่าวหว่า) แต่พอทุกข์เท่านั้นแหละ เหมือนแผ่นดินจะแยก ฟ้าจะถล่ม ไม่ก็อยากรู้สึกว่าเมื่อไหร่อีโลกร้อนจะทำให้น้ำท่วมโลกซะทีนะ จะได้เลิกคิดให้ปวดสมอง....(เว่อร์ไปปะเนี่ย) แต่พอโตขึ้น ตอนนี้กลับขอเปลี่ยนความคิดซะใหม่ว่า เวลามีความสุขทีไร ต้องคอยระแวงกับตัวเองว่า ฮั่นแน่.....ต่างดาวจะมาบุกโลกแล้ว....ไม่ช่ายยยย มันต้องมีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นตามมาแน่นอน ทำจาย...ทำจาย...แล้วก็ยิ้มสู้เข้าไว้ เพราะมันก็อยู่เพียงชั่วครั้งชั่วคราวซะจริงๆ แต่ก็อยากบอกว่า เวลานั้นช่างมีค่านัก จะเก็บ จะถ่ายรูปไว้ จะอัดคลิบวีซีดี (ไม่ใช่หนัง...นะ) เพื่อให้จดจำอยู่ในร่องสมอง มันก็ดีไม่น้อย เพราะว่าเวลาทุกข์เมื่อไรจะได้มีเรื่องดีๆที่อยู่ในความทรงจำที่พอระลึกได้บ้าง จะได้บรรเทาความเครียดหรืออมทุกข์ให้หายไปหน่อยก็ยังดี ถ้าอย่างนั้นลองคิดในมุมใหม่ดีมั้ยล่ะ เพียงแค่เลื่อนมาแค่ 1มม. เท่านั้น..... ไม่ว่าจะมีความสุข หรือมีความทุกข์ จงคิดไว้ว่านั่นไม่ใช่ความสุขและไม่ใช่ความทุกข์ แต่มันคือสถานการณ์ธรรมดาที่เกิดขึ้นปกติ ที่พิสูจน์จิตใจของเรามากกว่า ให้แข้มแข็งขึ้น ให้แกร่งขึ้น แล้วอาจได้มุมมองใหม่ที่ดีกับชีวิตก็ได้ ดังนั้นในทุกๆเรื่องที่เกิดขึ้นกับชีวิตคุณ ไม่ว่ามันจะทำให้คุณยิ้มได้อย่างไม่มีเหตุผล หรือร้องไห้จนน้ำตาเป็นสายเลือด แต่ในทุกๆสถานการณ์ ไม่มี 1+1 = 2 และในทุกๆสถานการณ์ ไม่ใช่สีขาวหรือสีดำ เพียงแต่ว่าสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นมันมีตั้งหลายสี มีตั้งหลายมุมมอง เพียงแต่คุณมองมันในมุมมองแบบไหน เพราะทุกอย่างล้วนให้ประโยชน์และแง่คิดที่ดีกับชีวิตเสมอ .....เชื่อผมมั้ยล่ะ เพียงแค่เลี่อนไป 1 มม. เท่านั้น.ชอบจริงๆค่ะ ถูกต้องที่สุด
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
portpatt
บุคคลทั่วไป
|
|
« ตอบ #197 เมื่อ: 31 ตุลาคม 2550, 17:56:52 » |
|
> >1.ผ้าขี้ริ้วยอมสกปรกเพื่อให้สิ่งอื่นสะอาด > >เสน่ห์ของคนอยู่ที่ยอมลำบากเพื่อให้ผู้อื่นเป็นสุข พ่อแม่ยอมเหนื่อยเพื่อ >ให้ลูกหลานอยู่สุขสบายความสุขแท้ของคนคือการได้ยืนแอบยิ้มอยู่เบื้องหลัง >ความสำเร็จ > >2.ผ้าขี้ริ้วดูดซับความสกปรกได้ > >แต่ก็สลัดความสกปรกออกจากตัวได้ตลอดเวลา เสน่ห์ของคนอยู่ที่รู้ตัวเองว่า >สกปรก ถึงเวลาต้องชำระล้างแล้ว มิใช่อมความสกปรกไว้แล้ว แกล้งบอกว่าตนเอง >สะอาด > >3.ผ้าขี้ริ้วเป็นผ้าที่สะอาดที่สุด>
>ในขณะที่คนมองว่าสกปรกที่สุด เหมือนคนที่ฝึกหัดขัด เกลาตนเอง รู้จักถ่อมตน >และอ่อนโยน ไม่โอหังอวดดีให้เป็นที่รังเกียจหมั่นไส้ของคนอื่น เขาจะเป็นคน >ที่มีคุณค่า ไม่ว่าจะมาจากสกุลใด การศึกษามากหรือน้อยก็ตาม เป็นผู้ใฝ่รู้ >แต่ไม่อวดดี เหมือนผ้าขี้ริ้วห่อทอง > >4.ผ้าขี้ริ้วถึงจะเป็นผ้าไม่มีราคา > >แต่มีคุณค่ายิ่งใหญ่ได้ เหมือนคนที่พยายามทำตนให้มีคุณค่า ด้วยการทำงานมิ >ใช่ด้วยการประจบ ทำตนให้มีประโยชน์ ให้มีค่า ไม่ใช่งอมืองอเท้า น้อยเนื้อ >ต่ำใจในวาสนาชะตาชีวิต ต้องสร้างกำลังใจให้ตนเองอย่ารอคอยจากคนอื่น > >5.ผ้าขี้ริ้วไม่เกี่ยงงอนว่าจะถูกใช้เช็ดถูอะไร > >เหมือนคนที่ยอมตัวอาสาทำงานที่ได้รับมอบหมาย โดยไม่ปริปากบ่น รู้จักอาสาคน >อาสาทำงาน ต้องตั้งใจทำงานโดยไม่เกี่ยงงอน ไม่ว่าจะเป็นงานใด ๆ ก็ตาม คนที่ >ตกงานเพราะไม่ยอมทำงาน > >6.ผ้าขี้ริ้วยอมให้ถูกใช้งานในที่สกปรกที่สุด > > เหมือนคนที่ยอมทำในสิ่งที่คนทั้งหลายรังเกียจ ที่เขาเห็นว่าเป็นงานชั้นต่ำ >แต่ก็ตั้งใจทำให้เป็นของมีค่าขึ้นมาได้ หรือยินดีในการบริการ เหมือนค นที่ >อิ่มเอิบเมื่อได้บริการรับใช้คนอื่น รับใช้สังคม ดีใจเมื่อคนยินดีมาใช้ >บริการความรู้ ความสามารถของตน และยินดีที่ได้เสนอตัวเข้าไปบริการมากกว่า >เข้าไปบริหาร > >7.ผ้าขี้ริ้วพอใจที่ได้อยู่เบื้องหลังความสะอาด > >เหมือนคนควรพอใจที่ได้อยู่เบื้องหลัง ความสำเร็จของคนอื่น ต้องมีความพอใจ >ที่จะทำงานปิดทองหลังพระ เป็นนายอินหรือนางอิน ผู้ปิดทองหลังพระ มีความสุข >และภูมิใจที่ได้มอบความสำเร็จให้คนอื่น มีมากที่ผู้น้อยบางคน ทำงานแล้วทำ >ให้ผู้ใหญ่เล็กลง ขณะที่ตัวเองโตขึ้น > >8.ผ้าขี้ริ้วทนทานต่อการขัดถูซักล้างไม่เปราะบาง > >เหมือนคนที่มีความอดทน ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคปัญหา แม้จะเหน็ดเหนื่อยเพียงใด >ก็อดทนได้ เพื่อให้สำเร็จ ประโยชน์สุขแก่ผู้อื่น มีจิตใจหนักแน่นไม่เปราะ >บางหักง่าย คือไม่เป็นคนทุกข์ง่ายใจเบา แต่นิ่งและหนักแน่นคงดุจแผ่นดิน > >9.ผ้าขี้ริ้วแม้จะถูกมองว่าเป็นผ้าขี้ริ้ว > > แต่ไม่ทำตัวให้ขี้เหร่ เหมือนคนที่รู้ตัวเองว่า กำลังถูกึนปรามาสสบประมาท >จะต้อ งตั้งใจเอาชนะอุปสรรค ครงนั้นให้ได้ ไม่พ่ายแพ้ต่อคำปรามาสของผู้อื่น >รู้ตัวตลอดเวลาว่ากำลังทำอะไรและมีกำลังใจในสิ่งนั้น มองเห็นคุณค่าจากสิ่ง >ที่คนทั้งหลายมองว่าไร้ค่า เมื่อมีปัญหาให้หัดมองสองด้านเสมอ ผ้าขี้ริ้วมี >เสน่ห์เพราะยอมสัมผัสกับสิ่งสกปรก > >เราต้องทำตัวเองให้มีคุณค่าและมองเห็นค่าของตัวเองก่อน แล้วเราจะไม่รู้สึก >ท้อแท้หมดหวัง > >ชีวิตของคนเราก็เช่นกัน หากทนความทุกข์ยากลำบาก ยอมสัมผัสกับงานที่ต่ำต้อย >ได้ก็จะมีเสน่ห์ และมีความหมาย ทุกคนจึงควรพากเพียรพยายามสร้างเสน่ห์ให้กับ >ชีวิต อย่างที่ผ้าขี้ริ้วสร้างเสน่ห์ให้กับตนเอง คุณเห็นด้วยไหม ที่ว่าเรา >ต้องทำตัวเองให้มีคุณค่าและมองเห็นค่าของตัวเองก่อน แล้วเราจะไม่รู้สึก >ท้อแท้หมดหวัง
ชอบๆๆๆๆๆๆๆๆ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
khesorn mueller
|
|
« ตอบ #198 เมื่อ: 31 ตุลาคม 2550, 19:07:22 » |
|
Need time to read!!...thank you nong,nong. p.nn
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ชาร์ป
|
|
« ตอบ #199 เมื่อ: 03 พฤศจิกายน 2550, 16:47:30 » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
นายป้อ
|
|
« ตอบ #201 เมื่อ: 06 พฤศจิกายน 2550, 20:31:33 » |
|
:oops: รูปอะไรเอ่ย........ตอบมา..เดี๋ยวเฉลยให้........หุๆๆ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Aj.O
|
|
« ตอบ #202 เมื่อ: 17 พฤศจิกายน 2550, 14:23:54 » |
|
ปลาโลมางัย! :lol:
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
...
|
|
|
ลูกพิ้ง
|
|
« ตอบ #203 เมื่อ: 17 พฤศจิกายน 2550, 16:32:05 » |
|
บทความเบาๆ พอจะใช้เป็นยากล่อมประสาทแด่ตัวข้าพเจ้าเอง :? :!: :?: (พอดีเห็นว่าน่าสนใจ เลยก็อปเค้ามาจากเวบนึง) http://mikkaze.spaces.live.com/blog/cns!671D38CB05A971D2!242.entry ความสุขชั่วเวียนธูป ความทุกข์ชั่ววูบเทียนรู้สึกอย่างนึงเลยว่า คนที่คิดประโยคนี้นี่คิดได้ไงกันฟระ โดนใจโจ๋อย่างแรงครับพี่น้อง... ความสุขชั่วเวียนธูป......ความทุกข์ชั่ววูบเทียน ชีวิตจริงๆ มันก็เป็นเหมือนคำพูดนี้เปี๊ยบเลย เวลามีความสุขทำไม๊..ทำไมมันช่างผ่านไปเร็วนักนะ แต่พอมีทุกข์ปุ๊บ ทุกสิ่งทุกอย่างจะถาโถมเข้ามาอย่างไม่หยุดยั้ง จนอาจตั้งตัวไม่ทัน แต่มันก็คือสัจธรรมของการดำเนินชีวิตอย่างแท้จริง เมื่อไหร่ที่มีความสุขเข้ามา จนจิตใจเบิกบานล่ะก็ จนบางทีจากที่นั่งๆอยู่อาจลอยจนหัวจะชนฝาเพดาน ....เคยเป็นกันมั้งมั้ย...(เราเคยรู้สึกแบบนี้มั่งป่าวหว่า) แต่พอทุกข์เท่านั้นแหละ เหมือนแผ่นดินจะแยก ฟ้าจะถล่ม ไม่ก็อยากรู้สึกว่าเมื่อไหร่อีโลกร้อนจะทำให้น้ำท่วมโลกซะทีนะ จะได้เลิกคิดให้ปวดสมอง....(เว่อร์ไปปะเนี่ย) แต่พอโตขึ้น ตอนนี้กลับขอเปลี่ยนความคิดซะใหม่ว่า เวลามีความสุขทีไร ต้องคอยระแวงกับตัวเองว่า ฮั่นแน่.....ต่างดาวจะมาบุกโลกแล้ว....ไม่ช่ายยยย มันต้องมีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นตามมาแน่นอน ทำจาย...ทำจาย...แล้วก็ยิ้มสู้เข้าไว้ เพราะมันก็อยู่เพียงชั่วครั้งชั่วคราวซะจริงๆ แต่ก็อยากบอกว่า เวลานั้นช่างมีค่านัก จะเก็บ จะถ่ายรูปไว้ จะอัดคลิบวีซีดี (ไม่ใช่หนัง...นะ) เพื่อให้จดจำอยู่ในร่องสมอง มันก็ดีไม่น้อย เพราะว่าเวลาทุกข์เมื่อไรจะได้มีเรื่องดีๆที่อยู่ในความทรงจำที่พอระลึกได้บ้าง จะได้บรรเทาความเครียดหรืออมทุกข์ให้หายไปหน่อยก็ยังดี ถ้าอย่างนั้นลองคิดในมุมใหม่ดีมั้ยล่ะ เพียงแค่เลื่อนมาแค่ 1มม. เท่านั้น..... ไม่ว่าจะมีความสุข หรือมีความทุกข์ จงคิดไว้ว่านั่นไม่ใช่ความสุขและไม่ใช่ความทุกข์ แต่มันคือสถานการณ์ธรรมดาที่เกิดขึ้นปกติ ที่พิสูจน์จิตใจของเรามากกว่า ให้แข้มแข็งขึ้น ให้แกร่งขึ้น แล้วอาจได้มุมมองใหม่ที่ดีกับชีวิตก็ได้ ดังนั้นในทุกๆเรื่องที่เกิดขึ้นกับชีวิตคุณ ไม่ว่ามันจะทำให้คุณยิ้มได้อย่างไม่มีเหตุผล หรือร้องไห้จนน้ำตาเป็นสายเลือด แต่ในทุกๆสถานการณ์ ไม่มี 1+1 = 2 และในทุกๆสถานการณ์ ไม่ใช่สีขาวหรือสีดำ เพียงแต่ว่าสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นมันมีตั้งหลายสี มีตั้งหลายมุมมอง เพียงแต่คุณมองมันในมุมมองแบบไหน เพราะทุกอย่างล้วนให้ประโยชน์และแง่คิดที่ดีกับชีวิตเสมอ .....เชื่อผมมั้ยล่ะ เพียงแค่เลี่อนไป 1 มม. เท่านั้น. เพิ่งมาได้อ่าน....พอได้อ่านแล้ว....ก็รู้สึกดีจัง....
สะดุดใจกับคำคำนี้..."ความสุขชั่วเวียนธูป ความทุกข์ชั่ววูบเทียน"....คนที่คิดประโยคนี้น่าจะใช่...
คุณทรงกลด บางยี่ขัน-บก.หนังสือะเดย์นะค่ะ...คือเคยอ่านหนังสือที่เค้าเขียนไว้...
ชื่อ..สองเงาในเกาหลี...บันทึกการเดินทางท่องเที่ยวของชายหนุ่มกับหญิงสาวแปลกหน้า..
ที่ต่างคนไม่รู้จักกันมาก่อน...แต่ได้มีโอกาสไปเที่ยวด้วยกัน....แล้วก็มีอยู่ตอนนึงในหนังสือ
ใช้ชื่อว่า ความสุขชั่วเวียนธูป ความทุกข์ชั่ววูบเทียน นี่ล่ะค่ะ....
ลองไปหามาอ่านกันดูนะค่ะ ..แล้วคุณอยากจะเก็บกระเป๋า.....
ไปตามหาอีกเงาไปร่วมเดินทางด้วยกัน :oops: :oops: :oops: :wink:
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Aj.O
|
|
« ตอบ #204 เมื่อ: 17 พฤศจิกายน 2550, 19:12:35 » |
|
เพิ่งมาได้อ่าน....พอได้อ่านแล้ว....ก็รู้สึกดีจัง....
สะดุดใจกับคำคำนี้..."ความสุขชั่วเวียนธูป ความทุกข์ชั่ววูบเทียน"....คนที่คิดประโยคนี้น่าจะใช่...
คุณทรงกลด บางยี่ขัน-บก.หนังสือะเดย์นะค่ะ...คือเคยอ่านหนังสือที่เค้าเขียนไว้... ทำไมชื่อเหมือนผมเลยฟร่ะ? :? :shock:
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
...
|
|
|
Mr.EggMan
|
|
« ตอบ #205 เมื่อ: 18 พฤศจิกายน 2550, 03:05:20 » |
|
โซเครติส กล่าวไว้ว่า "จำไว้เถิด เรื่ิองของมนุษย์ ไม่มีอะไรที่แน่นอน ดังนั้นเลี่ยงความสุขอันไม่จำเป็น ยามรุ่งเรือง หรือความหดหู่หม่นหมองโดยไม่จำเป็น ในห้งของความยากลำบาก"
ซึ่งหมายถึง เวลาสุข อย่าสุขเกิน จนลืมคิดถึงความทุกข์ และ เวลาทุกข์ ก็อย่ามัวจมอยู่กับมัน โดยไม่รับรู้ถึงความสุข สุขหรือทุกข์ เป็นเพียงสภาวะ ที่จิตใจของมนุษย์ตอบรับกับสิ่งที่เข้ามาในชีวิต โดยใช้ตัวเองเป็นบรรทัดฐาน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Aj.O
|
|
« ตอบ #206 เมื่อ: 18 พฤศจิกายน 2550, 22:00:51 » |
|
โซเครติส กล่าวไว้ว่า "จำไว้เถิด เรื่ิองของมนุษย์ ไม่มีอะไรที่แน่นอน ดังนั้นเลี่ยงความสุขอันไม่จำเป็น ยามรุ่งเรือง หรือความหดหู่หม่นหมองโดยไม่จำเป็น ในห้งของความยากลำบาก"
ซึ่งหมายถึง เวลาสุข อย่าสุขเกิน จนลืมคิดถึงความทุกข์ และ เวลาทุกข์ ก็อย่ามัวจมอยู่กับมัน โดยไม่รับรู้ถึงความสุข สุขหรือทุกข์ เป็นเพียงสภาวะ ที่จิตใจของมนุษย์ตอบรับกับสิ่งที่เข้ามาในชีวิต โดยใช้ตัวเองเป็นบรรทัดฐาน กรูก็เคยได้ยินคำกลอนนึงมันกล่าวไว้ว่า ในความสุข มีทุกข์ที่แอบแฝง...ในความทุกข์มีแสงแห่งสุขซ่อนแต่บางจังหวะของชีวิต ความทุกข์มันยาวนานไปหน่อย เลยจมติดจนลืมไปว่าสักวันมันก็ต้องพ้นไป (ส่วนความสุขยาวนานหรือไม่นั้น ไม่ค่อยมีใครจำ เพราะเราทนอยู่กับมันได้เราเลยไม่ใส่ใจว่ามันจะยาวหรือสั้น) :?
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
...
|
|
|
party
|
|
« ตอบ #207 เมื่อ: 06 ธันวาคม 2550, 08:14:40 » |
|
เมื่อวานตามติดทีวีเลยอะ ตั้งแต่พระองค์เสด็จตอนเช้า และ เย็น เห็นแล้วน้ำตาไหลเลย ภาพที่พระองค์ทรงโบกพระหัตถ์ให้กับพสกนิกรที่มารอรับเสด็จ แล้วตอนกลางคืนพระองค์ยังทรงเปิดไฟในรถพระที่นั่งเพื่อให้พสกนิกรได้เห็นพระพักตร์ของทั้ง 2 พระองค์อีก
ขณะเสด็จก้อชื่นใจ เห็นพระองค์สามารถเสด็จพระราชดำเนินได้คล่องขึ้น อยากให้พระองค์เป็นแรงบันดาลใจที่สูงสุดของพสกนิกรไทยตราบนานเท่านาน
ไม่อยากให้พระองค์เหนื่อยมากไปกว่านี้อีกแล้ว อยากให้คนไทยรักมาก และ สามัคคีต่อกัน หยุดเห็นแก่ตัว เห็นแก่ประเทศและพ่อหลวงอันเป็นที่รักสูงสุดของไทยให้มากๆๆ พระองค์จะได้สบายพระราชหฤทัย
เริ่มทำจริงๆเสียทีเถอะ อย่าแค่ฟัง ให้เข้าใจในหลวงด้วย
รักในหลวงมากกกกกก ขอจงทรงพระเจริญ มีพลานามัยที่แข็งแรง เป็นพ่อหลวงของพสกนิกรไทยตราบนานเท่านาน
^____^
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #208 เมื่อ: 19 ธันวาคม 2550, 11:49:01 » |
|
ไม่รู้มีคนเคยเอามา post ไว้แล้วหรือยัง แต่อ่านแล้วชอบ ถ้าซ้ำก้อขออภัย :wink:
------------------------------------
The end of the day วินทร์ เลียววาริณ
ผมมีประสบการณ์หาแพทย์ที่เพิ่งจบใหม่หลายครั้ง พบว่าบางทีค่ารักษากับหมอใหม่แพงกว่าหมอที่มีประสบการณ์ยาวนาน
ทั้งที่ขัดกับหลักตรรกที่ว่า หมอที่ทำงานยาวนานน่าจะคิดค่ารักษาแพงกว่า
เหตุผลก็เพราะว่า หมอจบใหม่บางคนเกิดอาการเกร็งอาจเกิดความกลัววูบขึ้นมาว่า "จะเกิดอะไรขึ้นหากวินิจฉัยโรคพลาด?"
เมื่อเกร็งก็เกิดความไม่แน่ใจ เพื่อความปลอดภัยต่ออาชีพของตน
ก็สั่งให้มีการทดสอบในห้องแล็บเพิ่มอีกหลายรายการ
ยกตัวอย่างเช่นเมื่อคนไข้ท้องเสีย ก็สั่งตรวจดูว่าเกิดจากเชื้อโรคชนิดใด ทั้งที่คนไข้บอกว่าไม่ได้กินอาหารสกปรกอย่างแน่นอน
ผลตรวจที่ออกมาสรุปว่าท้องเสียไม่ได้เกิดจากเชื้อโรค หากจากความเครียด เมื่อรวมค่าตัวของหมอใหม่ (ซึ่งไม่สูงนัก) กับค่าตรวจในแล็บและอื่นๆ รวมๆ แล้วก็มากกว่าที่คนไข้ควรจ่าย เมื่อรักษากับหมอที่มีประสบการณ์กว่า
ครั้งหนึ่งผมเกิดอาการปวดหัวตึบๆ หมอใหม่ก็จัดการส่งผมไปสแกนสมอง ทั้งที่ผมรู้ว่าไม่เป็นอะไรมาก "เพื่อความชัวร์" หมอว่า
เมื่อเห็นใบเสร็จ ผมก็เกิดอาการปวดหัวกว่าเดิม
เพื่อนสถาปนิก-ผู้รับเหมาคนหนึ่งบอกผมว่า ในงานทุกชิ้นของเขา จะเจาะจงใช้แต่ช่างชั้นหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช้ 'มือใหม่หัดขับ ' เลย ทั้งที่ค่าแรงช่างเก่าแพงกว่า 2-3 เท่า
"ทำไม?" ผมถาม เขายกตัวอย่างงานปูน ช่างปูนที่เพิ่งทำงานไม่นานค่าแรงต่อวันถูกมาก แต่เนื่องจากยังอ่อนประสบการณ์ จึงใช้ปูนซิเมนต์เปลืองมาก ทุกครั้งที่ตักปูนมาก่อกำแพงหรือฉาบ ปูนมักหล่นเรี่ยราด ส่วนที่ตักเกินมาก็ปาดทิ้ง กว่าจะจบงานหนึ่งชิ้น ต้องเสียปูน ไปเกินจำเป็น
ขณะที่ช่างที่เชี่ยวชาญใช้ปูนเท่าที่จำเป็นเพราะแม่นงานกว่า เมื่อคิดรวมดูแล้ว ใช้ช่างเชี่ยวชาญถูกกว่าและได้งานที่ดีกว่า
ในช่วงชีวิตของเรา ต้องพบกับการตัดสินเลือกของสองอย่างที่เลือกยาก ส่วนมากมักมีเรื่องเงินทองมาเกี่ยว
คนส่วนมากเมื่อเจอกับการตัดสินใจดังกล่าว มักหนีไม่ค่อยพ้นสัจธรรมของ ' เสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย'
ยกตัวอย่างเช่นเมื่อไปสมัครงานสองบริษัทและได้งานทั้งสองแห่ง แห่งหนึ่งให้เงินเดือนสูง แต่งานจำเจ อีกแห่งหนึ่งเงินเดือนต่ำกว่ามาก แต่งานท้าทาย
หลายคนเลือกเงินเดือนสูงไว้ก่อน เพราะมันทำให้รู้สึกว่ามีคนเห็นคุณค่าของเรามากพอที่ยอมจ่ายมากๆ
ในชีวิตของเรายังมีอีกหลายเรื่องที่เราต้องตัดสินใจเลือกไปทางซ้ายหรือทางขวา และเป็นการเลือกที่ยากเอาการ
จะเรียนคณะวิชาที่ทำเงินหรือคณะวิชาที่ชอบ ? จะเลือกงานที่ให้เงินเดือนมากหรือเงินเดือนน้อย? จะเลือกผู้หญิงที่ความสวยหรือความเก่ง? ฯลฯ
ฝรั่งมีวลีหนึ่งที่ว่า at the end of the day หมายถึง การวัดผลในตอนจบวัน เป็นการใช้ชีวิตโดยการมองภาพรวม
จะลงทุนมากหรือน้อย จะทำงานใหญ่หรือเล็ก ไม่สำคัญเท่ากับว่า ในตอนจบวันคุณเหลือเงินในกระเป๋าสตางค์เท่าไร
แม่ค้าขายขนมครกที่ทำงานไปเรื่อยๆ ตลอดวัน เมื่อหักค่าใช้จ่ายแล้ว อาจจะมีเงินในกระเป๋ามากกว่าเจ้าของร้านอาหารติดแอร์ฯ ที่ถึงแม้รายได้ต่อวันจะสูงกว่ามาก แต่ค่าโสหุ้ยก็สูงเช่นกัน
บางทีเมื่อวัดกันที่ ' ในตอนจบวัน ' อาจทำให้เราตัดสินใจหลายๆ เรื่องได้ง่ายขึ้น ในตอนจบวัน แฟนคุณช่วยคุณสร้างเงินหรือถลุงเงิน? ในตอนจบวัน คุณเก่งกว่าเดิมหรือเปล่า? ในตอนจบวัน คุณมีความสุขมากกว่าความทุกข์หรือไม่? และในตอนจบวัน คุณรู้สึกว่าชีวิตในวันนั้นสูญเปล่าหรือไม่?
วินทร์ เลียววาริณ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
mmwindoo_79
Full Member
ออฟไลน์
กระทู้: 254
|
|
« ตอบ #209 เมื่อ: 19 ธันวาคม 2550, 12:03:21 » |
|
ไม่ซ้ำ ดีมากแครม
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
Mouy (Again)
มือใหม่หัดเมาท์
ออฟไลน์
กระทู้: 150
|
|
« ตอบ #211 เมื่อ: 29 ธันวาคม 2550, 12:50:09 » |
|
หวัดดีปีใหม่จ้า... หายไปเสียนาน แต่ก็ไม่ได้ไปไหนไกล ยังคงวนๆ เวียนๆ แถวหอพักอยู่เลย... เพิ่งมีโอกาสได้เช็คเมล์ในช่วงปีใหม่ เจอเรื่องถูกใจ เลยคิดว่าเอามาแปะไว้ในบอร์ดท่าจะดี..เป็น forward mail จ๊ะ... หลายคนอาจเคยได้รับแล้ว แต่บางคนอาจยังไม่ได้นะ...ยกเครดิตให้แก่ผู้เล่าค่ะ.....
REAL LOVE
ใครที่ แฟนกะภรรยา/สามี ไม่เป็นเหมือนที่คุณคาด หวังลองมองมุมนี้บ้าง สืบเนื่องจากหนึ่งในกระทู้ของสาวสวยรวยความสามารถที่เป็นกิ๊ก อยู่กับสามีชาวบ้าน เกี่ยวกับการ มองต่างมุมที่สามีไปมีกิ๊กและแนะนำทางตรงและทางอ้อม ให้ผู้หญิงปฎิวัติตัวเองให้สวยและ ดึงดูดใจสามี จนกระทู้นี้ถูกโหวตติดอันดับไปแล้วนั้น ผมในฐานะ ผู้ชายไทยคนหนึ่งที่รักภรรยามากๆ อยากจะเล่าเรื่องตัวเองกับภรรยาให้ฟังบ้าง ครับ ภรรยาผม ตั้งแต่คบมา 12 ปีนั้น ไม่เคย: 1 ทำงานบ้าน ใดๆเลย ไม่ชอบและไม่ทำ มีบ้างนานๆครั้ง นับครั้งได้
2 ไม่ทำอาหาร ให้ทานเลย
3 ไม่ชอบ เลี้ยงสัตว์ในบ้าน ผมรักหมามาก แต่เมียไม่ให้เลี้ยงก็ไม่เลี้ยง วุ้ย) เมียกะ หมานะ เลือก หมา เอ้ย เมียอยู่แล้ว
4 ไม่เคยพูด คำหวานหรือ ให้การด์ในวันสำคัญ ผมต่างหาก ชอบ surprise เค้าทุกครั้ง(มีบ้าง ที่เค้า ให้การด์คือ ผมทวง!)
5 รายได้ผม เดือนเป็นแสนๆ เค้าเก็บบริหารในบ้านหมด ผมได้ใช้อาทิตย์ละ 1500 ครับ น้อย กว่าเด็ก จบใหม่อีก
6 ขี้บ่น มากๆๆ บ่นทุกเรื่องที่บ่นได้
7 ไม่ชอบแต่ง ตัวไม่เคยแต่งหน้าไปทำงานในชีวิต
8 ไม่ค่อย เปิดมือถือ จนเพื่อนเค้ารำคาญกันไปหมดแล้ว
9 ไม่ชอบเดิน ห้าง ไม่ชอบของทันสมัย hitech ซึ่งตรงข้ามกับผม
แต่....ผมรักเธอมาก ยิ่งกว่าชีวิตผม ผมตายแทนเมียได้ทุกเมื่อ เงินประกัน ชีวิตเป็นชื่อเธอคนเดียว ทุกข้อที่ยกตัวอย่าง ส่วนใหญ่ผม รับได้แต่ต้น บางข้อผมอึดอัดในตอนต้นแต่คุยกันแล้ว ผมรับได้ครับ และตามใจเธอทุกอย่าง อะไรที่ทำแล้ว แฟนผมมีความสุข ผมทำให้ได้ ทุกอย่าง ท ุกวันนี้ ชินและมีความสุขมากๆๆ ถ้าภรรยาผมไป ปรับปรุงตัวเองให้เด่นหรือแปลกไป ผมรับไม่ได้ครับ เพื่อนมีล้อว่ากลัวเมีย บ้าง ผมเฉยครับและบอกว่า ผมมีความสุขมากๆอยู่แล้ว ไม่แคร์ใครครับระวังเพื่อน กับเมีย ผมเลือกเมียครับ เวลาคุณแก่ เวลาคุณป่วย เวลาคุณจะตาย คุณจะกุมมือ เพื่อนแล้วร้องไห้หรือป่าวครับ ? ลูกเมียต่างหาก คือ คนที่จะแบ่ง ปัน ทั้งสุขและทุกข์กับเรา ผมโชคดีที่มี เพื่อนดีๆที่ไม่ยุ่งเรื่องส่วนตัวผมเยอะมากๆ ชีวิตผมผมเลือกเอง ครับ ผมรักของผมแบบนี้สิ่งที่จะบอก ทุกคนคือ
1 คุณเลือก แฟนของคุณแบบนี้เอง ถ้าเค้าไม่ถูกใจจะไปบ่นทำไม
2 No one is perfect. คุณก็ไม่ perfect ผมก็ไม่ perfect แต่ถ้าคนสองคน รักกันมากๆ เราจะ มองแต่ข้อดีของกันและกันครับ Positive thinking กับชีวิต ครับ แล้ว ชีวิตจะมีความสุข
3 อย่าไป เปรียบเทียบชิวิตคู่เรากับคนอื่น เทียบสูงไม่เท่าเทียบต่ำยังเหลือเรายังโชคดี กว่าคนหลาย ล้านในโลกที่มีโอกาส รัก และ ถูกรักหลายคนไม่มี โอกาสแม้แต่จะเดิน พูด หรือ ทานข้าวเอง
ผมและครอบ ครัวเพิ่งไปบริจาคเงินและเลี้ยงเด็กพิกา รปากเกร็ดมา ชีวิตหลาย ร้อยชีวิตในที่แห่งนั้น ลำบากกว่าเราเป็นร้อยเป็นพันเท่า และใครบางคน มัวแต่วิจารณ์สิ่งที่ไม่ดีของคนข้างตัวที่ เราเป็นคนเลือกเอง นิ้วหนึ่ง นิ้วที่ชี้ต่อว่า แฟนคุณนั้นอีกสี่นิ้วชี้หาตัวคุณเองนะครับ
ถ้าคุณเบื่อ แฟนคุณเรื่องนั้นเรื่องนี้ แล้วไปมีคนใหม่ เดี๋ยวคุณก็หาเรื่อง ติ หาเรื่อง ว่า แฟนคนใหม่คุณได้อีก คุณไม่รักและ ภูมิใจในแฟนคุณ แล้ว ใครจะรักครับ และผมไม่อยากให้ผู้หญิงเอาเรื่องผมไปให้แฟนคุณอ่านเพื่อให้ทำตาม คนไม่ใช่หุ่นยนต์ครับ กรุณาเคารพ ตัวตนปัจเจกชนของผู้ชายแต่ละคนที่ไม่เหมือนกันด้วย เพราะผู้หญิงหลายคนหรือคุณเองก็ทำสิ่งดีๆที่แฟนผมทำมากมายให้ผม ไม่ได้ ภรรยาของผมมี ข้อดีเป็นล้านๆๆข้อ มากกว่าข้อเสียเก้าข้อข้างต้น
เช่น
เป็นเด็ก เรียน
ไม่เคยเที่ยวกลางคืนในชีวิต
ไม่ดื่มเหล้า เบียร์และเล่นอบายมุขใดๆ
และเป็นคนใจบุญมากๆ
ท่องชินบัญชร ได้คล่อง
ตอนแต่งงาน ท่องบทสวดได้หมด ผมไม่ได้เลย! อายสุดๆๆ สุดท้ายผ มก็ พัฒนาเรื่องทางธรรมไปให้ใกล้เธอมากที่สุด พยายามครับ ,
ภรรยาผมให้นม ลูกเองมาสองปีกว่า เหนื่อยมากๆ แต่ เธอไม่บ่นสักคำ ผมซึ้งมากครับ
มีกี่คนใน ประเทศที่เป็นแบบนี้
ผมภูมิใจของผมเองนะ ไม่ได้โอ้อวด ,
ผมจะถอย รถ Accord ป้ายแดงให้ภรรยา เธอยืนยันขอขับรถเล็กคันเก่าสองแสนโลแล้วไปเรื่อยๆ รถซื้อมาราคาลดสมชื่อ เก็บเงินให้ลูกดีกว่าเธอว่างั้นครับ เรื่องอื่นๆ ฟุ่มเฟือยไม่ต้องพูดถึง เธอใช้มือถือรุ่นเก่าสุดครับ ยิ่งไปกว่า นั้น ผมเป็นแฟนคนแรกในชีวิตเธอครับ เดี๋ยวนี้ อย่าถามวัยรุ่นสมัยนี้เลยครับเรื่องนี้ อายุสามสิบ ต้นๆ เราปลดหนี้บ้าน 150 ตารางวาแถวรามคำแหง ราคาตลาดตอนนี้ 8-10 ล้านในเวลา เพียง 6 ปี เรามีรถหลายคัน มีเงินเก็บ เป็นล้าน ไปเที่ยวเมืองนอกทุกปี ด้วยการบริหารเงินในบ้านของเธอ เราคิดว่า ก่อนสี่สิบเราสามารถเกษียณตัวเองได้ ถ้าเราอยากทำ ทั้งที่เรา สองคนเริ่มต้นจากศูนย์ทั้งคู่ โหนรถเมล์มาด้วยกัน ทุกอย่างมา จากสองมือเรา ไม่มีจากที่บ้านเลยเพราะที่บ้านเราทั้งสองรับราชการทั้ง คู่
ผมอยาก สรุป สั้นๆว่า ถ้าเรามัวหลง ละเลิงกับกิเลสรอบข้างไม่ว่าจะเป็นกิ๊กใหม่ที่ดู สาวกว่าแฟนเราดูหนุ่มดูดี กว่าแฟนเรา ปรับตัวเราไปให้ดึงดูดเค้าเราจะไม่มี วันพอใจกับคู่และชีวิตเลยครับ คุณจะเหนื่อย ตลอดชีวิตและไม่มีวันพบรักแท้ ลองนึกเล่นๆ ว่า ถ้าสมัยรุ่นคุณพ่อคุณแม่เราสมัยนั้นเป็นแบบรุ่นเราบางคน สังคมไทยคง วิบัติสุดๆครับ เราคงไม่อยากให้รุ่นลูกรุ่นหลานของ เรานำด้านไม่ดีของรุ่นเราไปปรับใช้นะครับ เหรียญมีสอง ด้านครับ อยู่ที่มองด้านไหน คุณอาจจะปรับตัวเองเพื่อหลอกบางคนบางเวลาได้ แต่คุณหลอกทุกคน ทุกเวลาไม่ได้ เป็นตัวของตัวเองดีที่สุดครับ เค้าจะรักที่ ตัวคุณ ไม่ใช่เสื้อผ้า เครื่องประดับหรือเงินคุณ จงพอใจกับคู่ ของคุณเพราะ " คุณเป็นคนเลือกเองครับ"
สุดท้ายสุขสันต์วันปีใหม่...มีความสุขกันทั่วหน้านะจ๊ะ...
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #212 เมื่อ: 29 ธันวาคม 2550, 15:34:43 » |
|
ยังไงผมก็รับเจ๊หมวยได้ทุกเรื่องนะครับ...จุ๊บ จุ๊บ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
yungying
|
|
« ตอบ #213 เมื่อ: 04 มกราคม 2551, 16:18:20 » |
|
บทความดีๆทั้งนั้นเลยค่ะ..ถูกใจๆ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ttp://dekhorcu.multiply.com/
|
|
|
too
ตู้ rcu85
Hero Cmadong Member
ออฟไลน์
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์
กระทู้: 1,281
|
|
« ตอบ #214 เมื่อ: 07 มกราคม 2551, 00:20:34 » |
|
เพิ่งอ่านบทความนี้ เห็นว่าดี เลยนำมาแบ่งปันกันครับ
----------------------------------------------------------- จากหนังสือชื่อ “ชวนม่วนชื่น” อาจารย์พรหมหรือพระวิสิทธิสังวรเถร (ท่านเป็นพระฝรั่ง เป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่ชา สุภัทโท แห่งวัดหนองป่าพง)
ก้อนอิฐที่ไม่เข้าที่เข้าทางสองก้อน
หลัง จากการซื้อที่ดินเพื่อสร้างวัดเมื่อ พ.ศ. 2526 นั้น เราก็หมดตัวและเป็นหนี้โดยที่ยังไม่มีสิ่งปลูกสร้างใดๆ แม้แต่เพิงที่อาศัยได้บนที่ดินผืนนั้น ในช่วง2-3อาทิตย์แรก เราต้องอาศัยนอนอยู่บนบานประตูเก่าๆ ที่ซื้อมาถูกๆ จากคนขายของเก่า เราหนุนบานประตูเก่าๆนั้นให้สูงขึ้นจากพื้นดินด้วยก้อนอิฐ (เราไม่มีแม้แต่เบาะนอน นั่นก็เป็นของแน่นอนอยู่แล้วเพราะว่าเราเป็นพระป่านี่)ท่านเจ้าอาวาสได้บาน ประตูที่ดีที่สุด เป็นบานประตูเรียบๆ ส่วนบานประตูของอาตมาเป็นชนิดที่มีบัว แถมยังมีรูขนาดใหญ่พอควรอยู่ตรงกลางตรงบริเวณที่เคยเป็นลูกบิด โชคดีนะที่เขาถอดลูกบิดออกไปแล้ว แต่เจ้ารูนี่ก็ยังคงอยู่เกือบจะกลางเตียงประตูของอาตมาทีเดียว อาตมาเคยพูดตลกๆว่า อาตมาไม่ต้องลุกจากเตียงไปเข้าห้องน้ำหรอกนะ! ความจริงที่แสนหนาวก็คือว่า ลมสามารถพัดกรูผ่านเจ้ารูนี่มาถึงตัวอาตมา ทำให้อาตมาไม่ค่อยได้หลับได้นอนในช่วงค่ำคืนเหล่านั้น
พวก เราเป็นพระจนๆ ที่ต้องการอาคารที่พักอาศัย แต่ไม่มีกำลังทรัพย์พอที่จะจ้างช่างก่อสร้างได้ แค่ค่าวัสดุต่างๆก็แพงเกินพอแล้ว อาตมาจึงต้องเรียนรู้ว่าเขาทำงานก่อสร้างกันอย่างไร เตรียมฐานรากอย่างไร ตลอดจนถึงการผสมคอนกรีต การก่ออิฐ การตั้งหลังคา งานประปา และทุกๆอย่าง ก่อนจะบวชอาตมาเคยเป็นนักฟิสิกส์ทฤษฏี และเป็นครูโรงเรียนมัธยมผู้ไม่เคยคุ้นกับการใช้แรงงานด้วยมือทั้งสองนี้ เพียงไม่กี่ปีอาตมากลายเป็นช่างก่อสร้างที่มีฝีมือไม่เบา ขนาดที่จะสามารถเรียกคณะทำงานของอาตมาได้ว่า บริษัทพุทธก่อสร้าง (BBC – Buddhist Building Company) แต่ขณะที่เริ่มต้นนั้นมันช่างเป็นเรื่องยากเย็นแสนเข็ญเอามากๆ
การ ก่ออิฐอาจจะดูเป็นเรื่องง่ายๆ เพียงแค่โปะปูนลงไปแล้ววางก้อนอิฐ แตะด้านนี้ทีด้านนั้นทีให้เข้าที่ ตอนอาตมาเริ่มก่ออิฐใหม่ อาตมาแตะกดมุมหนึ่งลงเพื่อให้ได้ระดับ อีกมุมหนึ่งกลับยกขึ้น พออาตมากดด้านที่ยกขึ้นนั้นให้ลงมา อิฐก็เริ่มแตกแถวแตกแนว หลังจากที่อาตมาดันมันกลับเข้าที่ มุมแรกก็เริ่มสูงเกินไปอีกแล้ว โยมลองทำดูซิ!
เพราะ อาตมาเป็นพระ อาตมาจึงมีความอดทนและมีเวลาที่จะทำงานได้โดยไม่จำกัด อาตมาจึงทำงานอย่างประณีตที่สุด โดยไม่สนใจว่าจะต้องใช้เวลายาวนานเท่าใด เพื่อให้มั่นใจได้ว่าอิฐทุกๆก้อนจะถูกวางไว้อย่างสมบูรณ์แบบที่สุด ในที่สุดการก่อกำแพงอิฐแผงแรกของอาตมาก็สำเร็จลง อาตมาก้าวถอยออกมายืนชื่นชมผลงาน ในชั่วขณะนั้นแหละที่อาตมาสังเกตเห็น…โอ้ย!….อาตมาก่ออิฐพลาดไปสองก้อน อิฐก้อนอื่นๆเป็นแถวเป็นแนวสวยงาม มีแต่เจ้าอิฐสองก้อนนี่แหละที่เอียงๆ ทำมุมกับแนวอิฐก้อนอื่นๆมันดูแย่มากๆเลย มันทำให้กำแพงทั้งแผงดูไม่ดีเลย
ขณะ นั้นปูนก่ออิฐก็แข็งเกินกว่าที่จะสามารถดึงอิฐออกมาก่อใหม่เสียแล้ว อาตมาจึงกราบเรียนท่านเจ้าอาวาส ขอทุบกำแพงเพื่อเริ่มต้นก่ออิฐใหม่อีกครั้ง หรือถ้าจะให้ดีก็อยากจะระเบิดมันทิ้งไปเลย อาตมาก่ออิฐไม่ดี และอาตมาก็รู้สึกอับอาย ท่านเจ้าอาวาสไม่อนุญาตให้รื้อ กำแพงนี่จะต้องคงอยู่
(มีต่อครับ)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
too
ตู้ rcu85
Hero Cmadong Member
ออฟไลน์
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์
กระทู้: 1,281
|
|
« ตอบ #215 เมื่อ: 07 มกราคม 2551, 00:24:01 » |
|
(ต่อ)
เวลา อาตมาพาแขกเยี่ยมชมวัดที่เริ่มตั้งใหม่ของเรา อาตมาพยายามหลีกเลี่ยงที่จะพาแขกเดินไปทางกำแพงนั้น อาตมาไม่อยากให้ใครๆเห็นมันเลย จนกระทั่งวันหนึ่งเมื่อเวลาผ่านไปได้3-4เดือน ขณะที่อาตมากำลังเดินอยู่กับผู้มาเยี่ยมวัดคนหนึ่ง เขาสังเกตเห็นกำแพงนั้น แล้วก็เปรยขึ้นมาว่า “กำแพงนี้สวยดี”
อาตมา ถามเขาด้วยความประหลาดใจว่า “คุณลืมแว่นสายตาของคุณไว้ในรถรึเปล่า? สายตาคุณเสื่อมรึเปล่า? คุณไม่เห็นรึว่ามีอิฐถึงสองก้อนที่วางไม่ดีจนทำให้กำแพงนี้เสียหายหมด?
คำ พูดที่เขาตอบอาตมานั้นได้เปลี่ยนแปลงทัศนคติทั้งหมดของอาตมาต่อกำแพงนั้น ต่อตัวอาตมาเอง และต่อหลายๆแง่มุมของชีวิต เขาบอกอาตมาว่า “ใช่ ผมเห็นอิฐที่วางไม่ดีสองก้อนนั้นแต่ผมก็ได้เห็นด้วยว่ามีอิฐอีก 998 ก้อน ก่อไว้อย่างสวยงามเป็นระเบียบ”
อาตมา ถึงกับอึ้งทีเดียว นับเป็นครั้งแรกในรอบสามเดือนที่อาตมาสามารถมองเห็นอิฐก้อนอื่นๆ บนกำแพงนั้นนอกเหนือจากเจ้าสองก้อนที่เป็นปัญหา ไม่ว่าจะเป็นอิฐที่อยู่ด้านบน ด้านล่าง ด้านซ้าย และด้านขวาของเจ้าอิฐสองก้อนนั้น ล้วนแต่เป็นอิฐที่ก่อไว้อย่างดีไม่มีที่ติ ยิ่งไปกว่านั้นจำนวนอิฐที่ดีนี้มีมากกว่าเจ้าอิฐไม่ดีสองก้อนนั้นมากมายนัก ก่อนหน้านี้ตาของอาตมาจับจ้องเฉพาะแต่ที่อิฐสองก้อนนั้น ตาของอาตมามืดบอดต่อสิ่งอื่นๆทั้งหมด อาตมาจึงไม่อาจทนมองกำแพงนั้นได้และไม่ต้องการให้ผู้อื่นได้เห็นกำแพงนั้น ด้วย เป็นเหตุให้อาตมาอยากจะทลายกำแพงนั้นทิ้ง เดี๋ยวนี้เมื่ออาตมาสามารถเห็นอิฐดีๆแล้ว กำแพงนั้นก็ไม่น่าเกลียดอีกต่อไป มันก็เป็นเหมือนกับที่ผู้มาเยี่ยมคนนั้นพูด “กำแพงนี่สวยดี” เดี๋ยวนี้กำแพงก็ยังคงอยู่ แม้เวลาจะผ่านไป 20 ปีแล้ว อาตมาเองก็ลืมเสียแล้วว่าเจ้าอิฐไม่ดีสองก้อนนั้นมันอยู่ตรงไหนแน่ อาตมาไม่สามารถเห็นจุดผิดพลาดนั้นจริงๆ
มนุษย์ เราสักกี่คนที่ตัดสัมพันธ์หรือหย่าร้างเพียงเพราะเพ่งมองเห็นแต่ “อิฐไม่ดีสองก้อน” ที่อยู่ในตัวคู่ชีวิตของเขา พวกเรากี่คนที่เคยรู้สึกท้อแท้สิ้นหวังจนอาจจะเคยคิดฆ่าตัวตายเพียงเพราะเรา มองเห็นแต่ “อิฐไม่ดีสองก้อน” ในตัวของเรา ทั้งๆที่ในความเป็นจริงมี “อิฐที่ดีและอิฐที่ดีจนไม่มีที่ติ” มากมายอยู่เคียงข้างส่วนที่บกพร่อง ไม่ว่าจะมองไปทางข้างบน ข้างล่าง ข้างซ้าย ข้างขวา เพียงแต่เรามองมันไม่เห็นเท่านั้น แทนที่จะเห็นสิ่งดีๆที่มีอยู่ สายตาของเรากลับเพ่งมองจดจ่อเฉพาะสิ่งที่ผิดพลาด ทั้งหมดที่เราเห็นมีแต่สิ่งผิดพลาด จนเราคิดอยากจะทำลายมันทิ้งเสีย มันน่าเศร้าจริงๆ ที่หลายครั้งหลายหนเราได้ลงมือทลาย “กำแพงที่ดี” นั้นไปจริงๆ
เรา ทุกคนย่อมมี “ก้อนอิฐที่ไม่เข้าที่เข้าทางสองก้อน” แต่แต่ละคนก็ย่อมมี “ก้อนอิฐที่ดีจนไม่มีที่ติ” จำนวนมากมายกว่าข้อบกพร่องหลายเท่า เมื่อเรามองเห็นมันแล้ว สิ่งต่างๆก็ดูจะไม่ร้ายนัก ไม่เพียงแต่เรามองเห็นมันแล้ว สิ่งต่างๆก็ดูจะไม่เลวร้ายนัก ไม่เพียงแต่เราจะสามารถอยู่กับตนเองและข้อผิดพลาดบางประการของเราได้อย่าง สุขสงบแล้ว เรายังสามารถมีความสุขกับการใช้ชีวิตร่วมกับสามีหรือภรรยาของเราด้วย นับเป็นข่าวร้ายสำหรับทนายความผู้เชี่ยวชาญเรื่องการหย่าร้าง แต่เป็นข่าวดีสำหรับโยม
อาตมา ได้เล่าเรื่องสั้นๆนี้หลายครั้ง ช่างก่อสร้างคนหนึ่งที่ได้ฟังเรื่องนี้ได้มาพบอาตมาเพื่อบอกความลับเกี่ยว กับงานก่อสร้างเขาบอกว่า “ช่างก่อสร้างอย่างเราๆนี้มักจะทำสิ่งผิดพลาดได้เสมอ เพียงแต่เราจะบอกลูกค้าว่ามันเป็นเอกลักษณ์พิเศษที่ไม่มีบ้านใดในละแวกนั้น มีเหมือน แถมเรายังเบิกค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นสองสามพันเหรียญอีกด้วย”
ฉะนั้น มันเป็นไปได้ที่เอกลักษณ์พิเศษจะมีจุดเริ่มต้นมาจากความผิดพลาด ในทำนองเดียวกัน ถ้าเพียงแต่โยมจะเลิกมองจดจ้องอยู่เฉพาะแต่ข้อผิดพลาด สิ่งที่โยมเห็นว่าเป็นข้อบกพร่องในตัวโยม ในตัวสามีหรือภรรยาของโยม และในชีวิตทั่วๆไปอาจจะกลับกลายเป็น “ลักษณะพิเศษเฉพาะตัว” ที่จะเพิ่มคุณค่าให้แก่ชีวิตของโยมนะ
------------------------------------------------------------------ ช่วงนี้รู้สึกเครียดกับปัญหาหลายอย่าง พอมาอ่านเรื่องนี้ เลยทำให้รู้ว่าเรามัวแต่มองด้านแย่ๆ จนลืมมองด้านดีที่อยู่รอบตัวเราครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ชาร์ป
|
|
« ตอบ #216 เมื่อ: 07 มกราคม 2551, 15:25:05 » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
khesorn mueller
|
|
« ตอบ #217 เมื่อ: 07 มกราคม 2551, 15:36:40 » |
|
ยังไงผมก็รับเจ๊หมวยได้ทุกเรื่องนะครับ...จุ๊บ จุ๊บ Nong Pornson, psst..shhhuuu...is he a man or a women?? p.nn
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
khesorn mueller
|
|
« ตอบ #218 เมื่อ: 07 มกราคม 2551, 15:44:50 » |
|
Nong Mouy(again), your experience wondered me and touched me so bad!!I would nearly think you have a "golden marry" behind you already!! why?? because what you can describe your couple life is the truth of life...a normal,simple couple life...one should know who/what the best for each...can not compare,can not copy..and the best of the best..I heard it personally from my mother in law,who gets married for 55 years!! she told me a sentence I never forget...simple and easy to learn from...she said"concentrate to your life,your partner,your family"yes,I am close enough to see that even her couple runs also not sweet everyday!! and I can devide also between the healthy couple and a wrong/sick couple life...but that was not mine!! I should better concentrate to mine...is it true?? thank you for sharing experience with us here... Nice! p.nn
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Max
|
|
« ตอบ #219 เมื่อ: 07 มกราคม 2551, 16:10:04 » |
|
เทคนิคการดื่ม จอห์นนี่ วอล์กเกอร์ ชั้นเทพ
ดื่มอย่างไรไม่ให้เสียของพร้อมสัมผัสกับรสชาติที่แอบซ่อน ( ลอกเค้ามา ) รู้จักคำว่า ' เสียของ ' กันบ้างมั้ย ? คนไทยเราน่ะ ชอบทำให้เสียของอยู่เรื่อย โดยเฉพาะนิสัย ' การดื่มแบบผสมมิกเซอร์ ' ทั้งหลาย นั่นแหละคือการทำให้วิสกี้ชั้นดีที่บางทีไม่ควรผสมใดๆ ต้อง ' เสียของ ' วันนี้จะหยิบเอาเรื่องวิสกี้ตระกูล จอห์นนี่ วอล์กเกอร์ มาพูดกันซะหน่อย เพราะว่าตระกูลนี้มีหลาย ' เลเบิ้ล ' เหลือเกิน ซึ่งมีวิธีการดื่มเฉพาะซะด้วย เริ่มจาก ' เรด เลเบิ้ล ' (Red Label) กันก่อนเลยดีกว่า จอห์นนี่ วอล์กเกอร์ เรด เลเบิ้ล น่าจะดูถูกใจคนไทยที่สุด เพราะน้องเล็กสุดขวดนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อการดื่มตลอดค่ำคืน พูดง่ายๆ ก็คือกินได้นานๆ สนุกสนานกันทั้งคืนนั่นแหละ แถมวิธีการกินที่ถูกต้องนั้น ก็ต้องผสมกับ ' มิกเซอร์ ' ทั้งหลาย อันเป็นวิธีการดื่มที่นิยมในหมู่คนไทยอยู่แล้วซะอีก ตอนนี้ จอห์นนี่ วอล์กเกอร์ เรด เลเบิ้ล ก็เลยขายดีที่สุดไปโดยปริยาย ง่ายๆ จะใส่น้ำแข็ง ผสมโคล่า ชามะนาว หรือโซดาก็ได้ทั้งนั้น สุดแล้วแต่ว่าจะชอบรสชาติแบบไหนหลังผสมมิกเซอร์แล้วเท่านั้นเอง แต่นักดื่มมืออาชีพมักนิยมผสมน้ำก่อนแล้วจึงผสมโซดาตามลงไป ในอัตราส่วน2:1หรือที่เรียกกันว่า ' โซดาลอย ' นั่นเอง... ผสมเสร็จก็ เอ็นจอย ดริ๊งกิ้ง กันได้ทั้งคืน ( แต่อย่าขับรถหลังดื่มนะ )
โตขึ้นมาหน่อย กับความเคร่งขรึมแบบ จอห์นนี่ วอล์กเกอร์ แบล็ค เลเบิ้ล วิสกี้ชั้นดีจากการหมักบ่มเพื่อให้ได้รสชาติที่คลาสสิกที่สุดนานถึง 12 ปี วิธีการดื่มที่ถูกต้องนั้นก็คลาสสิกไม่แพ้รสชาติของตัววิสกี้ ง่ายๆ เท่ๆ ดูดีด้วยสไตล์ที่เรียกกันว่า ' ออน เดอะ ร็อก ' นั่นเอง หรือถ้าอยากย๊ากอยากจะผสมมิกเซอร์เหลือเกิน ก็ต้องใส่น้ำแข็งเข้าไปเยอะๆ วิสกี้ ครึ่งแก้ว และโซดาอีกครึ่งแก้ว แค่นี้แหละ ก็จะได้สัมผัสรสชาติที่แท้จริงของ จอห์นนี่ วอล์กเกอร์ แบล็ค เลเบิ้ล มาถึงวิสกี้ตระกูล จอห์นนี่ วอล์กเกอร์ ที่ไม่ค่อยจะเห็นบ่อยนักบ้างดีกว่า เริ่มจาก จอห์นนี่ วอล์กเกอร์ โกลด์ เลเบิ้ล อายุ 18 ปีกันก่อน แค่นำ จอห์นนี่ วอล์กเกอร์ โกลด์ เลเบิ้ล ไปใส่ในช่องแช่แข็งสัก 24 ชั่วโมง ถ้าที่ในช่องแช่แข็งยังเหลือก็นำแก้วทรงสูงเปล่าๆ แช่ไว้ด้วย พอได้เวลา ก้รินใส่แก้วที่แช่ไว้ข้างกันๆ นั่นแหละ แล้วดื่มเข้าไปเลย ทันทีที่วิสกี้เย็นจัดปะทะกับความอุ่นในปาก กลิ่นหอมหวนนุ่มลิ้นจะอบอวล แหม...ยิ่งถ้ามีช็อกโกแล็ตดีๆ ไว้กินเข้าคู่ล่ะก็ จะเป็นความสุขที่ลืมไม่ลงเลย เชียว ส่วน จอห์นนี่ วอล์กเกอร์ กรีน เลเบิ้ล ที่มีจำหน่ายแบบจำกัดประเทศนั้น หาน้ำแข็งก้อนใหญ่ๆ สักก้อน ใส่ในแก้วปากกว้างเพียงแค่ก้อนเดียว ไม่ต้องกลัวว่าน้ำแข็งก้อนนั้นจะเหงา เพราะเราจะเฝ้ามองอย่าทะนุถนอม จากนั้นริน จอห์นนี่ วอล์กเกอร์ กรีน เลเบิ้ล ลงไปไม่ต้องท่วมน้ำแข็ง แกว่งแก้วเล็กน้อย ให้อุณหภูมิของวิสกี้ชะอุณหภูมิของน้ำแข็งก้อนโต ดมกลิ่นวิสกี้ที่ระเหยขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนลิ้มรสวิสกี้ที่อุณหภูมิพอเหมาะพอดี งานนี้จะได้ รสชาติ กลิ่น และแสงที่วิสกี้ตกกระทบกับก้อนน้ำแข็งชวนมอง ปิดท้ายกันที่วิสกี้ชั้นสูง จอห์นนี่ วอล์กเกอร์ บลู เลเบิ้ล อายุ 25 ปี ที่หมักบ่มจากมอลต์คุณภาพสูง ตามวิธีการคลาสสิกแบบศตวรรษที่ 19 วิธีการดื่มวิสกี้ชั้นสูงนี้ก็คลาสสิกมาก เตรียมแก้วบรั่นดีสวยๆ ไว้สัก 2 ใบ แก้วนึงรินวิสกี้รอไว้ ส่วนอีกแก้วนึงรินน้ำแร่เย็นๆ ไว้เช่นกัน ดื่มน้ำแร่เย็นๆ เพื่อปรับอุณหภูมิในช่องปากกันก่อน จากนั้นจิบ จอห์นนี่ วอล์กเกอร์ บลู เลเบิ้ล ในแก้วบรั่นดีอีกใบตาม เมื่อน้ำแร่เย็นๆ ที่หลงเหลืออยู่ในช่องปากผสมกับวิสกี้ชั้นดีนี้ รสชาติที่แอบซ่อนจะซึมผ่านเพดานปากไปมัดใจนักดื่มเหล้าทั้งหลาย ไม่รู้ลืม เสร็จสิ้นครบทั้ง 5 เลเบิ้ลของตระกูล จอห์นนี่ วอล์กเกอร์ กันแล้ว ต่อจากนี้นักดื่มเหล้าชาวไทยทั้งหลาย ก็จะดื่มได้แบบไม่เสียของกันแล้ว แต่ที่สำคัญที่สุด ดื่มแล้วจะมึนน้อยหรือมึนมาก ก็อย่าขับรถเลย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
นายป้อ
|
|
« ตอบ #220 เมื่อ: 07 มกราคม 2551, 21:22:59 » |
|
:oops: มีวิธีกินนม...มั้ยพี่แม็ค.....
...จากคนไม่ดื่มเหล้า......เอิ๊กๆๆ....
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
khesorn mueller
|
|
« ตอบ #221 เมื่อ: 07 มกราคม 2551, 21:44:33 » |
|
Open and juab juab...I mean:for instant UHT... p.nn(Gin tonic)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Max
|
|
« ตอบ #222 เมื่อ: 08 มกราคม 2551, 10:08:57 » |
|
กินแต่พอดีๆ เด๋วมันจะสำลัก เหอๆ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
นายป้อ
|
|
« ตอบ #223 เมื่อ: 08 มกราคม 2551, 23:39:47 » |
|
:oops: :oops: :oops:
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
iamfrommoon
|
|
« ตอบ #224 เมื่อ: 09 มกราคม 2551, 10:32:12 » |
|
ขอขอบคุณข้อมูลจากเว็บฯ ดร.บุญชัย ค่ะ
จิตรานุภาพของการตั้งมั่นอยู่ในปัจจุบัน บทความที่นำเสนอสรุปจากหนังสือชื่อ The Power of Now แต่งโดย Eckhart Tolle ว่าด้วยเรื่องของพลังแห่งการจดจ่ออยู่กับปัจจุบัน ซึ่งจะช่วยให้เราให้เราประสบความสำเร็จ มีความสุข และมีความสงบในจิตใจ ผู้แต่งได้อธิบายถึงกลไกของความคิดที่ก่อให้เกิดความทุกข์และวิธีการสร้างความสุขให้บังเกิดขึ้นในจิตใจ
ซึ่งมีใจความสำคัญดังต่อไปนี้
ระบบความคิดซึ่งก่อให้เกิดความทุกข์ มีลักษณะตามสภาวะธรรมชาติ ดังนี้
ทำงานด้วยตัวของมันเอง เกิดขึ้นซ้ำไปซ้ำมา และไม่สามารถบังคับได้
ข้อมูลจากการวิจัยทั่วโลกพบว่า มนุษย์มีความคิดที่ผุดขึ้นเองตามธรรมชาติมากกว่าห้าหมื่นเรื่องต่อวัน ความคิดเหล่านี้เป็นสาเหตุให้มนุษย์เกิดความทุกข์ เพราะส่วนใหญ่มักเป็นเรื่องที่ทำให้จิตใจเศร้าหมองเช่น ความอยากมี อยากเป็น อยากได้ ความไม่อยากมี ไม่อยากเป็น ไม่อยากได้ หรือความโกรธเกลียดอาฆาตแค้น เป็นต้น โดยมนุษย์ส่วนใหญ่มักเข้าใจผิดว่าความคิดดังกล่าวเป็นตัวเรา เป็นของเรา และถือว่าเป็นเรื่องธรรมชาติไม่จำเป็นต้องแก้ไขใด ๆ ฉะนั้น เมื่อมีความทุกข์หรือมีความอึดอัดใจ พวกเขาเหล่านั้นจึงรู้เพียงแต่ว่า พวกเขาไม่มีความสุข แต่ไม่รู้ว่าจะแก้ไขอย่างไรหรืออาจจะหาทางออกโดยการเสาะแสวงหาความสุขด้วยวิธีการต่าง ๆ เพื่อเป็นการชดเชย โดยมองข้ามต้นตอของความทุกข์ไปโดยสิ้นเชิง ซึ่งวิธีนี้เป็นหนทางออกจากความทุกข์เพียงชั่วคราวเท่านั้น เพราะเมื่อกลับมาคิดอีกก็ทุกข์อีก วนเวียนเป็นวงจรอุบาทว์ไม่มีที่สิ้นสุด
วิธีการแก้ไขคือ ให้ตระหนักอยู่เสมอว่า ความคิดไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา เราจึงควบคุมไม่ได้ และถึงแม้ว่าเราจะบังคับความคิดไม่ได้ แต่เราก็มีสิทธิ์ที่จะเลือกคิดเฉพาะเรื่องที่ดี มีประโยชน์ และสร้างสรรค์ได้ เราไม่จำเป็นจะต้องจมอยู่กับกองทุกข์เสมอไป เราสามารถเลือกที่จะมีความสุขได้ด้วยตัวของเราเอง
ไม่อยู่กับปัจจุบัน
ความคิดที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติมักเป็นเรื่องในอดีตทั้งในแง่บวกและแง่ลบ หรือไม่ก็เป็นเรื่องในอนาคตที่ยังมาไม่ถึง ความคิดเหล่านี้ก่อให้เกิดความทุกข์ทั้งสิ้น เพราะเรื่องในอดีต หากเป็นเรื่องในแง่ลบย่อมทำให้เราจิตใจเศร้าหมอง แต่ถ้าเป็นเรื่องในแง่บวกก็อาจทำให้เราประมาทและเผลอเรอได้ ส่วนเรื่องในอนาคต มักเป็นเรื่องเกี่ยวกับความกังวลหรือคิดเกินปรุงแต่งไปเอง
ก่อให้เกิดอารมณ์
ความคิดที่เกิดขึ้นในขณะที่เราไม่รู้เนื้อรู้ตัวนั้น จะเป็นความคิดที่เต็มไปด้วยตัวกูของกู จึงก่อให้เกิดอารมณ์ได้ทั้งในแง่ลบและแง่บวกเช่น เมื่อถูกตำหนิหรือด่าทอ จิตใจเราจะปรุงแต่งทันที เกิดเป็นความคิดต่อต้าน จนเกิดเป็นอารมณ์โกรธ เพราะคิดว่า ตัวเราเป็นเจ้าของความคิดเหล่านั้น หรือเมื่อเห็นของที่โปรดปรานจิตใจจะปรุงเป็นความคิด จนเกิดเป็นอารมณ์รักหรือพอใจ เมื่อนั้นจะเกิดเป็นตัณหา ความอยากที่จะครอบครอง เมื่อไม่ได้ดังใจก็จะเกิดความทุกข์ตามมา
เป็นเสียง
เมื่อจิตใจเกิดการปรุงแต่ง จะแสดงออกมาในรูปแบบของเสียงที่ดังอยู่ในใจ หากเราเชื่อว่าเสียงดังกล่าวเป็นตัวเรา เราก็จะมีพฤติกรรมและคำพูดเป็นไปตามความคิดที่ผุดขึ้นมา ซึ่งตามที่ทราบกันดีแล้วว่า ความคิดที่เกิดขึ้นเองเมื่อเราไม่รู้เนื้อไม่รู้ตัวนั้น จะเต็มไปด้วยความยึดมั่นถือมั่น ซึ่งส่งผลให้การกระทำและคำพูดของเราปราศจากความรู้สึก เต็มไปด้วยความเป็นตัวกูของกู และวินาทีที่เราไม่รู้เนื้อไม่รู้ตัว ความคิดในแง่ลบที่ผุดขึ้นจะมีผลต่อจิตใจของเราทันที ก่อให้เกิดความทุกข์สุมอยู่ในจิตใจ
วิธีการสร้างความสุขและเปิดจิตเข้าสู่ความสงบโดยไม่ต้องนั่งกรรมฐาน
1) ฝึกรู้ทันความคิดและอารมณ์ที่ปรุงแต่งขึ้นมาทุกวินาที
หลักในการมองความคิดหรือมองอารมณ์คือ เราจะต้องสวมบทบาทเป็น “ผู้มอง” อย่างเดียวโดยไม่ต้องเติมสีปรุงแต่ง แม้ว่าอารมณ์ที่เกิดขึ้นจะเป็นสุขหรือทุกข์ก็ตามที อย่างไรก็ตาม การฝึกมองอารมณ์นั้นจะปลอดภัยกว่าการมองความคิดเพราะการมองความคิด อาจจะหยุดไม่ได้และอาจทำให้เสียสติ ดังนั้น จึงแนะนำว่า เมื่อมีความคิดเกิดขึ้นให้ เพียงทำใจ“รู้”ว่ามีความคิดเกิดขึ้น หากเป็นความคิดที่ไม่ดี ไม่สร้างสรรค์ ให้ตัดทิ้งทันทีไม่ต้องเสียดาย ให้เลือกคิดแต่ในสิ่งที่ดี หมั่นสร้างความคิดที่ดีให้เกิดขึ้นในจิตใจเพื่อเป็นการทดแทนความคิดที่ไม่ดี และพยายามประคองไม่ให้ความคิดที่ไม่ดีเกิดขึ้นได้อีกเลย เมื่อนั้นจิตใจจะเกิดความสงบและสบาย จิตจะเข้าใกล้ความเป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบานมากขึ้นในทุกขณะจิต
2) ฝึกความรู้สึกทั่วทั้งสรรพางค์กายและฝึกหายใจลึก ๆ ให้บ่อยที่สุดเท่าที่จะทำได้
การฝึกความรู้ตัวทั่วพร้อมจะช่วยให้มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง เพราะจิตไม่เกาะอยู่กับความคิด จึงไม่เกิดความทุกข์ ความเครียด หรือความกังวล เมื่อจิตใจดีร่างกายก็จะดีตามไปด้วย นอกจากนั้น การฝึกความรู้สึกทางร่างกายจะช่วยให้มองเห็นอารมณ์ได้ชัดเจนยิ่งขึ้นเช่น หากเรานั่งท่าเดิมเป็นเวลานาน ร่างกายจะปวดเมื่อย ส่งผลให้เกิดเป็นอารมณ์ที่อึดอัดซึ่งสามารถสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน
3) ฝึกมองดูผัสสะที่กระทบทางตา หู จมูก ลิ้น กาย
เมื่อมีการกระทบเกิดขึ้นทางอายาตนะทั้งห้า ให้ตั้งเรารับรู้ถึงการกระทบดังกล่าวอย่างแท้จริง เพื่อฝึกการจดจ่ออยู่กับปัจจุบัน
4) ฝึกความคิดที่ถูกต้อง
หัดยอมรับความเป็นจริงที่เกิดขึ้นต่อหน้า ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่น่าพอใจหรือไม่ก็ตาม และให้ตระหนักอยู่เสมอว่าความคิดนั้นไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา และเราไม่สามารถบังคับมันได้ จะทำให้จิตใจถอดถอนออกจากความเป็นตัวกูของกู สามารถมองความจริงตรงตามความเป็นจริง จิตใจจะสงบ เมื่อนั้นจึงจะเกิดปัญญาช่วยให้เราสามารถหนีออกจากกองทุกข์ได้
5) คบหาสมาคมกับคนที่มีสติและสมาธิ
เพื่อเป็นการวัดระดับความมีสติและสมาธิของตนเอง เพราะถ้าตัวเราเองยังไม่รู้ว่าสภาวะของคนที่มีสติและสมาธิเป็นอย่างไรแล้ว ตัวเราจะพัฒนา แก้ไข และปรับปรุงพลังสติและสมาธิของตนเองได้อย่างไร ฉะนั้น เราจึงควรศึกษาพฤติกรรม คำพูด และการกระทำของคนเหล่านั้น เพื่อนำมาประยุกต์ใช้และพัฒนากำลังสติและสมาธิของเราต่อไป เมื่อเรามีสติและสมาธิเพียงพอ ความคิดในทางอกุศลย่อมกระทบเราไม่ได้ เมื่อนั้นเราจึงมีความสุข เป็นอิสระจากความทุกข์ และสามารถลืมตาอ้าปากสามารถสร้างชีวิตที่ดีและมีคุณภาพได้ด้วยสองมือของเราอย่างแท้จริง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
@@ธรรมชาติสร้างความขัดแย้ง เพื่อให้คนเรียนรู้ซึ่งกันและกันได้ดียิ่งขึ้น@@@
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #225 เมื่อ: 09 มกราคม 2551, 18:22:16 » |
|
วันก่อนเค้าเพื่งเอา gold มาให้ขวดนึง..ซัดซะ..กินมันเหมือนเดิม โซดา น้ำแข็ง..
แต่มันนุ่มดีจริงๆนะ..
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
khesorn mueller
|
|
« ตอบ #226 เมื่อ: 10 มกราคม 2551, 03:36:33 » |
|
Can women enjoy it with any other mixer?? sweet direction??
Nong Max,please answer...tomorrow I will follow! p.nn
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Max
|
|
« ตอบ #227 เมื่อ: 10 มกราคม 2551, 14:00:45 » |
|
เอ่อ...อันนี้ไม่แน่ใจล่ะครับพี่หนิง ผม Copy mail ที่เค้า FW กันมาอีกทีล่ะครับ รอ อุ๋มอิ๋ม เข้ามาตอบก็ได้มั้งครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Mr.EggMan
|
|
« ตอบ #228 เมื่อ: 10 มกราคม 2551, 16:13:10 » |
|
ดื่ม red label กับชาเขียว โออิชิ รสข้าวญี่ปุ่น
เนียนดีครับ แต่เมาเร็ว มันหวาน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
wat
มือใหม่หัดเมาท์
ออฟไลน์
กระทู้: 47
|
|
« ตอบ #229 เมื่อ: 10 มกราคม 2551, 16:23:37 » |
|
:shock: :shock: :shock: :shock: :shock:
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
khesorn mueller
|
|
« ตอบ #230 เมื่อ: 10 มกราคม 2551, 16:27:16 » |
|
Nong Wat, I didn't see you a long while...How are you doing lately?? p.nungning27
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ชาร์ป
|
|
« ตอบ #231 เมื่อ: 10 มกราคม 2551, 16:27:45 » |
|
^ ^ ผมลองดูแล้วครับ ก็ OK ครับ เลยมา Post แนะนำไว้ครับ Sharp.
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
khesorn mueller
|
|
« ตอบ #232 เมื่อ: 10 มกราคม 2551, 16:28:47 » |
|
Nong อุ๋มอิ๋ม ka, can we(women) drink Label family with any other mixture methode??more sweet and mild for women?? p.nn
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Max
|
|
« ตอบ #233 เมื่อ: 14 มกราคม 2551, 11:49:38 » |
|
ผมว่าจะโพสเรื่องที่ผมประสบกับตัวเอง มาเมื่ออาทิตย์ที่แล้วล่ะครับ แต่ก็ไม่ว่างสักที
วันนี้พอมีเวลาครับ
ไฟไหม้ตึกโตคิว
คืออพาร์ทเมนต์ที่ผมอยุ่นี่มันอยุ่ใกล้ๆ ตึกโตคิวน่ะ ถ้าแบบกะคร่าวๆ ก็คงไม่เกิน 400 เมตรมั้งครับ
ผมตื่นมาตอนตีสาม เพราะได้ยินเสียง เปาะ แปะๆ แบบอะไรตกใส่หลังคา พวกบ้านข้างๆ น่ะครับ
ก็เห็นอากาศเย็นๆ นึกว่าลูกเห็บตก (ตอนนั้นมันมึนๆ ง่วงๆ เลยนึกว่าลูกเห็บจริงๆ ) ก็เอามือไปรอง
นอกหน้าต่าง ก็ไม่มีอะไรตกใส่มือ ฝนก็ไม่ใช่เพราะไม่เปียกมือ แต่ก็แปลกใจว่า
ทำไมตีสามแล้วชาวบ้านเค้าไม่นอนกันเหรอ ออกมายืนดูอะไร ผมก็มองตาม
ก็เห็นล่ะครับไฟไหม้ตึกโตคิว ตึก 53 ชั้น อะไรต่ออะไรก็ไม่รู้ปลิวทั่วเต็มท้องฟ้าเลยครับ
บางชิ้นก็ติดไฟลอยลงมา ตอนนั้นผมนึกว่ามันคือกระดาษนะ มารู้ตอนหลังมันคือแผ่นอลูมิเนียมอ่ะ
เพราะมันลอยมาตกหลังห้องผมด้วย ผมก็ไปยืนดูสักพัก ก็เห็นว่าไฟดับ มีแต่ควัน
ก็เลยเดินกลับมาห้อง เท่านั้นล่ะครับ ก็ได้ยินเสียงโวยวายกันใหญ่ ก็เลยออกไปดูอีกที
คราวนี้ ไฟลุกท่วมยอดตึกเลยอ่ะ ไฟฟ้า ทั้งซอยก็ดับลงกระทันหัน ได้ยินแต่เสียงตะโกนว่าให้รีบหนี
ออกจากที่พักอ่ะ ผมก็ตกใจอ่ะ ก็เก้บกล้อง + โน๊ตบุค +เสื้อผ้าสักชุดสองชุดลงกระเป๋า
ก็วิ่งออกมา ตอนลงมาข้างล่างพวกเศษต่างๆ ก็ปลิวเต็มเลย ที่ผมกลัวคือ กระจกอ่ะ
กลัวมันแตกแล้วปลิวมาด้วย ผมโชคดีที่รถหน่วยกู้ภัยผ่านมา เค้าบอกให้กระโดดขึ้นหลังรถเค้า
ผมก็ขึ้นไป แล้วเค้าก็ไปปล่อยผม แถวๆ หน้าโรงแรม ดิ แอมเมอรัล อ่ะ (ม่ายช่ายโปเซดอนนะ)
ผมก็ไปนั่งอยู่ข้างถนน สักพัก ก็ง่วงๆ + มึนๆ ก็คิดอยุ่ว่า เกิดไรขึ้นวะเนี่ย แล้วจะทำไงดีต่อวะ
ก็เลยโทรหาเพื่อนที่อยู่ใกล้ๆ ผมขอไปนอนด้วย ก็ฟังข่าวว่ามันจะถล่มเปล่า เพื่อจะได้กลับที่พัก
เพราะไฟมันท่วมทั้งตึกเลยอ่ะ แล้วก็กลัวมันถล่มมาก น่ากลัวมากๆ ครับพี่น้อง
สิ่งที่ผมได้จากเหตุการณ์นี้แล้วก็อยากจะแชร์กับเพื่อนๆ อ่ะครับคือ
- เป็นไปได้นี่มีกระเป๋าฉุกเฉินที่ใส่พวกพลาสเตอร์ยา, ไฟฉาย อุกรณ์จำเป็น
- กระเป๋าใบใหญ่หน่อยที่พอใส่เสื้อผ้า ได้สัก 2-3 ชุดอ่ะเผื่อเข้าไปตึกที่พักไม่ได้
จะได้มีเสื้อผ้าใส่สัก วันสองวัน
- ตอนหนีนี่ใส่รองเท้าผ้าใบจะดีนะครับเพราะตอนหนีนี่ ตอนผมเดินเศษ อะไรก็ไม่รู้เต็มพื้นเลย
ถ้าลากแตะนี่อาจจะโดนทิ่มเท้าได้ นึกได้เท่านี้ล่ะครับ
** ยาวหน่อย แต่แบบโคด ตกใจ + น่ากลัวมากๆ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
audit
มือใหม่หัดเมาท์
ออฟไลน์
กระทู้: 136
|
|
« ตอบ #234 เมื่อ: 16 มกราคม 2551, 15:27:56 » |
|
ขวัญเอ้ยขวัญมา
คืนนั้นหลับเป็นตายมะได้ยินเสียงไรเลย 555 (อายจัง)
:wink:
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
นายป้อ
|
|
« ตอบ #235 เมื่อ: 16 มกราคม 2551, 20:31:28 » |
|
:lol: :lol: :lol: :lol:
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Aj.O
|
|
« ตอบ #236 เมื่อ: 16 มกราคม 2551, 21:08:05 » |
|
โตคิวมาบุญครองหรือเปล่า :shock: :!: :?: ช่วงปีใหม่นี่ ไม่ได้เข้า กทม.เลย...อยากรู้ว่าตอนนี้มาบุญครองยับเยินเลยหรือเปล่า?!? หรือว่าพังแค่ตรงโตคิวเท่านั้น?
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
...
|
|
|
audit
มือใหม่หัดเมาท์
ออฟไลน์
กระทู้: 136
|
|
« ตอบ #237 เมื่อ: 17 มกราคม 2551, 11:37:29 » |
|
โตคิวรัชดาค่ะอาจารย์โอ มะช่ายโตคิวที่ติดกะมาบุญครอง
:wink:
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
audit
มือใหม่หัดเมาท์
ออฟไลน์
กระทู้: 136
|
|
« ตอบ #238 เมื่อ: 17 มกราคม 2551, 11:38:24 » |
|
เอามาให้อ่านกัน.. หลายครั้งที่ผู้หญิงมักแสดงอาการแปลก ๆ เอาแน่เอานอนไม่ได้ โดยเฉพาะในยามที่รู้สึกไม่พอใจกับอะไรบางอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนรัก เมื่อใดก็ตามที่ผู้หญิงรู้สึกว่าคนรักของตนเปลี่ยนแปลงไป โดยสงสัยว่าอาจจะมีใครอีกคนเข้ามาทำให้เค้าเปลี่ยนไป การแสดงออกของแต่ละคนจะแตกต่างกัน ดังนี้
แบบที่ 1 ระเบิดอารมณ์ ผู้หญิงแบบนี้มักจะเก็บอารมณ์ไม่ค่อยได้ จะต้องซักถามเอาคำตอบทันที บางรายจะชวนทะเลาะ แสดงความไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด และคาดคั้นเอาคำตอบ พูดกันจนกว่าจะเคลียร์ ถ้าหากพูดกันไม่จบก็อาจจะมีการไปราวีบุคคลที่ 3 หรือกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โตตามมา (ประเภทแฟนข้าใครอย่าแหยม แต่ถ้าข้าไม่ได้ ใครก็อย่าหวังจะได้เลย เอากันให้ตายไปข้าง)
แบบที่ 2 คิดมากและน้อยใจคนเดียว ผู้หญิงแบบนี้มักจะเป็นคนคิดมาก และแอบน้อยใจคนเดียว จนกลายเป็นไม่มีความสุข และรู้สึกว่าตนเองไร้ความสำคัญ หรืออีกฝ่ายหมดรักตัวเองแล้ว มักจะไม่แสดงออกโดยตรง แต่จะมาในรูปของการงอน เงียบ หลบหน้าหลบตาไม่รับโทรศัพท์ หรือขาดการติดต่อ แต่จะไม่ตีโพยตีพาย บางรายหากแน่ใจว่าคนรักไม่รักตนอีกแล้วก็จะตัดใจและจากไปเงียบๆ โดยไม่มีคำร่ำลา (เพราะทำใจไม่ได้และเห็นว่าไม่มีประโยชน์ที่จะพูดกัน หากเค้าหมดรักก็ไม่อยากที่จะรั้ง เอาไว้ เพราะมีแต่จะเสียใจไปเปล่าๆ)
แบบที่ 3 ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผู้หญิงแบบนี้ จะไม่ตีโพยตีพายตั้งแต่แรก แต่จะคอยสังเกตพฤติกรรมเงียบ ๆ โดยไม่ให้อีกฝ่ายรู้ตัว เมื่อพบว่าตัวเองเข้าใจผิดก็จะเฉยซะ แต่ถ้าเข้าใจถูกก็จะเปิดใจพูดกัน หากฝ่ายชายเคลียร์ตัวเองได้ก็จบ ไม่เช่นนั้นก็อาจต้องเลิกรากันไป (เพราะผู้หญิงแบบนี้มองว่าตัวเองก็มีศักดิ์ศรี เมื่อเขามีคนอื่นแล้ว ก็ไม่ควรจะเสียเวลากันต่อไปอีก สู้หาแฟนใหม่มาดามใจดีกว่า)
ซึ่งไม่ว่าจะเป็นแบบใดก็ตาม คุณผู้ชายทั้งหลายก็ควรจะระวังเอาไว้ อย่าปล่อยให้ความระแวงเข้ามาในใจแฟนของคุณ ไม่เช่นนั้นคุณอาจจะเสียคนที่คุณรักไปก็ได้ มีอะไรก็พูดอธิบายให้คนรักของคุณเข้าใจ เพราะบางทีสิ่งที่คุณคิดว่าไม่มีอะไร อาจจะกลายเป็นสิ่งที่กำลังทำลายความรักของคุณอยู่ก็ได้
ขอบคุณที่มา:นิตยสารผู้หญิง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Max
|
|
« ตอบ #239 เมื่อ: 17 มกราคม 2551, 12:00:48 » |
|
แล้วน้อง ออดิท เป็นแบบไหนครับ พี่ทายว่าแบบที่ 2 แล้วกัน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Aj.O
|
|
« ตอบ #240 เมื่อ: 17 มกราคม 2551, 14:51:45 » |
|
พวกที่ 1 ...ต้องมอบ ซ่งติง ให้เป็นรางวัล :twisted:
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
...
|
|
|
Mr.EggMan
|
|
« ตอบ #241 เมื่อ: 17 มกราคม 2551, 16:37:38 » |
|
เอ สงสัย อยากจะสื่อสารบางอย่างให้บางคนรู้ตัว รึป่าว :lol: :lol: :lol:
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #242 เมื่อ: 22 มกราคม 2551, 08:34:04 » |
|
เคยอ่านเจอในหนังสือเมื่อนานมาแล้ว เผอิญมีคนส่ง e-mail มา หลายคนน่าจะเคยอ่านแล้ว เอามาฝากไว้ เผื่อยังไม่เคยอ่าน ------------------------------------------------ เรื่องเล่าของวงกลม .. นานมาแล้ว .. มีวงกลมอยู่วงหนึ่ง เศษเสี้ยวหนึ่งของมันหายไป มันกลิ้งไป ... กลิ้งไป ตามหาเศษเสี้ยวที่หายไปนั้น มันเจอผู้คนมากมาย แต่ไม่มีใครเลย ที่จะเติมเต็มมันได้ บางที .. ก็ใหญ่เกินไป ถ้าฝืน ... ก็จะเจ็บทั้งสองฝ่าย บางที ... คิดว่าเข้ากันได้ แต่พอจะก้าวไปข้างหน้า ... ถึงได้รู้ว่า "ไปด้วยกันไม่ได้" บางที ... เศษเสี้ยวมีหนามแหลมคม กว่าจะรู้ตัวว่า " ไม่ใช่" ก็ได้ทิ้งบาดแผลและความเจ็บปวดมากมายไว้ให้เจ้าวงกลม มันยังกลิ้งไป ... กลิ้งไป จนในที่สุด ... ก็ได้พบเศษเสี้ยวของมัน แล้ววงกลม ... ก็เต็มวง ------------------------------------------------------- ถ้าเรื่องมันจบแฮปปี้ยังงี้ก็ดีเนอะ ลองมาฟังนิทานอีกเรื่อง ... ------------------------------------------------------- เรื่องเล่าของสามเหลี่ยม ยังจำเศษเสี้ยวของวงกลมนั้นได้ไหม ? เสี้ยวรูปสามเหลี่ยม... กำลังตามหาวงกลมของมัน มันกลิ้งไป ... กลิ้งไป พบคนมากมาย ... แต่ไม่มีใครเลย ..ที่เป็นที่ของมัน นี่ก็ไม่ใช่ ... นั่นก็ยังไม่ใช่ พอเจอคนที่คิดว่าใช่ ... กลับพบว่า เขามีส่วนเติมเต็มของเขาอยู่ แล้ว สามเหลี่ยม ... กลิ้งไป ... กลิ้งไป ... กลิ้งไป ... กลิ้งไป จนขอบของมันเริ่มมนลง ในที่สุดสามเหลี่ยมนั้น กลายเป็นวงกลม และพบว่าตัวเอง สามารถกลิ้งไปได้ด้วยตัวของมันเอง ... โดยไม่ต้องการให้ใครมาเติมเต็ม ...
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ลูกพิ้ง
|
|
« ตอบ #243 เมื่อ: 22 มกราคม 2551, 08:44:11 » |
|
หนูมีหนังสือเล่มนี้......ที่เล่าเรื่องราวที่ตาแคม...โพสต์มาด้านบนด้วยล่ะ.... ชื่ออะไรน๊า....สามเหลี่ยม....วงกลม....หรือ...ชิ้นส่วนที่หายไปน๊า..... เด๋ว....เอาไว้ไปดูให้ดีแล้วมาบอกอีกทีนะจ้ะ... :wink:
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
audit
มือใหม่หัดเมาท์
ออฟไลน์
กระทู้: 136
|
|
« ตอบ #244 เมื่อ: 22 มกราคม 2551, 10:05:08 » |
|
แล้วน้อง ออดิท เป็นแบบไหนครับ พี่ทายว่าแบบที่ 2 แล้วกัน ต้องลองถามคนข้างๆค่ะ 555 :wink:
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
MahDee
|
|
« ตอบ #245 เมื่อ: 04 กุมภาพันธ์ 2551, 11:41:54 » |
|
เรื่องดี ๆ มาแบ่งปัน ท่านเห็นมั๊ย.....ใครอยู่ในรถใครที่ใช้รถเล็กๆราคาถูกๆ แล้วรู้สึกอับอาย เสียหน้า .. เข้ามาดู ใครที่ใช้รถเล็กๆราคาถูกๆ แล้วรู้สึกอับอาย เสียหน้า .. เข้ามาดู!!! เคยเสียหน้าใช่ไหมหละ ที่รถตัวเอง เป็นรถเล็กๆ ราคาถูกๆ ไม่กี่แสน ระดับต่ำๆ อับอาย .. สู้หน้าคนที่ใช้รถราคาแพงๆ หลายล้าน ออปชั่นเพียบไม่ได้ เสียหน้า ที่ตัวเองเป็นหัวหน้า .. ขับรถญี่ปุ่นคันเล็กๆ แต่ลูกน้อง ขับเบนซ์คันใหญ่ บีเอ็มคันยักษ์ ฯลฯ เลิกคิดน้อยใจได้แล้วครับ...ดูรูปนี่เลยครับ ผมเอาไปให้ร้านรูปพิมพ์ให้ใหญ่ขนาดโพสต์การ์ด ใส่กรอบ ตั้งหน้ารถ ไว้เตือนตัวเตือนใจตัวเอง ... ว่า “รถเล็กๆ ก็พอเพียงแล้ว” ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ ขอจงทรงพระเจริญ ปล.จาก forward mail ครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Max
|
|
« ตอบ #246 เมื่อ: 04 กุมภาพันธ์ 2551, 13:02:49 » |
|
พอเพียง แล้วก็ต้อง เพียร ด้วยครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Net 80
มือใหม่หัดเมาท์
ออฟไลน์
กระทู้: 187
|
|
« ตอบ #247 เมื่อ: 05 กุมภาพันธ์ 2551, 17:58:23 » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #248 เมื่อ: 18 กุมภาพันธ์ 2551, 12:24:34 » |
|
วิธีทำลายหลักฐานการเข้าดูเว็บโป๊ เป็นการกำจัดแบบ "ไร้คราบฝังแน่น"
1. คลิกเมนูข้างบน Tool แล้วเลือก Internet Option หรือ คลิกขวาที่ไอคอนอินเตอร์เน็ต (ที่ Desktop นะ) แล้วเลือก Properties ไปที่ตรงที่เป็นรูปนาฬิกา จะเห็นปุ่ม Clear History หมายถึง ให้ลบประวัติการท่องเน็ต กดเลยครับ
2. แล้วไปที่ Temporary Internet File มันจะมีอยู่ 2 ปุ่ม คลิกปุ่มแรก มันจะถามว่าให้ลบคุกกี้หรือเปล่า ให้คลิก OK แล้วคลิกปุ่มอันที่ 2 (ลบแฟ้ม) มันจะมีช่องให้"ติ๊ก"1ช่อง ติ๊กลงไปช่องนั้น แล้วกด OK อันนี้จะนานหน่อย ใจเย็นนิดนึง
3. แล้วไปที่แท็บ Content มันจะมี 3 ย่อหน้า ให้ไปดูเนื้อหาอันที่ 3 หัวข้อ Auto Complete คลิกไปตรงนั้น มันจะมีให้ติ๊ก3 ช่อง ช่องอันที่ 1 หมายถึง รายชื่อเว็บที่คุณเคยไป ช่องอันที่ 2 หมายถึง แบบฟอร์มที่คุณเคยกรอก ช่องอันที่ 3 หมายถึงรหัส ช่องที่ 3 สำคัญที่สุด ให้ติ๊ก 2 ช่องแรก แล้วคลิก Clear Form แล้วกด Ok
ต่อไปคือการ ลบคำที่พิมพ์ลงใน Google หรือช่อง search ของเว็บหาข้อมูลต่างๆ
เอาเมาส์ชี้ไปตรงที่เราพิมพ์ แล้วกด Delete ที่แป้นพิมพ์ครับ
รับรองหมดจดสะอาด ไม่มีใครตามเราทัน หุหุ ตาแคม :lol: :lol:
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Max
|
|
« ตอบ #249 เมื่อ: 18 กุมภาพันธ์ 2551, 13:37:20 » |
|
โอ้..เจ๋งจริง ลองแล้ว
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #250 เมื่อ: 19 กุมภาพันธ์ 2551, 19:51:12 » |
|
เรื่องดีๆ..มีไว้แบ่งปัน..
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ชาร์ป
|
|
« ตอบ #251 เมื่อ: 19 กุมภาพันธ์ 2551, 23:30:29 » |
|
เอามาให้อ่านครับ จาก forward mail เรื่องนี้อาจจะดีก็ได้ ...
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
audit
มือใหม่หัดเมาท์
ออฟไลน์
กระทู้: 136
|
|
« ตอบ #252 เมื่อ: 20 กุมภาพันธ์ 2551, 11:25:36 » |
|
ดีค่ะพี่ชาร์ป แต่ว่ามันยังไม่จบข้อความป่าวคะ ดูแหว่งๆ
:wink:
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ชาร์ป
|
|
« ตอบ #253 เมื่อ: 20 กุมภาพันธ์ 2551, 21:08:45 » |
|
... หุ หุ พอดี มันมีเท่านี้น่ะ ... และก็ไม่รู้ว่าจะหาได้จากที่ไหนอีก ...
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #254 เมื่อ: 21 กุมภาพันธ์ 2551, 00:07:19 » |
|
หามาให้แล้วยังบ่นอีก..น้องออดิทเนี่ยะ..เดี๋ยวปั๊ดตบด้วยจมูกซะเลย..
ใครมีปัญหาอะไรว่ามา.. :lol:
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Mouy (Again)
มือใหม่หัดเมาท์
ออฟไลน์
กระทู้: 150
|
|
« ตอบ #255 เมื่อ: 23 กุมภาพันธ์ 2551, 08:14:13 » |
|
เจ้าน้องชาร์ป....(เพิ่งรู้ว่าเป็นเด็กมัธยมโรงเรียนเดียวกัน...KKW เดี๋ยวต้องจับรับน้องใหม่..555...) ก็หาจาก Google งัย เอ้า!!... พี่มาช่วยแปะต่อให้...(เท่าที่อ่าน เหมือนข้อ 4 ยังไม่จบ) ข้อสี่ คนรวยกล้ารับความเสี่ยงที่ได้มีการพิจารณาและไตร่ตรองดีแล้ว คนชั้นกลางกลัวที่จะรับความเสี่ยง นี่เป็นนิสัยที่เป็นจุดอ่อนมากที่สุดของคนชั้นกลางในความเห็นของผม คนที่ไม่ยอมรับความเสี่ยงเลยนั้นจะพลาดที่จะได้ผลตอบแทนที่ดีโดยสิ้นเชิง ในขณะที่คนที่กล้ารับความเสี่ยงอย่างที่ได้มีการศึกษามาเป็นอย่างดีจะสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีได้โดยที่ความเสี่ยงจริง ๆ นั้นจะมีน้อยมาก ตัวอย่างที่เห็นชัดเจนที่สุดก็คือ คนชั้นกลางส่วนใหญ่นั้นมักจะกลัวการลงทุนในหุ้นหรือตราสารการเงินที่มีความผันผวนของราคาโดยที่เขาไม่พยายามศึกษาว่าในระยะยาวแล้วมันอาจจะมีความคุ้มค่ากว่าการฝากเงินในธนาคารมาก ในอีกมุมหนึ่ง คนที่กล้ารับความเสี่ยงอย่าง “บ้าบิ่น” เช่นคนที่เล่นหุ้นวันต่อวันเองก็ไม่ใช่นิสัยของคนรวย คนรวยนั้นจะต้องรับความเสี่ยงเฉพาะที่มีการพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว ข้อห้า คนรวยเรียนรู้และเติบโตตลอดชีวิต คนชั้นกลางคิดว่าการเรียนรู้จบที่โรงเรียน นิสัยการเรียนรู้ไปเรื่อย ๆ นี้ ผมคิดว่าเป็นหัวใจเศรษฐีจริง ๆ เพราะในความรู้สึกของผมเอง การเรียนรู้จากโรงเรียนเป็นเพียงพื้นฐานที่เรานำมาศึกษาต่อด้วยตนเองได้ และเวลาหลังจากการเรียนในโรงเรียนนั้นยาวมากเป็นหลายสิบปี ดังนั้น ความรู้ส่วนใหญ่จึงควรที่จะเกิดขึ้นหลังจากที่เราเรียนจบจากโรงเรียน โดยนัยของข้อนี้ คนรวยจึงน่าจะมีนิสัยรักการอ่านหรือการหาความรู้ต่อไปเรื่อย ๆ ในขณะที่คนชั้นกลางนั้น พอเรียนจบก็มักจะไม่สนใจอ่านหนังสือหรือหาความรู้ใหม่ ๆ และความรู้ที่ผมคิดว่าคนชั้นกลางพลาดไปเพราะไม่มีการสอนในโรงเรียนก็คือ ความรู้ทางด้านการเงินที่คนรวยมักจะศึกษาต่อเพราะเห็นถึงความสำคัญและอาจนำไปสู่ความร่ำรวยได้ ข้อหก คนรวยทำงานเพื่อหากำไร คนชั้นกลางทำงานเพื่อจะได้ค่าจ้าง คนรวยมองว่านี่คือหนทางที่จะทำให้รวยได้มากกว่าแม้ว่าจะมีความเสี่ยง ในขณะที่คนชั้นกลางนั้นมักจะไม่กล้าเสี่ยงและอาจจะมีความคิดสร้างสรรค์น้อยกว่า จึงมุ่งไปที่การหางานที่จะมีรายได้แน่นอน แต่รายได้จากการใช้แรงงานของตนเองนั้น มีน้อยคนที่จะทำให้ตนเองรวยได้ ข้อเจ็ด คนรวยเชื่อว่าพวกเขาจะต้องใจบุญสุนทาน คนชั้นกลางคิดว่าพวกเขาไม่มีปัญญาที่จะทำบุญ ข้อนี้ผมเองคงไม่มีคอมเม้นท์อะไร ส่วนหนึ่งผมเองก็ไม่แน่ใจเนื่องจากเรื่องนี้เป็นเรื่องของแต่ละคนที่ไม่ค่อยบอกหรือรู้กันยกเว้นกรณีที่เป็นการบริจาคใหญ่ ๆ อย่างกรณีของบัฟเฟตต์หรือบิลเกต ข้อแปด คนรวยมีแหล่งรายได้หลากหลาย คนชั้นกลางมีเพียงหนึ่งหรือสองแหล่ง ข้อนี้ก็เช่นกัน ผมเองไม่แน่ใจว่าคนรวยมีรายได้จากหลายแหล่งเพราะรวยแล้วจึงไปลงทุนในทรัพย์สินหลาย ๆ อย่าง หรือมีทรัพย์สินหลายอย่างจึงทำให้รวย แต่ที่ผมเห็นชัดเจนก็คือ คนชั้นกลางนั้น มักไม่ลงทุนในทรัพย์สินที่มีความเสี่ยงทำให้รายได้มักจะมาจากเงินเดือนเป็นหลัก ข้อเก้า คนรวยเน้นการเพิ่มขึ้นของความมั่งคั่งของตนเอง คนชั้นกลางเน้นการเพิ่มของเงินเดือน เป้าหมายของคนรวยนั้นอยู่ที่ว่าตนเองมีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นมากน้อยแค่ไหนโดยมองที่ภาพรวม ดังนั้น ถ้าเขามีหุ้นอยู่ การที่หุ้นมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเขาก็มีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นโดยที่เขาไม่ต้องเสียภาษี แต่คนชั้นกลางพยายามทำงานเพื่อให้มีเงินเดือนสูงขึ้นแต่เขาอาจจะลืมไปว่าเขาจะต้องเสียภาษีเพิ่มขึ้นด้วย สรุปก็คือ คนรวยเน้นการลงทุนใช้เงินทำงานแทนตนเอง คนชั้นกลางเน้นการใช้แรงงานของตนเอง สุดท้าย ข้อสิบ คนรวยชอบตั้งคำถามที่เป็นบวกและสร้างกำลังใจ เช่น ฉันจะสร้างรายได้เป็นเท่าตัวในปีนี้ได้อย่างไร? ในขณะที่คนชั้นกลางชอบตั้งคำถามที่เป็นลบและเสียกำลังใจเช่น จะหาเงินมาจ่ายหนี้ค่าบัตรเครดิตเดือนนี้ได้อย่างไร ? และนั่นก็คือความแตกต่าง 10 ข้อระหว่างคนรวยกับคนชั้นกลางที่มีคนตั้งข้อสังเกตไว้ ซึ่งผมเชื่อว่าส่วนใหญ่น่าจะเป็นจริง แน่นอน คนรวยบางคนก็มีคุณสมบัติที่เป็นแบบคนชั้นกลาง และคนชั้นกลางจำนวนมากก็มีนิสัยแบบคนรวย แต่ถ้าเราอยากรวย ผมคิดว่า การยึดนิสัยแบบคนรวยน่าจะทำให้เรามีโอกาสมากกว่า ยกเครดิตให้กับ link นี้ ครับ.. http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=apower&month=12-02-2008&group=5&gblog=23แต่จริงๆ เดี๋ยวนี้ เวลาเปลี่ยน คนรวยที่เป็นทายาทก็ไม่ค่อยได้คิดเรื่องพวกนี้แล้ว..บางทีทำตัวกลับเหมือนเป็นคนจนเสียนั่น...เอ้ยย....ธรรมดาโลกที่เปลี่ยนไปตามกาลเวลา... .
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
audit
มือใหม่หัดเมาท์
ออฟไลน์
กระทู้: 136
|
|
« ตอบ #256 เมื่อ: 25 กุมภาพันธ์ 2551, 10:44:48 » |
|
ขอบคุณมี่มั่กๆค้าบที่หามาต่อให้อ่าน
พี่โต้งกล้าตบเหรอ เด๋วเค้าฟ้องเงาดำแถวนี้ให้ไปครอบงำนะ หุหุ น่ากัวมะ
:wink:
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
หลิม 81
|
|
« ตอบ #257 เมื่อ: 25 กุมภาพันธ์ 2551, 11:05:12 » |
|
นับถือน้าแครมครับ...เรื่องเวปโป๊..
แต่ว่าสงสัยน้าแครมเอาคอมบริษัทเล่น หรือ คอมคนอื่นแน่ ๆ เลย..ถึงต้องหาวิธีทำอย่างนี้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
@ ปีนี้ปีของผม @
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #258 เมื่อ: 25 กุมภาพันธ์ 2551, 19:44:37 » |
|
โหย..ไม่มีกลัวอยู่แล้นเงาดงเงาดำอะไรกัน..ไร้สาระ..มามะ..มามะ
ส่วนเรื่องไอ้แครมมแน่นอน..มันต้องเล่นคอมพ์บริษัท..เวลาทำงาน 8 ชม. ไอ้นี่ดูเวปโป๊ประมาณ 5 ชั่วโมง..วาดการ์ตูนอีก 2 ชม. อีก 1 ชม.เข้าห้องน้ำบริษัท..
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #259 เมื่อ: 26 กุมภาพันธ์ 2551, 08:00:20 » |
|
สาดดดด เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหด
ตาแคม :cry:
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Mr.EggMan
|
|
« ตอบ #260 เมื่อ: 26 กุมภาพันธ์ 2551, 18:36:43 » |
|
พรบ. ICT ฉบับเข้าใจง่าย ได้มาจาก Fwd. Mail ครับ ๑. เจ้าของไม่ให้เข้าระบบคอมพิวเตอร์ของเขา แล้วเราแอบเข้าไป … เจอคุก ๖ เดือน ๒. แอบไปรู้วิธีการเข้าระบบคอมพิวเตอร์ของชาวบ้าน แล้วเที่ยวไปโพนทะนาให้คนอื่นรู้ … เจอคุกไม่เกินปี ๓. ข้อมูลของเขา เขาเก็บไว้ในระบบคอมพิวเตอร์ดี ๆ แล้วแอบไปล้วงของเขา … เจอคุกไม่เกิน ๒ ปี ๔. เขาส่งข้อมูลหากันผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์แบบส่วนตั๊วส่วนตัว แล้วเราทะลึ่งไปดักจับข้อมูลของเขา … เจอคุกไม่เกิน ๓ ปี ๕. ข้อมูลของเขาอยู่ในระบบคอมพิวเตอร์ของเขาดี ๆ เราดันมือบอนไปโมมันซะงั้น … เจอคุกไม่เกิน ๕ ปี ๖. ระบบคอมพิวเตอร์ของชาวบ้านทำงานอยู่ดี ๆ เราดันยิง packet หรือ message หรือ virus หรือ trojan หรือ worm หรือ (โอ๊ยเยอะ) เข้าไปก่อกวนจนระบบเขาเดี้ยง … เจอคุกไม่เกิน ๕ ปี ๗. เขาไม่ได้อยากได้ข้อมูลหรืออีเมลล์จากเราเล้ย เราก็ทำตัวเป็นอีแอบเซ้าซี้ส่งให้เขาซ้ำ ๆ อยู่นั่นแหล่ะ จนทำให้เขาเบื่อหน่ายรำคาญ … เจอปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท ๘. ถ้าเราทำผิดข้อ ๕. กับ ข้อ ๖. แล้วมันสร้างความพินาศใหญ่โตในระดับรากหญ้า งานนี้มีซวยแน่ เจอคุกสิบปีขึ้น ๙. ถ้าเราสร้างซอฟต์แวร์เพื่อช่วยให้ใคร ๆ ทำเรื่องแย่ ๆ ในข้อข้างบน ๆ ได้ … เจอคุกไม่เกินปีนึงเหมือนกัน ๑0. โป๊ก็โดน , โกหกก็โดน , เบนโลก็โดน , ท้าทายอำนาจรัฐก็โดน … เจอคุกไม่เกิน ๕ ปี ๑๑. ใครเป็นเจ้าของเว็บ แล้วยอมให้เกิดข้อ ๑0. โดนเหมือนกัน … เจอคุกไม่เกิน ๕ ปี ๑๒. ถ้าเราเรียกให้ชาวบ้านเข้ามาดูงานของศิลปินข้างถนน ซึ่งชอบเอารูปชาวบ้านมาตัดต่อ เตรียมใจไว้เลยมีโดน … เจอคุกไม่เกิน ๓ ปี ๑๓. เราทำผิดที่เว็บไซต์ซึ่งอยู่เมืองนอก แต่ถ้าเราเป็นคนไทย หึ ๆ อย่าคิดว่ารอด โดนแหง ๆ ๑๔. ฝรั่งทำผิดกับเรา แล้วมันอยู่เมืองนอกอีกต่างหาก เราเป็นคนไทย ก็เรียกร้องเอาผิดได้เหมือนกัน ( จริงดิ ?) กฎหมายออกมาแล้ว ก็คงต้องระวังตัวกันให้มากขึ้นนะพวกเรา … จงถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทครับ ข้อ ๑๒ ถึงเอารูปคนอื่นมาตกแต่ง ลบชื่อเค้าออก ก็โดนนะจ๊ะ ที่มา: http://www.tddf.or.th/tddf/library/article.php?id=0000316&genreid=05&genre=%A1%AE%CB%C1%D2%C2
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #261 เมื่อ: 27 กุมภาพันธ์ 2551, 17:59:42 » |
|
ไอ้แครมมม copy รูปโป๊และส่งต่อ..จำคุกกี่ปีครับ..
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
หลิม 81
|
|
« ตอบ #262 เมื่อ: 28 กุมภาพันธ์ 2551, 17:41:32 » |
|
คุกไงไม่สน...อย่ามาปิดแคมฟ็อกละกัน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
@ ปีนี้ปีของผม @
|
|
|
Aj.O
|
|
« ตอบ #263 เมื่อ: 29 กุมภาพันธ์ 2551, 20:25:53 » |
|
ไอ้ที่เน่าเพราะตลาดหุ้น ก็มีไม่น้อยนะครับ!...คนพวกหนึ่งกลายเป็นคนรวย แต่อีกกลุ่มกลายเป็นคนล้มละลาย โดยส่วนตัว ผมเลือกที่จะเป็นคนชั้นกลางต่อไปครับ คนพวกหนึ่งเลือกจะเข้าถ้ำเสือเพื่อได้ลูกเสือ แต่จะมีสักกี่คนที่ได้ลูกเสือมาเชยชม มากกว่าครึ่งหนึ่งโดนพ่อเสือแม่เสือกัดตายครับ :? คนที่ฮึดขึ้นมาเปลี่ยนชีวิตจากหน้าเป็นหลังอันนั้นเค้าเรียกว่า บ้าบิ่น คนที่บ้าบิ่นอาจประสบความสำเรจอย่างยิ่งใหญ่ แต่น้อยคน ที่เหลือเจ็บปวดและเหลือแต่คำปลอบใจตัวเอง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
...
|
|
|
Aj.O
|
|
« ตอบ #264 เมื่อ: 29 กุมภาพันธ์ 2551, 20:58:04 » |
|
ไม่ค่อยเชื่ออ่ะ? ขนาดไอ่พวกทำ Manussaya.com(เวบโดนทำลายไปแล้ว) หรือพวกโพสข้อความหมิ่นสถาบัน... ตามเวบบอร์ดประชาไท หรือฟ้าเดียวกัน แต่ยังไม่เห็นมีใครโดนจับแม่งเลยสักคน :x ดีแต่ขู่เท่านั้นแหละไอ้กร๊วก(หมายถึงไอ้เจ้าของข้อความดั้งเดิมนะ ไม่ได้หมายถึง eggman) ถ้าผมจะโพสรูปโป๊ แล้วต้องโดนจับ...ผมจะด่ามันว่า ทำไมไม่มีปัญญาจับไอ้พวกนั้นล่ะ(พวกสัมภเวสีที่อยู่ตามเวบกบฏเหล่านั้น)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
...
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #265 เมื่อ: 03 มีนาคม 2551, 08:33:58 » |
|
กฏหมายมันก้อตัวหนังสืออ่ะนะ ขึ้นอยู่กับคนเอามาใช้
ถ้ากฏหมายถูกนำมาใช้กับทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน ประเทศเราก้อคงไม่มีตัวเอี้ยอยู่ในทีวีร๊อก
ตาแคม :x
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
mmwindoo_79
Full Member
ออฟไลน์
กระทู้: 254
|
|
« ตอบ #266 เมื่อ: 03 มีนาคม 2551, 11:53:15 » |
|
ไอ้เอี้ยตัวนั้นใช่ป่ะ?
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
หลิม 81
|
|
« ตอบ #267 เมื่อ: 03 มีนาคม 2551, 17:10:17 » |
|
เอี้ยตัวไหน..เหยอ..หน้าตาเป็นไง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
@ ปีนี้ปีของผม @
|
|
|
too
ตู้ rcu85
Hero Cmadong Member
ออฟไลน์
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์
กระทู้: 1,281
|
|
« ตอบ #268 เมื่อ: 10 มีนาคม 2551, 08:26:48 » |
|
สิ่งธรรมดาคือสิ่งพิเศษ
เรื่อง วนิษา เรซ
คัดลอกจาก Post Today
บางครั้งในชีวิตประจำวัน เรารู้สึกว่ามีหน้าที่หลายอย่างที่เรา “ ต้อง ” ทำ ทั้งๆ ที่ขี้เกียจแสนขี้เกียจ หรือเหนื่อยแสนเหนื่อยแล้วจากการทำงาน เช่น การล้างจาน การ ท่องหนังสือ การจดจ่ออยู่หน้าคอมพิวเตอร์ แถมพ่อแม่หลายท่านในปัจจุบันนอกจากทำงานเหนื่อยแล้วยังต้องมานั่งรับส่งลูก เรียนพิเศษเสาร์อาทิตย์อีก...เวลานั่งรอบางครั้งก็เหนื่อยจนลืมชื่นใจความ เก่งความน่ารักของลูก
สิ่ง ของเหล่านี้ดูธรรมดาและดูเหมือนเป็น “หน้าที่” ที่เราต้องกระทำ ทั้งๆ ที่บางครั้งทำให้เราหงุดหงิดพอควรเลย...ตัวหนูดีเป็นคนเกลียดการล้างจานมาก เพราะไม่ชอบความเหนอะของคราบอาหารและความสากมือหลังจากล้างจานเสร็จ ถึงขนาดมีกฎประจำใจเลยว่าผู้ชายคนไหนจะมาขอหนูดีแต่งงาน หนูดีจะให้ล้างจานให้ดูก่อน...แถมอาจมีการเซ็นสัญญากันว่า หนูดียินดีทำอาหารทุกชนิดแต่ฝ่ายชายต้องรับอาสาเป็นผู้ล้างจาน...จนกระทั่ง วันหนึ่งหนูดีได้ไปปฏิบัติธรรมในวิถีเซน การไปอยู่วัดครั้งนั้น ทุกคนต้องล้างจานเอง...พระสอนว่า เวลาล้างจานเราต้องการอะไรจากการล้างจาน...คำตอบของพวกหนูดี คือ เราต้องการให้จานสะอาด (แหม ถามอะไรตอบง่ายอย่างนี้ ก็มันชัดเจนอยู่แล้วใช่ไหมคะ)...แต่ท่านบอกว่า ตอบผิดค่ะ ...อ้าว ถ้าไม่อยากให้จานสะอาดแล้วจะล้างไปทำไมคะ หนูดีงงมาก...ท่านตอบว่า จากนี้ไป ขอให้ล้างจานเพื่อล้างจานได้ไหม...
ทำไม ต้อง “ล้างจานเพื่อล้างจาน” กว่าหนูดีจะเข้าใจและทำได้ก็ผ่านไปจากนั้นนานแสนนาน และทุกวันนี้หนูดีก็ยังฝึกเป็นประจำ...เคล็ดอยู่ตรงนี้เองค่ะ หากเราล้างจาน เพื่อ ต้องการให้จานสะอาด ก็เหมือนกับเราโยนทิ้งปัจจุบันแล้วรอให้ความสุขเกิดขึ้นในอนาคต แต่ปัจจุบันคือความทุกข์ที่ต้องอยู่กับจานสกปรก เราจะมีความสุขก็ต่อเมื่อจานสะอาดแล้วเท่านั้น ... สรุปว่าใช้ชีวิตแค่กับเป้าหมาย รอให้เป้าหมายเป็นผลแล้วค่อยยอมปล่อยใจให้เป็นสุข แต่หากเราเปลี่ยนมาเป็นทำใจ ให้ สุขในขณะล้างจาน จิตจดจ่ออยู่กับน้ำ ฟองน้ำและจาน...เป็นสุขอยู่ตรงนั้น ซึ่งหลังจากครั้งแรก พระท่านก็สอนที่สูงขึ้นไปอีกว่า จินตนาการดูสิว่า จาน เป็นพระพุทธรูปและเรากำลังชำระล้างท่านให้สะอาดอยู่...น่ารักมากเลยค่ะ ไม่เห็นต้องรอวันสงกรานต์แล้วค่อยสรงน้ำพระ ถ้าคิดอย่างนี้ได้ ความสุขเล็กๆ ก็เกิดขึ้นได้ตลอดวัน
ใน การใช้ชีวิตที่เรียบง่ายและมีความสุข...หนูดีคิดว่า เราต้องแยกให้ออกระหว่างวิถีและเป้าหมายก่อน ...คนส่วนใหญ่มักเอาความสุขไปผูกไว้กับ “เป้าหมาย” แต่หลงลืมว่า เวลาเกือบทั้งหมดในชีวิตอยู่ที่ “วิถี” ในการไปถึงเป้าหมายนั้น เหมือนเมื่อก่อนหนูดีตั้งเป้าไว้ว่า จะเรียนให้ได้คะแนนดีๆ ให้ได้เกียรตินิยม...และระหว่างภาคเรียนจะต้องทนทุกข์ทรมานขนาดไหนหนูดีไม่ มีหวั่น เพราะเรามีเป้าหมายที่ชัดเจนมาก...พอสอบเสร็จโล่งอกสบายใจ ได้เกรดดีๆ ก็ดีใจอยู่แผล็บเดียวเดี๋ยวก็เปิดเทอมอีกแล้ว...จะเป็นจะตายต่อไปอีกเทอ ม...พอมาดูจริงๆ แล้วเรียนปริญญาตรีเราจะได้เห็นเกรดตัวเองหลักๆ ก็ 8 ครั้ง โอ้โห เวลา 4 ปี จะยอมให้ตัวเองมีความสุขใหญ่ๆ แค่ 8 ครั้ง ก็ดูเป็นชีวิตที่เศร้าสร้อยไปหน่อยนะคะ
ดัง นั้น การกลับมาปรับ “วิถี” ให้เรามีสุขขึ้นในระหว่างทางกลับทำให้ดัชนีความสุขมวลรวมของชีวิตเราพุ่ง สูงขึ้นอีกมาก เมื่อหารเฉลี่ยแล้วทั้งชีวิตเราน่าจะมีความสุขขึ้นอีกมากนะคะ ...เดี๋ยวนี้หนูดีเลยมีกฎในการใช้ชีวิตว่า “ วิถีคือเป้าหมาย ” พูดง่ายๆ ว่า การทำใจให้สุขเป็นประจำวัน มีสุขในวิถี นั่น แหละคือเป้าหมายของหนูดี ส่วนเป้าหมายใหญ่ๆ ภายนอกก็ยังมีอยู่ค่ะ ไม่ได้ทิ้งหายไปไหน หนูดียังคงวางแผนชีวิตและมีเป้าหมายที่ชัดเจนอยู่เช่นเดิม...อาจจะดีกว่า เดิมด้วยซ้ำ เพราะเป้าหมายเหล่านั้นไม่ได้เป็นประโยชน์เฉพาะตัวหนูดีคนเดียวอีกต่อไปแล้ว แต่ยังรวมคนอื่นๆ ในสังคมเข้ามาอีกด้วย และหนูดีไม่รอให้“เป้าหมายสำเร็จ” แล้วค่อยเป็นสุข...ไม่มีกฎอะไรกำหนดนี่คะว่าต้องรอ ก็เลยขอเป็นสุขเรื่อยๆ ดีกว่า
ท่าน ติช นัท ฮันท์ พูดเรื่องนี้ไว้ดีมาก...หนูดีเอามาเขียนเตือนใจตัวเองหน้าหนังสือ “ขอบคุณสรรพสิ่ง” ที่เขียนก่อนนอนเลยค่ะว่า “ปาฏิหาริย์ไม่ใช่การเดินบนน้ำ หรือบินอยู่บนอากาศ แต่ปาฏิหาริย์คือการเดินอยู่บนผืนดินและมีความสุขในทุกย่างก้าว” หนู ดีเห็นด้วยอย่างมาก เพราะชีวิตเราเต็มไปด้วยเรื่อง “ธรรมดา” เช่น ตื่นมาอาบน้ำ แปรงฟัน ขับรถไปทำงาน กินอาหารเที่ยงกับเพื่อนในที่เดิมๆ ตอนเย็นกลับมาก็เห็นหน้าภรรยาหรือสามีคนเดิมๆ ใส่ชุดธรรมดาๆ...หน้าตาเราหรือก็ธรรมดาๆ...ใช่ค่ะ เราส่วนใหญ่แล้วก็เป็นคนธรรมดาๆ มีชีวิตธรรมดาๆ กันทั้งนั้น
แต่ ถ้าความ “ธรรมดา” นี้หมดไปล่ะคะ เช่น อยู่ดีๆ ลูกเราเกิดเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว หรือสามีเราถูกรถชนตาย หรือเราถูกไล่ออกจากงานที่เราเบื่อแสนเบื่อ...เรื่องก็จะ “ไม่ธรรมดา” ไปในทันที และในเวลานั้นเอง เราจะหวนมาคิดเสียดายความ “ธรรมดา” จนใจแทบจะขาด...หนูดีไม่ได้พูดเองเออเองนะคะ
แต่ เพราะหนูดีอยู่ในอาชีพที่ได้เห็นความพลัดพรากสูญเสียในครอบครัวมาเยอะมาก จนเกิดเป็นกฎประจำใจเลยว่า ให้เรารีบชื่นชมกับความ “ธรรมดา” ที่เรามีและใช้ชีวิตประหนึ่งว่า สิ่งนั้นคือสิ่งมหัศจรรย์ของจักรวาล เพราะสิ่งธรรมดาๆ แท้จริงแล้วคือ สิ่งที่พิเศษที่สุดแล้วค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Max
|
|
« ตอบ #269 เมื่อ: 11 มีนาคม 2551, 18:48:04 » |
|
ไม่รู้เคยอ่านรึยังนะครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #270 เมื่อ: 13 มีนาคม 2551, 07:55:09 » |
|
เก็บเล็กผสมน้อยเอามาฝาก มีคนเคยบอกว่า
ถ้าอยากจะทำอะไรซักอย่างให้ติดเป็นนิสัย เช่น อยากซิทอัพทุกวันเพื่อลดหน้าท้อง ให้อดทน และ พยายามทำติดต่อกัน 20 วัน หลังจาก 20 วันแล้ว จะรู้สึกว่าขาดไม่ได้ ต้องทำเป็นประจำทุกวัน
แต่ถ้า เราเลิกทำอะไรไปซักอย่าง 7 วันติดต่อกัน มันก้อจะไม่รู้สึกว่า ต้องทำทุกวันอีกแล้ว :wink:
และสำหรับคนขี้ลืม เช่น ปิดประตูรถ ล็อครถเสร็จ เดินไปได้สองสามก้าว ก้อลืมไปแล้วว่า เอ... ตรู ล็อครถแล้วหรือยัง
ให้ลองทำอย่างนี้ดู เวลาจะทำอะไรที่กลัวลืม เช่น กลัวลืมว่าจะล็อคประตูรถ พอล็อคเสร็จ ให้ยืนจับประตูอยู่ และกำหนดจิตซักครู่ โดยกำหนดจิตว่าล็อคประตูนะ ยืนอยู่ซักพัก ค่อยเดินออกมา
ทำแบบนี้ประจำ เท่านี้ เราก้อจะมีสติอยู่ตลอดเวลา ว่าอะไรทำแล้ว อะไรยังไม่ได้ทำ
ลองดู :wink:
ตาแคม
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #271 เมื่อ: 03 เมษายน 2551, 08:55:15 » |
|
บทเรียนดี ๆ ของกบ...
จงพอใจในวาสนาของท่าน เรามิอาจเป็นเลิศในทุกสิ่งได้ คนไม่พอใจในตัวเองจะเป็นทุกข์ตลอดไป...
.....นานมาแล้วมีกบตัวหนึ่งอาศัยใกล้กุฎิพระ
ตอนเช้าเห็นพระบิณฑบาตได้อาหารมาอย่างสบายทุกวัน เจ้ากบก็ปรารถนา อยากเป็นพระกับเขาบ้าง คงจะดีนะ ต่อมาเมื่อพระฉันเสร็จก็เอาข้าวสุกโปรยให้ไก่กิน เจ้ากบก็คิด เป็นไก่ดีกว่าไม่ต้องออกแรงเลย ไม่อยากเป็นพระอีกแล้ว ขณะนั้นเอง หมาตัวหนึ่งแย่งไก่กินอาหาร ไก่กลัวหมามากจึงหนีเอาตัวรอดอย่างน่าอนาถ เจ้ากบก็คิด เป็นหมาดีกว่าดูเป็นวีรบุรุษดี ไม่อยากเป็นไก่แล้ว มีชายคนหนึ่งเห็นเข้าจึงเอาไม้ไล่ตีหมา จนหมาวิ่งหนีร้องลั่นไป เจ้ากบจึงคิดว่าทำไมเราไม่เกิดเป็นคนหนอ สามารถขับไล่หมาไปได้ จากนั้นเอง ชายผู้นี้ ก็มานั่งริมสระน้ำ แล้วเจ้าแมลงวันก็บินมาตอมจนชายผู้นั้นรำคาญ และลุกหนี พร้อมบ่นว่า "รำคาญแมลงวันจริงโว้ย" เจ้ากบได้ยินเสียงดังนั้น ก็นึกคิดว่า เกิดเป็นแมลงวันดีกว่านะ เพราะเก่งมากจนทำให้คนรำคาญได้ บังเอิญแมลงวันบินมาเกาะ ที่จมูก มันจึงแลบลิ้นแผลบกินแมลงวัน เจ้ากบจึงค้นพบสัจธรรมอันยิ่งใหญ่ ว่า เป็นอะไรก็ไม่ดีเท่าตัวเราเอง ความทุกข์จึงเกิดจากความไม่รู้จักพอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่ "เราแทบไม่คิดว่า เรามีอะไรบ้าง แต่เราคิดเพียงว่า เราขาดอะไรบ้างเท่านั้น"
ฉันเป็นกบ อบ...อบ ในกะลา ภูมิใจว่าตัวเองช่างยิ่งใหญ่ มาวันหนึ่งแล้วกะลาก็พลิกไป ความภูมิใจสลายลงในพลิบตา จากที่เคยคิดว่าตัวช่างยิ่งใหญ่ หลงภูมิใจอย่างโง่เขลาเบาปัญญา แท้ที่จริงโลกนี้กว้างยิ่งกว่า ทั่วโลกาหาใครใหญ่จริงไม่
ที่มา: Forwarded Mail
ตาแคม :arrow:
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
audit
มือใหม่หัดเมาท์
ออฟไลน์
กระทู้: 136
|
|
« ตอบ #272 เมื่อ: 03 เมษายน 2551, 11:31:50 » |
|
เรื่องดีๆจาก Fw mail ที่น่าอ่าน ถึงจะยาวหน่อย แต่ดีจริงๆนะ | | อ้างถึง | | | | | | | | อายุ 28 ทำงานมา 3 ปี ย้ายงานมา 6 บริษัท
จบวิศวะ เครื่องกล พระจอมเกล้า พระนครเหนือ ตอนนี้อายุ 28 ทำงานมา 3 ปี ย้ายงานมา ทั้งหมดก็ 6 บริษัท เสต็ปเงินเดือนนะครับ
- 8,000 โรงงานคนไทย (Design Engineer) สิบเดือน
- 15,500 บริษัทรถยนต์ญี่ปุ่น (Design Engineer) สี่เดือน เลื่อนตำแหน่งไปหนึ่งครั้ง
- 30,000 บริษัทฝรั่ง A (Design Engineer) หนึ่งปีเงินเดือนขึ้นสองรอบ
- 35,000 โรงงานฝรั่ง (Design Engineer) สามเดือน
- 40,000 บริษัทฝรั่ง B (Project Engineer) สี่เดือน เลื่อนตำแหน่งไปหนึ่งครั้ง
- 6x,xxx บริษัทฝรั่ง C (Project Engineer) สามเดือน
- 1xx,xxx บริษัทฝรั่ง C (Project Manager) เพิ่งเลื่อนตำแหน่งเมื่อวาน
อยากจะบอกว่า จากประสบการณ์ที่ผ่านมา เวลาที่ทำงาน จะต้องคอยสังเกตและศึกษาอยู่ตลอดว่า งานที่เรารับมาทำนั้น มันมาจากไหน มาจากใคร และ ไปไหนต่อ ไปยังไง ใครตรวจสอบ เพื่อดูว่าตำแหน่งที่สูงกว่าเรานั้น เค้ารับผิดชอบเรื่องอะไร พยายามเรียนรู้ให้ได้ว่าเรายังขาดอะไรอีกในการเลื่อนตำแหน่ง มันไม่ยากอย่างที่หลายๆ คนเข้าใจนะครับ
เหมือนคนจีนว่า อย่าถามว่าเมื่อไรจึงจะได้เลื่อนตำแหน่ง แต่ให้ถามว่า หากได้เลื่อนตำแหน่งวันนี้ เรามีความสามารถพร้อมกับตำแหน่งนั้นๆ หรือยัง
ผมเองก็ทำตามที่กล่าวมาข้างต้น พอมีโอกาสให้รีบเสนอตัวทันทีไม่ต้องรอ ถ้าคิดว่าพร้อม โดยส่วนมากจะได้ตามที่เสนอ แต่ต้องย้ำว่าพร้อมจริงๆ นะครับ
คิดว่าคงเป็นประโยชน์บ้างนะครับ สำหรับคนจบใหม่ หรือ กำลังทำงานอยู่
อธิบายเพิ่มเติมให้แล้วกันนะครับ เผื่อเป็นแนวทาง
- 8,000 โรงงานคนไทย (Design Engineer) สิบเดือน อันนี้ไม่มีอะไร ปรกติ เพิ่งจบ กำลังเรียนรู้ระบบ ลาออกเพราะเงินเดือนน้อย
- 15,500 บริษัทรถยนต์ญี่ปุ่น (Design Engineer) สี่เดือน เลื่อนตำแหน่งไปหนึ่งครั้ง เดินเข้าไปคุยกับญี่ปุ่น ว่าผมทำงานตำแหน่ง senior design engineer ได้ เพราะว่าพร้อม และอธิบายเค้าว่า พร้อมยังไง เค้าก็โอเค ลาออกเพราะได้ที่ใหม่ เงินเดือนเยอะกว่า ที่สำคัญ เป็นบริษัทฝรั่ง
- 30,000 บริษัทฝรั่ง A (Design Engineer) หนึ่งปีเงินเดือนขึ้นสองรอบ ขึ้นรอบแรกตอนผ่านโปรสามเดือน หลังจากนั้นอีกหกเดือนเงินเดือนขึ้นอีกรอบ เพราะว่า เดินเข้าไปคุยกับหัวหน้า เสนอตัวเองรับหน้าที่เพิ่มเติมจาก job description และอธิบายอีกครั้งว่าพร้อมยังไง เค้าก็โอเค ลาออกเพราะหัวหน้างานเริ่มงี่เง่ามาก ทนไม่ไหว
- 35,000 โรงงานฝรั่ง (Design Engineer) สามเดือน อันนี้ปรกติ ออกเพราะว่ามันไกลบ้านมาก เดินทางไม่ไหว
- 40,000 บริษัทฝรั่ง B (Project Engineer) สี่เดือน เลื่อนตำแหน่งไปหนึ่งครั้ง อันนี้เข้ามาเป็นตำแหน่งใหม่เป็นครั้งแรก หลังจากทำงานในตำแหน่ง design engineer มาหลายที่แล้ว เลยสมัครเป็น project engineer เพื่อดูภาพรวมของ project หลังจากนั้น บังเอิญที่บริษัทมี project นึง ที่ติดค้างส่งมอบให้ลูกค้ามานานมาก และไม่มีใครอยากรับไปทำต่อ ลูกค้าโกรธมากๆ ผมก็เลยเสนอตัวเองรับงานนี้ไปดู พร้อมกับข้อเสนอ (ตำแหน่งใหม่ เป็น Project manager แต่เงินเดือนเท่าเดิม เพราะว่าต้องการ referent ในตำแหน่ง project manager ไว้หางานใหม่) ลาออกเพราะว่าหัวหน้าเป็นฝรั่ง ลูกค้าเป็นคนไทย ลูกน้องก็เป็นคนไทย น่าเบื่อมาก
- 6x,xxx บริษัทฝรั่ง C (Project Engineer) สามเดือน งานที่นี่มันส์มาก ลุยกันสุดๆ ลูกค้าส่วนากอยู่ที่ต่างประเทศ ต้องเดินทางไปประกอบและติดตั้ง setup โรงงานตามไซด์งานต่างๆ
- 1xx,xxx บริษัทฝรั่ง C (Project Manager) เพิ่งเลื่อนตำแหน่งเมื่อวาน และเช่นเคย มีงานใหม่เข้ามา project ใหญ่พอสมควร แต่ว่างานล้นมือกันทุกคน PM ที่มีอยู่ก็ติดงานอื่น เลยคุยกับเจ้าของบริษัท บอกว่าเราทำได้ ขอทำ เค้าก็คุยกับ PM ที่เหลือ ทุกคน OK ก็เลยเพิ่งเลื่อนนี่แหละครับ
คนไม่เชื่อทำยังไงก็ไม่เชื่อ ลองมองดูรอบๆ ที่ทำงานสิครับ เห็นคนอายุน้อยตำแหน่งสูงบ้างมั้ย ลองไปถามดูสิครับว่าเค้าทำยังไง ดีกว่าคอยนั่งนินทา แล้วก็อิจฉาเค้าไปวันๆ
ที่ผมอยู่ที่แรก เงินเดือน 8,000 ได้ตั้งปี เพราะว่าผมได้ทำงานอยู่ในห้องเดียวกับผู้จัดการโรงงาน เห็นเค้าว่างเมื่อไรผมถามแหลก ว่าแกขึ้นตำแหน่งนี้มาได้ยังไง ต้องรู้อะไรบ้าง บุคลิคจำเป็นมั้ย บลา บลา บลา แล้วสุดท้ายผมก็ได้แกเป็นต้นแบบ ทำตามที่แกแนะนำทุกอย่าง ทุกวันนี้ยังโทรคุยกับแกอยู่แลยครับ
ที่บริษัทญี่ปุ่นนั้น เสต็ปมันจะไม่เหมือนกันครับ ผมทำได้สองเดือนแรก ผมยื่นใบลาออก ทนไม่ไหว กลับดึกเงินเดือนน้อย ตามสไตล์ญี่ปุ่น หัวหน้าคนไทยกับคนญี่ปุ่นเรียกมาคุยบอกว่าไม่อยากให้ออก ยูทำงานเร็วมาก ผมบอกไอ้คนที่เข้ามาพร้อมกัน มันทำช้า ไม่เห็นใครว่าไร เงินเดือนเท่ากัน ไม่แฟร์ เค้าบอกทนๆไปก่อนเดี๋ยวสิ้นปีจะเลื่อนให้เป็น senior เค้าจะ support ให้ ผมบอกไม่ไหว นานไป ก็เลยถามเค้า senior เงินเดือนเท่าไร เค้าบอกมา ผมก็ว่าใช้ได้ 2x,xxx ก็เลยถามเค้าว่า senior ต้องทำอะไรได้บ้าง เขียนมาเลยเป็นข้อๆ แล้วผมจะรีบศึกษา ถ้าทำได้ตามนี้เมื่อไร ยูต้องปรับไอขึ้นนะ เค้าโอเค หลังจากนั้น หัวหน้าญี่ปุ่นเค้าก็เริมโยนงานของ senior มาให้ทำมากขึ้นเรื่อยๆ ครบสองเดือนก็เลื่อนครับ แต่พอดีที่ใหม่เค้ายื่นมา 30,000 เลยออกทันทีเลยครับ ผมถือว่าทำงานเพื่อเงิน เวลาของผมมีค่าที่สุด เรื่องความภักดีต่อองค์กรมันก็ส่วนหนึ่ง แต่ผมเลือกเงินไว้ก่อน เป็นฐานเงินเดือนดีกว่า
วิศวกรหลายๆ คนคงรู้ว่า เวลาหางานใหม่ ขอเงินเดือนเยอะไม่ได้ มันติดฐานเงินเดือนเก่า ใช่มั้ยครับ นั่นแหละครับ เหตุผลที่ผมเปลี่ยนงานบ่อยๆ
งานที่สุดท้ายเป็นลักษณะงานแบบเป็น Project ๆ ไป แล้วแต่ลูกค้า ส่วนมากจะอยู่ที่ต่างประเทศ ระยะเวลาก็แตกต่างกันออกไป มีตั้งแต่ 4 เดือน ถึง 1 ปี คนที่คุมงานโดยรวม Project Manager ท่านอื่นๆ ก็จะรับงานไปดูแลส่วนมากไม่เกิน 3 งาน ในเวลาเดียวกัน ทีนี้ โดยนิสัยฝรั่ง ถ้าเรากล้าขอ มันก็กล้าให้ (ถ้าไม่เสี่ยงมาก) ถ้าทำได้ก็ทำต่อไป ถ้าขอแล้วทำไม่ได้ อันนี้ลาออกสถานเดียวนะครับ พอดีจังหวะงานใหม่ที่เข้ามา ผมเป็นคนไปประชุมพร้อมกับเจ้าของมาแล้วหลายๆ ครั้ง รู้ที่มาที่ไปเกือบทั้งหมด
งานในส่วนที่ผมรับผิดชอบมันเริ่มล้าช้า ผมเลยถามว่าทำไมช้อมูลมันมาช้า ผมทำงานต่อไม่ได้ เจ้าของก็บอกว่าคนอื่นๆ เค้างานยุ่งกันหมด ไม่มีใครรับเป็นเจ้าภาพงานนี้เลย ผมเลยกลับมาคิด ดูรอบๆ ด้านแล้วน่าจะเอาอยู่ เลยเข้าไปคุยกับเจ้าของ อธิบายว่า ถ้าให้เราคุม เราจะทำอย่างไร ขั้นตอน แผนงาน เป็นยังไง เค้าขอเวลาคุยกับ Project Manager ท่านอื่นๆ ก่อน (มีอีก 2 คน) ระหว่างนั้นผมก็รีบโทรหาทั้งสองท่านทันที บอกเค้าว่าเราทำได้ อยากให้ช่วยสนับสนุนหน่อย ทั้งสองท่านก็บอกว่ามันเหนื่อยนะ แต่ถ้ายูอยากลอง ไอคิดว่ายูพอได้ แล้วเจ้าของเค้าก็บอกว่าโอเค ลุยได้เลย แล้วก็ยื่นเงินเดือนใหม่มาให้ เท่านี้อ่ะครับ ตอนนี้ก็เหนื่อยเหมือนกัน ใครทำงานกับฝรั่ง ลองดูก็ได้ครับ
มีอยู่คนนึง ผมนั่งสัมภาษณ์เค้าเข้าทำงาน นั่งกับ PM อีกคน คุยไปคุยมา พอถามเรื่องเงินเดือน พี่แกหันมาพูดไทยกับผมเฉยเลย ถามว่าผมได้เท่าไร ประมาณว่า กะว่าฝรั่งมันคงฟังไทยไม่รู้เรื่องมั้ง ผมก็บอก คุณอยากได้เท่าไรล่ะครับ ว่ามาเลย เค้าก็ย้ำอีก ถามว่าผมได้เท่าไรล่ะ กะว่าจะได้เรียกให้ใกล้เคียงกันมั้ง เลยบอกเค้าว่า เอาอย่างนี้แล้วกัน ผมให้คุณ 1 ล้าน คุณเอามั้ย เค้าบอกเอาครับ พี่ล้อเล่นรึเปล่า ผมบอกเปล่า พูดจริงๆ แต่ต้องตอบคำถามพี่ข้อนึงนะ เค้าบอก ถามมาเลยครับ ผมถาม "ไหนลองอธิบายให้ฟังหน่อยว่า คุณจะทำเงินให้บริษัท มากกว่าเดือนละ 1 ล้าน ได้ยังไง" เค้าบอก งั้นผมขอเงินเดือน 17,000 พอคับ ผมเข้าใจแล้ว
ผมทำ EPCM ครับ แนวปรึกษา, ออกแบบ, วางระบบ, สร้าง, Setup ระบบ เกี่ยวกับ Gas ทุกชนิด เพื่อปั่นไฟฟ้าตามไซด์งานลูกค้าครับ
แถมให้หน่อย เจ้าของบริษัทเค้าเคยบอกผมว่า คุณรู้มั้ย มืออาชีพต่างกับมือสมัครเล่นตรงไหน?
ผมบอกไม่รู้ครับ
เค้าบอกว่า มือสมัครเล่นจะทำงานไม่สำเร็จแม้ว่าเค้าอยากจะทำงานนั้นมากแค่ไหนก็ตาม และมีเหตุผลร้อยพันว่าทำไมมันถึงไม่สำเร็จ ส่วนมืออาชีพนั้นจะทำงานสำเร็จเสมอ แม้ว่าเค้าจะไม่อยากทำงานนั้นๆ เลยก็ตาม ไม่ว่าจะเบื่อหน่าย เหนื่อย ใดๆ ก็ตามแต่ งานจะเสร็จเสมอ แม้ว่าบางครั้งเค้าก็บอกเหตุผลไม่ได้เหมือนกัน
น่าจะมีประโยชน์ครับ เอามาแชร์
ตอนทำงานที่แรก (8,000)
จริงๆ แล้วเป็นบริษัทคนไทยร่วมทุนกับญี่ปุ่น เพื่อผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ส่งให้กับโรงประกอบรถยนต์ยี่ห้อต่างๆ มีตั้งแต่ อีซูซุ ไปถึง เบนซ์ เยอะแยะไปหมด แต่ว่าที่โรงงานนี้เค้าเน้นการสร้างเครื่องจักรใช้เองมากกว่าซื้อมาจากต่างประเทศ เพราะมันแพงมาก ผมเองเข้ามารับหน้าที่ตรงนี้ครับ แต่น แตน แต้น "ออกแบบเครื่องจักรที่ใช้ในการผลิต" ว่าแล้วทั่นหัวหน้าก็โยนชิ้นงานมาให้ดู เป็นตัวอย่างจากลูกค้า เราต้องผลิต xx,xxx ชิ้นต่อเดือน ออกแบบเครื่องให้หน่อย ให้เวลา 1 เดือน เอาล่ะสิครับทั่น ความระทึกมาเยือน เพราะต้องทำคนเดียว วิศวกรท่านอื่นๆ ก็ออกแบบเครื่องของแต่ละคน แยกจากกัน ไม่ได้ทำงานกันเป็นทีม ประมาณว่า All in one เหมือนรีจอยส์ น่ะครับ ฮา
ก่อนอื่น ก็ไปนั่งอ่านแคทตาลอกอุปกรณ์ไฟฟ้า เซ็นเซอร์ นิวเมติกส์ และอื่นๆ 2 วันเต็มๆ ในห้องเก็บเอกสาร เพื่อดูว่าโลกนี้เค้าใช้อะไรกันมั่ง ตอนนั้นรู้น้อยมากครับ อาศัยอ่านแคทตาลอกเอา รู้เรื่องบ้าง ไม่รู้บ้าง อ่านๆ ไปก่อน ฮา หลังจากนั้น ก็มานั่งบ้าอยู่คนเดียวในห้องประชุม เขียนไวท์บอร์ดไปเรื่อยๆ ว่าเครื่องมันหน้าตาควรจะเป็นยังไง จนได้ข้อสรุปที่คิดว่า นี่แหละ คำตอบสุดท้าย (Conceptual Design) เพื่อสรุปให้หัวหน้าเค้าฟังก่อนเริ่มลงมือทำ ต่อมาก็คือขั้นตอนการออกแบบรายละเอียดของตัวเครื่องในแต่ละชิ้น ขั้นตอนนี้หินที่สุด ปวดหัวมาก เพราะโจทย์มันครอบจักรวาล
เครื่องนี้จะต้อง
- ราคาไม่แพง
- ทำงานได้ดี
- ทนทาน
- ปลอดภัย
- ดูแลรักษาง่าย
- ประกอบง่าย
- มีความรวดเร้วในการทำงานสูง
- ประหยัดเนื้อที่ (ขนาดเล็ก) เพื่อไม่ให้เปลืองพื้นที่ในไลน์การผลิต
- และ อื่นๆ อีกมากมาย
เอาล่ะสิครับ หัวฟูเลย คิดแล้วคิดอีก เพราะว่ามันต้องตอบโจทย์ทั้งหมดในเวลาเดียวกัน คิดอยู่สองวัน งานไม่เดิน จนทนไม่ไหว ขอลาช่วงเช้าวันรุ่งขึ้น เพื่อกลับสถาบัน เตรง เตร่ง เตร๊ง (ลิเกไปมั้ยวะเนี่ย)
พอเจอทั่นอาจารย์ที่เคารพ (อ.ที่ปรึกษา) ก็เค้าไปคุยเพื่อขอคำชี้แนะ ผมก็เล่าให้ท่านฟังว่าเราไปไม่ถูก ตัวแปรมันเยอะเกิน คิดพร้อมกันมันปวดหัว ไปไม่เป็นเลยครับทั่น อาจารย์ท่านก็หัวเราะ แล้วก็ส่ายหัว (เราก็นึกในใจ สงสัยเราจะโง่มากเลยใช่มั้ยครับ) แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ช้าๆ ว่า
"คุณรู้มั้ยว่า textbook ที่คุณเรียนน่ะ ไอ้ที่มันหนาๆ เป็นร้อยๆ หน้าอ่ะนะ เวลาเค้าเขียนขึ้นมาเค้าเขียนยังไง"
ผมตอบทันควันด้วยความมั่นใจ "ไม่ทราบครับ"
ท่านกล่าวต่อ (ประโยคอมตะสำหรับผมเลยครับ จะจำจนวันตาย) "เวลาเค้าเขียนน่ะ เค้าเขียนทีละตัวอักษร ทีละตัว ทีละตัว จนเป็นคำ"
"จากคำ เป็นประโยค เป็นย่อหน้า เป็นหน้า หลายๆ หน้า ก็เป็นเล่ม"
"คุณกำลังทำอะไรอยู่ เขียนทีละคำ หรือเขียนทีละเล่ม?"
วาบ วาบ แปล๊บ แปล๊บ (เอ็ฟเฟ็กส์) เหมือนมีแสงวาบๆ ในหัวทันที มันโล่งบอกไม่ถูก พูดแล้วน้ำตาซึม เรามีอาจารย์ดีอย่างนี้ เป็นบุญจริงๆ แล้วท่านก็กล่าวต่อว่า "เราเป็นวิศวกรแล้วนะ วิศวกรที่ดี จะต้องไม่ทำอะไรที่ดูแล้ว ไม่ฉลาด เข้าใจมั้ย" หลังจากนั้นมาก็ลื่นเลยคับ คิดทีละเรื่อง อย่างอื่นช่างมัน ดูน็อตทีละตัว ค่อยๆ ทำไปเรื่อยๆ แก้ไขปรับแต่งไปเรื่อยๆ ไม่เครียดแล้วคราวนี้รู้สึกสนุกมาก เครื่องเสร็จเรียบร้อย ทำงานได้ดี ไม่มีปัญหา คิดว่าคำสอนของท่านอาจารย์ผมน่าจะมีประโยชน์กับหลายๆ คน
เล่าสู่กันฟังครับ
กระผมเองมีจุดประสงค์ที่จะแบ่งปันประสบการณ์ผ่านพบมากับตัวเอง แน่นอนว่า พื้นฐานของแต่ละคน เติบโตมาไม่เหมือนกัน ผมเองนั้น ทำงานที่บริษัทใหญ่ๆ มาแค่สองที่แรกเท่านั้นเองครับ ที่เหลือเป็นบริษัทขนาดกลาง ถึงเล็กด้วยซ้ำ เพราะผมรู้ว่า บริษัทใหญ่ มันเงินเดือนน้อย โตยาก (จากที่กล่าวไปข้างบนแล้ว) ผมรู้สึกว่ามันช้าไม่ทันใจ เลยออกมาเข้าบริษัทเล็กๆ ดีกว่า เริ่มตั้งแต่บริษัทที่สาม ที่ทำงานมา ถึงรู้ว่า บริษัทเล็กๆ นั้น ส่วนมากไม่ค่อยมี HR หรอกครับ คนที่สัมภาษณ์เรา เป็นหัวหน้าเราโดยตรง ไม่ก็เจ้าของบริษัทเลย ดังนั้น คนเหล่านี้จะไม่เหมือน HR ที่มานั่งดูว่าคุณเคยทำอะไรมา แต่คนเหล่านี้จะถามซ้ำไป-ซ้ำมา ว่าคุณทำอะไรได้บ้างนับจากนี้เป็นต้นไป ถ้าตอบคำถามเหล่านี้ได้ พร้อมกับสร้างความมั่นใจในเชิงบวกได้แล้ว เงินเดือนที่เราเรียกร้องย่อมเป็นไปได้ ตราบเท่าที่ยังอยู่ในจุดคุ้มของบริษัท ผมย้ำไว้ข้างบนสุดละ หลายๆ ทีว่า ต้องพร้อมจริงๆ ถึงจะทำได้
ความพร้อมที่ว่านี้ หมายถึงความพร้อมที่จะรับทั้งผิด และ ชอบ ต้องยอมรับงานที่หนัก กดดัน เหมือนขึ้นที่สูง และพร้อมยอมรับ ถ้าถูกไล่ออกเมื่อทำไม่ได้ (แน่นอนว่า บริษัทใหญ่ๆ จะใช้ระบบเป็นตัวรับผิดชอบแทน คุณไม่ต้องมารับความเสี่ยงตรงนี้ ดังนั้น การอยู่บริษัทใหญ่ๆ จะมั่นคงกว่า) ใครก็ตามที่คิดจะเลียนแบบวิธีการของผม ผมกลับคิดว่ามันเป็นประโยชน์ต่อบริษัทที่เค้า/เธอ ทำงานอยู่ ณ. ปัจจุบันนี้ซะอีก เพราะนั่นหมายความว่า เขา/เธอ เหล่านั้น จะไม่ทำงานแบบซังกะตายอีกต่อไป หากแต่จะรีบทำงานที่อยู่ในความรับผิดชอบของตนอย่างรวดเร็ว เพื่อจะได้มีเวลาเหลือสำหรับการของานที่นอกเหนือหน้าที่ตนเองมาทำ เพื่อศึกษามัน ย่อมส่งผลให้ประสิทธิถาพการทำงานของเขา/เธอ สูงขึ้น ขณะเดียวกัน หลังเลิกงาน กลับไปที่บ้าน แทนที่จะไปนั่งดูละคร หรืออะไรก็ตาม ที่มันไร้สาระ กลับใช้เวลาที่ยังพอมีก่อนนอนมานั่งศึกษา หาหาความรู้ใส่ตัว เพื่อทำให้ตัวเองพร้อมมากที่สุด สำหรับตำแหน่ง - เงินเดือน ที่ต้องการ
ในที่ทำงาน เมื่อเจอเจ้านาย/หัวหน้า/ลูกค้า/เพื่อนร่วมงาน งี่เง่า เขา/เธอ จะไม่บ่นหรืออารมย์เสียอีกต่อไป หากแต่จะคิดทันทีว่า เมื่อใดที่เธอได้ทำงานในตำแหน่ง-เงินเดือน (ที่วางเป้าหมายไว้) เขา/เธอ จะแก้ปัญหาเหล่านั้นได้อย่างไร
เสต็ปถัดไป
เขา/เธอ เริ่มศึกษาหาโอกาสทันที โดยไม่ต้องรอให้ใครมาสั่ง เริ่มมาดูโครงสร้างบริษัท รายได้ รายจ่าย รายชื่อลูกค้า กำไรต่อปี นโยบาย ภาพรวมตลาด เมื่อ เขา/เธอ พร้อมแล้วที่จะท้าลองก้าวขึ้นสู่ระดับที่สูงขึ้น ความมั่นใจตรงนี้มาจากการทำการบ้านมาดี ว่าแล้วก็เริ่มคิดแผนการณ์ อัพตัวเองทันที บ้างก็วางแผนจะเสนอตัวเป็นหัวหน้าแผนกใหม่ บ้างก็เสนอให้บริษัทเจาะตลาดใหม่ๆ โดยให้ เขา/เธอ เป็นหัวหน้าทีมบุกเบิก บ้างก็รอจังหวะงานเข้ามากๆ แล้วรีบเข้าไปเสนอตัว บ้างก็เสนอตัวเข้าแก้ปัญหาที่เรื้อรังมานานขององค์กร เมื่อโอกาสมาถึง + ดวงสักเล็กน้อย ย่อมเป็นไปได้ครับ
ผมไม่เห็นมันจะเสียหายตรงไหน ที่จะเสี่ยง ถึงแม้มันไม่ได้ตามที่ เขา/เธอ คาดหวัง แต่อย่างน้อย มันก็ทำให้ เขา/เธอ พร้อมมากขึ้นในการยื่นข้อเสนอครั้งต่อไป ในเมื่อคนเรามีเวลาจำกัด ทำงานไม่กี่ปีก็แก่ ผมเห็นว่ามันน่าจะเป็นประโยชน์ เลยมาแบ่งปัน
หลายๆ คนที่เข้ามาอ่าน อาจจะพร้อมมากกว่าผมก็ได้ แต่ไม่มีเส้นสาย หรือไม่กล้าเข้าไปคุย ผมก็แนะนำ หรือบางคนทำงานไปแกนๆ งั้นๆ สิ้นปีก็มานั่งบ่น เงินเดือนน้อย โบนัสน้อย ผมก็แนะนำ ให้แก้ปัญหาให้ตรงจุด
| | | | |
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Max
|
|
« ตอบ #273 เมื่อ: 03 เมษายน 2551, 11:56:36 » |
|
ดีครับน้องออดิท
อ่านแล้วเป็นกำลังใจได้มากทีเดียวครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #274 เมื่อ: 18 เมษายน 2551, 12:19:53 » |
|
1900 222 200 บริจาค 9 บาทได้ไหม เพื่อผู้ป่วยโรคเอดส์ทุกคน ให้วัดพระพุทบาตรน้ำพุ สายทานบารมี จะใช้บริจาคได้กับโทรศัพท์ทุกระบบยกเว้นฮัทช์ สำหรับท่านที่โทรจากโทรศัพท์พื้นฐานของ TOT จะได้บริจาคให้กับทางวัด 9 บาทเต็มๆ แต่ถ้าเป็นระบบอื่นไม่ว่าจะจากมือถือหรืออะไรก็ตามทาง 1900 จะให้วัดพระบาทน้ำพุ 7.50 บาท เวลาโทรไป เค้าจะบอกให้กด 1 เพื่อยืนยันการบริจาค ทดสอบแล้วครับ กดกันเรื่อยๆ บ่อยๆ ก้อได้นะ ตาแคม
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ชาร์ป
|
|
« ตอบ #275 เมื่อ: 18 เมษายน 2551, 16:18:57 » |
|
เรื่องของคิม ฟุค คิม ฟุค คือเด็กหญิงชาวเวียดนามใต้คนนั้น ซึ่งช่างภาพอเมริกันได้ถ่ายไว้ ขณะที่เธอและเพื่อนบ้านกำลังแตกตื่นหนีภัย แม้เธอจะรอดตายจากระเบิดนาปาล์มที่ทิ้งลงหมู่บ้านของเธอ แต่ไฟก็ได้เผาลวกผิวหนังของเธอถึง 65 เปอร์เซ็นต์ เธอต้องรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลถึง 14 เดือน และผ่านการผ่าตัดถึง 17 ครั้งกว่าจะหายเป็นปรกติ เธอยังโชคดีเมื่อเทียบกับลูกพี่ลูกน้องอีก 2 คน ซึ่งตายเพราะทนพิษบาดแผลไม่ไหว นั่นคือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปี 2515 เมื่อเวียดนามกลายเป็นคอมมิวนิสต์ 3 ปี ต่อมาก็ไม่มีข่าวคราวของเธอปรากฏสู่โลกภายนอกอีกเลย
แต่แล้ววันหนึ่งในปี 2539 คิม ฟุค ก็ได้มาปรากฏตัวอยู่ต่อหน้าชาวอเมริกัน ซึ่งเคยผ่านสมรภูมิเวียดนาม เธอได้รับเชิญให้มาพูดเนื่องในโอกาสวันทหารผ่านศึก ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. การได้มาเผชิญหน้ากับกลุ่มคนซึ่งครั้งหนึ่ง เคยมาทำลายบ้านเกิดเมืองนอนของเธอ ทำให้ญาติพี่น้องของเธอต้องตาย และเกือบฆ่าเธอให้ตายไปด้วยนั้น ไม่ใช่เป็นเรื่องที่ทำใจได้ง่ายนัก แต่เธอมาก็เพื่อจะบอกให้พวกเรารู้ว่า สงครามนั้นได้ก่อความทุกข์ทรมานแก่ผู้คนอย่างไรบ้าง หลังจากที่เล่าถึงประสบการณ์อันเจ็บปวดของเธอแล้ว เธอก็ได้เผยความในใจว่า มีเรื่องหนึ่ง ที่เธออยากจะบอกต่อหน้านักบินที่ทิ้งระเบิดใส่หมู่บ้านของเธอ พูดมาถึงตรงนี้ก็มีคนส่งข้อความมาบอกว่า คนที่เธอต้องการพบกำลังนั่งอยู่ในห้องประชุมนี้ เธอจึงเผยความในใจออกมาว่า “ฉันอยากบอกเขาว่า เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ได้ แต่เราควรพยายามทำสิ่งดี ๆ เพื่อ ส่งเสริมสันติภาพทั้งในปัจจุบัน และอนาคต” เมื่อเธอบรรยายเสร็จ ลงมาจากเวที อดีตนักบินที่เกือบฆ่าเธอก็มายืนอยู่เบื้องหน้าเธอ เขามิใช่ทหารอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นศาสนาจารย์ประจำโบสถ์แห่งหนึ่ง เขาพูดด้วยสีหน้าเจ็บปวดว่า “ผมขอโทษ ผมขอโทษจริง ๆ” คิมเข้าไปโอบกอดเขาแล้วตอบว่า “ไม่เป็นไร ฉันให้อภัย ฉันให้อภัย” ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่เราจะให้อภัย โดยเฉพาะกับคนที่ทำร้ายเราปางตาย คิม ฟุค เล่าว่าเหตุการณ์ ครั้งนั้นสร้างความทุกข์ทรมานแก่เธอทั้งกายและใจ จนเธอเองก็ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างไร แต่แล้วเธอก็พบว่าสิ่งที่ทำร้ายเธอจริง ๆ มิใช่ใครที่ไหน หากได้แก่ความเกลียดที่ฝังแน่นในใจเธอนั่นเอง “ฉันพบว่าการบ่มเพาะความเกลียดเอาไว้สามารถฆ่าฉันได้” เธอพยายามสวดมนต์และแผ่เมตตาให้ศัตรู และแก่คนที่ก่อความทุกข์ให้เธอ แล้วเธอก็พบว่า “หัวใจฉันมีความอ่อนโยนมากขึ้น เรื่อย ๆ เดี๋ยวนี้ฉันสามารถอยู่ได้โดยไม่ต้องเกลียด”
เราไม่อาจควบคุมกำกับผู้คนให้ทำดี หรือไม่ทำชั่วกับเราได้ แต่เราสามารถควบคุมกำกับจิตใจของเราได้ เราไม่อาจเลือกได้ว่ารอบตัวเรา ต้องมีแต่คนน่ารักพูดจาอ่อนหวาน แต่เราสามารถเลือกได้ว่าจะทำใจอย่างไร เมื่อประสบกับสิ่งไม่พึงปรารถนา คิม ฟุค ได้เรียนรู้จากประสบการณ์ของตัวเองว่า ”ฉันน่าจะโกรธ แต่ฉันเลือกอีกทางหนึ่ง แล้วชีวิตของฉันก็ดีขึ้น” บทเรียนของ คิม ฟุค คือ ในเมื่อเราเปลี่ยนแปลงอดีตไม่ได้ เราจึงไม่ควรปักใจอยู่กับอดีต แต่เราสามารถเรียนรู้จากอดีตเพื่อทำปัจจุบัน และอนาคตให้ดีขึ้น “การอยู่กับความโกรธ เกลียด และความขมขื่นนั้น ทำให้ฉันเห็นคุณค่าของการให้อภัย" [/quote]
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ชาร์ป
|
|
« ตอบ #276 เมื่อ: 13 พฤษภาคม 2551, 01:12:11 » |
|
เอ้า ... มีน้องชมรม (ไอ้ซานน่ะ) เขาบอกว่าที่บริษัทต้องการคน น่ะ ... ตำแหน่งดีด้วยนะ เผื่อมีคนสนใจครับ .... ...
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #277 เมื่อ: 14 พฤษภาคม 2551, 18:55:21 » |
|
มันก็มองกันได้หลายๆมุม..จากของน้องออดิท..
สำหรับผม..ผมมองที่ connection มากกว่าเงินน่ะ..เพราะรู้สึกว่า..ยังไงก็ไม่อดตาย มันจะมีโน่นมีนี่ให้เสมอเลย..โดยที่ไม่ต้องเครียดมาก มันจะมีรายได้จากหลายๆแหล่งมาเสมอๆเลยล่ะ..
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
too
ตู้ rcu85
Hero Cmadong Member
ออฟไลน์
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์
กระทู้: 1,281
|
|
« ตอบ #278 เมื่อ: 16 พฤษภาคม 2551, 11:44:35 » |
|
ความสุข ๒ ชั้น ( ธรรมะเดลิเวอรี่) พระมหาสมปอง ตาลปุตฺโต อาตมาอ่านเจอกลอนในหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง ที่ผู้เขียนระบายไว้ได้สาแก่ใจมากเลย
เร็ว ก็หาว่าล้ำหน้า ช้า ก็หาว่าอืดอาด โง่ ก็ถูกตวาด พอฉลาด ก็ถูกระแวง ทำก่อน บอกไม่ได้สั่ง ทำทีหลัง บอกไม่มีหัวคิด เฮ้อ นี่แหละชีวิตคนทำงาน
ข้างต้น น่าจะเป็นกลอนที่โดนใจบรรดาคนทำงานหลายๆ คน เพราะสะท้อนความรู้สึกกดดันอย่างชัดเจน ซึ่งจากการได้พูดคุยกับโยมที่เข้ามาปรึกษาหารือถึงสาเหตุที่ทำงานกันอย่าง ไม่มีความสุขก็มีปัจจัยมากมาย เช่น ทำงานที่ตัวเองไม่ถนัด ทำงานที่ไม่ชอบ โดนหัวหน้างานกดขี่ หรือรู้สึกว่าหน้าที่ที่ตัวเองได้รับมอบหมายนั้นต่ำต้อย ฯลฯ โดยจะว่าไปแล้ว บริษัทก็เหมือ นกับบ้านหลังที่สองของเรา บางคนใช้ชีวิตในบริษัทมากกว่าที่บ้านซะอีก เพราะต้องตื่นขึ้นมาทำงานตั้งแต่ตี ๔ ตี ๕ กลับถึงบ้านก็ ๒-๓ ทุ่ม วันหนึ่งมี ๒๔ ชั่วโมง หากต้องใช้ชีวิตในการทำงาน (รวมนั่งรถไป-กลับ) วันละ ๑๐ กว่าชั่วโมงแล้ว ถ้าโยมไม่มีความสุขกับงานที่ทำ จึงเป็นเรื่องที่น่าเห็นใจมากๆ อาตมาชอบใจคุณยามที่บริษัทแห่งหนึ่งมาก เคยถามเขาว่า ไม่เบื่อเหรอ เปิดประตูทั้งวัน เขาตอบกลับอย่างฉะฉานว่า “ ไม่เบื่อหรอกครับท่าน เพราะคนจะเข้าไปที่นี่ได้หรือไม่ได้ มันอยู่ที่ผม ถ้าผมไม่เปิดประตู ไม่อนุญาตหรือบอกไม่ให้เข้า เขาก็ไม่ได้เข้านะ อย่างพระอาจารย์มาบรรยายที่นี่ ผมไม่ให้เข้าก็ได้ ... แต่ผมให้เข้าครับ ” ( แล้วไป) อาตมาจึงไม่แปลกใจเลย เวลาไปทำธุระที่บริษัทนี้ทีไร มักเห็นเจ้าหมอนี่ ทำหน้าที่ตัวเองอย่างกระตือรือร้น ก็เพราะเขามีทัศนคติที่ดีต่อหน้าที่ เห็นความสำคัญของตัวเอง จึงทำให้เขาทำงานได้อย่างมีความสุข (แถมมีมุขอำกลับอาตมาอีกต่างหาก) ดังนั้นอาตมาจึงอยากจะหนุนใจญาติโยมที่กำลังรู้สึกย่ำแย่กับงานของตัวเองว่า
ถ้าเราทำงานจนเมื่อยมือเหลือเกิน ก็จงดีใจเถอะ ที่มีมือให้เมื่อย ถ้าเราเดินไปเดินมาจนปวดขาเหลือเกิน ก็จงดีใจเถอะ ที่มีขาให้ปวด ถ้าเราเห็นหัวหน้า แล้วเซ็งเหลือเกิน ก็จงดีใจเถอะ ที่มีหัวหน้าให้เซ็ง ถ้าเราเห็นงาน แล้วเราเบื่องานเหลือเกิน ก็จงดีใจเถอะ ที่มีงานให้เบื่อ
เพราะหลายคนพอไม่มีงานให้ทำ ก็จะประท้วงกัน อยากทำงาน ! อยากทำงาน ! ดังนั้นเมื่อคุณโยมมีโอกาสทำแล้ว ก็จงทำให้ดีที่สุด เริ่มต้นด้วยการเปลี่ยนทัศนคติต่องานที่ทำก่อน เห็นความสำคัญของหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายให้ได้ ทำมันอย่างเต็มที่และดีที่สุด เหมือนดั่งคุณยามที่อาตมายกมาเป็นตัวอย่างข้างต้น อาตมาเคยอ่านเจอคำแนะนำของท่านพระธรรมปิฎก ( ป.อ.ประยุตฺโต) ในหนังสือเล่มหนึ่ง ท่านเขียนชี้แนะไว้ว่า งานมีผลตอบแทนสองชั้นด้วยกัน ผลตอบแทนชั้นที่ ๑ คือ ตอนเงินเดือนออก นี่คือความสุขชั้นที่หนึ่ง ซึ่งหลายๆ คนมีความสุขในการทำงานแค่วันนั้นวันเดียว แต่ถ้าเราสามารถพัฒนาตัวเองไปพร้อมกับงานได้ มันก็จะก้าวไปสู่อีกระดับ อันนำมาซึ่งผลตอบแทนหรือความสุขชั้นที่ ๒ นั่นเอง หนึ่งเดือน คุณโยมอยากมีความสุขเพียง ๑ ชั้น หรือ ๒ ชั้น ก็เลือกเอาตามใจชอบเลย เจริญพร...
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #279 เมื่อ: 27 พฤษภาคม 2551, 16:11:10 » |
|
บทความจาก นสพ. กรุงเทพธุรกิจ เขียน โดย คุณ บุญเกียรติ โชควัฒนา
-------------------------------------------------------------------
จากการสังเกตผมมีความรู้สึกว่าคนส่วนมากไม่ค่อยได้ใช้ความคิดพิจารณาไตร่ตรอง ในสิ่งต่างๆที่ตนทำอยู่หรือเป็นอยู่ และคนเป็นจำนวนมากอยู่เหมือนกันที่ไม่รู้ว่าตนเอง เป็นคนที่ไม่ค่อยใช้ความคิด แต่คนที่มีคนมาบอกว่าตนไม่ค่อยใช้ความคิดก็มักจะเถียงว่า ตนเองที่จริงแล้วเป็นคนที่คิดอยู่เหมือนกัน หรือบางคนก็ชอบพูดว่าจะคิดไปทำไมเปล่าประโยชน์ หรือคิดไปก็กลุ้มใจ คิดไปก็ช่วยอะไรไม่ได้ คิดไปก็เสียเวลา คิดแล้วเศร้า เป็นต้น การที่คนเราไม่ค่อยคิดหรือที่เรียกกันว่า ใช้ความคิด เกิดจากสาเหตุหลายๆ ประการ ซึ่งผมพอจะสรุปหัวข้อหลักๆ ได้ดังนี้
1) ข้อมูลข่าวสารต่างๆ ในปัจจุบันมีมากมาย ทำให้คนเราไม่ต้องใช้ความคิดในการที่จะทำอะไร เวลาต้องการอะไรสักอย่างก็ไปเอาหนังสือมาอ่าน หรือเข้าไป search ใน Internet หรือถามเอาจากคนที่รู้เพราะเราอยู่ในยุคของข้อมูลข่าวสาร
2) พ่อแม่หรือผู้ใหญ่ไม่ค่อยสอนให้ลูกๆ คิด ถ้าจะคิดเป็นหรือไม่เป็นมักขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล เพราะตัวพ่อแม่เองก็ไม่ค่อยได้ใช้ความคิดเหมือนกัน พ่อแม่สมัยนี้เน้นไปทางแนะนำ ชี้แนะ ชี้นำ หรือสั่ง และสนใจที่จะให้ลูกได้ความรู้จากโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัย ซึ่งไม่ค่อยได้เน้น เรื่องความคิด หรือวิธีการคิดมากสักเท่าไรเลย
3) เนื่องจากพ่อแม่จำนวนมากก็เป็นคนที่ไม่ใช้ความคิดอยู่แล้ว ก็ไม่เข้าใจหรือไม่สนับสนุน การที่ลูกจะเป็นคนช่างคิดด้วยคำพูดที่ว่า 3.1) อย่าเอาแต่คิด ทำซะบ้าง 3.2) คิดแล้วต้องทำด้วยนะ 3.3) อย่าคิดอะไรที่มันเป็นไปไม่ได้ 3.4) อย่าคิด (ฝัน) อะไรลมๆ แล้งๆ 3.5) อย่าเสียเวลาคิดเลย ไม่มีประโยชน์ ฯลฯ ความคิดหรือคำพูดต่างๆ ที่กล่าวมาข้างต้นยิ่งเป็นการบั่นทอนความสามารถในการคิดของลูก
4) การศึกษาในปัจจุบันก็ไม่ค่อยได้เน้นการใช้ความคิด เพราะไปเน้นเรื่องการให้ความรู้ ข้อมูล ข่าวสารมากกว่าเพราะความรู้และข้อมูลในสมัยนี้มีมากเหลือล้น การฝึกสอนให้นักเรียน นักศึกษาใช้ความคิดมีแต่จะน้อยลงๆ ไป
5) สิ่งแวดล้อม สังคม และความเป็นอยู่ก็ไม่เอื้ออำนวยให้คนเราใช้ความคิด เช่น การดูโทรทัศน์ การเล่นเกมคอมพิวเตอร์ การดูหนังดูละคร ส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีอะไรที่สนับสนุน ให้คนใช้ความคิด เป็นแค่ความบันเทิง และเมื่อคนติดกับการดูโทรทัศน์ การเล่นเกม เวลาที่จะใช้ในการคิดก็ลดลงจนใกล้สูญ รวมทั้งอาชีพของคนสมัยนี้ที่ต้องมีความเร่งรัด มากขึ้นด้วยแค่ทำให้เสร็จตามที่ได้รับมอบหมายก็ดีแล้ว
ที่กล่าวมานี้ก็คือข้อสรุปว่าทำไมคนถึงคิดน้อย แต่ถ้าสังเกตดีๆ แล้วจะพบว่าคนที่ประสบ ความสำเร็จในชีวิตการทำงานและมีฐานะดี เกือบทั้งหมดเป็นคนช่างคิดทั้งสิ้น และกลุ่ม ที่สำเร็จมากๆ มักจะเป็นกลุ่มที่คิดบวกกับตัวเอง กับผู้อื่น และกับสถานการณ์ที่ตนประสบ คนที่คิดลบถึงแม้ว่าจะเป็นคนชอบคิด ก็มักจะกลายเป็นคนคิดมาก คิดในเรื่องที่บั่นทอน ศักยภาพของตนเอง แต่คนที่คิดบวกก็จะคิดว่าตนเองจะทำอย่างไรให้ตนเองประสบความ สำเร็จ ค้นคิดหรือเสาะหาความคิดใหม่ๆ หรือหลักคิดดีๆ ที่ทำให้ตนเองมีศักยภาพใน การดำเนินชีวิตให้ดีขึ้น
ผมเป็นคนที่มีความโชคดี เพราะคุณพ่อผมเป็นคนที่คิดบวก และได้แนะนำผมตั้งแต่เล็กเลยว่า ให้เป็นคนที่หมั่นทบทวนตนเอง และคุณพ่อบอกว่าคุณพ่อจะทบทวนตนเองก่อนนอนเสมอว่า วันนี้ทำอะไรถูกทำอะไรผิด ทำอะไรดีทำอะไรไม่ดี และตอบตนเองว่าพรุ่งนี้จะทำให้ดี ขึ้นได้อย่างไร
และยังเป็นคนที่คิดอยู่ตลอดเวลา ไม่ใช่คิดแต่เรื่องที่สร้างความบันเทิงให้แก่ตนเอง แต่ เป็นการคิดอยู่ตลอดเวลาที่จะทำให้ตนเองทำอะไรสำเร็จ หรือทำให้องค์กรที่ตนเองรับผิดชอบ ประสบความสำเร็จ
ผมเลยเป็นคนช่างคิด ช่างสังเกตตามคุณพ่อ แต่ช่วงเด็กๆ โทรทัศน์ก็เป็นสิ่งที่เบี่ยงเบน ความสนใจในเรื่องของความคิดไปมาก บวกกับเรื่องการคบเพื่อนที่อาจจะไม่ใช่คนช่างคิด หรือช่างคิดแต่ค่อนไปทางคิดลบ แต่หลังจากที่มีความเข้าใจเรื่องการคิดบวกแล้ว ทำให้การใช้ความคิดนั้นมีมากขึ้นเป็นอย่างมาก
กอปรกับการที่จะต้องแนะนำผู้ใต้บังคับบัญชา สอนนักศึกษาและเขียนหนังสือก็ยิ่งทำให้ ความคิดนั้นแตกฉาน แตกแขนงไปมากขึ้น
การที่จะฝึกใช้ความคิดต้องเริ่มจากการที่มีความตั้งใจว่าจะเริ่มฝึกคิด และเชื่อว่าการคิดนั้น จะมีประโยชน์ต่อตนเอง ต่อผู้อื่นและต่อสังคม และต้องเชื่ออีกว่าเราเป็นคนที่คิดได้คิดเป็น (บางคนชอบพูดกับตนเองหรือกับผู้อื่นอยู่เสมอว่าตัวเองเป็นคนที่คิดไม่เป็นและพูดอย่างนี้บ่อยๆ แล้วเมื่อไรจะคิดเป็น) และต้องให้เวลาในแต่ละวันกับการคิด เช่น มีเวลาเงียบของตนเอง สักครึ่งชั่วโมง หรือบางคนก็อาจจะใช้วิธีคิดทุกเวลาที่มีโอกาส เช่น ขับรถ เข้าห้องน้ำ อาบน้ำ ฯลฯ แล้วต้องตั้งโจทย์ขึ้นมาไว้อยู่หลายๆ โจทย์ว่าเราต้องการคิดต้องการทำอะไรเพื่อ ให้ประสบผลสำเร็จกับตัวเอง กับการงานหรือกับองค์กร และถ้าตั้งไว้อย่างมั่นใจมั่นคงแล้ว เวลาคิดคำตอบก็อาจจะผุดขึ้นมาได้
วิธีหนึ่งที่ผมใช้ก็คือ โจทย์ข้อไหนที่คิดไม่ออกให้นำมาคิดก่อนเข้านอน คิดจนหลับไปเลย แล้วอาจจะตื่นขึ้นมาด้วยคำตอบ นี่เป็นเทคนิควิธีทำให้จิตใต้สำนึกซึ่งไม่เคยหลับของเราช่วยคิดให้
การศึกษาในปัจจุบันก็ให้ความสำคัญกับการฝึกคิดของนักเรียนน้อยลง เช่น ไม่มีสอนให้คิดเลข ในใจในบางสถาบัน เป็นต้น จะสอนให้รู้ สอนให้จำและท่องมากกว่า แม้แต่ในมหาวิทยาลัย การสอนให้ทำความเข้าใจก็คือ การสอนให้คิดเพราะต้องคิดก่อนถึงเข้าใจ
ครูผู้สอนมักอธิบายวิธีทำวิธีคิดให้เลย โดยไม่ให้โอกาสนักเรียนนักศึกษาได้มีโอกาสฝึกคิดก่อน และถ้าข้อสอบที่ออกมาก็ออกมาตามที่สอนเอาไว้ นักเรียนก็ได้แต่จำวิธีที่ครูแนะนำมาตอบ ข้อสอบเท่านั้นเอง และยิ่งเป็นข้อสอบปรนัยด้วยแล้ว ก็ยิ่งเพิ่มความสามารถในการเดาเข้าไปอีก
แม้แต่เกมโชว์ที่มีในโทรทัศน์ในปัจจุบันก็มักไม่ค่อยมีการตอบคำถามที่ต้องใช้ความคิด มีแต่คำถามที่ต้องใช้ความรู้ ความจำ หรือ การเดา เพราะถ้าเป็นเกม ที่ใช้ความคิดก็อาจจ ะไม่ได้รับความนิยม
ทั้งหมดที่กล่าวมานี้เขียนเพื่อที่จะจุดประกายให้คนเราช่วยทบทวนตนเองว่า เราเป็นคนที่ใช้ความคิดของเราเองมากน้อยแค่ไหน และประโยชน์ของการคิดมีอย่างไรบ้าง!
-----------------------------------------
ตาแคม :wink:
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ชาร์ป
|
|
« ตอบ #280 เมื่อ: 24 มิถุนายน 2551, 14:34:42 » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #281 เมื่อ: 30 มิถุนายน 2551, 12:45:46 » |
|
ในยุคที่ข่าวสารวิ่งเข้ามาทุกทิศทุกทางอย่างไม่หยุดยั้ง ในยุคที่มีการแบ่งเป็นก๊กเป็นเหล่า โยนข้อมูลใส่กันอย่างไม่หยุดหย่อน ในยุคที่ช่องทางการสื่อสาร มีมากมาย โดยเฉพาะอินเตอร์เน็ต ซึ่งเป็นช่องทางที่บริโภคได้ง่าย Forward Mail, Board ของผู้ทรงภูมิ ทั้งหลาย เลยพลอยให้ผมกลับไปนึกถึงวิชาพระพุทธศาสนาที่เคยเรียนตอนเด็กๆ
กาสามสูตร หรือ หลักแห่งความเชื่อ ก่อนที่จะเชื่อ จงพิจารณาก่อนที่จะเชื่อ
1. อย่าเพิ่งเชื่อตามที่ฟังๆ กันมา 2. อย่าเพิ่งเชื่อตามที่ทำต่อๆ กันมา 3. อย่าเพิ่งเชื่อตามคำเล่าลือ 4. อย่าเพิ่งเชื่อโดยอ้างตำรา 5. อย่าเพิ่งเชื่อโดยนึกเดา 6. อย่าเพิ่งเชื่อโดยคาดคะเนเอา 7. อย่าเพิ่งเชื่อโดยนึกคิดตามแนวเหตุผล 8. อย่าเพิ่งเชื่อเพราะถูกกับทฤษฎีของตน 9. อย่าเพิ่งเชื่อเพราะมีรูปลักษณ์ที่ควรเชื่อได้ 10. อย่าเพิ่งเชื่อเพราะผู้พูดเป็นครูบาอาจารย์ของตน
รักทุกคนนะ จุ๊บๆ :wink:
ตาแคม
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Mr.EggMan
|
|
« ตอบ #282 เมื่อ: 30 มิถุนายน 2551, 18:31:39 » |
|
เหมาะสมอย่างยิ่ง กะยุคนี้ สมัยนี้
ตัด..ฉับ..ฉับ หั่นค่าใช้จ่ายสไตล์ "กำพล อัศวกุลชัย" ยุคข้าวยากหมากแพงแบบนี้ ใครๆ ก็อยากให้มีรายได้วิ่งให้ทันค่าใช้จ่ายกันทั้งนั้น แต่ในโลกแห่งความเป็นจริง ช่างเป็นเรื่องยากเสียเหลือเกิน วันนี้ "กำพล อัศวกุลชัย" ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ บลจ.ไทยพาณิชย์ จะมาแนะนำวิธีที่จะช่วยลดความอ้วนของรายจ่ายลงไปบ้าง เพื่อให้ทุกคนมีเงินเหลือพอให้เก็บออมกันมากขึ้น ในยามที่ข้าวของปรับราคาขึ้นตั้งมากมาย กำพล ได้แนะ 10 วิธีเพื่อลดค่าใช้จ่าย ที่สามารถหั่นและตัดได้ อย่างที่บางทีหลายคนก็นึกไม่ถึง 1. ค่าโทรศัพท์มือถือ ค่าโทรศัพท์มือถือเป็นอย่างแรกที่กำพลบอกว่าทุกคนควรจะหันมาพิจารณาลดค่าใช้จ่าย เพราะค่าโทรศัพท์มือถือนี้ค่อนข้างแพงเอาการอยู่ และที่สำคัญคือตอนอยู่บ้าน หรือออฟฟิศก็ไม่คุยกับเพื่อน พอออกจากบ้านหรือออกจากออฟฟิศ ทีไรเป็นต้องหยิบโทรศัพท์มือถือ มาคุยกันเหลือเกิน ถ้าเลิกโทรไม่ได้ ก็เลือกโปรโมชั่นให้สอดคล้องกับลักษณะการใช้ของเรา บางคนไม่เคยดูโปรโมชั่นเลย ทั้งๆ ที่มีโปรโมชั่นที่มีค่าโทรถูกมาก ลองเลิกและเลือกโปรโมชั่นดี ๆ ก็ช่วยลดค่าใช้จ่ายได้ 2. ค่าฟิตเนส ก่อนที่จะตัดสินใจต่อโปรแกรมฟิตเนสในแต่ละปี ลองทบทวนดูว่าปีที่ผ่านมาคุณไปใช้บริการจริงๆ จังๆ กี่ครั้ง คุ้มไหม หรือถ้าไปบ่อยๆ ก็ดี แต่ที่สำคัญลองทบทวนดูว่าหากเปลี่ยนสถานที่มาออกกำลังกายตามสวนสาธารณะบ้าง ไม่มีค่าใช้จ่ายด้วย แถมยังเปลี่ยนสถานที่ออกกำลังกายได้อีก 3. ค่าเคเบิลทีวี คุณเคยทราบหรือไหมว่า เดือนๆ หนึ่งได้ดูเคเบิลทีวีบ่อยแค่ไหน บางคนดูฟรีทีวีผ่านเคเบิลทีวีอีกต่างหาก ก็เสียค่าใช้จ่ายแต่ละเดือนเยอะมาก แต่หากดูเคเบิลทีวีติดซะแล้ว ลองเลือกแพ็คเกจที่สอดคล้องกับช่องที่คุณต้องการดูก็ได้ บางทีค่าใช้จ่ายส่วนนี้ของคุณอาจลดลงมาก หรือถ้าจะลองหันมาดูฟรีทีวีกัน ก็ลดค่าใช้จ่ายได้เยอะเลย 4. ค่ากาแฟ ตรงนี้หลายคนอาจจะบอกว่าเลิกไม่ได้ กำพล ออกตัวว่าเขาก็เป็นอีกคนหนึ่ง ที่ยังไม่ได้เลิกกาแฟ แต่ก็พยายามลดกาแฟลง โดยเฉพาะลดเหลือวันละแก้วก็พอ ไม่ต้องดื่มกาแฟทุกมื้อ เพราะนอกจากไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพแล้ว ที่สำคัญกาแฟของต่างประเทศก็แสนจะแพง คุณอาจลองเปลี่ยนรสนิยมมาดื่มกาแฟแบบไทยๆ บ้าง ก็จะช่วยลดค่าใช้จ่ายได้มากโขทีเดียว จากราคาแก้วละร้อยกว่าบาทเป็นไม่เกินสามสิบบาท ก็แก้ง่วงได้เหมือนกัน แต่เสียอย่างเดียวคือ อาจไม่เท่เหมือนเดิม 5. ค่าอินเทอร์เน็ต ในยุคปัจจุบัน หลายๆ คนติดอินเทอร์เน็ตงอมแงมเลย ทั้งใช้เล่นเกมอินเทอร์เน็ต ใช้หาข้อมูล คุณลองทบทวนดูว่าแพ็คเกจไหนให้ชั่วโมงอินเทอร์เน็ตมากๆ ไม่หลุดบ่อย เพราะถ้าหลุดบ่อยๆ ก็ต้องเสียค่าต่อโมเด็มเพิ่มขึ้นอีก และบางครั้งคุณเป็นสมาชิกแบบต่อเนื่องจำนวนชั่วโมงก็ได้เพิ่มขึ้น และหากลดการใช้ลงก็ประหยัดชั่วโมงอินเทอร์เน็ตได้อีก ลองใช้เวลาไปหาข้อมูลที่ "ห้องสมุดประชาชน" หรือ "ห้องสมุดมารวย" บ้างก็ได้ 6. ค่า SMS ดาวน์โหลดเพลง และเพลงรอสาย ค่า SMS ดาวน์โหลดเพลง และเพลงรอสาย แต่ละเพลงก็แพงเอาการอยู่ และบางอย่างเช่นเพลงรอสายคุณก็ไม่ได้เป็นคนฟัง แต่เสียสตางค์เอง แปลกดีเหมือนกัน ก็ลองทบทวนดูว่าคุณใช้จ่ายในเรื่องเหล่านี้มากไปหรือเปล่า ถ้ามากเกินไปก็ลดลงบ้างก็ไม่เสียหายอะไร 7. ค่าแผ่น DVD หรือ CD หนัง DVD กับ CD เพลงเพราะๆ นั้น เชื่อไหมถ้าคุณไปดูที่ตู้เก็บแผ่นเหล่านี้ จะพบว่ามีเยอะมากจริงๆ บางแผ่นซื้อมายังไม่มีเวลาดูเลย ก็กลัวว่าถ้าไม่ซื้อตอนนี้ก็จะอดดู แต่อยากจะบอกว่า ถ้าคุณซื้อช้าลงอีกสักนิด ราคาแผ่น DVD หรือ CD เหล่านี้จะลดราคาลงมาให้ซื้อในราคาที่ถูกลง หรือไม่คุณก็จัดก๊วนดู DVD หรือ CD กับเพื่อนๆ แล้วผลัดกันซื้อแล้วเวียนดูกันในก๊วน อย่างนี้ก็ลดค่าใช้จ่ายด้านนี้ได้ตั้งเยอะ 8. เลิกซื้อของเพราะของแถมหรือลดราคา เรื่องจริงที่คุณเองก็น่าจะเคยเป็น คือ บางครั้งอยากได้ของแถมมากกว่าที่จะซื้อสินค้าหรือจะใช้สินค้าหลักๆ นั้นเสียอีก ซึ่งต้องบอกว่า "ของแถม" นี้จะมีผลต่อจิตใจหลายคนอย่างมาก ทั้งที่ บางทีของยังไม่จำเป็นต้องซื้อเลย หรือจะซื้อครั้งละไม่มาก แต่คุณก็ยินดีจ่ายซื้อยกโหลเพื่อจะได้ของแถม อย่างนี้ทำให้รายจ่ายของคุณไม่สม่ำเสมอ ที่สำคัญ "ของลดราคา" บางครั้งคุณก็ชอบซื้อมาเสร็จก็ไม่ได้ใช้งาน เพราะอารมณ์ตอนแย่งซื้อของลดราคานั้น เห็นคนมุงกันคุ้ยกระบะลดราคามันช่างเย้ายวนใจเสียเหลือเกิน ดังนั้นช่วงห้างลดราคา อย่าไปเดินเลยจะได้หักค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นออกเสียบ้าง 9. เลิกซื้อสินค้าตามเทคโนโลยี ข้อนี้ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ชาย (ผู้หญิงหลายๆ คนก็เป็นเหมือนกัน) พวกผู้ชายจะชอบโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ กล้องถ่ายรูปรุ่นใหม่ที่ถ่ายได้ 10-20 ล้านพิกเซล โทรทัศน์จอ LCD เครื่องเล่น DVD รุ่นใหม่ และอื่นๆ อีกมากมาย รุ่นใหม่มาทีไร จิตใจเป็นต้องโหยหาเสียเหลือเกิน ทั้งที่ของที่มีอยู่ก็เพิ่งซื้อไปไม่เกิน 6 เดือนถึงหนึ่งปีเอง ดังนั้น ลองใช้ของที่มีอยู่ให้เจ๊งสักอย่างดีไหม ลองเก็บเงินเท่าที่จะซื้อของใหม่ไว้ทุกครั้ง เชื่อไหมว่าสักสองสามปี จะมีเงินเยอะพอสมควรเลยทีเดียว 10. งดทานข้าวนอกบ้านลงบ้าง หลายคนต้องทานข้าวนอกบ้านทุกวัน ทั้งที่คุณพ่อคุณแม่ที่บ้านเตรียมอาหารไว้แล้ว แต่คุณมักจะอ้างว่าไปกับเพื่อนเพื่อสังสรรค์ ก็ขอบอกว่าคุณสามารถเชิญเพื่อนๆ มาทานข้าวที่บ้านได้ แต่ก่อนสมัยอายุไม่มาก เชื่อไหมว่าการทานข้าวนอกบ้านต้องเป็นวาระสำคัญๆ ทีเดียว เวลารวมญาติ หรือมีวาระที่สำคัญจึงจะทานข้าวนอกบ้าน แต่ปัจจุบันเท่าที่สังเกตคนส่วนใหญ่จะกลับกัน ทานข้าวนอกบ้านเป็นประจำ แต่วาระพิเศษจึงจะทานข้าวที่บ้าน ลองกลับด้านดู หันมาทำกับข้าวทานเอง นอกจากสะอาดถูกหลักอนามัยแล้ว ยังมีราคาถูกว่าอีก เอาเป็นว่าลดการทานข้าวนอกบ้านลงให้เหลือสัปดาห์ละวันสองวัน ที่เหลือกลับไปทานข้าวกับครอบครัวก็จะได้รับความสุขพร้อมหน้าพร้อมตาที่บ้านกัน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #283 เมื่อ: 01 กรกฎาคม 2551, 08:33:49 » |
|
^ ^ ชอบบทความนี้ที่ตาไข่เอามาลงมากๆ เห็นด้วยทุกข้อ ยกเว้น ข้อสิบที่มิอาจทำตามได้ เพราะอยู่ตัวคนเดียว :lol:
ตาแคม
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Net 80
มือใหม่หัดเมาท์
ออฟไลน์
กระทู้: 187
|
|
« ตอบ #284 เมื่อ: 01 กรกฎาคม 2551, 09:29:19 » |
|
^ ^ จุดอ่อนของผมอยู่ที่ข้อ 9 คับ
อีกวิธีที่ผมใช้คือ ประเมินค่าใช้จ่ายก่อน ที่เหลือเก็บอีกบัญชืหนึงเหมือนหยอดกระปุกออมสิน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #285 เมื่อ: 03 กรกฎาคม 2551, 16:30:30 » |
|
ชื่อผมในแบบตัวอักษรเทวนาครี เท่เป่า अभिरत्नอภิรัตน์ แก้วที่มีค่าวิเศษยิ่ง เขียนเป็นโรมันได้ว่า abhiratna ตัวอักษรเทวนาครีจะเป็นตัวอักษรของภาษาสันสกฤต อยากรู้ว่าแปลงยังไง ทำดังนี้ ต้องดูว่าไทยใช้ว่าอะไร เปิดพจนานุกรมราชบัณฑิต > แปลงเป็นโรมัน > แล้วก้อเอาไปใส่ในตามเว็บนี้ http://spokensanskrit.de/index.phpกดไปที่ Devanakari-Trainer เค้าจะแปลงเป็นเทวนาครีให้ ตาแคม :wink:
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #286 เมื่อ: 07 กรกฎาคม 2551, 12:50:26 » |
|
โอ้..เท่ห์โคตรๆ..
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Mr.EggMan
|
|
« ตอบ #287 เมื่อ: 07 กรกฎาคม 2551, 17:17:21 » |
|
ขอคำว่า แคม ด้วยก็ดีครับ ดูว่าจะเท่ห์แค่ไหน
:lol:
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
telek78
|
|
« ตอบ #288 เมื่อ: 08 กรกฎาคม 2551, 12:36:14 » |
|
ขอคำว่า แคม ด้วยก็ดีครับ ดูว่าจะเท่ห์แค่ไหน
:lol: พี่ไปเปิดเว็บเดียวกับตาแคมมาแล้ว น่าจะใช้คำว่า )ll( (คล้ายๆกับที่พบตามขุมทรัพย์เลย) ว่าแล้วไปหา อินเดียหน้าโจน ภาคญี่ปุ่นดูดีกว่า
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Mr.EggMan
|
|
« ตอบ #289 เมื่อ: 08 กรกฎาคม 2551, 13:53:00 » |
|
:lol: :lol: :lol: ขอบคุณพี่ตี๋เล็กมาก
Subject: FW: ข้าวโพดสุกช่วยรักษามะเร็ง
จริง เพราะตอนที่แม่เรากำลังรักษามะเร็งช่วงใกล้ๆหาย เริ่มจะทานอาหารได้ เค้าจะกินข้าวโพดต้มทุกวัน ไปเหมาจาก Supermarket ทุก week แล้วเค้าก็ ฟื้นตัวเร็วมาก ช่วงนั้น ลิ้นเค้าจะ Anti เนื้อสัตว์ กลืนไม่ลง ทานได้แต่ผักกะผลไม้ และจะอยากกินข้าวโพดทุกวัน ข้าวโพดสุก ต้านมะเร็ง การแทะข้าวโพดหวานต้านโรคมะเร็งมีสารตัวล้างพิษมากกว่าผักผลไม้
นักวิจัยของมหาวิทยาลัยคอร์เนลล์แห่งสหรัฐฯรายงานในวารสารสมาคมเคมีแห่งอเมริกาว่าข้าวโพดหวาน ที่ปรุงสุกแล้วจะออกฤทธิ์ล้างพิษในร่างกายสูงขึ้นได้อย่างเด่นชัด เขาเผยว่าผิดกับที่เคยเชื่อกันมาก่อนว่าผักและผลไม้หากต้มปรุงสุกแล้วจะเสียคุณค่าทางอาหารลงไป สู้กินดิบๆ ไม่ได้ แตข้าวโพดหวานยังคงสามารถเก็บพลังเป็นตัวล้างพิษคงไว้ได้ แม้ว่าจะเสียวิตามินซีไป
เขาได้พบในการต้มข้าวโพดหวานด้วยอุณหภูมิสูง 115 องศาเซลเซียส ในเวลานานต่างกัน 10, 25 และ 50 นาที พบว่ายิ่งต้มนานจะทำให้มันมีสารอันเป็นตัวล้างพิษเพิ่มขึ้นเป็น 22, 44 และ 53 ปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ
นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าสารที่ออกฤทธิ์เป็นตัวล้างพิษช่วยดับพิษของพวกอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นอันตรายกับเซลล์ ของอวัยวะต่างๆ ทั้งยังมีส่วนเกี่ยวพันกับโรคอันเนื่องมาจากความแก่ชราต่างๆ อย่างเช่นต้อกระจก และโรคสมองเสื่อมอีกด้วย
คณะนักวิจัยแจ้งว่าข้าวโพดหวานที่ต้มหรือปิ้งจะปล่อยสารประกอบที่เรียกว่า กรดเฟรุลิก อันเป็นคุณกับร่างกายยิ่งมาก ขึ้นเมื่อถูกความร้อนสูงขึ้นหรือเวลานานขึ้นกรดเฟรุลิกเป็นพวก พฤกษเคมีซึ่งในผักและผลไม้มีอยู่ไม่มากนัก แต่กลับพบมีอยู่อย่างอุดมในข้าวโพดผสมปนเปรวมอยู่กับอย่างอื่น การทำให้มันสุกจึงช่วยทำ ให้มันปล่อยกรดเฟรุลิกออกมาได้มากขึ้น
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #290 เมื่อ: 09 กรกฎาคม 2551, 08:08:47 » |
|
พี่ไปเปิดเว็บเดียวกับตาแคมมาแล้ว น่าจะใช้คำว่า )ll( (คล้ายๆกับที่พบตามขุมทรัพย์เลย) ว่าแล้วไปหา อินเดียหน้าโจน ภาคญี่ปุ่นดูดีกว่า
รูปร่างมันคุ้นๆ มากเลยนะพี่ตี๋เล็ //\\o||o//\\ แล้วอันนี้แปลว่าอารายอ่ะพี่ อ่านไม่ออก :lol: ว่าแต่อินเดียวหน้าโจน ภาคญี่ปุ่นมันมีไรดีเหรอพี่ ตาแคม
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
telek78
|
|
« ตอบ #291 เมื่อ: 09 กรกฎาคม 2551, 12:38:26 » |
|
พี่ไปเปิดเว็บเดียวกับตาแคมมาแล้ว น่าจะใช้คำว่า )ll( (คล้ายๆกับที่พบตามขุมทรัพย์เลย) ว่าแล้วไปหา อินเดียหน้าโจน ภาคญี่ปุ่นดูดีกว่า
รูปร่างมันคุ้นๆ มากเลยนะพี่ตี๋เล็ //\\o||o//\\ แล้วอันนี้แปลว่าอารายอ่ะพี่ อ่านไม่ออก :lol: ว่าแต่อินเดียวหน้าโจน ภาคญี่ปุ่นมันมีไรดีเหรอพี่ ตาแคม เฮ้ย พี่ซีเรียสนะเนี่ยะ พี่อุตส่าห์ไปหาความรู้ให้กับมวลมนุษยชาติ มาแปลเจตนาพี่ผิดนะ เดี๋ยวเจอกันคราวหน้าจะเอาอินเดียหน้าโจน ภาคญี่ปุ่นไปฝาก ดาราตรึม หน้าคุ้นๆทั้งนั้น
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ชาร์ป
|
|
« ตอบ #292 เมื่อ: 09 กรกฎาคม 2551, 17:14:02 » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #293 เมื่อ: 31 กรกฎาคม 2551, 15:54:23 » |
|
ชายหนุ่มคนหนึ่งมีชีวิตที่เรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ หน้าตาหล่อเหลา มีการศึกษาสูง มีงานการที่มั่นคง มีความก้าวหน้าใน อนาคตมีคนรักใคร่รอบข้าง เรียกว่าใครเห็นใครรู้เป็นต้องอิจฉา
วันหนึ่งชีวิตที่สมบูรณ์แบบของชายคนนี้ยิ่งสุดยอด สมบูรณ์แบบมากขึ้น เมื่อพี่ของเขายอมควักเงินก้อนโตซื้อรถสปอร์ตคนงามเป็นของขวัญให้กับ น้องชายไม่ต้องบอกว่าเจ้าตัวจะยินดีปรีดาแค่ไหนเพราะรถสปอร์ตสุดหรูคันนี้ ชายหนุ่มนายนี้ฝันอยากได้ เป็นเจ้าของมาตลอดชีวิต
เมื่อความฝันเป็นจริง สิ่งที่ชายหนุ่มคิดทำอย่างแรกคือ ขับเจ้ารถสปอร์ตตระเวนไปตามที่ต่างๆให้สมอยาก ใจหนึ่งต้องการทดสอบแรงม้าที่ซ่อนตัวอยู่ในห้องเครื่อง ว่าจะมีเรี่ยวแรง เต็มกำลังแค่ไหนอีกใจก็แน่นอนว่า ใครที่มีรถสวยแรงขนาดนี้คงไม่บ้า เก็บเอาไว้ดูตามลำพังที่โรงรถในบ้านขับโฉบเฉี่ยวไปมาสักพัก ก็ถึงเวลาพักทั้งเครื่องและคน ชายหนุ่มจัดแจงจอดรถข้างถนน ระหว่างกำลังพักผ่อนอิริยาบถ เขาเห็นเด็กคนหนึ่งเดินลูบๆคลำๆรอบรถ คันงามด้วยกิริยาท่าทีชื่นชอบรถสปอร์ตอย่างเห็นได้ชัด
ชายหนุ่มรู้สึกภาคภูมิใจในการเป็นเจ้าของสิ่งที่หลายต่อหลายคนใฝ่ฝัน เขาเดินยืดอกมาที่รถ พร้อมพูดจาทักทายเด็กคนนั้นด้วยน้ำเสียงมั่นใจ ดั่งขุนศึกผู้ชนะสงคราม "ระวังหน่อยน้อง เดี๋ยวเป็นรอย" เขาบอก เด็กคนนั้นมองไปยังชายหนุ่มเจ้าของเสียง ก่อนจะพูดตอบ "รถของพี่เหรอ สุดยอดจริงๆ" "แน่นอน" เขาตอบ "พี่ซื้อมาราคาเท่าไหร่" เด็กคนเดิมถาม "คนอื่นอาจต้องควักสตางค์ซื้อเอง แต่พี่ไม่ต้อง เพราะพี่ชายพี่ซื้อให้เป็นของขวัญ" "โอ้โห! ดีจัง ผมอยาก...." เด็กคนเดิมพูดตะกุกตะกักชะงักในตอนท้าย
ชายหนุ่มคิดในใจว่า เด็กคนนี้คงไม่กล้าพูดต่อ เพราะที่เด็กอยากจะพูดแต่ยั้งปากยั้งคำไว้นั้น คงต้องการบอกว่าอิจฉาตัวเขาเอง อยากจะเป็นอย่างเขาบ้าง...มีพี่ที่แสนดีซื้อรถสุดหรูให้เป็นของขวัญ... แต่สิ่งที่ชายหนุ่มคิดกลับผิดถนัด
"โอ้โห ดีจัง ผมอยาก....เป็นอย่างพี่ชายของพี่จัง" เด็กคนนั้นพูด "ผมจะได้ซื้อรถให้น้องชายผมนั่งบ้าง"
ตาแคม
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #294 เมื่อ: 04 สิงหาคม 2551, 08:00:26 » |
|
คัดลอกมาจาก Forward Mail
Indians Play เขียนโดย V. Raghunathan นักวิชาการ ผู้บริหารบริษัท และเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยทั้งในอินเดียและในต่างประเทศ
ดช.ปัญญาเป็นเด็กที่เกิดในเมืองแต่ย้ายไปอยู่ในชนบท วันหนึ่งไปซื้อแพะจากชาวนาในราคา 1000 บาทซึ่งชาวนายินดีที่จะส่งมอบแพะในวันรุ่งขึ้น
พอวันรุ่งขึ้น ชาวนาก็ไปหาดช.ปัญญาแล้วบอกว่า
"ข่าวร้ายหนูเพราะแพะเพิ่งตายไปเมื่อคืนที่แล้วเอง"
ดช.ปัญญา ก็บอกว่า "ไม่เป็นไร ถ้าเช่นนั้นคืนเงินให้ผมก็แล้วกัน"
"โอ เสียใจด้วยจริงๆ แต่ฉันใช้เงินนั่นหมดไปแล้ว" ชาวนาพูดด้วยสีหน้าเศร้าๆ
"ไม่เป็นไร ถ้างั้นเอาแพะตัวนั้นมาให้ฉัน"
"หนูจะเอาแพะตายไปทำอะไร" ชาวนาถามด้วยความฉงน
"ฉันจะเอาไปจับฉลากขาย"
"จะไปจับฉลากแพะที่ตายได้อย่างไร ใครจะไปซื้อ"
"ได้ซิ คอยดูละกัน"
จากนั้นชาวนาก็มอบแพะที่ตายให้ดช.ปัญญาไป
หนึ่งเดือนผ่านไป......ชาวนาพบกับดช.ปัญญาจึงถามว่าตกลงเอาแพะที่ตายไปทำอะไร
"ฉันก็ทำฉลาก 500 ใบ ขายใบละ 10 บาท แล้วบอกว่าใครดวงดีจับฉลากได้ ก็ได้แพะไปเลย 1 ตัว"
"ฉันได้เงินมา 5000 บาท ได้กำไรหลังจากหักที่จ่ายให้ลุงชาวนาไปแล้ว 3990 บาท"
"แล้วไม่มีคนโวยวายหรือ(เพราะแพะตายแล้ว)" ชาวนาถามด้วยความสงสัย
"ก็มี มีคนเดียวคือคนที่จับฉลากได้ และฉันก็แค่คืนเงินค่าฉลากจำนวน 10 บาทให้คนๆนั้นไป"
ในเรื่องบอกว่า ดช.ปัญญาต่อมาเติบโต และเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จในชีวิตอย่างมาก......
เรื่องราวแบบนี้เป็นสิ่งที่คนอินเดียสอนกัน........ที่สำคัญก็คือการแก้ไขปัญหา และแก้ไขสถานการณ์ที่เผชิญหน้าหรือคิดคำตอบโจทย์ที่ยากๆ ซึ่งคนอินเดียจะเก่งในเรื่องแบบนี้มาก
คนอื่นอาจไม่ได้สังเกตุ แต่ผมเห็นว่าส่วนหนึ่งได้มีการถ่ายทอดความรู้แบบนี้ ผ่านทางการ์ตูนพื้นบ้านซึ่งขายในราคาถูกมาก ทำให้เด็กไม่ว่าจะอยู่ในรัฐที่ห่างไกล หรือยากจนก็สามารถเรียนรู้วิธีคิดผ่านสื่อเหล่านี้ได้
เปรียบกับของไทยก็น่าจะได้แก่ศรีธนญชัยที่มีปัญญาและไหวพริบ ฉลาดหลักแหลม.... แต่ก็เป็นที่น่าเสียดายว่า ความเป็นศรีธนญชัยหายสาบสูญไปจากสังคมไทยนานแล้ว และบางครั้งถูกมองว่าเป็นความฉลาดในด้านไม่ดีด้วยซ้ำไป
สมอง ถ้าไม่ได้ใช้ ไม่นานก็ฝ่อ
คนอินเดียจึงเป็นนักคิดนักแก้ปัญหาที่เก่งมาตั้งแต่โบราณกาล และยังสามารถสืบเนื่องมาจนทุกวันนี้ ด้วยองค์ประกอบทางด้านการศึกษาและภาษา ขอบคุณ Raghunathan ที่ได้ให้ข้อคิดดีๆ
ตาแคม
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Mouy (Again)
มือใหม่หัดเมาท์
ออฟไลน์
กระทู้: 150
|
|
« ตอบ #295 เมื่อ: 12 สิงหาคม 2551, 20:27:04 » |
|
ชอบเรื่องเล่าของอินเดีย และก็อยากให้คนในบ้านเราคิดแบบนี้ได้บ้างจัง... ง้านมาอ่านปุจฉา วิสัจฉนาของท่าน ว วชิรเมธีดูนะ... มายาการของหลอดด้าย เมื่อสองสัปดาห์ก่อน ผู้เขียนจาริกปฏิบัติศาสนกิจในฐานะพระธรรมทูตอยู่ที่มหานครนิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา วันหนึ่งหลังจบการเสวนาธรรม สตรีสูงอายุคนหนึ่งขอโอกาสเข้ามานั่งคุยกับผู้เขียน ระหว่างการสนทนา ผู้เขียนสังเกตเห็นว่า น้ำตาเธอคลอหน่วย เมื่อสอบถามถึงสาเหตุเธอจึงตอบว่า ที่น้ำตาคลอหน่วย เพราะรู้สึกดีใจที่ได้มาฟังธรรม แต่พร้อมกันนั้นก็เสียใจจนสะเทือนใจ ที่สะเทือนใจก็เพราะเธอรู้สึกว่า ตนเองได้พบกับธรรมะเมื่ออายุมากแล้ว จึงรู้สึกเสียดายวันเวลาที่ผ่านมา เธอเล่าว่า “ชีวิตของคนเราก็เหมือนกับเส้นด้าย ที่ถูกดึงออกมาจากหลอดด้ายทีละนิดๆ ขณะที่ดึงด้ายออกมาจากหลอดด้ายนั้น บางทีเราก็รู้สึกกระหยิ่มว่า ยังมีด้ายเหลืออยู่อีกมากมาย จึงชะล่าใจจึงด้ายออกมาใช้อย่างฟุ่มเฟือย เพื่อที่จะพบว่า แท้ที่จริงแล้ว มีด้ายอยู่เพียงนิดเดียว เย็บผ้าได้เพียงนิดหน่อยก็หมด หากแต่ที่เราเห็นว่า ยังคงมีด้ายเหลืออยู่เยอะแยะนั่นเป็นเพราะว่า แกนด้ายมันใหญ่ต่างหาก…แกนด้ายมันหลอกตาให้เราพลอยชะล่าใจ...” พลันที่เธอเล่าจบ ผู้เขียนก็รู้สึกสว่างโพลงขึ้นมาในใจ ผู้หญิงคนนี้ เธอไม่ได้มาฟังเทศน์เสียแล้ว แต่เธอมาเทศน์ต่างหาก เธอกำลังเทศน์เรื่อง “ความสำคัญของเวลา” และ “คุณค่าของชีวิต” เคยได้ยินคำพูดในทำนองนี้บ่อยๆ ว่า เรามีเวลา ๒๔ ชั่วโมงต่อหนึ่งวันเท่ากัน ทว่าเราได้ประโยชน์จากเวลาไม่เคยเท่ากัน สำหรับบางคนเวลา ๒๔ ชั่วโมงช่างแสนสั้น แต่สำหรับบางคน ๒๔ ชั่วโมง ช่างเป็นเวลายาวนานเหลือแสน ผู้หญิงคนนี้เธอบอกว่า เธอเสียดายที่มีเวลาเหลืออีกไม่มาก อยากจะปฏิบัติธรรมให้ถึงที่สุดก็เกรงว่าเวลาจะมีไม่พอ ผู้เขียนจึงบอกว่า การปฏิบัติธรรมนั้นไม่สำคัญที่เวลา แต่สำคัญที่ “ปัญญา” สำหรับคนมีปัญญากล้าแข็ง อย่าว่าเป็นวันเลย บางที นาทีเดียวก็บรรลุธรรมได้ สำหรับคนเขลา ต่อให้ภาวนาทั้งชีวิต บางทีก็ยังไม่เห็นผล คนที่อยู่ในวัยสนธยา จึงไม่ควรน้อยใจว่า เรามีเวลาไม่พอ แต่ควรจะบอกตัวเองว่า เรายัง “พอมีเวลา” ต่างหาก แต่คนที่คิดว่าเรายัง “พอมีเวลา” ก็ต้องระวังด้วยเหมือนกัน เพราะบางทีการคิดด้วยท่าทีที่เป็นบวกอย่างนี้ ก็ทำให้ประมาท และเป็นเหตุให้พลาดโอกาสที่จะเร่งรัดทำสิ่งดีๆ ดังนั้น นอกจากจะคิดว่ายังพอมีเวลาแล้ว ก็ควรจะคิดเพิ่มอีกอย่างหนึ่งว่า “วันนี้เป็นวันสุดท้ายของชีวิต” ด้วย เพราะหากเราคิดว่า วันนี้เป็นวันสุดท้ายของชีวิต เราจะเริ่มคิดถึงสิ่งที่ต้องทำแข่งกับเวลา และนั่นจะทำให้เวลา กลายเป็นสิ่งที่มีค่าสูงสุดของชีวิตได้ในทุกๆ วัน เราเคยได้ยินพระท่านสอนอยู่บ่อยๆ ว่า การฆ่าสัตว์เป็นบาป แต่ผู้เขียนอยากบอกว่า การฆ่าเวลาต่างหากที่เป็นบาปมหันต์ยิ่งกว่า เพราะเมื่อคุณฆ่าสัตว์ หากสำนึกได้ คุณก็อาจจะไปหาสัตว์มาปล่อยเอาบุญ แต่หากคุณฆ่าเวลาด้วยวิธีใดก็ตาม ถึงแม้คุณจะสำนึกผิด กลับมาเห็นคุณค่าของเวลา ทว่าก็ไม่สามารถย้อนเวลาที่ผ่านไปแล้วให้หวนคืนกลับมาได้อีก เราทุกคนต่างก็มีเวลาที่ไม่อาจรีไซเคิล ไม่ว่าคุณจะมีเงินมหาศาลสักกี่ล้านล้านดอลล่าร์ก็ตามที สำหรับเวลานั้น ผ่านแล้ว ผ่านเลยนิรันดร์ ครั้งหนึ่งลีโอ ตอลสตอย เคยเขียนปริศนาธรรมไว้ว่า “ใคร คือ คนสำคัญที่สุด งานใด คือ งานที่สำคัญที่สุด เวลาใด คือ เวลาที่ดีที่สุด” ตอลสตอยตั้งคำถามนี้ผ่านเรื่องสั้นเรื่องหนึ่ง และในที่สุดก็เฉลยว่า “คนสำคัญที่สุด ก็คือ คนที่อยู่เบื้องหน้าเรา งานสำคัญที่สุด ก็คือ งานที่เรากำลังทำอยู่ในขณะนี้ เวลาที่ดีที่สุด ก็คือ เวลาปัจจุบันขณะ” ทำไมคนที่อยู่เบื้องหน้าเราจึงสำคัญที่สุด คำตอบก็คือ อาจเป็นไปได้ว่า ในชั่วชีวิตอันแสนสั้นนี้ เรากับเขาอาจมีโอกาสพบกันได้เพียงครั้งเดียว ดังนั้น เราจึงควรทำให้การพบกันทุกครั้ง เป็นเหมือนการเฉลิมฉลองอันแสนวิเศษที่ต่างฝ่ายต่างควรสร้างความทรงจำแสนงามไว้ให้แก่กันและกันตลอดไป เราต้องไม่ลืมว่า มนุษย์นั้น รู้เกลียดยาวนานกว่ารู้รัก หากการพบกันครั้งแรกนำมาซึ่งความรัก และหากเป็นการพบกันเพียงครั้งเดียวของชีวิตในอนันตจักรวาล นั่นก็นับว่า เป็นสิ่งที่คุ้มค่าที่สุดแล้วสำหรับการปฏิสัมพันธ์ระหว่างคนสองคน ทำไมงานที่เรากำลังทำอยู่ขณะนี้ จึงเป็นงานสำคัญที่สุด คำตอบก็คือ เพราะทันทีที่คุณปล่อยให้งานหลุดจากมือคุณไป งานก็จะกลายเป็นของสาธารณ์ หากคุณทำงานดี มันก็คือ อนุสาวรีย์แห่งชีวิต และหากคุณทำงานไม่ดี มันก็คือ ความอัปรีย์แห่งชีวิต ตอนแรกคุณเป็นผู้สร้างงาน แต่เมื่อปล่อยงานหลุดจากมือไปแล้ว งานมันจะเป็นผู้ย้อนกลับมาสร้างคุณ ทำไมเวลาที่ดีที่สุด จึงควรเป็นปัจจุบันขณะ คำตอบก็คือ เพราะเวลาทุกวินาทีจะไหลผ่านชีวิตเราเพียงครั้งเดียว ไม่ว่าคุณจะหวงแหนเวลาขนาดไหน มีเงินมากเพียงไร ก็ไม่มีใครสามารถรื้อฟื้นเวลาที่ล่วงไปแล้วให้คืนกลับมาได้ ทุกครั้งที่เวลาไหลผ่านเราไป หากเราไม่ใช้เวลาให้เกิดประโยชน์สูงสุด ชีวิตของคุณก็พร่องไปแล้วจากปวงประโยชน์มากมายที่คุณควรได้จากห้วงเวลา เวลาไม่มีตัวตน แต่หากเรามีปัญญา ก็สามารถสร้างคุณค่าที่เป็นรูปธรรมจากเวลาได้อเนกอนันต์ คน - - แม้มีตัวตนเห็นกันอยู่ชัดๆ แต่หากปฏิบัติไม่ถูกต่อเวลา ถึงมีตัวตนเป็นคนอยู่แท้ๆ แต่ชีวิตก็อาจ ว่างเปล่ายิ่งกว่าเวลา ทุกวันนี้ เราทุกคนกำลังสาวด้ายแห่งเวลาในชีวิตออกมาใช้กันอยู่ทุกขณะจิต เคยคิดกันบ้างหรือไม่ว่า เส้นดายแห่งเวลาในชีวิตของเราเหลือกันอยู่สักกี่มากน้อย เราถนัดแต่สาวด้ายออกมาใช้ หรือว่าเราใช้เส้นดายแห่งเวลาอย่างมีคุณค่าที่สุดแล้ว ? อ่านเรื่องอื่นๆ ได้ที่เว๊ปนี้นะ http://www.vimuttayalaya.net/ มีหลายเรื่องที่เป็นคำถาม แล้วท่าน ว ก็มาตอบ ...ใครว่างลองเข้าไปดูนะจ๊ะ...
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #296 เมื่อ: 17 สิงหาคม 2551, 20:52:44 » |
|
ดร.เกรียงศักดิ์ ที่ลงผู้ว่า กทม. ก็ส่งลูกไปเรียนที่อินเดียครับ.. คิดถึงเจ๊หมวยคร้าบบบบ..(ไม่เกี่ยวกันเท่าไหร่)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #297 เมื่อ: 06 พฤศจิกายน 2551, 08:18:54 » |
|
โรคสุดฮิตของคนรุ่นใหม่ "โรคกรดไหลย้อ" แพทย์เตือนหนุ่ม-สาวออฟฟิศ ระวังโรคกรดไหลย้อน โรคยอดฮิตของหนุ่มสาววัยทำงาน ดารานักแสดง โดย เฉพาะสาวออฟฟิศ ที่ชอบกินจุบกินจิบ กินอาหารไม่เป็นเวลาและเร่งรีบ รวมถึงผู้ชอบอาหารรสจัด ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ มีโอกาสเสี่ยงสูง หากมีอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ เรอเปรี้ยว ปวดแสบร้อนบริเวณหน้าอกและลิ้นปี่แล้วลามขึ้นมาที่หน้าอกหรือคอ ควรปรึกษาแพทย์ รศ. พ.ญ.วโรชา มหาชัย หัวหน้าหน่วยทางเดินอาหาร โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ เปิดเผยว่า โรคกรดไหลย้อนถึงแม้ว่าจะไม่ใช่โรคร้ายแรงถึงชีวิตเหมือนโรคมะเร็งหรือโรค หัวใจ แต่เป็นโรคที่สร้างความทุกข์ทรมานให้กับผู้ป่วย ทำให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตและประสิทธิภาพการทำงานลดลง โดยจะมี อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ เรอเปรี้ยว ปวดแสบร้อนบริเวณหน้าอกและลิ้นปี่แล้วลามขึ้นมาที่หน้าอกหรือคอ และในบางรายอาจมีอาการแสดงออกนอกหลอดอาหารได้ เช่น อาการทางปอด หรืออาการทางคอและกล่องเสียง เสียงแหบเรื้อรัง มีไอเรื้อรัง มีกลิ่นปาก หรือในบางรายอาจมีอาการทางระบบหายใจ เช่น หอบหืด หรืออาการเจ็บหน้าอกได้ ดัง นั้นหากมีอาการเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าคุณกำลังถูก "โรคกรดไหลย้อน" คุกคาม ควรพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยและทำการรักษาต่อไป เพราะหากละเลยไม่ยอมรักษานานๆ ไปอาจทำให้เรื้อรังกลายเป็นมะเร็งหลอดอาหารได้เช่นกัน "เนื่องจาก โรคกรดไหลย้อนจะมีอาการท้องอืดท้องเฟ้อร่วมด้วย คล้ายๆ กับอาการของโรคกระเพาะอาหาร จึงทำให้คนส่วนใหญ่มักจะเหมารวมว่าตนเองอาจจะเป็นโรคกระเพาะอาหาร และไปซื้อยาเคลือบแผลในกระเพาะอาหารมารับประทานเอง ทำให้การรักษาไม่ตรงจุด โดยเฉพาะคนไทยเรามักจะชอบซื้อยามารับประทานเองและคิดว่าการไปพบแพทย์เป็น เรื่องใหญ่ ระยะหลังมานี้จึงพบโรคกรดไหลย้อนเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ" รศ.พ.ญ.วโรชากล่าว ผู้ เชี่ยวชาญกล่าวต่อว่า โรคกรดไหลย้อนไม่ได้เป็นโรคแปลกใหม่สำหรับคนไทย เป็นโรคที่พบในผู้ป่วยคนไทยมานานแล้ว สาเหตุของโรคเกิดจากการไหลย้อนกลับของกรดหรือน้ำย่อยในกระเพาะอาหารขึ้นไป ในหลอดอาหารส่วนบนอย่างผิดปกติ ซึ่งเกิดได้จากหลายสาเหตุ อาทิ หลอดอาหารส่วนปลายมีการคลายตัวอย่างผิดปกติ หรือความดันของหูรูดของหลอดอาหารส่วนปลายลดลงต่ำกว่าในคนปกติ หรือเกิดจากความผิดปกติของการบีบตัวของกระเพาะอาหารหรือหลอดอาหาร เป็นต้น "โรคกรดไหลย้อนนี้มักเกิดขึ้นกับหนุ่มสาววัยทำงานที่มีหน้าที่และความรับผิดชอบ สูง รวมถึงดารานักแสดงและผู้ที่อยู่ในวงการบันเทิง ที่ใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางความรีบเร่งตลอดเวลา จนทำให้เวลาที่มีอยู่แม้กระทั่งการรับประทานอาหารก็พลอยรีบเร่งไปด้วย มิหนำซ้ำยังมีความเคร่งเครียดอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะผู้ที่ชอบกินจุบกินจิบ รับประทานอาหารไม่เป็นเวลา รวมถึงผู้ที่ชอบทานอาหารรสจัด ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ ก็เสี่ยงต่อโรคกรดไหลย้อนได้เช่นกัน" สำหรับ การรักษาโรคกรดไหลย้อน รักษาให้หายได้โดยการรับประทานยากลุ่มยาลดกรด แต่ถ้าเป็นมากและเรื้อรังควรได้รับการตรวจรักษาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะ ทางเพื่อการวินิจฉัยที่ถูกต้องและรับยาที่ตรงกับโรค ดังนั้น หากมีอาการดังกล่าวที่กล่าวมาควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยอาการ ขณะเดียวกันการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดำเนินชีวิต โดยการรับประทานอาหารให้อิ่มพอดี และอย่ารับประทานอาหารใกล้เวลานอนเพราะจะทำให้เกิดกรดไหลย้อนได้ง่าย และควรออกกำลังกายสม่ำเสมอ ลดน้ำหนักตัว อย่าใส่เสื้อผ้าคับเกินไป เนื่องจากจะเพิ่มความดันในช่องท้องให้มากขึ้น เลิกสูบบุหรี่ งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ก็จะช่วยป้องกันการเกิดโรคกรดไหลย้อนได้ สำหรับผู้ที่ต้องการข้อมูลเกี่ยวกับโรคกรดไหลย้อนเพิ่มเติม ค้นหาข้อมูลได้ที่ www.gerdthai.comข้อมูลเพิ่มเติม โรคกรดไหลย้อน คือ ภาวะที่น้ำกรดในกระเพาะอาหารไหลย้อนขึ้นมาในหลอดอาหาร และในบางรายอาจไหลย้อนขึ้นมาถึงคอ และกล่องเสียงได้ ปัจจุบันพบว่า ผู้ป่วยโรคนี้มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งอาจเป็นเพราะลักษณะรูปแบบการดำรงชีวิตของคนในสังคมเปลี่ยนไป เกิดความเครียด มีความเร่งรีบในการทำงานทำให้ผู้คนนิยมรับประทานอาหารจานด่วนที่อุดมไปด้วย ไขมัน คาร์โบไฮเดรต และแคลอรี่สูง รวมทั้งการแพทย์ที่ก้าวหน้า และเครื่องมือที่ทันสมัยทำให้สามารถตรวจ และวินิจฉัยโรคนี้ได้มากยิ่งขึ้นด้วย ภาวะนี้เกิดเนื่องจากพยาธิสภาพของกล้ามเนื้อหูรูดระหว่างหลอดอาหาร และกระเพาะอาหารทำงานไม่ปกติ อาการสามารถเกิดได้ทั้งกลางวันและกลางคืน ผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้ในระยะเริ่มต้นอาจไม่รู้สึกว่ามีความผิดปกติหรือมี อาการแต่อย่างไร และผู้ป่วยบางรายอาจไม่เคยมีอาการของโรคกระเพาะหรือรักษาโรคกระเพาะมาก่อน เลยก็ได้ น้ำกรดจะระคายเคืองหลอดอาหารทำให้เยื่อ บุอาหารเกิดการอักเสบ ผู้ป่วยจะเจ็บในอก รู้สึกแสบร้อนในอกได้โดยเฉพาะเวลาเรอ นอกจากนั้นกรดยังสามารถระคายเคืองกล่องเสียงและคอหอยได้ด้วย ซึ่งอาการที่บริเวณคอหอยและกล่องเสียง คือ – เสียงแหบเป็นๆหายๆ เรื้อรัง โดยเฉพาะเสียงแหบในเวลาเช้า – รู้สึกขมในปากและคอหลังจากตื่นนอนใหม่ๆ – คอและกล่องเสียงอักเสบบ่อยๆ รักษาหายได้ไม่นานก็กลับมาเป็นใหม่อีก – ระคายคอ และกระแอมบ่อยๆ รู้สึกว่าคอไม่โล่ง – ไอเรื้อรัง แต่พบว่าปอดปกติดี – กลืนอาหารลำบาก กลืนติดๆ กลืนไม่ลง กลืนแล้วเจ็บในคอ – ผู้ป่วยอาจรู้สึกเหมือนมีก้อนอะไรจุกๆในคอ ลมหายใจมีกลิ่น มีกลิ่นปาก – มีเสมหะในคอจำนวนมาก – รู้สึกว่าเหมือนมีเสมหะไหลลงคออยู่เรื่อยๆ ผู้ป่วยบางท่านอาจมีแค่อาการใดอาการหนึ่ง ในขณะที่บางท่านอาจมีหลายๆอาการร่วมกันได้ อาการต่างๆเหล่านี้อาจทำให้ผู้ป่วยเข้าใจผิดคิดว่ามีเนื้องอก หรือก้อนมะเร็งในคอ ทั้งนี้เมื่อทำการตรวจวินิจฉัยแล้วแพทย์ไม่พบก้อนเนื้อเหล่านั้นเลย กรณีนี้ทำให้ผู้ป่วยไม่สบายใจ วิตกกังวลและยิ่งเกิดความเครียดมากขึ้น
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #298 เมื่อ: 06 พฤศจิกายน 2551, 08:22:17 » |
|
^ ^ เมื่อต้นปี เพื่อนผมก็มีอาการแบบนี้เป๊ะเลย ไปหาหมอ หมอก็บอกว่าเป็น โรคกรดไหลย้อน กินยาอยู่สอง สามเดือน ไม่หาย ปรากฏว่า เพื่อนผมมันแพ้ท้องครับ เซ็งหมอเลย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #299 เมื่อ: 06 พฤศจิกายน 2551, 22:57:03 » |
|
หมอที่ไหนครับพี่..จะได้รู้ไว้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #300 เมื่อ: 10 พฤศจิกายน 2551, 08:20:48 » |
|
จำกันได้มั๊ยกับนายเสริม สาครราษฎร์ที่เป็นหมอฆ่าแฟนตาย ในคดีที่นายเสริมถูกตัดสิน นายเสริมขอลดโทษโดยอ้างเหตุว่า ตนฆ่าแฟนเพราะความรักที่ตนมี จนไม่อาจหักห้ามใจให้แฟนไปมีคนใหม่ได้ จึงขอความปราณีจากศาลให้เห็นแก่ความรักของตน
ศาลฎีกาได้ให้เหตุผลไว้อย่างงดงาม ถึงความรักที่นายเสริมอ้างว่ามีต่อแฟนของตน
ดังฏีกาข้างล่างนี้
ฎีกาตัดสินเกี่ยวกับปัญหาข้อกฎหมาย คดีแดงที่ 6083/2546 พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการสูงสุด โจทก์ นางสุดา ปรัชญาภัทร โจทก์ร่วม นายเสริม สาครราษฎร์ จำเลย
ที่โจทก์ร่วมฎีกาว่า จำเลยควรได้รับโทษประหารชีวิต ศาลล่างทั้งสองไม่ควรลดโทษให้จำเลยเพราะคดีไม่มีเหตุบรรเทาโทษนั้น ล้วนเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงทั้งสิ้น จึงต้องห้ามมิให้โจทก์ร่วมฎีกาตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว
ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยถูกผู้ตายข่มเหงจิตใจอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม เพราะจำเลยกับผู้ตายมีความสัมพันธ์ฉันคนรัก แต่ผู้ตายต้องการเลิกความสัมพันธ์กับจำเลยไปมีรักกับผู้ชายคนใหม่ จำเลยจึงบันดาลโทสะฆ่าผู้ตายนั้น
เห็นว่า ความรักเป็นสิ่งที่เกิดจากใจไม่อาจบังคับกันได้ ความรักที่แท้จริงคือความปรารถนาดีต่อคนที่ตนรักความยินดีที่คนที่ตนรักมีความสุข การให้อภัยเมื่อคนที่ตนรักทำผิดและการเสียสละความสุขของตนเพื่อความสุขของคนที่ตนรัก จำเลยปรารถนาจะยึดครองผู้ตายเพื่อความสุขของจำเลยเอง เมื่อไม่สมหวังจำเลยก็ฆ่าผู้ตาย เป็นความคิดและการกระทำที่เห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ของจำเลยโดยฝ่ายเดียว มิได้คำนึงถึงจิตใจและความรู้สึกของผู้ตาย หาใช่ความรักไม่ ทั้งเป็นความเห็นผิดที่เป็นอันตรายต่อสังคมอย่างยิ่ง
ดังนี้ แม้จะฟังข้อเท็จจริงตามที่จำเลยฎีกาก็ถือไม่ได้ว่าจำเลยถูกผู้ตายข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม กรณีไม่มีเหตุจะลงโทษจำเลยน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้
ด้วยเหตุดังกล่าวนี้ ศาลจึงพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยตลอดชีวิต
ที่มา: Forward Mail ตาแคม
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #301 เมื่อ: 10 พฤศจิกายน 2551, 10:07:07 » |
|
เรื่องที่ 1 นิทานเรื่อง 'ตะเกียงวิเศษ' โดยดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา กาลครั้งหนึ่งมีชายหนุ่มคนหนึ่งขุดพบตะเกียงเก่าแก่อันหนึ่งในขณะที่เขากำลังทำสวนอยู่ พอเขาเอามือถู ตะเกียง ก็ปรากฏว่ามีควันออกมาจากตะเกียงแล้วกลายเป็นยักษ์ตัวใหญ่ ยักษ์ตนนั้นพูดกับชายหนุ่มว่า 'ขอบใจที่ได้ช่วยให้ฉันเป็นอิสระฉันจะตอบแทนท่านโดยรับใช้ท่าน ท่านจะใช้อะไรฉันก็ได้ แต่มีข้อแม้ว่า เมื่อไรที่ท่านหยุดใช้ฉัน ฉันก็จะกินท่าน' ชายหนุ่มก็ตกลงเพราะเขาเห็นว่าการมีคนรับใช้เป็นเรื่องที่ดีและเขาก็มั่นใจว่า เขาจะใช้ยักษ์ตนนี้ให้ยุ่ง อยู่ตลอดเวลาได้ ดังนั้นเขาจึงตอบตกลงยักษ์นั้นจึงถามว่า 'นายต้องการให้ฉันรับใช้เรื่องใดบ้างแต่อย่า ลืมนะถ้านายหยุดใช้ฉันเมื่อใด ฉันก็จะกินนาย'ชายหนุ่มคนนั้นตอบว่า 'ฉันต้องการวังหลังหนึ่งเพื่อฉันจะได้เข้าไปอยู่' ทันใดนั้นยักษ์ก็เนรมิตวังหลังหนึ่งได้ ชายหนุ่มตกใจเพราะเขานึกว่ายักษ์คงใช้เวลาสักปีกว่าจะสร้างวัง เสร็จทีนี้เขาต้องคิดอย่างรวดเร็วว่าจะขอให้ยักษ์ทำอะไรต่อไปดี เขาบอกยักษ์ให้'สร้างถนนกว้างๆ ไป ถึงหน้าวัง' ทันใดนั้นถนนก็ปรากฏอยู่ต่อสายตาเขา'ฉันต้องการสวนล้อมรอบวัง' เขาสั่งต่อไป ทันทีความต้องการของเขาก็ปรากฏต่อหน้าเขา'ฉันต้องการ.....'เขาก็ขอไปเรื่อยๆแต่เขาเริ่มต้นวิตก ว่าอีกไม่ช้าเขาก็จะขอจนหมดแล้วและอีกอย่างเขาคงเข้าไปอยู่ในวังอย่างผาสุกไม่ได้เพราะเขาต้องคอย มานั่งสั่งยักษ์ให้ทำงานตลอดเวลา ในที่สุดเขาก็คิดหาทางออกได้ เขาขอให้ยักษ์สร้างเสาต้นหนึ่งให้สูงสุดซึ่งยักษ์ก็เนรมิตให้ทันทีทันใด เขา ขอให้ยักษ์ปีนเสาต้นนี้ช้าๆไปถึงยอดแล้วให้ปีนลงมาช้าๆ เช่นกัน พอถึงพื้นก็ให้ปีนขึ้นไปบนยอดใหม่อีกครั้ง แล้วให้ปีนขึ้นปีนลงเช่นนี้ตลอดเวลาไม่ให้หยุดเลย ยักษ์ตนนั้นก็เลยต้องปีนขึ้นปีนลงตลอดเวลาตามคำสั่งของนาย ชายหนุ่มจึงเริ่มหายใจได้ทั่วท้อง ขณะนี้เขาปลอดภัยแล้วชายหนุ่มมีเวลาที่จะเข้าไปอยู่ในวังอย่างมีความ สุขตั้งแต่นั้นมา ยักษ์ตนนี้เปรียบเสมือนความคิดและจิตใจของเราถ้าเรารู้จักใช้ความคิดของเรา และควบคุมความคิดของ เราให้ดีเราจะได้รับผลดีจากความคิดของเรา ถ้าเราต้องการจะทำอะไรให้ดีให้ถูกต้องเราต้องควบคุมจิตใจของเราให้สงบเหมือนกับชายหนุ่มในนิทานที่ สามารถควบคุมยักษ์ตนนั้นได้และสามารถทำให้ความต้องการของเขาลุล่วงสำเร็จได้ ถ้าเราควบคุมความคิดของเราไม่ได้ มันจะสร้างปัญหาให้กับเราเราจะเริ่มต้นนั่งคิดว่าจะไปซื้ออะไร จะ ไปกินอะไรดี หรือจะไปเที่ยวไหนดี ฯลฯความต้องการจะครอบคลุมจิตใจของเรา ครอบคลุมอารมณ์ของ เรา เราจะหวั่นไหวต่อความโลภความโกรธและความอิจฉา เป็นต้นสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นถ้าเราไม่รู้จัก ควบคุมความคิดของเราเช่นเดียวกับยักษ์ตนนั้นที่ข่มขู่ชายหนุ่มตลอดเวลา เราต้องควบคุมความคิดของเราตลอดเวลาชายหนุ่มคนนี้ใช้ให้ยักษ์ปีนขึ้นลงที่เสาสูงต้นนั้นเราก็สามารถใช้ ลมหายใจเข้าออกของเราซึ่งอยู่กับเราตลอดเวลานั้นเป็นเสาสูงแทน หมายเหตุ :: นิทานเรื่องตะเกียงวิเศษนี้คัดมาจากหนังสือวิทยาศาสตร์ของการฝึกจิตของ ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา เรื่องที่ 2 ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเศรษฐีคนหนึ่งเป็นคนเจ้าอารมณ์และมักจะปวดศีรษะอยู่เป็นประจำ เขาได้ประกาศว่าจะให้รางวัลอย่างงามแก่คนที่สามารถรักษาอาการปวดศีรษะของเขาได้ หลายคนรวมทั้งหมอที่เชี่ยวชาญต่างก็มาเสนอแนะวิธีรักษาโรคปวดศีรษะของเศรษฐีผู้นี้แต่ไม่มีใครสามารถ ทำให้เขาดีขึ้นได้ อยู่มาวันหนึ่งมีฤาษีคนหนึ่งมาเยี่ยมท่านเศรษฐีเศรษฐีได้บอกเกี่ยวกับโรคประจำตัวของเขาให้ฤาษีทราบ ฤาษีจึงบอกกับท่านเศรษฐีว่า 'โธ่เอ้ยวิธีรักษาอาการปวดหัวของเจ้ามันง่ายนิดเดียว นั่นก็คือเจ้าจะต้องมองทุกอย่างให้เป็นสีเขียวตลอดเวลาแล้วอาการโรคของเจ้าจะหายไป' เศรษฐีดีใจมากและคิดว่าสิ่งที่ฤาษีแนะนำเขานั้นเป็นสิ่งที่ทำได้ง่ายมาก วันรุ่งขึ้นท่านเศรษฐีจึงจ้างช่างทาสีหลายร้อยคนมาช่วยกันทาสีของหมู่บ้านให้เป็นสีเขียวทั้งหมด นอกจากนี้ด้วยความที่รวยมากยังซื้อเสื้อผ้าให้กับคนในหมู่บ้านทุกคนใส่ ในตอนนี้ไม่ว่าท่านเศรษฐีมองไปทางใดก็จะเป็นสีเขียวตลอดเวลาตามคำแนะนำของฤาษี อาการปวดศีรษะของเขาก็เริ่มดีขึ้นๆเขาเริ่มเป็นคนยิ้มง่ายและมีความสุขมากขึ้น สองสามเดือนถัดมาท่านฤาษีได้กลับมาเยี่ยมเศรษฐีอีกครั้งหนึ่ง แต่ก็ต้องเผชิญกับช่างทาสีคนหนึ่งซึ่งร้องตะโกนว่า 'หยุด หยุดท่านเข้ามาในหมู่บ้านนี้ในชุดนี้ไม่ได้เดี๋ยวผมจะทาสีท่านให้เป็นสีเขียวก่อน' ฤาษีก็รีบวิ่งและหนีเข้าไปในบ้านของเศรษฐีได้ในที่สุด ฤาษีได้พบกับเศรษฐีในบ้านและตำหนิว่า 'ทำไมเจ้าถึงเสียเงินทองและ เวลามากมายเพื่อเปลี่ยนสิ่งต่างๆรอบตัวเจ้าเล่า เราไม่ได้บอกให้เจ้าไปเที่ยวทาสีทุกอย่างให้เป็นสีเขียวเลย เจ้าเพียงแค่สวมแว่นตาสีเขียวเท่านั้นเจ้าก็จะมองเห็นทุกสิ่งรอบตัวเป็นสีเขียวแล้ว' หากเราต้องการเปลี่ยนสิ่งแวดล้อมรอบตัว เราไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนทุกคนหรือทุกอย่าง เราเพียงแต่เปลี่ยนตัวของเราเองก่อน แล้วเราจะพบว่าทุกสิ่งรอบตัวของเราก็จะเปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน เรื่องจากการพัฒนาศักยภาพอย่างสมบูรณ์ โดย ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา เรื่องที่ 3 +++... หาความสุขได้ที่ไหน...+++ ในตอนกลางดึกมีหญิงชราคนหนึ่งกำลังคลำหาอะไรอยู่สักอย่างรอบๆเสาไฟฟ้าข้างถนน สักครู่หนึ่งมีหนุ่มสาวกลุ่มหนึ่งเดินผ่านมา เห็นหญิงชราผู้นั้นกำลังคลำหาอะไรอยู่ เลยถามขึ้นว่า'ยาย..ยาย ยายกำลังหาอะไรอยู่?' หญิงชราผู้นั้นตอบว่า'ยายกำลังหาเข็มเย็บผ้าอยู่ยายทำตกหายไป ช่วยยายหาหน่อยซิ' พวกหนุ่มสาวกลุ่มนั้นจึงช่วยกันหาทั่วไปหมดแต่ก็หาไม่เจอ ในที่สุดพวกเขาก็สงสัยจึงถามยาย 'ยาย..ยาย..ยายทำเข็มเย็บผ้าหล่นหายไปที่ไหน' ยายตอบว่า'ยายกำลังเย็บผ้าอยู่ในห้องยาย แล้วก็ทำเข็มเย็บผ้าหล่นหายไป แต่ห้องยายมันมืดยายมองไม่ค่อยเห็น ยายก็เลยออกมาที่ถนนเพราะมีแสงสว่างจากไฟฟ้า '...พอพวกหนุ่มสาวกลุ่มนั้นได้ยินเช่นนั้นก็เลยหัวเราะแล้วเดินหนีไป เมื่อเราทำของหายเราก็ต้องไปหาในที่ๆเราทำหาย มันจะมีประโยชน์อะไรที่จะไปหาที่อื่น เช่นเดียวกันเมื่อเราแสวงหาความสุข เราก็ต้องหาในจุดที่เราได้สูญเสียความสุขไป มันจะมีประโยชน์อะไรที่จะหาความสุขที่ไนท์คลับหรือสถานเริงรมย์ต่างๆ หรือไปหาที่ประเทศนั้นประเทศนี้หรือไปหาที่คนอื่น ความสุขของเราได้สูญหายไปจากตรงไหน? คำตอบก็คือเราได้ทำหายไปจากใจของเรา ได้สูญเสียความสุขจากตัวเรา จากใจเรา ดังนั้นเราก็ต้องแสวงหาความสุขที่จุดนั้น คือ ในตัวเรา แหล่งที่มา : จาก'แนวทางสู่ความสุข' โดย ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา เรื่องที่ 4 มีสามีภรรยาคู่หนึ่งทุกๆ เช้าภรรยาจะแอบมองดูเพื่อนบ้านจากหน้าต่างชั้นบน และวิ่งกลับมารายงานให้ สามีฟัง 'เพื่อนบ้านเรานี่ซักผ้าไม่เป็นเลย เสื้อผ้าสกปรกเหลือเกินไม่รู้ใช้ผงซักฟอกยี่ห้ออะไร หรือใช้วิธีซักอย่าง ไร' สามีก็ตอบว่า'อย่าไปสนใจคนอื่นเขาเลย เราซักผ้าของเราให้สะอาดก็แล้วกัน' แต่ภรรยาก็แอบไปดูเพื่อนบ้านจากหน้าต่างข้างบนบ้านและวิ่งกลับมางานสามีทุกเช้า 'เสื้อผ้าของเขาสกปรกอีกแล้ว' อยู่มาวันหนึ่งภรรยาวิ่งลงมารายงานสามีด้วยความแปลกประหลาดใจ'ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าวันนี้เกิดอะไร ขึ้น เสื้อผ้าของเขาขาวสะอาดอยากรู้เหลือเกินว่าเขาเปลี่ยนมาใช้ผงซักฟอกอะไร หรือใช้วิธีใดซักผ้า' สามีหัวเราะแล้วกล่าวว่า 'นี่ฉันรำคาญเธอเหลือเกินเมื่อเช้านี้ฉันตื่นแต่เช้ามืดและไปเช็ดกระจกหน้าต่างให้สะอาด ก่อนหน้านี้ กระจกมันสกปรก เธอมองออกไปก็เห็นแต่ความสกปรก' 'ทุกข์' หรือ 'สุข' นั้น จิตใจเป็นตัวกำหนด แต่ถึงอย่างนั้น ผิด ชอบ ชั่ว ดีก็ยังถือเป็นภาระทาง จริยธรรมของเราอยู่มิใช่หรือ ที่สำคัญ ...(ถ้าจำไม่ผิด) หากเช็ดหน้าต่างแล้วนะคะ ถึงจะไม่สะอาดเอี่ยมแต่ก็เพียงพอที่แสงจะลอด ผ่าน เพื่อประโยชน์แก่การ 'มอง' และ 'เห็น โดย ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา ตาแคม
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
iamfrommoon
|
|
« ตอบ #302 เมื่อ: 11 พฤศจิกายน 2551, 09:17:51 » |
|
น้องแคม...เรื่องข้างบนได้ข้อคิดดีมากเลย...ว่าแต่ว่า ช่วงนี้หันเข้าวัดเข้าวา ฤ....อิอิ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
@@ธรรมชาติสร้างความขัดแย้ง เพื่อให้คนเรียนรู้ซึ่งกันและกันได้ดียิ่งขึ้น@@@
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #303 เมื่อ: 14 พฤศจิกายน 2551, 11:54:13 » |
|
อ่านเรื่องนี้แล้วชอบมาก ได้แง่คิดที่ดีสำหรับการใช้ชีวิตร่วมกันระหว่างชายกับหญิงดี
ทำไมผู้ชายคุยไปดูทีวีไปไม่ได้ ผู้หญิงถนัดนักเรื่องการทำหลาย ๆ อย่างพร้อมกัน อาทิ เขียนรายการของที่จะซื้อพร้อมกับทำกับข้าวและบอกสามีให้ดูลูกทำการบ้าน การสแกนสมองบ่งบอกว่า สมองผู้หญิงไม่เคยว่างเปล่าแม้ยามหลับ ในทางตรงข้าม ผู้ชายมักพบว่าเวลาถูกขอให้โทรศัพท์ระหว่างดูทีวีเป็นภารกิจที่ท้าทายอย่างยิ่ง นักวิทยาศาสตร์อธิบายว่า สมองซีกซ้ายและขวาของคนเราเชื่อมโยงและแลกเปลี่ยนข้อมูลกันด้วยกลุ่มเส้นประสาทที่เรียกว่าcorpus callosum โรเจอร์ กอร์สกี้ จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียในแอลเอ ยืนยันว่าสมองของผู้หญิงมี corpus callosum หนากว่าผู้ชาย 10% และมีการเชื่อมต่อระหว่างสมองสองซีกมากกว่าผู้ชาย 30% ทั้งยังพิสูจน์ได้ว่า หญิง-ชายใช้สมองคนละส่วนกันเวลาทำงานอย่างเดียวกัน สมองของผู้ชายพัฒนาขึ้นมาเพื่อให้มุ่งเน้นกับงานเพียงงานเดียว ขณะที่ฮอร์โมนเอสโตรเจนของเพศหญิงกระตุ้นเซลล์สมองให้ทำการเชื่อมต่อสมองซีกซ้ายและขวามากขึ้น ผลศึกษาหลายชิ้นระบุว่า ยิ่งสมองสองด้านเชื่อมต่อกันมากแค่ไหน คนนั้นยิ่งมีความเป็นเลิศด้านภาษามากขึ้น และยังอธิบายได้ว่า เหตุใดผู้หญิงจึงสามารถปฏิบัติภารกิจที่ไม่เกี่ยวข้องกันเลยหลาย ๆ อย่างพร้อมกันได้
ด้วยเหตุนี้ เวลาที่ผู้หญิงจะขอให้สามีทำอะไรให้ ควรเลือกจังหวะให้ดีและมอบหมายภารกิจให้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น
ทำไมผู้ชายโกหกไม่สำเร็จ การศึกษาภาษากายพบว่า ในการสื่อสารแบบเผชิญหน้า สัญญาณที่ไม่ใช่คำพูดมีอิทธิพลต่อผลลัพธ์ของสาส์นถึง 60% อีก30% เป็นหน้าที่ของน้ำเสียง และ 10% ที่เหลือถึงเป็นถ้อยคำ ผู้หญิงมีทักษะในการเลือกสรรและวิเคราะห์ข้อมูลนี้มากกว่าผู้ชาย โดยสมองสองซีกจะส่งผ่านข้อมูลระหว่างกันอย่างรวดเร็ว ทำให้สามารถรวบรวมและถอดรหัสถ้อยคำ ภาพที่เห็น และสัญญาณอื่น ๆ อย่างมีประสิทธิภาพ และนี่คือคำอธิบายว่า เหตุใดผู้ชายจึงโกหกผู้หญิงซึ่งหน้าไม่สำเร็จ แต่ผู้หญิงกลับทำพฤติกรรมแบบเดียวกันนี้ได้ง่ายดายและเนียนเหลือเกิน
ข้อแนะนำสำหรับเรื่องนี้ก็คือ ถ้าคิดจะตุกติก หนุ่มควรใช้วิธีโทรศัพท์ ส่งจดหมาย ปิดไฟ หรือคลุมโปงคุยกับแฟนมากกว่า
ทำไมผู้หญิงมีปัญหาเวลาจอดรถขนานฟุตบาต งานวิจัยที่มีบริษัทสอนขับรถเป็นสปอนเซอร์แสดงให้เห็นว่า ผู้ชายอังกฤษมีความแม่นยำ 82% ในการถอยรถคนอื่นเข้าจอดขนานกับขอบถนน และ 71% ทำได้ตั้งแต่ครั้งแรก ขณะที่ผู้หญิงได้คะแนนเพียง 22% และ 23% ตามลำดับ ทั้งที่เวลาสอบใบขับขี่ผู้หญิงจะได้คะแนนในส่วนนี้ดีกว่าผู้ชาย สาเหตุเป็นเพราะผู้หญิงเก่งกว่าผู้ชายในการเรียนรู้ภารกิจและทำซ้ำภายใต้สภาพแวดล้อมและเงื่อนไขที่เหมือนเดิม ทว่า ในสถานการณ์จริงที่การจราจรหมายถึงชุดข้อมูลที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ประสิทธิภาพของผู้หญิงจึงด้อยลง ขณะที่ผู้ชายมีทักษะด้านมิติสัมพันธ์สูงกว่าซึ่งเหมาะสมต่อภารกิจนี้ รวมถึงการจดจำแผนที่ในหัวและรู้ว่าต้องเลือกเส้นทางไหน ถ้าต้องกลับไปที่เดิม ผู้ชายไม่จำเป็นต้องพึ่งแผนที่ เพราะพื้นที่สมองส่วนมิติสัมพันธ์จะบันทึกข้อมูลไว้ครบถ้วน ด้วยเหตุนี้ผู้ชายจึงลุกจากที่นั่งบนอัฒจรรย์เพื่อลงไปซื้อเครื่องดื่มและกลับมาโดยไม่หลง ขณะที่เรามักคุ้นตากับภาพนักท่องเที่ยวหญิงยืนทำหน้างงใส่แผนที่ตามสี่แยก
ทำไมผู้หญิงใส่ใจความรู้สึก-ผู้ชายหมกมุ่นกับงาน ผู้ชายมักตีค่าตัวเองจากหน้าที่การงานและความสำเร็จ ขณะที่ผู้หญิงมองตัวเองมีค่าโดยพิจารณาจากความสัมพันธ์กับคู่ครอง ในอดีตกาล ผู้ชายเป็นผู้หาอาหารและแก้ปัญหา ซึ่งหมายถึงภารกิจสูงสุดอยู่ที่ความอยู่รอดเฉพาะหน้า ส่วนผู้หญิงมีหน้าที่ดูแลบ้านและสร้างหลักประกันการอยู่รอดของลูก ๆ แม้แต่ในยุคนี้ ผลศึกษาหลายชิ้นระบุว่า ผู้ชาย 70-80% ยังบอกว่าส่วนสำคัญที่สุดในชีวิตคืองาน และผู้หญิงในจำนวนเท่า ๆ กันยกให้ครอบครัวมีความสำคัญที่สุด
ผลลัพธ์คือ ถ้าผู้หญิงไม่มีความสุขกับชีวิตคู่จะไม่มีสมาธิกับงาน แต่ถ้าผู้ชายไม่มีความสุขกับงานจะปล่อยปละละเลยชีวิตคู่
เมื่อเครียดหรือรู้สึกกดดัน ผู้หญิงจะมองว่าการได้พูดคุยกับสามีเป็นรางวัลอันมีค่า แต่ผู้ชายกลับรู้สึกว่าการกระทำแบบเดียวกันรบกวนกระบวนการแก้ปัญหา ผู้หญิงอยากคุยและให้สามีกอด แต่สิ่งที่ผู้ชายอยากทำมากที่สุดคือนอนดูฟุตบอล สำหรับผู้หญิง สามีดูจะไม่ใส่ใจเลยสักนิด แต่สำหรับผู้ชาย ภรรยาช่างเซ้าซี้กวนใจหรือบางครั้งอวดรู้มากไปหน่อย เมื่อรู้แบบนี้ สามี-ภรรยาควรหาทางสายกลางเพื่อประคับประคองชีวิตคู่ให้ราบรื่น
ทำไมผู้หญิงมีสัมผัสที่ 6 เมื่อหลายร้อยปีมาแล้ว ผู้หญิงเคยถูกเผาทั้งเป็นเพราะมี 'อำนาจเหนือธรรมชาติ' ซึ่งหมายถึงความสามารถในการทำนายแนวโน้มความสัมพันธ์และความจริงที่ซ่อนเร้น ในการทดลองหนึ่งพบว่า ภายในห้องที่มีสามี-ภรรยาอยู่ 50 คู่ ผู้หญิงใช้เวลาไม่ถึงสิบนาทีวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของแต่ละคู่ โดยความสามารถนี้วิวัฒนาการมาจากหน้าที่การดูแลบ้านในอดีตกาล ทำให้ผู้หญิงสามารถฟันธงได้ว่าคู่ไหนรักกันดี คู่ไหนมีปัญหา และผู้หญิงคนไหนน่าคบหรือว่าต้องระวัง ขณะที่ผู้ชายกลับกวาดสายตาทั่วห้องเพื่อหาทางเข้า-ทางออก ซึ่งมาจากสัญชาติญาณในอดีตในการประเมินแนวโน้มการถูกโจมตีและทางหนีทีไล่ หลังจากนั้น จึงค่อยมองหาคนรู้จักหรือคนที่อาจเป็นศัตรู แล้วค่อยพินิจพิเคราะห์โครงสร้างห้องเพื่อหาจุดที่มีปัญหาและต้องการการซ่อมแซม
ทำไมผู้หญิงชอบสับสนซ้าย-ขวา ความที่ใช้สมองทั้งสองด้านไปพร้อมกัน ผู้หญิงหลายคนจึงมีปัญหาเรื่องมือขวา-มือซ้าย ในการศึกษาพบว่า ผู้หญิงราว 50% นึกไม่ออกว่ามือซ้ายหรือมือขวาถ้าไม่ได้เหลือบตาลงมอง ทว่า ผู้ชายที่ใช้สมองทีละซีกตอบโจทย์นี้อย่างง่ายดาย ด้วยเหตุนี้ ผู้หญิงทั่วโลกจึงมักถูกเพศตรงข้ามบ่น เพราะชอบบอกให้เลี้ยวขวาทั้งที่จริง ๆ แล้วหมายถึงเลี้ยวซ้าย
ทำไมผู้ชายไม่ชอบถามทาง เรื่องนี้เกี่ยวกับทัศนคติที่ฝังรากมาแต่ดึกดำบรรพ์ที่ผู้ชายต้องออกสำรวจภูมิประเทศรอบ ๆ ถ้ำเพื่อจะได้กลับบ้านถูก เวลาออกไปล่าสัตว์หาอาหารมาเลี้ยงครอบครัว ลูกเมียต่างหิวโหยแต่เชื่อมั่นว่าพ่อบ้านจะปฏิบัติภารกิจสำเร็จเหมือนเช่นทุกครั้ง ดังนั้นผู้ชายจึงไม่สามารถแสดงอาการกลัวออกมาให้ครอบครัวเห็น และมองว่าการขอความช่วยเหลือหมายความว่าการปฏิบัติภารกิจล้มเหลว ผู้หญิงส่วนใหญ่ไม่รู้หรอกว่าเวลาผู้ชายขับรถออกไปนอกบ้านคนเดียว เขาอาจจอดถามทาง แต่การทำแบบนี้ต่อหน้าผู้หญิง จะทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองล้มเหลว ด้วยเหตุนี้ ผู้หญิงจึงต้องระวังไม่ทำให้ผู้ชายรู้สึกผิดเวลาคุยปัญหากัน ขณะเดียวกัน ผู้ชายก็จะต้องเข้าใจว่าผู้หญิงไม่ได้มีเจตนากล่าวโทษ แต่ต้องการช่วยแบ่งเบา จึงไม่ควรเก็บปัญหาไว้หนักอกคนเดียว
----------------- ชอบๆ ตาแคม
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #304 เมื่อ: 17 พฤศจิกายน 2551, 21:50:27 » |
|
save ไว้คอยแก้ตัว..
แล้วทำไมผู้ชายถึงเมื่อยกล้ามเนื้อมากกว่าผู้หญิง...
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
phraisohn
บักสน
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
บักสนแคมโบ้
ออฟไลน์
รุ่น: rcu89 (ปี 2549)
คณะ: วิทยาศาสตร์
กระทู้: 9,557
|
|
« ตอบ #305 เมื่อ: 17 พฤศจิกายน 2551, 22:07:30 » |
|
ชอบมากครับ สุดยอดมาก เอาอีกๆๆๆ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #306 เมื่อ: 18 พฤศจิกายน 2551, 07:32:45 » |
|
โรคชอบนวดอ่ะเหรอ อันนี้ต้องถามหลิม หุหุ ตาแคม
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
หลิม 81
|
|
« ตอบ #308 เมื่อ: 27 พฤศจิกายน 2551, 22:53:05 » |
|
ดูรายการเจาะใจเกี่ยวกับเด็กจุฬา ฯ ที่เป็นมะเร็งกระดูก...เศร้ามากครับ และเป็นน้องโรงเรียนผมและรู้จักกันด้วย เห็นว่าน้องเค้ามีกำลังใจดีมากด้วยสุดท้ายก็ไม่รอด...ดูแล้วเศร้า อยากร้องไห้เลย ไม่น่าเชื่อ เพราะเคยเห็นแต่ในทีวีที่เป็นเรื่องคนอื่น คราวนี้มันคนใกล้ตัวเราเอง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
@ ปีนี้ปีของผม @
|
|
|
suriya2513
|
|
« ตอบ #309 เมื่อ: 27 พฤศจิกายน 2551, 22:55:10 » |
|
น่าเสียใจมากครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
[โบราณคดี]จุดกำเนิดเริ่มต้นของ cmadong.com by : มานพ กลับดี คลิ๊ก->
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #310 เมื่อ: 28 พฤศจิกายน 2551, 07:20:16 » |
|
เมื่อก่อนเคยไปแต่งานศพคนอายุเยอะกว่า เดี๋ยวนี้เริ่มไปงานศพคนอายุไม่ห่างกันมากนัก ทั้งมากกว่า และน้อยกว่า เริ่มมีคนใกล้ตัว มีส่วนไปทำให้ผู้อื่นเสียชีวิต
ไงก็ขอให้ทุกคนรู้ตัวเองไว้เสมอล่ะกันนะครับ
ตาแคม
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #311 เมื่อ: 28 พฤศจิกายน 2551, 18:23:40 » |
|
ไปแบบมีบุญที่สุดแล้วล่ะครับ..ท่าน ว.วชิระเมธีมาเทศน์ให้..
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
นายป้อ
|
|
« ตอบ #312 เมื่อ: 17 ธันวาคม 2551, 16:10:34 » |
|
emo45:(เพื่อนผมที่เรียน ป. โทด้วยกัน..พึ่งตายด้วยมะเร็งลำไส้...รู้ข่าวว่าเป็นเมื่อเดือนก่อน....เสียไปเสียแล้ว....เฮ้อ..ภัยเงียบจริงๆๆ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #313 เมื่อ: 18 ธันวาคม 2551, 11:29:23 » |
|
ทำไมที่มันเสนอหน้าหน้าทีวีหลายๆตัวมันไม่ไปแบบกระทันหันแบบนั้นมั่งเนอะ..
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
หลิม 81
|
|
« ตอบ #314 เมื่อ: 18 ธันวาคม 2551, 13:36:37 » |
|
สามเกลอ หัวเกรียนหรือ...
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
@ ปีนี้ปีของผม @
|
|
|
นายป้อ
|
|
« ตอบ #315 เมื่อ: 18 ธันวาคม 2551, 21:54:25 » |
|
emo46หน้าก้อ..คอสั้น...เลวได้ใจจริงๆๆ....บวกลูกพี่มันที่ไร้แผ่นดินด้วย...เง้อ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #316 เมื่อ: 19 ธันวาคม 2551, 07:33:29 » |
|
ใกล้ฤดูกาล ยื่นภาษี + ขอภาษีคืนแล้น update ข่าวคราวกันหน่อย
เบี้ยสุขภาพ-อุบัติเหตุหมดสิทธิลดหย่อนภาษี กรมสรรพากรยัน ผู้เสียภาษีไม่สามารถนำเบี้ยประกันสุขภาพและอุบัติเหตุมาหักลดหย่อนภาษีได้เหมือนเดิม อ้างกฎหมายไม่อนุญาต แต่ที่ผ่านมาถือว่าอนุโลม หวั่นรายได้หดหลังประกาศเพิ่มวงเงินลดหย่อนภาษีจากเบี้ยประกันจาก 5 หมื่น เป็น 1 แสนบาท
กรุงเทพธุรกิจ ออนไลน์ : รายงานข่าวจากกรมสรรพากรยืนยันว่า ผู้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาไม่สามารถนำเบี้ยประกันสุขภาพและอุบัติเหตุ มาหักเป็นค่าลดหย่อนทางภาษีเหมือนช่วงที่ผ่านมาได้ ซึ่งมีผลตั้งแต่ปีภาษีนี้ หรือผู้ที่จะยื่นตั้งแต่เดือนมกราคมถึงเดือนมีนาคม 2552 โดยที่ผ่านมากรมสรรพากรอนุโลมให้นำมาหักลดหย่อนภาษีได้ แต่ปีภาษีนี้จะดำเนินการตามตัวบทกฎหมาย ที่ระบุว่า เฉพาะเบี้ยประกันชีวิตที่มีกรมธรรม์ อายุ 10 ปีขึ้นไปเท่านั้น สามารถนำมาหักลดหย่อนภาษีได้
ทั้งนี้ ความสับสนเกิดขึ้น หลังจากที่กรมสรรพากร ได้ประกาศเพิ่มค่าลดหย่อนเบี้ยประกันชีวิต ที่มีอายุกรมธรรม์ 10 ปีขึ้นไป จากเดิม 5 หมื่นบาท เป็น 1 แสนบาท โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ต้นปี 2551 เป็นต้นไป แต่กรมสรรพากรได้เปิดเผยรายละเอียดในภายหลังว่า เบี้ยประกันที่จะนำมาหักลดหย่อนทางภาษีได้ จะเป็นเบี้ยประกันชีวิตเท่านั้น ในส่วนของเบี้ยประกันสุขภาพและเบี้ยประกันอุบัติเหตุ ที่ถือเป็นอนุสัญญาของกรมธรรม์ประกันชีวิต ไม่สามารถนำมาหักลดหย่อนภาษีได้ แหล่งข่าวกล่าวว่า ในระยะที่ผ่านมา ผู้เสียภาษีที่ยื่นแบบเสียภาษีประจำปี ได้นำเบี้ยประกันชีวิตมาขอลดหย่อนภาษี โดยรวมเอาเบี้ยประกันสุขภาพ และเบี้ยประกันอุบัติเหตุ รวมเข้ามาขอหักค่าลดหย่อนทางภาษีด้วย ถือเป็นการอนุโลม แต่ปีภาษีนี้กรมจะดำเนินตามตัวบทกฎหมาย ที่ระบุว่าเฉพาะเบี้ยประกันชีวิตที่มีกรมธรรม์ อายุ 10 ปีขึ้นไปเท่านั้น ที่สามารถนำมาหักลดหย่อนภาษีได้
"แม้กรมสรรพากรจะไม่อนุญาตให้นำเบี้ยประกันสุขภาพและอุบัติเหตุมาหักลดหย่อนภาษีได้นับตั้งแต่ปีภาษีนี้ แต่ว่า เราก็จะไม่ดำเนินการหักภาษีย้อนหลังกรณีที่ได้มีการขอลดหย่อนไปแล้ว" แหล่งข่าวกล่าว
แหล่งข่าวรายเดิม กล่าวต่อว่า เมื่อกรมสรรพากรเพิ่มวงเงินในการนำเบี้ยประกันมาหักลดหย่อนเป็น 1 แสนบาท จะทำให้กรมสรรพากรต้องเสียรายได้เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ รายได้จากภาษีที่กรมสรรพากรจัดเก็บถือเป็นรายได้สำคัญของประเทศ ซึ่งรายได้จากกรมสรรพากรในปีงบประมาณ 2552 ที่ตั้งเป้าไว้ที่ 1.318 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณก่อนหน้า 9.1% และคิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 74.5% ของรายได้รวมของรัฐบาล โดยผลการจัดเก็บรายได้ของกรมสรรพากร ในเดือนตุลาคมนี้ ซึ่งเป็นเดือนแรกของปีงบประมาณ ปรากฏว่า ยังสามารถจัดเก็บได้สูงกว่าเป้าหมาย 6.6% แหล่งข่าวรายเดิม กล่าวต่อว่า หากมองในภาพรวมของผลการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลในเดือนดังกล่าวแล้ว ปรากฏว่า เก็บได้ต่ำกว่าเป้าหมายถึง 9.4% ทำให้กรมสรรพากร จำเป็นต้องปิดช่องโหว่ในทุกทางเพื่อเพิ่มเม็ดเงินภาษี มาชดเชยกับรายได้ที่หดหายไปจากส่วนอื่นๆ ทั้งนี้ รัฐบาลมีภาระที่จะต้องใช้นโยบายการคลัง เพื่อป้องกันการถดถอยของภาวะเศรษฐกิจโดยเฉพาะในช่วงปีหน้า ซึ่งก่อนหน้านี้ รัฐบาลได้ประกาศเพิ่มการขาดดุลอีก 1 แสนล้านบาท ไปแล้ว ทำให้ปีงบ 2552 รัฐบาลขาดดุล เป็น 3.49 แสนล้านบาท
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Mr.EggMan
|
|
« ตอบ #317 เมื่อ: 19 ธันวาคม 2551, 20:48:51 » |
|
ข้อปฏิบัติในการดูแล Notebook ของคุณ คงจะปฏิเสธไม่ได้ว่าการใช้งานโน๊ตบุ้กเริ่มมีบทบาทสำคัญในการทำงานในยุคปัจจุบันเป็นอย่างมาก ถึงแม้ว่าราคาโน๊ตบุ้กในปัจจุบันจะมีราคาไม่สูงเท่าสมัยก่อน จนทุกท่านสามารถหาซื้อเป็นเจ้าของได้ไม่ยากนัก แต่ทุกท่านก็คงอยากจะรักษาโน๊ตบุ้กของตัวเองให้สามารถใช้งานได้ดีให้นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อให้คุ้มค่ากับการลงทุนของคุณมากที่สุด ซึ่งโดยปกติโน๊ตบุ้กจะมีอายุการใช้ระหว่าง 3 – 5 ปี การดูแลรักษาโน๊ตบุ้กก็คล้ายๆกับการดูแลรักษาสุขภาพของเรา ซึ่งจะต้องมีแนวทางในการปฏิบัติที่ถูกต้อง และปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ โดยในที่นี้ผมจะขอแนะนำข้อควรปฏิบัติเพื่อช่วยยืดอายุการใช้งานให้กับโน๊ตบุ้กสุดรักของคุณเป็นข้อๆจำนวน 7 ข้อดังต่อไปนี้ 1. ระบายค วามร้อนใต้เครื่องให้ดี ความร้อนสะสมภายในเครื่องเป็นศัตรูตัวฉกาจของโน๊ตบุ้ก โดยเฉพาะอย่างยิ่งความร้อนบริเวณใต้เครื่อง ซึ่งปกติตัวเครื่องจะเกือบถูกวางแนบไว้กับพื้นโต๊ะ ซึ่งทำให้มีช่องว่างเพียงนิดเดียวที่อากาศเย็นจากภายนอก จะสามารถไหลเวียนเข้าไปเพื่อพาอากาศร้อนใต้เครื่องให้ออกมาได้ จึงทำให้ความร้อนสะสมภายในเครื่อง สูงขึ้นตามลำดับ ซึ่งจะมีผลโดยตรงการอายุการใช้งานของชิ้นต่างๆภายในเครื่องในระยะ ผมจึงขอแนะนำให้หาฐานวางโน๊ตบุ้กมาใช้ เพื่อช่วยเพิ่มความไหลเวียนของอากาศบริเวณใต้เครื่อง ถ้าเป็นรุ่นที่มีพัดลมระบายอากาศได้ด้วยยิ่งดี และหลีกเลี่ยงการใช้งานโน๊ตบุ้กบนเตียงหรือบนเบาะนุ่มๆอย่างเด็ดขาด เพราะนั่นจะเป็นการตัดระบบการระบายความร้อนใต้เครื่องอย่างสิ้นเชิง 2. อย่าเพิ่งปิดฝาเลยทันทีที่เลิกใช้ ถึงแม้คุณจะได้ปฏิบัติตามข้อที่หนึ่งที่ช่วยลดความร้อนสะสมในตัวเครื่อง ในระหว่างที่ใช้งานไปแล้ว การระบายความร้อนในช่วงที่ปิดเครื่องใหม่ๆก็มีความสำคัญเช่นกัน การปิดฝาเครื่องทันทีที่เลิกใช้จะทำให้ความร้อนที่เกิดระหว่างที่เปิด ใช้งานสะสมอยู่ในเครื่องนานกว่าที่ควรจะเป็นเพราะตัวมีเวลาไม่พอที่จะคลายความร้อนทั้งหมดออกมา ดังนั้นผมจึงขอแนะนำว่าหลังจากที่คุณใช้งานเสร็จ ให้คุณดึงปลั้กหม้อแปลงชาร์ตไฟออกตามปกติ แต่เปิดฝาเครื่องทิ้งไว้ประมาณ 3 – 5 นาที เพื่อให้เครื่องมีเวลาในการระบายความร้อนในช่วงที่เปิดใช้งานให้หมดก่อน จากนั้นจึงค่อยปิดฝาเครื่องเพื่อป้องกันฝุ่นละอองต่างๆลงบนเครื่อง 3. ห้ามถอดแบตเตอรี่อย่างเด็ดขาด หลายๆ ท่านคงเคยได้ยินคนบอกว่า ควรถอดแบตเตอรี่ออกจากเครื่องในระหว่างที่ใช้อยู่ในบ้าน เพื่อเป็นการถนอมอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ แต่ผมขอบอกว่านั่นเป็นความคิดที่ผิดมากๆ จริงอยู่การทำเช่นนั้นจะทำให้อายุการใช้งานของแบตเตอรี่ยาวขึ้น แต่นั่นก็เป็นการทำให้อายุการใช้งานของเครื่องโดยรวมสั้นลงเช่นกัน เพราะเมื่อมีเหตุการณ์ไฟตกหรือไฟดับ ตัวเครื่องก็จะหยุดการทำงานในทันทีโดยไม่มีการปิดเครื่องอย่างถูกต้องซึ่ง นอกจากจะทำให้คุณสูญเสียงานที่กำลังทำอยู่แล้วยังเป็นอันตรายต่อชิ้นส่วน อย่างฮาร์ดดิสก์ในระยะยาวเป็นอย่างมาก ผมจึงขอแนะนำให้ห้ามถอดแบตเตอรี่อยู่เป็นประจำอย่างเด็ดขาด และเสียบใช้ไฟผ่านหม้อแปลงทุกครั้งที่มีโอกาสใช้ไฟจากปลั้ก 4. การเสียบแจ๊ตชาร์ตจากหม้อแปลงไฟฟ้าให้ถูกต้อง บางท่านอ่านที่หัวข้อแล้วจะงงๆว่าการเสียบแจ๊ตชาร์ตไฟมีวิธีที่ถูกต้องและไม่ถูกต้องด้วยหรือ ผมบอกได้เลยว่ามี และถ้าไม่ระวังให้ดีจะมีผลให้ไฟช๊อตเมนบอร์ดของเครื่องได้ด้วย ซึ่งคงจะไม่ได้ทำให้เสียในทันที แต่จะมีผลในระยะยาวอย่างแน่นอน ไฟซ๊อตจะเกิดขึ้นตอนที่คุณเสียบแจ๊ตเนี่ยล่ะครับ คุณเคยสังเกตตอนที่คุณเสียบแจ๊ตชาร์ตไฟ กับตัวเครื่องมั้ยครับว่า บางครั้งจะเกิดประกายไฟขึ้นตอนที่เสียบ ? ั่นเป็นเพราะคุณเสียบไม่ถูกต้องนั้นเอง วิธีที่ถูกต้องคือ ตอนเปิดใช้ ให้เสียบแจ๊ตที่ชาร์ตไฟจากหม้อแปลงไฟฟ้าที่เครื่องก่อน แล้วค่อยเสียบปลั้ก และตอนเลิกใช้ให้ถอดปลั้กไฟ และรอให้ไฟที่ตัวหม้อแปลงไฟฟ้าดับก่อน แล้วค่อยถอดแจ๊ตออกจากตัวเครื่อง ด้วยวิธีการนี้จะทำให้ตัดโอกาสไฟช๊อตอันเกิดจากประกายไฟตอนที่เสียบหรือถอด แจ๊ตได้อย่างเด็ดขาด 5. ก่อนเคลื่อนย้ายให้ปิดฝาเครื่องก่อน ปัญหาบานพับโน้ตบุ้กหักเป็นอีกปัญหาหนึ่งที่ผู้ใช้โน๊ตบุ้กต้องปวดหัวกันมาก ส่วนใหญ่จะโทษบริษัทผู้ผลิตที่ใช้วัสดุไม่ดี หรือออกแบบมาไม่ดีพอ แต่จริงๆแล้วปัญหาบานพับหักนี้มักจะเกิดจากการใช้งานไม่ถูกต้องเองมากกว่า เช่น การเปิดฝากหน้าจอไว้ในขณะยกเคลื่อนย้าย , การใช้มือเปล่าถือเครื่องไปโดยไม่ได้ใส่กระเป๋าให้เรียบร้อยก่อน เป็นต้น ซึ่งการทำเช่นนี้จะทำให้ข้อต่อบานพับมีการขยับเขยือนมากกว่าที่ควรจะเป็น และเมื่อนานวันเข้าก็จะเริ่มแตกร้าวและหักได้ในที่สุด คุณสามารถป้องกันได้ง่ายๆด้วยตัวเอง ด้วยการปิดฝาเครื่องทุกครั้งก่อนที่จะยกเคลื่อนย้าย และหากต้องเคลื่อนย้ายไปไกลๆก็แนะนำให้เก็บเครื่องใส่กระเป๋าให้เรียบร้อยก่อน จะเป็นการป้องกันการแตกหักของบานพับได้ดีที่สุด 6. ใช้งานช่องพอร์ต USB และ PCMCIA ในเครื่องเท่าที่จำเป็น ปกติ การใช้งานช่องพอร์ต USB และ PCMCIA สำหรับการใช้งานอุปกรณ์เสริมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น USB Drive, TV Tuner Card, Wireless Network Card หรือ FireWire Card จะทำให้ซีพียูต้องทำงานมากกว่าปกติ และเมื่อซีพียูมีการทำงานมากขึ้น ความร้อนที่เกิดจากการทำงานของซีพียูที่มากขึ้นก็จะมากขึ้นตามไปด้วย นอกจากนี้ความร้อนที่เกิดจากอุปกรณ์เสริมเหล่านี้ยังทำให้ความร้อนสะสมภายในเครื่องเพิ่มสูงขึ้นไปอีกด้วย ซึ่งความร้อนสะสมที่มากกว่าปกติจะมีผลโดยตรงทำให้อายุการใช้งานของชิ้นส่วนต่างๆในเครื่องสั้นลงกว่าที่ควรจะเป็น ผมจึงขอแนะนำให้ใช้งานอุปกรณ์เสริมต่างๆเท่าที่จำเป็น ดึงออกทันทีที่ใช้เสร็จ และหลีกเลี่ยงการเสียบทิ้งไว้ตลอดเวลาที่เปิดเครื่องใช้งาน 7. อย่าทิ้งแผ่นซีดี/ดีวีดีไว้ในเครื่องอย่างเด็ดขาด ผม เชื่อว่าคงมีหลายๆท่านที่ชอบเผลอลืมใส่แผ่นซีดี/ดีวีดีทิ้งไว้ในเครื่องโดยไม่รู้ตัวว่านั่นเป็นการทำให้ไดร์ฟซีดี/ดีวีดีต้องทำงานมากกว่าปกติ เพราะต้องมีการอ่านข้อมูลทุกเครื่องที่มีการเปิดเครื่องขึ้นมา และต้องอ่านแผ่นเพิ่มขึ้นในหลายๆครั้งที่คุณเปิด Windows Explorer ซึ่งจะทำให้หัวอ่านของไดร์ฟซีดี/ดีวีดีต้องทำงานมากกว่าปกติ ซึ่งจะมีผลทำให้อายุการใช้งานของไดร์ฟซีดี/ดีวีดีสั้นลง ด้วยเหตุนี้ผมจึงขอแนะนำให้เอาแผ่นซีดี/ดีวีดีออกจากเครื่องทุกครั้งที่คุณใช้งานจากแผ่นเสร็จ และปฏิบัติอย่างเคร่งครัดและสม่ำเสมอ ข้อปฏิบัติที่ผมกล่าวมาทั้งหมดในข้างต้นอาจจะเป็นเรื่องเล็กๆที่หลายท่านมัก จะมองข้ามไป แต่ถ้าคุณสามารถปฏิบัติได้และปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ ผมเชื่อแน่เลยว่าโน๊ตบุ้กของคุณจะอยู่รับใช้คุณไปได้อีกนาน ไม่ต้องไปพาไปเที่ยวที่ศูนย์ซ่อมเป็นประจำเหมือนอย่างที่เกิดขึ้นกับหลายๆคนอย่างแน่นอน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #318 เมื่อ: 22 ธันวาคม 2551, 08:12:50 » |
|
^ ^ คำแนะนำ ก่อนจะซื้อโน๊ตบุ๊ค หากงานที่คุณจะต้องทำเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ไม่ต้องเคลื่อนย้ายบ่อยๆ ก็อย่าไปซื้อเลยโน๊ตบุ๊ค เพราะที่ราคาเท่ากัน คุณสามารถซื้อ PC ที่สเป็คสูงกว่าโน๊ตบุ๊คได้
ตอนนี้ผมจะได้ยินคนซื้อคอม เอะอะ เอะอะ ก็จะซื้อโน๊ตบุ๊ค แต่งานที่ตัวเองทำ ไม่เห็นจะต้องหิ้วไปทำงานที่ไหนเลย จะซื้อให้มันเปลืองทำไม
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #319 เมื่อ: 23 ธันวาคม 2551, 11:22:26 » |
|
ประหยัดที่วางไง..แต่มันก็พิมพ์ไม่ค่อยมันส์เนอะ..ยังไงๆคีย์บอร์ดก็มันส์กว่า..
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
ชาร์ป
|
|
« ตอบ #321 เมื่อ: 23 ธันวาคม 2551, 14:57:12 » |
|
พระพุทธเจ้า, ผู้ประกาศศักยภาพมนุษย์ . . ภาพการบำเพ็ญตนของพระพุทธเจ้าหลังการศึกษาจากทุกสำนัก ก่อนการปล่อยวางจนตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า http://www.kammatthana.com/Picture_034.jpg . . ดร.โสภณ พรโชคชัย ( sopon@thaiappraisal.org) . . พระพุทธเจ้าเป็นมนุษย์คนหนึ่งที่ไม่ได้อวตาร หรือถูกสวรรค์ส่งมายังโลกนี้ นี่คือความจริงที่ไม่อาจบิดเบือน แต่ในภายหลังพระพุทธเจ้ากลับถูกยกฐานะให้แปลกแยกไปจากความเป็นมนุษย์ พระพุทธเจ้าในฐานะที่เป็นมนุษย์สามารถบรรลุธรรมสูงสุดได้ มนุษย์คนอื่น ๆ ก็สามารถถือพระพุทธเจ้าเป็นแบบอย่างในการบรรลุธรรมได้เช่นกัน . ผมเขียนข้อคิดต่างนี้จากการอ่านหนังสือ คือเมฆสีขาว ทางก้าวเก่าแก่ วรรณกรรมพุทธประวัติในทัศนะใหม่ ที่แปลมาจากหนังสือ Old Path White Clouds: Walking in the Footsteps of the Buddha ซึ่งเป็นหนังสือพุทธประวัติที่เขียนโดยภิกษุ ติช นัท ฮันห์ และได้รับการถ่ายทอดเป็นภาษาไทยโดย คุณรสนา โตสิตระกูล และคุณสันติสุข โสภณสิริ จัดพิมพ์โดยมูลนิธิโกมลคีมทอง . . ฝึกฝนเพื่อเป็นพระพุทธเจ้า . มนุษย์ผู้กลายเป็นศาสดานี้ ศึกษาจนรอบรู้ทั้งศาสตร์และศิลปอย่างกว้างขวางลึกซึ้ง สมัยที่ยังเป็นเด็กนั้นศึกษาจนเก่งคณิตศาสตร์อย่างหาใครเทียบไม่ได้ มีความตั้งใจเรียนด้านภาษาและประวัติศาสตร์ อีกทั้งยังฝึกฝนกีฬาจนชนะเลิศในการแข่งขันทุกประเภท ทั้งยิงธนู ฟันดาบ ขี่ม้า และยกน้ำหนัก พระพุทธเจ้าพยายามอย่างยิ่งยวดในการแสวงหาความรู้ในทุกด้าน . ก่อนตรัสรู้ พระพุทธเจ้ายังศึกษาคัมภีร์ศาสนาอื่นจนหมดสิ้น น้อมใจเป็นศิษย์ในหลายสำนักโดยพำนักแห่งละ 3 เดือนบ้าง 6 เดือนบ้าง จนพลังภาวนาและพลังสมาธิแก่กล้ายิ่งขึ้น แต่ก็ยังไม่สามารถค้นพบสัจธรรมที่แท้จริงได้ในช่วงแรก นี่แสดงชัดว่าผู้ที่จะบรรลุธรรมได้ต้องศึกษาอย่างจริงจังต่อเนื่องจนรอบรู้และรู้แจ้ง เพื่อนำความรู้มาสังเคราะห์ด้วยตนเองในที่สุด . ความจริงข้อนี้ชี้ให้เห็นว่า ลำพังการบำเพ็ญเพียรในที่ลับตาคน หรือการยึดถือแต่คัมภีร์ ไม่ใช่หนทาง (เดียว) ที่จะบรรลุธรรมได้ หากต้องมีความรอบรู้อย่างยิ่งยอดในความเป็นจริงที่เอนกอนันต์ของชีวิต . . ผู้ตื่นรู้จากความเชื่อเดิม . พระพุทธเจ้าหมายถึงบุคคลผู้ตื่น และมีความรู้แจ้งว่าทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเปลี่ยนแปลง ความเป็นเอกภาพของสรรพสิ่งมีทั้งความเกื้อหนุน ความขัดแย้งและความสัมพันธ์ต่อกันและกัน พระพุทธเจ้าบรรลุถึงหนทางไปสู่การดับทุกข์ในระดับต่างๆ ตามศักยภาพของมนุษย์แต่ละคน พระพุทธเจ้าสอนว่าบุคคลไม่สามารถข้ามพ้นจากอวิชชาโดยการสวดอ้อนวอนและยัญบูชาอย่างงมงาย และไม่อาจกำจัดความโกรธความกลัวได้ด้วยการเก็บกดความรู้สึก ต้องใช้ปัญญาให้เกิดการรู้จริงถึงต้นเหตุปัญหา . พระพุทธเจ้ายังกล่าวว่า คำสอนเป็นวิธีการเพื่อบรรลุความจริง แต่มิใช่เป็นตัวความจริงเอง เป็นมรรควิธีแห่งการปฏิบัติ มิใช่เป็นคัมภีร์หรืออะไรที่มีไว้สำหรับยึดถือหรือบูชา ดังนั้น ใครก็ตามแม้อ่านและจำพระไตรปิฎกได้ทั้งหมด แต่ไม่ปฏิบัติ ก็ไม่อาจรู้แจ้ง คำสอนของพระพุทธเจ้านั้นไม่ใช่สิ่งลี้ลับยากเย็น เพราะแม้แต่เด็ก ๆ วรรณะจัณฑาลผู้ไม่มีการศึกษา ก็ยังฟังเข้าใจ . พระพุทธเจ้าเน้นความเป็นวิทยาศาสตร์โดยกล่าวว่า หากการหมายรู้ของบุคคลถูกต้องแม่นยำ (ด้วยการใช้ข้อมูล ความรู้ และปัญญา) ความจริงก็จะปรากฏ พระพุทธเจ้าสอนให้เชื่อและยอมรับสิ่งที่สอดคล้องกับมโนธรรมสำนึก สิ่งที่บัณฑิตผู้มีคุณธรรมและปัญญายอมรับและสนับสนุน และสิ่งที่เมื่อปฏิบัติแล้วสามารถยังประโยชน์และความสุขแก่ทุกฝ่าย คำสอนของพระพุทธเจ้าไม่อิงกับศรัทธาความเชื่อที่ห้ามโต้แย้ง พระพุทธเจ้า สอนให้เคารพเสรีภาพทางความคิดอย่างแท้จริง . . ความเป็นมนุษย์ของพระพุทธเจ้า . พระพุทธเจ้าก็มีความรู้สึกส่วนบุคคลเหมือนคนทั่วไป เช่น โปรดประทับภาวนาในป่าประดู่ลาย เคยดุว่าพระราหุล หรือรู้สึกสลดในยามที่ภิกษุกลุ่มหนึ่งไม่ใส่ใจรับฟังคำชี้แนะ พระอรหันต์ เช่น พระสารีบุตรก็รู้สึกสลดนับแต่พระโมคคัลลานะถูกฆาตกรรม จึงเก็บตัวอยู่แต่ในกุฏิ จนพระพุทธเจ้าไปเยี่ยมปลอบใจ เป็นต้น . ในด้านศิลป พระพุทธเจ้าเป่าขลุ่ยได้ ชื่นชมสิ่งอันสุนทรีย์โดยไม่ถูกครอบงำด้วยความสวยงามหรือความน่าเกลียด นอกจากนี้ ยังเคยฝึกเลียนเสียงช้างจนเหมือน ครั้งหนึ่งในยามคับขันเมื่อช้างดุร้ายเชือกหนึ่งวิ่งตรงเข้ามา พระพุทธเจ้าเปล่งเสียงช้างออกมาดังสะท้านจนช้างเชือกนั้นหยุดชะงักทันที แต่เรื่องนี้ เราก็อาจตีความเป็น “พุทธานุภาพ” ซึ่งก็สุดแต่จะตีความกันในยุคหลัง . พระพุทธเจ้าเคยแก้ไขคำพูดของพระองค์ให้ถูกต้อง กล่าวคือ ครั้งหนึ่งแนะนำให้พระอหิงสกะ (องคุลิมาล) บอกแก่หญิงผู้หนึ่งว่า ตั้งแต่พระอหิงสกะเกิดมา ไม่เคยประทุษร้ายชีวิตใด พอพระอหิงสกะทักว่า ถ้ากล่าวเช่นนั้นอาจตีความเป็นการพูดเท็จ พระพุทธเจ้าจึงแนะให้พระอหิงสกะกล่าวใหม่ให้ชัดเจนว่า นับแต่วันที่ตนถือกำเนิดในอริยธรรม ไม่เคยประทุษร้ายชีวิตใดเลย เป็นต้น . . ต่อครอบครัวและความรัก . พระพุทธเจ้ากล่าวสัจพจน์สำคัญว่า “ที่ใดที่รัก ที่นั่นมีทุกข์” เพราะหากสูญเสียสิ่งที่ผูกพันไป ก็เสียดาย โดยเฉพาะความรักและความยึดมั่นที่มีราคะ ตัณหา และความยึดติด เป็นสาระสำคัญ แต่ก็ยังมีความรักอีกประเภทหนึ่งที่ประกอบไปด้วยความปรารถนาดีและต้องการให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ หรือที่เรียกว่า เมตตาและกรุณา ซึ่งถือเป็นความงามประเภทเดียวที่ไม่จางหายและไม่ก่อให้เกิดความทุกข์ . พระพุทธเจ้าแยกแยะเรื่องส่วนตัวกับส่วนรวมเป็นอย่างดี เช่น การระมัดระวังในการปฏิบัติต่อสงฆ์กลุ่มที่เป็นญาติโดยไม่ให้สิทธิพิเศษใด การเข้มงวดแม้กระทั่งภิกษุณีมหาปชาบดี หรือพระโอรส คือ พระราหุลก็ไม่เคยนอนในกุฏิเดียวกับพระพุทธเจ้า พระราหุลยังเคยปรารภว่าพระพุทธเจ้าไม่เคยปฏิบัติต่อท่านอย่างชื่นชอบเป็นพิเศษ แต่พระอหิงสกะ (องคุลิมาล) กลับได้รับคำยกย่องอย่างสูงยิ่งในฐานะโจรกลับใจผู้มีความอดทนสูงส่ง เป็นต้น . . มองในสิ่งที่เคยเชื่อด้วยมุมมองใหม่ . ปกติเราเชื่อว่าภิกษุไม่ควรสัมผัสสตรี แต่องค์ทะไล ลามะ และท่านภิกษุ ติช นัท ฮันท์ สัมผัสมือกับสตรี เมื่อพระพุทธเจ้าไปหาพระนางยโสธรา ก็ยังสัมผัสมือกัน หรือพระราหุลสมัยเป็นสามเณรก็ยังเคยสวมกอดพระมารดา เป็นต้น ข้อนี้เป็นกรณีตัวอย่างที่แตกต่างระหว่างพุทธศาสนาแบบไทยกับแบบอื่น ซึ่งแสดงว่าเราควรใช้วิจารณญาณศึกษาเชิงเปรียบเทียบ ไม่ใช่เชื่อแต่สิ่งที่เคยได้ยินมา . กรณีอดีตชาตินั้น มีกล่าวไว้ว่า พระพุทธเจ้าทรงเห็นการเกิดและตายทุกครั้งที่ผ่านมา ซึ่งกรณีนี้คงขึ้นอยู่กับการตีความ หากตีความอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ก็หมายถึงว่า “สสารไม่สูญหายไปไหน” พระพุทธเจ้าทรงกล่าวว่า “ก่อนที่ตถาคตจะเกิดมาเป็นมนุษย์ ตถาคตเคยเป็นดินและก้อนหิน เคยเป็นต้นไม้ เป็นนก และในชาติปางก่อน พวกเราล้วนเคยเกิดเป็นตะไคร่ หญ้า ต้นไม้ ปลา เต่า นก” เป็นต้น ดังนั้น พระพุทธเจ้าคงหมายถึงการเปลี่ยนแปลงที่เป็นวัฏจักรของสรรพสิ่งเป็นสำคัญ . . ปัญหาสังคมในมุมมองใหม่ . ในสมัยพุทธกาล ความยากจนของชาวนา ปัญหาเด็กพิการ ขอทาน การเจ็บป่วย เป็นปัญหาที่แม้แต่กษัตริย์ก็ไม่มีอำนาจที่จะแก้ไข อำนาจของกษัตริย์เปราะบางและมีอยู่อย่างจำกัด ในสมัยนั้น แม้พระเจ้าสุทโธทนะจะทราบว่าขุนนางละโมบและฉ้อราษฎร์บังหลวง แต่ก็จำต้องอาศัยพวกขุนนางทุจริตเหล่านี้ค้ำจุนบัลลังก์ ขุนนางเหล่านี้ต่างก็ขับเคี่ยวกันเพื่อมุ่งปกป้องและสร้างฐานอำนาจของตนเอง ไม่ใช่มุ่งขจัดความทุกข์ยากให้ผู้ยากไร้ พระพุทธเจ้าได้เห็นความเป็นจริงข้อนี้จึงไม่คิดที่จะเป็นกษัตริย์ . อาจกล่าวได้ว่า การทำทานก็ช่วยบรรเทาทุกข์ผู้ยากไร้ได้บ้าง แต่ไม่ใช่ทางออกที่ดีจริง อาชญากรรมและความรุนแรง เป็นผลพวงของความอดอยาก ยากจน วิธีที่ดีที่สุดในการช่วยเหลือประชาชน และช่วยให้ประชาชนมั่นคงปลอดภัยดี ก็คือการมุ่งสร้างเศรษฐกิจที่พูนสุข โดยการจัดสรรทรัพยากร ทุน และจัดการภาษีอย่างถูกต้องเหมาะสม เป็นต้น . . สร้างความเท่าเทียมในหมู่ชน . ในอินเดียโบราณ ประชาชนถูกครอบงำกดขี่จากพวกนักบวชศาสนาอื่น โดยประชาชนที่ยากจนก็ต้องยอมเสียเงินให้นักบวชเหล่านั้น เพื่อรับการทำพิธีศาสนาตามแบบแผน แต่พระพุทธเจ้ากลับทรงมุ่งสร้างความเท่าเทียมกันในหมู่ชน โดยแสดงออกด้วยการดื่มน้ำแก้วเดียวกับเด็กชายวรรณะจัณฑาลทั้งยังให้เด็กคนนั้นดื่มก่อน และยังรับคนจัณฑาลเข้ามาอยู่ในคณะสงฆ์ แต่ทำไมในทุกวันนี้ พุทธศาสนากับศาสนาดังกล่าวกลับแยกกันแทบไม่ออก ใครทำให้เกิดภาวะเช่นนี้ ใครเป็นคนเสริมต่อ และใครได้ประโยชน์จากการนี้ . การช่วงชิงผลประโยชน์ทางการเมือง และการสงครามของกษัตริย์นครต่าง ๆ ในสมัยนั้น ทำให้ประชาชนเดือดร้อน พระพุทธเจ้าก็เคยห้ามศึกแย่งน้ำทำนากันในหมู่ญาติ นี่แสดงว่าหากกษัตริย์หรือข้าราชการไม่ได้รับการควบคุมที่ดี ประเทศไม่ได้เป็น “ประชารัฐ” ไม่ได้เป็นประชาธิปไตยของคนส่วนใหญ่ ก็ย่อมก่อสงครามจนประชาชนได้รับความเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า . . คำราชาศัพท์กับพระพุทธเจ้า . ในการเขียนถึงพระพุทธเจ้า เรามักใช้คำราชาศัพท์ พระพุทธเจ้าก็เคยเป็นเจ้าชายมาก่อน และหากครองราชย์ก็ย่อมเป็นมหาจักรพรรดิที่ยิ่งใหญ่ของโลก แต่พระพุทธเจ้าไม่ต้องการอยู่ในวรรณะนี้ และยังประสงค์จะใช้ภาษาและคำพูดธรรมดา ดังนั้นการใช้คำราชาศัพท์กับพระพุทธเจ้า แม้ในแง่หนึ่งถือเป็นการแสดงความเคารพอย่างสูงสุด แต่ในอีกแง่หนึ่งก็อาจเป็นการไม่นำพาต่อความตั้งใจของพระพุทธเจ้าในการสละวรรณะกษัตริย์ การใช้คำราชาศัพท์ก็เท่ากับการผูกพันพระพุทธเจ้าไว้กับวรรณะนี้ . โปรดสังเกตว่า พระพุทธเจ้าเป็นผู้ไม่ถือตน โดยสมัยที่ลาจากวรรณะเดิมมาบำเพ็ญเพียร เด็กชายวรรณะจัณฑาลให้หญ้ามาใช้ปูนั่ง ก็ยกมือไหว้ขอบคุณ สมัยตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้วก็พนมมือ น้อมกายเป็นการตอบรับเป็นการขอบคุณ พระพุทธเจ้าเคยช่วยเด็กวรรณะจัณฑาลตัดหญ้าด้วย หรือร่วมกับพระอานนท์ช่วยกันอุ้มภิกษุที่อาพาธขึ้นเตียงและเปลี่ยนจีวรให้ แล้วยังช่วยขัดถูพื้นกุฏิและซักจีวรที่เกรอะกรังดินของภิกษุดังกล่าวอีกด้วย . . การที่มนุษย์ผู้หนึ่งสามารถบรรลุธรรม จนประกาศศาสนาให้เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวทางจิตใจมานับได้ 2551 ปีเช่นนี้ ทำให้เห็นชัดถึงศักยภาพของมนุษย์ที่สามารถพัฒนาตนเองให้ก้าวหน้าทั้งทางวัตถุและจิตใจอย่างอเนกอนันต์ได้ เราจึงต้องเชื่อมั่นในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ที่สามารถเป็นอิสระจากอวิชชาด้วยการศึกษาอย่างจริงจังและเป็นวิทยาศาสตร์ เพื่อนำมาสังเคราะห์ด้วยปัญญาให้รู้จริง . . พระพุทธเจ้าเป็นมนุษย์ที่เราเข้าถึงได้ และเราพึงระลึกว่า “บุคคลไม่สามารถข้ามพ้นจากอวิชชาโดยการสวดอ้อนวอนและยัญบูชา”
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Mr.EggMan
|
|
« ตอบ #322 เมื่อ: 24 ธันวาคม 2551, 06:37:05 » |
|
^ ^ ^ ^ ^ มีเส้นที่คั่นระหว่าง ความจริง กะ ความเชื่อ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #323 เมื่อ: 24 ธันวาคม 2551, 13:18:41 » |
|
โอ้..บักชาร์ป..บรรลุโลด
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
telek78
|
|
« ตอบ #324 เมื่อ: 25 ธันวาคม 2551, 12:17:46 » |
|
ธรรมะอยู่ที่ใจ เหตุใดต้องร้อนรน
ว่าแล้วเข้า google ไปหาดูรูปนางอัปสรเพิ่มเติมดีกว่า
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #325 เมื่อ: 26 ธันวาคม 2551, 08:37:23 » |
|
นางอัปสรหน้าตาเป็นไงพี่..
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
telek78
|
|
« ตอบ #326 เมื่อ: 30 ธันวาคม 2551, 16:55:20 » |
|
ว่างจัด เห็น cubic วางไว้ที่บ้านเลยเอามาลองเล่นดู ปกติไม่เคยทำได้ เลยโมโห หาวิธีการเล่นในกูเกิ้ล ทำได้แล้ว ทำได้แล้ว เลยเอามาฝากกัน เผื่อบางคนยังเล่นไม่เป็น ลองดู
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Mr.EggMan
|
|
« ตอบ #327 เมื่อ: 31 ธันวาคม 2551, 05:00:47 » |
|
ข้อคิดดีๆ จาก พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี หรือ ว.วชิรเมธี สำหรับ 7 หลักคิดในเชิงบวก ที่สามารถหยิบมาเป็นยาชูกำลังใจในยามท้อแท้ได้อย่างดีเยี่ยม โดยใน 7 หลักคิด มีข้อคิดดีๆ อีก 7 ข้อ เป็นพลังมหัศจรรย์ของ 7x7 ได้แก่ 1. ความคิดดีๆ เป็นที่มาแห่งความสุข แน่นอนว่าเมื่อเรามีความคิดดีๆ โลกก็จะดีตามอย่างที่เราคิด ดังที่ท่านว่าไว้ในหนังสือเล่มนี้ว่า “โลกเป็นอย่างไร ขึ้นอยู่กับว่าเราใส่แว่นตาสีอะไรมองโลก หากมองโลกในแง่ดี ชีวิตมีแต่สิ่งรื่นรมย์ หากมองโลกในแง่ร้าย ชีวิตมีแต่ความวุ่นวายและทุกข์ระทม” 2. ปัญญาดีย่อมมีความสุข คนมีปัญญาย่อมใช้ปัญญาในการแก้ปัญหาเพื่อให้พ้นทุกข์ ดังนั้น สำหรับคนมีปัญญา วิกฤตอยู่ไหน ปัญญาอยู่นั่น ส่วนคนด้อยปัญญา โอกาสอยู่ไหน วิกฤตอยู่นั่น จงเรียนรู้ที่จะเปลี่ยนปัญหาให้เป็นปัญญา เปลี่ยนอุปสรรคเป็นอุปกรณ์ 3. ชีวิตของคนดีคือชีวิตที่มีความสุข ดังท่านว่า ดอกไม้หอมได้บางดอก แต่มนุษย์หอมได้ทุกคน หากเขาเป็นคนดี กลิ่นดอกไม้แม้หอมขนาดไหน ก็หอมได้แต่ตามลมเท่านั้น ส่วนกลิ่นความดีของคนดีนั้น หอมหวนทวนลม ฟุ้งกระจายไปในทิศทั้งสี่ ดอกไม้ผลิบานแล้วไม่นานก็ร่วงโรย แต่ความดีของคนนั้น สถิตเป็นนิรันดร์เหนือกาลเวลา 4. ปฏิสัมพันธ์ดีก็มีความสุข ซึ่งเป็นการเลือกคบมิตร โลกนี้มีมิตรอยู่ 3 ประเภทคือ 1. ปาปมิตร เพื่อนชั่ว จงอย่าคบ 2. กัลยาณมิตร เพื่อนดี จงคบ 3. พันธมิตร เพื่อนที่ผูกพันกันด้วยผลประโยชน์ จงระวัง 5. ทำงานดีก็มีความสุข ท่านว่าไว้ คนจำนวนมากเป็นทุกข์ขณะทำงาน แต่เบิกบานเฉพาะเสาร์-อาทิตย์ โดยหารู้ไม่ว่า ในหนึ่งสัปดาห์มีเสาร์-อาทิตย์แค่สองวัน จงเป็นสุขขณะทำงาน จงเบิกบานขณะหายใจ 6. มองโลกในแง่ดี ชีวิตมีความสุข ดังผู้รู้ท่านหนึ่งกล่าวว่า “ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้มันถูกอยู่แล้ว มีแต่ความเห็นของเราเท่านั้นที่ผิด ใครทำความเข้าใจคำกล่าวนี้ได้อย่างลึกซึ้ง คนนั้นจะไม่ทุกข์ และเขาจะไม่หวั่นไหว ในความผันแปรของชีวิต สิ่งใดเกิดขึ้นมาเขาจะอุทานอยู่เสมอว่า “มันเป็นเช่นนั้นเอง” 7. ครอบครัวดีทวีความสุข ครอบครัวคือพื้นฐานสำคัญของชีวิต บุตรธิดาคืออนุสาวรีย์ของพ่อแม่ หากลูกเป็นคนดี อนุสาวรีย์ของพ่อแม่ก็งดงาม หากลูกเลวทราม อนุสาวรีย์ของพ่อแม่ก็อัปลักษณ์
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #328 เมื่อ: 05 มกราคม 2552, 07:05:04 » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
telek78
|
|
« ตอบ #329 เมื่อ: 05 มกราคม 2552, 11:51:25 » |
|
กำลังจะบอกอะไรเป็นนัยหรือเปล่า
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
นายป้อ
|
|
« ตอบ #330 เมื่อ: 05 มกราคม 2552, 16:51:36 » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #331 เมื่อ: 06 มกราคม 2552, 19:15:20 » |
|
อ้าว..อย่างนี้กรูต้องเสียไอ้แครมมม..และไอ้ไข่..ไอ้หลิม..ไปแล้วหรือนี่..
เพื่อนชั่ว..เราต้องหลบหลีก..ดั่งดอมินิก..นักบุญซาวีโอ..(ใครเรียนโรงเรียนคริสต์ชายน่าจะเคยได้ยิน..)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
telek78
|
|
« ตอบ #332 เมื่อ: 07 มกราคม 2552, 12:19:27 » |
|
ซาวีโอ ที่เคยอยู่กับ Real Madrid ช่ายหรือเปล่า
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #333 เมื่อ: 08 มกราคม 2552, 18:16:07 » |
|
ม่ายช่าย..ตึงโป๊ะ..(ต้องรับแบบนี้ด้วยรึเปล่าพี่..)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #334 เมื่อ: 09 มกราคม 2552, 07:23:25 » |
|
รู้จักแต่ มาแตร์ อ่ะ หุหุ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
telek78
|
|
« ตอบ #335 เมื่อ: 12 มกราคม 2552, 12:27:23 » |
|
ขอบใจมากท่านขนาดเล็ก เอ๊ย มหาดเล็ก
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #336 เมื่อ: 13 มกราคม 2552, 12:00:17 » |
|
^ ^ ลูกเล่นเย๊อะจริงๆ นะ คนนี้
ลูกเล่นเย๊อะ พ่อก็ไม่ได้เล่นสิ ตึ่งโป๊ะ .... (ชงเอง กินเอง)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
telek78
|
|
« ตอบ #337 เมื่อ: 13 มกราคม 2552, 12:13:49 » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #338 เมื่อ: 13 มกราคม 2552, 14:30:28 » |
|
ไม่ส่ายนมก็ไม่มันสิพี่..
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #339 เมื่อ: 16 มกราคม 2552, 07:44:28 » |
|
แบ่งปันสิ่งดีๆ 20 คำถามกับ ว.วชิระเมธี : ที่มา forward mail ๑. กลัวลูกมีเซ็กส์ในวัยเรียน? ไม่อยากให้เกิด ต้องเอาปัญญาใส่ในมือลูก ให้เงินลูกน้อยๆ ให้ความรู้แก่ลูกมากๆ ด่าลูกน้อยๆ ให้คำสอนลูกมากๆ ๒. ไหว้พระ! ขอพรอะไรดี? (๑) ขออย่าให้โลภจนหน้ามืด (๒) ขออย่าให้โกรธจนทำร้ายตัวเอง (๓) ขออย่าให้หลงจนไม่รู้ดีรู้ชั่ว (๔) ขออย่าให้ตายในสงครามระหว่างคนไทยด้วยกันเอง ๓. ท้อแท้กับปัญหามากมายทำอย่างไรดี? ปลาที่ยังเป็นอยู่ ล้วนเรียนรู้ที่จะว่ายทวนน้ำ ส่วนปลาตาย มักไหลตามน้ำ ปัญหาทำให้คนธรรมดาท้อ แต่ทำให้คนมีปัญญาลุกขึ้นมาแก้ไข ๔. ทะเลาะกับแฟนจนไม่มีสมาธิทำงาน? งานส่วนงาน แฟนส่วนแฟน รู้จักแบ่งเวลาให้งาน รู้จักแบ่งเวลาให้แฟน อย่าเสียงานเพราะแฟน อย่าเสียแฟนเพราะงาน ๕. โกรธ! ถูกเพื่อนนินทา? โบราณว่าไม่มีใครเตะหมาที่ตายแล้ว คุณถูกนินทาแสดงว่าคุณยังมีความหมาย คุณเป็นคนโชคดี จู่ๆ ก็มีกระจกวิเศษสะท้อนความอัปลักษณ์ ให้เห็นความบกพร่องของตัวเอง ๖. จับได้ว่าแฟนมีกิ๊กทำอย่างไรดี? (๑) ถามตัวเองว่าเราดีกับเขาพอหรือยัง (๒) ระหว่างเรากับกิ๊กมีข้อดีข้อด้อยต่างกันตรงไหน (๓) ถามแฟนว่าจะเลือกใครก็รีบทำ ไม่รักฉัน อย่าทำให้ฉันเสียเวลา ๗. โดนเพื่อนร่วมงานแย่งซีนทำอย่างไร? เขาแย่งจากเราได้เพียงแค่ซีนและภาพลักษณ์เท่านั้น แต่เขาไม่สามารถแย่งความรู้และความสามารถไปจากเราได้ ๘. งานเยอะมากทำอย่างไรดี? (๑) รู้ว่างานเยอะต้องรีบทำ (๒) อย่าดองงานข้ามปีข้ามชาติ (๓) เรียงลำดับความสำคัญของงาน สำคัญก่อนให้รีบทำ สำคัญน้อยค่อยทยอยทำ ๙. ทำงานดี มีแต่คนริษยา จะรับมืออย่างไร? โบราณว่า ไม้ใหญ่ย่อมเจอขวานคม คนเด่นต้องมีคนด่า คนมีปัญญาจึงมีคนลองดี คนทำงานดีจึงมีคนริษยา! ปรากฏการณ์เช่นว่านี้ เป็นของธรรมดา ทำงานดีจนมีคนริษยา ยังดีกว่าทำงานไม่ดี จึงเป็นได้อย่างดีแค่คนที่คอยริษยา ๑๐. ทำงานแทบตาย เงินไม่พอใช้ ทำอย่างไรดี? (๑) หางานใหม่ (๒) ลดความต้องการให้น้อยลง อยู่กับความจริงให้มาก (๓) บริโภคปัจจัยสี่โดยมุ่งประโยชน์ อย่ามุ่งประดับ (๔) ทำบัญชีรายรับรายจ่าย รับมากกว่าจ่ายจึงนับว่ายอด จ่ายมากกว่ารับนับว่าแย่ ๑๑. ถูกนายด่า อารมณ์เสีย? คนที่ด่าคนอื่นสะท้อนว่าระบบข้างใจกำลังพัง คนอารมณ์เสียเพราะถูกด่า แสดงว่าระบบของตัวเองก็พังตามไปด้วย ๑๒. ไถ่ชีวิตโคได้บุญมากไหม? ถ้าไถ่แล้วโคอยู่รอด คุณได้บุญ แต่หากไถ่เพื่อทำให้วัดอยู่รอด คุณได้บาป แทนที่จะไถ่โคกระบือ คุณควรไถ่ตัวเองให้พ้นจากความโลภ โกรธ หลง ดีกว่า ๑๓. แฟนติดหนังเกาหลี ดูทั้งคืนไม่ยอมนอน? ขอให้คิดว่าอย่างน้อยเธอยังนั่งดูอยู่ในบ้าน ถึงเธอจะติดหนังเกาหลี ก็ยังดีกว่าติดผู้ชายขี้หลีที่อยู่นอกบ้าน ๑๔. ลูกค้าจู้จี้ทำอย่างไรดี? มีลูกค้าจู้จี้ยังดีกว่าวันทั้งวันไม่มีใครแวะเวียน ผ่านมาเยี่ยมเยียนถึงในร้าน ลูกค้าจู้จี้ได้ แต่คุณต้องทำให้เขาประทับใจเอาไว้เสมอ ๑๕. ไปงานวันเกิดควรได้อะไร? (๑) ได้ถามตัวเองว่า เราเกิดมาเพื่ออะไร (๒) ได้ถามตัวเองว่า เราเกิดมาจากใคร (๓) ได้ถามตัวเองว่า เรากตัญญูต่อผู้ให้กำเนิดแล้วหรือยัง ๑๖. สวดมนต์บทไหนดี? (๑) สวดพุทธคุณเพื่อเตือนว่า จงเป็นผู้ตื่น (๒) สวดธรรมคุณเพื่อเตือนว่า จงเว้นสิ่งที่ควรเว้น จงทำสิ่งที่ควรทำ (๓) สวดสังฆคุณเพื่อเตือนว่า พระอรหันต์ที่แท้ คือพ่อกับแม่ที่อยู่ในบ้านของเรานั่นเอง! ๑๗. สามีไม่สนใจธรรมะเลยทำอย่างไรดี? (๑) เราควรมีธรรมะให้เขาดู (๒) เราควรอยู่ให้เขาเห็น (๓) เราควรสงบเย็นให้เขาได้สัมผัส เนื่องเพราะ หนึ่งการกระทำสำคัญกว่าพันคำพูด ๑๘. โดนขับรถปาดหน้า โมโหมาก? (๑) บอกตัวเองว่าโกรธคือโง่ โมโหคือบ้า ด่าคือมาร ระรานคือบาป (๒) เปลี่ยนการด่าเป็นการแผ่เมตตาให้เขาถึงที่หมายโดยปลอดภัย (๓) เตือนตนไว้ว่า อย่าขับรถปาดหน้าใคร เพราะอาจมีอันตรายรอบด้าน ๑๙. อยู่ในกลุ่มเพื่อนชอบนินทาจะตีจากดีไหม? ท่านพุทธทาสกล่าวว่า คนชอบนินทาคือคนที่ชอบกินของเน่า ถ้าเราร่วมผสมโรงไปกับเขา แสดงว่าเราเองก็ชอบกินของเน่าไม่เบาเหมือนกัน ๒๐. ทำไมมักเจอสิ่งที่ไม่ชอบใจอยู่เสมอ? ผู้รู้บอกว่า ศิลปินอย่าดูหมิ่นศิลปะ กองขยะดูดีๆ ยังมีศิลป์ ดังนั้น ในสิ่งที่คุณไม่ชอบ ย่อมมีแง่มุมที่คุณชอบอย่างแน่นอน มองอย่างพินิจจะพบว่า ในดีมีเสีย ในเสียมีดี
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Net 80
มือใหม่หัดเมาท์
ออฟไลน์
กระทู้: 187
|
|
« ตอบ #340 เมื่อ: 16 มกราคม 2552, 12:25:23 » |
|
^ ^ ^ ๒๐. ทำไมมักเจอสิ่งที่ไม่ชอบใจอยู่เสมอ?
ผู้รู้บอกว่า ศิลปินอย่าดูหมิ่นศิลปะ กองขยะดูดีๆ ยังมีศิลป์ ดังนั้น ในสิ่งที่คุณไม่ชอบ ย่อมมีแง่มุมที่คุณชอบอย่างแน่นอน มองอย่างพินิจจะพบว่า ในดีมีเสีย ในเสียมีดี
เข้าใจเลยจริงๆ...ช่วงนี้ คิดได้จากสิ่งที่ไม่ชอบหลายอย่างเลย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #341 เมื่อ: 21 เมษายน 2552, 07:22:16 » |
|
จริงหรือเปล่าไม่รู้ เจอมาเลยเอามาแปะ ใครพิสูจน์แล้วช่วยบอกที
แบตเสื่อม
สำหรับผู้ที่แบตฯมือถือของท่านเริ่มมีอายุการใช้งานสั้นลงจนสังเกตได้ชัดเจน ให้ปฏิบัติดังนี้ 1. นำแบตของท่านห่อด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์ แล้วใส่ไว้ในถุงพลาสติก แล้วนำไปแช่ในช่องแช่แข็งในตู้เย็นเป็นเวลา 3 วัน ซึ่งตรงนี้กระดาษหนังสือพิมพ์ จะช่วยดูดความชื้น ส่วนเกินให้ 2. หลังจากทิ้งแบตไว้ในตู้เย็นครบสามวันแล้วนำแบตฯออกมาทิ้งไว้ที่อุณหภูมิห้องอีกสองวัน 3. เมื่อทิ้งไว้สองวันแล้ว ชาร์จแบตให้เต็มแล้วนำไปใส่ในมือถือของท่านอีกครั้ง จะสังเกตได้ว่า แบตสามารถใช้งานได้นานถึง 80-90% ของแบตใหม่เลยทีเดียว
ตาแคม
|
|
|
|
Joker_rcu79
Full Member
ออฟไลน์
กระทู้: 332
|
|
« ตอบ #342 เมื่อ: 21 เมษายน 2552, 15:55:31 » |
|
^ ^ เคยลองยังงะ ใครลองแล้วบอกด้วย เด๋วไปหาแบตเก่าๆ มาลองซะหน่อย
|
|
|
|
หลิม 81
|
|
« ตอบ #343 เมื่อ: 21 เมษายน 2552, 16:33:37 » |
|
น้าแครมแนะนำ ไม่กลัวระเบิดเหรอ
|
@ ปีนี้ปีของผม @
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #344 เมื่อ: 21 เมษายน 2552, 17:11:27 » |
|
ดูน่ากลัวยังไงไม่รู้ว่ะ..ใครมีเหตุผลทางวิทยาศาสตร์มาอธิบายมั่ง..ถ้าดีก็ได้ประโยชน์มาก
|
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #345 เมื่อ: 22 เมษายน 2552, 12:23:47 » |
|
แบตเสื่อม กับ แบตไม่ได้มาตรฐานมันคนละเรื่องกันหนิ แต่ที่มา post เนี่ย ก็ยังไม่มีหลักฐานยืนยันนะ ใครที่แบตเสื่อม (ที่ไม่บวม) ก็เอาไปทดลองดูดิ
|
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #346 เมื่อ: 28 เมษายน 2552, 12:19:13 » |
|
ข้อมูลจากผู้ต้องขังข้อหา ข่มขืน จาก คุกบางขวาง และ ลาดยาว จำนวน 100 คน นางสาวอลิสา แสงขำ นักศึกษาปริญญาโท นิติศาสตรมหาบัณฑิต คณะนิติศาลตร์ ภาควิชาอาชญวิทยา เก็บข้อมูลจากนักโทษข้อหาข่มขืนจากคุกบางขวางและลาดยาว จำนวน 100 คน
- 90% เลือกผู้หญิงผมยาว คือหางเปีย หางม้าปล่อยตามธรรมชาติ เพราะกระชากจากข้างหลังได้ง่าย - 87% เลือกผู้หญิงที่สวมเสื้อผ้าถอดง่าย แต่หากพบผู้หญิงถูกใจแต่สวมเสื้อผ้าที่ต้องใช้เวลาถอดนาน เขาจะกลับมาดักรอเป็นครั้งที่สองพร้อมกรรไกรหรือคัตเตอร์ - 84% เลือกผู้หญิงที่เดินไปด้วยคุยโทรศัพท์ไปด้วย มือถือสามารถนำไปขายต่อได้ หรืออ่านการ์ตูน หรือหนังสืออื่นขณะเดินเพราะไม่ได้ระวังตัว - 96% เลือกผู้หญิงที่เดินทางไปไหนมาไหนเวลากลางคืน เพราะผู้ชายส่วนใหญ่มีประสบการณ์ทางเพศครั้งแรก ตอนกลางคืนโดยไม่คำนึงว่าต้องเป็นผู้หญิงสวยหรือหุ่นดี ขอให้มีเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งก็พอ มีนักโทษบางขวางคนหนึ่งให้ข้อมูลว่าหากเวลานั้นเป็นเวลาที่เขาต้องการปลดปล่อยแล้ว เขาไม่เลือกว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย วัว ควาย - 99% เลือกผู้หญิงที่เดินทางคนเดียว มีนักโทษบางขวางคนหนึ่งทำทีเป็นวินมอเตอร์ไซค์รับผู้หญิงคนที่ถูกใจ จากกลุ่มเพื่อนของเธอที่เดินด้วยกันไปข่มขืน - 80% สามารถข่มขืนได้ในการกระทำครั้งแรกโดยใช้อุปกรณ์ที่อยู่ในผู้หญิงนั่นเองเป็นอุปกรณ์ช่วยประกอบการกระทำผิด เช่น เข็มขัด ลูกกุญแจ กระจกส่องหน้า - 70% เลิกล้มความตั้งใจหากผู้หญิงคนนั้นจ้องหน้าเขาแล้วเริ่มต้นสนทนาสั้นๆกับเขาก่อน ขณะที่เขาเข้าประชิดตัว เช่น โทษค่ะ กี่โมงแล้ว
ที่มา : Forward Mail
|
|
|
|
Aj.O
|
|
« ตอบ #347 เมื่อ: 28 เมษายน 2552, 15:37:33 » |
|
ที่มาของคำแปลกๆ.... 1) ไม่เป็นสัปปะรด > ที่จริงคำนี้มีที่มาจากอาหาร โดยมาจากคำว่า ไม่เป็น"สรรพรส"หมายถึงไม่มีความหลากหลายของรสชาติ นั่นเอง 2) สีโอรส(ส้มอมชมพู) > มาจากคำว่า Old rose ในภาษาอังกฤษ คือ สีเดียวกับกุหลายเหี่ยวๆ 3) Kangaroo > ฝรั่งที่เพิ่งเดินทางไปออสเตรเลียกลุ่มแรกๆ เห็น"จิงโจ้" แล้วถามคนพื้นเมือง(เป็นภาษาอังกฤษ)ว่า นั่นตัวอะไร คนป่าพื้นเมืองไม่เข้าใจ เลยเอ่ยคำว่า แกงการู ซึ่งแปลว่า กุไม่รู้(ว่าเมิงพูดอะไร)... จากนั้นมา ฝรั่งเลยเรียกตัวจิงโจ้ว่า Kangaroo เพราะเข้าใจผิดว่าเป็นชื่อเรียกสัตว์นี้
|
...
|
|
|
Aj.O
|
|
« ตอบ #348 เมื่อ: 28 เมษายน 2552, 15:41:37 » |
|
โอ้ สุดยอด แบบนี้ถ้าเป็นเด็กผู้ชายก็มีโอกาสเสี่ยงโดยตุ๋ยได้ไม่แพ้กันดิ ถ้างั้น สุนัขตัวเมียแถวซอยบ้านไอ่คนนี้ คง หารB กันทั่วหน้าแล้วดิ
|
...
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #349 เมื่อ: 29 เมษายน 2552, 09:31:29 » |
|
เอาอีกแร้วววว..จารย์โอ.. ว่าแต่ไอ้จิงโจ้นี่เรื่องจริงรึเปล่าเนี่ยะ..
|
|
|
|
Aj.O
|
|
« ตอบ #350 เมื่อ: 29 เมษายน 2552, 11:51:54 » |
|
จริงครับ...Kangaroo แปลว่า I don't understand
|
...
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #351 เมื่อ: 12 พฤษภาคม 2552, 07:37:13 » |
|
Google เพิ่มฟังก์ชั่นใหม่ "การค้นหาตามสี" สำหรับการ search พวกรูปภาพครับ เวลาเราเข้าไปในหน้าค้นหา "รูปภาพ" ของ Google ในส่วนของ option การแสดงภาพ เราสามารถเลือกสีภาพที่อยากให้แสดงได้ เช่น เราหารูป doreamon อยู่ เวลา search ก็จะได้รูปขึ้นมามากมาย แต่เราอยากได้โดเรม่อนสีเหลือง ก็ให้ไปที่ option การแสดงสี พอเลือกสีเหลืองปุ๊ป Google ก็จะแสดงภาพที่มีสีเหลืองเป็นส่วนประกอบขึ้นมาให้ แหม...สะดวงเจงๆ
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #352 เมื่อ: 12 พฤษภาคม 2552, 08:45:57 » |
|
ทีมทำงานมันเขียนฟังก์ชั่นยังไงหว่า..
|
|
|
|
หลิม 81
|
|
« ตอบ #353 เมื่อ: 12 พฤษภาคม 2552, 10:22:13 » |
|
เด็ดขาด...ท่าทางจะว่างมาก หรือว่าหาเด็ก ๆ
|
@ ปีนี้ปีของผม @
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #355 เมื่อ: 13 พฤษภาคม 2552, 07:42:47 » |
|
ทุกวันนี้ไม่รู้จะกินอะไรแล้วครับ..มีปัญหาทุกอย่างเลย
|
|
|
|
Joker_rcu79
Full Member
ออฟไลน์
กระทู้: 332
|
|
« ตอบ #356 เมื่อ: 13 พฤษภาคม 2552, 16:28:43 » |
|
กินเด็กครับ อร่อยไม่เชื่อถามตาแคมดู..อิอิ
|
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #357 เมื่อ: 13 พฤษภาคม 2552, 17:02:59 » |
|
^ ^ แสรดดดดดดดดดดดดด
|
|
|
|
หลิม 81
|
|
« ตอบ #358 เมื่อ: 13 พฤษภาคม 2552, 18:15:26 » |
|
แสรดดดดดด้วย
|
@ ปีนี้ปีของผม @
|
|
|
khesorn mueller
|
|
« ตอบ #359 เมื่อ: 13 พฤษภาคม 2552, 20:19:08 » |
|
แปลว่าไร?? ไม่เข้าใจ...
p.nn
|
|
|
|
telek78
|
|
« ตอบ #360 เมื่อ: 14 พฤษภาคม 2552, 00:17:26 » |
|
อาจจะมาจากคำว่า แสด ที่เป็นชื่อโทนสี เช่น สีแสด ในที่นี้อาจหมายความว่า ตาแครมชมตาโจ๊กว่า ตาโจ๊กดูสดใสเหมือนโทนสีแสด หรืออาจจะมาจาก แซด ที่แปลว่า อื้ออึง หนวกหู เช่น ลือกันให้แซด ในที่นี้อาจหมายความว่า ตาแครมดุตาโจ๊กว่า หนวกหูจังเลย หรืออาจจะมาจาก แสบ ที่แปลว่า อาการเจ็บ เช่น แสบเข้าไปถึงทรวง ในที่นี้อาจหมายความว่า ตาโจ๊กทำให้ตาแครมเกิดอากาเจ็บ หรืออาจจะมาจาก แซ่บ ที่แปลว่า อร่อยจัง เช่น แซบอีหลีเด้อ ในที่นี้หมายความว่า ตาแครมชมว่าตาโจ๊กอรอยมาก
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #361 เมื่อ: 14 พฤษภาคม 2552, 08:17:24 » |
|
คารวะด้วยหัวใจจริงๆคับพี่ตี๋..สำหรับมุขนี้..
|
|
|
|
หลิม 81
|
|
« ตอบ #362 เมื่อ: 14 พฤษภาคม 2552, 11:00:35 » |
|
พี่ตี๋ เป็นคนสร้างสรรค์ อย่างแท้จริงครับ ผมยอมอีกคน
|
@ ปีนี้ปีของผม @
|
|
|
ชาร์ป
|
|
« ตอบ #363 เมื่อ: 14 พฤษภาคม 2552, 21:49:57 » |
|
ถามเหล่าแก๊งแมวเหมียวหน่อยว่าจริงหรือเปล่าครับ v v v NINE WORDS WOMEN USE -เก้าคำกำกวมของผู้หญิง (1) Fine: This is the word women use to end an argument when they are right and you need to shut up. ดี,โอเค: คำนี้ผู้หญิงใช้ปิดการโต้เถียงตอนที่เธอมั่นใจว่าเป็นฝ่ายถูก และคุณต้องหุบปากซะ (2) Five Minutes: If she is getting dressed, this means a half an hour. F ive minutes is only five minutes if you have just been given five more minutes to watch the game before helping around the house. ห้านาทีนะ: ถ้า หล่อนกำลังแต่งตัว นี่จะหมายถึงชั่วโมงครึ่ง แต่ห้านาทีก็คือห้านาทีถ้าเธอเพิ่งยอมให้คุณดูบอลต่ออีกห้านาทีแล้วค่อยไป ช่วยเธอทำงานบ้าน (3) Nothing: This is the calm before the storm. This means something, and you s hould be on your toes. Arguments that begin with nothing usually end in fine. ไม่มีไร: นี่ คือความสงบก่อนพายุจะเข้า มันแปลว่า"มีอะไร"แน่ ๆ ขอให้เตรียมตัวได้เลย การโต้เถียงที่เริ่มด้วย "ไม่มีไร" มักจะไปจบลงที่ "ดี,โอเค" (4) Go Ahead: This is a dare, not permission. Don't Do It! ก็เอาดิ,เอาเลย: นี่เป็นคำท้า ไม่ใช่คำอนุญาต อย่าทะลึ่งทำเป็นอันขาด! (5) Loud Sigh: This is actually a word, but is a non-verbal statement often mis understood by men. A loud sigh means she thinks you are an idiot and wonders why she is wasting her time standing here and arguing with you about nothing. (Refer back to # 3 for the meaning of nothing.) ทำเสียง ชิ,ฮึ,จึ๊ ฯลฯ ออกมาดัง ๆ: มัน มีความหมายแน่นอน แต่อวจนภาษามักทำผู้ชายเข้าใจผิด เสียงพวกนี้หมายความว่าเธอกำลังคิดว่าคุณแม่งซื่อบื้อเหลือทน และไม่เข้าใจว่าจะมาเสียเวลายืนเถียงกับคุณเรื่อง"ไม่มีไร"แบบนี้ทำไม (กลับไปดู "ไม่มีไร" ที่ข้อ 3) (6) That's Okay: This is one of the most dangerous statements a women can mak e to a man. That's okay means she wants to think long and hard before deciding how and when you will pay for your mistake. ไม่เป็นไร: นี่ คือสถานะอันตรายสุด ๆ ที่ผู้หญิงจะมีต่อผู้ชายแล้ว "ไม่เป็นไร"แปลว่าเธอต้องคิดดูก่อนอย่างนานและอย่างหนักว่าคุณต้องชดใช้อะไร อย่างไร และเมื่อไหร่ ในความผิดที่คุณก่อไว้ (7) Thanks: A woman is thanking you, do not question, or faint. Just say you're welcome. (I want to add in a clause here - This is true, unless she says 'Thanks a lot' - that is PUREsarcasm and she is not thanking you at all. DO NOT say 'you're welcome' . that will bring on a 'whatever'). ขอบคุณ: ถ้า ผู้หญิงขอบคุณ อย่ามีคำถาม อย่ามัวทำเฉย ตอบรับคำเขาไปดี ๆ (แต่ขอเพิ่มหน่อยว่า ถ้าผู้หญิงพูดว่า "ขอบคุณมาก" อันนี้ประชดเต็มดอก เธอไม่ได้ขอบคุณอะไรเลย อย่าได้ทะลึ่งตอบรับ ไม่งั้นคุณจะเจอกับ "เออ เอาเหอะ") ( Whatever: Is a woman's way of saying F-- YOU! เออ เอาเหอะ: เป็นวิธีที่เจ้าหล่อนจะพูดกับคุณว่า ไอ้เหี้ย! (9) Don't worry about it, I got it: Another dangerous statement, meaning this is something that a woman has told a man to do several times, but is now doing it herself. This will later result in a man asking 'What's wrong?' For the woman's response refer to # 3. อย่าห่วงเลย,อือ เข้าใจละ: อีก หนึ่งสถานะอันตราย หมายความว่านี่คือบางอย่างที่เธอบอกให้คุณทำมาหลายครั้งละ แต่คราวนี้เธอจะทำเอง ซึ่งเดี๋ยวคุณก็จะถามว่า "เป็นไรอะ" แล้วคุณก็จะเจอกับข้อ 3. * Send this to the men you know, to warn them about arguments they can avoid if they remember the terminology. * ส่งให้ผู้ชายทุกคนที่คุณรู้จัก เขาจะได้เลี่ยงอันตรายจากการโต้เถียง ถ้าเขาจำความหมายเหล่านี้ได้.
|
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #364 เมื่อ: 15 พฤษภาคม 2552, 07:05:05 » |
|
เออ เอาเหอะ
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #365 เมื่อ: 15 พฤษภาคม 2552, 11:59:34 » |
|
เออ..พวกทฤษฎีอีกแระ..ใช้จริงไม่ได้ร้อกกกกก...
|
|
|
|
Mr.EggMan
|
|
« ตอบ #366 เมื่อ: 18 พฤษภาคม 2552, 14:01:04 » |
|
เอามาฝากครับ ผมก็โดนแบบนี้เหมือนกัน กำลังหาทางยกเลิกอยู่ของกรุงไทยประกันภัย ระวังถูกบริษัทประกันหลอก อย่าพูดคำว่า "สนใจ" ดิฉันได้รับโทรศัพท์สายหนึ่ง แจ้งว่าเป็นเจ้าหน้าที่จากบริษัทบัตรเครดิตที่ดิฉันถืออยู่ ขอทบทวนความถูกต้องของข้อมูล เช่น ชื่อ เลขที่บัตร และเลขที่บัตรประชาชน ว่าถูกต้องหรือไม่ โดยอ่านแล้วให้ดิฉันยืนยัน จากนั้นเจ้าหน้าที่คนนั้นได้นำเสนอขายประกันชีวิต แล้วถามดิฉันว่าสนใจหรือไม่ ดิฉันตอบว่าสนใจแต่ขอให้ส่งรายละเอียดมาให้ดูก่อน เจ้าหน้าที่จึงบอกดิฉันว่า ขออนุญาตให้ดิฉันพูดใหม่ว่า "สนใจ" เพราะเขาต้องบันทึกเทปเสียงพูดไว้ยืนยันกับเจ้านาย ...ดิฉันก็โง่ ทำตาม หลังจากนั้นมีเอกสารส่งมาถึงดิฉัน...แต่ไม่ใช่รายละเอียดเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์...มันคือ "กรมธรรม์" กรมธรรม์นั้นระบุว่า เป็น "ประกันอุบัติเหตุ" ไม่ใช่ประกันชีวิต ซึ่งเอาไปใช้ลดหย่อนภาษีไม่ได้ และสิทธิประโยชน์น้อยกว่าที่ควรจะเป็น และเป็นของบริษัทแห่งหนึ่ง ไม่ใช่ของบริษัทเจ้าของบัตรเครดิต เพื่อนในที่ทำงานคนหนึ่งก็ประสบปัญหาเดียวกัน เราทั้งคู่จึงหารายละเอียดเกี่ยวกับบริษัท พบว่าเป็นบริษัทต่างชาติจากเกาะแห่งหนึ่งแถวอเมริกาใต้ และได้รับอนุมัติให้เข้ามาประกอบธุรกิจในไทยไม่กี่ปีมานี้ ดิฉันได้โทรกลับไปที่บริษัทเพื่อขอยกเลิกกรมธรรม์แต่ได้รับการบ่ายเบี่ยง เจ้าที่คนใหม่อธิบายว่าดิฉันได้รับปากตกลงทำประกันแล้วทางโทรศัพท์ มีเทปเป็นหลักฐาน ..ดิฉันจึงเสียงแข็งใส่ ล่าสุด สัญญาว่าจะส่งเอกสารกลับมาให้เซ็นยกเลิก แต่ไม่ได้ส่ง ดิฉันโทรไปปรึกษาที่หน่วยงานของรัฐ คือสายด่วนประกันภัย....เจ้าหน้าที่ยืนยันว่า...ตามกฏหมาย เพียงแค่บอกทางโทรศัพท์ ว่า "สนใจ" หรือ "ตกลง" ก็ถือว่าสัญญาได้เกิดขึ้นแล้ว และดิฉันต้องจ่ายค่าเสียหายที่เกิดขึ้นให้กับบริษัทหากต้องการยกเลิกกรมธรรม์ เจ้าหน้าที่สายด่วนประกันภัย แนะนำดิฉันว่า หากได้รับโทรศัพท์เสนอขายประกันอีกให้ยืนยันว่าไม่สนใจ หรือไม่ก็ขอให้เขาส่งตัวแทนประกันมาพบเพื่ออธิบายผลประโยชน์ "อย่าพูด แม้แต่คำว่า สนใจ เพราะมีผลเป็นสัญญาตามกฏหมาย" ดิฉันขอเสนอเรื่องความโง่ของตัวเองมาเพื่อเป็นอุทธาหรณ์ค่ะ
|
|
|
|
หลิม 81
|
|
« ตอบ #367 เมื่อ: 18 พฤษภาคม 2552, 21:53:18 » |
|
อาการข้างบน..ผมเคยโดนครับ ด้วยความที่ผมเองเป็น sales เหมือนกัน..ก็เกิดอาการเห็นอกเห็นใจ มักจะช่วยให้พนักงานขายประกันเสนอขายทางโทรศัพท์เพราะเป็นการฝึกหัด....แต่ผมเองก็มีวิธีรับมือ...เอาไว้เหมือนกันใครเอาไปใช้ก็ได้ครับ
วีธีการปฎิเสธที่ 1. หัวเราะ หึ หึ แล้วตอบไปว่า "ผมบอกหรือยังว่าสนใจ" 2. บอกไปเลยว่ามีโรคประจำตัว...แล้วบอกต่อไปว่า "จริงเหรอทำได้ เพราะเป็นโรค......อยู่ ที่ไหน ๆ ก็ไม่ให้ ทำ"
2. ทางนี้รับรองรอดอย่างสบาย ล่าสุดคิดว่าจะโทรเข้า call center ของบัตรเครดิตต่าง ๆ แล้วเจ้าหน้าที่เค้าจะถามว่า...มีอะไรสอบถามเพิ่มเติมมั้ยค๊ะ....บอกไปเลยว่าชอบมีคนมาขายประกันผ่านบัตรของคุณ ครั้งต่อไปอย่าให้โทรมาอีก รับรองว่าข้อมูลเราบัตรเครดิตจะไม่ขายออกไปอีก...เพราะว่าเราต้องการยกเลิกบัตร
เป็นไง วิธีการผม...ใครเอาไปใช้ก็ได้ครับ
|
@ ปีนี้ปีของผม @
|
|
|
ชาร์ป
|
|
« ตอบ #368 เมื่อ: 18 พฤษภาคม 2552, 22:30:12 » |
|
อืมน่าสน แต่ปกติจะบอกว่า
..ก็ฟังรายละเอียดได้นะ แต่คงยังไม่สนใจจะทำน่ะครับ ...
ประมาณนี้ล่ะ
|
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #369 เมื่อ: 19 พฤษภาคม 2552, 07:22:21 » |
|
ฟังบ้างไม่ฟังบ้างอ่ะ
ส่วนใหญ่ ถ้าไม่ติดงานก็จะฟัง เค้าจะได้มีกำลังใจและจะได้ฝึกวิชาด้วย บางทีนั่งคุยเป็นชั่วโมงก็มี (ถ้าว่าง)
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #370 เมื่อ: 19 พฤษภาคม 2552, 08:15:04 » |
|
ปฏิเสธแบบไม่มีเยื่อใยครับ ผมเคยซักถามข้อมูลมาแล้ว บอกได้เลยว่า ไม่มีประโยชน์อันใด คุณควรทำประกันกับคนที่ขายประกันจริงๆ มีตัวตนจริงๆ และไม่ได้ทำประกันเป็นอาชีพเสริมครับ ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะเกรงใจครับ เพราะเริ่มต้นก็ละเมิดสิทธิ์แล้ว แล้วมันน่ารำคาญโดยเฉพาะเวลาประชุมอยู่ เคยมีโทรมาตอน 20.00 น.ด้วย..บ้ารึเปล่า
ตอนนี้ชอบโฆษณาสร้างภูมิคุ้มกันให้ประเทศไทย ของ กรอมน. มากครับ ที่คนยืนเป็นรูปประเทศไทยแล้วทะเลาะกันเอง..ต้องฉายเยอะๆครับ จะได้มีสำนึกกันบ้าง พวกทั้งหลายที่ให้จมูกคนอื่นยืมไปลากน่ะ..
|
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #371 เมื่อ: 20 พฤษภาคม 2552, 12:31:44 » |
|
^ ^ โหย นี่แกคิดว่า ไอ้พวกนี้มันจะมีสำนึกเพราะโฆษณาพวกนี้เหรอ ถ้ามีได้มันคงมีไปนานแล้ว ผมว่า วันๆ นึง มันเปิดทีวี ก็คงไม่ค่อยสนใจ สาระเหล่านี้หรอก
|
|
|
|
Mouy (Again)
มือใหม่หัดเมาท์
ออฟไลน์
กระทู้: 150
|
|
« ตอบ #372 เมื่อ: 27 พฤษภาคม 2552, 22:34:58 » |
|
ไม่รู้ว่าในบอร์ดนี้มีแล้วหรือยังนะ... เนื่องจาก Net บ้านพี่ช้า... เลยขอไม่ย้อนหลังดูแล้วกันนิ...อิอิ พอดีมีเวลาว่างบ้างแล้ว เลยเข้าไปท่องเน็ต เจอเรื่องดีๆ เลยคิดถึงบอร์ดนี้.... หลวงพ่อปัญญา อ่านแล้วได้คิดเยอะค่ะ อ่านไม่ถึง 3 นาที แต่อาจมีอะไรดี ๆ เกิดขึ้นอีกทั้งชีวิต โลกกลมๆ ใบนี้ไม่มีอะไรได้มาฟรี ๆ ของฟรีไม่เคยมี ของดีไม่เคยถูก อยู่ให้ไว้ใจ ไปให้คิดถึง คนเราต้องเดินหน้า เวลายังเดินหน้าเลย ไม่ต้องสนใจว่าแมวจะสีขาวหรือดำ ขอให้จับหนูได้ก็พอ ยิ่งมีใจศรัทธา ยิ่งต้องมีสายตาที่เยือกเย็น ในโลกกลม ๆ ใบนี้ ไม่มีคำว่า }แน่นอน~ คนเราเมื่อ ตัวตายก็ต้องลงดิน ท้อแท้ได้ แต่อย่าท้อถอย อิจฉาได้ แต่อย่าริษยา พักได้ แต่อย่าหยุด เหตุผลของคน ๆ หนึ่ง อาจไม่ใช่ของคน อีกคนหนึ่ง ถ้าไม่ลองก้าว จะไม่มีวันรู้ได้เลยว่า ข้างหน้าเป็นอย่างไร หนทางอันยาวไกลนับหมื่นลี้ ต้องเริ่มต้นด้วยก้าวแรกก่อนเสมอ ปัญหาทุกอย่าง อยู่ที่ตัวเราทั้งสิ้น จะเห็นค่าของความอบอุ่น เมื่อผ่านความเหน็บหนาวมาแล้ว อันตรายที่สุดคือ การคาดหวัง เริ่มต้นดีแล้ว ลงท้ายก็ต้องดีด้วย อย่ายอมแพ้ ถ้ายังไม่ได้พยายามอย่างเต็มที่ จงใช้สติ อย่าใช้อารมณ์ เบื้องหลังความเข้มแข็ง สมควรมีความอ่อนโยน ไม่มีคำว่า บังเอิญ ในเรื่องของความรัก มีแต่คำว่า ตั้งใจ ยินดีกับสิ่งที่ได้มา และยอมรับกับสิ่งที่เสียไป หลังพายุผ่านไป ฟ้าย่อมสดใสเสมอ หลังผ่านปัญหา จะรู้ว่าปัญหานั้นเล็กนิดเดียว ไม่เป็นขุนนางนะ ได้ แต่ไม่เป็นคนไม่ได้ มีแต่วันนี้ที่มีค่า ไม่มีวันหน้า วันหลัง เมื่อวานก็สายเกินแล้วพรุ่งนี้ ก็สายเกินไป อย่าหวังว่าจะได้รับความรัก จากคนที่คุณรัก เพราะคนที่คุณรัก ไม่ได้รักคุณ หมดทุกคน เพื่อนทั่วไป ไม่เห็นคุณร้องไห้ เพื่อนแท้ มีหัวไหล่ไว้คอยซับน้ำตาให้ เพื่อนทั่วไป ถือขวดไวน์ติดมือมางานปาร์ตี้ของคุณ เพื่อนแท้ จะมาแต่หัววันเพื่อช่วยเตรียมงาน เพื่อนทั่วไป คาดหวังให้คุณเคียงข้างเขาเสมอ เพื่อนแท้ คาดหวังที่จะอยู่เคียงข้างคุณตลอดไป เพื่อนทั่วไป เข้าหาผลประโยชน์ ที่ได้รับจากเรา
|
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #373 เมื่อ: 28 พฤษภาคม 2552, 06:46:43 » |
|
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #374 เมื่อ: 28 พฤษภาคม 2552, 07:41:06 » |
|
โห..(ไอ้ที่อยู่ข้างบนกรูนี่เป็นเพื่อนทั่วไปใช่ป่ะ..)
|
|
|
|
Mr.EggMan
|
|
« ตอบ #375 เมื่อ: 28 พฤษภาคม 2552, 19:38:24 » |
|
ไม่รู้ว่าเน็ตช้า หรือว่าล้าหลังครับ แม่ชีพี่หมวย
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #376 เมื่อ: 29 พฤษภาคม 2552, 09:53:08 » |
|
อ้าวๆๆๆ..ไอ้ชาร์ป..แซวคนไหนแซวได้..แต่คนนี้ห้ามนะเว้ย...กรูหวง..เดี๋ยวปั๊ด..
|
|
|
|
|
iamfrommoon
|
|
« ตอบ #378 เมื่อ: 29 พฤษภาคม 2552, 15:05:50 » |
|
ขอบคุณมากเลยค่ะพี่เจตน์ วันนี้เพื่อนก็เอาลิ้งค์จาก Youtube ใกล้ๆ เคียงกันมาให้ได้ชม...
น้ำตาซึมเลยค่า...ลองไปชมกันนะคะ http://www.youtube.com/watch?v=u7k2JWoN5nQ
|
@@ธรรมชาติสร้างความขัดแย้ง เพื่อให้คนเรียนรู้ซึ่งกันและกันได้ดียิ่งขึ้น@@@
|
|
|
Mr.EggMan
|
|
« ตอบ #379 เมื่อ: 29 พฤษภาคม 2552, 17:05:28 » |
|
เจ๋งมากครับ พี่เจตต์ กำลังท้อๆ มาเห็นรอยยิ้มเด็กน้อยแล้ว มันฮึดครับ
|
|
|
|
khesorn mueller
|
|
« ตอบ #380 เมื่อ: 29 พฤษภาคม 2552, 18:35:03 » |
|
เด็กคนนี้มีความสุขง่ะ. อนาคตเหรียญทองParalympicแน่ๆ
p.nn
|
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #381 เมื่อ: 01 มิถุนายน 2552, 07:17:11 » |
|
ไอ้โต้งตาลายเป่า ข้างบนมันไอ้ไข่ตอบ ไม่ใช่ไอ้ชาร์ป งี๊แหละพวกแต่งงานใหม่ ใช้แรงเกินกำลัง หูตาฝ้าฟาง อิอิ
|
|
|
|
iamfrommoon
|
|
« ตอบ #382 เมื่อ: 01 มิถุนายน 2552, 09:39:24 » |
|
นี่กำลังจะรอดูคนที่กำลังจะแต่งงานเหมือนกันแหละ เห็นแว๊บๆ ถามเรื่องเกี่ยวกับบ้านๆ น่ะ อิอิ บอกล่วงหน้าเนิ่นๆ นะจะลดน้ำหนัก ไม่ก็จะรีบๆ มีตัวเล็กไปอวด...555
|
@@ธรรมชาติสร้างความขัดแย้ง เพื่อให้คนเรียนรู้ซึ่งกันและกันได้ดียิ่งขึ้น@@@
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #383 เมื่อ: 01 มิถุนายน 2552, 15:17:48 » |
|
เอ่อ เรื่องอื่นพูดเล่นกันได้นะผมไม่ว่า แต่เรื่องแต่งงาน ขอเว้นไว้ซักเรื่องล่ะกันครับ ขอบคุณครับ
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #384 เมื่อ: 02 มิถุนายน 2552, 09:56:49 » |
|
|
|
|
|
หลิม 81
|
|
« ตอบ #385 เมื่อ: 02 มิถุนายน 2552, 10:14:42 » |
|
พี่เจตน์ เจ๋งมากเลยครับ ถ้าขาดขาแล้วจะหามาเิติมได้มั้ย....
|
@ ปีนี้ปีของผม @
|
|
|
เจตน์
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
ใครๆเรียกผมว่า "กุ๊ปปิ๊"
ออฟไลน์
รุ่น: RCU2534
คณะ: ครุฯ พลศึกษา
กระทู้: 6,520
|
|
« ตอบ #386 เมื่อ: 02 มิถุนายน 2552, 10:54:47 » |
|
เพิ่งจะมีเจ้าหลิมนี่แหละที่ตีความได้อย่างถูกต้อง และสมบูรณ์.......... เจ้าบ้า
|
ชีวิตผมเป็นดั่งวงกลม จึงได้แต่ดอมดมความสุขจากคนอื่นๆ
|
|
|
iamfrommoon
|
|
« ตอบ #387 เมื่อ: 02 มิถุนายน 2552, 14:43:49 » |
|
|
@@ธรรมชาติสร้างความขัดแย้ง เพื่อให้คนเรียนรู้ซึ่งกันและกันได้ดียิ่งขึ้น@@@
|
|
|
หลิม 81
|
|
« ตอบ #388 เมื่อ: 02 มิถุนายน 2552, 16:33:31 » |
|
ก็ถ้าไม่ครบ 4 ขาก็เล่นไม่ได้ซิครับ เห็นแต่ก่อนแม่ผมขาขาดบ่อย ๆ ไป
|
@ ปีนี้ปีของผม @
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #389 เมื่อ: 02 มิถุนายน 2552, 17:43:46 » |
|
อ้าว..ไอ้นี่..แม่ก็ไม่เว้น..
|
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #390 เมื่อ: 03 มิถุนายน 2552, 07:19:58 » |
|
|
|
|
|
เจตน์
Cmadong Member
Cmadong ชั้นเซียน
ใครๆเรียกผมว่า "กุ๊ปปิ๊"
ออฟไลน์
รุ่น: RCU2534
คณะ: ครุฯ พลศึกษา
กระทู้: 6,520
|
|
« ตอบ #391 เมื่อ: 03 มิถุนายน 2552, 13:25:18 » |
|
~* วันเกิดบอกความเจ้าชู้ *~ จาก FW Mail:
วันจันทร์
คนเกิดวันจันทร์มักมีดวงเกี่ยวกับความรักในแบบที่ลึกซึ้ง ไม่รักเพียงหวือหวาให้ตื่นเต้นเร้าใจเท่านั้น ด้วยธรรมชาติและพื้นดวงที่เป็นคนช่างคิดช่างตรองรอบคอบกับทุกเรื่องราวเสมอ ดังนั้นกับในเรื่องรัก คุณจึงต้องมั่นใจก่อนที่จะเอื้อมมือไปคว้ามาแนบใจ เสน่ห์ที่โดดเด่นของคนวันจันทร์อยู่ที่ศิลปะในการพูดจาทำให้ใครๆ หลงเคลิ้มได้เสมอ และยังเป็นคนฉลาดมีไหวพริบดีอีกด้วย นั่นเป็นจุดเด่นที่ทำให้คนรอบข้างชื่นชมเป็นพิเศษ แต่แม้ว่าจะมีใจชอบใครคนวันจันทร์ จะไม่เปิดเผยทุกอย่างแก่คนรักเนื่องจากเป็นคนมีโลกส่วนตัว ชอบเก็บบางเรื่องราวไว้กับตัวเองเหมือนกับที่เป็นคนชอบอิสระ และรักสนุกไม่น้อยเลยทีเดียว คนเกิดวันจันทร์จริงๆ แล้วมี 2 แบบคือแบบ ที่ควักเงินทุ่มให้คนรักแบบสุดๆ กับอีกประเภทคือ เหนียวสุด ๆ กับคนรัก คุณเป็นแบบไหนก็คงต้องตรวจสอบดูตัวเอง แต่ที่มีอยู่ในตัวคนวันจันทร์ทั้ง 2 แบบ ก็คือมักจะปิ๊งคนที่อ่อนวัยกว่าเพราะอยากที่จะดูแลคนรักของตน แบบแสนห่วงหวง และคุณก็มักชอบมีรักแบบที่ค่อยๆ ใกล้ชิดติดใจกันไปทีละนิด คุณแพ้คนที่เข้าใจคุณถ่องแท้ ดวงของคุณจึงมีแนวโน้มที่จะพบรักที่ซาบซึ้งตรึงใจและมีความผูกพันกันมาก เพราะเป็นความรักที่มีพัฒนาการเต็มไปด้วยความเข้าใจในกันและกัน พยายามที่จะรู้จักตัวตนแท้ ๆ ของกันและกันนั่นเอง คนวันจันทร์โชคดีที่ได้ปิ๊งกับคนคล้ายๆ กัน รสนิยมไม่ต่างกันราวฟ้ากับดินนัก คุยกันรู้เรื่อง ถ้าใครที่ดูดีอย่างเดียว แต่คุยกันไม่รู้เรื่อง ทัศนคติต่างกันมาก ๆ คนวันจันทร์จะละความสนใจทันที หากเมื่อใดที่อกหัก คนวันจันทร์ก็จะไม่ฟูมฟายมากนักแม้จะปวดใจเพียงใด คนที่เป็นคู่รักของคนวันจันทร์ได้ดีต้องมีลักษณะของความเป็นเพื่อน เฮไปไหน ๆ ด้วยกันได้ ถ้าทำสวีทเป็นเจ้าของเกินไป มักอยู่กับคนวันจันทร์ได้สั้นกว่าที่หวัง
วันอังคาร คนเกิดวันนี้ มีหัวใจกล้าได้กล้าเสียในเรื่องความรักนั้น ถือคติว่าเสี่ยงเป็นเสี่ยงกันตามประสาคนชอบสนุก เจ้าสำราญพอสมควร คนวันอังคารเจ้าชู้ จึงมีดวงในเรื่องความรักที่โดดเด่น คือได้พบรักเสมอๆ มักปิ๊งคนเด่น ๆ ที่ดูดีกว่าใครในกลุ่มคนที่มีท่าเรียบง่ายจนเกินไป ค่อนข้างเชยๆ ไม่ใช่คนแบบที่คุณจะสะดุดตาสะดุดใจแน่นอน ใครก็ตามที่ห้าวเกินเหตุ คนวันอังคารก็ยากจะตัดใจ คิดชอบพอความสดใส มั่นใจในตัวเอง คือเสน่ห์ที่ทำให้ใครๆ หลงรักคนเกิดวันอังคาร และนิสัยที่แข็งเกินไปของคุณก็คือตัวการสำคัญที่จะทำลายความรักให้พังทลายไป อย่างน่าเสียดาย ยามหลงรักใคร คุณจะตามติดหวังพิชิตให้ได้ เมื่อสมใจแล้ว คุณกลับไม่ยอมให้คู่รักมาเปลี่ยนแปลงความเป็นตัวตนที่แท้ของคุณ ถ้าใครยอมคุณได้ก็รักกันได้นานแน่นอน โดยทั่วไป ดวงในเรื่องความรักของคนวันอังคาร ไม่ค่อยมีอุปสรรคอะไรนัก จีบใครหรือทอดสะพานให้ ใครก็มักสำเร็จเสมอ อยู่ที่ว่าตัวคุณเองนั่นแหละ จะเป็นฝ่ายจืดจางห่างเหินอีกฝ่ายเสียก่อน ตามประสาคนเจ้าชู้ที่หัวใจอ่อนไหว และอยากคบคนใหม่ๆ เพราะรู้สึกว่าเป็นเรื่องท้าทายดีชอบหาความมั่นใจให้ตัวเองด้วยเรื่องรักๆ ใคร่ๆ บางครั้งทั้ง 4 ห้องหัวใจเต็มหมด ห้องไหนทนไม่ไหวโบกมือลาไปคุณก็ไม่เสียใจ มีใครคนใหม่มาแทนได้เร็วเสมอ ดวงความรักค่อนข้างดี ตัวเองไม่มีปัญหา แม้จะชอบตามใจตัวเอง แต่ก็ไม่ค่อยเอะอะเอาเรื่องกับความรักจริงจังนัก ปัญหามักเกิดขึ้นเพราะคนรักของคุณ ซึ่งคิดจะเอาเรื่องกับคุณให้ได้ หรืออาจเป็นเพราะความใจร้อนของคุณบ้าง โดยที่คุณไม่ได้ตั้งใจจะให้เกิดการแตกหักหรอก ดังนั้นถ้าใครเข้าใจคุณก็สามารถควงกับคุณได้นานเป็นพิเศษ
วันพุธ
คน ที่เกิดวันพุธ เป็นคนที่ต้องพัวพันกับเรื่องรักๆใคร่ๆเสมอ เพราะดาวพุธ เป็นสัญลักษณ์ของดวงดาวประจำเทพีแห่งความรัก คุณผู้หญิงวันพุธจึงเป็นคนรักสวยรักงามเป็นพิเศษ คุณผู้ชายก็สำอางไม่เบา ถ้าผู้ชายคนใดที่บำรุงผิวหน้าด้วยโลชั่นหรือพรมน้ำหอมเสมอก่อนออกจากบ้าน จนใครๆ เกือบจะคิดว่าเป็นเกย์ละก็ที่แท้เขาคนนั้นเป็นคนวันพุธนั่นเอง เมื่อรักใครชอบใครคนวันพุธจะเทคแคร์เอาใจได้ละเมียดละไมที่สุดยิ่งกว่าคน เกิดวันอื่นๆ แต่ด้วยความที่รักตัวเองมาก หลงตัวเองพอสมควร ดังนั้นคุณจึงต้องการให้คนพิเศษของคุณ ทุ่มเทรักให้คุณสุดหัวใจ ถ้ารู้สึกว่ายังได้ความรักจากเขาหรือเธอไม่มากพอ คุณจะร้ายใส่ทันที แม้เสน่ห์ของคนวันพุธจะอยู่ที่ความอ่อนหวานก็เถอะ ยามหึงหวงหรือโกรธเคืองแล้วจะปากร้ายมาก แต่ในจิตใจไม่พิษร้ายใดๆ เป็นคนใจกว้างและเป็นคนซื่อตรงซื่อสัตย์มากด้วยซ้ำ เพียงแต่คิดมากขี้ระแวงเท่านั้นเอง ดวงความรักของวันพุธค่อนข้างอาภัพ ทั้งๆ ที่มีคนมารักจริงแบบหวังแต่ง แต่ก็มักจบลงเพราะความไม่มีเหตุผลอย่างสุดๆ ของคุณเอง เรื่องที่จะผิดหวังเพราะไปรักเขาข้างเดียวนั้นก็มีบ้าง แต่เกิดขึ้นไม่บ่อยนักหรอก ถ้าจะผิดหวังจนเสียหน้า ก็เป็นเพราะไปหลงเชื่อคนที่มาหวังผลประโยชน์จากคุณโดยไม่ได้รักคุณจริง เนื่องจากคนวันพุธฉลาดในเรื่องอื่น แต่ไม่ทันคนนักหรอก ที่ว่าดวงความรักของคนวันพุธอาภัพก็เพราะว่า แม้บางจังหวะชีวิตจะมีรักแสนซึ้งเพียงใดก็กลับต้องเลิกร้างกันทั้งๆ ที่ยังรักบางคนก็อาภัพแบบมีแต่รักเทียมๆ สั้นๆ ไม่ดื้อไม่ดื่มด่ำลึกซึ้งนานวันให้อิ่มใจนักคนเกิดวันพุธบางคนก็มีความ สัมพันธ์ รักที่ยั่งยืนอบอุ่น แต่มักไม่ใช่เป็นคนที่คุณหลงรัก อย่างปักจิตปักใจมาก่อน นับเป็นดวงแห่งความรักที่ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว
วันพฤหัส
ถ้าคุณเกิดวันพฤหัส คุณก็ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องความรักของคุณหรอก เพราะดวงในเรื่องความรักค่อนข้างดี หมายถึงดวงคู่แท้ ๆ ที่เป็นความรักแท้ๆในชีวิตด้วยเช่นกัน พื้นฐานนิสัยของคุณแม้จะห้าวหาญวู่วาม และตรงไปตรงมาจนน่าถอยห่าง แต่เสน่ห์ของคุณมีเสมอกับเพศตรงข้าม ทำให้ไม่มีช่วงใดที่ไร้คู่นานวันนักนอกจากบางช่วงคุณจะยังไม่คิดในเรื่องนี้ จริงจังเท่านั้น คนวันพฤหัสเจ้าชู้แค่อารมณ์เท่านั้น ไม่ได้เจ้าชู้เป็นนิสัยถ้าเจอะเจอคนหล่อหรือคนสวยในแบบที่พึงพอใจ ก็จะส่งสายตาไปก่อนอื่น แต่ไม่ใช่คนที่จะต้อง ปราดเข้าไปขอทำความรู้จักทันใด แม้จะเป็นคนกล้าแกร่งปานใดก็เถอะ เว้นแต่ว่าถ้าได้รู้จักกันแล้วและหลงรักเข้าแล้วเท่านั้นที่คนวันพฤหัสจะ ติดตามผลงานอย่างตั้งใจ จนกว่าจะได้ใจของใครคนนั้นไม่มีวันที่คุณจะจีบเล่นๆ แบบนินจาเดี๋ยวมาเดี๋ยวหายแน่นอน คนวันพฤหัสเป็นคนแข็งนอกอ่อนใน และมีดวงแบบตกหลุมรัก เมื่อแรกสบตาได้มากกว่าคนเกิดวันใด น้อยเหลือเกินที่จะเห็นคนวันพฤหัสมีความรักกับเพื่อนที่คบกันนานปีแล้ว ค่อยๆ พัฒนาเป็นความรักและในกรณีที่เป็นคู่รักกันแล้วหากมีเรื่องปะทะอารมณ์ใส่กัน คุณก็จะปิดปากเงียบไม่ยอมขอโทษว่าตนผิดเอง ทั้งๆ ที่ในใจคุณอยากง้อใจจะขาด นอกจากว่าทะเลาะกับคู่รักบ่อยๆ ครั้งจนรู้สึกชินแล้วนั่นแหละคุณถึงจะง้อเป็น กล้าที่จะเอ่ยคำว่าเสียใจออกไปได้ ในท่วงท่าที่ดูเป็นคนมุทะลุวู่วามไม่จริงใจกับใครแท้จริงแล้ว คนวันพฤหัสเป็นคนรักที่คงมั่นมาก ตามดวงชะตาบ่งบอกว่าเป็นคนรักจริงหวังแต่ง มักได้คู่ดี เว้นแต่บางช่วงจะไปรักคนผิดจนเดือดร้อนไม่น้อย ดวงความรักของคุณ หากจะมีปัญหา ก็อยู่ที่อารมณ์เท่านั้น ถ้าร้อนเจอร้อนก็จบเร็วแน่ ถ้าคุณลดไฟในอารมณ์ตัวเองได้หรือเลือก คนใจเย็นเป็นน้ำ ก็รักกันยั่งยืนยากจะแตกร้าวได้
วันศุกร์ คน วันศุกร์ไม่แสดงออกถึงความเจ้าชู้เด่นชัดอย่างคนวันอาทิตย์ แต่จริง ๆ แล้วเป็นคนเจ้าชู้เงียบ แอบโปรยเสน่ห์อยู่บ่อย ๆ เหมือนกัน ซึ่งก็มีคนหลงปลื้มอยู่เสมอไป ด้วยความที่เป็นคนอ่อนโยน ฉลาด รอบรู้ มีมนุษยสัมพันธ์ดีพอควรคนวันศุกร์ชอบทำตัวน่ารัก แต่ถ้าเริ่มคบหาจริงจังกับหวานใจแล้ว จะแสดงความดื้อดึงออกมาทันที เพราะเป็นคนเอาแต่ใจตัวเองไม่น้อย ดวงความรักของคุณจึงแสนซึ้งในช่วงต้น ๆ เพราะพื้นดวงเป็นคนสุภาพ น้อยคนนักที่จะห้าวมากๆ นอกจากเกิดในวันศุกร์ และถ้าความรักจะมีปัญหาก็มักเป็นเพราะตัวคุณเอง เนื่องจากเป็นคนช่างคิดอยู่แล้ว จึงคิดมากคิดไกลเกินไปเสมอและเป็นเหตุร้าวฉานในความสัมพันธ์ได้ไม่ยาก ดวงความรักของคุณค่อนข้างไม่ธรรมดา ความรักแท้มักเกิดขึ้นกับคนที่รอบข้างแอบส่ายหน้า ว่าไม่เหมาะสมกัน ถ้าไม่แก่หรืออ่อนวัยกว่ามากๆ ก็อาจแตกต่างกันที่ฐานะ หรือการศึกษา ด้อยกว่าในเรื่องใดเรื่องหนี่งแน่นอนและมักจะได้แสดงถึงความรักแท้เหมือนใน หนัง คือการฝ่าฟันกับกระแสการกีดกันของครอบครัว เปอร์เซ็นต์ส่วนใหญ่จะเป็นในรูปนี้ ถ้าใครได้คู่ที่สมกันดีไม่มีใครห้ามปรามก็ต้องนับว่าโชคดี คงมีดวงในราศีเกิดหรืออิทธิพลอื่นๆ ที่เสริมให้ดวงความรักไปได้ดีกว่าพื้นดวงที่น่าจะเป็นเช่นนั้น แต่สุดท้ายแล้ว คนวันศุกร์จะแฮปปี้สมหวังเสมอ ไม่ค่อยผิดหวังในเรื่องรัก นอกจากจะมีทุกข์ในหัวใจที่ตัวเองคิดเองรู้สึกเองไม่ใช่คนที่คุณรักก่อขึ้น หรอก หรือบางกรณีก็เป็นเพราะคุณแอบหวั่นไหวไปปลื้มคนอื่นแล้วผิดหวัง ถ้าดูแลหัวใจตัวเองให้ดี ๆ ไม่วอกแวกไปไหนคุณก็มักมีคู่รักที่คบกันเนิ่นนานจนเพื่อนๆ อิจฉาเสมอแน่นอน
วันเสาร์
ถ้า คุณเกิดวันเสาร์บดี มั่นใจได้เลยว่าคุณจะเป็นคนรักที่ดีให้ใครคนนั้นได้ภาคภูมิใจแน่ เพราะคุณมีทั้งความเอื้ออารี มีน้ำใจ เป็นคนสติปัญญาดี มีความยุติธรรมเป็นคนที่ใครก็ยอมรับและชื่นชมคุณเป็นคนรักจริงเกลียดจริง ถ้าเกลียดใครก็ไม่เสแสร้งคบหาต่อไปให้ต้องฝืนตามวิสัยของคุณวันเสาร์บดี ที่ตรงพอสมควร ดวงในเรื่องความรักของคนวันเสาร์บดี ไม่ค่อยโลดโผนพิสดารมากนัก ความรักค่อยเป็นค่อยไปอย่างเรียบง่าย หากจะมีเรื่องปวดหัวใจบ้างก็เป็นเพราะความมองโลกในแง่ดีเกินไป บางครั้งจึงหลงคารมคนไม่จริงใจหรือบางครั้งก็คิดไปเองว่าใครคนนั้นมีใจด้วย ทั้งๆ ที่ไม่ได้เป็นดั่งที่แอบคิดแอบหวั่นไหว คนเกิดวันเสาร์บดีเป็นคนใฝ่รู้ ถ้าช่วงใดเจ็บหัวใจ ก็จะทำใจด้วยการทุ่มเทในเรื่องที่มีสาระ มีประโยชน์กับชีวิต ความน่ารักของคนอยู่ที่ความสดใส เปิดเผย มีความมุ่งมั่นเสมอ ไม่ใช่คนที่เลื่อนลอยไร้สาระ ไม่บ่อยนักที่จะเห็นคนวันเสาร์บดีอีกลักษณะหนึ่งคือไม่ค่อยเรียบร้อยและขาด ความสุขุมรอบคอบ คนวันเสาร์บดีไม่ค่อยเจ้าชู้ แม้จะดูมีท่าทีเข้ากับคนง่ายสดใสเป็นกันเองแต่ไม่ได้ชอบใครง่าย ๆ เสมอไป ถ้ารักใครก็จะรักอย่างซื่อสัตย์ หากจะผิดหวังก็ดังที่กล่าวมาแล้ว คือการไปรักคนผิด คิดว่าดีที่แท้ไม่ใช่ ดวงความรักดของคนวันเสาร์บดีนั้นจะมีรักจริงจังก็ต่อเมื่อพบเจอคนที่เรียบ ง่ายคล้ายๆกัน ไม่ใช่ฟู่ฟ่าหรูหราเกินไปนัก คิดแต่เรื่องสร้างสรรค์มากกว่าเรื่องเฮฮาปาร์ตี้ ปัญหาในรักมักใม่ใช่อยู่ที่ตัวคุณเอง เพราะคุณอดทนได้เสมอแต่คนที่คุณรักต่างหากที่จะนำเรื่องปวดหัวมาให้
วันอาทิตย์
คนเกิดวันอาทิตย์ มีดวงชะตาในเรื่องรักที่ค่อนข้างดีพอสมควร ไม่ค่อยจะมีปัญหาปวดหัวปวดใจ จนเดือดร้อนเพราะเรื่องความรักอย่างคนเกิดวันอื่นๆ เนื่องจากพื้นฐานนิสัยที่เป็นคนเด็ดเดี่ยว หนักแน่น คุณจึงคบใครก็คบอยู่คนเดียว พอเลิกกันเมื่อใดจึงค่อยมีรักใหม่ แต่คนวันอาทิตย์จะไม่ออกไปวิ่งไขว่คว้าหารักมาใส่ตัวหรอก นอกจากรอให้กามเทพแผลงสอนเองตามธรรมชาติดีกว่า แม้จะดูสุขุม มีระบบระเบียบ เป็นคนตรง หัวแข็งไม่เบา แต่ในใจคนวันอาทิตย์ก็อ่อนไหวไม่อยากกับเรื่องรัก เห็นใครถูกใจก็ชอบแต่ก็รู้จักยับยั้งใจ ไม่วิ่งเข้าประกบทันทีเด็ดขาด ถ้าจะมีความเจ้าชู้ ก็เจ้าชู้เงียบ แต่ไม่ใช่เงียบแบบแอบเอาจริงอย่างคนวันจันทร์ เพราะคนวันอาทิตย์จะแค่มอง รู้สึกชอบ ส่งยิ้มไปบ้าง แต่ก็ไม่คิดอะไรมากกว่านั้น ดวงความรักของคุณ เป็นลักษณะที่มีความสัมพันธ์มีความผูกพันธ์ เต็มไปด้วยความลึกซึ้งไม่ใช่รักแบบตื่นเต้นเร้าใจสั้นๆ แล้วจบลงเหมือนเพียงจุดพลุดอกไม้ไฟ คนวันอาทิตย์ทำให้คนอื่นประทับใจได้เสมอ กับความสุขุมทระนงอดทนมุ่งมั่นใส่ใจคนรักอย่างเสมอต้นเสมอปลาย แต่ถ้าใครคนนั้นฟู่ฟ่าหรูหราใช้เงินกระหน่ำเกินไปคุณก็ไม่ชอบใจเหมือนกัน ความที่เป็นคนช่างเลือกคนวันอาทิตย์ จึงไม่ใช่คนประเภทที่มีใครๆ เคียงข้างอยู่ตลอดเวลา บางปีถ้าไม่ปิ๊งใครมากๆ ก็ยอมเปลี่ยวใจตลอดปีไม่ซีเรียส ถ้าคนวันอาทิตย์ถูกใจใคร จะใช้เวลาดูใจดูนิสัยก่อนจะดำเนินความสัมพันธ์ต่อไปให้ลึกซึ้ง ด้วยความขี้ระแวงไม่ไว้ใจใครง่ายๆ ต้องดูแล้วดูอีกกว่าจะตัดสินใจเรื่องความเหมาะสมกัน คุณก็คิดมาก กว่าคนวันเกิดใดไม่ว่าจะเป็นเรื่องอายุหรือฐานะ เช่น อีกฝ่ายรวยกว่ามากหรือจนกว่ามากๆ คุณก็จะคิดมาก แม้จะรักแล้วแต่ก็ลังเล หรือถ้าอายุน้อยกว่ามากๆ หรือแก่กว่ามากๆ ก็กลัวว่าคนอื่นจะคิดยังไงช่องว่างระหว่างวัยจะมีหรือไม่ นี่หละคือสไตล์ความคิดของคนวันอาทิตย์ ปัญหารักในเรื่องอื่นๆ ไม่ค่อยมีอก นอกจากจะสับสนกับตัวเอง
|
ชีวิตผมเป็นดั่งวงกลม จึงได้แต่ดอมดมความสุขจากคนอื่นๆ
|
|
|
หลิม 81
|
|
« ตอบ #392 เมื่อ: 04 มิถุนายน 2552, 11:22:58 » |
|
โอ้ว....พ่อหมอ มาเอง
|
@ ปีนี้ปีของผม @
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #393 เมื่อ: 04 มิถุนายน 2552, 12:41:44 » |
|
อยากเจอแม่หมอ...
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #394 เมื่อ: 05 มิถุนายน 2552, 08:50:58 » |
|
แนะนำให้ลองอ่านที่ไม่ใช่วันของตัวเองก่อน..
ตรงรึเปล่า..
|
|
|
|
หลิม 81
|
|
« ตอบ #395 เมื่อ: 10 มิถุนายน 2552, 16:51:50 » |
|
ทำอย่างไรให้ผู้หญิงมีความสุข ลูกค้าส่งมาให้อีกแล้ว มันไม่ยากหรอกที่จะทำให้ผู้หญิงมีความสุขเพียงแต่ผู้ ชายต้องเป็น.......... 1. เป็นเพื่อน 2. เป็นคนรัก 3. เป็นพี่ เป็นน้อง 4. เป็นพ่อ 5. เป็นอาจารย์ 6. เป็นพ่อครัว 7. เป็นช่างไฟ 8. เป็นช่างไม้ 9. เป็นช่างประปา 10. เป็นช่างซ่อมรถ 11. เป็นสถาปนิก 12. เป็นดีไซเนอร์ 13. เป็นคนเก่งในเรื่อง sex 14. เป็นคนรอบรู้เรื่องผู้หญิง 15. เป็นนักจิตวิทยา 16. เป็นผู้ฟังที่ดี 17. เป็นผู้จัดการที่ดี 18. เป็นพ่อที่ดี 19. เป็นคนสะอาดเรียบร้อย 20. เป็นคนเข้าใจความรู้สึกคน 21. เป็นนักกีฬา 22. เป็นคนอบอุ่น 23. เป็นคนดูแลเอาใจใส่ 24. เป็นห่วงเป็นใย 25. เป้นคนกล้าหาญ 26. เป็นคนฉลาด 27. เป็นคนสนุกสนาน 28. เป็นคนสร้างสรรค์ 29. เป็นคนอ่อนโยน 30. เป็นคนเข้มแข็ง แข็งแรง 31. เป็นคนเข้าใจโลก 32. เป็นคนที่มีความอดทน 33. เป็นคนรอบคอบ 34. เป็นคนทะเยอทะยาน 35. เป็นคนมีความสามารถ 36. เป็นคนเก่ง 37. เป็นคนมุ่งมั่น 38. เป็นคนจริง 39. เป็นคนที่เชื่อถือได้ 40. เป็นคนกระตือรือร้น 41. เป็นคนเห็นใจคน
และต้องห้ามลืม
42. ให้ของขวัญอย่างสม่ำเสมอ 43. พาไป shopping 44. ซื่อสัตย์ 45. พยายามรวย 46. ห้ามอยู่นอกสายตา 47. ห้ามมองผู้หญิงอื่น
และในเวลาเดียวกัน คุณต้อง 48. ให้ความดูแลอย่างเต็มที่ 49. ให้เวลาอย่างเต็มที่ 50. ต้องไว้ใจและมีช่องว่างอย่ากังวลว่าจะไปไหน และนีคือสิ่งสำคัญที่สุด ห้ามลืมวันเกิด ห้ามลืมวันครบรอบต่างๆ ห้ามลืมนัด
|
@ ปีนี้ปีของผม @
|
|
|
ชาร์ป
|
|
« ตอบ #396 เมื่อ: 10 มิถุนายน 2552, 17:28:45 » |
|
เอ่อ ...
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #397 เมื่อ: 10 มิถุนายน 2552, 17:36:00 » |
|
อุ๊ย..ทำไมตรงกับเราทั้งหมดเลย..
|
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #398 เมื่อ: 11 มิถุนายน 2552, 07:35:47 » |
|
ถึงว่า ทำไมคนเป็นเกย์เยอะ ใครจะรู้ใจผู้ชายดี เท่าผู้ชายด้วยกัน
|
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #399 เมื่อ: 11 มิถุนายน 2552, 08:03:37 » |
|
เทคนิคในการบันทึกเบอร์โทรทัพศ์ลงในมือถือ ที่ต้องมีเบอร์ต่อ อย่างเช่นเบอร์ 0-43221987-6543 ต่อ 191 อะไรประมาณเนี่ย.. ซึ่งยุ่งยากกับมือถือ เวลาที่เราโทรออกแล้วแบบว่า.. ต้องมานั่งจำตัวเลขอีก หลังจากกดโทรแล้วว่า.. ต้อง "กดต่อ." เลขอะไรหว่า
วันนี้เราหาทางออก รู้มั้ยว่า.. มือถือของเราๆ นั้นมีความสามารถนี้ โดยเฉพาะเบอร์โทรที่มีตัวเลขมากมาย เพียงแค่เราบันทึกไว้ในเครื่องพร้อมชื่อเท่านี้
ตัวอย่าง หากต้องการจะบันทึก เบอร์ 02-987-6543 ต่อ 191 ก็ให้บันทึกเป็น 029876543p191 ส่วนการพิมพ์ใส่ตัวอักษร p ให้กดที่ปุ่ม * ไปเรื่อยๆจะมีอักษร p ขึ้นมา แล้วก็บันทึกเบอร์ต่อได้เลยแบบไม่ต้องเว้นวรรค
เมื่อกดโทรออกมันก็จะโทรเบอร์ก่อนตัว p ก่อน เมื่อโทรติดซักพัก มันก็จะกดเบอร์หลังตัว p ให้ต่อโดยอัตโนมัติ
ที่มา: Forward Mail
ปล. ตาแคมทดสอบแล้ว ทำได้จริงครับ
|
|
|
|
หลิม 81
|
|
« ตอบ #400 เมื่อ: 11 มิถุนายน 2552, 09:32:52 » |
|
เค้าทำกันมาตั้งนานแล้ว....วู้....ไปอยู่ไหนมา
|
@ ปีนี้ปีของผม @
|
|
|
jviruch-78
|
|
« ตอบ #401 เมื่อ: 11 มิถุนายน 2552, 10:38:04 » |
|
โอ้มายก๊อด
กรูพึ่งรู้วันนี้แหละ
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #402 เมื่อ: 11 มิถุนายน 2552, 14:29:41 » |
|
ว้าว..พระเจ้ายอด
|
|
|
|
หลิม 81
|
|
« ตอบ #403 เมื่อ: 11 มิถุนายน 2552, 14:37:06 » |
|
พอกันทั้งคู่เลย...
|
@ ปีนี้ปีของผม @
|
|
|
Mr.EggMan
|
|
« ตอบ #404 เมื่อ: 12 มิถุนายน 2552, 14:32:01 » |
|
emo19:((:สำหรับคนโสดทั้งหลายแหล่
เพื่อนผม เธอเป็นผู้หญิงธรรมดาๆ คนหนึ่ง เธอหน้าตาดี เราเรียนจบมาในคณะเดียวกัน หลังจากเรียนจบมาได้ ปีกว่าๆ ผมก็ได้รับการ์ดเชิญไปงานแต่ง
วันแต่งงานของเธอ เธอดูสวยและสดใสเหมือนเดิม ดูท่าแล้วเธอคงจะเจอเนื้อคู่ ตามที่เธอใฝ่ฝันไว้แล้วจริงๆ เพื่อนสาวในกลุ่มของเธอถึงกับตาร้อนพ่าว อยากออกเย้าออกเรือนเหมือนกับเธอบ้าง
ผ่านไปได้เกือบปีกว่าๆ ผมก็ได้ข่าวว่า เธอได้คลอดลูกแล้ว พวกเพื่อนๆ รวมทั้งผม ก็ได้ตามไปเยี่ยมเธอที่บ้าน เธอคงเป็นคนโชคดีคนหนึ่งที่ผมเห็น เพราะทั้งสามีและครอบครัวของเธอ ดูมีความสุขกันถ้วนหน้า เพื่อนๆ ต่างล้อเธอว่า เธอเหมือนถูกล็อตเตอรี่รางวัลที่ 1 เพราะเธอได้สามีที่แสนดี ผมเองก็รู้สึกเช่นนั้น เพราะมันช่างแตกต่างจากหลายๆ คู่ที่ผมเคยได้ยินมา
เวลาผ่านไปอีกปีกว่าๆ เช่นเคย ผมก็ได้รับข่าวว่าเธอคลอดลูกแล้วอีกคน ชีวิตเธอทำเอาผมเริ่มรู้สึกอยากมีชีวิตคู่ขึ้นมาทันที ผมไปเยี่ยมเธอเหมือนครั้งที่แล้ว แทบไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ดูเธอมีความสุขที่ได้แต่งงานกับผู้ชายคนนี้ เธอเองก็บอกกับผมเช่นนั้น ชีวิตครอบครัวของเธอลงตัวกันได้อย่างดี
สองปีผ่านไป เพื่อนในกลุ่มของเราแต่งงาน ผมได้เจอเธออีกครั้งในงานแต่งนี้ หลังเลิกจากงาน ผมอาสาพาเธอไปส่งบ้าน ตลอดเส้นทางเธอทำให้ทัศนคติของผมเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง เธอได้เอ่ยคุยถึงเรื่องครอบครัว ผมบอกว่าเธอโชคดีที่ได้สามีคนนี้ แล้วเธอก็บอกกับผมว่า ไม่มีใครดีที่สุด ทุกคนย่อมมีข้อเสียและข้อดีแตกต่างกัน เขาก็มีข้อเสีย เราก็มีข้อเสีย แต่เมื่อแต่งงานกันแล้ว สิ่งหนึ่งที่ทำให้ชีวิตคู่อยู่ได้คือ การให้อภัย และ การปล่อยวาง ไม่ใช่เธอไม่เคยเจอเรื่องที่ไม่พอใจ เพียงแต่เธอไม่ทำให้เป็นเรื่องมากกว่า ผมก็แอบชื่นชมเธออยู่ในใจ สักพักเธอก็พูดขึ้นมาว่า รู้ไหมแก บางครั้งฉันยังแอบคิดถึง คนที่ฉันเคยแอบรักเขาอยู่เลย ยังคงแอบคิดถึงอยู่เป็นประจำ แต่แกรู้ไหม ฉันรู้ดีว่า คนที่ฉันรักมันไม่ใช่คนที่เราจะใช้ชีวิตอยู่ด้วย ผมทำหน้างงๆ เธอยิ้มแล้วพูดต่อว่า คนที่เรารักบางครั้งอาจไม่เหมาะที่จะมาใช้ชีวิตอยู่คู่กับเรา เขาเหมาะเพียงแค่ให้เราได้ แอบรัก แอบคิดถึง แต่ในความเป็นจริงแล้ว เรารู้ดีว่าคนที่จะอยู่กับเราได้นั้นต้องเป็นยังงัย ฉันเองก็เลือกถูกต้องแล้ว ชีวิตคู่?มัยนี้คิดแต่ จะเลือกเฉพาะคนที่เรารัก แต่ไม่ได้มองว่าเขากับเราจะเข้ากันได้ไหม เขาเป็นคนยังงัย จนกระทั้งอยู่ด้วยกันจริงๆ เมื่อควา?รักหายไป ความเป็นตัวตนที่แท้จริงก็ออกมา อะไรที่ทำแต่ก่อนไม่เคยสนใจ เดี๋ยวนี้นิดหน่อยก็ขัดหูขัดตา แล้วก็มาจบลงด้วยการหย่าร้าง แกเชื่อเถอะว่า เมื่ออยู่ด้วยกันนานๆ แล้ว ความรักมักมาช้ากว่าอย่างอื่นเสมอๆ หากเราจะเลือกใครเป็นคู่ชีวิตสักคน เราควรจะมองเขาให้มากกว่าความรัก
ผมขับรถมาถึงหน้าบ้านเธอพอดี สามีเธอออกมารับ สองคนพากันเข้าบ้าน ดูความรักของเธอและครอบครัวก็อบอุ่นดี หลังจากผมขับรถกลับ ผมก็คิดได้ทันทีว่า บ่อยครั้งคนที่อยู่เคียงข้างผมมักถามผมว่า เมื่อไหร่จะแต่งงานสะที แต่ผมกับคิดถึงแต่ผู้หญิงคนหนึ่ง ที่ผมแอบหลงรัก จนลืมความจริงไปว่า เราควรอยู่กับสิ่งที่ใช่มากกว่าพยายามเรียกร้องหาสิ่งที่เป็นเพียงความว่างเปล่า คำพูดของเธอทำให้ผมมองชีวิตคู่เปลี่ยนไป และเปิดใจรับกับการแต่งงานมากขึ้น จนกระทั้งวันนี้ ผมมีลูกแล้วสองคน กับภรรยาที่ผมเลือกแล้วว่าเธอควรค่ากับการเป็นแม่ของลูกผม แล้วคุณล่ะ จะเลือก คนที่ใช่ หรือว่า คนที่ชอบ!!
|
|
|
|
หลิม 81
|
|
« ตอบ #405 เมื่อ: 12 มิถุนายน 2552, 17:01:54 » |
|
หา....พี่ไข่จะแ่ต่งงาน
|
@ ปีนี้ปีของผม @
|
|
|
mmwindoo_79
Full Member
ออฟไลน์
กระทู้: 254
|
|
« ตอบ #406 เมื่อ: 12 มิถุนายน 2552, 17:50:23 » |
|
เจ๊ดเข้ ไข่จะแต่งงาน!
|
|
|
|
Mouy (Again)
มือใหม่หัดเมาท์
ออฟไลน์
กระทู้: 150
|
|
« ตอบ #407 เมื่อ: 12 มิถุนายน 2552, 18:33:03 » |
|
อ้าว..ไข่ลูกสองแล้วเหรอ...ว่าแต่นั่งรถไปกะใครอ่ะ....อิอิ...
|
|
|
|
ชาร์ป
|
|
« ตอบ #408 เมื่อ: 12 มิถุนายน 2552, 18:54:39 » |
|
งั้นแสดงว่าคนที่ถ่ายรูปให้ตอนไปเที่ยวเนเธอร์แลนด์ วันก่อน ไม่ใช่แค่เพื่อนเทียวเท่านั้นล่ะสิ ...
|
|
|
|
หลิม 81
|
|
« ตอบ #409 เมื่อ: 13 มิถุนายน 2552, 14:49:06 » |
|
เอาเลย เอาเลย เอาเลย
|
@ ปีนี้ปีของผม @
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #410 เมื่อ: 15 มิถุนายน 2552, 08:02:05 » |
|
ตาไข่สองลูก เอ้ย ลูกสอง เอ้า เฮ้ฮ้ฮฮฮฮฮ.......
|
|
|
|
telek78
|
|
« ตอบ #411 เมื่อ: 15 มิถุนายน 2552, 11:54:45 » |
|
|
|
|
|
Mouy (Again)
มือใหม่หัดเมาท์
ออฟไลน์
กระทู้: 150
|
|
« ตอบ #412 เมื่อ: 18 มิถุนายน 2552, 20:05:41 » |
|
ไข่จ๋า...พี่คิดถึงหว่ะ...หายไปหนายยย...
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #413 เมื่อ: 19 มิถุนายน 2552, 09:09:00 » |
|
ไข่จ๋า..ได้ยินไหมว่าเสียงใคร..(ร้องไงต่อหว่า..)
ที่มา เพลงไก่จ๋า..สองลูก
|
|
|
|
jviruch-78
|
|
« ตอบ #414 เมื่อ: 19 มิถุนายน 2552, 10:24:10 » |
|
ยินดีด้วยน่ะ ไข่ แต่งไม่บอกเลยน่ะ ได้ลูกผู้ชายหรือผู้หญิงล่ะ
|
|
|
|
Tarnthongl
Full Member
ออฟไลน์
กระทู้: 482
|
|
« ตอบ #415 เมื่อ: 20 มิถุนายน 2552, 19:29:25 » |
|
จริงเหรอ
|
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #416 เมื่อ: 22 มิถุนายน 2552, 07:23:51 » |
|
ชีวิตพอเพียงของมหาเศรษฐีอันดับสองของโลก : วอร์เรน บัพเฟตต์ ( Warren Buffet)
มีรายการสัมภาษณ์หนึ่งชั่วโมงของสถานีโทรทัศน์ CNBC สัมภาษณ์ วอร์เรน บัพเฟตต์ มหาเศรษฐีอันดับสองของโลก (รองจากบิล เกตส์) ซึ่งบริจาคเงินให้การกุศลถึง 31 , 000 ล้านดอลล่าร์ (เป็นเงินไทยก็ราวๆ 1,000,000,000,000 อ่านว่า 1 ล้าน ล้านบาท)
ต่อไปนี้คือแง่มุมบางส่วนที่น่าสนใจยิ่งจากชีวิตของเขา: 1) เขาเริ่มซื้อหุ้นครั้งแรกเมื่ออายุ 11 ขวบ และปัจจุบันบอกว่ารู้สึกเสียใจที่เริ่มช้าไป! 2) เขาซื้อไร่เล็กๆ เมื่ออายุ 14 โดยใช้เงินเก็บจากการส่งหนังสือพิมพ์ 3) เขายังอาศัยอยู่ในบ้านเล็กหลังเดิมขนาด 3 ห้องนอน กลางเมืองโอมาฮา ที่ซื้อไว้หลังแต่งงานเมื่อ 50 ปีก่อน เขาบอกว่ามีทุกสิ่งที่ต้องการในบ้านหลังนี้ บ้านเขาไม่มีรั้วหรือกำแพงล้อม 4) เขาขับรถไปไหนมาไหนต้วยตนเอง ไม่มีคนขับรถหรือคนคุ้มกัน 5) เขาไม่เคยเดินทางด้วยเครื่องบินส่วนตัว แม้จะเป็นเจ้าของบริษัทขายเครื่องบินส่วนตัวที่ใหญ่ที่สุดในโลก 6) บริษัท เบิร์กไช แฮทะเวย์ ของเขามีบริษัทในเครือ 63 บริษัท เขาเขียนจดหมายถึงซีอีโอของบริษัทเหล่านี้เพียงปีละฉบับเดียว เพื่อให้เป้าหมายประจำปี เขาไม่เคยนัดประชุมหรือโทรคุยกับซีอีโอเหล่านี้เป็นประจำ 7) เขาให้กฎแก่ ซีอีโอ เพียงสองข้อ กฎข้อ 1 อย่าทำให้เงินของผู้ถือหุ้นเสียหาย กฎข้อ 2 อย่าลืมกฎข้อ 1 8 ) เขาไม่สมาคมกับพวกไฮโซ การพักผ่อนเมื่อกลับบ้าน คือทำข้าวโพดคั่วกินและดูโทรทัศน์ 9) บิล เกตส์ คนที่รวยที่สุดในโลก เพิ่งพบเขาเป็นครั้งแรกเมื่อห้าปีก่อน บิล เกตส์คิดว่าตนเองไม่มีอะไรเหมือนวอร์เรน บัพเฟตต์เลย จึงให้เวลานัดไว้เพียงครึ่งชั่วโมง แต่เมื่อบิล เกดส์ได้พบบัฟเฟตต์จริงๆ ปรากฏว่าคุยกันนานถึงสิบชั่วโมง และบิล เกตส์กลายเป็นผู้มีศรัทธาในตัววอร์เรน บัพเฟตต์ 10) วอร์เรน บัพเฟตต์ ไม่ใช้มือถือ และไม่มีคอมพิวเตอร์บนโต๊ะทำงาน 11) เขาแนะนำเยาวชนคนหนุ่มสาวว่า : จงหลีกห่างจากบัตรเครดิตและลงทุนในตัวคุณเอง
ที่สุดของชีวิต คือ มีปัจจัย ๔ อย่างเพียงพอนั่นเอง มหาเศรษฐีหรือยาจก กินข้าวแล้วก็อิ่ม 1 มื้อ เท่ากัน มหาเศรษฐีหรือยาจก มีเสื้อผ้ากี่ชุด ก็ใส่ได้ทีละชุด เท่ากัน มหาเศรษฐีหรือยาจก มีบ้านหลังใหญ่แค่ไหน พื้นที่ที่ใช้จริงๆ ก็เหมือนกันคือ ห้องนอน ห้องน้ำ ห้องครัว เหมือนกัน มหาเศรษฐีหรือยาจก จะมียารักษาโรคดีแค่ไหน ยื้อชีวิตไปได้นานเพียงไร สุดท้ายก็ต้องตาย เหมือนกัน
ที่มา: Forward Mail
|
|
|
|
Mouy (Again)
มือใหม่หัดเมาท์
ออฟไลน์
กระทู้: 150
|
|
« ตอบ #417 เมื่อ: 23 มิถุนายน 2552, 03:55:59 » |
|
พระเอกขี้ม้าขาว...มาช่วยแล้ว...รอดๆๆ.. มาได้แล้วม๊ะ....น้องรัก...ไม่แกล้ง(น้อย)แล้ว
|
|
|
|
iamfrommoon
|
|
« ตอบ #418 เมื่อ: 23 มิถุนายน 2552, 10:45:46 » |
|
เอามาฝากเพิ่ม..อาเฮียส่งให้...เหอๆ
แนวคิดเทียบกับธรรมะ(ชาติ)
Subject: ภรรยา 4 คน (อยากให้ลองอ่าน)
ชายคนหนึ่งมีภรรยาอยู่ 4 คน ภรรยาคนที่ 1 เขารักที่สุด ไปไหนมาไหนด้วยกัน ตามใจ ตลอดอยากได้อะไร เขาหาให้ทุกอย่าง ภรรยาคน ที่ 2 เขารักมาก เขาจะทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อภรรยาคน นี้ และจะไปหาภรรยาคนนี้เสมอ ภรรยาคนที่ 3 เขารักรองลงมา ดูแลเอาใจใส่พอควร แวะไปหาบางเป็นครั้งคราว ภรรยาคน ที่ 4 เขาไม่เคยสนใจ ไม่เคยดูแลเอาใจใส่ ไม่เคยไป หาไม่คิดถึงเลยด้วยซ้ำ
ต่อมาชาย คนนี้ไปกระทำความผิดร้ายแรงและถูกจับ ต้องถูก ประหารชีวิต ก่อนที่จะถูกประหาร เขาขอร้องว่า เขาขอกลับ บ้านเพื่อไปร่ำลาภรรยาสุดที่รักซักครั้ง ผู้คุมเห็นใจจึง อนุญาต
เมื่อกลับ มาถึงบ้าน เขารีบตรงไปหาภรรยาคนที่ 1 เล่า เหตุการณ์ต่างๆ ให้ฟัง และถามภรรยา คนที่ 1 ว่า ' ถ้าเขาต้องตาย ภรรยาคนที่ 1 จะ ทำอย่างไร? ' ภรรยาคนที่ 1 ตอบน้ำเสียงที่เย็นชาว่า ' ถ้าเธอตาย เราก็จบกัน' คำตอบที่ได้รับเหมือนสายฟ้าที่ผ่า เปรี้ยง!! ลงมาที่เขาอย่าง จังเขารู้สึก เจ็บปวดและเสียใจเป็นอย่าง ยิ่งนึกเสียดายว่าเขาไม่ควรทุ่มเทให้ภรรยาคนนี้ เลย
จากนั้นเขาก็ ไปหาภรรยาคนที่ 2 ด้วยอาการเศร้าโศก เล่า เรื่องราวต่างๆ ให้ ฟัง และถามคำถาม เดิมกับภรรยาคนที่ 2 ว่า' ถ้าเขาต้องตาย ภรรยาคน ที่ 2 จะทำอย่างไร? ภรรยาคนที่ 2 ก็ ตอบอย่างหน้าตาเฉยว่า ' ถ้าเธอตาย ฉันจะมี ใหม่ 'เหมือนสาย ฟ้า!! ผ่าลงมาซ้ำที่เขาอย่างจัง เขารู้สึกเสียใจ มาก และนึกเสียดายว่าที่ผ่านมา เขาไม่ควรทุ่มเทให้ภรรยาคนนี้เช่นกัน
เขาเดินคอตก มาหาภรรยาคนที่ 3 เล่าเรื่องราวต่างๆ ให้ ฟัง และถามภรรยา คนที่ 3 ว่า' ถ้าเขาต้องตาย ภรรยาคนที่ 3 จะทำ อย่างไร? ' ภรรยา คนที่ 3 ตอบว่า ' ถ้าเธอตาย ฉันจะไปส่ง' ทำให้เขาคลายความเศร้าโศกขึ้นมาได้ บ้าง อย่างน้อยก็ ยังมีภรรยาที่จริงใจกับเขา
ก่อนกลับไป รับโทษเขานึกขึ้นมาได้ว่ามีภรรยาอีกคนซึ่งไม่เคยไปหาเลย จึงไป หาภรรยาคนที่ 4 และถามว่า' ถ้าเขาต้องตาย ภรรยาคนที่ 4 จะทำอย่าง ไร? ' ภรรยาคน ที่ 4 ตอบว่า ' ถ้าเธอตาย ฉันจะตามไป ด้วย ' แทนที่เขา จะดีใจกลับนึกเสียใจหนักขึ้นไปอีก เพราะ...มัน สายเกินไปเสีย แล้ว ช่วงที่เขา มีชีวิตอยู่เขาไม่เคยเห็นค่ าของภรรยาคนนี้ แต่ภรรยาคน นี้ไม่คิดที่จะทิ้งเขา จะติดตามเขาไปอยู่ด้วย แล้วชายคน นี้ก็กลับไปรับโทษประหาร และเมื่อเขาตาย ภรรยาคน ที่ 4 ก็ตายตามไปด้วย..... เราทุกคนก็มีภรรยา 4 คน นี้ มีคำถามว่า ภรรยาทั้ง 4 คนเป็นใคร ? ลองคิดกันก่อนนะ แล้วค่อยดูเฉลย ....................................................................................
ทีนี้เรามาดูกัน ว่า ภรรยาคนที่ 1, 2, 3 และ 4 เป็นใครกัน บ้าง
ภรรยาคน ที่ 1 = ร่างกายของ เรา เพราะเวลาเรา มีชีวิตอยู่ เราจะบำรุงบำเรอด้วยของสิ่ง ทุกอย่างอยากได้อะไรก็หาให้ แต่ พอเราตายมันกลับไม่ไปกับเรา เมื่อเราตายร่างกายมันก็มีค่าเท่ากับท่อนไม้ท่อนหนึ่งเท่า นั้น
ภรรยาคนที่ 2 = ทรัพย์ สมบัติ เพราะเวลา เรามีชีวิตอยู่ เราจะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มัน มา แต่พอเราตายมันกลับไม่ไปกับเรา แต่ไปเป็นของคน อื่น
ภรรยาคนที่ 3 = พ่อแม่ ลูกเมีย ญาติ พี่ น้อง เพราะพอเรา ตาย เขาจะทำศพให้เรา ทำบุญไป ให้ แปลว่า เขา แค่ไปส่งเราเท่านั้น
ภรรยาคนที่ 4 = บุญ กับ บาป เมื่อเราตาย ไป เราไม่สามารถเอาอะไรไปด้วยได้ มีเพียงแค่บุญกับบาปเท่านั้นที่จะตามเราไป
.....หลังจากอ่านจบแล้วได้แง่คิดอะไรกันบ้าง? .... จะให้ความ สำคัญกับภรรยาคนไหนมากกว่ากัน?
|
@@ธรรมชาติสร้างความขัดแย้ง เพื่อให้คนเรียนรู้ซึ่งกันและกันได้ดียิ่งขึ้น@@@
|
|
|
Mr.EggMan
|
|
« ตอบ #419 เมื่อ: 24 มิถุนายน 2552, 02:22:06 » |
|
เผลอแป๊บเดียว กลายเป็นผมมีลูกมีเมียไปซะละ ยังครับ ยังไม่มีลูกไม่มีเมียครับ กำลังจะเปลี่ยนไปมีผัวแทน ฮ่าๆๆๆๆ พี่หมวยคร้าบบบบ คิดถึงพี่หมวยเหมือนกันครับ จำหน้าพี่หมวยไม่ได้ล่ะนี่ คนไหนน้า คนที่ผอมๆสูงๆ หน้าตาคมเข้มรึป่าวครับ ... "อย่าสัญญากับใครถ้าคุณทำไม่ได้" เด็กสาวตาบอดคนหนึ่ง เกลียดตัวเองที่มองอะไรไม่เห็น เธอเกลียดทุกคนยกเว้นแฟนหนุ่มของเธอ วันหนึ่งเธอบอกกับเขาว่า ถ้าเธอมองเห็น เธอจะแต่งงานกับเขา แล้ววันหนึ่ง โชคก็เดินทางมาถึง มีคนบริจาคดวงตาให้เธอ! เธอจึงมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่าง รวมทั้งแฟนของเธอ เขาจึงถามเธอว่า "ตอนนี้เธอมองเห็นแล้ว เธอจะแต่งงานกับฉันไหม" เด็กสาวตกใจมากที่เห็นว่า เขาตาบอด! เธอตอบเขาว่า "ขอโทษนะ ฉันแต่งงานกับเธอไม่ได้หรอก เพราะเธอมันตาบอด" แฟนของเธอเดินจากไปพร้อมน้ำตา เขาบอกกับเธอว่า "งั้น...ช่วยดูแลดวงตาของฉันให้ดีก็แล้วกันนะ"
|
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #420 เมื่อ: 24 มิถุนายน 2552, 12:34:01 » |
|
^ ^ เอ่อ หักมุมจบซะ
|
|
|
|
jviruch-78
|
|
« ตอบ #421 เมื่อ: 24 มิถุนายน 2552, 12:38:43 » |
|
ใครทำได้บ้าง
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #422 เมื่อ: 25 มิถุนายน 2552, 13:56:13 » |
|
กำลังติดใจเรื่องภรรยาสี่คนอยู่..
ผมจะปฏิบัติตามครับ..
|
|
|
|
mmwindoo_79
Full Member
ออฟไลน์
กระทู้: 254
|
|
« ตอบ #423 เมื่อ: 25 มิถุนายน 2552, 16:09:36 » |
|
ชายคนนั้น เป็นมุสลิม
|
|
|
|
Mouy (Again)
มือใหม่หัดเมาท์
ออฟไลน์
กระทู้: 150
|
|
« ตอบ #424 เมื่อ: 26 มิถุนายน 2552, 03:33:48 » |
|
เฮ้ยยย...ผู้หญิงใจร้ายจัง....
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #425 เมื่อ: 26 มิถุนายน 2552, 10:43:00 » |
|
เรื่องชายคนนั้นเป็นมุสลิมเหรอพี่..
|
|
|
|
Mr.EggMan
|
|
« ตอบ #426 เมื่อ: 29 มิถุนายน 2552, 05:08:25 » |
|
เรามักทำให้คนที่ใส่ใจเราต้องร้องไห้ เรามักร้องไห้ให้กับคนที่ไม่เคยใส่ใจเรา และเรามักใส่ใจกับคนที่ไม่มีวันร้องไห้ให้เรา นี่คือความจริงของชีวิต เป็นเรื่องแปลกแต่จริง ป.ล. โต้งอยากมีเมียสี่คนเหรอ
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #427 เมื่อ: 29 มิถุนายน 2552, 09:23:15 » |
|
ไม่ได้อยาก ขี้เกียจเลี้ยงเว้ย..
|
|
|
|
หลิม 81
|
|
« ตอบ #428 เมื่อ: 29 มิถุนายน 2552, 09:27:47 » |
|
แอ๊บสแตรก มาก ๆ
|
@ ปีนี้ปีของผม @
|
|
|
khesorn mueller
|
|
« ตอบ #429 เมื่อ: 29 มิถุนายน 2552, 19:24:28 » |
|
เถอะ.... จะมีก็มี! มัว theoryกันอยู่ได้ พี่ล่ะเบี่ย
p.nn
|
|
|
|
หลิม 81
|
|
« ตอบ #430 เมื่อ: 01 กรกฎาคม 2552, 14:29:39 » |
|
ใช่ครับพี่หนุงหนิง...
|
@ ปีนี้ปีของผม @
|
|
|
Tarnthongl
Full Member
ออฟไลน์
กระทู้: 482
|
|
« ตอบ #431 เมื่อ: 01 กรกฎาคม 2552, 15:15:19 » |
|
พี่ว่าถ้าเลี้ยงไหวจะมีก็มีเหอะ แต่อย่าทำให้คนอื่นเดือดร้อน ปล.เมียสองต้องห้าม เมียสามตามตำรา
|
|
|
|
jviruch-78
|
|
« ตอบ #432 เมื่อ: 03 กรกฎาคม 2552, 09:25:24 » |
|
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #433 เมื่อ: 03 กรกฎาคม 2552, 17:16:27 » |
|
มีเมียเด็ก..ต้องหมั่นตรวจเช็คร่างกาย..
|
|
|
|
iamfrommoon
|
|
« ตอบ #434 เมื่อ: 03 กรกฎาคม 2552, 17:38:00 » |
|
นี่ก็งงๆ เหมือนกัน ท่าจะใช่...แต่ตอนนี้ไปถึงเมียเด็กกันละ 555
|
@@ธรรมชาติสร้างความขัดแย้ง เพื่อให้คนเรียนรู้ซึ่งกันและกันได้ดียิ่งขึ้น@@@
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #435 เมื่อ: 06 กรกฎาคม 2552, 08:06:13 » |
|
อย่างน้อยต้องมีเมียเด็กด้วย..3 คนตามตำราด้วยเว้ย..ถึงจะแน่
|
|
|
|
khesorn mueller
|
|
« ตอบ #436 เมื่อ: 06 กรกฎาคม 2552, 17:14:18 » |
|
เลี้ยงกัน...หัวล้านด้วย หงอกด้วย แถมพุงปลิ้น..หน้าเหลือง เผลอๆได้ทำbypassก่อนวัย ไม่รู้ด้วย!
สุลต่านแท้ๆยังมีเวลาแวะไปharem แค่คราวละ2-3ชั่วโมง!! heชอบอยู่กะมเหสีกะลูกมากกว่า สุขใจแถมอายุยืน
|
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #437 เมื่อ: 13 กรกฎาคม 2552, 07:43:56 » |
|
ไม่ได้เอามาว่าใคร แต่ลองอ่านดู เพื่อเตือนสติ
------------------------------
มี สามีวิศวกร แล้วเป็นไง ? โดย ศ.ดร. นายแพทย์วิทยา นาควัชระ บทความจาก นิตยสารสกุลไทย
สถิติเป็นเรื่องที่น่าศึกษาและน่าสนใจมาก ผมมีสถิติที่สังเกตเอาเองในช่วงทำงานสุขภาพจิตมานานเกี่ยวกับอาชีพต่างๆกัน บุคลิกภาพที่อยากเอามาเล่าให้ฟัง ในบรรดาผู้ชายที่มาปรึกษาผมที่คลินิก ผมนับได้ว่าอาชีพวิศวกรมาปรึกษามาก และเรียนรู้ได้เร็ว พัฒนาตัวเองได้เร็วมากนี่พูดเฉพาะคนที่มาหานะครับ พวกที่ยังไม่มา แต่ส่งภรรยาและลูกเมียมาปรึกษานั้นยังมีอีกมาก แต่ก็ยังดีที่สนใจอ่านคอลัมน์นี้ และยังเปิดใจยอมรับเมื่อมีปัญหา แต่พวกที่ไม่สนใจ ไม่ใส่ใจนั้นก็ยังมีอีกมากมาย
มีภรรยาที่ทุกข์ใจจาก " บุคลิกลักษณะ " ของสามีวิศวกรมาปรึกษาผมที่คลินิกมากมาย ภรรยาเหล่านี้มักมีสภานภาพทางสังคมดี มีการงานและการเงินดี แต่มีความทุกข์ใจจากบุคลิก หรือ Personality ของบรรดาสามีวิศวกรเหล่านั้น ผมได้รวบรวมลักษณะที่ภรรยาไม่ชอบและทุกข์ใจเหล่านั้นมาให้อ่านดังนี้
1. หัวแข็ง หัวดื้อ 2. หลงรักตัวเอง คิดว่าตัวเองเก่งมาก หลายรายมักว่าภรรยาโง่หรือคิดอะไรไม่เข้าท่า 3. ขาดอารมณ์ขัน 4. เอาจริงเอาจังกับงานมาก 5. เครียด ย้ำคิด ย้ำทำ 6. พูดไม่เป็น หรือพูดน้อย 7. ก้าวร้าวสูง 8. แข่งขันสูง 9. ไม่ชอบเห็นใครดีกว่า 10. ชมคนอื่นไม่เป็น ติเก่ง จับผิดเก่ง 11. ไม่รักคนอื่น 12. หลายคนไม่รักตัวเอง มีพฤติกรรมทำร้ายตัวเอง เช่น ติดเหล้า บุหรี่ หรือหักโหมทำงานมาก 13. ขาดความสุนทรีย์ในการดำเนินชีวิต 14. ไม่มีรสนิยมในการแต่งกาย แม้จะมีรายได้ดี 15. ขี้เหนียวในเรื่องเล็กๆน้อยๆ เช่นเรื่องค่าที่จอดรถ ค่าทิป แต่เรื่องบางเรื่องยอมเสียเงินมากๆ โดยไม่จำเป็น 16. เจ้าระเบียบมาก จุกจิกจู้จี้ ย้ำคิดย้ำทำ 17. ชอบสอนเสียจริงๆ สอนทั้งเมีย ทั้งลูก บางรายสอนพี่น้องหรือแม่ด้วยน้ำเสียงข่มขู่หรือจับผิด ( กับพ่อมักไม่ค่อยกล้าสอนเพราะมักจะมีพ่อดุ) 18. เพื่อนน้อย 19. ขาดงานอดิเรก ถ้าเส่นกีฬาก็เอาจริงเอาจังจนเกินสนุก 20. ชอบขัดคอคน ต่อหน้าคนอื่นทำเรียบร้อย พอลับหลังนินทาหรือก้าวร้าว หรือด่าหยาบคาย 21. ปลอบคนไม่เป็น หลายรายสนุกกับการเล่นกับหมาได้มากกว่าพูดกับคน 22. มีปัญหาเรื่องลูกโดยเฉพาะกับลูกชาย แข่งขันกันหรือจับผิดลูกก้าวร้าวกับลูก 23. กลัวการเสียเปรียบมาก ไม่ยอมเสียเปรียบใคร 24. กลัวคนอื่นเก่งกว่า อิจฉาคนเก่งกว่า 25. กับพี่น้องก็อิจฉากันเอง ก้าวร้าวกันเองมาก 26. หลายรายเป็นคนสมถะมากโดยเฉพาะเรื่องแต่งกาย ไม่ชอบซื้อเสื้อใหม่ หรือเน็คไทใหม่ ภรรยาซื้อให้กลับถูกหาว่ายุ่งและไม่จำเป็น
ที่เขียนมาทั้งหมดนี้ผมไม่ได้จงใจจับผิดอาชีพวิศวกรเลย ทุกอาชีพก็มีจุดดี จุดเด่น มีทุกข์ มีสุข ได้ทั้งนั้น แต่ที่ยกเอาอาชีพนี้ขึ้นมาอาจเป็นเพราะสถานภาพของครอบครัวและภรรยา เอื้อต่อการจะมาพบจิตแพทย์เพื่อปรึกษาเรื่องครอบครัวหรือการเลี้ยงลูกได้โดยไม่ลำบาก วิศวกรนั้นได้รับการยอมรับจากสังคมว่า เป็นคนเรียนเก่งตั้งแต่สอบเอ็นทรานซ์ได้แล้ว เมื่อเรียนจบ มีการงานทำดี เงินเดือนมาก ก็ยังตระหนักในความเก่งของตัวเองมากเข้าไปอีก เข้าข่ายหลงรักตัวเองขั้นทุติยภูมิ ( Secondary Narcissism) คล้ายๆ อาชีพอื่นๆ อีก เช่น แพทย์ แต่วันนี้ยังไม่ขอเอ่ยถึงนะครับ วิศวกรต้องทำงานแข่งกับความสามารถของคนอื่นที่เก่งๆ และเทคโนโลยีใหม่ๆตลอดเวลา ทำให้ต้องตื่นตัวและถีบตัวอยู่ตลอดเวลา งานที่ทำก็มักสัมผัสกับสิ่งที่แข็งกร้าน เช่น งานก่อสร้าง เครื่องจักร ฯลฯ บุคคลรอบข้างก็มีแต่ผู้ชายที่แข็งและแข่งขันกันเมื่ออยู่ใกล้กัน สิ่งที่เป็นความสุนทรีย์ที่งดงามก็พบได้น้อยในชีวิตรอบตัว นอกจากเขาจะขวนขวายหาเอง จึงทำให้ชีวิตมุ่งไปแต่การแสวงหาความสำเร็จชัยชนะงาน การแข่งขัน เอาจริงเอาจัง ลักษณะประจำอาชีพจึงเกิดขึ้นคล้ายๆกับที่ผมเขียนมาแล้วในตอนต้น
ความทุกข์ที่เกิดจากบุคลิกภาพและงานอาชีพของเขาก็มีมาก เช่น - เครียด - เป็นโรคจิตสรีระแปรปรวน ( Psycho Somatic Disorder) เช่น ปวดหัว ปวดท้อง ปวดหลัง ความดันโลหิตสูง ภูมิแพ้ หรืออาจเป็นโรคหัวใจในโอกาสต่อไป - มีปัญหาเรื่องการเลี้ยงลูก ไม่ถูกกับลูก เอาจริงเอาจังกับลูก - ภรรยาทนไม่ได้ เกิดปัญหามากมาย - ศัตรูมากขึ้นเพราะพูดไม่เป็น มักพูดตามความรู้สึก ยึดหลักความจริงหรือความคิดของตัวเองเป็นใหญ่ ไม่คำนึงถึงจิตใจคนอื่น - มนุษยสัมพันธ์ไม่ดี - เหงา หลายรายติดเหล้า
ที่จริงวิศวกรเป็นคนเก่ง เข้าใจอะไรได้ง่าย ถ้าเขาอยากจะหาความสุขในชีวิตให้มากขึ้นอย่างสร้างสรรค์ เขาก็ทำใด้ไม่ยากนัก แต่เขาจะต้องลดตัวและฝืนใจทำบางสิ่งบางอย่างมากขึ้น เช่น การสนใจเรื่องสุขภาพจิต การรู้จักออมชอม การพูดเพื่อสร้างมิตรภาพและมนุษยสัมพันธ์ การแสดงความรักเพื่อนมนุษย์ให้มากขึ้น ลดการแข่งขัน ก้าวร้าว รู้จักให้อภัยคนอื่น ชีวิตของเขาก็จะมีความสุขมากขึ้น และสามารถนำแนวคิดแนวปฏิบัติดีๆนั้นไปแนะนำลูกน้องได้อีกมาก ไม่เช่นนั้นเขาจะมีแต่งานและเงิน แต่เสมือนเขาทำชีวิตหาย เหมือนกวีนิพนธ์บทหนึ่ง ที่ผมจำได้ว่า
" อนิจจา น่าเสียดาย ฉันทำชีวิตหายไปเสียครึ่ง ครึ่งที่หายนั้นลึกซึ้ง มีทั้งน้ำผึ้ง บุหงา ลาวัณย์"
ที่มา : Forward Mail
|
|
|
|
iamfrommoon
|
|
« ตอบ #438 เมื่อ: 13 กรกฎาคม 2552, 11:00:11 » |
|
ชาร์ป! โต้ง!
|
@@ธรรมชาติสร้างความขัดแย้ง เพื่อให้คนเรียนรู้ซึ่งกันและกันได้ดียิ่งขึ้น@@@
|
|
|
ชาร์ป
|
|
« ตอบ #439 เมื่อ: 13 กรกฎาคม 2552, 11:35:27 » |
|
ผมว่าบทความพวกนี้ discredit กัน แหงม ๆ ...
|
|
|
|
หลิม 81
|
|
« ตอบ #440 เมื่อ: 13 กรกฎาคม 2552, 14:16:29 » |
|
ผมเห็นด้วย นิดนึง...แต่ไม่ทั้งหมด
|
@ ปีนี้ปีของผม @
|
|
|
Tarnthongl
Full Member
ออฟไลน์
กระทู้: 482
|
|
« ตอบ #441 เมื่อ: 13 กรกฎาคม 2552, 19:25:18 » |
|
จริงเปล่าเพื่อนโจ้
|
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #442 เมื่อ: 14 กรกฎาคม 2552, 07:11:21 » |
|
เค้าให้อ่านเพื่อลองย้อนกลับมาดูตัวเอง ไม่ได้ให้อ่านว่า เค้ามานั่งด่าคนเป็นวิศวกรซะหน่อย ถ้าอันไหนตรงก็เอาไปแก้ อันไหนไม่ใช่ ก็ดีแล้ว
|
|
|
|
หลิม 81
|
|
« ตอบ #443 เมื่อ: 14 กรกฎาคม 2552, 11:47:47 » |
|
ลูกค้าส่งมาให้ครับ
ลอง แบมือ 2 ข้าง เข้าหากัน แล้ว งอนิ้วกลางลง เอา หลังนิ้วกลาง ทั้ง 2 ข้าง มาชนกัน
ทีนี้นิ้วที่เหลือ ก็คือ โป้ง/ ชี้/นาง/ ก้อย ให้เอาปลายนิ้วมาชนกัน
ลองปล่อยนิ้วที่เอาปลายชนกัน ให้ออกจากกัน ทีละนิ้ว โดยที่ นิ้วกลางยังคงงอแตะกันอยู่
จะพบว่า นิ้วชี้ ก็ปล่อยจากกันได้ / นิ้วโป้งก็ปล่อยจากกันได้/ นิ้วก้อย ก็ปล่อยจากกันได้ อย่างสบายๆ
แต่นิ้ว นาง กลับ ปล่อย ออกจากกันไม่ได้
นั่นเป็นเพราะ
- นิ้วกลาง แทน ตัวเรา เอง
- นิ้วโป้ง แทน พ่อแม่ ซึ่งวันหนึ่งท่านก็ต้องจากเราไป
- นิ้วชี้ แทน พี่น้อง ซึ่งเขาก็ต้องไปมีชีวิตของเขาเอง
- นิ้วก้อย แทน ลูก พอโตขึ้น ลูกก็ต้องไปมีชีวิตของตัวเอง / ม! ีสังคม, ครอบครัว ของตัวเอง
- นิ้วนาง แทน 'คู่ชีวิต' ทีนี้ก็เหลือแค่ 'คู่ชีวิต' แล้วล่ะ ที่จะอยู่กับเราไปจนแก่ til death do us part นั้นแน่.....แอบทำอยู่..........ช่าย....ม่า
|
@ ปีนี้ปีของผม @
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #444 เมื่อ: 14 กรกฎาคม 2552, 16:40:53 » |
|
เศร้าครับ..
แต่ก็ต้องยอมรับ ว่าตรงเลยล่ะหลายๆข้อ..เศร้า..
|
|
|
|
iamfrommoon
|
|
« ตอบ #445 เมื่อ: 14 กรกฎาคม 2552, 17:07:07 » |
|
อ่านได้แล้วข้อคิดนะ พี่ว่า น่าจะเอามาจากคนที่เคยไปปรึกษาหมอส่วนใหญ่... อยากอ่าน สถาปนิกบ้างง่ะ ตาแคม...จัดให้บ้างนะ อยากจะรู้ หุหุ 555
หลิม.. มันใช่เลย รู้ได้ไง... ปล. เด๋วนี้แวะไปดื่มกาแฟบ้างมั้ย น้องนั่งตบยุงอยู่นะ 555
โต้งครับ... อืม....ไม่ต้องเปลี่ยนแปลงแต่แก้ไข...ปรับให้ดีขึ้น
|
@@ธรรมชาติสร้างความขัดแย้ง เพื่อให้คนเรียนรู้ซึ่งกันและกันได้ดียิ่งขึ้น@@@
|
|
|
หลิม 81
|
|
« ตอบ #446 เมื่อ: 14 กรกฎาคม 2552, 17:23:31 » |
|
ไปทุกอาทิตย์...อาทิตย์ไม่ต่ำ่กว่า 4 แก้ว
|
@ ปีนี้ปีของผม @
|
|
|
jviruch-78
|
|
« ตอบ #447 เมื่อ: 15 กรกฎาคม 2552, 07:57:47 » |
|
ลองนับดู ตรงกะผมประมาณ 13/26 แล้วจะพยายามแก้ตัว เฮ้ย แก้ไขครับ
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #448 เมื่อ: 15 กรกฎาคม 2552, 09:06:23 » |
|
ของผมก็ประมาณนั้นล่ะพี่..เศร้า..
คิดกลับกัน ลองคนอาชีพอื่นบ้างซิ ว่าตรงกี่ข้อ หรือจริงๆแล้วชายไทยเป็นแบบนี้เยอะอยู่แล้ว ไม่เกี่ยวกับวิศวกร
|
|
|
|
telek78
|
|
« ตอบ #449 เมื่อ: 17 กรกฎาคม 2552, 23:31:47 » |
|
แก้ข่าวหน่อยนะ บังเอิญเคยเป็นวิศวกรเหมือนกัน อันนี้น่าจะเป็นนิสัยนักการเมืองมากกว่ามั้ง อย่างเช่น 1. หัวแข็ง หัวดื้อ ประมาณว่าไม่เคยฟังเสียงประชาชน ดื้อแพ่งแต่กลุ่มของตัวเอง2. หลงรักตัวเอง คิดว่าตัวเองเก่งมาก บางคนตีตนเสมอสถาบันเลยนะ3. ขาดอารมณ์ขัน อันนี้หมายถึง นกเขาไม่ขันหรือเปล่า เพราะเป็นกันในหมู่นักการเมืองมากเลย4. เอาจริงเอาจังกับงานมาก น่าจะเป็นเอาจริงเอาจังในการสร้างภาพ5. เครียด ย้ำคิด ย้ำทำ บางเรื่องน่าจะจบแล้วยังขุดออกมาเล่นกันใหม่6. พูดไม่เป็น หรือพูดน้อย อันนี้หมายถึงพูดน้อยในเรื่องดีดี7. ก้าวร้าวสูง ใช่เลย8. แข่งขันสูง โดยเฉพาคืนหมาหอน9. ไม่ชอบเห็นใครดีกว่า เน๊าะ เขียว แดง เหลือง10. ชมคนอื่นไม่เป็น ติเก่ง จับผิดเก่ง ประท้วงเก่งด้วย ดูมันประชุมกัน นึกว่าดูโต้วาที ภาษร11. ไม่รักคนอื่น นอกจากพวกตัวเอง และนายมัน12. หลายคนไม่รักตัวเอง มีพฤติกรรมทำร้ายตัวเอง เช่น ยิ่งพูดยิ่งประจาณสมองตัวเอง13. ขาดความสุนทรีย์ในการดำเนินชีวิต ขนาดเค้าจัดบอลกระชับมิตร มันยังประท้วงไม่ลงสนามเลย14. ไม่มีรสนิยมในการแต่งกาย ใส่มันแต่สูท ยกเว้นเวลาสร้างภาพ เช่น ลงทำนาแบบเรียลริตี้15. ขี้เหนียวในเรื่องเล็กๆน้อยๆ เช่นเรื่องค่าที่จอดรถ ค่าทิป แต่เรื่องบางเรื่องยอมเสียเงินมากๆ โดยไม่จำเป็น เช่น รถเมล์เอนจีวี่16. เจ้าระเบียบมาก จุกจิกจู้จี้ ย้ำคิดย้ำทำ ขนาดเค้ายี้กัน ยังจะทู่ซี้เช่ารถเมล์17. ชอบสอนเสียจริงๆ สอนทั้งเมีย ทั้งลูก บางรายสอนพี่น้องหรือแม่ด้วยน้ำเสียงข่มขู่หรือจับผิ แต่ศัตรูเยอะ19. ขาดงานอดิเรก ถ้าเส่นกีฬาก็เอาจริงเอาจังจนเกินสนุก ส่วนใหญ่เอาเวลาไปแบ่งเค้กกัน20. ชอบขัดคอคน ต่อหน้าคนอื่นทำเรียบร้อย พอลับหลังนินทาหรือก้าวร้าว หรือด่าหยาบคาย อันนี้ใช่เลย21. ปลอบคนไม่เป็น หลายรายสนุกกับการเล่นกับหมาได้มากกว่าพูดกับคน แต่บางคนยืมปากหมามาพูด22. มีปัญหาเรื่องลูกโดยเฉพาะกับลูกชาย โดยเฉพาะไอ้ปื้ด ลูกชายมันโหด23. กลัวการเสียเปรียบมาก ไม่ยอมเสียเปรียบใคร ไม่ยอมยุบสภาง่ายๆหรอก24. กลัวคนอื่นเก่งกว่า อิจฉาคนเก่งกว่า เออ จริง25. กับพี่น้องก็อิจฉากันเอง ก้าวร้าวกันเองมาก พี่น้องหมายถึงพี่น้องในพรรคเองหรือเปล่าแต่ไม่ว่าจะเป็นอาชีพไหน ก็มีคนนิสัยแย่ๆ หมอยังมีหมอรักษาคน และหมอฆ่าคน ตำรวจเอยย ทนายเอย และอีกหลายอาชีพ มีคนทุกประเภทอยู่ในอาชีพนั้นๆ เพียงแต่วิศวกรเป็นอาชีพแรกๆที่คนคิดถึง รองๆจากอาชีพที่ว่ามา เลยโดนวิจารณ์หนักหน่อย แต่โลกมันเปลี่ยนไปแล้ว แทนที่จะระแวงวิศวกร กลัวนักการเมืองดีกว่า น่ากลัวกว่ากันเยอะ
|
|
|
|
Mouy (Again)
มือใหม่หัดเมาท์
ออฟไลน์
กระทู้: 150
|
|
« ตอบ #450 เมื่อ: 19 กรกฎาคม 2552, 07:06:12 » |
|
อืมม... พี่เห็นด้วยนะ ไม่ว่าจะอาชีพไหน หากขาดไร้ซึ่งจรรยาบรรณและขาดสำนึกที่ดี... ก็พาลจะเสียกันทั้งสถาบันอาชีพนั้นล่ะ หากการทำงานนึกถึงผลและคนรอบข้างสักนิด...ไม่นึกถึงประโยชน์ส่วนตัวมากเกินไป...โดยภาพรวมก็คงจะดีกว่านี้! ว่าแต่กระทู้นี้มันกระทู้บ่นหรือเปล่าเนี๊ยะ...ieieie... oO(n_n)Oo
|
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #451 เมื่อ: 20 กรกฎาคม 2552, 07:21:03 » |
|
อืมมมมม....
อยากให้กลับไปอ่านข้อความที่ผมไป post เรื่อง วิศวกร อีกรอบนะ
คือคนเขียนบทความนี้ คือ คุณหมอ ท่านหนึ่ง และการที่เขียนบทความนี้ ขึ้นมาได้ เพราะ คนที่มาปรึกษา ส่วนใหญ่ เป็นอาชีพ วิศวกร
ดังนั้น เค้าก็ต้องสรุปเนื้อหา มาจาก สิ่งที่เค้า รู้ ใช่ไหม๊?
ดังนั้น ก็เป็นการถูกแล้ว ที่เค้าให้ข้อมูลเฉพาะเรื่องที่เค้าสัมผัสมา ก็ถูกแล้ว ที่เค้าไม่ได้ไปเขียนเกี่ยวกับ อาชีพ นักการเมือง สถาปัตย์ นักวิทยาศาสตร์ หรือ อาชีพอื่นๆ ถูกต้องแล้ว ที่ว่า ทุกอาชีพ ต่างมันทั้งข้อดี ข้อเสีย คนดี คนไม่ดี
แต่หมอ ท่านนี้ แกไม่มีข้อมูล ถ้าแกเอามาเขียน มันก็คงม่ใช่เรื่องถูกต้องประการใด ....
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #452 เมื่อ: 20 กรกฎาคม 2552, 16:38:12 » |
|
เห็นด้วยกับพี่หมวยทุกเรื่องคร้าบบบบบ..ไอ้แครมมบ่นอะไรมรึง..
ชมรมคนรักเจ๊หมวย..
|
|
|
|
Mouy (Again)
มือใหม่หัดเมาท์
ออฟไลน์
กระทู้: 150
|
|
« ตอบ #453 เมื่อ: 21 กรกฎาคม 2552, 17:05:30 » |
|
......... ....... .... เด็กหานาฬิกา ชาวนาคนหนึ่ง หลังจากไปทำความสะอาดคอกม้า ออกมาก้อพบว่านาฬิกาพกของตนได้หล่นหายไปเสียแล้ว นาฬิกาพกเรือนนี้มีความหมายต่อเขาอย่างมาก ด้วยเป็นของขวัญที่แม่ของเขาทิ้งไว้ให้ เขารีบวิ่งกลับไปที่คอกม้า รื้อหาจนทั่วบริเวณแทบพลิกแผ่นดินหา แต่ก้อหาไม่พบ... เขาเดินออกมาจากคอกม้าด้วยเหงื่อที่ท่วมตัว มองไปเห็นมีเด็กกลุ่มหนึ่งกำลังเล่นกันอยู่แถวนั้น เขาจึงได้คิดว่าอาจเป็นเพราะตัวเองแก่แล้วหูตาฝ้าฟาง ทำให้หาไม่เจอ แต่เด็ก ๆ หูตายังแหลมคม น่าจาหาเจอก็เป็นได้ เขาจึงเรียกเด็ก ๆ มาแล้วบอกว่า "เด็กๆ ถ้าใครหานาฬิกาพกของลุงเจอ ลุงจะให้เงินคนนั้นหนึ่งเหรียญ" เด็ก ๆ พากันวิ่งกรูเข้าไปในคอกม้า จนเวลาผ่านไปนานโข ตอนที่เด็ก ๆ เดินกลับออกมาจากคอกม้าทีละคน ต่างมีสีหน้าผิดหวังที่หานาฬิกาพกไม่เจอ ขณะที่ชาวนากำลังถอดใจคิดจะเลิกหานั่นเอง ก็มีเด็กคนหนึ่งมากระซิบกระซาบบอกกับเขาว่า "ผมจะลองเข้าไปหาดู! อีกครั้งหนึ่ง แต่คราวนี้ขอให้ผมเข้าไปคนเดียวเท่านั้น" ชาวนามองตามหลังเด็กชายไปอย่างไม่มั่นใจ คิดในใจว่า..พวกเราแทบจะพลิกคอกม้าหายังไม่เจอ...แล้วลำพังเด็กคนเดียว จาหาเจอได้อย่างไร.... เด็กคนนั้นเข้าไปตั้งนาน ก็ยังไม่กลับออกมา ชาวนาเริ่มสิ้นหวัง ในขณะชาวนาคิดจะเลิกรอและจากไปนั่นเอง เด็กชายคนนั้นก็เดินออกมาจากคอกม้า ในมือของเขาถือนาฬิกาพกเรือนหนึ่ง ชาวนาถามด้วยความแปลกใจว่า "เจ้าหาเจอได้อย่างไร" เด็กชายบอกว่า "พอเข้าไปข้างใน ผมก็ไม่ได้ทำอะไรเลย เพียงแต่นั่งเงียบๆ อยู่ที่พื้นไม่นานผมก็ได้ยินเสียง ติ๊กตอก ติ๊กตอก จากนั้นผมก็เดินตามเสียงไป แล้วผมก็เจอนาฬิกาเรือนนี้" ข้อคิดจากเรื่องจ้า....."ขณะที่เรากำลังยุ่งวุ่นวายอยู่กับชีวิตหรือหน้าที่การงาน บางครั้งก็จำเป็นอย่างมาก ที่จะต้องสงบจิตใจมาคิดตรึกตรองดูว่า สิ่งที่เรากำลังทำอยู่นั้น ถูกต้องและเหมาะสมดีแล้วหรือเปล่า และนี่ก็อาจเป็นความหมายที่แท้จริงของคำโบราณที่ว่า "บนเส้นทางของชีวิต บางครั้งก็ควรตึงเครียด บางครั้งก็ควรผ่อนคลาย" (และการนอนนั้น คงเป็นสิ่งที่ดีที่สุด...แหะๆๆ เกี่ยวได้งัยเนี๊ยะ...คร๊อกกก...)
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #454 เมื่อ: 22 กรกฎาคม 2552, 09:45:57 » |
|
เห็นด้วยกับพี่หมวยเป็นที่สุด..
จุ๊บุ จุ๊บุ
|
|
|
|
iamfrommoon
|
|
« ตอบ #455 เมื่อ: 22 กรกฎาคม 2552, 12:52:09 » |
|
น้องหมวย.. สบายดีมั้ย คิดถึงๆ...สรุปว่า ของที่ระลึกงานคืนสู่เหย้าเป็น "ถุงผ้า" ลดโลกร้อน แต่ดีไซน์เริ่ดนะคะ เพราะพี่นำเสนอแบบที่ได้มาจากงานครบรอบ 25 ปี บ. A49 น่ะค่ะ ตอนนี้เอาไปแกะแบบ และให้เอสกับเซฟช่วยออกแบบโลโก้...ตามธีม "ลูกทุ่ง" ในปีนี้ให้ค่า...
|
@@ธรรมชาติสร้างความขัดแย้ง เพื่อให้คนเรียนรู้ซึ่งกันและกันได้ดียิ่งขึ้น@@@
|
|
|
Mouy (Again)
มือใหม่หัดเมาท์
ออฟไลน์
กระทู้: 150
|
|
« ตอบ #456 เมื่อ: 26 กรกฎาคม 2552, 12:15:01 » |
|
หวัดดีค่ะ พี่ปุ๊ก...ช่วงนี้ ก็ไปเรื่อยๆ ค่ะพี่ มียุ่งว่าง แว๊ปบ้างเป็นพักๆ เดี๋ยวต้นเดือนหน้านี้ ก็มีรับงานใหม่ รอบนี้อยู่แถวบางนาค่ะ.... ว่าแต่พี่ปุ๊กเป็นอย่างไรบ้างคะ เห็นบอดร์ดงานคืนสู่เหย้า ก็เดาว่าพี่คงยุ่ง และเหนื่อยทีเดียว...( ...พี่สู้ๆ นะ) ส่วนถุงผ้านั้น..หมวยเชื่อพี่...สวยแน่เลย...รอชมผลงานค่ะ... พอดีได้ forward mail มา..เอ้อ อ่านแล้วก็จริงแฮะ...เลยเอามาฝากในบอร์ดไว้ค่ะ... "จะเลือกเงินหรือชีวิต" เงินเป็นสื่อกลางสำหรับการแลกเปลี่ยน ตำราทุกเล่มบอกเราเช่นนั้น แต่ในปัจจุบัน เงินเป็นมากกว่านั้น ............................................. เงินเป็นสื่อกลางสำหรับการแลกเปลี่ยน ตำราทุกเล่มบอกเราเช่นนั้น แต่ในปัจจุบัน เงินเป็นมากกว่านั้น มันได้ยกระดับจน กลายเป็นสินค้าที่คนทั้งโลกพากันซื้อขายเพื่อหากำไรจากส่วนต่าง ทุกวันนี้ตลาดเงินตราระหว่างประเทศมีอิทธิพลอย่างมาก ต่อเศรษฐกิจโลกและสามารถสร้างความวิบัติให้แก่ประเทศใดประเทศหนึ่งก็ได้ ดังประเทศไทยได้ประสบมาแล้ว เงินถูกสถาปนาให้เป็นตัวชี้วัดความสำเร็จของสรรพสิ่ง ตั้งแต่บุคคล ครอบครัว ซุมชน องค์กร ไปจนถึงประเทศ แม้แต่ความสำเร็จของรัฐบาลก็ดูกันที่อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ของประเทศยิ่งกว่าอัตราการเกิดอาชญากรรมหรือ ดัชนีวัดคุณภาพชีวิตของประชากร ในระดับบุคคล เงินได้กลายเป็นเครื่องวัดคุณค่าชีวิตไปแล้ว คนรวยจึงถือว่ามีคุณค่ามากกว่าคนจน ใครที่มีเงินเดือนน้อยก็รู้สึกว่า ตัวเองมีคุณค่าด้อยกว่าเศรษฐี เมื่อเป็นเช่นนี้ เงินจึงกลายมาเป็นจุดหมายของชีวิตไปในที่สุด ผลก็คือ ชีวิตของเราถูกเงินครอบงำและผลักดันในแทบทุกด้าน ไม่เว้นแม้กระทั่งความสัมพันธ์ในครอบครัวหรือทัศนะต่อตนเอง ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในนามความเจริญก้าวหน้าของชีวิตและการพัฒนาประเทศ ............................................. เมื่อเราตั้งคำถามกับอิทธิพลของเงินในชีวิตของเรา... คำถามพื้นฐานก็คือ... เงินทำให้เรามีความสุขจริงหรือ... การตั้งหน้าตั้งตาหาเงิน ช่วยให้เราสมหวังกับชีวิตเพียงใด และสิ่งที่เราสูญเสียไปกับการทำมาหาเงินนั้น คุ้มค่ากับสิ่งที่เราได้มาหรือไม่ เมื่อเราบวกลบคูณหารด้วยตัวเองแล้ว เมื่อเราพบว่า สิ่งที่เราได้มานั้นน้อยกว่าที่คิด และสิ่งที่เราเสียไปนั้นมากเกินกว่าที่นึกเสียอีก ที่สำคัญก็คือ สิ่งที่เราเสียไปนั้น เราเอาคืนมาไม่ได้ แม้จะมีเงินมากมายเพียงใด เพราะสิ่งที่เสียไปนั้น คือเวลาที่เรามีอยู่อย่างจำกัดในโลกนี้ หากเงินทำให้เรามีความสุข ผู้คนทุกวันนี้ย่อมมีความสุขกันถ้วนหน้า เพราะมีเงินมากกว่าแต่ก่อน แต่ก็หาเป็นเช่นนั้นไม่ ............................................. การสำรวจของศูนย์วิจัยทัศนคติแห่งชาติของมหาวิทยาลัยชิคาโกระบุว่า นับแต่ พ.ศ. 2500 จนถึง พ.ศ.2541 ชาวอเมริกันที่ยอมรับว่าตนมี "ความสุขมาก" ได้ลดลงจากร้อยละ 35 เหลือร้อยละ 30 ทั้งๆที่รายได้เฉลี่ยของประชาชนได้เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว รายงานดังกล่าวบอกเราว่า แม้ผู้คนรวยขึ้นเป็น 2 เท่า แต่กลับเป็นสุขน้อยลง ................................................... ผู้คนมีความสุขน้อยลง ส่วนหนึ่งก็เพราะมีเวลาว่างน้อยลงที่จะแสวงหาความสุข นับวันเราจะหมดเวลาไปกับการหาเงินมากขึ้นเรือยๆ จนไม่มีเวลา แม้แต่จะใช้เงินที่ได้มาด้วยซ้ำ มิพักต้องพูดถึงการมีความสุขโดยไม่ต้องใช้เงิน เช่น การนอน หรือ การสังสรรค์กับคนในครอบครัว ซึ่งผู้คนสมัยนี้ให้เวลาน้อยลง ... เพราะยิ่งมีเงินมากเท่าไร ก็ยิ่งรู้สึกว่า เวลามีค่ามากเท่านั้น ดั้งนั้นจึงต้องใช้เวลาให้ "คุ้มค่า" มากที่สุด ซึ่งก็มักจะหมายถึงการมีผลตอบแทนเป็นตัวเงินเยอะๆ ในขณะที่การพักผ่อนอยู่กับบ้าน หรือกับคนในครอบครัว ถือเป็นการใช้เวลาที่ไม่คุ้มค่า หรือ "ไม่สมเหตุสมผล" ด้วยเหตุนี้ เราจึงตั้งหน้าตั้งตา "หาเงิน" กันไม่เลิกราเสียที... ------------------------------------------------------ โดย พระไพศาล วิสาโล. บทนำจากหนังสือ "เงินหรือชีวิต". โดมิงเกซ, โจ. "จะเลือกเงินหรือชีวิต : เปลี่ยนทัศนคติต่อเงินสู่อิสรภาพของชีวิต".กรุงเทพฯ : มูลนิธิโกมลคีมทอง, 2546.
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #457 เมื่อ: 27 กรกฎาคม 2552, 09:13:00 » |
|
เห็นด้วยกับพี่หมวยเป็นอย่างยิ่งที่สุดครับ
|
|
|
|
ชาร์ป
|
|
« ตอบ #458 เมื่อ: 27 กรกฎาคม 2552, 09:39:05 » |
|
ป่ะเราไปหาความสุขกันเถอะ ... อิ อิ . . . ไปเที่ยวกัน ...
|
|
|
|
ชาร์ป
|
|
« ตอบ #459 เมื่อ: 27 กรกฎาคม 2552, 11:05:05 » |
|
http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9520000084060ฟังประสบการณ์เกาหลี สร้างชาติด้วยวิศวกร 20 คนนักวิจัยเกาหลี ผู้ร่วมบุกเบิกพัฒนาเกาหลีด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในช่วง 40 ปีก่อน เผยแดนกิมจิก้าวหน้าได้ด้วยกลุ่มวิศวกร 20 คน ชี้กระบวนการพัฒนาไม่ได้ใช้คนนับพัน แต่ใช้แค่ไม่กี่คนที่มีความมุ่งมั่น และผู้นำต้องมีวิสัยทัศน์ ต้องมีนักวิทยาศาสตร์และวิศวกรที่ทำงานอย่างตั้งใจ ดร.ยง-อ๊ก อัน (Dr.Young-Ok Ahn) ที่ปรึกษาและนักวิจัยสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีนาโน (Institute of Nano Science and Technology) มหาวิทยาลัยฮันยาง (Hanyang University) กรุงโซล เกาหลีใต้ หนึ่งใน 20 วิศวกรเกาหลีที่ร่วมพัฒนาภาคอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีของเกาหลี ได้เดินทางมาปาฐกถาพิเศษเรื่อง "สร้างประเทศเกาหลีด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม" ภายในการประชุมสมัชชาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อการพัฒนา ครั้งที่ 8 ซึ่งจัดขึ้นโดยกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เมื่อวันที่ 24 ก.ค.52 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค นักวิจัยอาวุโสจากเกาหลีกล่าวปาฐกถา ซึ่งทีมข่าววิทยาศาสตร์ ASTV-ผู้จัดการออนไลน์ได้เข้าฟังด้วยว่า เกาหลีมีแผนพัฒนาประเทศเป็นแผน 5 ปี ซึ่งได้ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2505 ด้วยความพยายามอย่างยิ่งในการริเริ่มของ ปาร์ก ชุงฮี (Park Chunghee) อดีตประธานาธิบดีเกาหลี ซึ่งแผนพัฒนาฯ หลายฉบับร่างขึ้นโดย มร.โอ วอนชุล (O Wonchul) ผู้ช่วยพิเศษของประธานาธิบดี และมี มร.คิม กวางโม (Kim Kwangmo) ซึ่งเป็นวิศวกรเคมีและเพื่อนร่วมชั้นกับ ดร.อันด้วยนั้น เป็นทีมงานสำคัญของอดีตประธานาธิบดี ในช่วงของแผนพัฒนาฉบับที่ 1 นั้น ขนาดเศรษฐกิจของเกาหลียังไม่สำคัญระดับโลก และการวางแผนเน้นไปที่การทดแทนนำเข้า และส่งเสริมการส่งออกโดยอาศัยนโยบายสนับสนุนของรัฐบาล ช่วงนั้นเกาหลีเริ่มผลิตยางยนต์และส่งออกไม้อัด พร้อมตั้งโรงงานปุ๋ยยูเรีย โรงกลั่นน้ำมัน โรงงานซีเมนส์และโรงงานแก้ว มาถึงแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 2 ระหว่างปี 2510-2514 ซึ่งเป็นช่วงที่เริ่มมีการก่อตั้งสถาบันวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งเกาหลี (Korea Institute of Science and Technology: KIST) ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาเกาหลี การก่อตั้งสถาบัน KIST นี้ได้ ดร.ชอย ฮยุนซุป (Dr.Choi Hyunsup) มารับตำแหน่งประธานคนแรก ซึ่ง ดร.ฮยุนซุปได้เชิญผู้เชี่ยวชาญชาวเกาหลีที่จบการศึกษาสูงและมีประสบการณ์ทำ งานอย่างน้อย 5 ปี อยู่ต่างประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นวิศวกรและนักเคมีประยุกต์ ให้กลับไปทำงานที่เกาหลี โดยหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญจำนวนนั้นมี ดร.ชุง วอน (Dr.Chung Won) ที่จบปริญญาเอกทางด้านฟิสิกส์ ได้กลับไปบุกเบิกการสร้างผลึกซิลิกอนเดี่ยวในเกาหลี ส่วน ดร.ฮยุนซุปต่อมาได้กลายเป็นรัฐมนตรีกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของ เกาหลีคนที่ 2 อีกทั้งยังเคยมาช่วยปฏิบัติงานที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของไทย เป็นเวลา 6 เดือนด้วย ทั้งนี้ บุคคลและวิศวกรของสถาบัน KIST ได้มีส่วนสำคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรมต่างๆ ในเกาหลี อาทิ อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมเครื่องจักรกลหนัก ซึ่งรวมถึงอุตสาหกรรมการต่อเรือ การพัฒนาโลหะพิเศษ การผลิตรถยนต์และโรงงานผลิตไฟฟ้า อีกทั้งวิศวกรเคมีของสถาบันยังมีส่วนในการวางแผนสร้างศูนย์อุตสาหกรรมปิโต รเคมีและการจัดตั้งเมืองวิทยาศาสตร์แดดุค (Daeduk) รวมทั้งพัฒนาเทคโนโลยีที่ใช้ในการสังเคระาห์เส้นใยเพื่อผลิตเส้นผมเทียม สำหรับส่งออก และโรงงานผลิตสารเคมีสำหรับการเกษตรและอุตสาหกรรมยา นอกจากนี้ บริษัท ฮันเด มอเตอร์ หรือที่คนไทยรู้จักว่า "ฮุนได" ได้ถูกจัดตั้งขึ้นแผนพัฒนาฉบับที่ 3 ระหว่างปี 2515-2519 ขณะเดียวกันโรงงานเหล็กที่ก่อตั้งในแผนพัฒนาก่อนหน้านั้นสามารถทำการผลิตได้ ถึงปีละ 10.3 ล้านตัน และฮุนได พร้อมด้วย แดวูและซัมซุง ได้เริ่มอุตสาหกรรมต่อเรือในช่วงแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 4 ระหว่างปี 2525-2529 เป็นผลให้เกิดการสนับสนุนให้เกิดบริษัทด้านวิศวกรรม และบริษัทเอกชนเริ่มเห็นความสำคัญของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และเริ่มจัดตั้งหน่วยงานวิจัยและพัฒนาขึ้นภายในหน่วยงาน ขณะเดียวกันเริ่มมีการผลิตคอมพิวเตอร์ เครื่องเล่นวิดีโอและเซมิคอนดัคเตอร์ในช่วงเวลาดังกล่าว ตลอด 40 ปีของการพัฒนาเกาหลีด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนัวตกรรมนั้น เงินลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาของเกาหบีได้เพิ่มขึ้นจาก 0.2% ของจีดีพีในปี 2507 มาเป็น 2.99% ของจีดีพีในปี 2548 โดยสัดส่วนการลงทุนระหว่างภาครัฐต่อภาคเอกชนได้เปลี่ยนแปลงช่วง 97:3 มาเป็น 24:76 ในปัจจุบัน ซึ่ง ดร.อัน ได้ย้ำว่ากระบวนการพัฒนาของเกาหลีนั้นไม่ได้เกิดขึ้นจากกลุ่มคนนับพัน หากแต่เกิดขึ้นจากกลุ่มคนเพียง 20-30 คนในภาครัฐ ภาคอุตสาหกรรม และวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และผู้นำประเทศจำเป็นต้องมีวิสัยทัศน์ พร้อมด้วยทีมงานอุทิศตัวที่คิดนอกกรอบและเชื่อว่าไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้ ทั้งนี้ บางคนยกความสำเร็จให้กับคณะผู้วางแผนภาครัฐซึ่งรวมถึงบุคคลในคณะกรรมการ พัฒนาเศรษฐกิจ กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงอุตสาหกรรม แต่บางคนอาจจะยกความสำเร็จของเกาหลีให้แก่กลุ่มแชร์โบล์ (Chaebol) ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทอุตสาหกรรมใหญ่ ได้แก่ แอลจี ซังซุงและฮุนได และผู้ก่อตั้งบริษัทเหล่านี้ แต่สำหรับ ดร.อันแล้ว ควรยกความสำเร็จให้กับบุคคลด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ที่เข้าไปมีส่วนร่วมอย่างถูกที่ถูกเวลาด้วย แต่องค์ประกอบทั้งสามต้องมาพบกันในแนวทางปฏิบัติที่ถูกต้องและถูกช่วงเวลา "ความ สำเร็จในวันนี้จะไม่มีเลย หากไม่มีกลุ่มวิศวกรที่ทำงานด้วยความทุ่มเทอย่างหนัก ซึ่งผมกล่าวเช่นนี้เพราะความสำเร็จที่เกิดขึ้นจากมาจากวิศวกรในหลายๆ สาขา ทั้งกลุ่มวิศวกรผู้ดูแลโรงงาน กลุ่มวิศวกรผู้ผู้ทำหน้าที่ออกแบบและพัฒนา ซึ่งควรได้รับการยกย่องที่พวกเขาได้ทำหน้าที่ในการแยกรายละเอียดของ เทคโนโลยีนำเข้าจากประเทศ" ดร.อันกล่าว และบอกว่าการลอกเลียนเทคโนโลยีในช่วงเริ่มต้นนั้นเป็นส่วนหนึ่งของการส่ง เสริมการส่งออกของเกาหลี "เมื่อหันกลับไปมองสิ่งที่ผมได้เน้นย้ำ โปรดระลึกว่าการที่จะประสบความสำเร็จได้นั้น ต้องประกอบด้วยหลายๆ ปัจจัย อย่างหนึ่งคือความมุ่งมั่นตั้งใจของรัฐบาล ซึ่งผมของแสดงความยินดีที่นายกรัฐมนตรีของท่านทั้งหลายได้ให้สัญญาว่าจะ พยายามผลักดันงบประมาณได้วิทยาศาสตร์ให้ได้ 1% ของจีดีพี อีกปัจจัยคือความทุ่มเทของบุคลากรในภาคธุรกิจซึ่งมีความมุ่งมั่นภายใต้คำว่า "ทำได้" รวมทั้งกลุ่มนักวิทยาศาสตร์และวิศวกรที่ตั้งใจทำงานอย่างเต็มที่" ดร.อันกล่าวในช่วงท้ายของการปาฐกถา.
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #460 เมื่อ: 27 กรกฎาคม 2552, 11:24:51 » |
|
เห็นด้วยกับพี่หมวยครับ..
|
|
|
|
Mouy (Again)
มือใหม่หัดเมาท์
ออฟไลน์
กระทู้: 150
|
|
« ตอบ #461 เมื่อ: 27 กรกฎาคม 2552, 19:39:08 » |
|
นี่มัน spam บนบอร์ด...หรือ เจ้าโต้งตัวจริงหว่า... ดูออกจะเพี้ยนๆ ผิดกะตัวจริงไปนะ... ++"
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #462 เมื่อ: 28 กรกฎาคม 2552, 10:49:38 » |
|
เห็นด้วยกับพี่หมวยอย่างยิ่งครับ..
|
|
|
|
mmwindoo_79
Full Member
ออฟไลน์
กระทู้: 254
|
|
« ตอบ #463 เมื่อ: 28 กรกฎาคม 2552, 13:00:40 » |
|
งั้น... เข้ามาช่วยเห็นด้วยกับพี่หมวยอีกคน
|
|
|
|
Mr.EggMan
|
|
« ตอบ #464 เมื่อ: 29 กรกฎาคม 2552, 17:39:28 » |
|
หมั่นไส้ว่ะ เห็น ควรด้วย ของโต้งเจงเจง ขอแสดงความคิดเห็น เรื่อง เกาหลีสร้างชาติด้วยวิศวกร 20คน ครับ -ผมว่าสิ่งสำคัญที่สุด อยู่ในย่อหน้าสุดท้าย คือ ความมุ่งมั่นและตั้งใจจากรัฐบาล ผมเชื่อว่าประเทศชาติเราก็มีคนเก่งๆ มีศักยภาพไม่ด้อยไปกว่าที่อื่นๆหรอก แต่ถามว่าคนเหล่าๆนี้หายไปไหน ทำไมไม่มามีส่วนร่วมในการสร้างชาติ พัฒนาชาติ ไม่ต้องไปหาคำตอบที่ไหนหรอก พวกเราทุกคนรู้คำตอบนี้ดีว่า ทำไม?
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #465 เมื่อ: 30 กรกฎาคม 2552, 08:02:46 » |
|
คนดีแพ้สังคมครับ..พวกหน้าด้านเค้าไม่อายครับ มันเลยกล้า บ้านเราเลยถูกปกครอง ถูกนำโดยคนหน้าด้านครับ
|
|
|
|
Mouy (Again)
มือใหม่หัดเมาท์
ออฟไลน์
กระทู้: 150
|
|
« ตอบ #466 เมื่อ: 31 กรกฎาคม 2552, 01:50:41 » |
|
เป็นไปได้ไหมว่าทั้งเกาหลี และญี่ปุ่น เค้าปูพื้นฐานของคนในประเทศของเค้าให้เห็นประโยชน์ส่วนรวมก่อน ...จึงทำให้บ้านเมืองเค้าเจริญก้าวหน้า... ในขณะที่ประเทศเรา ทั้งคุณครู และผู้ปกครองจะใช้วิธีการเปรียบเทียบในการสอน ทำให้เด็กเติบโตในความรู้สึกว่าต้องเอาตัวให้รอด...และต้องแข่งขัน ไม่ได้นึกถึงส่วนรวมเท่าที่ควรหรือเปล่า.....จำได้ว่าตอนเด็กๆ คุณครูสอนวิชา สปช.(สร้างเสริมประสบการณ์ชีวิต...หวังว่ามีคนรู้จักวิชานี้และทันเรียนอยู่บ้างนะ..QQ").. ได้ให้คติว่า..."ทำดี แต่อย่าเด่น จะเป็นภัยแก่ตัว"..ประโยคนี้ ยังควรมีหรือเปล่าหนอ.. หากเราต้องการพัฒนาประเทศของเรา??
|
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #467 เมื่อ: 31 กรกฎาคม 2552, 11:18:28 » |
|
ทำไมล่ะ ตอนตัดให้เป็ดกินไปแล้วเหรอ
|
|
|
|
telek78
|
|
« ตอบ #468 เมื่อ: 02 สิงหาคม 2552, 00:10:00 » |
|
หน้าด้านจริงๆ ยอมรับ น่าเอามาขึงทำหนังกลองสันทนาการ
|
|
|
|
หลิม 81
|
|
« ตอบ #469 เมื่อ: 03 สิงหาคม 2552, 11:09:27 » |
|
จะตี (หน้าด้าน) ท่าเดียว..พี่
|
@ ปีนี้ปีของผม @
|
|
|
Mouy (Again)
มือใหม่หัดเมาท์
ออฟไลน์
กระทู้: 150
|
|
« ตอบ #470 เมื่อ: 04 สิงหาคม 2552, 17:18:01 » |
|
เคยอ่านกันยัง - ความรัก กะ รองเท้าที่ไม่พอดี (รับ forward mail มา ว่า เอ้อ นะ เลยเอามาแปะบอร์ด)
วันหนึ่ง .........ฉันอยากได้รองเท้า ฉันเดินเข้าไปในร้านที่มีรองเท้าหลากสี-หลายแบบวางเรียงราย
ร้ า น แ ล้ ว ร้ า น เ ล่ า
แต่ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะได้รองเท้าถูกใจกลับไปด้วยแม้แต่คู่เดียว
เลือกแล้ว__________ เลือกอีกจนในที่สุดก็มาหยุดอยู่หน้ากระจกร้านหรูแห่งหนึ่ง
รองเท้าส้นสูงสีส้มคู่นั้นสะท้อนเงาเฉิดฉายผ่านกระจกออกมาแตะตาฉันตั้งแต่แรกเห็น
มันช่างเป็นรองเท้าที่สวยจนอยากมีไว้ประดับคู่เท้าในทุกย่างก้าว
โดยไม่รอรี......ฉันเดินตรงลิ่วเข้าไปหามัน
แม้ป้ายราคาเล็ก-เล็กที่ติดเอาไว้จะบอกราคาที่ไม่เล็กนัก
แต่ฉันไม่ลังเลสักนิดเดียวที่จะจ่ายเงินจำนวนนั้นออก ไปเพื่อให้ได้รองเท้าที่ถูกใจที่สุดในวันนี้
'แน่นนิดนึงนะคะ...มีคู่ใหม่ที่ใหญ่กว่านี้มั้ย'
ฉันถามพนักงานขายขณะที่กำลังพยายามสอดเท้าลงไป ในรองเท้าคู่สวยให้พอดี แล้วพบว่ามันพอดิบ-พอดี
จนขยับเท้าไม่ได้
'ไม่มีหรอกค่ะ....เรามีแบบละคู่เท่านั้น รับรองว่า ใส่แล้วไม่ซ้ำแบบใคร'
พนักงานขายเสนอข้อได้เปรียบในการซื้อสินค้า
'แต่ดิฉันว่าใส่แล้วก็พอดีนะคะ เผื่อมันยืดออกอีกนิดหน่อย'
เธอยังคงเสนอต่อเมื่อเห็นแววตาที่ฉันชื่นชมสินค้าของเธอ
- - เย็นวันนั้นฉันกลับบ้านด้วยรอยยิ้มกรุ่นพร้อมกับ รองเท้าคู่สวยที่อยู่ในมือ - -
ฉันจัดแจงโยนรองเท้าผ้าใบคู่เก่าที่ใส่มาแรมปีทิ้งไป อย่างไม่แยแส
วันรุ่งขึ้น ............ ..ฉันออกเดินด้วยรองเท้า คู่ใหม่อย่างเฉิดฉาย
ยิ่งมีใครต่อใครชมว่ามันสวยนักหนาฉันก็ยิ่งปลื้มใจ
ทว่าไม่ทันข้ามวันรองเท้าเจ้ากรรมก็แผลงฤทธิ์จนฉัน เดินโขยกเขยก
และเย็นวันนั้นฉันก็ต้องกลับมาบ้านพร้อมกับเท้าที่ระบม
ห า ก ชี วิ ต ค น เ ร า เ ป็ น เ ห มื อ น ก า ร เดิ น ท า ง ไ ก ล
ความรัก ____________ _____ก็คงเป็นเหมือน รองเท้า
แ ท้ ที่ จ ริ ง แ ล้ ว น่ ะ น ะ
............ ..
ฉันว่าคนเราไม่ได้ต้องการ
'รองเท้าสวย'
มากไปกว่า
- - รองเท้าที่ใส่สบาย - -
แต่ก็นั่นแหละ
ใคร-ใครก็ย่อมชอบรองเท้าสวย-สวยด้วยกันทั้งนั้น
ถึงไม่น่าแปลกที่หลายคนมักตัดสินใจซื้อรองเท้าเพราะ ว่า 'มันสวย ' มากกว่า 'มันพอดีกับเท้า'
และแม้มันจะใส่แล้วคับไปนิด...อึดอัดไปหน่อยก็ยังไม่ วางมือ
เหตุเพราะว่า____________ ___มันสวยถูกใจ
หรือแม้มันจะราคาแพงลิบลิ่วก็ยังอยากเป็นเจ้าของให้ได้
- - - หากว่าเราต้องเดินทางอีกไกล - - -
แม้จะมีรองเท้าสวยหรู ราคาแพง ยี่ห้อแบรนด์เนม มันก็คงไม่มีประโยชน์
แม้จะสวยแค่ไหนแต่ถ้ามันทำเท้าเราเจ็บ...สุดท้ายก็ คงต้องถอดมันออก
เพราะถ้าขืนเราเดินทั้งเท้าเจ็บ-เจ็บเราคงไปไม่ถึง ปลายหนทาง
ค ว า ม รั ก ก็ เ ช่ น กั น
เราอาจใฝ่ฝันที่จะมีคนรักสวย รวย เก่ง ฉลาด เลิศ หรู
..... แต่ความจริงแล้ว ....
เราเพียงต้องการคน-คนนั้นเพื่อให้ตัวเราดูดีขึ้นมาเท่า นั้นเอง
ฉันว่านะ....รองเท้าที่ใส่แล้วสบายไม่จำเป็นต้อง สวยเด่นอะไร
เพราะฉะนั้น
คนที่จะมาจับจูงมือเราไปตลอดทางของชีวิตก็ไม่จำเป็น ต้องเป็นคนที่ดีเลิศที่สุดจนใครนึกอิจฉา แต่คงเป็น...คนที่เค้ารักเรา ดูแลเรา ดีต่อเราเข้าใจเราไม่ทำให้เราเจ็บ ไม่ทำให้เสียใจ ซะมากกว่า...
บางที...การใส่รองเท้าที่เดินแล้วสบายมันอาจทำให้ เรามีความสุขมากกว่า
เพราะฉันเชื่อว่ามันจะพาเราไปจนถึงจุดหมาย
โดยที่เราไม่ต้องเจ็บเท้าและนึกอยากจะโยนมันทิ้งไป เสียให้รู้แล้วรู้รอด
ตลอดการเดินทาง...
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #471 เมื่อ: 04 สิงหาคม 2552, 20:03:48 » |
|
เห็นด้วยกับพี่หมวยเป็นอย่างยิ่งครับ(นี่ไม่ได้อ่านข้อความที่ผมส่งให้เลยเหรอ ขอชื่อที่อยู่หน่อยจะส่งซีดีงานแต่งไปให้)
ไอ้แครมชอบอะไรๆที่ใส่เข้าไปแล้วสบายครับ..
|
|
|
|
Mouy (Again)
มือใหม่หัดเมาท์
ออฟไลน์
กระทู้: 150
|
|
« ตอบ #472 เมื่อ: 22 สิงหาคม 2552, 00:45:39 » |
|
แหะๆๆ ขออภัย...หายไปนาน เพิ่งจะเข้ามาขอรับ....(งานยุ่งพอสมควร...ถึงหนัก..)
น้องโต้งครับ ...พี่ได้รับ CD พร้อมการ์ดแล้ว...ดีใจจังและขอบคุณครับ ชอบๆ คุ้มกับการรอคอย (CD ที่ส่งมา) .....มานั่งดูแล้วนึกถึงสร้อยคอทองคำที่มันเส้นเล็กไปหน่อยอยู่เลย....อุ๊อุอุ....(เสียดายจัง...)
แต่ที่ชอบกว่า...เจ้าสาวสวยครับ.....!!!
|
|
|
|
หลิม 81
|
|
« ตอบ #473 เมื่อ: 25 สิงหาคม 2552, 13:58:08 » |
|
ทำไมผมยังไม่ได้ ซีดี
|
@ ปีนี้ปีของผม @
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #474 เมื่อ: 26 สิงหาคม 2552, 12:09:09 » |
|
เฮ้ย..ส่งไปให้ตามที่อยู่ที่ให้มาน่ะ..ลองดูซิส่งไปหลายวันแล้วนะ
|
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #475 เมื่อ: 26 สิงหาคม 2552, 17:41:02 » |
|
แล้วของผมล่ะ ไม่เห็นขอที่อยู่ไว้เลย
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #476 เมื่อ: 27 สิงหาคม 2552, 14:51:32 » |
|
อยากได้จริงๆรึเปล่า แบบว่ามันต้องไปทำที่ร้านน่ะ เลยอยากให้คนที่เค้าอยากเก็บจริงๆ(แบบว่าทำดีน่ะ มีสกรีนแผ่นทำกล่องใส่ด้วย)
|
|
|
|
ชาร์ป
|
|
« ตอบ #477 เมื่อ: 27 สิงหาคม 2552, 15:25:32 » |
|
มีให้โหลดบิท หรือเปล่า ...
|
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #478 เมื่อ: 31 สิงหาคม 2552, 07:49:48 » |
|
อยากได้เฉพาะที่มีรูปตรูอ่ะ ไม่อยากได้ทั้งหมด คัดมาให้หน่อยจิ หุหุ...
|
|
|
|
telek78
|
|
« ตอบ #479 เมื่อ: 31 สิงหาคม 2552, 14:38:49 » |
|
ซีดี ดีมากเลย มีเสียงตาวิรัชตลอดเลย
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #480 เมื่อ: 01 กันยายน 2552, 16:00:13 » |
|
เดี๋ยวหาให้(ถ้าลืมให้ทวงอีกที)
|
|
|
|
หลิม 81
|
|
« ตอบ #481 เมื่อ: 03 กันยายน 2552, 14:48:24 » |
|
ยังไม่ได้จริง ๆ น้า....ส่งให้ที่บ้านใหม่หน่อยดิ หรือตอนขึ้นทางด่วน โยนลงมาก็ได้
|
@ ปีนี้ปีของผม @
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #482 เมื่อ: 04 กันยายน 2552, 16:34:31 » |
|
เฮ้ย กรูส่งลงทะเบียนด้วยนะ ต้องไปค้นใบเสร็จไปรษณีย์ดูก่อน
|
|
|
|
ชาร์ป
|
|
« ตอบ #483 เมื่อ: 04 กันยายน 2552, 16:55:25 » |
|
ผมว่าไอ้หลิมมันทำหายแล้วอ้างว่าไม่ได้แน่นอน ...
|
|
|
|
หลิม 81
|
|
« ตอบ #484 เมื่อ: 07 กันยายน 2552, 12:59:15 » |
|
ก็คนย้ายบ้าน...มันยุ่งอยู่
|
@ ปีนี้ปีของผม @
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #485 เมื่อ: 08 กันยายน 2552, 12:18:51 » |
|
ก็ไอ้หลิมมันใช้บริการ Big Move อ่ะ แปลตรงตัวอยู่แล้ว ว่าย้ายเฉพาะใหญ่ๆ ซีดีมันแผ่นเล็ก เค้าเลยไม่ได้ขนไปด้วย
|
|
|
|
หลิม 81
|
|
« ตอบ #486 เมื่อ: 08 กันยายน 2552, 15:48:51 » |
|
กะล่อน...นัก ผู้ชายคนนี้....ใครแอบอ่านอยู่มาดูเร็วววว.....ว่าไว้ใจไม่ได้
|
@ ปีนี้ปีของผม @
|
|
|
หลิม 81
|
|
« ตอบ #487 เมื่อ: 08 กันยายน 2552, 16:04:16 » |
|
|
@ ปีนี้ปีของผม @
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #488 เมื่อ: 09 กันยายน 2552, 17:59:49 » |
|
นานๆทีจะสาระ
|
|
|
|
jviruch-78
|
|
« ตอบ #489 เมื่อ: 10 กันยายน 2552, 17:15:03 » |
|
ต้องการสื่ออะไรซักอย่าง
|
|
|
|
khesorn mueller
|
|
« ตอบ #490 เมื่อ: 10 กันยายน 2552, 17:25:58 » |
|
เขา...ไม่เหมือนกันเลย
|
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #491 เมื่อ: 10 กันยายน 2552, 17:29:26 » |
|
คงอยากจะบอกคนใกล้ตัวอ่ะ แต่ไม่กล้า เลยมา post ทิ้งไว้ เผื่อแวะมาอ่าน
|
|
|
|
telek78
|
|
« ตอบ #492 เมื่อ: 11 กันยายน 2552, 00:22:37 » |
|
สงสัยใจมันฝักใฝ่เรื่องทะลึ่ง เพราะดูตอนแรก คิดว่าเป็น... เห็นหัวมันกลมๆ
|
|
|
|
หลิม 81
|
|
« ตอบ #493 เมื่อ: 12 กันยายน 2552, 19:18:06 » |
|
ก็ตามกระทู้ไง "เรื่องดี มาแบ่งปัน" ไม่ใช่เรื่องรถโดนขโมยล้อ หรือว่า เด็กฟันเหล็ก อะไรอย่างเนี้ยะ
|
@ ปีนี้ปีของผม @
|
|
|
ก้อง : )
Full Member
ออฟไลน์
กระทู้: 370
|
|
« ตอบ #494 เมื่อ: 12 กันยายน 2552, 20:12:09 » |
|
ดีๆ หลิม จะเอาไป FW ให้แฟนพี่ๆ ฮ่าๆๆ ดีจริงๆ
|
|
|
|
ชาร์ป
|
|
« ตอบ #495 เมื่อ: 14 กันยายน 2552, 09:31:20 » |
|
ได้รับ forward มา | | อ้างถึง | | | | | | | |
สั้นๆ 4 ข้อเท่านั้น ก็รู้นิสัยแล้ว - ตรงมาก ๆ http://horoscope.sanook.com/test/test_02479.php
1. บุคคลิกภาพของคุณเป็นอย่างไร ? (I) ชอบสันโดษ , คิดก่อนทำ , มีแรงบันดาลใจหรือความคิดจากตัวเองเป็นใหญ่ (E) ชอบเข้าสังคม , ชอบไปงานสังสรรค์ , ทำก่อนคิด , มีแรงบันดาลใจหรือความคิดจากคน-สิ่งของ , สิ่งแวดล้อมเป็นส่วนใหญ่
2. เมื่อคุณมีข้อมูลที่ต้องพิจารณา คุณจะพิจารณาข้อมูลเหล่านั้นอย่างไร ? (S) ดูถึงรายละเอียดของข้อมูล , ดูถึงปัญหาปัจจุบัน , ดูถึงหลักความเป็นจริง (N) ดูถึงภาพรวมหรือข้อสรุปของข้อมูล , คาดการณ์ล่วงหน้า , ดูถึงความน่าจะเป็นที่จะเกิดขึ้น
3. คุณใช้อะไรในการตัดสินใจกับปัญหา ? (โดยสัญชาตญาณของคุณ) (T) ใช้เหตุผลในการตัดสินใจ , ใช้หลักตรรกวิทยาความถูกต้อง , คิดถึงผลที่จะตามมาจากการตัดสินใจ (F) ใช้ความรู้สึกในการตัดสินใจ , ตัดสินใจจากความชอบ , ความต้องการ , คิดถึงความต้องการและการตอบสนองของตน
4. คุณมีวิธีการดำเนินชีวิตอย่างไร ? (J) ชอบวางแผนในการใช้ชีวิตประจำวัน , ชอบตั้งเป้าหมาย ระยะเวลา วันที่ในการทำ , ชอบตัดสินใจ เพื่อให้จบปัญหา (P) ยอมรับการเปลี่ยนแปลงกับสิ่งรอบตัว , ไม่ยึดติด , มีความยืดหยุ่นต่อสถานการณ์ , รับฟังความคิดผู้อื่น
วิธีการ : เลือกตัวอักษรภาษาอังกฤษหน้าข้อที่เลือก แ ล้วนำมาเรียงกัน V V V V V V V V V คำเฉลย :
ISTJ ?-> ?The Duty Fulfiller ? ' ผู้สำเร็จ ' - มีสมาธิสูง , เงียบ , เป็นคนรักครอบครัว - ละเอียด , จริงจัง และ ไว้ใจได้ - ทำงานหนัก , เจ้าระเบียบ และ มีความรับผิดชอบสูง - อาจจะทำให้ถูกเอาเปรียบได้ เพราะความที่เขาซื้อสัตย์และเป็นที่พึ่งได้ - ไม่เก่งเรื่องของความรู้สึก
ISTP ?-> ?The Mechanic ?' ช่างเครื่อง ' - เงียบ , ชอบผจญภัย และ กีฬา - ชอบเสี่ย ง , เป็นตัวของตัวเอง , แก้ปัญหาเก่ง - มองโลกในแง่ดี แต่อาจโกรธง่ายตอนเครียด - ปกติไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรให้คนอื่นอยู่ทั้งดีและไม่ดี
ISFJ ?-> ?The Nurturer ?' ผู้ดูแล ' - เงียบ , ใจดี , มีสติ - มีความรับผิดชอบ แก่ภาระและหน้าที่ - คิดถึงคนอื่นก่อนตัว , จำคนเก่ง - เสียกำลังใจเมื่อถูกวิจารณ์ - ชอบเก็บความรู้สึกไว้กับตัวเอง
ISFP ?-> ?The Artist ?' ศิลปิน ' - เงียบ , ใจดี , จริงจัง และ อ่อนไหว - ไม่ชอบการโต้แย้ง , ไม่ชอบระเบียบ - ความคิดสร้างสรรค์ และ ไม่เหมือนใคร - รักขอบสวยของงาม - เข้าใจยาก , เปิดเผยตัวเองกับคนใกล้ชิดเท่านั้น - ใช้ชีวิตอย่างจริงจัง
INFJ ?-> ?The Protector ?' ผ ู้ป้องกัน ' - ความคิดสร้างสรรค์ , อ่อนไหว , เป็นตัวของตัวเอง - เก่งเรื่องคน และ สถานการณ์ - เป็นคนลึกซึ้ง , ซับซ้อน , ชอบความเป็นส่วนตัว - เ ข้าใจยาก , มีความมั่นใจในตัวเองสูง , ดื้อรั้นต่อความคิดของผู้อื่น - ไม่ชอบการโต้แย้ง
INFP ?-> ?The Idealist ?' นักอุดมการณ์ ' - เงียบ , ซื่อสัตย์ , ชอบอุดมการณ์ - ชอบช่วยเหลือ และ เข้าใจคนอื่น - ไม่ชอบการโต้แย้ง - ซื่อสัตย์ต่อตนเอง - มีความคิดสร้างสรรค์
INTJ ?-> ?The Scientist ?' นักวิทยาศาสตร์ ' - ฉลาด . มุ่งมั่น , ไม่เหมือนใคร - เป็นผู้นำที่ดี , มีความมั่นใจสูง , มองการณ์ไกล - ชอบคิดคนเดียว และ ชอบอยู่คนเดียว , ชอบด่วนสรุป - ไม่ชอบรายละเอียด , คิดว่าตนเองถูกเสมอ - บอกความรู้สึกไม่เก่ง , จะมีปัญหากับความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิด
INTP ?-> ?The Thinker ?' นักคิด ' - ความคิดสร้างสรรค์ , เป็นตัวของตัวเอง , มีเหตุมีผลและมีความสามารถสูง - ไม่อยากถูกนำหรือนำคนอื่น , ไม่ชอบระเบียบ - ใช้เวลาในหัวตัวเองมาก , ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว - เงียบ , ไม่ค่อยรู้ว่าคนอื่นรู้สึกยังไง - ม ีอารมณ์ซับซ้อน , ไม่อยู่นิ่ง และ แปรปรวน
ESTP ?-> ?The Doer ?' ผู้กระทำ ' - เป็นมิตร , ยืดหยุ่นง่าย , เข้าใจความรู้สึกของผู้อื่นเก่ง - ไม่ชอบคำอธิบาย แต่ต้องการแค่ผลลัพธ์ - ใช้ชีวิตที่สนุกสนาน จึงทำให้ผ่านไปเร็ว - รักสนุก , สามารถทำร้ายจิตใจผู้อื่นโดยไม่รู้ตัว - ไม่ชอบเคารพกฎระเบียบ - เบื่อง่าย
ESTJ ?-> ?The Guardian ?' ผู้พิทักษ์ ' - มีระเบียบ , ซื่อตรง , ตรงไปตรงมา - มีความมั่นใจในตัวเอง , มีความสามารถ . ทำงานหนัก , เป็นผู้นำ - ชอบความปลอดภัย และ ควา มสงบสุข - บอกความรู้สึก และ ความห่วงใยไม่เก่ง
ESFP ?-> ?The Performer ?' ผู้แสดง ' - อยู่คนเดียวในโลกไม่ได้ , มีมนุษยสัมพันธ์ดี , รักสนุก และทำงานเป็นทีมได้ดี - มองโลกในแง่ดี , ต้อนรับทุกคน แต่ก็เกลียดทุกคนได้เหมือนกัน - ไม่ชอบงานประจำ , คิดมากเวลาเครียด - รักสวยรักงาม
ESFJ ?-> ?The Caregiver ?' นั กใส่ใจ ' - มีน้ำใจ , คนชอบ , มีสติ , มีความรับผิดชอบ - เก่งเรื่องคน , เข้าใจ , สนใจ และ ปรับตามคนได้ - ชอบให้คนชอบ , ชอบบริการผู้อื่นก่อนตนเอง - รักสงบ และ ความปลอดภัย , ไว้ใจได้ , กระตือรือร้น - อ่อนไหว , ต้องการการเห็นด้วยจากผู้อื่น
ENFP ?-> ?The Inspirer ?' ผู้มีแรงบันดาลใจ ' - มีความคิดสร้างสรรค์ , กระตือรือร้น , ยืดหยุ่น - ต้อนรับไอเดียใหม่ ๆ เสมอ แต่จะเบื่อกับรายละเอียด - มีมนุษยสัมพันธ์ดี , ชอบให้คนชอบ แต่ก็สามารถหลอกใช้ผู้อื่นได้ด้วย - เป็นคนร่าเริง และชอบเป็นอิสระ
ENFJ ?-> ?The Giver ?' ผู้ให้ ' - มีมนุษยสัมพันธ์ดีมาก , ห่วงใยความรู้สึกของผู้อื่นเสมอ - ไม่ชอบอยู่คนเดียว , ต้องการอยู่กับผู้อื่นตลอดเวลา - มีความสามารถที่จะทำในสิ่งที่เขาชอบหลาย ๆ อย่าง - มีความมั่นใจในตัวเอง , เจ้าระเบียบ
ENTP ?-> ?The Visionary ?' ผู้มีวิสัยทัศน์ ' - มีความคิดสร้างสรรค์ , ฉลาด , แ ก้ปัญหาเก่ง - ชอบไอเดียใหม่ , ไม่ชอบทำอะไรซ้ำ ๆ - ชอบคุย , คุยเก่ง , หัวไว - ไม่สนใจเรื่องความรู้สึก แต่เพียงจะให้งานสำเร็จ - บางครั้งอาจจะเคร่งครัดกับคนรอบข้าง
ENTJ ? -> ?The Executive ?' ผู้บริหาร ' - เป็นผู้นำตั้งแต่เกิด , พูดต่อหน้าคนเก่ง , ฉลาด , มีความรู้ - เห็นความสำคัญในความรู้ และ ความสามารถ , ไม่มีความอดทนกับคนทำงานไม่เก่ง - แก้ปัญหาเก่ง , สามารถเข้าใจปัญหาซับซ้อน - เจ้ากี้เจ้าการ , ไม่มีความอดทน , เด็ดขาด , น่าเกรงขาม
| | | | |
|
|
|
|
telek78
|
|
« ตอบ #496 เมื่อ: 14 กันยายน 2552, 20:14:01 » |
|
ชอบรูปนี้
|
|
|
|
นายป้อ
|
|
« ตอบ #497 เมื่อ: 15 กันยายน 2552, 08:20:05 » |
|
...............เก็บกดเหรอ....หลิม.................หึๆๆ.........มีลูกซะจะหาย.....คริๆๆ
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #498 เมื่อ: 15 กันยายน 2552, 11:01:45 » |
|
อะไรดึงดูดใจครับพี่ตี๋เล็ก
|
|
|
|
telek78
|
|
« ตอบ #499 เมื่อ: 15 กันยายน 2552, 12:11:58 » |
|
ก็เข้าไปเล่นเกมทายใจของชาร์ป แล้วเหลือบไปเห็นรูปนี้ เหมือน ดไวท์ ยอร์ค ใส่วิคเลย
|
|
|
|
EdDy_Smart81
Full Member
ออฟไลน์
กระทู้: 654
|
|
« ตอบ #500 เมื่อ: 15 กันยายน 2552, 14:16:39 » |
|
Classic Affairs: The 1st Affair A married man was having an affair with his secretary. One day they went to her place and made love all afternoon. Exhausted, they fell asleep and woke up at 8 PM. The man hurriedly dressed and told his lover to take his shoes outside and rub them in the grass and dirt. He put on his shoes and drove home. "Where have you been?" his wife demanded. "I can't lie to you," he replied, "I'm having an affair with my secretary. We had sex all afternoon." She looked down at his shoes and said: "You lying bastard! You've been playing golf!" The 2nd Affair A middle-aged couple had two beautiful daughters but always talked about having a son. They decided to try one last time for the son they always wanted. The wife got pregnant and delivered a healthy baby boy. The joyful father rushed to the nursery to see his new son. He was horrified at the ugliest child he had ever seen. He told his wife: "There's no way I can be the father of this baby. Look at the two beautiful daughters I fathered! Have you been fooling around behind my back?" The wife smiled sweetly and replied: "Not this time!" The 3rd Affair A mortician was working late one night. He examined the body of Mr. Schwartz, about to be cremated, and made a startling discovery. Schwartz had the largest private part he had ever seen! "I'm sorry Mr. Schwartz," the mortician commented, "I can't allow you to be cremated with such an impressive private part. It must be saved for posterity." So, he removed it, stuffed it into his briefcase, and took it home "I have something to show you won't believe," he said to his wife, opening his briefcase. "My God!" the wife exclaimed, "Schwartz is dead!" The 4th Affair A woman was in bed with her lover when she heard her husband opening the front door. "Hurry," she said, "stand in the corner." She rubbed baby oil all over him, then dusted him with talcum powder. "Don't move until I tell you," she said, " pretend you're a statue." "What's this?" the husband inquired as he entered the room. "Oh it's a statue," she replied, "the Smiths bought one and I liked it so I got one for us, too." No more was said, not even when they went to bed. Around 2 AM the husband got up, went to the kitchen and returned with a sandwich and a beer. "Here," he said to the statue, have this. I stood like that for two days at the Smiths and nobody offered me a damned thing." The 5th Affair A man walked into a cafe, went to the bar and ordered a beer. "Certainly, Sir , that'll be one cent." "One Cent?" the man exclaimed. He glanced at the menu and asked: "How much for a nice juicy steak and a bottle of wine?" "A nickel," the barman replied. "A nickel?" exclaimed the man. "Where's the guy who owns this place?" The bartender replied: "Upstairs, with my wife." The man asked: "What's he doing upstairs with your wife?" The bartender replied: "The same thing I'm doing to his business down here." The 6th Affair Jake was dying. His wife sat at the bedside. He looked up and said weakly: "I have something I must confess." "There's no need to, " his wife replied. "No," he insisted, "I want to die in peace. I slept with your sister, your best friend, her best friend, and your mother!" "I know," she replied, " now just rest and let the poison work."
|
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #501 เมื่อ: 16 กันยายน 2552, 12:33:22 » |
|
ขอคำแปลด้วยครับ อ่านได้แต่แมนดารินครับ
|
|
|
|
หลิม 81
|
|
« ตอบ #502 เมื่อ: 21 กันยายน 2552, 13:59:40 » |
|
|
@ ปีนี้ปีของผม @
|
|
|
khesorn mueller
|
|
« ตอบ #503 เมื่อ: 21 กันยายน 2552, 17:25:30 » |
|
but my place belongs to me!
|
|
|
|
ก้อง : )
Full Member
ออฟไลน์
กระทู้: 370
|
|
« ตอบ #504 เมื่อ: 21 กันยายน 2552, 21:28:05 » |
|
ทบ.วงกลม น่ารักมากมายครับ ชอบครับ
|
|
|
|
khesorn mueller
|
|
« ตอบ #505 เมื่อ: 22 กันยายน 2552, 16:03:39 » |
|
มี affair อีกมั้ยคะ? เอาอีก...
ถ้าไม่มี,เอา engineer goes hell ก็ได้ พี่อ่านหมดแหละ
|
|
|
|
telek78
|
|
« ตอบ #506 เมื่อ: 29 กันยายน 2552, 21:11:25 » |
|
ตอนนี้สาวโรงงานที่บริษัทตั้งหน้าตั้งตารอแทงหวยกันเยอะเลย ประมาณว่าได้เลขเด็ดกันมาหลายงวด พอเราไปขอเค้าดูว่าได้เลขอะไรมาถึงได้ถูกกันทุกงวด ปรากฏว่าเค้ายื่นกระดาษเล็กๆมาให้ดูใบนึง ในนั้นมีเลขประมาณ 30 ตัวเลขได้มั้ง แถมข้างล่างยังเขียนว่า เลข 7 มาแรง อะไรประมาณเนี่ยะ ถามเค้าว่าแทงตามนี้จะถูกเหรอ เค้าบอกว่าต้องถูกสิ แต่พี่อย่าลืมกลับเลขด้วยนะ ลองคิดเล่นๆตามเค้า ถ้าแทงหมดคงใช้ตังค์หลายบาทอยู่ เช่น ถ้าซื้อตัวละ 20x20 ซื้อตามกระดาษแผ่นนั้นก็น่าจะต้องแทง 30 ตัวเลข แถม 7 มาแรง ก็ต้องแทงเลขที่เกี่ยวกับ 7 เช่น 07,17,27,37,47,57,67,87,77,97,...... โห เยอะมาก นี่ยังไม่รวมกับพวกเลขกลับ ลดเลข เพิ่มเลข รวมๆ สาวโรงงานจะใช้เงินประมาณ เดือนละ800 -2000 มาแทงหวย (เงินเดือนโดยเฉลี่ยก็หลักพัน) ส่วนใหญ่จะมีคนถูกทุกเดือน ถูกทีก็ดีใจกันที และก็กลายเป็นแรงบันดาลใจในงวดถัดไปให้คนอื่นๆ คนที่ไม่ถูกก็จะกลับมาดูว่าเลขที่ออก มีในกระดาษนั้นมั้ย คุณพระช่วยมีในใบใบ้หวยนั้นด้วย (ไม่มีให้เตะ มันครอบคลุมซะขนาดนั้น) บางคนไม่ถูกก็จะโทษว่า ไม่ได้ทำบุญบ้าง โทษตัวเองว่าเผลอพูดคำหยาบบ้าง หมดดูบอกว่าลาภยังไม่มีบ้าง หลายสาเหตุแล้วแต่จะนึกออกมาได้ พวกที่หนักหน่อยก็ โทษว่าหวยล็อคบ้าง รัฐบาลต้องการเงินไปหาเสียงบ้าง แต่จะว่าไป งวดนี้ลองแทง 715 ซะหน่อยดีกว่า (ล้อเล่น)
|
|
|
|
ก้อง : )
Full Member
ออฟไลน์
กระทู้: 370
|
|
« ตอบ #507 เมื่อ: 29 กันยายน 2552, 21:31:21 » |
|
เรื่องหวยผมมองว่าเป็นเรื่องความน่าจะเป็นอะ แทงเพื่อลุ้นมันส์ๆ มากกว่าอะ
จะไปเอาเลขดีมาจากไหนมันก็แค่ความน่าจะเป็นอยู่ดี ----
แฮ่ๆ ด้วยเหตุนี้ ถ้าไม่สนุกกับการลุ้น ไม่ซื้อดีกว่า
|
|
|
|
dol (81)
Full Member
ออฟไลน์
กระทู้: 540
|
|
« ตอบ #508 เมื่อ: 29 กันยายน 2552, 22:28:15 » |
|
แสดงว่า เป็นเหมือนกันหมดเรื่องหวยที่โรงงาน ของผมมีหวยรายวัน ออก บ่ายและค่ำอย่างละรอบ ไม่รู้ว่ากะจะรวยทางนี้หรืองัย
|
ความรักไม่มีวันหมดอายุ ถ้ามันจะหมดอายุแสดงว่าคุณหมดรัก
|
|
|
หลิม 81
|
|
« ตอบ #509 เมื่อ: 30 กันยายน 2552, 09:17:06 » |
|
ของผม...ได้เที่ยวกลางคืน หรือกลับบ้านเย็น ก็ถือว่าถูกหวยแล้วครับ
|
@ ปีนี้ปีของผม @
|
|
|
jviruch-78
|
|
« ตอบ #510 เมื่อ: 30 กันยายน 2552, 11:22:37 » |
|
|
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #511 เมื่อ: 01 ตุลาคม 2552, 07:17:05 » |
|
เหล้าไม่กิน บุหรี่ไม่สูบ หวยไม่เล่น การพนันไม่เอา อาบน้ำอย่างเดียว
|
|
|
|
Mr.EggMan
|
|
« ตอบ #512 เมื่อ: 01 ตุลาคม 2552, 15:10:06 » |
|
เหมือนจะดีนะ เพื่อนแคม เอามาฝากครับเรื่องแก้กรรม ยาวหน่อยนะ แต่ผมว่าดี พอดีช่วงนี้ทุ่มเถียงกะเพื่อนคนนึง เรื่องแก้กรรม เพราะเค้าป่วยบ่อย หมอดูบอกว่า ควรจะแก้กรรม ถึงจะหาย ผมบอกเค้าว่า เอาตังค์ไปหาหมอแล้วรักษาสุขภาพตัวเองดีกว่า เค้าก็ไม่เชื่อ เค้าเชื่อว่ามันเป็นกรรมเก่า ซึ่งสามารถแก้ได้ สแกนได้ ตัดได้ เฮ้อ พุทธแท้ นั่นคืออะไร (ตับไตไส้พุง อ่ะ ม่ายช่าย) สแกนอดีต..แก้กรรม..ทำ (ไม่) ได้? โดย : ทวีวัฒนา ทุนคุ้มทอง สมัยที่กรรมเอาไปทำอะไรก็ได้ ไม่ว่าจะสแกน แก้ หรือ ตัดให้หายทิ้งไป เคยถามตัวเองหรือไม่ ว่าเราก็กำลังอยู่กับอะไร เชื่อในสิ่งไหน ใช่หรือลวง “ในชีวิตนี้คุณคิดว่าเรามีเวลาอยู่กันคนละกี่ปี ไม่ถึงร้อย ครึ่งหนึ่งทะเลาะกับเพื่อนบ้าน ครึ่งหนึ่งติดละครน้ำเน่า ครึ่งหนึ่งอิจฉาริษยา ครึ่งหนึ่งก็ไปเล่นการเมือง และอีกครึ่งหนึ่งก็คุ้มดีคุ้มร้าย เล่นคุณไสยฯ แล้วคุณจะเหลือช่วงชีวิตดีๆ สักกี่ปี คุณคิดตัวเองว่ามีเวลาบ้าได้นานขนาดนั้นเชียวหรือ” มาทำอะไรที่เป็น “ประโยชน์สูง และประหยัดสุด” ให้คุ้มค่ากับการได้เกิดมาเป็นมนุษย์ในชาตินี้ดีกว่า “อย่ามัวแต่ไปตีอก ชกตัว กอดรัด อยู่กับสิ่งที่มันจบไปแล้วเลย” เหล่านี้คือคำท้าทาย คำถาม และคำชี้ชวน จากท่าน พระมหาวุฒิชัย (ว.วชิรเมธี) ผู้ก่อตั้งสถาบันวิมุตยาลัย, พระอาจารย์คึกฤทธิ์ โสถฺถิผโล เจ้าอาวาสวัดนาป่าพง และ แม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต ผู้ก่อตั้งสาวิกา สิกขาลัย จากวงสนทนาธรรมเรื่อง รู้เช่น เห็นชาติ รู้แจ้งเห็นจริง ซึ่งจัดขึ้นที่เสถียรธรรมสถาน เพื่อไขข้อข้องใจเรื่องเกี่ยวกับ กรรมเก่า กรรมใหม่ ให้ทุกคนรู้เรื่องกรรมให้ถูกต้องแล้วจะได้กลับมามีชีวิตในปัจจุบันที่เป็นอิสระ ไม่ถูกพันธนาการจากความทุกข์ในอดีตอีกต่อไป ๑. รู้เช่น เห็นชาติ แม่ชีศันสนีย์ อธิบายว่า “รู้เช่น” ก็คือรู้ ว่าทุกสิ่งมันเป็นเช่นนั้นเอง ทุกอย่างไม่มีอะไรที่เที่ยงแท้ "เห็นชาติ" ก็คือเห็นชาติของความทุกข์จากการยึดมั่นในอัตตาของเรา ส่วน “รู้แจ้ง” หมายถึง การเข้าใจว่าทุกอย่างเป็นไปตามกฎของไตรลักษณ์ คือ เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา (เกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป) และ "เห็นจริง" คือ เห็นการเกิด-ดับ อารมณ์ต่างๆ อันเป็นเหตุแห่งทุกข์นั่นเอง พระอาจารย์คึกฤทธิ์ ผู้เชี่ยวชาญเรื่องคำสอนจากพระโอษฐ์ ของพระพุทธเจ้า ตอบคำถามของ ช่อผกา วิริยานนท์ ผู้ดำเนินรายการ เป็นท่านแรกว่า "พระพุทธเจ้า ตรัสไว้ว่า เรื่องที่ควรรู้เกี่ยวกับกรรม คือต้องเข้าใจว่า “กรรม คือการกระทำของจิต” และ “เรากล่าวซึ่งเจตนาว่าเป็นกรรม” และเพื่อให้เข้าใจมากขึ้น ช่อผกาได้ขอให้ ท่าน ว.วชิรเมธี อธิบายเพิ่มเติมแบบที่ทำให้ดูมีสีสันน่าตื่นเต้นและร่วมสมัยมากขึ้นว่าเป็นอย่างไร ท่านก็อธิบาย ว่ากรรมแบ่งเป็น ๒ ระดับ คือ ๑) ระดับศีลธรรม เป็นการสอนเรื่องกรรม เพื่อให้เราหันมาทำความดีและหนีความชั่ว "ระดับนี้สนุกมากเหมือนหนังแฟนตาซี" ท่านบอก "มันจะมีคนทำกรรมแล้วก็มีคนรับผลแห่งกรรมนั้น เช่น มีคนหนึ่งทำอะไรไม่ดีไว้ ก็จะมีคนมาลุ้นว่าเดี๋ยวเถอะทำกรรมไม่ดีไว้... เดี๋ยวจะโดน" ๒) ระดับปรมัตถ์ อันนี้เป็นความเข้าใจในระดับที่เป็นไปเพื่อความหลุดพ้น ท่านสอนให้เราถอดถอนอัตตาหรือความสำคัญว่าเป็นตัวเรา ตัวเขา ตัวฉัน ทิ้งไป ทั้งสองส่วนนี้ ถือเป็นเรื่องพื้นฐานที่ต้องเข้าใจก่อนว่า จะพูดกันถึงเรื่องกรรมระดับไหน เพราะถ้าเอามาปนกัน จะทำให้คนสับสน และ “คนเราถ้าเข้าใจเรื่องกรรมผิดเพี้ยนไป ก็อาจมีผลให้ชีวิตของเราเพี้ยนไปด้วย” ท่านบอกว่า "ที่เทศน์ สอนกันทั่วไปอยู่ในปัจจุบันนี้ก็เป็นกรรมระดับศีลธรรม" ว่าแล้วท่านก็อธิบายต่อไปว่า อีกอย่างเราต้องรู้จักแยกแยะเป็นว่ากรรมแบบไหนเป็นแบบพุทธ กรรมแบบไหนไม่ใช่พุทธเสียก่อนด้วย พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ว่ามีอยู่ ๓ ลัทธิที่สวนทางกับพระพุทธศาสนาอย่างสิ้นเชิง คือ ๑) ลัทธิกรรมเก่า ที่เชื่อว่า ความสุขก็ดี ความทุกข์ก็ดี การเป็นไปในวิถีชีวิตคนเราแต่ละคนทั้งหลายนั้นเป็นผลพวงของกรรมเก่าที่เราทำเอาไว้ ผลก็คือทำให้เรายอมจำนนต่อปัญหาชีวิตโดยสิ้นเชิง ๒) ลัทธิเทพเจ้าบันดาล ลัทธินี้เชื่อว่า ทุกอย่างจะดีขึ้นและผ่านพ้นไปเพราะอำนาจการดลบันดาลของเหล่าเทพเจ้าต่างๆ กลุ่มนี้ก็จะงอมืองอเท้าและยอมจำนนต่อสถานการณ์ เหมือนแบบแรก “ประเทศไทยเข้าสู่กลียุคในทุกวันนี้ คำถามของอาตมาก็คือ เทพมากมายแต่ทำไมไทยไม่เคยพ้นวิกฤติเห็นไหมตรรกง่าย ๆ แค่นี้” ประเทศอินเดีย ซึ่งเป็นแหล่งที่ชุมนุมของเทพเจ้าต่างๆ มากที่สุดในโลกก็มีแค่บางเมืองเท่านั้นที่เจริญ ๓) ลัทธิว่าด้วยความบังเอิญ ลัทธินี้จะเชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในโลก เกิดขึ้นเพราะความบังเอิญ ไม่มีเหตุไม่มีปัจจัย อย่างมีคนพูดว่า “ประเทศไทยเข้าสู่วิกฤติ มาดูแล้วดวงนายกฯ กับดวงกรุงเทพฯ มันทับกัน ลัคนาไม่ตรงกัน อธิบายได้แบบมั่ว ๆ อันนี้ก็น่าตกใจแล้วนะ แต่ที่น่าตกใจไปกว่านั้นก็คือมีคนเชื่อด้วย” “ทีนี้รู้ตัวหรือยัง ว่าเราเชื่อแบบไหน” ท่าน ว. วชิรเมธี กล่าวเพื่อให้เราแยกเอาเรื่องที่ไม่เป็นพุทธออกมา เพื่อจะได้เห็นทัศนะที่เป็นพุทธชัดเจนขึ้น ๒. รู้แจ้ง ให้เห็นจริง แม่ชีศันสนีย์ อธิบายเพิ่มเติมว่า “ความเชื่อเรื่องความบังเอิญ นั้นไม่ใช่พระพุทธศาสนาเลย พระพุทธองค์ท่านสอนแต่ว่า ทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะเหตุมีเหตุปัจจัย แต่ใครที่มีปัจจุบันขณะที่รู้ทันการกระทบอย่างไม่เผลอ ไม่เพลิน ก็จะรู้ว่าอิสรภาพในกฎแห่งกรรมมีอยู่ แต่ท่านบอกว่าต้องระวังอีกอย่างคือ "ความดีกับของดีมันก็คนละเรื่องนะ รู้ว่าทำดีก็ดีแล้ว ไม่ใช่ทำดีแล้วต้องได้ของดีด้วย ใครที่คิดอย่างนั้น...งมงายนะ” ท่านแม่ชีฯ บอก ท่าน ว.วชิรเมธี เพิ่มเติมว่า "ถ้าเราจะสอน ต้องสอนเพื่อกระตุ้นจริยธรรมในหัวใจคน ให้หันมาทำความดีหลีกหนีความชั่ว แต่ทุกวันนี้ต้องบอกว่า "เป็นกรรม" ของกฎแห่งกรรม เพราะมันถูกใช้เพื่อต่อยอดสู่กรรมพาณิชย์ ทำกำไรจากคนที่ถูกข่มขู่ว่ามีกรรมหนักทั้งหลาย "พวกที่มีกรรมหนักทั้งหลาย ชาติที่แล้วฆ่าเขามาชาตินี้ลำบากอายุไม่ถึง ๗๐ นะแก้กรรมซะ ค่าแก้กรรมก็สัก ๓,๐๐๐ มีไหม" ท่านเล่าให้ฟังแบบขำๆ "ทุกวันนี้ไม่ใช่กรรมของพระพุทธเจ้าแล้วมันเป็นกรรมพาณิชย์ เราจะต้องถอดถอนเรื่องนี้ออกไป" ถึงกระนั้น "คนกลัวกรรม" ทั้งหลายก็ยังอยากรู้อยู่ดีว่า แล้วเราจะมีวิธีดับกรรม ได้จริงๆ ไหม ท่านคึกฤทธิ์ จึงบอกว่า เคยมีคนถามพระพุทธเจ้าเหมือนกัน ท่านก็ทรงตอบว่า “มี” แต่ท่านบอกว่า ความดับของกรรม ต้องดับที่ผัสสะ คือ รู้ตัวว่าคิด ก็ละความคิดนั้นก่อน มโนกรรม (ความคิด) นั้นก็ “ดับ” ไปก่อน ไม่เป็นวจีกรรม (คำพูด) หรือ กายกรรม (การกระทำ) เป็นต้น ทั้งนี้ กรรมมี ๓ ระดับ คือ กรรมที่ให้ผลในปัจจุบันภพ (ในภพนี้) กรรมที่ให้ผลในภพหน้า และ กรรมให้ผลในภพต่อๆ ไป แต่เวลาแค่ไหน ไม่รู้ว่า ๑๐ ปี ๒๐ ปี หรือชาติหน้าหรือนานเท่าไหร่ ก็แล้วแต่เหตุปัจจัย ท่านคึกฤทธิ์ อธิบายต่อ "เรื่องนี้สอดคล้องกันกับมุมมองที่ว่าคนเราเกิดดับกันมาคนละไม่รู้กี่ครั้งกี่หนกันแล้ว "เราไม่มีทางตามรู้ได้หมดหรอกว่า แต่ละภพแต่ละชาติ หรือ หนึ่งการเกิดไปจนถึงตายในแต่ละครั้ง เราทำ(กรรม)อะไร กับใครไว้บ้าง แล้วจะไปตามแก้กรรมทั้งหลายหมดได้อย่างไรกัน เพราะแก้อันนี้ อันโน้นก็โผล่มาใหม่ แก้อันนั้นก็จะต้องโผล่ออกมาอยู่ดี แล้วเมื่อไรจะแก้กันได้หมดสิ้น" ดังนั้นจึงไม่ควรไปเสียเวลากับเรื่องเหล่านี้ ๓. ตัดกรรมได้ด้วยมรรคมีองค์ ๘ ขณะที่ ท่าน ว.วชิรเมธี บอกว่า “กรรม ตามแนวพุทธ ไม่ใช่เฉพาะแค่กรรมเก่าและไม่ใช่กรรมใหม่ล้วนๆ แต่ให้ความสำคัญทั้งกรรมเก่า กรรมปัจจุบัน และกรรมที่จะเกิดในอนาคต และชีวิตของเรานั้นก็อยู่ในกาลทั้ง ๓ นี้ตลอดเวลานั่นแหละ" แม่ชีศันสนีย์ ก็บอกอีกว่า “อดีตเป็นสิ่งที่เราปฏิเสธไม่ได้ แต่เราตั้งรับอดีตได้ที่ปัจจุบัน” ท่านหมายความว่า เราต้องกลับมาอยู่กับการกระทำในปัจจุบันของเราให้ดี เพื่อเป็นผลให้อนาคตของเราดี ส่วนอดีตเป็นเรื่องผ่านมาแล้วกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้ แต่ให้ผลในปัจจุบันและอนาคตได้ ดังนั้นหากปัจจุบันเราไม่ดี ก็ยากจะมีอนาคตที่ดี และตรงนี้ก็จะกลายเป็นอดีตที่ไม่ดี ให้ผลที่ไม่ดีต่อเนื่องกันไป "ทำปัจจุบันกรรมให้ดี เพื่ออนาคตเราไม่ต้องแก้ตัวอีก ไม่ต้องโทษนั่น โทษนี่ ตรงนี้สำคัญ ไม่ว่าอดีตคุณจะทำกรรมอะไรมา แต่กรรมปัจจุบันนี่แหละจะพาให้คุณรอด" ท่านบอก ซึ่งน่าจะหมายถึง รอดจากการตกนรก พระอาจารย์คึกฤทธิ์ บอกต่อไปว่า วิธีแก้กรรม ที่เด็ดขาด ถาวร แบบฉบับพระพุทธองค์ ก็คือให้เจริญ อริยมรรคมีองค์ ๘ ย่อลงก็เหลือ ศีล สมาธิ ปัญญา และถ้าย่อลงไปอีกเหลือ ๒ พระองค์ก็ตรัสว่า สมถะ และวิปัสสนา ท่าน ว.วชิรเมธี ย้ำว่า “ปฏิบัติตามหนทางแห่งอริยมรรค ซึ่งมีองค์ ๘ แล้วไม่ต้องถามเลยแค่เรื่องลดกรรม มันตัดกรรมได้หมดแน่นอน แม้แต่เจ้ากรรมนายเวรก็ไม่ต้องมาขอให้เหลือน้อยๆ ตัดไปได้หมดเลย” แม่ชีศันสนีย์ เสริมว่า กฎแห่งกรรมก็คือกฎของความจริง ถ้าเราเข้าใจความจริง ก็จะเผชิญกับทุกสิ่งได้ด้วยปัญญา" แล้วก็มาถึง อีกคำถามยอดฮิต "ผีมีจริงไหม" ท่านคึกฤทธิ์ อธิบายว่า พระพุทธเจ้าท่านสอนว่าภพเรานั้นก็ไม่ได้อยู่อย่างเดี่ยวๆ ยังมีอีกหลายภพภูมิ เหมือนโลกของเรายังมีหมู หมา กา ไก่ ที่ก็ไม่เหมือนเรา แต่เราไม่เห็นกลัวเลย ไม่เห็นเอาธูปไปจุดหน้าไก่ สาธุ! อย่าหลอกลูกเลย... แล้วเราก็ไม่แปลกใจเวลาเจอคลื่นวิทยุ คลื่นโทรทัศน์ธรรมชาติ ซึ่งก็มองไม่เห็น จับต้องไม่ได้ ส่วนผีจะว่าไปก็ตายเหมือนกัน ฉะนั้น "มันก็ผี เราก็ผี จะไปกลัวอะไร" ท่านบอก...พร้อมกับเสียงถอนหายใจบ้าง เสียงฮือฮาบ้างจากรอบศาลา นั่นหมายความว่า ถ้าเชื่อท่านต่อไปอีกกี่สิบผีก็ไม่ต้องกลัวแล้ว เพราะความกลัวเป็นแค่ความคิด ไม่คิดก็หายกลัวแล้ว "ทีนี้ เรื่องเจ็บป่วยหาสาเหตุไม่ได้ เป็นเพราะกรรมเก่าหรือเปล่าคะ" ผู้ดำเนินรายการ ยิงคำถามต่อ "ถ้าบอกว่าหาสาเหตุไม่ได้มันก็เหลือทางเดียวคือต้องกรรม ฉะนั้นกรรมก็เป็นจำเลย เรียกว่า โรคที่เกิดแต่กรรม จริงๆ แล้ว สาเหตุของโรคนั้น ถ้าจะหากันจริงๆ ไม่พบวันนี้ อาจจะพบวันพรุ่ง หรือพบอีก ๑๐๐ ปีข้างหน้าก็ได้ เหมือนเขาหานิวตรอน นิวเคลียส หลายร้อยปีถึงจะค้นพบ แต่เป็นเพราะเรามีความเชื่ออยู่ชุดหนึ่งว่า โรคบางโรคเกิดแต่กรรมก็ได้ ฉะนั้นถ้าพูดอย่างเป็นธรรมนะ ถ้าหาแล้วเธอรอได้ เธออาจจะค้นพบคำอธิบายก็เป็นได้ แต่ถ้าเราขี้เกียจรอ โรคเกิดแต่กรรมเป็นได้ไหม ถ้าตอบในระดับศีลธรรมก็เป็นไปได้เหมือนกัน" ท่าน ว.วชิรเมธี ให้คำตอบ ๔. ใช้ลมหายใจเป็นเครื่องมือ พระอาจารย์คึกฤทธิ์ กล่าวถึงวิธีการปฏิบัติตามมรรคมีองค์ ๘ ที่ย่อเหลือสอง คือ สมถะกับวิปัสสนา เพื่อแก้กรรมว่า ให้เริ่มจากการนั่งรู้ลมหายใจเข้า-ออก สบายๆ อยู่บ้าน ไม่ต้องไปเซ่นไหว้ ไม่ต้องไปหามีดหมอที่ไหน ไม่ต้องไปเสียค่ายกครู ไม่ต้องไปทำอะไรใดๆ ทั้งสิ้น "แค่กลับมาอยู่กับปัจจุบันขณะ ตระหนักรู้ ทุกครั้งที่คิด ทุกกิจที่ทำ ทุกคำที่พูด และทุกครั้งที่เคลื่อนไหว ทำแค่นี้เราก็จะเป็นคนใหม่อยู่ทุกขณะจิต แก้กรรมได้แล้ว เรียกว่าประโยชน์สูง ประหยัดสุด" ท่านสรุปสั้นๆ ซึ่งก็เหมาะกับยุคสมัยที่เศรษฐกิจฝืดเคือง นอกจากนี้ ท่าน ว.วชิรเมธี ย้ำว่า ให้หมั่นฝึกทำอานาปานัสสติให้ดี ฝึกให้รู้ลมหายใจเข้า-ลมหายใจออกให้บ่อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ หลุดไปก็กลับมารู้ใหม่ เผลอไปก็กลับมารู้ใหม่ "ฝึกตามดูรู้เท่าทันกาย คือลมหายใจ เวทนาคือความรู้สึก จิตคือความคิด และธรรมก็คือสภาวธรรมที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป... ใครมาฝึกแล้วรู้ของพวกนี้ อาตมากล้าการันตีได้ว่า ไม่เกิน ๗ วันคุณจะเปลี่ยนเป็นคนใหม่ การที่คุณเปลี่ยนเป็นคนใหม่ กลายเป็นคนที่มีสติมากขึ้น เป็นอันว่าคุณตัดกรรมได้แล้ว ไม่ต้องใช้เงินใช้ทองอะไร ใช้ต้นทุนต่ำที่สุดเลย ใช้กายกับใจของเราเท่านั้นเป็นเครื่องมือ" ท่านประกาศอย่างมั่นใจ ด้วยรอยยิ้มเมตตา มรรคมีองค์ ๘ ประกอบด้วย ๑. สัมมาทิฏฐิ คือ ความเข้าใจถูกต้อง ๒. สัมมาสังกัปปะ คือ ความใฝ่ใจถูกต้อง ๓. สัมมาวาจา คือ การพูดจาถูกต้อง ๔. สัมมากัมมันตะ คือ การกระทำถูกต้อง ๕. สัมมาอาชีวะ คือ การดำรงชีพถูกต้อง ๖. สัมมาวายามะ คือ ความพากเพียรถูกต้อง ๗. สัมมาสติ คือ การระลึกประจำใจถูกต้อง ๘. สัมมาสมาธิ คือ การตั้งใจมั่นถูกต้อง การปฏิบัติธรรมทุกขั้นตอน รวมลงในมรรคอันประกอบด้วยองค์แปดนี้ เมื่อรวมกันแล้วเหลือเพียง ๓ คือ ศีล-สมาธิ-ปัญญา และย่อเหลือ ๒ คือ สมถะและวิปัสสนา สรุป คือ การปฏิบัติธรรมก็คือการเดินตามหนทางแห่งมรรค
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #513 เมื่อ: 01 ตุลาคม 2552, 17:00:34 » |
|
โหยยยยย..
|
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #514 เมื่อ: 02 ตุลาคม 2552, 18:05:01 » |
|
ช่วยเอาบทความนี้ ไปให้พวกสแกนกรรม เอ็กซเรย์กรรม อ่านหน่อยซิ
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #515 เมื่อ: 05 ตุลาคม 2552, 16:53:39 » |
|
ตอนงานหนังสือคราวที่แล้ว บู๊ทข้างๆกันมีคนเขียน คนเห็นกรรม มาแจกลายเซ็นต์ น้องขายที่บู๊ทคนนึงกำลังเอนท์อยู่ก็เลยไปถาม เค้าตอบว่าเท่าที่ดู เอนท์ไม่ติด ร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวร..
สุดท้ายได้ข่าวทีหลังก็สอบติดนี่หว่า
|
|
|
|
ชาร์ป
|
|
« ตอบ #516 เมื่อ: 09 ตุลาคม 2552, 15:55:48 » |
|
กล้วยๆ ...ช่วยไดเอ็ท
พยายามไดเอ็ทหลายวิธีก็ไม่ผอมลงสักนิด สิ้นหวังแล้วนะ.. งั้นลองหยิบ “กล้วย” ใบน้อยเติมพลังให้เช้าวันใหม่ดู เชื่อหรือไม่ส่วนเกินจะหายไปในพริบตา
วิถี รับประทานกล้วยมื้อเช้าแพร่หลายในประเทศญี่ปุ่น และเป็นที่นิยมถึงขนาดก่อตั้งชุมชนออนไลน์ (Social Networking Service) สำหรับคนกินกล้วยมื้อเช้ากันเลย ( Mixi) และภายในเวลาสองปีครึ่งที่ผ่านมา พบว่าสมาชิกชุมชนประสบความสำเร็จในการลดน้ำหนักถึง 300 คนแล้ว
พวกเขามีผู้นำชื่อ "ฮามาจิ" ผู้เปลี่ยนไดอารี่บันทึกวิธีลดน้ำหนักฉบับกล้วยมื้อเช้าให้เป็นพ็อคเกตบุ๊ก
สูตรไอเด็ทของเขาคือ กล้วยกี่ลูกก็ได้ตามใจอยาก + น้ำเปล่า เท่านั้นเอง
เมนูนี้ “เหมาะเหม็ง” ที่สุดด้วยเหตุผลหลายประการ
มองไปทางไหน เรามักเห็นกล้วยเกลื่อนตลาดไปหมด จึงไม่ยุ่งยากเกินไปที่จะเสาะหามารับประทาน แถมราคายังถูกแสนถูก อาจให้กันฟรีๆ หรือกินทิ้งกินขว้างยังได้เลย
ยิ่งช่วงเวลาเช้า เหล่ามนุษย์เงินเดือนต้องเร่งรีบกันอยู่แล้ว จะมีสักกี่คนที่สามารถปฏิบัติตามหลักโภชนาการที่ว่า มื้อเช้าสำคัญที่สุดบ้าง
ในเมื่อต้องการลดน้ำหนักแล้ว จงอย่าฝืนใจ หรืออดทนอดกลั้นทำตามกฎเคร่งครัดใดๆ ควรเอาเวลาไปกินมื้อเที่ยงให้อิ่มแปล้ และสังสรรค์มื้อเย็นกับเพื่อนโดยไม่อึดอัดใจกันดีกว่า
อีกอย่าง กล้วยไม่จำเป็นต้องหั่นปอกเปลือกเหมือนผลไม้ชนิดอื่น แค่ใช้มือปอกไม่กี่วินาทีก็กินได้แล้ว
กล้วยมื้อเช้าจึงโดนใจสาวกไดเอ็ท เพราะไม่เปลืองเงิน ไม่ต้องอด ไม่ต้องทน และไม่เสียเวลา
ฮามาจิ พบว่าการลดน้ำหนักสัมพันธ์กับระบบย่อยอาหารในร่างกายของคนเรา ฉะนั้นการกินผลไม้อย่างเดียว ทำให้กระเพาะได้พักผ่อน ช่วยฟื้นฟูสภาพการทำงานของกระเพาะ ลำไส้ และอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย
หลังจากรับประทานผลไม้ไป 15-20 นาที ผลไม้จะเคลื่อนที่ไปสู่ลำไส้ และเริ่มถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย ขณะที่ผักคาร์โบไฮเดรตและโปรตีน จะใช้เวลาในการย่อยนานกว่า 3-4 ชั่วโมงเลยทีเดียว
ส่วน “น้ำ” ที่เราดื่มตามไปติดๆ จะช่วยทำให้การหมุนเวียนของเลือด และของเหลวในร่างกายดีขึ้น ส่งผลดีต่อการขับของเสียออกจากร่างกาย
สรรพคุณของกล้วยใบน้อยถือเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยสารอาหารมากมาย
เมื่อกินกล้วย เราจะได้รับวิตามินบี1 และบี 2 เร่งการเผาผลาญน้ำตาลและไขมัน ป้องกันตัวบวม และฟื้นฟูร่างกายจากความเหนื่อยล้า รวมทั้งเกลือแร่ เช่น โปรแตสเซียม ช่วยในการขับโซเดียมออกทางปัสสาวะ และแมกนีเซียม ช่วยควบคุมความดันเลือด และการทำงานของแคลเซียม อีกทั้งยังมีเส้นใย บรรเทาอาการท้องผูกได้ดี แต่มักเป็นสารอาหารที่เรามักไม่ได้รับให้เพียงพอในแต่ละวัน
นอกจากนั้นยังมีฤทธิ์ในการขับพิษสูง เพราะแป้งในกล้วยดิบจะช่วยดีท็อกซ์ ส่วนกล้วยสุกช่วยเสริมภูมิต้านทานป้องกันหวัดได้ดี
ที่กล่าวมาข้างต้น เป็นเพียงคุณสมบัติพื้นฐาน
กล้วยยังมีสารโพลีฟินอล มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ทำหน้าที่ชะลอความแก่ และสารยูจินอล ซึ่งเป็นไฟโตเคมีคัล ที่ช่วยเร่งการพัฒนาสภาพร่างกาย รวมถึงเซโรโทนิน ช่วยลดอาการหงุดหงิด และทำให้ความอยากอาหารลดลง ตลอดจนตัวเอ็นไซม์ช่วยย่อยในเนื้อกล้วยเอง ก็จะทำให้การย่อยเป็นไปอย่างราบรื่น เป็นการประหยัดเอ็นไซม์ในร่างกาย ช่วยให้คลายความเหนื่อยล้าไปในตัว
น้ำตาลในกล้วย ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้มีสมาธิกับการทำงานมากขึ้น และส่งผลให้ความถี่และปริมาณการบริโภคน้ำตาลในระหว่างวันลดลงไปโดยปริยาย
ที่น่าทึ่งไปกว่านั้น มีผลวิจัยว่ากล้วยช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเซลล์ NK ซึ่งเป็นเซลล์ที่ทำหน้าที่จัดการมะเร็งได้ด้วย
ข้อดีขนาดนี้ ถึงเวลาใช้ชีวิตสไตล์กล้วยมื้อเช้าอย่างถูกวิธีกันแล้ว
เริ่มจากกินกล้วยหอมอย่างเดียวในมื้อเช้า จะกี่ลูกก็ได้ตามต้องการ เคี้ยวให้ละเอียด ปล่อยให้ลิ้นได้รับรสอร่อยของกล้วยอย่างเพลิดเพลิน
หลังจากกินเสร็จแล้วยังหิวอยู่ ให้เว้นระยะเวลา 15-30 นาที จึงรับประทานอย่างอื่น เช่น ข้าว หรือแอบอมลูกกวาดก็ได้ไม่ว่ากัน
แต่ถ้าวันไหนเบื่อกล้วย หรือไม่ชอบกล้วยหอมจริงๆ จะเปลี่ยนเป็นผลไม้ชนิดอื่นก็ได้ แต่ขอให้เป็นผลไม้ชนิดเดียวเท่านั้น เพื่อแบ่งเบาภาระของกระเพาะของเราไม่ให้เหนื่อยเกินไปที่จะผลิตน้ำย่อยกรด ด่างต่างกัน แล้วตีกันให้ปั่นป่วน
มาถึงการดื่มเฉพาะน้ำเปล่า ณ อุณหภูมิห้อง และดื่มบ่อยๆ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องปริมาณ เดี๋ยวพานจะเครียดเปล่าๆ จงดื่มเท่าที่พอใจ เพื่อให้ประสาทการรับรสดีขึ้น ซึ่งต่างจากน้ำดื่มที่มีรสชาติ มันจะทำให้ประสาทการรับรสแย่ลง ส่งผลให้เราต้องเพิ่มปริมาณอาหารโดยไม่จำเป็น
อีกทั้ง น้ำเปล่ายังไม่ต้องย่อยที่กระเพาะอาหารและลำไส้ จึงเป็นการปล่อยให้พวกมันได้เวลาพักไปในตัว
ส่วนมื้อกลางวัน จะกินอะไรก็ได้ แต่ต้องเคี้ยวให้ละเอียด กินให้เต็มที่ หากกั๊กไว้ เสี่ยงกินจุบกินจิบระหว่างวัน แผนการที่วางไว้ตั้งแต่ต้นจะล้มครืนลงทันที
พอถึงบ่ายสามก็กินของว่างได้บ้าง โดยเฉพาะของว่างประเภทข้าว ช็อกโกแลต หรือผลไม้ชนิดใดชนิดหนึ่งเท่านั้น และกินอาหารเย็นให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ โดยเวลาเหมาะสมจะอยู่ที่ 6 โมงเย็นแต่ไม่เกิน 2 ทุ่ม และพยายามกินให้เร็วขึ้นจากปัจจุบันสักครึ่งชั่วโมงจะดีมาก รวมทั้งไม่รับประทานของหวานหลังอาหารเย็น
หลังจากใส่ใจอาหารการกิน ก็ต้องนอนหลับให้ไวขึ้น ไม่ว่าจะอย่างไรก็ต้องนอนก่อนเที่ยงคืนให้ได้ และให้ความสำคัญกับการออกกำลังกายที่ไม่หักโหมจนเกินไป ทำให้พอเหมาะ เพื่อร่างกายสดชื่น แล้วสูตรกล้วยไดเอ็ทนั้นก็จะสัมฤทธิผลดั่งใจ
ส่วนผู้ที่ไม่ประสบความสำเร็จ อาจต้องกลับไปทบทวนกันสักนิดว่า นอนดึก สูบบุหรี่ ดื่มเหล้า เหนื่อยล้าตลอดเวลา พึ่งยาเป็นประจำ เครียดมาก และเคยลองไดเอ็ทแบบไม่กินคาร์โบไฮเดรตมาแล้วหรือไม่
หากเป็นเช่นนั้น ลองปรับพฤติกรรมเสียใหม่ ก็ยังไม่สายเกินไปนัก
สำหรับข้อเสียจากวิธีลดน้ำหนักด้วยกล้วยมื้อเช้านั้น นอกจากจะเบื่อหน่ายบ้าง เพราะกินได้แค่กล้วยกับน้ำ แถมมื้อดึกต้องกินเพียงผลไม้เท่านั้น และเข้านอนก่อนเที่ยงคืนด้วย และอาจไม่เหมาะกับทุกคน เพราะบางคนแพ้ยางกล้วย หรือแพ้กล้วยจนเกิดอาการคัน หรือมีผื่นแดง กับผู้ที่มีโรคประจำตัวหรือผู้ที่กำลังป่วยอยู่
แต่ยังไง ไดเอ็ทก็ง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปากจริงๆ
|
|
|
|
iamfrommoon
|
|
« ตอบ #517 เมื่อ: 16 ตุลาคม 2552, 11:02:57 » |
|
|
@@ธรรมชาติสร้างความขัดแย้ง เพื่อให้คนเรียนรู้ซึ่งกันและกันได้ดียิ่งขึ้น@@@
|
|
|
mmwindoo_79
Full Member
ออฟไลน์
กระทู้: 254
|
|
« ตอบ #518 เมื่อ: 20 ตุลาคม 2552, 11:34:24 » |
|
เพิ่มเติมจากข้างบน
- อย่าไปหาคู่ในที่อโคจร เพราะโดยส่วนใหญ่ในทางสถิติ คนจะมี"ราคา"ตามสถานที่และพฤติกรรมครับ อุปมาว่า อยากได้ดอกไม้งาม อย่าทะลึ่งไปหาในลานตากปลาสลิดครับ - ราคาในที่นี้ ไม่ได้หมายความถึงลักษณะภายนอกอีกเหมือนกัน ไม่เช่นนั้น อาจได้ของงามเหมือนมีคุณค่า แต่ราคาน้ำอัดลมครับ - ราคาในที่นี้ ต้องใช้เวลาพิจารณานานๆ คิดเสียว่าเราเป็นผู้บริโภค ควรมีโอกาสตัดสินใจ อย่ารีบกระวีกระวาดซื้อหามา เพราะรักแรกปะทะตามมุมเสาเอาอารมณ์พิศวาสเข้าว่า หรือปิ๊งปั๊งฉาบฉวยแล้วหวังจะอยู่กันยืนยาว มีน้อยเหลือเกินในทางสถิติครับ
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #519 เมื่อ: 20 ตุลาคม 2552, 15:42:52 » |
|
เจ๋งว่ะไอ้ป้อม..
แบบนี้ผู้ชายไม่มีแฟนก็ใช้วิธีนี้หากลับกันก็ได้มั๊ย
มีเพื่อน ม.ปลายคนนึง ผู้ชาย เพิ่งเจอกัน ยังไม่มีแฟน มันบอกว่ามันกำลังจะใช้บริการเว็บไซต์นัดเดทอยู่ วันๆมันทำแต่งานไม่รู้จะไปเจอสาวที่ไหน
|
|
|
|
iamfrommoon
|
|
« ตอบ #520 เมื่อ: 20 ตุลาคม 2552, 16:50:44 » |
|
น้องป้อม... เริ่ดมาก...
โต้งคับ หากสำเร็จ และได้คู่ดี อย่าลืมแนะนำน้องที่ทำแต่งาน จนจะแต่งกับงานด้วยนะคะคับ อิอิ ปล.พี่แต่งงานครบ 1 ปี (ตามฤกษ์) ละ เวลาผ่านไปไวมาก อิอิ
|
@@ธรรมชาติสร้างความขัดแย้ง เพื่อให้คนเรียนรู้ซึ่งกันและกันได้ดียิ่งขึ้น@@@
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #521 เมื่อ: 02 พฤศจิกายน 2552, 18:36:33 » |
|
บางทีหลายๆครั้ง ที่เราคุยหรือเมล์ติดต่อกับชาวต่างชาติ ที่ใช้ภาษาอังกฤษ เค้าอาจจะพิมพ์คำแปลกๆ มาในเมล์ ที่มักเจอกันบ่อยๆก็ เช่น ASAP, BTW, FYI อะไรแบบนี้ครับ แต่ก็ควรใช้คำที่ดูแล้วเป็นทางการหน่อยแล้วกันนะครับ
ASAP = As soon as possible = เร็วสุดเท่าที่เร็วได้ ATM = At the moment = ในตอนนี้ BC = Because = เพราะว่า BG = Big grin = ( ยิ้มอยู่) BOTOH = But on the other hand = แต่ในทางกลับกัน BTDT = Been there, done that = ไปมาแล้วทำเรียบร้อยแล้ว BTW = By the way = อย่างไรก็ตาม COZ = Because = เพราะว่า CU = See you = แล้วเจอกัน CUL or CUL8R = See you later = แล้วเจอกัน EZ = Easy = ง่าย FAQ = Frequently asked questions = คำถามที่ถามบ่อย FYI = For your information = แจ้งเพื่อรับทราบ GJ = Good job = ทำได้ดีมาก! GL = Good luck = โชคดีนะ GRT = Great = เยี่ยม! GW = Good work = ทำได้ดีมาก HAND = Have a nice day = โชคดีนะ IC = I see = เข้าใจล่ะ IMO = In my opinion ฉันคิดว่า... IMPOV = In my point of view = ฉันคิดว่า.... IOW = In other words = ถ้าจะพูดอีกอย่างก็.. IRL = In real life = ในชีวิตจริง JIC = Just in case = เผื่อไว้ JTLYK = Just to let you know = แค่บอกให้รู้ไว้ KIS = Keep it simple = เอาง่ายๆ KIT = Keep in touch = ติดต่อกันอีกนะ LOL= Laughing out loud = หัวเราะ 555+ NBD = No big deal = ไม่มีปัญหา เรื่องเล็กน้อย NP = No problem = ไม่มีปัญหา NVM = Never mind = ไม่เป็นไร OMG = Oh my god = พระเจ้า จอร์จจจ PCM = Please call me = โทรมาหาที PLS = Please = ได้โปรด PLZ = Please = ได้โปรด Q = Question = คำถาม SIT = Stay in touch = แล้วติดต่อกันใหม่ SOZ, SRY = Sorry = ขอโทษที SYS = See you soon = แล้วพบกันใหม่ THX = Thanks = ขอบใจจ้า TIA = Thanks in advance = ขอบคุณล่วงหน้า TY = Thank you = ขอบคุณ U = You = คุณ WB = Welcome back = ขอต้อนรับกลับมา WFM = Works for me = สำหรับฉันแล้วได้ผลนะ XOXO = Hugs and kisses = รักน=E
ที่มา: Forward Mail
|
|
|
|
หลิม 81
|
|
« ตอบ #522 เมื่อ: 02 พฤศจิกายน 2552, 20:01:34 » |
|
เพื่อนบ้านผม หลังข้าง ๆ กันเ้ค้าจะเปิดบริษัท นัดเดทประมาณนี้แหละ.....ใครต้องการทิ้งข้อมูลไว้...บอกได้ครับ...มีค่าแนะนำด้วยน๊ะ
|
@ ปีนี้ปีของผม @
|
|
|
khesorn mueller
|
|
« ตอบ #523 เมื่อ: 08 พฤศจิกายน 2552, 19:14:18 » |
|
blind date cafeดิน้อง เพิ่งเปิดที่ Stuttgart ทุกเย็นวันศุกร์
หญิง/ชายจะถูกเรียกเข้าโต๊ะ มีเวลาโต๊ะละไม่กี่นาที แล้วเวียนคุยเป็นวง ถูกใจคนไหนจดเบอร์ ไปนัดเจอจริงๆข้างนอก
พี่ว่า...มันยังไงไม่รู้ค่ะ processแบบนี้ เอามาทำเป็นเรื่องธุรกิจ หมดmoodไปเยอะคะพี่ว่า
|
|
|
|
Aj.O
|
|
« ตอบ #524 เมื่อ: 19 พฤศจิกายน 2552, 20:54:18 » |
|
สุโค่ยครับ...เอาไปเลย 5 ดาว ชอบตรงข้อความที่(ผม)เน้นไฮไลต์มากๆ
|
...
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #525 เมื่อ: 20 พฤศจิกายน 2552, 12:29:43 » |
|
ต้องเป็นที่ไม่คอรัปชั่น แต่ชอบชู้สาวแน่ๆ
|
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #526 เมื่อ: 20 พฤศจิกายน 2552, 16:32:14 » |
|
น้องเอ็ดมันเขียนได้ดี
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #527 เมื่อ: 23 พฤศจิกายน 2552, 13:49:55 » |
|
ถูกใจคนชอบชู้สาว
|
|
|
|
Aj.O
|
|
« ตอบ #528 เมื่อ: 23 พฤศจิกายน 2552, 15:08:27 » |
|
แม่นแล้ว... แต่ก็ไม่เชิงชู้สาวในทางปฏิบัติ แค่ชอบสะสม+ชอบวิจารณ์รูปโป๊ของดารา นางแบบ มากกว่า มันสนุกดีว่ะ
|
...
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #529 เมื่อ: 24 พฤศจิกายน 2552, 15:15:44 » |
|
เป็นเรื่องชู้สาวในเชิงทฤษฎีนั่นเอง
|
|
|
|
หลิม 81
|
|
« ตอบ #530 เมื่อ: 11 ธันวาคม 2552, 15:35:46 » |
|
มีเรื่องดี ๆ มาแบ่งปันครับ www.nwwl.comว่าง ๆ เข้าไปดูกันครับ
|
@ ปีนี้ปีของผม @
|
|
|
telek78
|
|
« ตอบ #531 เมื่อ: 11 ธันวาคม 2552, 21:30:38 » |
|
เล่นเอาปิดแทบไม่ทัน
|
|
|
|
หลิม 81
|
|
« ตอบ #532 เมื่อ: 12 ธันวาคม 2552, 20:50:13 » |
|
|
@ ปีนี้ปีของผม @
|
|
|
telek78
|
|
« ตอบ #533 เมื่อ: 12 ธันวาคม 2552, 22:16:41 » |
|
|
|
|
|
หลิม 81
|
|
« ตอบ #534 เมื่อ: 13 ธันวาคม 2552, 10:33:22 » |
|
วันหลังจะหามาให้อีก น้าแครมน่าจะชอบ
|
@ ปีนี้ปีของผม @
|
|
|
dol (81)
Full Member
ออฟไลน์
กระทู้: 540
|
|
« ตอบ #535 เมื่อ: 13 ธันวาคม 2552, 19:51:06 » |
|
|
ความรักไม่มีวันหมดอายุ ถ้ามันจะหมดอายุแสดงว่าคุณหมดรัก
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #536 เมื่อ: 13 ธันวาคม 2552, 21:10:57 » |
|
เล่นเอาเปิดแทบไม่ทัน เว็บมวยปล้ำรึนี่...
|
|
|
|
telek78
|
|
« ตอบ #537 เมื่อ: 14 ธันวาคม 2552, 11:47:14 » |
|
กำลังนั่งประชุม ง่วงๆอยู่ ตื่นเลย
|
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #538 เมื่อ: 24 ธันวาคม 2552, 14:42:35 » |
|
อะไรตื่นครับ กรุณาระบุด้วย
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #539 เมื่อ: 25 ธันวาคม 2552, 08:12:17 » |
|
แตกตื่นมั้ง
|
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #540 เมื่อ: 25 ธันวาคม 2552, 08:43:38 » |
|
แตกก่อนตื่นหรือตื่่นก่อนแตก
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #541 เมื่อ: 25 ธันวาคม 2552, 13:30:47 » |
|
แตกก่อนตืี่นนี่ต้องรีบโทรหาเื่พื่อนตือโดยด่วน..(เป็นความลับของกระทรวงเช่นกัน)
|
|
|
|
telek78
|
|
« ตอบ #542 เมื่อ: 25 ธันวาคม 2552, 21:55:25 » |
|
|
|
|
|
Tarnthongl
Full Member
ออฟไลน์
กระทู้: 482
|
|
« ตอบ #543 เมื่อ: 26 ธันวาคม 2552, 16:31:14 » |
|
น้องแครมแตกก่อนตื่นได้ด้วยเหรอ แสดงว่าฝันเปียก
|
|
|
|
หลิม 81
|
|
« ตอบ #544 เมื่อ: 28 ธันวาคม 2552, 17:36:30 » |
|
|
@ ปีนี้ปีของผม @
|
|
|
telek78
|
|
« ตอบ #545 เมื่อ: 28 ธันวาคม 2552, 22:30:18 » |
|
ภาษาไทยเรามีหลายคำที่ เคยฮิตติดลมบน แต่เดี๋ยวนี้ไม่พูดแล้ว
เช่น
มะ (ตัวอย่างประโยค วันนี้แครมแต่งตัวมะว่ะ จะไปเที่ยวงานวัดที่ไหน)
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #546 เมื่อ: 29 ธันวาคม 2552, 14:32:35 » |
|
ผมยังติดใจแตกตื่นของพี่ตี๋อยู่..
|
|
|
|
Tarnthongl
Full Member
ออฟไลน์
กระทู้: 482
|
|
« ตอบ #547 เมื่อ: 30 ธันวาคม 2552, 22:48:39 » |
|
แหะๆๆมันเรื่องธรรมชาตินะโต้ง
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #548 เมื่อ: 04 มกราคม 2553, 11:33:15 » |
|
ของพี่ตี๋นี่น่าจะไม่เหลือให้แตกตื่นนะ
|
|
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #551 เมื่อ: 05 มกราคม 2553, 15:03:05 » |
|
สิบกว่านาทีนี่ผมเชื่อนะ เพราะมันมีวาร์ปอยู่ แต่อันแรกนี่ไม่ค่อยเชื่อ เพราะไม่เห็นมีศัตรูเลยอ่ะ
|
|
|
|
telek78
|
|
« ตอบ #552 เมื่อ: 06 มกราคม 2553, 11:55:13 » |
|
ยังไม่ได้ลองสักที ว่าจะโหลด อีมู มาเล่น มาริโอ้ ภาคนี้ ว่ามันทำได้จริงหรือเปล่า
|
|
|
|
Aj.O
|
|
« ตอบ #553 เมื่อ: 06 มกราคม 2553, 22:27:44 » |
|
ผมเคยดูแล้วครับ มันเล่นโคตรเทพเลย ด่านแรกๆ มันวิ่งไม่หยุดจนจบด่าน!?! ที่สำคัญมันไม่เก็บของตามซุ้มเห็ดเลย ไม่เก็บอั๊ปด้วย ไปเก็บอั๊ปเอาเวิลด์ 8 แต่มันก็ไม่ตายเลยด้วย แถมยังเอาชุดดอกไม้ไฟ เข้าไปเจอ Boss(มังกรไฟBowser) ได้ เทพสุดๆ ผมเคยพยายามหลายทีแล้ว ด่านสุดท้ายนี่ ถ้าไม่ใช้ชุดแรคคูนหรือชุดหมี(ที่มีหางไว้ร่อน/ไว้บิน)เข้าไปเล่นเนี่ย ผ่านยากสุดๆครับ โดยเฉพาะจังหวะที่ต้องข้ามบ่อลาวา ที่มีเกาะแก่งให้ยืนแค่นิดเดียว แต่ ชุดดอกไม้ไฟ หรือชุดขว้างค้อนเนี่ย ถ้าใครเก่งพอจะลากเอาไปถึงบอสได้ มันเท่ห์มาก เพราะสามารถฆ่าบอสได้ด้วยตัวเราเอง ไม่ต้องรอให้มันตกเหวตายเอง แต่ชุดแรคคูนฆ่าบอสไม่ได้ ต้องรอให้บอสมันถล่มสะพานจนตกเหวตายเองครับ
|
...
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #554 เมื่อ: 07 มกราคม 2553, 07:20:24 » |
|
ตอนท้ายเจ้าหญิงมันก็บอกอยู่แล้วหนิ ว่าล้อเล่น
|
|
|
|
jviruch-78
|
|
« ตอบ #555 เมื่อ: 07 มกราคม 2553, 12:02:59 » |
|
ดูคลิปไม่ได้ครับ
|
|
|
|
Aj.O
|
|
« ตอบ #556 เมื่อ: 07 มกราคม 2553, 19:08:33 » |
|
คำพูดว่า ล้อเล่น มันพูดอยู่แล้วครับ ต่อให้มาจากคลิปของจริง เพราะก่อนหน้านี้จะมีประโยคประมาณว่า "ขอบคุณมาริโอ แต่...เจ้าหญิงพีชไม่ได้อยู่ปราสาทนี้... ...ล้อเล่นจ้ะ..."หมายความว่าคุณพบเจ้าหญิงพีชตัวจริงแล้วนั่นแหละ...
|
...
|
|
|
Aj.O
|
|
« ตอบ #557 เมื่อ: 07 มกราคม 2553, 20:44:35 » |
|
|
...
|
|
|
MahDee
|
|
« ตอบ #558 เมื่อ: 23 มกราคม 2553, 10:11:15 » |
|
วันนี้ได้ไปอ่านเรื่องราวดี ๆ ของสาวน้อยวัย 22 หน้าตาน่ารัก เป็นโรคลูคิเมีย (มะเร็งเม็ดเลือดขาว) แต่เป็นคนที่มีกำลังใจดีมาก บอกเล่าเรื่องราวผ่านการวาดการ์ตูนน่ารัก ๆ อ่านแล้วสร้างรอยยิ้ม และมีกำลังใจมากขึ้นทีเดียวครับ http://nuchnin-leukemia.exteen.com/20090417/entry
|
|
|
|
ลูกพิ้ง
|
|
« ตอบ #559 เมื่อ: 23 มกราคม 2553, 20:39:37 » |
|
ช่วยกันเข้าไปที่เว็บนี้ http://www.roundfinger.com/blog/?p=818#commentsแล้วช่วยออกแรงคลิกส่งต่อความสุขกันนะค่ะ ปล. ผู้กำกับ MV เด็กถาปัดจุฬา รหัส 39 เพื่อนท่านป้อม น้าแจ้น ฯลฯ หนูพิ้งว่าไอเดียเขาดีเลยมาบอกต่อช่วยช่วยกันนะค๊า
|
|
|
|
Aj.O
|
|
« ตอบ #560 เมื่อ: 25 มกราคม 2553, 16:43:27 » |
|
ไอ่ข้อที่ 6 น่ะ ตูขอแค่อย่างแรก ไม่ต้องเอาอย่างที่สองก็ได้ว่ะ
|
...
|
|
|
telek78
|
|
« ตอบ #561 เมื่อ: 26 มกราคม 2553, 00:10:46 » |
|
สัจธรรม.... ยุบหนอพองหนอ.... ลมยังเปลี่ยนทิศ ชีวิตก็เปลี่ยนไป.... เห็นงานเป็นลม เห็นนมสู้ตาย.... อยู่บ้านเมียด่า ออกมาจ่าจับ...
|
|
|
|
หลิม 81
|
|
« ตอบ #562 เมื่อ: 26 มกราคม 2553, 09:12:21 » |
|
ทำงานลูกเดียว เที่ยวสองลูก...(มาต่อเ้ค้าทำไม่เนี่ยะ) ชอบข้อสุดท้ายครับ....
|
@ ปีนี้ปีของผม @
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #563 เมื่อ: 26 มกราคม 2553, 12:10:57 » |
|
อ่านของน้องที่เป็นลูคิเมียแล้ว มันยิ้มทั้งน้ำตาจริงๆเลย
|
|
|
|
jviruch-78
|
|
« ตอบ #564 เมื่อ: 06 กุมภาพันธ์ 2553, 07:48:51 » |
|
ผมชอบ จารย์โอ เรื่อง ให้หมอขับรถไปส่งคนป่วยแล้วเราจะได้อยู่กับคนที่เราอยากเจอ เท่ห์ดี เอาไปเล่นบ้าง
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #565 เมื่อ: 09 กุมภาพันธ์ 2553, 16:14:09 » |
|
ได้ fw mail มาครับ
เรามาพูดถึงวิธีการกินเหล้าตระกูล Johnnie Walker กัน
รู้จักคำว่า ' เสียของ ' กันบ้างมั้ย ? คนไทยเราน่ะชอบทำให้เสียของอยู่เรื่อย โดยเฉพาะนิสัย ' การดื่มแบบผสมมิกเซอร์ ' ทั้งหลาย นั่นแหละคือการทำให้วิสกี้ชั้นดีที่บางทีไม่ควรผสมใดๆ ต้อง ' เสียของ ' วันนี้จะหยิบเอาเรื่องวิสกี้ตระกูล จอห์นนี่ วอล์กเกอร์ มาพูดกันซะหน่อย เพราะว่าตระกูลนี้มีหลาย ' เลเบิ้ล ' เหลือเกิน ซึ่งมีวิธีการดื่มเฉพาะซะด้วย
เริ่มจาก ' เรด เลเบิ้ล ' (Red Label) กันก่อนเลยดีกว่า จอห์นนี่ วอล์กเกอร์ เรด เลเบิ้ล น่าจะดูถูกใจคนไทยที่สุด เพราะน้องเล็กสุดขวดนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อการดื่มตลอดค่ำคืน พูดง่ายๆ ก็คือกินได้นานๆ สนุกสนานกันทั้งคืนนั่นแหละ แถมวิธีการกินที่ถูกต้องนั้น ก็ต้องผสมกับ ' มิกเซอร์ ' ทั้งหลาย อันเป็นวิธีการดื่มที่นิยมในหมู่คนไทยอยู่แล้วซะอีก ตอนนี้ จอห์นนี่ วอล์กเกอร์ เรด เลเบิ้ล ก็เลยขายดีที่สุดไปโดยปริยาย ง่ายๆ จะใส่น้ำแข็ง ผสมโคล่า ชามะนาว หรือโซดาก็ได้ทั้งนั้น สุดแล้วแต่ว่าจะชอบรสชาติแบบไหนหลังผสมมิกเซอร์แล้วเท่านั้นเอง แต่นักดื่มมืออาชีพมักนิยมผสมน้ำก่อนแล้วจึงผสมโซดาตามลงไป ในอัตราส่วน2:1หรือที่เรียกกันว่า " โซดาลอย " นั่นเอง... ผสมเสร็จก็ เอ็นจอย ดริ๊งกิ้ง กันได้ทั้งคืน ( แต่อย่าขับรถหลังดื่มนะ )
โตขึ้นมาหน่อย กับความเคร่งขรึมแบบ จอห์นนี่ วอล์กเกอร์ แบล็ค เลเบิ้ล วิสกี้ชั้นดีจากการหมักบ่มเพื่อให้ได้รสชาติที่คลาสสิกที่สุดนานถึง 12 ปี วิธีการดื่มที่ถูกต้องนั้นก็คลาสสิกไม่แพ้รสชาติของตัววิสกี้ ง่ายๆ เท่ๆ ดูดีด้วยสไตล์ที่เรียกกันว่า ' ออน เดอะ ร็อก ' นั่นเอง หรือถ้าอยากย๊ากอยากจะผสมมิกเซอร์เหลือเกิน ก็ต้องใส่น้ำแข็งเข้าไปเยอะๆ วิสกี้ ครึ่งแก้ว และโซดาอีกครึ่งแก้ว แค่นี้แหละ ก็จะได้สัมผัสรสชาติที่แท้จริงของ จอห์นนี่ วอล์กเกอร์ แบล็ค เลเบิ้ล
"วิธีการดื่ม JW Black Label ที่ดีที่สุด จำกันเอาไว้นะครับ Black จะต้องดื่มโดยผสมกับน้ำและน้ำแข็ง เพื่อที่จะทำให้ได้กลิ่นของบุหรี่แห้ง กลิ่นของวานิลลา และกลิ่นของผลไม้ ที่จะอบอวลขึ้นมาหลังจากได้สัมผัสกับน้ำ การผสมน้ำจะทำให้ได้รสของวิสกี้ที่ Strong ขึ้น (ภาษาไทยน่าจะเป็นคำว่า เข้มขึ้นครับ)
มาถึงวิสกี้ตระกูล จอห์นนี่ วอล์กเกอร์ ที่ไม่ค่อยจะเห็นบ่อยนักบ้างดีกว่า เริ่มจาก จอห์นนี่ วอล์กเกอร์ โกลด์ เลเบิ้ล อายุ 18 ปีกันก่อน แค่นำ จอห์นนี่ วอล์กเกอร์ โกลด์ เลเบิ้ล ไปใส่ในช่องแช่แข็งสัก 24ชั่วโมง ถ้าที่ในช่องแช่แข็งยังเหลือก็นำแก้วทรงสูงเปล่าๆ แช่ไว้ด้วย พอได้เวลา ก้อรินใส่แก้วที่แช่ไว้ข้างกันๆ นั่นแหละ แล้วดื่มเข้าไปเลย ทันทีที่วิสกี้เย็นจัดปะทะกับความอุ่นในปาก กลิ่นหอมหวนนุ่มลิ้นจะอบอวล แหม...ยิ่งถ้ามีช็อกโกแล็ตดีๆ ไว้กินเข้าคู่ล่ะก็จะเป็นความสุขที่ลืมไม่ลงเลย เชียว
"Gold Label เนื่องจากการดื่มวิสกี้ ไม่จำเป็นจะต้องคำนึงว่า วิสกี้จะเกิดการแข็งตัว เมื่อนำไป Frozen หรือ แช่ให้เย็นจัด โดยเฉพาะ Gold ขวดนี้ ยิ่งคุณได้สัมผัสมัน ด้วยความเย็นมากเท่าไหร่ รสชาติและกลิ่นของ Gold ขวดนี้ จะยิ่งนุ่มและอบอวลขึ้น
การจิบควรจิบทีละน้อย และยิ่งถ้าได้ ช๊อกโกแลต มารับประทานด้วยแล้ว คุณจะได้สัมผัส ความพิเศษ ว่าทำไม วิสกี้ขวดนี้ จึงได้รับให้ประดับด้วยฉลากสีทอง"
ส่วน จอห์นนี่ วอล์กเกอร์ กรีน เลเบิ้ล ที่มีจำหน่ายแบบจำกัดประเทศนั้น หาน้ำแข็งก้อนใหญ่ๆ สักก้อน ใส่ในแก้วปากกว้างเพียงแค่ก้อนเดียว ไม่ต้องกลัวว่าน้ำแข็งก้อนนั้นจะเหงา เพราะเราจะเฝ้ามองอย่าทะนุถนอม จากนั้นริน จอห์นนี่ วอล์กเกอร์ กรีน เลเบิ้ล ลงไปไม่ต้องท่วมน้ำแข็ง แกว่งแก้วเล็กน้อย ให้อุณหภูมิของวิสกี้ชะอุณหภูมิของน้ำแข็งก้อนโต ดมกลิ่นวิสกี้ที่ระเหยขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนลิ้มรสวิสกี้ที่อุณหภูมิพอเหมาะพอดี งานนี้จะได้ รสชาติ กลิ่น และแสงที่วิสกี้ตกกระทบกับก้อนน้ำแข็งชวนมอง
"วิธีการดื่ม Green Label ให้ได้รสชาติมากที่สุด จำไว้นะครับ ให้กินในแบบของ On the Rock ด้วยการริน Green Label ลงในแก้วพอประมาณก่อน หลังจากชิมและรับกลิ่นรมควันจางๆและไอทะเล กลิ่นถังเชอรรี่ รวมถึงผลไม้ชนิดต่างๆ เช่น แอพพริคอท ผิวส้ม พีช บวกกับกลิ่นเปลือกไม้ป่า และหญ้าอ่อน"
ปิดท้ายกันที่วิสกี้ชั้นสูง จอห์นนี่ วอล์กเกอร์ บลู เลเบิ้ล อายุ 25 ปี ที่หมักบ่มจากมอลต์คุณภาพสูง ตามวิธีการคลาสสิกแบบศตวรรษที่ 19 วิธีการดื่มวิสกี้ชั้นสูงนี้ก็คลาสสิกมาก เตรียมแก้วบรั่นดีสวยๆ ไว้สัก 2ใบ แก้วนึงรินวิสกี้รอไว้ ส่วนอีกแก้วนึงรินน้ำแร่เย็นๆ ไว้เช่นกัน ดื่มน้ำแร่เย็นๆ เพื่อปรับอุณหภูมิในช่องปากกันก่อน จากนั้นจิบ จอห์นนี่ วอล์กเกอร์ บลู เลเบิ้ล ในแก้วบรั่นดีอีกใบตาม เมื่อน้ำแร่เย็นๆ ที่หลงเหลืออยู่ในช่องปากผสมกับวิสกี้ชั้นดีนี้ รสชาติที่แอบซ่อนจะซึมผ่านเพดานปากไปมัดใจนักดื่มเหล้าทั้งหลายไม่รู้ลืม
" การดื่มที่ดีที่สุด แน่นอนครับ วิสกี้ระดับนี้ จะต้องเป็นการดื่มแบบ จิบวิสกี้ โดยไม่เติมอะไร หรือภาษาบ้านๆก็เรียกว่า ดื่มกันเพียวๆนี่แล่ะครับ เจ้าของ OW บอกมาว่า จะให้ดี ควรจะอมน้ำแข็งให้เกิดความเย็นในปาก เมื่อน้ำแข็งละลายหมด จึงค่อยจิบ Blue เข้าไป จะได้รับรสชาติที่ดีที่สุด"
เสร็จสิ้นครบทั้ง 5 เลเบิ้ลของตระกูล จอห์นนี่ วอล์กเกอร์ กันแล้ว ต่อจากนี้นักดื่มเหล้าชาวไทยทั้งหลาย ก็จะดื่มได้แบบไม่เสียของกันแล้ว แต่ที่สำคัญที่สุด ดื่มแล้วจะมึนน้อยหรือมึนมาก ก็อย่าขับรถเลย เก็บชีวิตที่มีค่าไว้สัมผัสกับสิ่งดีๆ ที่รอเราอยู่มากมายในวันข้างหน้าดีกว่า ...
ปล...กินเหล้าทั้งทีทำไมมันยุ่งยากอย่างนี้ ผมขอแก้วเปล่ากับน้ำแข็งแค่นี้ก็พอแล้ว พูดแล้วเปรี้ยวปาก คืนนี้ที่ไหนกันดี! LaughingLaughingLaughing
|
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #566 เมื่อ: 11 มีนาคม 2553, 11:32:52 » |
|
ยูเอสบีช่วยลบภาพโป๊ในฮาร์ดดิสก์ ที่มา: [เอ.อาร์.ไอ.พี, www.arip.co.th] http://www.arip.co.th/news.php?id=411008 เรามาติดตามข่าวสารเบาๆ กันบ้างดีกว่า ว่าแล้วเราไปทำความรู้แก็ดเจ็ต (Gadget) ชิ้นนี้ดีกว่าครับ "Porn Detection Stick" หรืออุปกรณ์ยูเอสบีตรวจจับภาพลามกโป๊อนาจารนั่นเอง โดยมันสมารถสแกน และลบไฟล์เหล่านี้ออกจากฮาร์ดดิสก์ได้โดยอัตโนมัติ ในขณะที่มีความผิดพลาดต่ำมาก ไม่น่าเชื่อว่า จะมีการคิดค้นแก็ดเจ็ตอย่างนี้ออกมาได้ คุณผู้อ่านคงอยากรู้สิครับว่า อุปกรณ์ยูเอสบีตัวนี้มันมีหลักการทำงานอย่างไร ปฏิเสธไม่ได้ว่า อินเทอร์เน็ตเป็นช่องทางสื่อที่เปิดกว้างทั้งสิ่งที่ดี และไม่เหมาะสม โดยเฉพาะภาพโป๊อนาจารต่างๆ ที่พบได้เกลื่อนเน็ต ตลอดจนในฮาร์ดดิสก์ของคุณ :p จะด้วยความตั้งใจ หรือไม่ก็ตาม หากเครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณไม่ได้ใช้คนเดียว หรือแม้แต่คอมพิวเตอร์ของบุตรหลาน มันอาจมีไฟล์เหล่านี้ซุกซ่อนอยู่ในมุมใดมุมหนึ่งของฮาร์ดดิสก์ก็ได้ ซึ่งหากจะค้นหา เพื่อทำลายก็คงไม่ง่ายนัก ข่าวดี (หรือข่าวร้าย?) ก็คือ คุณสามารถใช้ตัวช่วยที่ชื่อว่า Porn Detection Stick ได้ครับ สำหรับเจ้าอุปกรณ์ทีว่านี้ เพียงแค่เสียบมันเข้ากับพอร์ตยูเอสบีของคอมพิวเตอร์ต้องสงสัยว่าจะมีภาพโป๊ซ่อนอยู่ ดับเบิ้ลคลิกโปรแกรม PornDetectionStick.exe ที่อยู่ภายใน เพื่อให้มันทำการสแกนฮาร์ดดิสก์ค้นหาภาพลามกอนาจารทั้งหมด แล้วจัดการลบทิ้งซะ!!! หลักการทำงานของมันก็คือ โปรแกรมที่อยู่ในอุปกรณ์จะใช้อัลกอริธึมในการวิเคราะห์ภาพที่มีโทนสีเนื้อ รูปร่าง ส่วนโค้งเว้า ตลอดจนใบหน้า และส่วนต่างๆ ของร่างกายแยกกันจากในไฟล์ภาพที่มันพบ เพื่อพิสูจน์ทราบว่า ภาพนั้นเป็นภาพโป๊ หรือไม่? Porn Detection Stick สามารถสแกนได้มากกว่า 70,000 ภาพภายในหนึ่งชั่วโมงครึ่งโดยผิดพลาดแค่ 0.0006% เท่านั้น สนนราคาของมันอยู่ที่ 98.95 เหรียญฯ หรือประมาณ 3,400 บาท
|
|
|
|
Mr.EggMan
|
|
« ตอบ #567 เมื่อ: 11 มีนาคม 2553, 15:02:52 » |
|
Porn Detection Stick
ถ้าได้ยินแต่ชื่อ ผมเข้าใจว่านี่มันคือ แท่งสำหรับตรวจหาโสเภณี วิธีใช้คือ พกไว้ในกระเป๋ากางเกง ถ้าเราไปเจอสาวสักคนในผับและอยากรู้ ว่าน้องเค้ารับงานไซด์ไลน์ไหม เราก็เอาแท่งที่ว่านี่ไปถู ถ้าใช่แท่งนี่จะแสดงตัวออกมา
แหม......ต่ำไปทุกวันครับ ตัวผม
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #568 เมื่อ: 11 มีนาคม 2553, 16:56:41 » |
|
ใส่ชุดว่ายน้ำถือว่าเป็นภาพโป๊รึเปล่า..
|
|
|
|
หลิม 81
|
|
« ตอบ #569 เมื่อ: 11 มีนาคม 2553, 23:00:03 » |
|
คำถามพี่โต้งชวนให้คิดครับ
ผมว่าต้องดูที่เจตนาครับ ไม่ใข่เจตนารูปน๊ครับ แต่เป็นเจตนาของคน save. เก็บเอาไว้ครับ
|
@ ปีนี้ปีของผม @
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #570 เมื่อ: 12 มีนาคม 2553, 08:08:16 » |
|
รู้อย่างเดียวครับ ถ้าเอามันเสียบเข้าเครื่องผม รับรอง ร้อยละ 80 ของข้อมูลใน HD ผม จะโดนลบ ถึงหลิม มันเป็นโปรแกรมเช็คสภาพสีผิว + องค์ประกอบอื่นๆ ที่สามารถคำนวณออกมาได้มา คือ ภาพคนเปลือย ถ้าชุดว่ายน้ำสีเนื้อ ก็มีโอกาสที่โปรแกรมนี้ จะลบภาพนั้นทิ้งครับ (ดูดีมีวิชาการ อิอิ)
|
|
|
|
telek78
|
|
« ตอบ #571 เมื่อ: 12 มีนาคม 2553, 11:54:02 » |
|
งั้นภาพที่น้องสาวคนนั้นที่ขี่จักรยาน เบาะสีเนื้อจะโดนลบมั้ย
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #572 เมื่อ: 12 มีนาคม 2553, 15:47:25 » |
|
งั้นก่อนจะโดนลบ รบกวน back up ใส่ ext hdk ของกรูก่อน..
|
|
|
|
ชาร์ป
|
|
« ตอบ #573 เมื่อ: 12 มีนาคม 2553, 18:45:31 » |
|
ดีนะที่ผมเก็นเป็นภาพเคลื่อนไหว ทั้ง hardisk เลย
|
|
|
|
Aj.O
|
|
« ตอบ #574 เมื่อ: 12 มีนาคม 2553, 22:09:30 » |
|
อืมม์ หรือมันดูที่สาหร่าย กับ หัวไม้ขีด เป็นหลัก...หว่า? แต่รูปพวกบิกินี่ ในโน๊ตบุ๊คส่วนตัวของผมมีเพียบครับ หุหุ แต่พวกที่เห็นสาหร่าย มีอยู่ไม่เกิน 8 รูป
|
...
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #575 เมื่อ: 15 มีนาคม 2553, 08:11:45 » |
|
ต้องซื้อมาทดสอบเองแล้วล่ะ ผมก็ไม่เคยใช้แฮะ จารย์โอ ลองไปหาแถวญี่ปุ่นสิ เผื่อมี
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #576 เมื่อ: 15 มีนาคม 2553, 12:26:00 » |
|
เออ..แล้วภาพเคลื่อนไหวมันทำยังไงหว่า
|
|
|
|
telek78
|
|
« ตอบ #577 เมื่อ: 15 มีนาคม 2553, 20:36:21 » |
|
โต้งถามวิธีถ่ายคลิปเหรอ ถามตาแครมเลย
|
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #579 เมื่อ: 21 พฤษภาคม 2553, 13:56:44 » |
|
ไม่ชอบนิดเดียว ตรงสุดท้ายที่ว่าศีรษะนี้มอบ..น่ะ เบี่ยงเป็นคำอื่นจะเจ๋งสุดๆ
|
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #580 เมื่อ: 18 มิถุนายน 2553, 12:19:33 » |
|
เทพบุตรยาจก ซีลี่เกอ ที่มา : http://www.oknation.net/blog/print.php?id=576258สาวเอเชียนับล้านกรี๊ดแตก พากันปลื้ม"เทพบุตรยาจก" หน้าหล่อ แม้สังคมจะตราไว้ว่าเขาเป็น "คนบ้า" ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อ เมื่ออยู่ๆ หนุ่มสติไม่ดีคนหนึ่ง หรือ ที่สามัญเรียกกันไปว่า "คนบ้า" กลับกลายเป็นผู้ที่โด่งดังและกล่าวถึงกันมากที่สุดทั่ว ประเทศจีน ณ ขณะนี้ ซะอย่างนั้น โดยเฉพาะจากหมู่เด็กสาว และผู้หญิงจากโลกสังคมออนไลน์ ชนิดเสียว่า เจ้าตัวไม่รู้ด้วยซ้ำ ว่า กลายเป็นขวัญใจของสาวๆ และไม่สาวไปเสียแล้ว จะไม่ให้กรี๊ดกร๊าด โจษจันกันได้อย่างไร เมื่อหนุ่มแดนมังกร ไม่เต็มบาท นามว่า "ซีลี่เกอ" นายนี้ เล่นมีหน้าตาหล่อเหลา จมูกโด่งเป็นสัน รูปร่างสูง หุ่นสมาร์ทซะ ถึงขนาดที่ว่า เทียบชั้นดาราดัง ใน ฮ่องกง ญี่ปุ่น เกาหลีได้สบายๆ หรือบางครั้งอาจ "ดูดีกว่า" ด้วยซ้ำ นี่จึงเป็นที่มาของฉายาที่ใครต่อใครก็เรียกว่า "เทพบุตรยาจก" รูปถ่ายของ "ซีลี่เกอ" ถูกโพสต์ขึ้นบนอินเตอร์เน็ต จนกลายบุคคลที่มีผู้คนติดตามและต้องการที่จะพบเจอเขาตัวเป็นๆ เสียแทบทั่วเอเชีย โดยมีที่มาจากชายคนหนึ่งที่เห่อกล้องตัวใหม่ และได้ไปถ่ายเอาภาพของ "ซีลี่เกอ" เข้า ขณะเขากำลังเดินอยู่บนถนนในเมืองหนิงโป ต้องเรียกว่า อย่างเท่ห์ เหตุเกิดเมื่อวันที่ 30 ม.ค. ที่ผ่านมานี้เอง ด้วยลักษณะการแต่งกายที่พะรุงพะรัง อย่างมีสไตล์ เพียงเสื้อไหมพรม ทับด้วยแจ็กเก็ตหนัง คลุมด้วยโอเวอร์โค้ดตัวหนาสีดำยาวอีกตัวหนึ่ง กับกระเป๋าหนังสะพายข้าง ท่อนล่างเป็นยีนส์เก่าๆ กับผ้าหลากสี ผูกแทนเข็มขัด ตบท้ายด้วยผ้าใบ หรือบางวันจะกลายร่าวแต่งเป็นหญิง หยิบเสื้อผ่านู่นนี่มาอะแด๊ปกัน ก็ดูเข้ากันอยางลงตัว เท่านี้ก็เรียกความอินเทรนด์ ดั่งเจ้าพ่อแฟชั่นหลุดจากนิตยสารมาด้วยตัวเองเสียแล้ว ขอบอกแนวจริงๆ เลยล่ะ กิจวัตรประจำวันของ "ซีลี่เกอ" คือการเดินไปเรื่อยๆ แล้วเก็บอาหารที่หล่นอยู่ตามถนนและถังขยะมากิน แบบไม่แคร์สายตาใคร บางครั้งก็มีคนให้เงินเขาไว้ติดตัว แต่ "ซีลี่เกอ" ก็นำเงินเหล่านั้นมา ซื้อบุหรี่สูบ แทนที่จะไปหาอาหารดีๆ มาให้กับร่างกาย โดยให้เหตุผลว่า เวลาสูบบุหรี่ คือเวลาที่เขามีความสุขที่สุด....!!! เมื่อชื่อเสียงของ ซีลี่เกอ เริ่มแผ่ในวงกว้างนานวันเข้า เด็กสาวชาวญี่ปุ่นผู้คลั่งไคล้ศิลปินดารา ก็นำรูปถ่ายของเขา ไปเปรียบเทียบกับ "ฮิโระ มิตซูชิมา" ดาราดังหน้าใสจากแดนอาทิตย์อุทัย เนื่องจากสองคนนี้มีใบหน้าที่ละม้ายกันมาก แต่หลายคนก็บอกว่า ความหล่อของ ซีลี่เกอ นั้น มีมากยิ่งกว่าซุปเปอร์สตาร์จากชาติซากูระเสียอีก ข้ามไปฝั่งไต้หวัน "จิ๋วกง" นักแสดงก็อบปี้โชว์ชื่อดัง ก็ยังเอารูปแบบการแต่งตัวของ "ซีลี่เกอ" ไปเลียนแบบซะเหมือนออกรายการโทรทัศน์เสียคน ทั่วบ้านทั่วเมืองเพิ่มความสนใจกับ "หนุ่มบ้า" ผู้นี้ขึ้นทวีคูณ ตรงจุดนี้ทำให้พวกหัวใสถึงขั้นออกแบบเสื้อผ้าของเขามาขายในเว็บไซต์เถาเป่า ตั้งราคาถึง 6,666 หยวน หรือตกราคาเกือบ 27,000 บาทของไทย เลย "เหล่าฉันเมา" เพื่อนคนเดียวของ "ซีลี่เกอ" ที่ถูกอ้างว่า เขายอมไว้ใจพูดคุยด้วย เปิดเผยว่า ครั้งแรกที่เขาพบซีลี่เกอ คือ เมื่อเดือนกรกฎคม ปี 2008 ก่อนหน้านี้ไม่มีใครรู้ว่า ซีลี่เกอ มีชื่อจริงๆ ว่าอะไร แต่ ชื่อ "ซีลี่เกอ" นี้ เป็นชื่อที่ชาวเน็ตตั้งให้ โดยมีความหมายถึงแววตาที่เฉียบคม ทั้งนี้ เหล่าฉันเมา เล่าว่า ซี่ลี่เกอ มักจะบ่นว่า "อยากให้ผู้หญิงสักคนมารักผม" ซึ่งนั่นคงเป็นสาเหตุที่เขาใส่เสื้อผู้หญิงเสมอ เพราะอยากจะมีแฟน กระมัง ด้วยความที่กลายเป็นที่รู้จักจากคนนับล้าน ของ"ซีลี่เกอ" นั่นเอง ทำให้หลายคนเริ่มสืบประวัติความเป็นมาของชีวิตเขามากขึ้น บ้างก็อ้างเป็นสามีเก่า บ้างก็มีทหารคนหนึ่งออกมาอ้างว่า ซีลี่เกอ เคยร่วมกู้ภัยน้ำท่วมใหญ่ในปี 1998 แต่ก็ยังไม่มีใครพิสูจนน์ได้ว่า เขาเป็นใคร มาจากไหน แม้จะมีหน่วยงานสงเคราะห์ยื่นมาให้ความช่วยเหลือ แต่ ซีลี่เกอ กลับรู้สึกอึดอัดและตื่นกลัว จนต้องปล่อยให้เขากลับไปใช้ชีวิตตามเดิม แต่ก็ไม่วายทำให้ชีวิตอันเป็นอิสระแต่ดั้งเดิมของเขาต้องไม่เป็นส่วนตัวอีกต่อไป เมื่อคนจำนวนมากที่ให้ความสนใจกลับคอยติดตาม และแอบถ่ายรูปเขาตลอดเวลา ทำให้ซีลี่เกอ มีสีหน้าเคร่งเครียด ที่ความสุขของเขาถูกปล้นไปเรียบร้อยแล้ว ต่อมาเมื่อต้นเดือนมีนาคม ที่ผ่านมาสดๆ ร้อน ๆ ในที่สุด พ่อหนุ่มซีลี่เกอ ก็ถูกสืบประวัติจนพบกับครอบครัวที่แท้จริงของเขา นั่นก็คือ แม่ และน้องชาย ที่พลัดพรากจากกันมาจนได้ ซึ่งครอบครัวของเขาก็มีหลักฐาน และภาพถ่ายยืนยันว่า แท้จริงแล้ว ซีลี่เกอนั้น มีชื่อจริงว่า นาย เชินกูหรง (Chen Guo Rong) มีบ้านเกิดอยู่ที่เมือง จางสี หายตัวออกจากบ้านไป 10 ปีที่แล้ว หลังจากออกไปทำงาน โดยทิ้งลูก 2 คน เอาไว้ ซึ่งขณะนี้ลูกๆ ของเขาก็มีอายุ 10 และ 11 ปีแล้ว ส่วนตัว ซีลี่เกอ นั้นมีอายุ 34 ปี แล้ว แต่เรื่องที่น่าเศร้าที่สุดคือ ภรรยาของเขา ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์เสียชีวิตไปเมื่อปีที่แล้วนี่เอง สุดท้ายแล้ว "ซีลี่เกอ" หรือ "เชินกูหรง" ก็ถูกรับตัวกลับมาอาศัยอยู่กับครอบครัวตามเดิมแล้ว และก็ต้องดูต่อไปว่า คนที่จากบ้านมาเป็นเวลานับ 10 ปี พร้อมกับมีสภาพจิตใจที่ไม่เป็นปกติ จะสามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อม แบบคนปกติได้หรือไม่ ขอบอกว่า การที่คุณพี่ "ซีลี่เกอ" ผู้นี้ "เซอร์และแนว" ล้ำแฟชั่นแบบไม่อิงกระแสโลก แบบที่เป็นอยู่ก็ดีเหมือนกันนะ แต่การที่เขาได้กลับไปอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากับคนในครอบครัว คงเป็นเรื่องที่น่ายินดียิ่งกว่า ที่จะไม่ต้องไปคุ้ยและหาอาหาร ที่ไม่สะอาดข้างถนนรับประทานอีกต่อไป. ***หมายเหตุ :ภาพและข้อมูล จากเว็บไซต์ http://www.whatsonxiamen.com/news10678.html,http://yellowcranestower.blogspot.com/2010/03/internet-sensation-xi-li-ge-brother.html,http://thinkcontra.com/blog/archives/tag/xi-li-geขอขอบคุณ : ภาพเนื้อหาและจาก : http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1269602429&grpid=01&catid=
|
|
|
|
ชาร์ป
|
|
« ตอบ #581 เมื่อ: 18 มิถุนายน 2553, 12:21:56 » |
|
คนหน้าตาดี ทำอะไรก็ไม่มีใครว่าเนอะ ...
|
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #583 เมื่อ: 12 กรกฎาคม 2553, 09:19:52 » |
|
ขนลุกซู่ตอนเค้ายื้นปรบมือตอนที่เปลี่ยนขี่ัจักรยานกับเข้าเส้นชัยน่ะ..สุดๆจริงๆ
|
|
|
|
ชาร์ป
|
|
« ตอบ #584 เมื่อ: 17 สิงหาคม 2553, 18:24:06 » |
|
ubject: Fw: ไทม์ แมกกาซีน เผยคนที่มีความสุขมากที่สุดในโลก คือ พระในพุทธศาสนา... http://www.time.com/time/covers/1101030804/ ** ธรรมวันละนิดจิตแจ่มใสนะจ๊ะ J + วารสาร time magazine บอกว่า ที่อเมริกาได้มีงานวิจัยพบว่าคนที่มีความสุข มากที่สุดในโลกก็ คือ พระ ในพุทธศาสนา โดยทดสอบด้วยการสแกนสมอง ของพระที่ ทำสมาธิและได้ผลลัพธ์ออกมาว่าจริง… + หลักความเชื่อของพุทธศาสนา ก็คือ เหตุที่ทำให้เกิดความสุขนั้น ก็คือ อยู่กับปัจจุบัน ขณะปล่อยวางได้ใน สิ่ง ที่เกิดขึ้นแล้ว ควบคุมความอยากที่ไม่มี สิ้นสุด ไม่ใช้ความรุนแรง ไม่ทะเลาะ และ ใช้หลักเวรย่อมระงับด้วย การ ไม่จอง เวร ให้ อภัยตัวเองและผู้อื่น มีจิตใจเมตตากรุณา และเสียสละเพื่อผู้อื่น….. + อริยะสัจสี่ สิ่งที่พระพุทธเจ้าได้ค้น พบและบอกไว้ด้วยว่า ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค แท้จริงแล้วก็คือทางเดิน ไป หาคำว่า "ความสุข" เพราะถ้าเมื่อไรเรากำจัด "ความทุกข์" ได้แล้วความสุขก็จะเกิด ขึ้นทันที….. + อุปสรรคของความสุข ก็คือ แรงปรารถนาและตัณหา พระอาจารย์บอกว่า คนเราจะมีความสุขมันไม่ได้ ขึ้น อยู่กับ "มีเท่าไร" แต่ขึ้นอยู่ที่ว่าเรา "พอเมื่อไร" ความสุขไม่ได้ขึ้นกับ จำนวนสิ่งของที่เรามีหรือเราได้..... + ท่านสังเกตเอาจากชาวนาที่ จ อุบล ถ้าบ้านไหนมีควายไว้ช่วยทำนา 1 ตัว บ้านนั้นจะมีความสุข แต่เมื่อไร ที่ ชาวนาคนไหนอยากจะได้ ควายตัวที่ 2 ปั๊ป ชาวนาคนนั้นจะไม่มีความ สุขเลย เพราะต้องเริ่มคิดว่าจะทำไง ดี ถึงจะได้ควายอีกสักตัว เราก็เหมือนกัน เมื่อไรที่เราอยากได้รถคันใหม่ อยากได้บ้านใหม่ อยากไปเที่ยว อยาก จะ มัดใจไอ้หมอนั้นให้ได้ ฯลฯ เราจะเริ่มเป็นทุกข์ เพราะเราต้องคิดหาทางที่จะเอามันมา ให้ได้มาเป็นของเรา….. + ดังนั้นวิธีจะมีความสุข อันดับแรกต้อง "หยุดให้เป็นและพอใจให้ได้" ถ้าเราไม่หยุดความอยาก (ที่มาก เกิน ไป) ของเราแล้วละก้อ เรา ก็จะต้องวิ่งไล่ตามหลายสิ่งที่เรา "อยากได้" แล้วนั่นมันเหนื่อย และความทุกข์ ก็ จะตามมา... + ข้อต่อมาที่ทำให้เราเป็น สุขคือ การมองทุกอย่างในแง่บวก เมื่อเสร็จงานแล้วกลับถึงบ้าน คนที่บ้านถามว่า วันนี้ เป็นไงบ้าง ? ส่วนใหญ่เรา จะตอบว่า "โดนนายด่า มา วุ่นวาย ลูกค้างี่เง่า ฯลฯ " ทำไมเราถึง ชอบ คิด ถึงแต่เรื่องไม่ ดี ? + ในชีวิตแต่ละวัน แน่นอนเราต้องเจอทั้งเรื่องดี และไม่ดี แต่ถ้าเราอยากจะมีความสุข เราต้องเริ่มด้วย การ มองแต่สิ่งดีๆ มองให้เป็นบวก เพื่อที่ใจเราจะได้เป็น บวก คิดถึงสิ่งที่เราทำสำเร็จแล้วในวันนี้ สิ่งดีๆที่ เรา ได้ทำ...... + ข้อต่อมาคือ การให้ หมายรวมถึงการให้ในรูปแบบสิ่งของหรือเงิน เรียกว่าบริจาค และการให้ความ เมตตา กรุณาต่อกัน ให้อภัยทั้งตัวเองและคน อื่น สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นปัจจัย ทำให้เรามีความสุข...... + การปล่อยวางให้ได้ในทุก สิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว และที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต ไม่ว่าเรื่องจะร้ายแรงและ เศร้า โศกเพียงใด จำไว้ว่ามันจะโดนเวลาพัด พามันไปจากเราไม่ช้าก็เร็ว เราจะผ่านพ้นไปได้....และยอมรับ ใน ความเป็นจริงของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที้เรา ไม่ชอบเพียงใด ไม่ว่าผิดหวัง สูญเสีย เจ็บป่วย ล้วนแล้ว แต่ เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเรา เราทุกคนต้องได้ผ่านบท ทดสอบนี้ทั้งสิ้น ไม่ว่าเราจะเป็นใคร..... + ขอให้เรารักษาใจเราให้ เป็นสุขอยู่เสมอ เพราะความสุขอยู่ใกล้แค่นี้เอง… แค่ที่ใจของเรานี้เอง !!
|
|
|
|
telek78
|
|
« ตอบ #585 เมื่อ: 19 สิงหาคม 2553, 10:29:08 » |
|
จักรยานสุดยอด
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #586 เมื่อ: 19 สิงหาคม 2553, 16:32:02 » |
|
แทนที่จะชมพ่อเค้า..ชมจักรยานซะงั้น..
|
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #587 เมื่อ: 31 สิงหาคม 2553, 18:21:21 » |
|
ถ้ายังจำกันได้ ผมเคยบอกเทคนิคในการค้นหารูปใน google โดยการใช้ search รูป ที่มีสีใกล้เคียงกัน มาแล้ว วันนี้เอาลูกเล่นใหม่ของ google นำเสนอ คือการ search รูป ที่คล้ายกัน ดังเช่นในตัวอย่าง ผม search รูป ด้วยคำว่า saint seiya ได้ผลดังรูป คราวนี้ผมอยากได้ รูป saint seiya ที่มีลักษณคล้ายๆ แบบนี้ จะทำยังไง ให้เอา mouse ไปวางไว้บนรูปที่ต้องการ รูปนั้นมันจะ pop ขึ้นมา สังเกตมุมซ้ายล่างจะมีคำว่า "ใกล้เคียง" ให้คลิกเลือกที่ปุ่มนั้น ผลก็คือ จะได้รูปที่ใกล้เคียงกันมามากมาย เอ้า ใครจะเก็บรูปกวางแหงะไว้เป็นคอลเล็คชั่นเยอะๆ ก็ไม่ใช่เรื่องยากแล้ว
|
|
|
|
telek78
|
|
« ตอบ #588 เมื่อ: 01 กันยายน 2553, 08:29:46 » |
|
เออ ไม่เคยรู้มาก่อน ดีดี จะไปลองดูมั่ง
ว่าแต่กวางแหงะเนี่ยะเป็นไงเหรอ
|
|
|
|
Tarnthongl
Full Member
ออฟไลน์
กระทู้: 482
|
|
« ตอบ #589 เมื่อ: 01 กันยายน 2553, 10:51:07 » |
|
กวางเหลียวหลังมั้ง
|
|
|
|
ชาร์ป
|
|
« ตอบ #590 เมื่อ: 02 กันยายน 2553, 10:28:22 » |
|
ฟอร์บส์จัด อันดับ 40 เศรษฐีรวยที่สุดในประเทศไทย "ธนินท์ เจียรวนนท์"รวยสุด มีทรัพย์สินกว่า 2.17 แสนล้านบาท "ทักษิณ"ยังไม่หลุดโผ อยู่อันดับ 23
(ที่มา กรุงเทพธุรกิจ)
ฟอร์บส์ บริษัทจัดอันดับชื่อดังของโลก จัดอันดับบุคคลที่รวยที่สุดของไทย 40 อันดับ ดังนี้
1. ธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหารเครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) มูลค่ารวมทรัพย์สิน 7,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ กว่า 217,000 ล้านบาท
2. เฉลียว อยู่วิทยา หรือ "โกเหลียว" เจ้าของเครื่องดื่มชูกำลัง กระทิงแดง หรือ เรดบูล มูลค่ารวมทรัพย์สิน 4,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ ราว 130,000 ล้านบาท
3. เจริญ สิริวัฒนภักดี ผู้ก่อตั้งบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ เจ้าของธุรกิจวิสกี้และเบียร์ (เหล้าแม่โขง , เบียร์ช้างฯลฯ ) มูลค่ารวมทรัพย์สิน 4,150 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
4. ครอบครัว "จิราธิวัฒน์" เจ้าของกิจการหลายอย่าง ตั้งแต่ธุรกิจค้าปลีก เครือข่าย เซ็นทรัล กรุ๊ป มูลค่ารวมทรัพย์สิน 2,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
5. กฤตย์ รัตนรักษ์ ประธาน และ ซีอีโอ ของ บริษัท บางกอก บรอดคาสติ้ง แอนด์ ทีวี (บีบีทีวี) โดยมีทรัพย์สินรวมถึงหุ้นในธนาคารกรุงศรีอยุธยา และปูนซิเมนต์นครหลวง มูลค่ารวมทรัพย์สิน 1,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
6. Aloke Lohia Chief Executive Officer บริษัท อินโดรามา โพลีเมอร์ส จำกัด (มหาชน) และอาศัยอยู่ในประเทศไทยมานานกว่า 20 ปี มูลค่า รวมทรัพย์สิน 1,250 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ( นายอาลก โลเฮีย )
7. จำนงค์ ภิรมย์ภักดี ประธานบริษัทบุญรอดบริวเวอรี่ (เบียร์สิงห์ , ลีโอเบียร์) มูลค่ารวมทรัพย์สิน 1,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
8. ทองมา วิจิตรพงศ์พันธ์ เจ้าของกิจการพฤกษาเรียลเอสเตท บริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ อันดับ 2 ของประเทศ มูลค่ารวมทรัพย์สิน 1,150 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
9. วิชัย มาลีนนท์ เจ้าของกิจการ บีอีซีเวิลด์ และไทยทีวีสี ช่อง 3 มูลค่ารวมทรัพย์สิน 1,110 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
10. อิสระ วงศ์กุศลกิจ กรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัทมิตรผล (น้ำตาลมิตรผล) มูลค่ารวมทรัพย์สิน 1,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
11. คุณหญิงประณีตศิลป์ วัชรพล ภรรยา นายกำพล วัชรพล เจ้าของหนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ หนังสือพิมพ์หัวสีใหญ่ที่สุดของประเทศไทย ร่วมมูลค่าทรัพย์สิน 1,050 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
12. นายวาณิช ไชยวรรณ และครอบครัว เจ้าของกิจการไทยประกันชีวิต
13. นายคีรี กาญจนพาสน์ ประธานกรรมการ บมจ.ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ (BTS)
14. นางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานเครือบริษัท ไทยซัมมิต ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ ถือหุ้นส่วนหนึ่งอยู่ใน เนชั่น มัลติมีเดีย
15. นางสุรางค์ เปรมปรีดิ์ กรรมการผู้จัดการบีบีทีวี (ช่อง7)
16. นายประยุทธ มหากิจศิริ เจ้าของกิจการเหล็กกล้า ไทยน็อกซ์ สแตนเลส
17. นายอนันต์ อัศวโภคิน ผู้ก่อตั้งบริษัท แลนด์ แอนด์ เฮาส์
18. นายไกรสร ชาญสิริ ประธานและผู้ก่อตั้ง ไทย ยูเนียน ฟรอซเซน กิจการทูน่ากระป๋อง ที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลก
19. วิลเลียม อี. ไฮเนคกี้ และครอบครัว เจ้าของกิจการ ไมเนอร์ คอร์ป., ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล ทำธุรกิจ อาทิ เอสปรี และธุรกิจภัตตาคาร , สปา , โรงแรม มากกว่า 800 แห่งในหลายประเทศ
20. นายสรรเสริญ จุฬางกูร ผู้ก่อตั้งบริษัท สามมิตรมอเตอร์ ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์
21. นายบุญชัย เบญจรงคกุล และครอบครัวผู้ก่อตั้ง บริษัทโทรคมนาคม ดีแทค
22. คุณหญิงประภา และนายวิทย์ วิริยะประไพกิจ ผู้บริหาร สหวิริยา สตีล อินดัสตรี้
23. พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี Thaksin Shinawatra ทรัพย์สิน 390 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
24. นิชิต้า ชาห์ สาวโสด เจ้าของกิจการพรีเชียส ชิพปิ้ง จำกัด (มหาชน) ที่สืบทอดจากบิดา
25. นายวรวิทย์ วีรบวรพงศ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท สยามแก๊ส แอนด์ ปิโตรเคมีคัลส์ จำกัด(มหาชน)
26. นายจำรูญ ชินธรรมมิตร์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท น้ำตาลขอนแก่น จำกัด (มหาชน)
27. น.พ.ประเสริฐ ปราสาททองโอสถ ผู้ก่อตั้งสายการบิน บางกอก แอร์เวย์ส
28. นางนิจพร จารนะจิตต์ ผู้ถือหุ้นใหญ่ในอิตาเลียน-ไทย พี่สาวของ นายเปรมชัย กรรณสูต ประธานโรงแรมโอเรียนเต็ล และมีหุ้นส่วนตัวอยู่ในเครือโรงแรมอมารี
29. นายเปรมชัย กรรณสูต ผู้บริหารสูงสุดของ บริษัทรับเหมาก่อสร้าง อิตาเลียน-ไทย
30. นายนิธิ โอสถานุเคราะห์ ได้รับตกทอดหุ้น บริษัท โอสถสภามา 25% มีเงินลงทุนอยู่ใน ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล
31. นายรุ่งโรจน์ แสงศาสตรา ประธานกรรมการและประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไดนาสตี้ เซรามิค จำกัด (มหาชน)
32. นายเฉลิม อยู่วิทยา (ลูกชาย นายเฉียว อยู่วิทยา) เป็นผู้บริหาร บริษัท เครื่องดื่มกระทิงแดง จำกัด
33. นายประทีป ตั้งมติธรรม ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน)
34. นายวิโรจน์ ธนาลงกรณ์ เจ้าของธุรกิจเสื้อผ้า โดยเฉพาะ ชุดชั้นใน ซาบีน่า
35. นายวิชัย รักศรีอักษร ผู้ก่อตั้งบริษัท คิง เพาเวอร์ ดำเนินกิจการร้านค้าปลอดภาษี
36. นางพรดี ลี้อิสระนุกูล สืบทอดกิจการในเครือกลุ่มบริษัทสิทธิผล จาก นายวิทยา ผู้เป็นสามี มีหุ้นอยู่ในสิทธิผลมอเตอร์,ไทย สแตนเลย์ อีเลคทริค และบริษัทร่วมทุน อินูเอะ รับเบอร์
37. นายวิชา พูลวรลักษ์ เจ้าของกิจการ เมเจอร์ ซีนีเพลกซ์ เครือข่ายธุรกิจโรงภาพยนตร์ ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ
38. นายปลิว ตรีวิศวเวทย์ เจ้าของกิจการบริษัทก่อสร้าง ช.การช่าง
39. นายเพชร (นักร้อง และนักดนตรี เจ้าของผลงานเพลง "เพียงชายคนนี้..ไม่ใช่ผู้วิเศษ" ที่โด่งดังเมื่อปี พ.ศ. 2530) และนายรัตน์ โอสถานุเคราะห์ ซึ่งทั้งสองเข้ารับช่วงการบริหารบริษัทในเครือโอสถสภา และมหาวิทยาลัยกรุงเทพ
40. นายพงษ์ศักดิ์ วิทยากร ผู้ก่อตั้ง โรงพยาบาลกรุงเทพ
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #591 เมื่อ: 02 กันยายน 2553, 11:50:57 » |
|
สนใจลำดับที่ 24..
|
|
|
|
teemeekiew
|
|
« ตอบ #592 เมื่อ: 02 กันยายน 2553, 12:03:55 » |
|
น.ส.นิชิต้า ชาห์
|
RCU82 ค๊าบบบ
|
|
|
Tarnthongl
Full Member
ออฟไลน์
กระทู้: 482
|
|
« ตอบ #593 เมื่อ: 03 กันยายน 2553, 10:53:54 » |
|
เค้ารู้ได้งัยว่าโสด แล้วทรัพย์สินที่ยังไม่แสดงอีกเพียบ
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #594 เมื่อ: 06 กันยายน 2553, 13:42:38 » |
|
หน้าตาก็พอได้..อยากรู้จักจัง..
|
|
|
|
Tarnthongl
Full Member
ออฟไลน์
กระทู้: 482
|
|
« ตอบ #595 เมื่อ: 06 กันยายน 2553, 19:42:12 » |
|
อ่านผู้จัดการบอกว่าแต่งงานแล้ว แฟนเป็นคนอเมริการวยเหมือนกัน โต้งหมดสิทธิ์
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #596 เมื่อ: 07 กันยายน 2553, 10:45:40 » |
|
อ้าว แล้วไหงบอกโสด
|
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #597 เมื่อ: 18 กันยายน 2553, 16:52:53 » |
|
เจาะใจดีลเลอร์ขายรถขั้นเทพ จบ ป.5 ดัน′โตโยต้าดีเยี่ยม′ ใหญ่สุดในเอเชีย!
ท่าม กลางวิกฤตของแบรนด์ โตโยต้า ทั่วโลกที่ต้องเรียกคืนรถยนต์หลายรุ่นนับล้านคันมาแก้ไขข้อบกพร่อง แต่ที่ประเทศไทย โตโยต้า ยังครองยอดขายอันดับหนึ่ง โดยเฉพาะ โตโยต้าดีเยี่ยม อุบลราชธานี ของเสี่ย สมชาย เหล่าสายเชื้อ เจ้าของโชว์รูมใหญ่ที่สุดในเอเชีย เบื้องหลังความสำเร็จ หนุ่มเมืองจันท์ แห่ง ฟาสต์ฟู้ดธุรกิจ (คอลัมภ์นิสต์)จะเล่าให้ฟัง
"หนุ่มเมืองจันท์" เล่าว่า ผมเพิ่งกลับจากงาน "MICT สร้างคน สร้างชาติ" ที่จังหวัดอุบลราชธานี ผมคุยกับ "สมชาย เหล่าสายเชื้อ" เจ้าของ "โตโยต้าดีเยี่ยม" ดีลเลอร์ขายรถโตโยต้ารายใหญ่ของอุบลราชธานี
บอกตรงๆ ว่าไม่รู้จัก
ตอนอ่านข้อมูลของ "สมชาย" ที่ทีมงานส่งมาให้ก็เริ่มสนใจมากขึ้น แต่พอได้เจอตัวจริง ยิ่งคุยยิ่งตะลึง ...ไปอยู่ที่ไหนมา เป็นความรู้สึกเหมือนตอนที่ผมคุยกับ "หมวย" ศิริญา เทพเจริญ ของ "ณุศาศิริ" "โตโยต้าดีเยี่ยม" เป็นโชว์รูมของโตโยต้าที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย ตั้งอยู่บนเนื้อที่ 22 ไร่เศษ ใช้เงินลงทุนกว่า 800 ล้านบาท และกำลังขยายไปอีก 60 ไร่
แต่ความยิ่งใหญ่ของ "โชว์รูม" นั้นไม่เท่ากับชีวิตของ "สมชาย" ผม ชอบประโยคหนึ่งที่เขาบอกกับคณะกรรมการของ "โตโยต้า" ในช่วงการสัมภาษณ์ซึ่งเป็นขั้นตอนสุดท้ายของการตัดสินว่า จะอนุมัติให้ "สมชาย" เป็น "ดีลเลอร์" ขายรถโตโยต้าหรือไม่ "ผมไม่มีอะไรที่เหนือกว่าคนอื่น ผมมีเพียงแค่ใจที่เหนือคน" "ขนาดหัวใจ" ของ "สมชาย" คนนี้ ไม่ธรรมดาจริงๆ ครับ
"สมชาย" จบแค่ ป.5
ตอนเรียนนั้น เขามีคุณสมบัติพิเศษเหนือกว่าเด็กนักเรียนคนอื่นตรงที่ เรียนชั้นละ 2 ปี จนถึง ป.5 ครูประจำชั้นทนไม่ได้ ต้องแอบเอาข้อสอบมาให้ที่บ้าน กลัวว่าเขาจะสอบตก "สมชาย" ตัดสินใจลาออกจากโรงเรียน ไปทำงานตามร้านขายของชำ ขายหนังสือพิมพ์ ฯลฯ ทำทุกอย่างที่ได้เงิน เขาเป็นคนสู้งาน ทำงานที่ไหนเถ้าแก่ก็รัก วันหนึ่ง เขาไปทำงานที่บริษัทเสริมสุข ส่ง "เป๊ปซี่" ตามร้านต่างๆ ในจังหวัดอุบลฯ ทำงานไม่กี่เดือน เขาก็ได้เป็น "พนักงานขายดีเด่น" ที่ทำยอดขายสูงสุดในประเทศไทย 1,200 กว่าลังต่อวัน จำนวนลังที่ขายได้ต่อวันมากกว่าปริมาณที่รถจะบรรทุกได้ ครับ เขาขาย 2 รอบ เคล็ดลับการขายของ "สมชาย" ก็คือ ออกรถเช้ากว่าคนอื่น เขาออกรถตั้งแต่ตีห้า 11 โมงเขาก็ขายหมด
กลับมาบรรทุก "เป๊ปซี่" ใหม่อีกเที่ยวหนึ่ง แล้วตระเวนไปตามร้านอื่นๆ ต่อ "ผมไม่ได้ขายแค่ร้านริมถนน แต่ในซอย หรือตามบ้าน ผมก็ส่ง"
3 ปีผ่านไป เขาก็ยังรักษาสถิตินักขายดีเด่นเอาไว้ได้ ซึ่งตามหลักเขาควรจะได้รับการโปรโมตในตำแหน่งที่สูงขึ้น แต่ "สมชาย" ไม่ได้ ด้วยเหตุผลว่าตำแหน่งผู้จัดการนั้นต้องมีอายุ 36 ปีขึ้นไป "สมชาย" ตัดสินใจลาออก และเดินตามความฝันในวัยเด็กของเขา เขาชอบ "รถยนต์" "สมชาย" เดินไปสมัครงานที่ "โตโยต้าอุบลราชธานี" ดีลเลอร์ขายรถโตโยต้าเก่าแก่ในเมืองอุบลฯ คำถามแรกที่เจอก็คือ "จบอะไรมา" พอบอกว่า ป.5 เถ้าแก่ก็ปฏิเสธ "ตอนนี้เขารับแต่ ปริญญาตรี หรือ ปวส." "สมชาย" รู้ว่าคุณสมบัติสู้ไม่ได้ เขาจึงยื่นข้อเสนอใหม่ เป็นข้อเสนอแบบ "ก๊อดฟาเธอร์" "นี่คือ ข้อเสนอที่ปฏิเสธไม่ได้" "ก๊อดฟาเธอร์" นั้นใช้บารมีหรือความเหี้ยมโหดทำให้คนฟังต้องสยบยอม แต่ข้อเสนอของ "สมชาย" เป็นข้อเสนอที่คนฟังไม่รู้จะปฏิเสธอย่างไร
ข้อเสนอของเขามี 3 ข้อครับ 1.ทำงานอะไรก็ได้ 2.เงินเดือนเท่าไรก็ได้ และ 3.ทำงานทุกวันไม่มีวันหยุด
"คุณจะรู้สึกอย่างไร ถ้ามีคนเสนอเงื่อนไขแบบนี้" คุณสมชายถามผมบนเวที ...ทำงานอะไรก็ได้ เงินเดือนเท่าไรก็ได้ และทำงานไม่มีวันหยุด "แบบนี้ต้องมาปล้นแน่ๆ เลย" ผมตอบ ...มุข ครับ มุข
"เถ้าแก่" คนไหนเจอคนมาสมัครงานแล้วเสนอเงื่อนไขแบบนี้ อย่างน้อยเขาก็ต้องรู้สึกว่าไอ้เด็กคนนี้มันต้องขยัน และตั้งใจจริงอย่างแน่นอน นั่นคือ เหตุผลที่ "เถ้าแก่" ตัดสินใจรับ "สมชาย" เข้าทำงาน เริ่มต้นงานแรกด้วยการปัดกวาดรถและทำทุกอย่างที่ "เถ้าแก่" ใช้ จนวันหนึ่ง "เถ้าแก่" สั่งให้เขาไปส่งรถให้ลูกค้าที่ยโสธร ให้เงินไป 30 บาท 2 ชั่วโมงหลังจากนั้นเขากลับมาพร้อมกับตังค์ทอน 13 บาท ขับรถไปส่ง และนั่งรถโดยสารกลับมา ไม่อู้ และซื่อสัตย์ เมื่อ โชว์รูมที่ยโสธรมีปัญหา "เถ้าแก่" จึงส่ง "สมชาย" ไปดูแล 3 เดือนแรกเขาขายไม่ได้เลยสักคันเดียว แต่สิ่งหนึ่งที่ "สมชาย" ค้นพบก็คือ คนที่มีรถเก่า ส่วนใหญ่อยากซื้อรถคันใหม่ แต่จะซื้อได้ก็ต้องขายรถเก่าให้ได้ก่อน "สมชาย" จึงใช้กลยุทธ์หาพ่อค้ารถมือสองมารับซื้อรถ พอขายรถเก่าได้ เขาก็จะมาซื้อรถใหม่กับ "สมชาย" ยอดขายรถโตโยต้าที่ยโสธรพุ่งขึ้นเรื่อยๆ สิ้นปี "เถ้าแก่" จัดงานปีใหม่ และบอกกับพนักงานทุกคนว่าสาขาอุบลฯ นั้นอยู่รอดได้เพราะสาขายโสธร "หนู" ช่วย "ราชสีห์" "สมชาย" ทำงานที่ "โตโยต้าอุบลฯ" 15 ปี เมื่อ "เถ้าแก่" เสียชีวิต เขาก็ตัดสินใจลาออก เลิกเป็น "ลูกจ้าง" และเริ่มต้นชีวิต "เถ้าแก่" ตั้งแต่วันนั้น เชื่อไหมครับว่าวันเปิดโชว์รูม "โตโยต้าดีเยี่ยม" เขาส่งจดหมายไปถึงผู้มีพระคุณ 5 คน
ขอเชิญมาร่วมงาน พร้อมกับ "ของขวัญ" ที่แทน "คำขอบคุณ" เชิญเลือกรถโตโยต้า 1 คัน รุ่นไหนก็ได้ เลือกได้เลย
"น้ำใจ" ที่ยิ่งใหญ่ของ "สมชาย" กลับได้รับ "คำตอบ" ที่งดงามยิ่งกว่า งดงามอย่างไร ฉบับหน้าจะเล่าให้ฟังครับ ---------------------------------------------------------------- ที่มา : มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับ 12 ก.พ.53
ผมอยากอ่านต่อจัง แต่ยังหาที่อ่านต่อไม่ได้ ถ้าใครหาเจอ หรือผมหาเจอ จะเอามาให้อ่านกันใหม่
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #598 เมื่อ: 20 กันยายน 2553, 17:37:45 » |
|
อยู่ในฟาสต์ฟู้ดธุรกิจ ของหนุ่มเมืองจันทน์ เป็นตอนๆน่ะ เข้าใจว่าไม่ได้มีต่อ หรือมีต่อก็คงสั้นๆ
|
|
|
|
telek78
|
|
« ตอบ #599 เมื่อ: 20 กันยายน 2553, 20:25:46 » |
|
หนุ่มภาคตะวันออก สุดยอด
|
|
|
|
khesorn mueller
|
|
« ตอบ #600 เมื่อ: 20 กันยายน 2553, 20:54:50 » |
|
ตอน ตอน... รึ สั้น สั้น... ที่ว่าสุดยอด?
เรื่องself madeนี่อ่านเรื่องไหนก็สุขใจคะ จริงๆแล้วมันแฝงกำลังกาย กำลังจิตเท่าไหร่ Ehrgeiz หากขาด Durchhaltenvermögenก็ไม่รอดคะ
|
|
|
|
Mouy (Again)
มือใหม่หัดเมาท์
ออฟไลน์
กระทู้: 150
|
|
« ตอบ #601 เมื่อ: 22 กันยายน 2553, 18:37:02 » |
|
ไม่แน่ใจว่าในบอร์ดเคยมีเรื่องนี้แล้วหรือยัง...หรือใครบางคนอาจจะเคยได้อ่านกันบ้างแล้ว...เรื่องมันเหมือนคุ้นๆ... แต่จำไม่ได้ว่าเคยอ่านที่ไหน...ได้อ่านอีกรอบก็รู้สึกดี...เลยแวะเอามาแปะเสียหน่อย...คิดถึงจ้า... ชายหนุ่มคนหนึ่งได้รับเชิญจากมหาวิทยาลัยเอกชน เพื่อให้เป็นวิทยากรพิเศษสอนวิชาปรัชญาให้กับนักศึกษาปริญญาโท เขาเตรียมการสอนอยู่หลายวันจึงตัดสินใจจะสอนนักศึกษาเหล่านั้นด้วยแบบฝึกหัดง่ายๆ แต่แฝงไว้ด้วยข้อคิด เขาเดินเข้าห้องเรียนมาพร้อมด้วยของสองสามอย่างบรรจุอยู่ในกระเป๋าคู่ใจ เมื่อได้เวลาเรียน เขาหยิบ เหยือกแก้ว ขนาดใหญ่ขึ้นมา แล้วใส่ ลูกเทนนิส ลงไปจนเต็ม ' พวกคุณคิดว่าเหยือกเต็มหรือยัง ?' เขาหันไปถามนักศึกษาปริญญาโท แต่ละคนมีสีหน้าตาครุ่นคิดว่าอาจารย์หนุ่มคนนี้จะมาไม้ไหนก่อนจะตอบพร้อมกัน ' เต็มแล้ว...' เขายิ้มไม่พูดอะไรต่อหันไปเปิดกระเป๋าเอกสารคู่ใจ หยิบกระป๋องใส่กรวดออกมา แล้วเท กรวดเม็ดเล็กๆ จำนวนมากลงไปในเหยือกพร้อมกับเขย่าเหยือกเบาๆ กรวดเลื่อนไหลลงไปอยู่ระหว่างลูกเทนนิสอัดจนแน่นเหยือก เขาหันไปถามนักศึกษาอีก " เหยือกเต็มหรือยัง ?' นักศึกษามองดูอยู่พักหนึ่งก่อนจะหันมาตอบ ' เต็มแล้ว...' เขายังยิ้มเช่นเดิม หันไปเปิดกระเป๋าหยิบเอาถุงทรายใบย่อมขึ้นมา และเททรายจำนวนไม่น้อยใส่ลงไปในเหยือก เม็ดทราย ไหลลงไปตามช่องว่างระหว่างกรวดกับลูกเทนนิสได้อย่างง่ายดาย เขาเทจนทรายหมดถุง เขย่าเหยือกจนเม็ดทรายอัดแน่นจนแทบล้นเหยือก เขาหันไปถามนักศึกษาอีกครั้ง " เหยือกเต็มหรือยัง ?' เพื่อป้องกันการหน้าแตกนักศึกษาปริญญาโทเหล่านั้นหันมามองหน้ากัน ปรึกษากันอยู่นาน หลายคนเดินก้าวเข้ามาก้มๆ เงยๆ มองเหยือกตรงหน้าอาจารย์หนุ่มอยู่หลายครั้ง มีการปรึกษาหารือกันเสียงดังไปทั้งห้องเรียน จวบจนเวลาผ่านไปเกือบห้านาที หัวหน้ากลุ่มนักศึกษาจึงเป็นตัวแทน เดินเข้ามาตอบอย่างหนักแน่น " คราวนี้เต็มแน่นอนครับอาจารย์' " แน่ใจนะ' " แน่ซะยิ่งกว่าแน่อีกครับ' คราวนี้เขาหยิบ น้ำอัดลม สองกระป๋องออกมาจากใต้โต๊ะแล้วเทใส่เหยือกโดยไม่รีรอ ไม่นานน้ำอัดลมก็ซึมผ่านทรายลงไปจนหมด ทั้งชั้นเรียนหัวเราะฮือฮากันยกใหญ่ เขาหัวเราะอย่างอารมณ์ดี " ไหนพวกคุณบอกว่าเหยือกเต็มแน่ๆ ไง' เขาพูดพลางยกเหยือกขึ้น " ผมอยากให้พวกคุณจำบทเรียนวันนี้ไว้ เหยือกใบนี้ก็เหมือนชีวิตคนเรา ลูกเทนนิสเปรียบเหมือนเป็นเรื่องสำคัญที่สุดในชีวิต เช่น ครอบครัว คู่ชีวิต การเรียน สุขภาพ ลูก และเพื่อน สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่คุณต้องสนใจจริงจัง สูญเสียไปไม่ได้ เม็ดกรวดเหมือนสิ่งสำคัญรองลงมา เช่น งาน บ้าน รถยนต์ ทรายก็คือเรื่องอื่นๆ ที่เหลือเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่เราจำเป็นต้องทำ แต่เรามักจะหมกมุ่นอยู่กับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ เหยือกนี้เปรียบกับชีวิตของคุณ ถ้าคุณใส่ทรายลงไปก่อน คุณจะมัวหมกมุ่นอยู่กับเรื่องเล็กๆน้อยๆ อยู่ตลอดเวลา ชีวิตเต็มแล้ว... เต็มจนไม่มีที่เหลือให้ใส่กรวด ไม่มีที่เหลือใส่ให้ลูกเทนนิสแน่นอน' ชีวิตของคนเราทุกคน ถ้าเราใช้เวลาและปล่อยให้เวลาหมดไปกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เราจะไม่มีที่ว่างในชีวิตไว้สำหรับเรื่องสำคัญกว่า เพราะฉะนั้นในแต่ละวันของชีวิต เราต้องให้ความสนใจกับเรื่องที่ทำให้ตัวเราและครอบครัวมีความสุข ใช้ชีวิตเล่นกับลูกๆ หาเวลาไปตรวจร่างกาย พาคู่ชีวิตกับลูกไปพักผ่อนในวันหยุด พากันออกกำลังกาย เล่นกีฬาร่วมกันสักชั่วโมงสองชั่วโมง เพื่อสุขภาพและความสัมพันธ์ที่ดีในชีวิต เราต้องดูแลเรื่องที่สำคัญที่สุดจริงๆ ดูแลลูกเทนนิสของเราก่อนเรื่องอื่นทั้งหมด หลังจากนั้นถ้ามีเวลาเหลือเราจึงเอามาสนใจกับสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบๆ ตัวเรา นักศึกษาคนหนึ่งยกมือขึ้นถาม " แล้วน้ำที่อาจารย์เทใส่ลงไปล่ะครับ หมายถึงอะไร ?' เขายิ้มพร้อมกับบอกว่า " การที่ใส่น้ำลงไปเพราะอยากให้เห็นว่า ไม่ว่าชีวิตของเราจะวุ่นวายสับสนเพียงใด ในความ สับสนและวุ่นวายเหล่านั้นคุณยังมีที่ว่างสำหรับการแบ่งปันน้ำใจให้กันเสมอ...'
|
|
|
|
BU_KA
Full Member
ออฟไลน์
กระทู้: 986
|
|
« ตอบ #602 เมื่อ: 22 กันยายน 2553, 22:16:51 » |
|
น้องหมวยที่รัก
สบายดีใช่ไหม
เรื่องนี้ต่อยอดจาก 7 Habits ค่ะ
แต่ 7 HBs ไม่ไ้ด้เติมน้ำใจอันงดงามลงไป
|
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #603 เมื่อ: 24 กันยายน 2553, 01:30:51 » |
|
เป็นผม ตอบว่าไม่เต็มตั้งแต่คำถามแรกแล้ว
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #604 เมื่อ: 27 กันยายน 2553, 12:16:52 » |
|
|
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #605 เมื่อ: 28 กันยายน 2553, 08:05:54 » |
|
ความสุขที่ถูกมองข้าม (พระไพศาล วิสาโล)
คุณเป็นคนหนึ่งหรือไม่ที่เชื่อว่า ยิ่งมีเงินทองมากเท่าไร ก็ยิ่งมีความสุขมากเท่านั้น ความเชื่อดังกล่าวดูเผิดๆ ก็น่าจะถูกต้องโดยไม่ต้องเสียเวลาพิสูจน์ แต่ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงประเทศไทยน่าจะมีคนป่วยด้วยโรคจิตน้อยลง มิใช่เพิ่มมากขึ้น ทั้งๆ ที่รายได้ของคนไทยสูงขึ้นทุกปี ในทำนองเดียวกันผู้จัดการก็น่าจะมีความสุขมากกว่าพนักงานระดับล่างๆ เนื่องจากมีเงินเดือนมากกว่า แต่ความจริงก็ไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไป
ไม่นานมานี้มหาเศรษฐีคนหนึ่งของไทยได้ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ว่า เขารู้สึกเบื่อหน่ายกับชีวิต เขาพูดถึงตัวเองว่า "ชีวิต(ของผม)เริ่มหมดค่าทางธุรกิจ" ลึกลงไปกว่านั้นเขายังรู้สึกว่าตัวเองไม่มีความหมาย เขาเคยพูดว่า "ผมจะมีความหมายอะไร ก็เป็นแค่ มหาเศรษฐีหมื่นล้านคนหนึ่ง" เมื่อเงินหมื่นล้านไม่ทำให้มีความสุข เขาจึงอยู่เฉยไม่ได้ ในที่สุดวิ่งเต้นจนได้เป็นรัฐมนตรี ขณะที่เศรษฐีหมื่นล้านคนอื่นๆ ยังคงมุ่งหน้าหาเงินต่อไป ด้วยความหวังว่าถ้าเป็นเศรษฐีแสนล้านจะมีความสุขมากกว่านี้ คำถามก็คือ เขาจะมีความสุขเพิ่มขึ้นจริงหรือ
คำถามข้างต้น คงมีประโยชน์ไม่มากนักสำหรับคนทั่วไป เพราะชาตินี้คงไม่มีวาสนาแม้แต่จะเป็นเศรษฐีร้อยล้านด้วยซ้ำ แต่อย่างน้อยก็คงตอบคำถามที่อยู่ในใจของคนจำนวนไม่น้อยได้บ้างว่า ทำไมอัครมหาเศรษฐีทั้งหลาย รวมทั้งบิล เกตส์จึงไม่หยุดหาเงินเสียที ทั้งๆ ที่มีสมบัติมหาศาล ขนาดนั่งกินนอนกินไป 7 ชาติก็ยังไม่หมด
แต่ถ้าเราอยากจะค้นพบคำตอบให้มากกว่านี้ ก็น่าจะย้อนถามตัวเองด้วยว่า ทำไมถึงไม่หยุดซื้อแผ่นซีดีเสียทีทั้งๆ ที่มีอยู่แล้วนับหมื่นแผ่น ทำไมถึงไม่หยุดซื้อเสื้อผ้าเสียทีทั้งๆ ที่มีอยู่แล้วเกือบพันตัว ทำไมถึงไม่หยุดซื้อรองเท้าเสียทีทั้งๆ ที่มีอยู่แล้วนับร้อยคู่ แผ่นซีดีที่มีอยู่มากมายนั้น บางคนฟังทั้งชาติก็ยังไม่หมด ในทำนองเดียวกัน เสื้อผ้า หรือรองเท้า ที่มีอยู่มากมายนั้น บางคนก็เอามาใส่ไม่ครบทุกตัวหรือทุกคู่ด้วยซ้ำ มีหลายตัวหลายคู่ที่ซื้อมาโดยไม่ได้ใช้เลย แต่ทำไมเราถึงยังอยากจะได้อีกไม่หยุดหย่อน
ใช่หรือไม่ว่า สิ่งที่เรามีอยู่แล้วในมือนั้นไม่ทำให้เรามีความสุขได้มากกว่าสิ่งที่ได้มาใหม่ มีเสื้อผ้าอยู่แล้วนับร้อยก็ไม่ทำให้จิตใจเบ่งบานได้เท่ากับเสื้อ 1 ตัวที่ได้มาใหม่ มีซีดีอยู่แล้วนับพันก็ไม่ทำให้รู้สึกตื่นเต้นได้เท่ากับซีดี 1 แผ่นที่ได้มาใหม่ ในทำนองเดียวกันมีเงินนับร้อยล้านในธนาคารก็ไม่ทำให้รู้สึกปลาบปลื้มเท่ากับเมื่อได้มาใหม่อีก 1 ล้าน
พูดอีกอย่างก็คือ คนเรานั้นมักมีความสุขจากการได้ มากกว่าความสุขจากการมี มีเท่าไรก็ยังอยากจะได้มาใหม่ เพราะเรามักคิดว่าของใหม่จะให้ความสุขแก่เราได้มากกว่าสิ่งที่มีอยู่เดิม บ่อยครั้งของที่ได้มาใหม่นั้นก็เหมือนกับของเดิมไม่ผิดเพี้ยน แต่เพียงเพราะว่ามันเป็นของใหม่ก็ทำให้เราดีใจแล้วที่ได้มาจะว่าไปนี้อาจเป็นสัญชาตญาณที่มีอยู่กับสัตว์หลายชนิดไม่เฉพาะแต่มนุษย์เท่านั้น ถ้าโดยนน่องไก่ให้หมา หมาก็จะวิ่งไปคาบ แต่ถ้าโยนน่องไก่ชิ้นใหม่ไปให้ มันจะรีบคายของเก่าและคาบชิ้นใหม่แทน ทั้งๆ ที่ทั้งสองชิ้นก็มีขนาดเท่ากัน ไม่ว่าหมาตัวไหนก็ตาม ของเก่าที่มีอยู่ในปากไม่น่าสนใจเท่ากับของใหม่ที่ได้มา
ถ้าหากว่าของใหม่ให้ความสุขได้มากกว่าของเก่าจริงๆ เรื่องก็น่าจะจบลงด้วยดี แต่ปัญหาก็คือของใหม่นั้นไม่นานก็กลายเป็นของเก่า และความสุขที่ได้มานั้นในที่สุดก็จางหายไป ผลก็คือกลับมารู้สึก "เฉยๆ" เหมือนเดิม และดังนั้นจึงต้องไล่ล่าหาของใหม่มาอีก เพื่อหวังจะให้มีความสุขมากกว่าเดิม แต่แล้วก็วกกลับมาสู่จุดเดิม เป็นเช่นนี้ไม่รู้จบ น่าคิดว่าชีวิตเช่นนี้จะมีความสุขจริงหรือ
เพราะไล่ล่าแต่ละครั้งก็ต้องเหนื่อย ไหนจะต้องขวนขวายหาเงินหาทอง ไหนจะต้องแข่งกับผู้อื่นเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการ ครั้งได้มาแล้วก็ต้องรักษาเอาไว้ให้ได้ ไม่ให้ใครมาแย่งไป แถมยังต้องเปลืองสมองหาเรื่องใช้มันเพื่อให้รู้สึกคุ้มค่า ยิ่งมีมากชิ้นก็ยิ่งต้องเสียเวลาในการเลือกว่าจะใช้อันไหนก่อน ทำนองเดียวกับคนที่มีเงินมากๆ ก็ต้องยุ่งยากกับการตัดสินใจว่าจะไปเที่ยวลอนดอน นิวยอร์ค เวกัส โตเกียว มาเก๊า หรือซิดนีย์ดี
ถ้าเราเพียงแต่รู้จักแสวงหาความสุขจากสิ่งที่มีอยู่แล้ว ชีวิตจะยุ่งยากน้อยลงและโปร่งเบามากขึ้น อันที่จริงความพอใจในสิ่งที่เรามีนั้นไม่ใช่เรื่องยาก แต่ที่เป็นปัญหาก็เพราะเราชอบมองออกไปนอกตัว และเอาสิ่งใหม่มาเทียบกับของที่เรามีอยู่ หาไม่ก็เอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น เมื่อเห็นเขามีของใหม่ก็อยากมีบ้าง คงไม่มีอะไรที่จะทำให้เราทุกข์ได้บ่อยครั้งเท่ากับการชอบเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น การเปรียบเทียบจึงเป็นหนทางลัดไปสู่ความทุกข์ที่ใครๆ ก็นิยมใช้กัน
นิสัยชอบเปรียบเทียบกับคนอื่น ทำให้เราไม่เคยมีความพอใจในสิ่งที่ตนมีเสียที แม้จะหน้าตาดีก็ยังรู้สึกว่าตัวเองไม่สวยเพราะไปเปรียบเทียบตัวเองกับดาราหรือพรีเซนเตอร์ในหนังโฆษณา การมองแบบนี้ทำให้ "ขาดทุน" สองสถาน คือนอกจากจะไม่มีความสุขกับสิ่งที่มีอยู่แล้ว ยังเป็นทุกข์เพราะไม่ได้สิ่งที่อยาก พูดอีกอย่างคือ ไม่มีความสุขกับปัจจุบัน แถมยังเป็นทุกข์เพราะอนาคตที่พึงปรารถนายังมาไม่ถึง ไม่มีอะไรที่เป็นอุทธาหรณ์สอนใจได้ดีเท่ากับนิทานอีสปเรื่องหมาคาบเนื้อ คงจำได้ว่า มีหมาตัวหนึ่งได้เนื้อชิ้นใหญ่มา ขณะที่กำลังเดินข้ามสะพาน มันมองลงมาที่ลำธาร เห็นเงาของหมาตัวหนึ่ง ซึ่งก็คือตัวมันเอง กำลังคาบเนื้อชิ้นใหญ่ เนื้อชิ้นนั้นดูใหญ่กว่าชิ้นที่มันกำลังคาบเสียอีก ด้วยความโลภและหลง มันจึงคายเนื้อที่คาบอยู่ เพื่อจะไปคาบชิ้นเนื้อที่เห็นในน้ำ ผลก็คือ เมื่อเนื้อตกน้ำ ชิ้นเนื้อในน้ำก็หายไป มันจึงสูญทั้งเนื้อที่คาบอยู่และเนื้อที่เห็นในน้ำ
บ่อเกิดแห่งความสุขมีอยู่กับเราทุกคนในขณะนี้อยู่แล้วเพียงแต่เรามองข้ามไปหรือไม่รู้จักใช้เท่านั้น เมื่อใดที่เรามีความทุกข์ แทนที่จะมองหาสิ่งนอกตัว ลองพิจารณาสิ่งที่เรามีอยู่และเป็นอยู่ไม่ว่า มิตรภาพ ครอบครัว สุขภาพ ทรัพย์สิน รวมทั้งจิตใจของเรา ล้วนสามารถบันดาลความสุขให้แก่เราได้ทั้งนั้น ขอเพียงแต่เรารู้จักชื่นชม รู้จักมอง และจัดการอย่างถูกต้องเท่านั้น
แทนที่จะแสวงหาแต่ความสุขจากการได้ ลองหันมาแสวงหาความสุขจากการมี หรือจากสิ่งที่มี ขึ้นต่อไปคือการแสวงหาความสุขจากการให้ กล่าวคือยิ่งให้ความสุข ก็ยิ่งได้รับความสุข สุขเพราะเห็นน้ำตาของผู้อื่นเปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม และสุขเพราะภาคภูมิใจที่ได้ทำความดีและทำให้ชีวิตมีความหมาย จากจุดนั้นแหละ ก็ไม่ยากที่เราจะค้นพบความสุขจากการไม่มี นั่นคือความสุขจากการปล่อยวาง ไม่ยึดถือในสิ่งที่มีและเพราะเหตุนั้น แม้ไม่มีหรือสูญเสียไป ก็ยังเป็นสุขอยู่ได้ เกิดมาทั้งที น่าจะมีโอกาสได้สัมผัสกับความสุขจากการให้ และการไม่มีเพราะนั่นคือสุขที่สงบเย็นและยั่งยืนอย่างแท้จริง
|
|
|
|
ชาร์ป
|
|
« ตอบ #606 เมื่อ: 28 กันยายน 2553, 10:32:40 » |
|
"happiness depends on what you can give not what you can get"
M.K. Gandhi
|
|
|
|
ชาร์ป
|
|
« ตอบ #607 เมื่อ: 28 กันยายน 2553, 17:29:06 » |
|
"How to be number one ?" คำถามสำหรับเบอร์หนึ่งอย่าง "สิงห์" กับเรื่องเล่าของผู้แพ้ที่ไม่ยอมแพ้ How to be number one ? เป็นคำถามสำหรับถามผู้ที่เป็น เบอร์หนึ่งเท่านั้น หากพูดถึงธุรกิจเบียร์เบอร์หนึ่งในวงการธุรกิจในประเทศไทยตอนนี้ต้องพูดถึง ตรา "สิงห์" บริษัทในเครือ บุญรอดบริวเวอรี่แน่นอน หลังจากที่ต่อสู่ฝ่าฟันจนกลับมาประสบความสำเร็จอย่างงดงาม วันนี้สิงห์สามารถยืนอยู่บนบัลลังก์อย่างสง่างาม คุณฉัตรชัย วิรัตน์โยสินทร์ ผู้อำนวยการสายการตลาด บริษัท สิงห์ คอร์เปอเรชั่น จำกัด กล่าวในงานสัมนา "SCG Paper Business Seminar 2010" ในหัวข้อ "อยู่อย่างสิงห์ การตลาดพลิกวิกฤติเป็นโอกาส" ว่า สำหรับเรื่องการเป็นเบอร์หนึ่งคิดว่าเฉยๆเพราะเราเป็นที่หนึ่งทุกปี แต่ถ้าเปลี่ยนคำถามว่าที่หนึ่งแล้วกำไรไหม ตรงนี้ต่างหากเป็นสิ่งที่ทำให้สะดุ้ง เพราะ 10 ปี ที่แล้วตราสินค้าของสิงห์เป็นอันดับหนึ่ง แต่บริษัทกลับใกล้เจ๊ง หากพูดถึงการเป็นที่หนึ่งต้องมีส่วนประกอบ 3 อย่างคือ ตราสินค้า ยอดขาย และกำไร ซึ่งวันนี้อาจพูดได้ว่า "สิงห์" เป็นอันดับหนึ่งเพราะ มีทุกอย่างเป็นอันดับหนึ่ง แต่ถ้าถามอีกว่าตอนนั้นที่บอกว่าใกล้เจ๊งแล้วกลับมาได้อย่างไร พวกเราคงไม่ได้ชนะเพราะเรื่องพวกเครื่องมือการตลาด การขนส่งพวกนี้ แต่คำตอบคือ เพราะวัฒนธรรมองค์กรของสิงห์ วัฒนธรรมมีทุกที่ บริษัทจะเล็กจะใหญ่ก็ต้องมีบุคลิกที่ไม่เหมือนองค์กรอื่น จะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม ถ้าถามว่าจบโรงเรียนอะไร มันก็จะมีบุคลิกลักษณะแบบนี้ติดอยู่ ตัวนี้แหละที่จะทำให้เราไปได้ไกล ถ้าพัฒนาได้ดี ถ้าลองย้อนกลับไปเทียบสิงห์กับช้างเมื่อกว่า 10 ปี ดูยอดและส่วนแบ่งการตลาดตอนนั้น "สิงห์" ลดเหลือแค่ 20% แพ้ต่อการขาย "เหล้าพ่วงเบียร์" คุณสันติ ภิรมย์ภักดีหัวเรือใหญ่ของบริษัทบอกให้เราหาสาเหตุที่ล้มเหลว ซึ่งพบว่าในตำราการตลาดที่บอกสาเหตุของความล้มเหลว เราแทบไม่ต้องเลือกเลย เราคัดมาหมดอย่าง ประมาท เลินเล่อ ล่าช้าต่อการตอบสนอง, เมินเฉยต่อความต้องการของลูกค้า, ไม่ ประเมินศักยภาพของคู่แข่ง, ไม่จัดทำแผนธุรกิจเพื่อ รองรับการเปลี่ยนแปลง, เสียเปรียบเรื่องต้นทุน, บริหารสินทรัพย์ไม่มีประสิทธิภาพ และพนักงานขาดการมีส่วนร่วม แต่คุณสันติเพิ่ม 2 ข้อ ที่สำคัญคือ "หยิ่ง หลงตัวเอง และจมปลักกับความสำเร็จในอดีต อันนี้ต้องด่าผม คุณมาด่าผมไม่ได้เดี๋ยวพวกคุณจะโดนไล่ออก" คุณฉัตรชัยเล่าคำพูดของคุณสันติ แต่พอมาในช่วงปี 45 "สิงห์" เริ่มพลิกสถานการณ์จี้ก้น"ช้าง" คนมักเริ่มถามเสมอว่าแพ้แล้วกับมาชนะได้อย่างไร ? คุณยุพา ฝ่ายบุคคลของบริษัทบอกว่า ถ้าจะหาคำเดียวที่อธิบายคำตอบของคำ ถามได้ดีที่สุดคือ "สันติวิถี" เริ่มต้นจากการ ยอมรับความจริง วันที่เราเหลือส่วนแบ่งการตลาดแค่ 20% คุณสันติกล่าวว่า "ผมยอมรับว่าแพ้ แต่ผมไม่ยอมแพ้ พวกคุณจะสู้กับผมไหม อย่าไปโทษเรื่องกฎหมายขายพ่วง เรามีชีวิตแบบนี้ก็ต้องสู้แบบนี้ เลิกแก้ตัวเรื่องขายพ่วง" การสู้ของเราคงไม่อยากเป็นแบบ "ลีโอไนดัส" กษัตริย์ของชาวสปาร์ตันในภาพยนต์เรื่อง "300" ที่สู้ถวายหัว ประวัติศาสตร์จารึกชื่อ แต่ตอนท้ายตาย ไม่เหลือชื่อในโลกความเป็นจริง หรือ "แม็กซิมัส" จากเรื่อง "กลาดิเอเตอร์" ที่เก่งคน เดียวสุดท้ายก็ตาย หรือแม้แต่เราก็ไม่ใช่ "ซุปเปอร์แมน" ที่สู้แบบไม่มีวันตาย คุณสันติบอกให้เราสู้แบบ "นิค วอยจิค" (Nick Vujicic) ชายที่ไม่มีแขนและไม่มีขาแต่หันหน้าสู้ความจริง เอาอีโก้ออกไป หากแม้ว่ามีต้องมีให้เยอะเพียงต้องคุมให้อยู่ บางคนมีมากจนนึกว่าตัวเองเป็นพระเจ้า แต่เมื่อเสียหายแล้วก็โทษคนอื่นโดยไม่รู้ตัว "อีโก้เยอะทำให้ทีมเวิร์คเสีย ท่านต้องให้คนอื่นเตือน เมื่อเตือนแล้วอย่าโกรธ ท่านต้องฟัง ตื่นเช้ามาไปส่องกระจกให้เห็นว่ามีสองหูหนึ่งปาก หมายความว่าฟังให้เยอะๆ พูดให้น้อยๆ" แต่เดิมเราไม่เคยไปเยี่ยมลูกค้า คิดว่าเราเป็นเทพ แต่จงไปเยี่ยมลูกค้า อย่าเย่อหยิ่ง เมื่อลองไปเยี่ยมแล้วคนที่พบหน้าเขามีแต่มาสมน้ำหน้า ไม่มีมาสนใจ แต่เราไปเยี่ยมบ่อยๆก็เริ่มดีขึ้น ลูกค้าเริ่มเห็นเราดีขึ้น ต่อไปคือการพุ่งเป้าหรือโฟกัสไปที่ปัญหา ปัญหาอยู่ที่ตรงไหนให้สนใจสิ่งที่เกิดขึ้น ใช้การคิดง่ายๆ หากลองคิดดูว่าคนกำลังจะจมน้ำตายขอความช่วยเหลือ คงไม่มีใครวิเคราะห์ว่า "คุณจมน้ำเพราะอะไรขอเวลาวิเคราะห์ก่อน" เราต้องกระโดดลงไปช่วยทันที โดยใช้หลักการ "Kiss" ซึ่งย่อมาจาก "Keep it simple stupid" หมายความว่าให้ทำอะไรง่ายๆ ให้คนทั่วไปเข้าใจได้ เมื่อเกิดปัญหาขึ้นเราไม่มีเวลามานั่งทำวิจัย วิเคราะห์อะไรมากมายนัก ต้องแก้ปัญหาด้วยวิธีที่เข้าใจได้ง่าย เมื่อง่ายก็เกิดความรวดเร็ว ซึ่งจะทำให้เกิดความมั่นใจในตัวเองต่อมา ทั้งนี้ เมื่อเกิดความมั่นใจในตัวเองแล้ว หลักการดังกล่าวจะทำให้เกิดความเป็น "ธุรกิจแบบครอบครัว" ซึ่งเป็นหลักการที่บริหารได้มีประสิทธิภาพหลักการหนึ่งโดย "บริหารพวกมืออาชีพแบบ ครอบครัว และบริหารครอบครัวแบบมืออาชีพ" นอกจากนี้ ความเป็นผู้นำเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญ แต่ปัญหาคือนิยามของคำว่า "ความเป็นผู้นำ" คืออะไร หรือคือ คุณธรรม ปัญญา ความเป็นผู้ใหญ่ หรือ การรู้แพ้ รู้ชนะ หัดฟังผู้อื่น สิ่งที่จะเป็นเครื่อง วัดผู้นำ มีหลัก 5 อย่าง คือต้องมี "พลัง บวก" สามารถเป็นผู้นำทั้งในเวลาที่แพ้และชนะ ซึ่งพิสูจน์ได้จากประโยคของคุณสันติข้างต้นแล้วว่า "ผมยอมรับว่าแพ้ แต่ผมไม่ยอมแพ้" เมื่อมีพลังบวกก็ต้องมี "พลัง" ท้าทายความสามารถของตัวเอง พร้อมกับการค้นหาความสามารถสูงสุด และเชื่อมั่นตัวเอง เพราะเราไม่มีทางรู้ว่าตัวเองทำอะไรได้จนกว่าจะลองทำ อย่างเช่น การตั้งเป้ากับดีลเลอร์ว่าถ้าขายได้เกินยอดที่ตั้งเอาไว้จะให้ลิตรละล้าน ซึ่งปีที่เริ่มพูดเล่นๆ สิงห์จ่ายไป 90 ล้าน !! ผู้นำต้องมีความ "เชื่อ มั่น" คุณสมศักดิ์ยกตัวอย่าง พอล พ็อตต์ หนุ่มอาชีพเซลล์ขายโทรผู้ชนะบริติช กอต ทาเลนต์ แต่เดิมที่เคยคิดว่าเป็นแค่ผู้แพ้ โดนเพื่อนแกล้งบ่อยๆ เมื่อถูกเพื่อนแกล้งก็มานั่งร้องไห้ แต่ตอนที่ร้องไห้บังเอิญได้ฟังเพลง "โอเปร่า" จนรู้สึกว่าชอบจึงไปฝึกฝนอยู่เรื่อยๆด้วยความคิดว่ามันเป็นสิ่งที่ช่วยคลาย อารมณ์ได้ เมื่อมีโอกาสก็เดินทางไปแข่งรายการเรียลริตี้โชว์จนได้รางวัลกลับมา (ชมคลิปโอเปร่า ของหนุ่มเซลล์แมน http://www.youtube.com/watch?v=1k08yxu57NA ที่คุณสมศักดิ์แนะนำว่ามีผู้ชมเกือบ 70 ล้านคนนับตั้งแต่ปี 2007 ) เชื่อมั่นแล้วก็ต้อง "กล้า ตัดสินใจ" คุณสันติ เคยพูดในช่วงวิกฤติว่า "เราจะขาวก็ขาว จะดำก็ดำ ต้องลงมือทำแล้วสันติจะรับผิดชอบเอง" ซึ่งหน้าที่ของผู้บริหารต้องตั้งคำถามให้ถูกต้องเท่านั้น และแบ่งงานให้ลูกน้องทำ จำไว้เสมอว่าตำแหน่งยิ่งสูง งานยิ่งน้อย "คนเราไม่กล้าตัดสินใจเพราะกลัวล้มเหลว" "บริหารจัดการองค์กร" บริหารคนให้เป็น บริหารการเปลี่ยนแปลงต้องรู้ว่าโลกเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ประเทศไทยมีจำนวนประชากรมากเป็นอันดับ 20 ของโลก แต่คนเกือบครึ่งของประเทศไม่ช่วยทำงาน มองแค่ว่าอีกเมื่อฝ่ายหนึ่งทำงาน เราจะไม่ทำ หนำซ้ำยังแกล้งฝ่ายที่ทำงานด้วย นอกจากนี้ยังบอกว่า" รอเวลาที่กูจะบริหารบ้างแล้วกัน" "ที่สำคัญคืออย่านั่งรอ เปลี่ยนแปลงเพราะกลัวจะเสี่ยง แต่จริงๆแล้วการไม่เปลี่ยนแปลงคือการเสี่ยง ดังนั้น การไม่เสี่ยงคือการเสี่ยงนั่นเอง ถ้าไม่ต้องการเสี่ยงก็ต้องเสี่ยงเปลี่ยนแปลง ทุกคนมีโอกาสเท่ากันเหมือนการซื้อล็อตเตอรี่ สิ่งที่ไม่คาดคิดเกิดง่ายกว่าที่คิดอยู่ที่ใครเห็นโอกาสก่อนกัน เมื่อได้โอกาสแล้วจะบริหารกันอย่างไร" การเล่นไพ่ที่ดีคือวางกลยุทธ์เล่นให้ได้แต้มมากกว่าเจ้ามือ อย่าเล่นให้ได้แต้มสูงสุด ได้แต้มเท่าที่จำเป็นเท่านั้น ไม่ใช่จั่วตลอด แต่ในเวลาที่เราทำสำเร็จ คนมักจะบอกว่าเรา "คิดบวก" เมื่อล้มเหลวก็มักจะเป็น "ประมาท" เส้นบางๆที่กั้นทั้งสองอย่างคือ "สติ" การที่จะคิดนอกกรอบได้ต้องคิดในกรอบให้เป็นก่อน คุณสมศักดิ์กล่าวก่อนจบการบรรยายว่า ตอนนี้การค้าเสรีเปิดแล้ว เหตุการณ์ต่างๆเกิดขึ้นได้เสมอ จงย้ำตัวเองเสมอว่าแม้จะเป็นผู้ชนะ แต่ไม่ใช่ "ผู้นำ" ตลอดไป
|
|
|
|
Mouy (Again)
มือใหม่หัดเมาท์
ออฟไลน์
กระทู้: 150
|
|
« ตอบ #608 เมื่อ: 02 ตุลาคม 2553, 15:39:55 » |
|
อืมม เห็นช่วงหลัง สิงห์โปรโมทเรื่องสังคมเยอะขึ้นมาก... แต่ก็เพิ่งรู้นะว่าตอนนี้กลับมาเป็นอันดับ 1 แล้ว... พอมานั่งอ่านดูก็โยงเรื่องเข้ากับเรื่องที่เอกมาโพสต์ได้เหมือนกันนะ... การกลับมาเป็นอันดับ 1 นั้น อาจเป็นผลมาจากการให้ของสิงห์ก็ได้... (แต่มีคนบอกว่าเพราะตอนนี้คนบริหารรุ่นใหม่ของช้างนั้น ไม่เก่ง...ยังด้อยประสบการณ์เมื่อเทียบกับคนของสิงห์)... อ้าว....อันนี้ก็ต้องดูกันต่อไป....
ปล. ตอนนี้หมวยไม่ค่อยสบายเท่าไหร่.. กรดไหลย้อนทำพิษ... แต่ก็เรื่อยๆค่ะ... อาจจะหายเงียบไปบ้าง แต่ก็ยังคงคิดถึงเสมอ..
|
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #609 เมื่อ: 03 ตุลาคม 2553, 20:30:31 » |
|
จุ๊บุ จุ๊บุ
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #610 เมื่อ: 04 ตุลาคม 2553, 09:08:38 » |
|
หายไวๆนะพี่ เค้าว่าต้องนอนให้หัวสูงกว่าช่วงตัว กินอาหารเย็นอย่าดึกมาก
ถ้าไม่มีคนดูแลเดี๋ยวไปป้อนยาให้นะพี่..จุ๊บๆๆ
|
|
|
|
Mouy (Again)
มือใหม่หัดเมาท์
ออฟไลน์
กระทู้: 150
|
|
« ตอบ #611 เมื่อ: 04 ตุลาคม 2553, 16:18:30 » |
|
555....ขอบคุณมากครับ... แต่ป้อนยา...ไม่ต้องก้อได้...(เดี๋ยวอาการพี่ทรุด....555...)
|
|
|
|
telek78
|
|
« ตอบ #612 เมื่อ: 06 ตุลาคม 2553, 08:32:21 » |
|
นอนให้หัวสูงกว่าช่วงตัว คนมีพุงก็แย่ละสิ
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #613 เมื่อ: 06 ตุลาคม 2553, 09:42:34 » |
|
เค้าไม่ให้กรดมันย้อนขึ้นมาย่ะ..
|
|
|
|
telek78
|
|
« ตอบ #614 เมื่อ: 06 ตุลาคม 2553, 11:14:50 » |
|
จะแก้ปัญหากรดไหลย้อน ให้ดื่มน้ำสบู่ต้มสุกลงไป เพื่อทำให้ในกระเพราะเรามีสถานะเป็นกลาง หลังจากดื่มไปสักสามนาที ให้เอากระดาษลิตมัสแตะที่ลิ้น ถ้ากระดาษเปลี่ยนจากน้ำเงินเป็นแดง หรือแดงเป็นน้ำเงิน แสดงว่ายังไม่กลางจริง ให้เติมปูนขาว (ล้อเล่นนะ ผู้ปกครองควรพิจารณา)
|
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #615 เมื่อ: 07 ตุลาคม 2553, 22:04:50 » |
|
มันยังไม่รู้ตัวครับพี่ จัดมาอีกหนักๆ
|
|
|
|
telek78
|
|
« ตอบ #616 เมื่อ: 08 ตุลาคม 2553, 12:39:30 » |
|
อยากเห็นพี่หมวยด่าคนบ้าง เคยได้ยินแรงสุดก็ "บ้านะ" "อย่ามาทะเล้น" อะไรแบบนี้เอง
|
|
|
|
Mouy (Again)
มือใหม่หัดเมาท์
ออฟไลน์
กระทู้: 150
|
|
« ตอบ #617 เมื่อ: 10 ตุลาคม 2553, 12:17:24 » |
|
555....ปล่อยๆๆ มันไปเถอะ...
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #618 เมื่อ: 11 ตุลาคม 2553, 14:25:58 » |
|
ไม่รู้จริงๆอ่ะ ไม่ get..
|
|
|
|
telek78
|
|
« ตอบ #619 เมื่อ: 11 ตุลาคม 2553, 20:49:03 » |
|
พี่หมวยที่น่ารักของน้องทั้งหลาย... ไปงานแต่งงานหลิมหรือเปล่าครับ
|
|
|
|
Mr.EggMan
|
|
« ตอบ #620 เมื่อ: 12 ตุลาคม 2553, 20:18:25 » |
|
ผมวิเคราะห์แล้วครับ ว่าพี่หมวยมีโอกาส เป็นโรคกรดไหลย้อนได้ง่ายกว่าคนปกติ เนื่องจากขนาดลำตัวสั้น จากกระเพาะถึงหลอดอาหารประมาณหนึ่งฟุตเท่านั้น อ่ะ ล้อ เล่น ขำขำคร้าบ หายไวไวนะครับ อย่าเครียดๆ ท่องไว้ๆ
|
|
|
|
telek78
|
|
« ตอบ #621 เมื่อ: 13 ตุลาคม 2553, 11:47:20 » |
|
ว่าไป รอพี่หมวยโตก่อนเถอะ
|
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #622 เมื่อ: 13 ตุลาคม 2553, 11:58:00 » |
|
^ ^ บ้า พี่หมวยเค้าก็โตแล้วนะ แต่โตเฉพาะขาอ่ะ พี่หมวย ผมขอโต๊ดดดดดดด
|
|
|
|
ชาร์ป
|
|
« ตอบ #623 เมื่อ: 13 ตุลาคม 2553, 12:16:41 » |
|
ท่าทาางพี่หมวยจะหายหน้าหายตาไปอีกนาน
|
|
|
|
telek78
|
|
« ตอบ #624 เมื่อ: 13 ตุลาคม 2553, 12:35:59 » |
|
เป็นชาวญี่ปุ่นชื่อ คาโต้ เวลาเราเรียก ต้องเรียกว่า คาโต้จัง
|
|
|
|
Aj.O
|
|
« ตอบ #625 เมื่อ: 13 ตุลาคม 2553, 12:36:22 » |
|
คิดนอกกรอบ กับ คิดเลอะเทอะ ต่างกันตรงไหนบ้าง? (โดย OsirisEyeInSky ) คิดนอกกรอบ หากจะเปรียบก็คือการผ่านการเคี่ยวกรำจนลำเค็ญกับพื้นฐานมาก่อน ดังคำหมื่นวันฝึกกระบี่ ก่อนที่จะพ้นขีดกระบี่อยู่ที่ใจ เป็นสำนึกกระบี่ ผู้ฝึกย่อมผ่านการควงกระบี่ฝึกฝนขั้นพื้นฐานมาแล้ว นับพันนับหมื่นครั้ง กว่าจะเป็นกระบี่ที่ไร้กระบวนท่า ใช่จะได้มาโดยง่ายดาย
คิดเลอะเทอะ เปรียบได้กับการฟาดฟักระบี่หวดซ้ายป่ายขวาตามอำเภอใจเป็นการบัญญัติกระบวนท่า ขึ้นเองจนคล้ายไร้ซึ่งกระบวนท่า ผู้ด้อยวิทยายุทธอาจชมดูแล้วเลื่อมใสนิยมว่าบรรลุมรรคากระบี่ถึงที่สุด แต่เมื่อพบเจอกับผู้เยี่ยมยุทธของจริงเข้าย่อมมิอาจจะสู้ได้ต้องเผยธาตุแท้ของตนเองออกมา โดนแทงทะลุสะดือ ตายไปในกระบี่เดียว
|
...
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #626 เมื่อ: 14 ตุลาคม 2553, 14:30:46 » |
|
หักอารมณ์ได้ดิบมั่กๆ
|
|
|
|
ชาร์ป
|
|
« ตอบ #627 เมื่อ: 18 ตุลาคม 2553, 11:10:10 » |
|
ภาคต่อ สัมภาษณ์พิเศษ กอง บ.ก.เส้นทางเศรษฐี สมชาย เหล่าสายเชื้อ จบแค่ ป.5 กุมอาณาจักรพันล้าน ดีลเลอร์ "โตโยต้า" ใหญ่สุดในเอเชีย "ผม ไม่ได้ขายรถถูกกว่าตัวแทนจำหน่ายอื่น แต่ลูกค้าประทับใจในบริการ พอมาจอดรถปั๊บ เจ้าหน้าที่จะประกาศว่าขณะนี้มีลูกค้าท่านนั้นท่านนี้มาออกรถใหม่ ขอให้พนักงานทุกคนที่ว่างเว้นจากการทำงานมาร่วมพิธีส่งมอบรถ ซึ่งมีพนักงานมาร่วมส่งเป็นร้อยครับ" สม ชาย เหล่าสายเชื้อ เป็นเจ้าของโชว์รูมโตโยต้าดีเยี่ยม จังหวัดอุบลราชธานี นักธุรกิจภูธร ที่มีความรู้แค่ชั้น ป.5 รับ งานทุกอย่างที่ขวางหน้าตั้งแต่เด็กล้างรถ คนขับรถน้ำอัดลม จนขยับขึ้นมาเป็นเซลส์แมน และมีความฉลาดเฉลียวชนิดหาตัวจับยากมาตั้งแต่เด็ก แม้ฐานะยากจนแต่ดิ้นรนสู้ชีวิตจนกลายเป็นเจ้าของโชว์รูมโตโยต้าใหญ่ที่สุดใน เอเชีย คือตัวอย่างของความน่าสนใจ ที่อยากเชิญชวนห้ติดตาม...นับจากนี้ เซลส์ดีเด่น เดินหน้าล่าฝัน "ผม เป็นคนเรียนเก่งมาก คือเรียนชั้นละ 2 ปี" คุณสมชาย เปิดประเด็นด้วยการยิงมุขเรียกเสียงหัวเราะ ก่อนเล่าให้ฟังถึงความเป็นมาแบบเปิดเผยว่า ตัวเขาความจำไม่ค่อยดี ลักษณะเหมือนคนความจำสั้น เรียนได้ไม่เกิน 10 นาที เริ่มรู้สึกเบลอคล้ายมีอาการผิดปกติทางสมอง เวลาสอบไล่ทีไร มักได้ลำดับบ๊วยอยู่เสมอ หรืออาจได้รองบ๊วยบ้าง ถ้าเทอมนั้นมีคนขาดสอบ แต่ด้วยความที่ไม่เป็นเด็กเกเร คุณครูจึงเมตตานำข้อสอบมาให้ทำถึงที่บ้าน ไม่อย่างนั้นคงไม่จบ ป.5 เมื่อค้นพบว่าการเอา ดีทางเรียนหนังสือคงลำบาก จึงตัดสินใจยุติการเรียนในระบบแล้วออกมาหางานทำ...ทำงานสุจริตทุกอย่างที่ ได้เงิน "ขาย มาแล้วแทบทุกอย่าง ตั้งแต่ หัวอาหารสัตว์ ยาปราบศัตรูพืช ปุ๋ย ปลาร้า ยาเส้น หนังสือพิมพ์ กระทั่งน้ำอัดลม" คุณสมชาย เล่าด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ก่อนให้ข้อมูลน่าสนใจว่า ช่วงที่เขาทำงานอยู่กับ "เป๊ปซี่" ส่งสินค้าให้ตามร้านค้าในตัวจังหวัดอุบลราชธานีนั้น เคยได้รับรางวัลเป็นพนักงานขายดีเด่น ทำยอดขายได้มากที่สุดถึง 1,222 ลัง ต่อวัน คู่สนทนาแทบตกเก้าอี้ เมื่อได้ยินสถิติของยอดขายดังกล่าว จึงถามไถ่ถึงเทคนิคส่วนตัว คุณสมชาย จึงบรรยายให้เห็นภาพที่ดูเหมือนง่ายว่า "อาศัย ตื่นเช้าและกลับดึก การออกจากบ้านแต่เช้าทำให้มีโอกาสไปไกลกว่า และสามารถเพิ่มรอบการทำงานได้มากกว่าคนอื่น และต้องไม่มองว่าร้านนี้ซื้อเท่าไหร่ ผมขายให้หมด 10 ลัง ก็ขาย ครึ่งลังก็ขาย เวลาผ่านไปร้านไหน ต้องเข้าไปสวัสดีครับ เป๊ปซี่มาเยี่ยมครับ ทำอย่างนี้ทุกร้านต้องขายได้ทุกร้าน คนอื่นเขาอาจไปเยี่ยม 50-60 ราย ต่อวัน แต่ผมต้องเยี่ยมให้ได้ 300-400 ราย ต่อวัน" คุณสมชายเป็นพนักงานขายดีเด่น ติดต่อกันนาน 3 ปี จึงตัดสินใจลาออก เพื่อ "ล่าฝัน" ครั้งยังเยาว์ "เป็นความฝันตั้งแต่เป็นเด็กว่า อยากเป็นเจ้าของบริษัทรถยนต์ เคยไปเกาะกระจกโชว์รูม แล้วคิดว่า จะทำอย่างไรถึงจะได้เป็น จนเข้ากรุงเทพฯ เห็นแท็กซี่ยี่ห้อโตโยต้าเต็มไปหมด เลยวิเคราะห์เองว่ารถแท็กซี่ ต้องวิ่งวันละ 24 ชั่วโมง รถจึงต้องทนทาน ถ้าได้เป็นตัวแทนของโตโยต้า คงทำงานไม่ยาก เพราะผลิตภัณฑ์เขาดี" เจ้าของเรื่องราว เล่าให้ฟังถึงจุดเริ่มธุรกิจในฝัน และ ก่อนก้าวขึ้นเป็นตัวแทนจำหน่าย คุณสมชายเคยทำงานเป็นเซลส์ขายรถยนต์โตโยต้าประจำดีลเลอร์แห่งหนึ่งในจังหวัด อุบลราชธานีมาก่อน แต่กว่าจะได้เข้ามาจับงานขาย ด้วยความที่จบเพียงชั้น ป.5 เขาจึงต้องเริ่มต้นด้วยการทำหน้าที่ปัดกวาดและทำงานทุกอย่างตาม แต่เถ้าแก่ บัญชาเสียก่อน ครั้นเมื่อวันเวลาผ่านไปได้ราว 15 ปี เขาจึงมีโอกาสผงาดขึ้นเป็น "เถ้าแก่" เองบ้าง "พอ ถึงวันที่ทำได้อย่างฝัน เลยใส่ทุกอย่างเข้าไปเต็มที่ โชว์รูมของผม มีร้านอาหาร ห้องรับรอง ร้านเสริมสวย ร้านกาแฟ คาราโอเกะ เรียกว่าครบวงจร แต่เดิมมีพื้นที่ 22 ไร่เศษ ลงทุนไป 800 ล้าน บาท และตอนนี้กำลังขยายไปอีก 60 ไร่" คุณสมชาย เล่าน้ำเสียงไม่โอ้อวด แต่ท้าทายต่อว่า "ถ้าใครเจอโชว์รูมหรือศูนย์ บริการที่ไหนดีกว่าของผม ผมให้แสนนึงเลย" ดีเยี่ยม ไม่เป็นรอง ที่หนึ่ง...เท่านั้น ความมั่นใจว่าอาณาจักรของเขา "ดีเยี่ยม" ไม่เป็นรองใครนั้น คุณสมชายมีข้อมูลมายืนยัน โดยแจงให้ฟังดังตัวอย่าง "ลูกค้า ที่มาซื้อรถที่ดีเยี่ยม จะรู้สึกเหมือนไปซื้อรถที่ห้างสยามพารากอน เพราะผมสร้างโชว์รูม ที่หรูหรา สง่างาม แค่เดินผ่านห้องน้ำ ฝาชักโครกยกขึ้นอัตโนมัติ น้ำไหลใส่มือไม่ต้องบิด ทุกอย่างอัตโนมัติหมด" "โต โยต้าดีเยี่ยมไม่ได้ขายรถถูกกว่าตัวแทนจำหน่ายอื่น แต่ลูกค้าประทับใจในบริการ พอมาจอดรถปั๊บ เจ้าหน้าที่จะประกาศว่าขณะนี้มีลูกค้าท่านนั้นท่านนี้มาออกรถใหม่ ขอให้พนักงานทุกคนที่ว่างเว้นจากการทำงานมาร่วมพิธีส่งมอบรถ ซึ่งมีพนักงานมาร่วมส่งเป็นร้อยครับ" คุณสมชาย เล่าจบประโยคนี้ มีปฏิกิริยาตื่นเต้นจากคนฟังในวันนั้นอย่างเห็นได้ชัด ก่อนสำทับถึงความดีเยี่ยมในแบบของเขาต่อว่า "ลูกค้า ที่มาซื้อรถ ต้องรู้สึกเหมือนเป็นเจ้าของโชว์รูมมูลค่านับพันล้านบาทที่เปิด 365 วัน จะมาเมื่อไหร่ก็ได้ มีคาราโอเกะ ร้านเสริมสวย ไว้คอยให้บริการฟรีหมด เขาต้องรู้สึกว่าเสียเงินซื้อรถแล้วคุ้มค่า แล้วเวลาลูกค้าเข้ามาหาโชว์รูม ไม่ต้องเดินนะครับ มีรถกอล์ฟพาเที่ยวชมแต่ละจุด เรียกว่าลูกค้าทุกคนเป็นวีไอพีเหมือนกันหมด" สนทนา มาถึงตรงนี้มีคำถามทำไมต้องใช้คำว่า "ดีเยี่ยม" เจ้าของกิจการมูลค่าพันล้านบาท จึงอธิบายด้วยเสียงดังฟังชัดว่า เป็นความตั้งใจจริงของเขาที่ต้องการอยู่ใน "อันดับหนึ่ง" เท่านั้น ทั้งๆ ที่สมัยเรียนหนังสือเขาครองอันดับบ๊วยมาตลอด "ตอน เปิดบริษัท มีการมอบนโยบาย ผมบอกกับลูกน้องว่า ต้องการที่หนึ่งอย่างเดียว ที่สองก็ไม่เอา ปรากฏว่าทุกคนในบริษัทออกอาการมึนงง และพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะในประเทศไทยมีตัวแทนจำหน่ายโตโยต้าถึง 200 กว่าแห่ง" "แต่ ผมก็ฝ่าฟันจากอันดับ 80 กว่ามาเป็น 50 กว่า เดี๋ยวนี้ขึ้นไปอยู่อันดับหนึ่งแล้ว หมายความว่าความพึงพอใจจากลูกค้าของผมมาเป็นอันดับหนึ่งครับ" คุณสมชาย เล่าก่อนยิ้มปลื้ม ถาม ไถ่ถึงหลักในการบริหารคน คุณสมชายบอกเขามักพูดคุยให้คนที่เข้ามาสมัครเข้าทำงานเข้าใจว่า ชีวิตของทุกคนมีคุณค่าเหมือนกัน เมื่อเข้ามาแล้วทุกคนจะเป็นทั้งลูก ทั้งน้อง ซึ่งได้รับการดูแลอย่างดี แต่ทุกคนต้องตั้งใจทำงานด้วย "ผม บอกลูกน้องเสมอว่าคนเราไม่สามารถเลือกเกิดได้ แต่สามารถเลือกเป็นอะไรก็ได้ ขอแค่มีความมุ่งมั่น อะไรที่คุณกลัวอย่าไปกลัว ให้เดินเข้าหามันเลย" "มี ช่างคนหนึ่งมาปรึกษาผม บอกทำงานอยู่ 3 ปี อยากเป็นเซลส์แต่ทำไม่ได้ ผมบอกยังไม่ลอง แล้วรู้ได้ยังไงว่าทำไม่ได้ ปรากฏเดือนแรกเขาขายได้ 22 คัน เดือนที่สองได้อีก เดือนที่สามก็ได้อีก เทคนิคที่ผมบอกเขาไปคือคุณต้องฉกฉวยโอกาส มาถึงแต่เช้า เที่ยงไม่กิน เย็นเพื่อนเลิกงานแล้ว ก็ยังไม่กลับรอจนค่ำมืด สุดท้ายช่างคนนั้นกลายเป็นท็อปเซลส์ไปเลย" คุณสมชาย เล่าให้ฟัง ฉกฉวยทุกโอกาส เชื่อมั่น ทำได้ บุคลิก โดดเด่นของนักธุรกิจพันล้านท่านนี้ที่มีการกล่าวขานกันมากในหมู่ผู้ใกล้ชิด นั่นคือการใส่ใจในรายละเอียด โดยเฉพาะการให้ความสำคัญกับ "คนรอบตัว" ในทุกระดับ ยก ตัวอย่างเมื่อครั้งการก่อสร้างโชว์รูมใหญ่ที่สุดในเอเชียใกล้เสร็จ เขาถือโอกาสเชิญช่างอิฐ-หิน-ปูน-ทราย รวมถึงผู้รับเหมาทุกคนมารับเลี้ยงโต๊ะจีน เพื่อแทนคำขอบคุณที่ทุกคนมาช่วยสร้างให้ฝันของเขาเป็นจริง "ผม บอกกับช่างทุกคนว่า หากไม่มีพวกท่านโชว์รูมของผมคงไม่มีทางสำเร็จเป็นรูปเป็นร่าง ก่อนจะออกใบประกาศให้พวกเขาเก็บไว้เป็นที่ระลึก หากวันไหนมีโอกาสผ่านไปมา สามารถเข้ามาเยี่ยมเยียนใช้บริการได้ทุกเวลา" "ปรากฏช่างคนหนึ่งซาบซึ้งใจ อยากอุดหนุนผม จึงขอจองรถ 1 คัน กระทั่งจบงานเลี้ยง ผมขายรถให้กับผู้รับเหมาได้ทั้งหมด 55 คัน" คุณสมชาย เล่าเหมือนไม่ตื่นเต้น แต่ทำเอาคู่สนทนาตกใจแทบจะพลัดตกจากเก้าอี้เป็น ครั้งที่สอง ความ ละเอียด อ่อนของคุณสมชาย ยังไม่หมดแค่ นั้น เพราะช่วงเวลาที่เขากำลังมีความสุขกับอาณาจักรตรงหน้า แต่เขาก็ไม่เคยละเลย ระลึกถึง "ผู้มีพระคุณ" ซึ่งมีส่วนผลักดันให้เขาก้าวมาถึงฝั่งฝันดังเช่นทุกวันนี้ "ตอน จะเปิดโชว์รูมผมส่งจดหมายไปยังผู้มีพระคุณหลายๆ ท่าน ขอให้สละเวลามาเลือกรถไปใช้ตามชอบ โดยผมจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดเอง แต่ทุกท่านไม่ขอรับ ให้เหตุผลกลับมาว่า ให้ผมเก็บเอา ไว้ทำทุน" "ช่วง ปีใหม่ผมจึงนำเงินสด 2 ล้านบาท ไปมอบให้กับพวกท่านอีก คราวนี้ทุกท่านรับไว้ แต่พอถึงเทศกาลตรุษจีน พวกท่านก็นำเงินก้อนนั้นกลับมามอบให้ผมเป็นแต๊ะเอีย" คุณสมชาย เล่า ย้อน ถึงเหตุการณ์เมื่อครั้งต้องฝ่าฟันมรสุม "ต้มยำกุ้ง" เมื่อครั้งปี 2540 คุณสมชาย ย้อนความทรงจำให้ฟังว่า ช่วงเวลานั้นสถาบันการเงิน 65 แห่งต้องปิดตัวลง นักธุรกิจแทบทุกวงการ ล้วนตกอยู่ในสภาพย่ำแย่ไม่เว้นแม้แต่ตัวเขา แต่หากมัวพร่ำบ่นว่าแย่ คงหมดกำลังใจไปนานแล้ว "ผม ไม่เคยท้อ เพราะท้อแล้วไม่มีประโยชน์ ท้อแล้วมันทำให้หมดกำลังใจ เราต้องรีบอาบน้ำ แล้วเติมกำลังใจให้ตัวเอง ใหม่ เพราะคนเราขาดกำลังใจไม่ได้ ปัญหาคือความสำเร็จปลอมตัวมาทดสอบเรา เหมือนข้อสอบ" คุณสมชาย บอกจริงจัง ก่อนเผยกลยุทธ์เมื่อครั้งนั้น "ช่วง เศรษฐกิจไม่ดี หลายคนคิดว่าไม่มีโอกาสเพราะตลาดเต็ม แต่ผมไม่คิดอย่างนั้น กลับกันคือ ต้องเร่งขยายงาน เพราะคู่แข่งก็คือคู่แข่งอยู่ดี จึงต้องแตกต่างทำงานให้มากกว่าคนอื่น เมื่อมีคนตกงานมาสมัครงานกันมาก เลยสามารถคัดคนได้" คุณสมชาย เล่า ก่อนฝากมุมมองไว้ด้วยว่า คนที่ประสบความสำเร็จมักฉกฉวยโอกาสจากโชคร้าย แต่คนที่ประสบความสำเร็จมากกว่าจะฉกฉวยในทุกโอกาส แม้ จะจบการศึกษาในระบบเพียงแค่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 หาก แต่ว่ามาวันนี้ กลับได้เป็นเจ้าของธุรกิจใหญ่โตไม่น้อยหน้าใคร คงมีใครหลายคนตั้งคำถามถึงเคล็ดลับในการทำงาน ซึ่งคุณสมชายมักแนะนำให้คนเหล่านั้นจุด "ไม้ขีดไฟ" ก้านแรกให้กับชีวิตของตัวเอง เสียก่อน และต้องมีความเชื่อมั่นว่าหากคนอื่นทำได้ ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่คนอย่างเราทำไม่ได้ จากนั้นจึงลงมือปฏิบัติทันที "ผม มักบอก ทุกคนว่าไม่มีใครชอบให้คนอื่นมาดูถูก แต่เราอย่าดูถูกตัวเอง ต้องบอกกับตัวเอง ว่าเราเป็นคนมีศักยภาพ พ่อแม่ยังรอความหวังจากเรา ญาติพี่น้องยังรอความหวังจากเรา" "ถ้า เราไม่จุดไม้ขีดไฟชีวิตตอนนี้ หรือไม่ปรับปรุงตัวให้มีความแตกต่างจากคนอื่น ปีหนึ่งๆ มีคนจบปริญญาตรี 600,000 คน ที่พร้อมจะมาเป็นคู่แข่ง ฉะนั้น คุณต้องถีบตัวเอง ไม่มีใครเขาสร้างบริษัทมูลค่าร้อยล้านพันล้านบาท เพื่อรอให้คุณทำงานให้เรื่อยๆ เฉื่อยๆ หรอก" "คน ที่รู้จักใช้เวลา คือคนที่รู้จักใช้ชีวิตอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล เพราะเวลามันผ่านแล้วผ่านเลย ย้อนกลับมาไม่ได้ กลับมาเถิดวันวานมีแต่เสียงเพลง ชีวิตจริงมันไม่มีหรอกครับ" คุณสมชาย ฝากแง่คิดทิ้งท้ายอย่างนั้น ที่มา : นิตยสารเส้นทางเศรษฐี วันที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2553
|
|
|
|
telek78
|
|
« ตอบ #628 เมื่อ: 18 ตุลาคม 2553, 22:18:03 » |
|
ภาษาอังกฤษเน่ยะยากจังเน๊าะ ทำยังไงก็ไม่เนี่ยนซะที
|
|
|
|
|
khesorn mueller
|
|
« ตอบ #630 เมื่อ: 30 ตุลาคม 2553, 23:45:14 » |
|
มีgapเยอะคะ ในห้องเครื่องยนตร์ ต้องประหยัดที่ นี่?
|
|
|
|
หลิม 81
|
|
« ตอบ #631 เมื่อ: 01 พฤศจิกายน 2553, 21:23:06 » |
|
ดีใจครับ. ลงคีย์บอร์ดไทย iPad ได้แล้ว
|
@ ปีนี้ปีของผม @
|
|
|
telek78
|
|
« ตอบ #632 เมื่อ: 02 พฤศจิกายน 2553, 12:29:22 » |
|
ดีใจด้วย
เดี๋ยวจะไปหาซื้อ ไอเป็ด คู่แข่ง ไอแพ็ด มาใช้
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #633 เมื่อ: 02 พฤศจิกายน 2553, 12:39:25 » |
|
ไอเดียเฟืองเท่ดี แต่รอบเร็วๆมีปัญหาแน่ๆ วงกลมดีที่สุด
|
|
|
|
ชาร์ป
|
|
« ตอบ #634 เมื่อ: 02 พฤศจิกายน 2553, 13:33:31 » |
|
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #635 เมื่อ: 03 พฤศจิกายน 2553, 17:41:20 » |
|
เป็นกรูจะรอ tablet ว่ะ..เจ๋งๆทั้งนั้นเลย โดยเฉพาะพวกหน้าจอประมาณ 7"
ที่กรูตั้งใจ จะรอ tablet แล้วเปลี่ยนโทรศัพท์เป็นรุ่นธรรมดาๆ น่าจะใช้งาน work กว่า smart phone
|
|
|
|
หลิม 81
|
|
« ตอบ #636 เมื่อ: 04 พฤศจิกายน 2553, 20:08:42 » |
|
ลอง. tablet มาแล้วครับ มันไม่ได้อารมณ์สัมผัสเลยแม้แต่น้อย
|
@ ปีนี้ปีของผม @
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #637 เมื่อ: 05 พฤศจิกายน 2553, 16:32:02 » |
|
ไม่ใช่ตอนนี้ คอยดูปีหน้า tablet มีอะไรดีๆอีกเพียบรออยู่..
|
|
|
|
หลิม 81
|
|
« ตอบ #638 เมื่อ: 05 พฤศจิกายน 2553, 17:27:58 » |
|
รอ..ฉันรอเธอแต่ไม่รู้เธออยู่หนใจ เธอจะมา เธอจะมาเมื่อไหร่ ที่ฉันนัดไว้ทำไมไม่มา รีบหน่อย รีบหน่อย รีบหน่อย
|
@ ปีนี้ปีของผม @
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #639 เมื่อ: 05 พฤศจิกายน 2553, 18:57:01 » |
|
ด้วยความที่ไม่ชอบหิ้วอะไรหลายอัน Tablet ไม่อยู่ในสิ่งที่อยากได้เลย
เอาสมาร์ทโฟน ใหม่ก็น่าจะพอแล้ว รอดู OS ที่เป็น Andriond version 2 ขึ้นไปเท่านั้น
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #640 เมื่อ: 08 พฤศจิกายน 2553, 16:51:19 » |
|
จริงๆไม่ใช่อะไรหรอก อยากได้อะไรที่มันทำงานเอกสารได้ เช่น word excel หรือ แก้ไขรูป present ได้แบบเล็กๆน้อยๆน่ะ
สามารถเช็คเมล์ได้ตลอดเวลาด้วย
เพราะทำงานนอกสถานที่เยอะ และเกี่ยวกับงานเอกสารและ present มากกว่า เลยมองว่า smart phone ที่มีอยู่มันเล็กไปหน่อยสำหรับงานแบบนี้ พิมพ์ก็ยาก แต่ถ้าหน้าจอประมาณ 7" แล้วฟังก์ชั้นครบ ระบบ touch ไม่ค่อยซีเรียสน่ะ เหมือนคอมพ์เครื่องเล็กๆน่ะ แต่จะให้ยกมาโทรมันก็แปลกๆ หรือต้องใส่สายคุยตลอดก็แปลกอีก
เลยว่า ถ้ามีวาสนาได้ซื้อ ก็จะเปลี่ยนโทรศัพท์เป็นแบบติงต๊องไปเลย เครื่องเล็ก ใช้โทรเข้าออกอย่างเดียว อีกเครื่องไว้ทำงาน
|
|
|
|
telek78
|
|
« ตอบ #641 เมื่อ: 08 พฤศจิกายน 2553, 20:45:37 » |
|
นั่นสิ เทคโนโลยีน่าจะทำได้ แต่คงกั๊กเรื่องการทำเอกสารไว้หน่อย เอาไว้โมเดลหน้า จะเอามาบวกเพิ่มแล้วขายอีก
|
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #642 เมื่อ: 08 พฤศจิกายน 2553, 23:08:43 » |
|
|
|
|
|
telek78
|
|
« ตอบ #643 เมื่อ: 08 พฤศจิกายน 2553, 23:12:53 » |
|
เออ... ถ้ากดปุ่มผิด กดให้ความร้อน ตอนโทร หน้าจะพองมั้ย
|
|
|
|
หลิม 81
|
|
« ตอบ #644 เมื่อ: 10 พฤศจิกายน 2553, 20:20:29 » |
|
ถ้าซักผ้าได้ด้วย. ซื้อเลย
|
@ ปีนี้ปีของผม @
|
|
|
telek78
|
|
« ตอบ #645 เมื่อ: 10 พฤศจิกายน 2553, 20:40:01 » |
|
อ้าว บ้านหลิม ไหนบอกว่า ว่าที่ภรรยาเป็นคนซักไม่ใช่เหรอ
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #646 เมื่อ: 11 พฤศจิกายน 2553, 09:27:37 » |
|
น้องมันเป็นห่วงภรรยา กลัวจะทำงานหนัก..
(ดูตอนแรกก็เชื่ออยู่ พอเอาเลนส์มาต่อได้เนี่ยะหงายท้องเลย...555)
|
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #647 เมื่อ: 15 ธันวาคม 2553, 10:30:03 » |
|
บันทึกช่วยจำของ "เหลียงจี้จาง" ที่มา: Forward Mail
“เหลียงจี้จาง”เป็นพิธีกรดังของ TVB ในฮ่องกงและเป็นนักเขียนด้วย บันทึกช่วยจำที่เขาเขียนให้ลูก
ได้รับการเผยแพร่เป็นวงกว้างเมื่อไม่นานมานี้ นอกจากแสดงถึงความห่วงหาอาทรที่พ่อมีต่อลูกเฉกเช่นคุณพ่อทั่วๆไป
มุมมองของเขาบางเรื่อง(แบบสังคมฮ่องกง) แม้บางคนจะเคยประสบมาบ้างเหมือนกัน อ่านแล้วก็ยังอดอึ้งไม่ได้ เลยถ่ายทอดสู่กันฟัง...
ลูกรัก..
ที่พ่อเขียนบันทึกช่วยจำฉบับนี้ให้ลูก มีเหตุผลอยู่ 3 ประการ คือ
1. สรรพสิ่งล้วนอนิจัง จะมีชิวิตอยู่ได้อีกนานเท่าใดไม่มีใครบอกได้ พ่อจึงคิดว่า บางเรื่องพ่อน่าจะสั่งเสียไว้แต่เนิ่นๆ ย่อมจะดีกว่า
2.เพราะพ่อเป็นพ่อของลูก ถ้าพ่อไม่บอกลูก ไม่มีใครหรอกที่เขาจะบอกลูกแบบที่พ่อบอก
3.สิ่งที่พ่อบันทึกไว้นี้ ล้วนเป็นประสบการณ์อันแสนเจ็บปวดที่พ่อได้เรียนรู้มา มันจะทำให้ลูกไม่ต้องเสียเวลาไปเรียนรู้มันอีก
ในชีวิตของลูก ขอให้จำสิ่งต่างๆเหล่านี้ไว้ให้ดี 1.คนที่ไม่ดีต่อเรา ไม่ต้องไปใส่ใจนัก ในชีวิตคนเรา ไม่มีใครมีหน้าที่ที่จะต้องมาดีต่อเรา
ยกเว้นพ่อกับแม่ของลูก สำหรับคนที่ดีกับลูก นอกจากลูกต้องหวงแหนและขอบคุณเขาแล้ว
ยังต้องคอยระวังตัวไว้ด้วย เพราะคนเราทุกคน ทำอะไรย่อมมีจุดประสงค์
เขาทำดีกับลูก ใช่ว่าเขาจะทำเพราะชอบลูกเสมอไป
ลูกต้องตระหนักจุดนี้ให้ดี อย่าเพิ่งรับเขาเป็นเพื่อนเร็วเกินไป (น่ากลัวไหม)
2.ไม่มีคนที่ทดแทนกันไม่ได้ และไม่มีสิ่งใดที่ต้องมีให้ได้
ถ้าเข้าใจจุดนี้ หากวันใดคนข้างกายของลูกไม่ต้องการลูกอีกต่อไป
หรือวันใดที่ลูกต้องเสียสิ่งที่รักที่สุดไป ลูกจะได้เข้าใจ ว่านี่ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายอะไรเลย
3. ชีวิตนี้แสนสั้น
หากลูกยังใช้ชีวิตอย่างไม่เห็นคุณค่า พรุ่งนี้ลูกจะพบว่าชีวิตจะหลุดลอยไปไกลยิ่งขึ้น
ดังนั้น ยิ่งรู้จักถนอมชีวิตเร็วเท่าใด เวลาที่ลูกจะได้รับความสุขจากชีวิตก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น
หาความสุขเสียแต่วันนี้ ดีกว่านั่งหวังให้มีอายุยืนนาน
4.ในโลกนี้ไม่มีเรื่องรักนิรันด์กาล ความรักเป็นเพียงความรู้สึกชั่ววูบ
โดยความรู้สึกนี้ย่อมเปลี่ยนไปตามกาลเวลาและอารมณ์ หากสิ่งที่ลูกรักมากที่สุดจากลูกไป
ขอให้รอคอยอย่างอดทน ให้เวลาช่วยชะล้าง ให้จิตใจค่อยๆตกตะกอน แล้วความทุกข์ของลูกจะค่อยๆจางหายไป..
อย่าวาดหวังความรักให้สวยเกินไป และอย่าซ้ำเติมการอกหักให้ทุกข์เกินเหตุ
5.แม้ว่าคนหลายคนที่ประสบความสำเร็จในโลกนี้ไม่ได้เรียนมาสูง
แต่ไม่ได้หมายความว่า หากไม่ขยันเรียน แล้วจะได้ดี
ความรู้คืออาวุธ คนเราอาจสู้แล้วรวย แต่ไม่มีทางรวยได้ หากปราศจากอาวุธสู้.. จำไว้
6.พ่อจะไม่ขอให้ลูกเลี้ยงดูครึ่งชีวิตหลังของพ่อ เพราะพ่อก็จะไม่เลี้ยงดูครึ่งชีวิตหลังของลูกเช่นกัน
เมื่อลูกโตพอจนเป็นอิสระได้แล้ว พ่อก็หมดหน้าที่แล้วเช่นกัน
หลังจากนั้นไป ลูกจะนั่งรถเมล์หรือจะนั่งรถเบ๊นซ์ จะกินหูฉลามหรือจะกินบะหมี่ยำๆ ลูกต้องเลือกเอง
7.ต้องทำดีต่อผู้อื่น แต่อย่าหวังว่าผู้อื่นต้องทำดีต่อเรา
เราปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างไร มิได้หมายความว่าผู้อื่นก็จะปฏิบัติตอบต่อเราในแบบเดียวกัน..
ลูกต้องเข้าใจในข้อนี้ จะได้ไม่หาทุกข์ใส่ตัวโดยไม่จำเป็น
8.พ่อซื้อล๊อตเตอรี่มาตลอดชีวิต ยังคนจนเหมือนเดิม แม้แต่รางวัลเลขท้ายยังไม่เคยถูกเลย
นี่เป็นบทพิสูจน์ว่า คนเราจะเจริญก้าวหน้าได้ ต้องขยันขันแข็งอย่างเดียวเท่านั้น
ในโลกนี้ไม่มีมื้อเที่ยงที่ไม่ต้องเสียตังค์
9.ญาติ มิตร หรือสหาย ล้วนเป็นกันชาตินี้ชาติเดียว ฉะนั้น
จงหวนแหนโอกาสที่ได้อยู่ด้วยกันและแสนมีค่านี้ เพราะในชาติหน้า
ไม่ว่าท่านจะรักใครหรือชังใคร ท่านก็จะไม่มีโอกาสได้พบกันอีก
(หมายเหตุ ถึงพบกันก็ไม่รู้จักกัน เพราะระลึกชาติไม่ได้ นี่เป็นเกราะคุ้มกันของธรรมชาติ จะได้ไม่ทุกข์ข้ามชาติ ฉะนั้น ใครที่ระลึกชาติได้ ถือว่าอาภัพสุดๆ)
|
|
|
|
ชาร์ป
|
|
« ตอบ #648 เมื่อ: 15 ธันวาคม 2553, 11:51:33 » |
|
โดนใจเลยอ่ะ
|
|
|
|
telek78
|
|
« ตอบ #649 เมื่อ: 15 ธันวาคม 2553, 16:51:39 » |
|
|
|
|
|
Mouy (Again)
มือใหม่หัดเมาท์
ออฟไลน์
กระทู้: 150
|
|
« ตอบ #650 เมื่อ: 15 ธันวาคม 2553, 19:13:40 » |
|
ชอบๆๆ... ว่าแต่ นี่ไม่เกี่ยวกับหลิมซักผ้าใช่ไหม...
|
|
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #652 เมื่อ: 15 ธันวาคม 2553, 19:46:06 » |
|
^ ^ ฝากพี่หนิงซื้อซักเครื่องสิครับ made in germany นี่เอง
|
|
|
|
khesorn mueller
|
|
« ตอบ #653 เมื่อ: 15 ธันวาคม 2553, 20:53:35 » |
|
หาราคาแล้วคะ ยังไม่เชื่อสายตาว่าเทคนิคนิวเคลียร์แบบนั้น จะถูกๆ....
หาใหม่คะ!
.. .. แปลกจริงเลยคะ หนัง promoteมาตั้งปี (Dez.2009) ค้นหาราคา ไม่ยักเจอ! เข้าไปอ่านใน forumอยู่นานคะ บางกระแสว่าผู้ผลิตไม่บอกราคา อุบ.
|
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #654 เมื่อ: 17 ธันวาคม 2553, 11:13:26 » |
|
ช่วงนี้หน้าตาปลงโลกหรือไงเนี่ย มีแต่คนส่ง mail ธรรมะ มาให้ แต่อ่านแล้วก้อโดนดีนะ
อันนี้ของท่าน ว.วชิระเมธี
สุดมือสอยก็ปล่อยมันไป
..................ไม่มีใครทำให้คนทุกคนรักเราได้..................... .......อาจจะมีคนชอบในตัวเรา10คน แต่ก็มีคนเกลียดเรา100คน........ ...............แคร์คนที่แคร์เรา ไม่แคร์คนที่ไม่แคร์เรา.............. ..............มีมิตรแท้เพียงหนึ่ง ดีกว่ามีเพื่อนกินเป็น100.............
เมื่อคุณชี้แจงไปแล้ว เขาก็ควรจะยอมรับฟัง แต่เมื่อเขาไม่ฟัง และคุณก็ได้ทำหน้าที่ของตนเองอย่างดีที่สุดไปแล้ว ก็คงต้อง “ปล่อยมันไป”
ในโลกนี้ มีเรื่องอะไรต่อมิอะไรหลายอย่างที่เราไม่สามารถให้เวลากับมัน หรือไม่สามารถทำในสิ่งนั้นให้ดีที่สุด แต่แล้วเรา ก็ต้องปล่อยให้สิ่งเหล่านั้นผ่านไป เพราะหากเรามัว แต่จะ“นับเม็ดทรายในแม่น้ำคงคา” เวลาของคุณคงไม่พอเป็นแน่ (มีความหมายว่า จะพยายามทำให้คนทั้งโลกรู้สึกพอใจตัวเองในทุกเรื่อง)
ดังนั้น ทำอะไรก็ตาม ควรทำเท่าที่เราทำได้ เมื่อทำอย่างดีที่สุดแล้ว คนเขาไม่เห็นว่าดีก็ต้อง “ปล่อยมันไป”
เลือกทำในสิ่งที่เห็นว่า เราถนัดที่สุด และมีความสุขที่จะทำก็พอแล้ว อะไรก็ตาม ที่เราไม่ถนัด หรือถึงถนัด...แต่ไม่มีความสุขที่จะทำ ก็อย่าทำ
เรามีเ วลาไม่มากนักหรอกที่จะแบกสารพัดภาระในโลกนี้ ควรมองไหล่ของตัวเองดูสักหน่อยว่า พร้อมจะแบกเป้หลังที่มีน้ำหนักมากน้อยเพียงใด อย่าแบกอะไรที่เกินกำลังของตัวเองเพราะไม่เพียงแต่มันจะทำให้คุณเป็นทุกข์ แต่บางทีอาจมีผลต่อการยืนตรงๆ อย่างยาวนานของคุณด้วย
|
|
|
|
ชาร์ป
|
|
« ตอบ #655 เมื่อ: 17 ธันวาคม 2553, 11:17:57 » |
|
ชอบ ๆ
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #656 เมื่อ: 17 ธันวาคม 2553, 12:26:24 » |
|
|
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #657 เมื่อ: 19 ธันวาคม 2553, 11:50:37 » |
|
^ ^ ห้ากระโหลกคับ
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #658 เมื่อ: 20 ธันวาคม 2553, 11:15:53 » |
|
ว่างมากอ่ะ
|
|
|
|
khesorn mueller
|
|
« ตอบ #659 เมื่อ: 20 ธันวาคม 2553, 16:01:23 » |
|
อย่าให้bossเข้ามาอ่านเห็นเชียวนะ! ไม่ดีแน่ทีนี้
|
|
|
|
khesorn mueller
|
|
« ตอบ #660 เมื่อ: 20 ธันวาคม 2553, 21:23:52 » |
|
น้องหมวยถามพี่เรื่องการกวาดหิมะที่ไหนนะ วันก่อน?
วันนี้พี่ถ่ายหนังมาให้ดู! เจ็บข้อมือคะ หิมะเปียก...หนักมาก
|
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #661 เมื่อ: 20 ธันวาคม 2553, 23:28:24 » |
|
แค่ดูก็หนาวแล้วพี่ ปล. คนถ่ายท่าทางจะหนาวกว่าคนกวาดนะ
|
|
|
|
teemeekiew
|
|
« ตอบ #662 เมื่อ: 21 ธันวาคม 2553, 08:35:45 » |
|
พี่หนิงไม่รอให้แห้งก่อน แล้วค่อยกวาดล่ะฮะ จะได้ไม่หนัก....
|
RCU82 ค๊าบบบ
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #663 เมื่อ: 21 ธันวาคม 2553, 09:21:29 » |
|
เข้าใจว่า ถ้าไม่กวาดออก มันจะจับกันเป็นน้ำแข็งก้อน คราวนี้ล่ะลื่นปู้ดป้าด
|
|
|
|
jviruch-78
|
|
« ตอบ #664 เมื่อ: 21 ธันวาคม 2553, 12:33:57 » |
|
ทำไมไม่เอาเครื่องดูดฝุ่นดูดละฮะ ไม่ต้องกวาด
|
|
|
|
khesorn mueller
|
|
« ตอบ #665 เมื่อ: 21 ธันวาคม 2553, 17:00:26 » |
|
แต่ละideaนะพ่อคู๊ณ! วันนี้ Tauwetter เย้ 5°c มันละลายของมันเองค่า ยินว่าพักยกเพราะความกดต่ำจาก ทะเลเมดิเตอเรเนียนอุ่นๆผ่าน แล้วลมเหนือจะเข้าอีก จะตกอีกยกคะ ขอให้ทันคริสต์มาสเถอะ คงสวยได้บรรยากาศ
|
|
|
|
khesorn mueller
|
|
« ตอบ #666 เมื่อ: 21 ธันวาคม 2553, 17:07:11 » |
|
เนี่ยๆ ที่เป็นปัญหาอยู่หลายวันก่อน คือหิมะตก แล้วละลาย พออุณหภูมิตกต่ำกว่า 0 มันเป็นน้ำแข็งหมด! การจราจรชะงักทุกทางคะ กำลังholidayกันด้วย
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #667 เมื่อ: 24 ธันวาคม 2553, 12:37:16 » |
|
|
|
|
|
khesorn mueller
|
|
« ตอบ #668 เมื่อ: 24 ธันวาคม 2553, 12:46:32 » |
|
bike trial ?? เค้ามีการแข่งชิงแชมป์ยุโรปนะคะ
|
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #669 เมื่อ: 03 มกราคม 2554, 20:48:13 » |
|
สุดยอดอ่ะ
ไอ้คนถีบจักรยานก้อเก่ง แต่ตากล้อง มุมกล้อง คนหา location ก็ใช่ย่อย
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #670 เมื่อ: 04 มกราคม 2554, 14:11:41 » |
|
|
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #671 เมื่อ: 04 มกราคม 2554, 23:51:56 » |
|
มันเหลือเชื่อ เกินกว่าจะเชื่อได้ว่า ทุกอย่างเกิดขึ้นต่อเนื่องกันจนจบ
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #672 เมื่อ: 05 มกราคม 2554, 09:10:20 » |
|
น่าจะเรื่องจริง เป็นหนึ่งในคลิปที่มีคนดูมากที่สุดของปี 2010 แต่ดูแล้วมันก็เป็นไปได้นะ ไอเดียดี
|
|
|
|
Mouy (Again)
มือใหม่หัดเมาท์
ออฟไลน์
กระทู้: 150
|
|
« ตอบ #673 เมื่อ: 12 มกราคม 2554, 20:53:23 » |
|
ขอบคุณค่ะ พี่หนุงหนิง เพิ่งเข้ามากระทู้นี้ หลังจากห่างมาพักหนึ่ง บรรยากาศการกวาดหิมะ ดูจะเหนื่อยและหนักเลยทีเดียว.. ตอนนี้หิมะหยุดตกหรือยังคะ รักษาสุขภาพนะคะพี่.. ตอนตักและกวาดหิมะ หมวยนึกถึงคนขนทราย... แต่ยังงัยก็คงหนักสู้หิมะไม่ได้แน่นอน...
ดูคลิปต่อเนื่องของโต้ง พี่นึกถึงรายการอัจฉริยะข้ามคืน.. กับ ทีวีแชมเปี้ยนเลย.. มีคล้ายๆ กันมาให้ดู ยังนึกเลยว่าเค้าคำนวณเก่งมากทีเดียว...
|
|
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #675 เมื่อ: 17 มกราคม 2554, 17:50:23 » |
|
กด LIKE ให้จารย์โอ 1 ที
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #676 เมื่อ: 18 มกราคม 2554, 09:00:31 » |
|
คมๆ..ชอบ
|
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #677 เมื่อ: 21 มกราคม 2554, 16:20:58 » |
|
เด็กหานาฬิกา
ชาวนาคนหนึ่ง หลังจากไปทำความสะอาดคอกม้า ออกมาก้อพบว่านาฬิกาพกของตนได้หล่นหายไปเสียแล้ว นาฬิกาพกเรือนนี้มีความหมายต่อเขาอย่างมาก ด้วยเป็นของขวัญที่แม่ของเขาทิ้งไว้ให้ เขารีบวิ่งกลับไปที่คอกม้า รื้อหาจนทั่วบริเวณแทบพลิกแผ่นดินหา แต่ก้อหาไม่พบ...
เขาเดินออกมาจากคอกม้าด้วยเหงื่อที่ท่วมตัว มองไปเห็นมีเด็กกลุ่มหนึ่งกำลังเล่นกันอยู่แถวนั้น เขาจึงได้คิดว่าอาจเป็นเพราะตัวเองแก่แล้วหูตาฝ้าฟาง ทำให้หาไม่เจอ แต่เด็กๆ หูตายังแหลมคมน่าจะหาเจอก็เป็นได้ เขาจึงเรียกเด็กๆ มาแล้วบอกว่า "เด็กๆ ถ้าใครหานาฬิกาพกของลุงเจอ ลุงจะให้เงินคนนั้นหนึ่งเหรียญ" เด็กๆ พากันวิ่งกรูเข้าไปในคอกม้า จนเวลาผ่านไปนานโข ตอนที่เด็กๆ เดินกลับออกมาจากคอกม้าทีละคน ต่างมีสีหน้าผิดหวังที่หานาฬิกาพกไม่เจอ ขณะที่ชาวนากำลังถอดใจคิดจะเลิกหานั่นเอง ก็มีเด็กคนหนึ่งมากระซิบกระซาบบอกกับเขาว่า "ผมจะลองเข้าไปหาดู! อีกครั้งหนึ่ง แต่คราวนี้ขอให้ผมเข้าไปคนเดียวเท่านั้น"
ชาวนามองตามหลังเด็กชายไปอย่างไม่มั่นใจ คิดในใจว่า..พวกเราแทบจะพลิกคอกม้าหายังไม่เจอ... แล้วลำพังเด็กคนเดียว จะหาเจอได้อย่างไร.... เด็กคนนั้นเข้าไปตั้งนาน ก็ยังไม่กลับออกมา ชาวนาเริ่มสิ้นหวังในขณะชาวนาคิดจะเลิกรอและจากไปนั่นเอง เด็กชายคนนั้นก็เดินออกมาจากคอกม้า ในมือของเขาถือนาฬิกาพกเรือนหนึ่ง ชาวนาถามด้วยความแปลกใจว่า "เจ้าหาเจอได้อย่างไร" เด็กชายบอกว่า "พอเข้าไปข้างใน ผมก็ไม่ได้ทำอะไรเลย เพียงแต่นั่งเงียบๆ อยู่ที่พื้น ไม่นานผมก็ได้ยินเสียง ติ๊กตอก ติ๊กตอก จากนั้นผมก็เดินตามเสียงไป แล้วผมก็เจอนาฬิกาเรือนนี้"
ข้อคิดเตือนใจ ขณะที่เรากำลังยุ่งวุ่นวายอยู่กับชีวิตหรือหน้าที่การงาน บางครั้งก็จำเป็นอย่างมากที่จะต้องสงบจิตใจมาคิดตรึกตรองดูว่า สิ่งที่เรากำลังทำอยู่นั้น ถูกต้องและเหมาะสมดีแล้วหรือเปล่า และนี่ก็อาจเป็นความหมายที่แท้จริงของคำโบราณที่ว่า "บนเส้นทางของชีวิต บางครั้งก็ควรตึงเครียด บางครั้งก็ควรผ่อนคลาย"
|
|
|
|
telek78
|
|
« ตอบ #678 เมื่อ: 23 มกราคม 2554, 01:46:42 » |
|
ขอบใจอ่ะ...เข้ากับจังหวะชีวิตพี่ตอนนี้เลย
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #679 เมื่อ: 24 มกราคม 2554, 09:19:41 » |
|
เจ๋ง..ลอกหน่อยนะ
|
|
|
|
jviruch-78
|
|
« ตอบ #680 เมื่อ: 24 มกราคม 2554, 16:59:58 » |
|
เจ๋งดี แต่ไม่มีเวลาแม้แต่หยุดคิดตอนนี้เลยว่ะ แม้ว่ารู้ว่าต้องหยุดก็เหอะ ไรไร ก็เข้ามาหาหมด
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #681 เมื่อ: 25 มกราคม 2554, 12:42:06 » |
|
|
|
|
|
ชาร์ป
|
|
« ตอบ #682 เมื่อ: 25 มกราคม 2554, 13:42:50 » |
|
|
|
|
|
หลิม 81
|
|
« ตอบ #683 เมื่อ: 26 มกราคม 2554, 23:22:13 » |
|
หยุดคิด แล้วคิด ดีมากครับ
|
@ ปีนี้ปีของผม @
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #684 เมื่อ: 27 มกราคม 2554, 00:30:48 » |
|
ชั้นในลิฟท์ หมายถึงอายุสินะ
บางครั้งเราก็ควรอยู่ในลิฟท์ของเรา ให้คนมาเข้าลิฟท์เรา แต่บางครั้งเราก็ควรเข้าไปในลิฟท์ของเค้า
|
|
|
|
telek78
|
|
« ตอบ #685 เมื่อ: 29 มกราคม 2554, 22:56:47 » |
|
เออ เจ๋งดีอ่ะ..
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #686 เมื่อ: 31 มกราคม 2554, 09:06:02 » |
|
พี่ตี๋เล็กขึ้นลิฟต์ถึงชั้นไหนแล้ว..
|
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #687 เมื่อ: 01 กุมภาพันธ์ 2554, 07:09:16 » |
|
^ ^ หาปุ่มกดลงอยู่ หาไม่เจอ...
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #688 เมื่อ: 01 กุมภาพันธ์ 2554, 10:04:53 » |
|
ต้องขึ้นไปชั้นบนสุดก่อน..เดี๋ยวปุ่มกดลงมันโผล่มาเอง..
|
|
|
|
ชาร์ป
|
|
« ตอบ #689 เมื่อ: 04 กุมภาพันธ์ 2554, 10:24:23 » |
|
copy มาจาก e-mail นะครับผม ...
Truisms
Someone has written these beautiful words. One must read and try to understand the deep meanings in them. They are like the Ten Commandments to follow in life all the time.
1] Prayer is not a "spare wheel" that you pull out when in trouble; it is a "steering wheel" that directs us in the right path throughout life.
2] Do you know why a car's WINDSHIELD is so large & the rear view mirror is so small? Because our PAST is not as important as our FUTURE. So, look ahead and move on.
3] Friendship is like a BOOK. It takes few seconds to burn, but it takes years to write.
4] All things in life are temporary. If going well enjoy it, they will not last forever. If going wrong don't worry, they can't last long either.
5] Old friends are like Gold! New friends are Diamonds! If you get a Diamond, don't forget the Gold! Because to hold a Diamond, you always need a base of Gold!
6] Often when we lose hope and think this is the end, GOD smiles from above and says, "Relax, sweetheart, it's just a bend, not the end!
7] When GOD solves your problems, you have faith in HIS abilities; when GOD doesn't solve your problems HE has faith in your abilities.
8] A blind person asked St. Anthony: "Can there be anything worse than losing eye sight?" He replied: "Yes, losing your vision."
9] When you pray for others, God listens to you and blesses them; and sometimes, when you are safe and happy, remember that someone has prayed for you.
10] WORRYING does not take away tomorrow'sTROUBLES; it takes away today's PEACE. If you really enjoy this, PLEASE pass to others. It may brighten someone's day... Praying for love and peace to fill the coming NEW Year.
|
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #690 เมื่อ: 09 กุมภาพันธ์ 2554, 09:10:09 » |
|
ที่มา: Forward Mail
อย่าไปให้ความสำคัญกับใครบางคน เมื่อคุณเป็นแค่ทางเลือกของเขา สัมพันธภาพจะดีที่สุดเมื่อทั้งสองฝ่ายให้ความสำคัญกันอย่างสมดุล
ไม่ต้องสาธยายเกี่ยวกับตัวคุณให้ใครฟังหรอก เพราะคนที่ชอบคุณ ยังไงเขาก็ชอบ และไม่ต้องการฟังมัน แต่คนที่เกลียดคุณ ยังไงเขาก็ไม่เชื่อคุณหรอก
เมื่อคุณพูดแต่ว่าคุณยุ่ง คุณก็จะไม่ว่างเลย เมื่อคุณพูดแต่ว่าคุณไม่มีเวลา คุณก็จะไม่มีเวลาเลย เมื่อคุณพูดแต่ว่าคุณจะทำในวันพรุ่งนี้ วันพรุ่งนี้จะไม่มีวันมาถึงเลย
เรามักทำให้คนที่เป็นห่วงเราต้องร้องไห้ เรามักร้องไห้ให้กับคนที่ไม่เคยใส่ใจเรา และเรามักใส่ใจกับคนที่ไม่มีวันร้องไห้ให้เรา นี่คือความจริงของชีวิต เป็นเรื่องแปลกแต่จริง ถ้าเห็นคุณเห็นด้วย มันก็ยังไม่สายเกินแก้
เมื่อคุณกำลังสนุกสนาน ก็อย่ารับปากพล่อยๆ เมื่อคุณกำลังเศร้า ก็อย่าได้ตอบกลับ เมื่อคุณกำลังโกรธ ก็อย่าไปตัดสินใจอะไร คิดให้ถี่ถ้วน ทำอย่างสุขุม
|
|
|
|
Aj.O
|
|
« ตอบ #691 เมื่อ: 09 กุมภาพันธ์ 2554, 17:54:05 » |
|
ในความสุขมีทุกข์ที่แอบแฝง ในความทุกข์มีแสงแห่งสุขซ่อน ในอาการทุกข์สุขทุกขั้นตอน ล้วนเป็นพรให้จิตเพ่งพิจารณา *ความสุขกับความทุกข์นั้น เหมือนกับเหรียญที่มีสองด้าน เมื่อใดมีความสุข ก็ดูราวว่าความทุกข์จะหมดไป เมื่อใดมีความทุกข์ ก็ดูราวว่า ความสุขจะสูญสิ้น ดังเหรียญที่เปิดด้านหนึ่ง ปิดอีกด้านหนึ่งไว้ บางคนทนทุกข์เพื่อหวังสุข ดังการลำบากตรากตรำทำงานเพื่อหวังจะมีรายได้ มาจับจ่ายซื้อหาความสุข แท้จริงความสุขกับความทุกข์เป็นสิ่งเดียวกันในความสุขมีความทุกข์ และในความทุกข์ก็มีความสุขแฝงอยู่ ทั้งความสุขและความทุกข์ เป็นอาการที่จิตทนเป็นปกติอยู่ไม่ได้นั่นเอง บางครั้ง ทั้งการหัวเราะและการร้องไห้ ทำให้น้ำตาไหลได้ น้ำตาหยดเดียวกันนั้น เป็นผลมาจากการทนเป็นปกติอยู่ไม่ได้ของจิต ไม่ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ก็ตาม จงเพ่งพิจารณา ให้เห็นความสุขในความทุกข์ และความทุกข์ในความสุข จนเห็นความเป็นปกติจิต อันอยู่เหนือทั้งสุขและทุกข์บทความจาก http://www.phrawatpa.com/watpa4.html(จริงๆเคยเห็นมานานแล้วใน นสพ.ฉบับนึง ตั้งกะปี 2542 มั้ง ชอบมากๆ...นึกไม่ถึงว่าจะได้มาอ่านเจออีกครั้งในอินเตอร์เนต)
|
...
|
|
|
Aj.O
|
|
« ตอบ #692 เมื่อ: 09 กุมภาพันธ์ 2554, 18:02:35 » |
|
มีสาระน่าคิดครับ แต่จริงๆถ้าเราจะสะอื้นให้กับอะไรบางสิ่ง แม้มันจะเป็นเรื่องงี่เง่าขนาดไหนก็ตาม เราก็มีสิทธิ์จะทำครับ ถ้าไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน หรือเสียการเสียงานอะไร (บางครั้งผมก็อยากคร่ำครวญให้กับความอับโชคที่ตัวเองต้องประสบ)
|
...
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #693 เมื่อ: 09 กุมภาพันธ์ 2554, 18:03:10 » |
|
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #694 เมื่อ: 10 กุมภาพันธ์ 2554, 14:20:13 » |
|
|
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #695 เมื่อ: 13 กุมภาพันธ์ 2554, 22:30:19 » |
|
^ ^ บ้าไปแล้ว ดำน้ำ 3 นาทีกว่า แถมยังต้องเคลื่อนไหวร่างกายด้วย เป็นไปได้ไงวะ!!!!!! ----------------------------------------------------------------------- เปิดชีวิตผู้เฒ่ามหาบุรุษคนยาก ผู้บริจาคเงินนับล้านเพื่อให้เด็กๆเรียนหนังสือ เครดิต: มติชนออนไลน์ เปิดชีวิตผู้เฒ่า"Bai Fang Lee "มหาบุรุษคนยาก ผู้บริจาคเงินนับล้านเพื่อให้เด็กๆเรียนหนังสือ "น้ำใจ" เป็นสิ่งที่ตามหาได้น้อยลงๆ ในสังคมโลกแห่งการแก่งขัน แย่งชิง สู้รบ ในการได้มาซึ่งเงินตรา อำนาจ การครอบครอง ยศฐาบรรดาศักดิ์ ฯลฯ แต่สำหรับ Bai Fang Lee ชายชราชาวจีนผู้ยากจนข้นแค้น ท่านนี้ กลับมีแก่นจุดยืนของตัวเองเพียงสิ่งเดียวคือ "การให้" ซึ่งกลายเป็นคุณค่ามหาศาล สำหรับเด็กๆ ชาวจีนผู้ด้อยโอกาส ที่ได้มีโอกาสเรียนหนังสือ ผู้เฒ่า Bai Fang Lee เกิดบนผืนแผ่นดินจีนอันกว้างใหญ่ ในครอบครัวที่ยากจน นั่นทำให้เขาไม่ได้เรียนหนังสือ แต่เชื่อหรือไม่ว่า เขาใช้เงินทั้งหมดที่สะสมเล็กสะสมน้อย จากการปั่นสามล้อถีบมามากกว่า 20 ปี ราว 350,000 หยวน (ประมาณ 1,750,000 บาท) บริจาคให้กับโรงเรียนและมหาวิทยาลัยหลายแห่ง ในเมือง Tainjin เพื่อช่วยเหลือเด็กนักเรียนที่ขาดแคลนจำนวนมาก อาหารกลางวัน ของ คุณตา Bai Fang Lee เป็นแค่ขนมปัง กับน้ำเปล่า อย่างหรูขึ้นมาหน่อยก็ใส่เครื่องปรุงรสลงไปในน้ำ ส่วนมื้อเย็นก็เป็นเศษชิ้นเนื้อหรือไม่ก็ไข่ ซึ่งอาหารทั้งหมดของคุณตา Bai Fang Lee ล้วนขุดคุ้ยมาจากถังขยะที่มีคึนทิ้งๆ ไว้ ซึ่งกว่าจะเจอก็ช่างยากเย็นเสียเหลือเกิน ถ้าวันไหนโชคดี ก็จะได้กินเนื้อชิ้นโต ซึ่งต้องถือว่า เป็นอาหารอันโอชะที่สุดแล้ว คุณตา Bai Fang Lee ตื่น 6 โมงเช้า ปั่นสามล้อถีบวันตลอด 365 วัน โดยไม่มีวันหยุด และกว่าจะเลิกอีกทีก็ หนึ่งทุ่ม สองทุ่ม เป็นอย่างนี้ทุกๆปี ไม่รู้นานเท่าไหร่แล้ว ทนทุกข์ท่ามกลางหิมะที่หนาวจัด กระทั่งไปจนถึงอากาศร้อนสุดๆ ที่บางวันก็ถึง 50 องศาเซลเซียส "ผมพอใจกับความทุกข์ยากที่เป็นอยู่ เพื่อให้เด็กๆยากจนได้เรียนหนังสือ" มหาบุรุษคนยาก เผย เมื่อตอนที่ อายุ 90 ปี คุณตา Bai Fang Lee ได้มอบเงิน 500 หยวน ก้อนสุดท้ายบริจาคให้กับโรงเรียน Yao Hua โดยเขาบอกอย่างผิดหวังเล็กน้อยว่า "ผมไม่สามารถหาเงินได้มากไปกว่านี้แล้ว และนี่อาจเป็นก้อนสุดท้ายแล้วก็ได้" อีกสามปีต่อมา คุณตา Bai Fang Lee จากโลกใบนี้ไปอย่างสงบ เมื่อสิ้นสุดลมหายใจ ในวัย 93 ปี สร้างความเศร้าโศกเสียใจให้กับนักเรียนและครู อาจารย์ บนจีนแผ่นดินใหญ่นี้เป็นอย่างมาก เด็กนักเรียนจาก โรงเรียน Yao Hua ซึ่งเป็นโรงเรียนที่ได้รับเงินบริจาคจากBai Fang Lee ขึ้นป้ายไว้อาลัยต่อการจากไปของผู้มีพระคุณอันยิ่งใหญ่ และนี่เป็นภาพสุดท้ายของ Bai Fang Lee มหาบุรุษคนยาก ผู้ยิ่งใหญ่ของเด็กๆ ที่ควรจารึกไว้ในความทรงจำของผู้คนทั่วโลก เป็นภาพแห่ง"ความรักที่จะให้"สุดพิเศษ ที่ควรต่อการเอาเยี่ยงอย่าง ของพวกเห็นแก่ตัว หวังแต่จะได้ ที่มีอยู่ดาดดื่นบนปฐพีสีน้ำเงินแห่งนี้...
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #696 เมื่อ: 14 กุมภาพันธ์ 2554, 09:34:11 » |
|
|
|
|
|
เอมอร 2515
Cmadong พันธุ์แท้
ออฟไลน์
รุ่น: rcu 2515
คณะ: รัฐศาสตร์(นิติศาสตร์)
กระทู้: 4,562
|
|
« ตอบ #697 เมื่อ: 14 กุมภาพันธ์ 2554, 10:26:24 » |
|
ประทับใจในการเสียสละ เพือคนอื่น และตนเองยอมลำบากได้ขนาดนี้ นับถือจิตใจสูงส่งจริงๆ คงหาไม่ได้อีกแล้ว
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #698 เมื่อ: 22 กุมภาพันธ์ 2554, 12:23:09 » |
|
|
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #699 เมื่อ: 24 กุมภาพันธ์ 2554, 09:33:36 » |
|
ระบบการคำนวณของสมองมันสุดยอดมั่กๆ
|
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #700 เมื่อ: 11 เมษายน 2554, 08:37:26 » |
|
สิ่งที่เรามัก จะนึกเสียใจก่อน เสียชีวิตรศ.ดร.พสุ เดชะรินทร์ คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย pasu@acc.chula.ac.th กรุงเทพธุรกิจ วันอังคารที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2553 สัปดาห์นี้เปลี่ยนอารมณ์หน่อยนะครับ เพราะพอดีไปเจอบทความเรื่องหนึ่ง โดย Bronnie Ware ซึ่งเป็น นักเขียนอิสระอยู่ที่ออสเตรเลีย โดยนักเขียนผู้นี้เคยทำงานดูแลผู้ป่วยที่รู้ตัวว่าจะเสียชีวิตและกลับไปอยู่ที่ บ้านเพื่อรอวันตาย โดยเธอจะอยู่กับผู้ป่วยเหล่านี้ในช่วงสามถึงสิบสอ สัปดาห์สุดท้ายก่อนที่ผู้ป่วยจะเสีย ชีวิต โดยในช่วงเวลาดังกล่าว เธอได้มีโอกาสพูดคุย และรับฟังความในใจของผู้ป่วยเหล่านี้ เมื่อถามถึง สิ่งที่เสียใจหรือสิ่งใดๆ ก็ตามที่ถ้าทำได้อยากจะย้อนอดีตไปเปลี่ยนแปลงนั้น เธอพบว่ามีอยู่ห้าประเด็นที่มักจะพบในผู้ป่วยที่กำลังใกล้เสียชีวิตเป็นส่วนใหญ่ครับ ประเด็นแรก คือ ผู้ป่วยเหล่านี้อยากจะมีความกล้าที่จะใช้ชีวิตตามแบบที่ตนเองอยากหรือต้องการจะเป็น ไม่ใช่ดำรงชีวิตตามความต้องการหรือ ความคาดหวังของผู้อื่น ซึ่งพบว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผู้ป่วยอยากจะเปลี่ยนแปลงมากที่สุดครับ เนื่องจากเมื่อผู้ป่วยพบว่าชีวิตตนเองกำลังจะสูญเสียไป และมีโอกาสมองย้อนกลับไปในอดีตนั้น จะพบว่ามีความฝันหลายๆ อย่างที่ยังไม่ได้เริ่มต้นทำหรือยังไม่บรรลุ และเมื่อใกล้จะเสียชีวิตก็จะพบว่า ความฝันของตนเองนั้นจะไม่มีวันบรรลุ และส่วนใหญ่ก็มักจะมานั่งนึกเสียใจ เพราะสาเหตุที่ไม่สามารถทำตามความฝันได้นั้น เป็นเพราะตัวเอง เลือกที่จะไม่ทำเอง ตัวเองเลือกที่จะทำตามสิ่งที่ผู้อื่นขีดเส้นทางให้เดิน ถือเป็นบทเรียนที่สำคัญสำหรับทุกๆ ท่านนะครับ ที่ในช่วงชีวิตหนึ่ง ถ้ามีโอกาสและเลือกได้ก็ควรจะเดิน ตามความฝันของตัวท่านเอง เพราะคนเราหนีไม่พ้น เกิด แก่ เจ็บ ตาย และเมื่อวันนั้นมาถึง เราก็คง จะไม่มีแรงที่จะเดินตามความฝันที่เราต้องการแล้ว การมีสุขภาพที่ดี จะช่วยทำให้ท่านเดินตามความฝันได้ แต่เมื่อใดก็ตาม ที่สุขภาพท่านเริ่มแย่แล้ว อิสระในการเดินตามฝันก็ท่านก็จะลดน้อยลง ประเด็นที่สอง คือ ผู้ป่วยใกล้เสียชีวิตเหล่านั้น คิดเสียใจว่าในอดีตจะไม่ได้ทำงานหนักเหมือนที่ผ่านมา ซึ่งเหตุการณ์นี้ มักจะเกิดขึ้นกับผู้ป่วยชาย เกือบทุกคนเลยครับ คุณผู้ชายเหล่านี้มักจะเสียใจว่าในอดีตที่ผ่านมา ไม่ค่อยได้มีเวลาในการดูแลลูกๆ ของตนเท่าที่ควร รวมทั้งไม่ได้อยู่เป็น คู่ทุกข์คู่ยากภรรยาเท่าที่ควร ผู้ป่วยที่เป็นชายเกือบทุกคนจะรู้สึกเสียดายว่าในอดีตใช้ และให้เวลากับงานมากเกินไป ข้อสังเกตนี้ก็น่าคิดนะครับ ว่าในปัจจุบันเราให้ความสำคัญกับการทำงานมากเกินไปหรือไม่ เราต้องการแสวงหารายได้ ชื่อเสียง เกียรติยศ มากเกินไปหรือไม่ สุดท้ายเมื่อเราใกล้ตายเราจะสำนึกเสียใจว่า เราได้พลาดโอกาสดีๆ ในชีวิตที่ไม่มีวันหวนกลับมาหรือไม่ การมีรายได้ที่พอเพียง อาจจะเป็นทางออก สำหรับทุกท่านนะครับ อีกทั้งการมีที่ว่างในตารางเวลาและชีวิตที่ไม่ใช่เรื่องของการทำงานเพียงอย่างเดียว จะทำให้เรามีความสุขขึ้น และเมื่อเราใกล้เสียชีวิต จะไม่มานั่งย้อนนึกเสียใจในสิ่งที่เราพลาดไป ประเด็นที่สาม คือ ผู้ป่วยอยากจะกล้าที่จะแสดงอารมณ์และความรู้สึกที่แท้จริงของตน เนื่องจากคนจำนวนมากจะปิดกั้นอารมณ์และความรู้สึกที่แท้จริง ของตน เพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างสงบและสันติ ทำให้สุดท้ายแต่ละคนรู้สึกว่าอารมณ์ของตนเองถูกเก็บกด และไม่สามารถเป็นตัวตนที่แท้จริง ประเด็นที่สี่ คือ ผู้ป่วยที่ใกล้เสียชีวิตนั้น มักจะเสียใจที่ไม่ได้ติดต่อเพื่อนฝูงเก่าๆ เนื่องจากเรามักจะไม่ ค่อยเห็นถึงคุณค่าของเพื่อนเก่าๆ จนกระทั่ง ใกล้เสียชีวิต คนจำนวนมากจะมัวแต่ยุ่งและวุ่นวายกับชีวิต ประจำวัน จนละเลยต่อความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนฝูง ทำให้เรามักจะไม่ค่อยให้ความสัมพันธ์ กับเพื่อนฝูง ต่างๆ จนกระทั่งใกล้จะเสียชีวิต ก็จะเริ่มนึกถึงเพื่อนฝูงขึ้นมา ดูเหมือนว่าเมื่อคนใกล้จะเสียชีวิต เกียรติยศ เงินทอง หรือสถานะทางสังคมต่างๆ กลับดูไปจะด้อยหรือ ไร้ความหมายนะครับ สุดท้ายดูเหมือนว่า เรื่องของความรัก ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลจะกลายเป็นสิ่งที่ผู้ป่วยที่กำลังใกล้ตายนึกถึง ประเด็นสุดท้าย ซึ่งค่อนข้างน่าแปลกใจ คือ ผู้ป่วยเหล่านี้กลับสำนึกเสียใจว่าไม่ได้ทำให้ชีวิตที่ผ่านมาของ ตนเองมีความสุขเท่าที่ควร ผู้ป่วยหลายคนจะไม่เคยนึกถึงมาก่อนนะครับว่าตนเองสามารถที่จะเลือกที่จะทำให้ชีวิตมีความสุขได้ คนจำนวนมากเลือกที่จะอยู่และปฏิบัติในสิ่ง ที่คุ้นเคย ความกลัวต่อการเปลี่ยนแปลง ทำให้คนเรามักจะหลอกตนเองว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่นั้นมีความสุข ซึ่งจริงๆ แล้วกลับไม่ใช้ ท่านผู้อ่านจะเห็นได้นะครับว่าเมื่อคนเราใกล้จะตายนั้น เรามักจะนึกย้อนกลับไปถึงอดีต และเริ่มสำนึกเสียใจในสิ่งที่ได้ทำหรือไม่ได้ทำมาในอดีต และเราจะพบว่าเมื่อเราใกล้ตายแล้ว เงินทอง ชื่อเสียง สถานะ เกียรติยศต่างๆ กลับไม่มีความหมาย สิ่งที่มีความหมายเมื่อใกล้ตาย คือเรื่องของ ความรักและความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ซึ่งหลายครั้งกลับ กลายเป็นสิ่งที่เราละเลยหรือไม่สนใจในขณะที่เรามีชีวิตอยู่ นอกจากนี้ เมื่อใกล้ตาย คนเราจะพบว่าชีวิตในอดีตที่ผ่านมานั้นเรามีสิทธิที่จะเลือก แต่เราดันเลือกในสิ่งที่ไม่ได้ทำให้เรามีความสุข หรือเลือกในสิ่งที่ทำให้เราต้องมาย้อนสำนึกเสียใจ เมื่อเราใกล้ตาย ดังนั้น ในขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่และยังแข็งแรง เราจะต้องเลือกอย่างมีสติ เลือกอย่างฉลาด เลือกในสิ่งที่ถูก และเลือกในสิ่งที่ทำให้เรามีความสุขนะครับ
|
|
|
|
Mouy (Again)
มือใหม่หัดเมาท์
ออฟไลน์
กระทู้: 150
|
|
« ตอบ #701 เมื่อ: 14 เมษายน 2554, 02:15:05 » |
|
หากเป็น FB คงกด like ให้เลยทีเดียว.. ไม่ได้เข้ามานาน เพราะมัวไปขลุกใน FB แทนเสียนี่.. ... จริงอย่างบทความอาจารย์พสุล่ะค่ะ... แต่พี่เชื่อว่าจริงๆ แล้วเราๆ ก็รู้สึกอย่างนั้นอยู่ทุกครั้งที่กลับมาย้อนคิดหาเหตุผลว่า ที่เราทำงานประจำกันไปเพื่ออะไร... จำได้ว่าครั้งแรกที่มีความรู้สึกอย่างนี้ก็ตอนเรียนจบแล้วมาเริ่มงานตรวจสอบบัญชีครั้งแรก.. ทำไป 3 ปี ไม่ได้กลับมาหอเลย จนมาเยี่ยมน้องๆ อีกที.. อ่ะ.. เรียนจบกันแล้ว.. ก็ยังมานั่งคิดว่า เอ.. ที่เราหายไปทำงานหามรุ่งหามค่ำนั้น.. เราก็พลาดหลายๆ อย่างในชีวิตที่น่าจดจำไปไม่น้อยเลยทีเดียว... รู้สึกเสียดายโอกาสในช่วงเวลานั้น น่าจะมีหลายๆ อย่างที่ทำให้เรารู้สึกเป็นสุขแน่เลย เมื่ออยู่ในเหตุการณ์.... แต่เอาเป็นว่า เวลาไม่ย้อนกลับ ดังนั้นก็ขอให้ทุกคนค้นพบวิถีทางที่นำพาความสุขมาสู่ตัวเราได้ไวๆ นะคะ.....
|
|
|
|
khesorn mueller
|
|
« ตอบ #702 เมื่อ: 14 เมษายน 2554, 16:05:25 » |
|
ถือเป็นบทความที่เสมือนเป็นของขวัญปีใหม่คะ ถูกต้องเลยล่ะ
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #703 เมื่อ: 26 เมษายน 2554, 12:45:08 » |
|
ขอแชร์นะ..
|
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #704 เมื่อ: 26 เมษายน 2554, 14:04:34 » |
|
ใครเปียก่อน
|
|
|
|
telek78
|
|
« ตอบ #705 เมื่อ: 26 เมษายน 2554, 21:09:45 » |
|
ผมจุก
|
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #706 เมื่อ: 29 เมษายน 2554, 12:42:21 » |
|
ผมแกละ..
|
|
|
|
dol (81)
Full Member
ออฟไลน์
กระทู้: 540
|
|
« ตอบ #707 เมื่อ: 03 พฤษภาคม 2554, 22:17:46 » |
|
ผมโกะ..
|
ความรักไม่มีวันหมดอายุ ถ้ามันจะหมดอายุแสดงว่าคุณหมดรัก
|
|
|
Apirat T.
|
|
« ตอบ #708 เมื่อ: 04 พฤษภาคม 2554, 08:49:14 » |
|
มาตายเอาอีตรง "ผมโกะ" นี่แหละ ต่อไม่ถูกเลย
|
|
|
|
dol (81)
Full Member
ออฟไลน์
กระทู้: 540
|
|
« ตอบ #709 เมื่อ: 11 พฤษภาคม 2554, 18:04:54 » |
|
555555555
|
ความรักไม่มีวันหมดอายุ ถ้ามันจะหมดอายุแสดงว่าคุณหมดรัก
|
|
|
ppornson
|
|
« ตอบ #710 เมื่อ: 02 มิถุนายน 2554, 12:34:31 » |
|
1. โจ๊กสามย่าน : ถามใครๆ ก็บอกว่าทีเด็ดอยู่ที่หมูหมักก้อนกลมกล่อม ประกอบกับเปิดขายเฉพาะช่วงเช้าก่อนเข้าเรียนและช่วงเย็นประมาณหลังเลิกเรียน พอดี เลยกลายเป็นเสบียงให้นิสิตอิ่มท้องจนเรียนจบมาแล้วนักต่อนัก
2. ข้าวราดแกงวัดเล่งเน่ยยี่ : ในซอยมังกร ข้างวัดเล่งเน่ยยี่ถนนเจริญกรุงขึ้นชื่อในแกงประเภทแกงกะทิ โดยเฉพาะ แกงเนื้อ.. มาขายตั้งแต่ประมาณ16.00น.เป็นต้นไป
3. โจ๊กหม้อดิน ซอยมหาดไทย ใช้หม้อดินมาตั้งแต่รุ่นคุณพ่อเพราะหม้อดินเป็น ภาชนะธรรมชาติปลอดสารพิษเวลาโดนความร้อนแถมเก็บความร้อนไว้ได้นานเนื้อหมู ใช้หมูที่ไม่มีมัน ส่วนข้าวก็ใช้ข้าวหอมมะลิ ปัจจุบันเปิดขายแฟรนไชส์แบ่งปันกำไรและความอร่อยกันให้ทั่วๆสนใจติดต่อที่ โทร.934-3995
4. ข้าวขาหมูสีลม : อยู่ในซอยตรงข้างโรงพยาบางเลิดสิน คนแถวนั้นรู้จักในนามขาหมูโกโก้ใครอยากมาลองต้องรีบมาช่วงเที่ยงหลังบ่ายโมง ไม่รับประกัน เพราะจะขายหมดเร็วมาก
5. ข้าวมันไก่ตอนประตูน้ำ : นอกจากข้าวและไก่จะมีรสดีได้มาตรฐานแล้วที่ใครๆ ออกปากเห็นจะเป็นน้ำซุปร้อนๆ หอมและหวานน้ำต้มกระดูกไก่
6. ข้าวหมูแดงสีมรกต : ไม่ต้องสงสัยว่าข้าวหมูแดงทำไมเป็นสีเขียว..จริงๆแล้วคือนามสกุลเจ้าของร้าน มีทีเด็ดตรงที่ทุกอย่างล้วนผ่านกรรมวิธีการย่าง ย่างมาตลอดสี่สิบกว่าปี ร้านอยู่ในตรอกโรงหมูตรงข้ามวัดไตรมิตร ขายเวลา 11.30น.-22.00น
7. ข้าวขาหมูเหม่งจ๋าย จากแยกเหม่งจ๋ายมุ่งหน้ามาทางที่จะทะลุถนนเลียบทางด่วนจะเห็นร้านอาหารหลาย ร้านอยู่ด้านขวามือ ข้าวขาหมูร้านที่ว่าเป็นที่ชื่นชอบของคนรักเครื่องในและหมูกรอบ
8. ข้าวผัดปู ห้าแยก ณ ระนอง: อาหารจีนชนิดอื่นๆ ทั้งกระเพาะปลา รังนก โดยไม่ต้องขึ้นเหลา มี ผัดหมี่หยังโจวกับข้าวผัดปู เป็นเมนูหลักร้านเปิดขายประมาณ 18.00 น. เป็นต้นไป ที่ห้าแยก ณ ระนอง ตรงข้ามสโมสรการท่าเรือ
9. ร้านเต้าหู้ทอด เผือกทอด น้ำจิ้มรสเด็ด จตุจักร ร้านนี้ขายเฉพาะเสาร์-อาทิตย์เท่านั้นที่สวนจตุจักร อยู่โครงการ 2 ซอย 2 ฝั่งตรงข้ามตลาด อ.ต.ก. ใกล้สถานีรถไฟใต้ดิน น้ำจิ้มรสเด็ดมาก ถั่วลิสงหอมความใหม่ เผือกทอด ข้าวโพดทอดมีแต่เผือกกับข้าวโพดมากกว่าแป้ง
10. ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นน้ำใสศรีย่าน : ตู้ใส่เส้นและลูกชิ้นค่อนข้างเก่าเนื่องจากทำมาหลายสิบปีแต่ก็ยังคงความ อร่อยของลูกชิ้นไว้เช่นเดิม อยู่บริเวณตลาดศรีย่าน
11. ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลาเด้งได้ : เป็นร้านพี่น้องอยู่ใกล้ๆ กัน บริเวณท่าน้ำราชวงศ์ กระซิบว่าเจ้าของร้านไม่ค่อยอยากให้ลงแต่เพราะความอร่อยของลูกชิ้นและเส้น ที่เหนียวนุ่ม เราจึงจำเป็นต้องแนะนำ
12. หมี่กรอบจีนหลี สมัย ร.5 : เรื่องมีอยู่ว่า คุณทวดของเจ้าของร้านอพยพมาจากเมืองจีนมาทำหมี่กรอบขายอยู่ บริเวณท่าน้ำตลาดพลู ซึ่งเป็นย่านที่มีขุนนางอาศัยอยู่เยอะ วันหนึ่งพระพุทธเจ้าหลวงปลอมพระองค์เสด็จฯ ตรวจราชการ แล้วทรงได้กลิ่นหมี่ใกล้สุก เมื่อเสด็จฯ ครั้งต่อๆ มาจึงแวะเสวยและมีพระราชดำรัสให้ไปผัดในวังปัจจุบันหมี่กรอบจีนหลียังตั้ง อยู่ที่เดิม ขายสิบโมงเช้าถึงสี่ทุ่ม
13. ก๋วยเตี๋ยวสุโขทัย สมทรงโภชนา : เจ้าของสูตรซึ่งเป็นชาวสวรรคโลกแท้ๆเพิ่งเสียชีวิตได้ไม่นาน พี่วรรณลูกสาวจึงรับหน้าที่ปรุงรสก๋วยเตี๋ยวให้ได้ครบรสเดิมตั้งอยู่ในซอย วัดสังเวช ถนนท่าพระอาทิตย์ เดี๋ยวนี้ขยับขยายขึ้นไปอยู่บน ศูนย์อาหารเซ็นทรัลพลาซ่าลาดพร้าว
14. ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลาโบราณ จันทบุรี : ร้านตั้งอยู่เลยวัดตรีทศเทพ เลี้ยวซ้ายไปเล็กน้อย เป็นลูกชิ้นปลาทำเองเจ้าของร้านกิตติศัพท์เรื่องรสชาติมีมาก พอๆ กับการไม่ง้อลูกค้า คนเรื่องมากต้องระวังจะถูกเชิญให้ไปรับประทานร้านอื่น
15. ก๋วยเตี๋ยวไหหลำ : แปลกกว่าก๋วยเตี๋ยวธรรมดาตรงเส้นที่คล้ายเส้นเกี้ยมอี๋แต่ยาวกว่าใส่ผักกาด ดองตามสูตรไหหลำ เนื้อหมูและวัวเลือกมาอย่างดี อยู่ตรงสะพานขาวถนนลูกหลวง ใกล้โรงหนังแอมบาสเดอร์เก่า
16. เย็นตาโฟวัดแขก ถนนสีลม : ใครเคยไปบริเวณวัดแขกจะเห็นว่าทุกร้านล้วนขึ้นป้ายว่าเย็นตาโฟวัดแขกเจ้า เก่า แนะนำได้เพียงว่าร้านดั้งเดิมคือร้านที่อยู่ใกล้กับวัดแขกมากที่สุด แต่เรื่องรสชาติต้องลองชิมดูเองว่าร้านไหนจะถูกปากใคร
17. ไก่ย่างแม่วันเพ็ญ : ไก่ย่างและไก่ย่างทอดร้อนๆ ทอดจนกรอบ แล้วโรยเครื่องเทศให้หอม เข้าได้ทั้งจากซอยอาภาภิรมย์ข้างกรมการค้าส่งออกถนนรัชโยธิน หรือจากซอยโชคชัย 4 ถนนลาดพร้าวก็ได้ผู้ไม่คุ้นทางสามารถโทรศัพท์สอบถามได้ที่ 0 1818 2608
18. กระเพาะปลาน้ำแดง : ใช้เวลาเตรียมแต่เช้ามืดเพื่อเปิดขายตอนประมาณสี่โมงเย็นถึงสี่ทุ่มเพราะ ต้องเคี่ยวกระดูกไก่นาน 4 ชั่วโมง ผสมกับเครื่องปรุงอย่างดี ทำให้ได้น้ำหอมหวาน แต่เดิมขายในรถเดี๋ยวนี้กลายเป็นแผงอยู่หน้าที่จอดรถตลาดสวนหลวง ใกล้สนามกีฬาแห่งชาติ
19. อาหารไทย ร้านครัวอรรถรส ซอยเสือใหญ่อุทิศ : มีทั้งก๋วยเตี๋ยวสุโขทัย ส้มตำผลไม้ ขนมจีนน้ำเงี้ยว ฯลฯ รวมไว้ในร้านเดียวกัน เจ้าของรวบรวมอาหารอร่อยจากที่ต่างๆมาพัฒนารสชาติปรับส่วนที่เข้มข้นเกินไป ให้อร่อยลงตัวไปอีกแบบ หาร้านไม่เจอโทรศัพท์ถามได้ที่ 0 2541 7043
20. ส้มตำจตุจักร : ฝั่งตรงข้ามตลาด อ.ต.ก. ผ่านซุ้มหนังสือเก่าเลี้ยวขวา จะเจอร้านส้มตำฝุ่นตลบซึ่งมีอาหารอีกหลายอย่างให้เลือก อาทิ ไก่ทอด หมูยอ ก๋วยจั๊บญวน ที่อร่อยอาจเป็นเพราะรอนานจนหิวก็เป็นได้
21. ปลาหมึกย่างสยามสแควร์ : คุณป้าใช้ปลาหมึกสดๆ จิ้มน้ำจิ้มรสเด็ดราคาอาจสูงไปนิด แต่ก็สมเหตุสมผลกับค่าทำเล และคุณภาพอาหารอยู่ในสยามสแควร์ซอย 4
22. ไก่ทอด 7 กระทะ : ไก่ทอดจนกรอบเกรียม รวมกับกระเทียมเจียวร้อนๆ ทำให้มีลูกค้ามากมายมายืนรอเมื่อไม่ทันใจจึงต้องใช้กระทะถึง 7 ใบ จากแยกรัชดา-สุทธิสาร มุ่งหน้าสู่แยกที่จะลัดออกสู่ลาดพร้าวอยู่ทางซ้ายมือ
23. ไก่ทอดเจ๊กี : บางคนเรียกไก่ทอดโปโล เพราะตั้งอยู่ในซอยโปโล ตรงข้ามสวนลุมพินี เป็นร้านเก่าร้านแก่ตั้งแต่รุ่นเจ๊กี คือคุณแม่ คิดสูตรไก่ทอดโรยกระเทียมเจียวหอม พร้อมอาหารประเภทส้มตำ น้ำตก เปิดบริการตั้งแต่เจ็ดโมงเช้ามีบริการจัดส่งบริเวณใกล้เคีัยง โทรศัพท์สั่งได้ที่ 0 2655 8489
24. เป็ดย่างพูลสิน : เลยวัดตรีทศเทพมาเล็กน้อย เป็ดย่างสุกกำลังเหมาะจนหนังกรอบ เนื้อนุ่ม ไม่เหนียว
25. ห่านพะโล้ฉั่วคิมเฮง : ตรงมาจากถนนเพชรบุรีตัดใหม่ ข้ามแยกคลองตันมาถนนพัฒนาการ จะเห็นร้านใหญ่ซ้ายมือร้านดั้งเดิมปัจจุบันยังอยู่ท่าดินแดง ชื่อฉั่วกิมฮวด เก่าแก่จนได้รับฉายาว่าเป็นห่านสามชั่วคน
26. ไก่ย่างจิรพันธ์ : ร้านขายอาหารอิสลามล้วนๆ นอกจากไก่ย่างยังมีเนื้อสะเต๊ะ ข้าวหมกไก่ แถมด้วยข้าวหมกแพะจากถนนรามคำแหงเลี้ยวที่แยกพระราม 9 มุ่งหน้าไปทางมอเตอร์เวย์ จะอยู่ทางซ้ายมือเลยปั๊มเชลล์ไปประมาณ 500 เมตร
27. เนื้อย่างเกาหลี สูตรบึงพลาญชัย : ต้นตำรับดั้งเดิมขายอยู่ใกล้ๆ บึงพลาญชัย จังหวัดร้อยเอ็ด คุณนิภานำสูตรมาตั้งร้านที่หมู่บ้าน ต.รวมโชค ซอยโชคชัย 4 ถนนลาดพร้าว จุดเด่นอยู่ที่น้ำซุปร้อนๆ ในหม้อย่างสามารถทานได้เลยเพราะผ่านการปรุงมาแล้ว
28. สะอาด : ขายเสต๊กที่ผ่านการดัดแปลงรสชาติให้เข้ากับคอคนจีนได้เป็นอย่างดี ในร้านยังมี ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นน้ำใสเป็นเมนูเด็ดประจำร้าน อยู่บนถนนอิสรภาพ ใกล้สี่แยกบ้านแขก
29. ห่านพะโล้สะพานเหลือง : ผ่านการต้มมาอย่างดีจนเนื้อไม่เหนียวและไม่คาวเหมือนห่านพะโล้ทั่วๆ ไปอยู่ย่านสะพานเหลือง ริมถนนพระราม 4 ถ้ามุ่งหน้าหัวลำโพงจะอยู่ด้านซ้ายมือก่อนถึงแยกบรรทัดทอง อาหารว่างและของหวาน
30. ร้านกาแฟโบราณเอี๊ยะแซ : โบราณสมชื่อ เพราะเปิดมาแล้วเจ็ดสิบกว่าปี ใช้เมล็ดกาแฟจากไร่ประจำนำมาคั่วทำให้ได้รสกาแฟแท้ดั้งเดิมเปิดรับคนตื่น เช้าตั้งแต่ตีสี่ครึ่งไปจนถึงสี่ทุ่ม ที่ร้านบนถนนเยาวราช-พาดสาย ตรงข้ามเท็กซัสสุกี้ นอกจากนี้ยังหาดื่มได้ตามศูนย์อาหารทั่วกรุงเทพฯและเซ็นเตอร์พ้อยท์ เอาใจคอกาแฟรุ่นใหม่
31. ขนมเบื้องวังเดิม : สังเกตเห็นได้ง่ายเนื่องจากมีขนาดใหญ่กว่าขนมเบื้องธรรมดา ใช้แป้งถั่วเขียวละเลงเป็นแผ่น เพราะหอมกว่าแป้งสาลีแล้วเคลือบด้วยไข่ มีให้เลือกทั้งไส้หวาน และไส้เค็ม ชื่อวังเดิมเพราะร้านเก่าอยู่แถววังเดิม เดี๋ยวนี้อยู่ลานอาหารไทย ดิโอลด์สยามพลาซ่า
32. ไอศกรีมทิพรส : ไอศกรีมกะทิหลากชนิด มีให้เลือกทั้งกะทิโบราณ กะทิรวมมิตร และกะทิทรงเครื่อง มีบริการแพ็คกลับบ้านได้ ราคาไม่แพงอยู่บริเวณสี่แยกเตาปูน มุ่งหน้าไปทางตลาดเตาปูน
33. ร้านขนมไทยหวานดำรงค์ : ร้านปัจจุบันเปิดมาตั้งแต่ปี 2508 ได้มรดกทางฝีมือการทำขนมมาจากคุณแม่ซึ่งเจ้าของร้านถ่อมตัวว่าไม่ได้มาจาก วังไหน แต่คุณหญิงหลายๆ ท่านก็มาสั่งทำขนมชั้นขนาดใหญ่ ตะโก้ และขนมเปียกปูน อยู่เสมอๆ ร้านเปิดเจ็ดโมงเช้าถึงหนึ่งทุ่ม หยุดวันอาทิตย์ อยู่ในตลาดเจริญผล ใกล้สี่แยกเจริญผล หรือจะโทรศัพท์สั่งก็ย่อมได้ ที่ 02215 2345แต่ปัจจุบันนี้ย้ายไปอยู่ที่ สี่แยก ศรีวรา แล้ว
34. ถั่วแปบ ซอยละลายทรัพย์ : เดิมขายสาคูและข้าวเกรียบปากหม้อ แล้วมาทำถั่วแปบเสริม แต่ด้วยความที่ถั่วแปบเจ้านี้แป้งนิ่มกำลังดีลูกค้าหันมาซื้อกันมากจนทำไม่ ทัน จึงต้องหันมาขายเฉพาะถั่วแปบเป็นหลัก ที่ซอยละลายทรัพย์ถนนสีลม
35. ปอเปี๊ยะ/ มะตะบะ ท่าพระจันทร์ : กรรมวิธีการทอดต่างจากร้านอื่น ตรงทอดแป้งเป็นแผ่นบาง โรยด้วยไส้ นำมาซ้อนกัน 3 ชั้น
ห่อด้วยแป้งแล้วจึงทอดอีกครั้ง วิธีนี้จะทำให้มีความกรอบและนุ่มพอดิบพอดี ร้านใกล้ๆ กันขายปอเปี้ยะทอดที่ใส่เครื่องกุ้งและหมูสับเต็มๆ คำรสดีด้วยเครื่องเทศและความกรอบใหม่
36. โรตีกรอบ หน้าเพาะช่าง : พัฒนามาจากโรตีแผ่นกลมธรรมดา มาเป็นโรตีแผ่นสี่เหลี่ยมทอดจนกรอบ ใส่กล่องหรือใส่จานแนะนำให้ทานร้อนๆ จะอร่อยเป็นทวีคูณ
37. เซ็งซิมอี๊ : อี๊หมายถึงแป้งที่ปั้นเป็นรูปร่างต่างๆ ส่วนเซ็งซิมหมายถึงชื่นใจ เซ็งซิมอี๊ ร้านที่ว่าเป็นร้านสะท้านโลกันต์อยู่บริเวณตลาดสวนหลวงเช่นกัน ขายช่วงเย็นๆ ไปจนค่อนคืน
38. ลอดช่องสิงคโปร์ ร้านประโยชน์ : อยู่ระหว่างสามแยกกับวงเวียน 22 เป็นร้านเล็ก ๆ แต่รสชาติไม่เล็กเหมือนร้าน
39. ไอศกรีมไข่แข็ง : โดยการใส่ไข่แดงล้วนๆ ลงในไอศกรีมกะทิ ความเย็นจะกลบกลิ่นคาวกลายเป็นรสชาติหอมมันแทนร้านอยู่ถัดจากเซ็งซิมอี๊ที่ ตลาดสวนหลวงไปประมาณ 2-3 ห้อง
40. ซ่าหริ่มชูถิ่น : บอกชื่อไป ไม่มีใครไม่รู้จักขายทั้งซ่าหริ่มและขนมไทยอีกหลายชนิด คนชอบทำขนมหลายคนดีอกดีใจที่ร้านนี้มีแป้งทำขนมขายพร้อมวิธีทำบอกเสร็จสรรพ แต่จริงๆ แล้วร้านเขาขายแป้งมาแต่เดิมต่างหาก
41. มนต์ นมสด : ชื่อร้านคือชื่อเจ้าของร้าน คุณมนต์ช่วยคุณพ่อทำร้านนม-กาแฟ มาตั้งแต่ 10 ขวบ เริ่มตั้งแต่เป็นรถเข็น
ย้ายที่แล้วที่เล่าจนมาได้ที่ปัจจุบันอยู่ตรงข้ามศาลาว่าการกรุงเทพฯ เปิดขาย 14.00น.-24.00น. เน้นความซื่อสัตย์ที่ขนมปังสังขยาสดใหม่ทุกวันและไม่ใส่สารกันบูด
42. ราดหน้า 4 สี ร้านชิ้งกี่: คือสีของเส้น รวมกับสีน้ำตาลของหมูหมัก สีเหลืองของไข่ดาว และสีน้ำตาลเข้มของหมูแฮม ซึ่งจริงๆ แล้วคือหมูทอดกระเทียม แต่ลูกค้าเห็นว่าอยู่คู่กับไข่ดาวก็เลยพากันเรียกหมูแฮมจนติดปากร้านชิ้งกี่ เคยมีโอกาสรับเสด็จสมเด็จพระเทพฯ รวมทั้งคนใหญ่คนโตหลายๆ ท่านมาแล้ว อยู่ ใกล้สวนรมณีย์นาถถัดจากซอยร้านหวายนายเหมือนไปหนึ่งซอย
43. ผัดไทยสำราญราษฎร์ : ผัดไทยร้านนี้เป็นผัดไทยกุ้งสดเจ้าแรกของเมืองไทย ตั้งอยู่ตรงข้ามประตูผีวัดสระเกศ
ใกล้ๆ กันมีผัดไทยทิพย์สมัยให้เลือกชิมได้อีกที่ ในบริเวณเดียวกันจะมีอาหารอร่อยหลายร้าน แต่ขอให้ระวังสอบถามราคาก่อนเพราะอาหารบางร้านก็ราคาแพงอย่างไม่น่าเชื่อ
44. เย็นตาโฟประตูผี : เลยร้านผัดไทยมาจะเห็นร้านตี๋เย็นตาโฟ อยู่ตรงหัวมุมแยกสำราญราษฎร์
ตั้งโต๊ะขายช่วงกลางคืนเต็มพื้นที่ และคนก็มากพอๆ กับจำนวนโต๊ะ สอบถามได้ความว่าลูกชิ้นมีหลากหลายและน้ำซุปก็อร่อยเกินหน้าเกินตาเย็นตาโฟ ร้านอื่น
45. ก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่ : ร้านที่แนะนำนี้ทำทั้งก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่ และก๋วยเตี๋ยวอบไก่ สูตรแรกจะคั่วเส้นกับไข่จนหอมแห้งอีกสูตรใส่ไข่แล้วปิดฝาหม้อให้กลิ่นอบอยู่ ข้างใน อยู่ซอยตรงข้ามโรงพยาบาลกลาง
46. ก๋วยเตี๋ยวคั่วทะเล : ร้านนี้ขายทั้งคั่วทะเลและคั่วไก่ แต่ที่ขึ้นชื่อจะเป็นคั่วทะเลเพราะใส่ทั้งกุ้งและปลาหมึกให้ด้วยอยู่ในซอย ข้างตลาดวรจักร หาไม่ยากแต่ทางเข้าวังเวงเล็กน้อย สาวๆ อยากลองควรหาใครไปเป็นเพื่อนสักคนสองคน
47. ข้าวมันไก่เจ๊ยี : ตรงข้ามวัดสระเกศ ขึ้นชื่อเรื่องข้าวมันแสนนุ่มและไก่ต้มยุ่ยกำลังดี ขายช่วงสายๆ จนถึงกลางวัน ต้องรีบไปเช่นกัน เพราะช้าหมดจะอดชิม
48. ข้าวต้มปลา 5 แยก : บริเวณ 5 แยกพลับพลาไชย ความอร่อยอยู่ที่ความสดของเนื้อปลากะพง ปลาหมึก กุ้งและหอยนางรมตัวโต เมื่อปรุงกับข้าวต้มร้อนๆ น้ำจะออกมาจากตัวเนื้อ ทำให้ข้าวต้มหอมและหวาน
49. ก๋วยเตี๋ยวหลอด : ก๋วยเตี๋ยวหลอดในซอยข้างสถานีตำรวจพลับพลาไชยมีข้อดีที่เส้นนุ่มกำลังดี ไม่เหนียวเกินไป ไม่เละเกินไป และไม่มันเกินไป ทานอร่อยได้ไม่แพ้ก๋วยเตี๋ยวหลอดทรงเครื่อง
50. ก๋วยจั๊บเผ็ด : เนื่องจากตำเม็ดพริกไทยใส่ลงไปตอนทำน้ำต้มกระดูกแถมโรยพริกไทยในชามอีกครั้ง เพื่อให้รสชาติเข้มข้นถึงใจ มีสาขาอีกร้านเป็นญาติกัน เปิดร้านใหญ่อยู่ตลาดเยาวราช แต่ความเข้มข้นอาจจะไม่เท่าเพราะที่นี่อาซิ่มท้าว่า คนเป็นหวัดมากิน..หวัดหายกันมาแล้วทุกราย ร้านนี้ตั้งอยู่ในซอยโรงเลี้ยงเด็ก แต่เจ้าของบอกว่าอยู่ในซอยนาคบำรุง ต่างหาก
51. ก๋วยเตี๋ยวหลอดเยาวราช : ร้านแรกเป็นรถเข็นอยู่ต้นถนนเยาวราชฝั่งขวา ก่อนแยกเข้าถนนผดุงด้าว สังเกตได้จากปริมาณคลื่นคนที่อออยู่หน้าร้าน ลูกค้าบอกว่ามีดีที่เครื่องเยอะและรสชาติเข้มข้น หรือถ้าอยากชิมก๋วยเตี๋ยวหลอดแบบที่ยังคงความเป็นหลอดไว้ก็ต้องเดินเลยมาอีก นิดอยู่ฝั่งซ้ายมือ ปากซอยที่มีร้าน 7-11 อยู่ด้านใน เด็ด..เช่นกัน
52. ก๋วยเตี๋ยว, เกาเหลา เนื้อตุ๋น เจ้ผอม ตลาดปีระกา อยู่ที่เวิ้งนครเกษม หน้าตลาดสด ร้านนี้น้ำซุปอร่อยมากเอ็นตุ๋นนุ่มมาก เครื่องในไม่มีกลิ่นคาว รับรองได้ชิมแล้วจะติดใจ
ขอบคุณในข้อมูลของ สาระดีดอทคอม จ้าาา
|
|
|
|
ชาร์ป
|
|
« ตอบ #711 เมื่อ: 02 มิถุนายน 2554, 13:24:44 » |
|
ขอบคุณครับพี่
|
|
|
|
|
nok15
Full Member
ออฟไลน์
กระทู้: 529
|
|
« ตอบ #713 เมื่อ: 24 มกราคม 2556, 12:17:21 » |
|
สวัสดีค่ะน้องiamfrommoon วันนี้ลองแวะเข้ามาอ่านห้อง "เรื่องดี--มาแบ่งปัน" ที่น้องเป็นผู้ตั้งประเด็น พี่ขอชื่นชมและขอบคุณทุกคนที่เข้ามาเขียนกระทู้ ได้ประโยชน์และได้ความรู้สึกดีๆค่ะ ขอบอกว่ากระทู้ของน้องเยี่ยมมากค่ะ ขออนุญาตแวะเข้ามาอ่านเรื่อยๆนะคะ พี่Nok15
|
|
|
|
Aj.O
|
|
« ตอบ #714 เมื่อ: 21 มิถุนายน 2556, 15:36:17 » |
|
อันนี้ต่อจากบทความข้างบนครับ
|
...
|
|
|
Aj.O
|
|
« ตอบ #715 เมื่อ: 24 ธันวาคม 2557, 14:39:12 » |
|
เรื่องดีๆมากพอแล้ว...ขอแบ่งปันเรื่องเฮี่ยๆบ้างนะครับ
|
...
|
|
|
khesorn mueller
|
|
« ตอบ #716 เมื่อ: 29 ธันวาคม 2557, 00:52:54 » |
|
Komodowaranรึปล่าวคะ? แพร่มากที่อินโดเนเซีย ตัวใหญ่ใช้ได้คะ สวนลุมฯมีเยอะ
เฮี้ย..รึ เฮี่ยแน่คะ? ไม้เอกรึไม้โท พี่ว่าไม้โท!
|
|
|
|
|
|
Aj.O
|
|
« ตอบ #719 เมื่อ: 07 มกราคม 2561, 16:55:58 » |
|
รูปที่ อ.เซฟ(เพื่อนรุ่นเดียวกับผมเอง) นำออกมาประมูลขาย ในงาน 100 ปี ซีมะโด่ง ที่ผ่านมา เป็นภาพวาด พระบรมฉายาลักษณ์ ในหลวงรัชกาลที่ 9 ตอนที่พระราชทานปริญญาบัตร
|
...
|
|
|
xdragonsx350
Newbie
ออฟไลน์
กระทู้: 2
|
|
« ตอบ #720 เมื่อ: 12 มิถุนายน 2561, 13:27:28 » |
|
ผมมีเกร็ดความรู้เล็กๆน้อยน้อยมากฝากท่านผู้อ่านทั้งหลายในกระทู้นี้ครับยังไงก้อช่วยฝากติดตามด้วยนะครับ ความรู้รอบโลก
|
|
|
|
|