อ้อย 14
|
|
« ตอบ #75 เมื่อ: 05 มีนาคม 2554, 06:24:02 » |
|
ด้านหนึ่งของวัดก็จะมีสถานที่ยอดฮิตคือ ที่สักการะขอพร จาก “เทพทันใจ” (นัตโบโบยี) ซึ่งชาวไทยและชาวพม่าให้ความเคารพอย่างมากและนิยมมาขอพร ด้วยเชื่อว่าอธิฐานสิ่งใดจะสมความปรารถนาเชื่อว่าอธิฐานสิ่งใดจะสมความปรารถนา จากนั้นนำท่านสักการะ เทพกระซิบ ซึ่งการขอพรเทพกระซิบต้องไปกระซิบเบาๆห้ามคนอื่นได้ยิน ชาวพม่านิยมขอพรจากเทพองค์นี้กันมาก ส่วนภาพของเทพทั้งสองนั้น ขออำไพที่มัวแต่ขอพร และกระซิบขอพรจนลืมถ่ายค่ะเลยขอยืมของท่านอื่นมาให้ชม และไกด์สาวแสนสวยของเรายังได้บอกเคล็ดลับของการขอพร ว่า ให้ม้วนธนบัตรสองใบซ้อนกัน เป็นกรวยแล้วเอาไปถวายโดยเสียบที่มือของท่านแล้วถอดเอาใบหนึ่งมาเก็บไว้เป็นสิริมงคลของเราเอง
|
|
|
|
อ้อย 14
|
|
« ตอบ #76 เมื่อ: 05 มีนาคม 2554, 06:36:46 » |
|
นี่คือ ภาพอันงดงามของวังของพระเจ้าบุเรงนองซึ่งเพิ่งเริ่มขุดค้นและบูรณะเมื่อปี 2533 หลังจากไฟไหม้ไปเสียเกือบหมด และได้พยายามบูรณะจนออกมาสวยงาม บริเวณรอบก็มีเค้าแห่งความอลังการ สมกับเป็นพระราชวังของ"ผู้ชนะสิบทิศ" ในสมัยพระเจ้านันทบุเรง ซึ่งพระราชวังเดิมนั้นเคยเป็นที่ประทับของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เมื่อครั้งยังทรงพระเยาว์และถูกจับเป็นตัวประกัน มีการค้นพบเสาและกำแพงเดิมที่ถูกฝังอยู่ในดิน รัฐบาลพม่าจึงได้ทำการขุดค้นและสร้างพระราชวังบุเรงนองขึ้นมาใหม่ โดยถอดแบบจากของเดิมพระราชวังนี้มีสองส่วน คือ ส่วนที่เห็นในภาพเป็นส่วนที่เป็นท้องพระโรงว่าราชการ ท้องพระโรงที่ใช้ออกว่าการก็ดูโดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรรมพม่าสีทองเหลืองอร่ามทั้งภายนอกและภายในและและอีกส่วนหนึ่งก็เป็นที่ประทับของบุเรงนองและพระชายาทั้งปวง รวมทั้งพระสุพรรณกัลยาของเราด้วย พระตำหนักที่ประทับรรทมสีทองเหลืองอร่ามที่ดูโดดเด่นชวนมองในรูปแบบสถาปัตยกรรมพม่า บริเวณท้องพระโรงออกว่าราชการของบุเรงนอง เครื่องใช้ของบุเรงนองได้มีการเอาออกมาแสดงให้นักท่องเที่ยวได้ชม
|
|
|
|
อ้อย 14
|
|
« ตอบ #77 เมื่อ: 05 มีนาคม 2554, 06:41:17 » |
|
ที่น่า อเมซซิ่ง คือ รองเท้าของบุเรงนอง จะเห็นได้ว่า ในสมัยก่อนผู้คนตัวโตมาก ดูได้จากรองเท้า..
|
|
|
|
สมชาย17
|
|
« ตอบ #78 เมื่อ: 05 มีนาคม 2554, 10:26:53 » |
|
พระเกศาธาตุ ที่วัดโปตะถอง
|
|
|
|
สมชาย17
|
|
« ตอบ #79 เมื่อ: 05 มีนาคม 2554, 10:28:36 » |
|
|
|
|
|
สมชาย17
|
|
« ตอบ #80 เมื่อ: 05 มีนาคม 2554, 10:30:31 » |
|
|
|
|
|
สมชาย17
|
|
« ตอบ #81 เมื่อ: 05 มีนาคม 2554, 10:32:59 » |
|
ไม่ได้ โพสต์รูปมานาน เลยทำไม่เป็น ขอโทษทีครับ
|
|
|
|
สมชาย17
|
|
« ตอบ #82 เมื่อ: 05 มีนาคม 2554, 10:36:26 » |
|
เริ่มที่ สิเรียม พระธาตูกลางน้ำ คณะของเรา มี พี่แจ๋ว พี่เหน่ง พี่อ้อย และน้องอ๊อด
|
|
|
|
สมชาย17
|
|
« ตอบ #83 เมื่อ: 05 มีนาคม 2554, 10:37:39 » |
|
|
|
|
|
สมชาย17
|
|
« ตอบ #84 เมื่อ: 05 มีนาคม 2554, 10:42:43 » |
|
|
|
|
|
สมชาย17
|
|
« ตอบ #85 เมื่อ: 05 มีนาคม 2554, 10:46:05 » |
|
เจดีย์ บนพระธาตุกลางน้ำ นั่งเรือ กลับเข้าฝั่ง
|
|
|
|
สมชาย17
|
|
« ตอบ #86 เมื่อ: 05 มีนาคม 2554, 10:47:54 » |
|
พระตาหวาน
|
|
|
|
สมชาย17
|
|
« ตอบ #87 เมื่อ: 05 มีนาคม 2554, 10:49:51 » |
|
พระเกศาธาตุ ของพระพุทธเจ้า
|
|
|
|
สมชาย17
|
|
« ตอบ #88 เมื่อ: 05 มีนาคม 2554, 10:51:53 » |
|
เทพ ทันใจ ที่วัด โปตะถอง
|
|
|
|
สมชาย17
|
|
« ตอบ #89 เมื่อ: 05 มีนาคม 2554, 10:54:39 » |
|
คณะได้เดินทางมาถึง พระเจดีย์ชเวดากอง
|
|
|
|
สมชาย17
|
|
« ตอบ #90 เมื่อ: 05 มีนาคม 2554, 11:03:18 » |
|
|
|
|
|
อ้อย 14
|
|
« ตอบ #91 เมื่อ: 05 มีนาคม 2554, 12:27:14 » |
|
สถานที่ๆ ไม่สามารถลืมได้ในทริปนี้ หนึ่งในนั้นคือ พระมหาเจดีย์ชเวดากอง (พระธาตุประจำปีเกิดปีมะเมีย 1 ใน 5 มหาบูชาสถานสูงสุดของพม่า) พระมหาเจดีย์ชเวดากองเป็นพระมหาเจดีย์คู่บ้านคู่เมืองพม่า ซึ่งมีทั้งผู้คนชาวพม่าและชาวต่างชาติมานมัสการอย่างไม่ขาดสายและเป็นมหาเจดีย์ที่งดงามมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก เป็นเจดีย์ทองคำที่งดงาม ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่กลางเมืองย่างกุ้ง มีความสูง 109 เมตร ประดับด้วยเพชร 544 เม็ด ทับทิม นิล และบุษราคัมอีก 2317 เม็ด มหาเจดีย์ชเวดากองมีทองคำโอบหุ้มอยู่น้ำหนักถึง 1,100 กิโลกรัม โดยช่างชาวพม่า จะใช้ทองคำแท้ตีเป็นแผ่นปิดองค์เจดีย์ไว้รอบ ว่ากันว่าทองคำที่ใช้ในการก่อสร้างและซ่อมแซมพระมหาเจดีย์แห่งนี้มากมายมหาศาลกว่าทองคำที่เก็บอยู่ในธนาคารชาติอังกฤษเสียอีก รอบๆฐานพระมหาเจดีย์รายล้อมด้วยเจดีย์องค์เล็กๆ นับร้อยองค์ มีซุ้มประตูสี่ด้าน ยอดฉัตรองค์พระมหาเจดีย์ประกอบด้วยเพชรและพลอยมากมาย ภายในองค์พระมหาเจดีย์ได้บรรจุเส้นพระเกศาธาตุของพระพุทธเจ้าจำนวน 8 เส้น เป็นซึ่งมีทั้งผู้คนชาวพม่า และชาวต่างชาติพากันสักการะทั้งกลางวันและกลางคืนอย่างไม่ขาดสาย ณ ที่แห่งนี้มีสถาปัตยกรรมที่สวยงามอย่างน่าอัศจรรย์ ไม่ว่าจะเป็นความงามของวิหารทิศที่ทำเป็นศาลาโถงครอบด้วยหลังคาทรงปราสาทซ้อนเป็นชั้นๆ ที่เรียกว่า พยาธาตุ รายรอบองค์พระเจดีย์ ภายในประดิษฐานพระประธานสำหรับให้ประชาชนมากราบไหว้บูชา
|
|
|
|
|
อ้อย 14
|
|
« ตอบ #93 เมื่อ: 05 มีนาคม 2554, 16:37:04 » |
|
มีเกร็ดเล้กๆน้อยๆ ในกรุ๊ปของพวกเรา พอมาเม้าท์กันเป็นการ คั่นรายการ คือ อันเนื่องจากพี่พม่านั้นมีหน้าตา รูปร่างคล้ายไทยอย่างยิ่ง เอ๊า..แน่นอนเพราะเป็นคนเอเชียเหมือนกัน ดังนั้นพี่โชเฟอร์รถบัสที่แสนสุภาพอ่อนน้อมนั้น ไม่สามารถจะพูดและฟังภาษาไทยออกเลย ในวันที่เราไปที่วัดพระตาหวานนั้น พวกเราก็กลับขึ้นรถก่อน พี่แจ๋ว 13 มองหา สมชาย 17 และมาดามอ๊อด มองหาอย่างไรก็ไม่เห็น เลยเดินไปหาโชเฟอร์และถามว่า"นี่ เห็นพวกที่นั่งในรถคันนี้ หรือเปล่า เขาไปไหนกันน่ะ" แล้วก็บ่นกระปอดกระแปด สักพักหนึ่ง เมื่อไม่ได้คำตอบจากดวงตาบ้องแบ๊วของพ่อหนุ่มโชเฟอร์พม่าแล้ว ก็ได้รับเสียงฮาโดยทั่วกัน....
และสุภาพสตรีสองท่านขวามือ พี่เหน่ง 13 และพี่แจ๋ว 13 นั้นเป็นยอดนักช๊อปชนิดที่ว่า เมื่อรถทัวร์จอดปุ๊ป พี่ทั้งสองจะเดินลิ่วนำหน้าทั้งคณะ แต่เมื่อถึงเวลานัดหมาย พี่ทั้งสองก็จะมาเป็นสองท่านสุดท้ายเสมอ จนไกด์สาวแสนสวยของเราให้สมญาพี่ท่านว่า "กะด่อ" แปลว่าอะไร ลองทายมาจะมีรางวัลให้ด้วยนะเออ....[/color]
|
|
|
|
อ้อย 14
|
|
« ตอบ #94 เมื่อ: 05 มีนาคม 2554, 16:47:30 » |
|
อาหารการกินในบ้านเมืองเขาที่น่าสนใจ อย่างยิ่งคือ แตงโม ที่นี่แตงโมลูกโตมาก และสีสรรสดใสน่ากินที่สุด และราคาก็ไม่เบา เอามาแบ่งเป็นซีก ตกชื้นละ 8 บาท รายการอาหารที่น่าสนใจคือ ไข่ไดโนเสาร์ ฟูเต็มจานรสชาด อร่อยมาก.. ปิดท้าย ด้วยกุ้งมังกร ราดครีมสลัด หย่อย....
|
|
|
|
Leam
|
|
« ตอบ #95 เมื่อ: 05 มีนาคม 2554, 17:01:39 » |
|
สวัสดียามเย็นครับ.....พี่แก้ว..พี่อ้อย และพี่ๆทุกท่าน
ขออนุญาตตามชมด้วยคนครับ.....
|
|
|
|
อ้อย 14
|
|
« ตอบ #96 เมื่อ: 06 มีนาคม 2554, 13:46:05 » |
|
เอ๊า..มาชมวัดต่อก็แล้วกัน ระหว่างทางไปหงสาวดี เราข้ามผ่านแม่น้ำสะโตง ก็ระลึกถึงเมื่อครั้งสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ของเรายิงพระแสงปืนข้ามแม่น้ำสะโตงถูกสุรกรรมา แม่ทัพพม่าตายก็ทำให้ภาคภูมิใจ แต่แม่น้ำสะโตงที่เห็นนี่มันกว้างใหญ่มากเลยนะเนี่ย... วัดที่วันนี้ภูมิใจนำเสนอคือ พระเจดีย์ชเวมอดอว์ เจดีย์นี้เป็นสัญลักษณ์แห่งความรุ่งโรจน์แห่งหงสาวดี และนับเป็น 1 ใน 5 สิ่งศักดิ์สิทธิ์ของพม่า คนไทยนิยมเรียกว่า “พระธาตุมุเตา” ภายในบรรจุพระเกศาธาตุของพระพุทธเจ้า ซึ่งครั้งก่อนเป็นสถานที่ประกอบพิธีศักดิ์สิทธิ์ ก่อนออกศึกของบูรพกษัตริย์ ในสมัยโบราณกาล ไม่ว่าจะเป็นกษัตริย์มอญหรือพม่า รวมทั้งพระเจ้าบุเรงนองด้วย เจดีย์นี้เคยผ่านการพังทลายจากแผ่นดินไหวครั้งใหญ่มาแล้วถึง 4 ครั้ง ทำให้ปลียอดของเจดีย์องค์นี้หักพังลงมา แต่ด้วยความศรัทธาที่ชาวเมืองมีต่อเจดีย์องค์นี้ จึงได้ทำการสร้างเจดีย์ชเวมอดอว์ขึ้นมาใหม่ในปีพ.ศ.2497 ด้วยความสูงถึง 374 ฟุต (ตอนแรกที่สร้างสูง 70 ฟุต) นับเป็นเจดีย์ที่สูงที่สุดในพม่า ส่วนปลียอดที่พังลงมาก็ได้ตั้งไหว้ที่มุมหนึ่งขององค์เจดีย์เพื่อให้พุทธศาสนิกชนได้กราบไหว้บูชาควบคู่ไปกับเจดีย์องค์ปัจจุบัน ท่านจะได้นมัสการ ณ จุดอธิษฐานอันศักดิ์สิทธิ์และสามารถนำธูปไปค้ำกับยอดของเจดีย์องค์ที่หักลงมาเพื่อเป็นสิริมงคล ซึ่งเปรียบเหมือนดั่งค้ำจุนชีวิตให้เจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้นไป พระเจดีย์องค์สำคัญในประวัติศาสตร์มอญและพม่า ซึ่งมีอายุเก่าแก่กว่า 1,200 ปี สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยมอญเรืองอำนาจและเป็นสัญลักษณ์ ยืนยันความเจริญรุ่งเรืองของกรุงหงสาวดี นั่นก็คือพระเจดีย์ ชเวมอดอว์ ซึ่งมีความหมายว่า มหาเจดีย์พระเจ้าทองคำ หรือคนไทยรู้จักกันในนาม พระธาตุมุเตา คำว่า มุเตา เป็นภาษามอญ แปลว่า จมูกร้อน เพราะเจดีย์มีขนาดสูงถึง 114 เมตร ทำให้ผู้ที่ไปสักการะต้องแหงนหน้าจนคอตั้งบ่า ถึงจะมองเห็นยอดเจดีย์ เป็นเหตุให้แสงแดดที่แรงกล้าแผดเผาจมูกจนแสบร้อน พระธาตุมุเตาเป็นมหาสถูปบรรจุพระเกศาธาตุของพระพุทธเ จ้า ที่สำคัญที่สุดของชาวมอญ ในสมัยพระเจ้าราชาธิราชกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ของมอญ ได้มีการประกอบพิธีกรรมสำคัญของราชอาณาจักรที่พระธาต ุมุเตาแห่งนี้ และเริ่มพระราชประเพณีถวายทองหนักเท่าพระองค์เพื่อหุ ้มองค์พระธาตุด้วย ความศักดิ์สิทธิ์ของพระธาตุมุเตาเป็นที่เลื่องลือ และก่อให้เกิดความเลื่อมใสศรัทธาแก่ชนชาวมอญและพม่า ในตำนานกล่าวไว้ว่า พระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้ กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ของตองอู สมัยเป็นเพียงเจ้าชายวัย 14 พรรษา กล้าที่จะนำทัพบุกเข้าไปเมืองมอญ เพื่อทรง ทำพิธีเจาะพระกรรณตามราชประเพณี ที่พระธาตุมุเตาแห่งนี้ ซึ่งกว่าศัตรูจะส่งทหารมาปิดล้อมได้หมด ก็ใกล้เสร็จพิธี และพระองค์ก็ทรงนำทหารฝ่าวงล้อมกลับตองอูโดยปลอดภัย ต่อมาเมื่อพระองค์ขึ้นเป็นกษัตริย์ และเข้ายึดครองหงสาวดีได้แล้ว ทรงย้ายราชธานีจากตองอูมาที่หงสาวดี และถวายมงกุฎทรงยอดพระมหาธาตุแก่พระธาตุมุเตาด้วย พระเจ้าบุเรงนอง กษัตริย์พม่าองค์ต่อมา ก็ทรงมีพระราชศรัทธาในองค์พระธาตุอย่างท่วมท้น ถึงกับทรงแกะอัญมณีเม็ดใหญ่จากพระมงกุฎถวายเพื่อเป็น พุทธบูชา พร้อมทั้งทรงให้ก่อกำแพงเมืองขยายไปโอบล้อมพระมหาเจด ีย์ แถมพระองค์ยังทรงมีมุมโปรดในพระราชวังที่สามารถมองเห ็นองค์พระมหาธาตุอย่างชัดเจนอีกด้วย ในหลักฐานทางประวัติศาสตร์ของพม่าระบุว่า ก่อนพระองค์จะออก ทำศึกจะทรงนมัสการพระธาตุมุเตาก่อนทุกครั้ง
|
|
|
|
อ้อย 14
|
|
« ตอบ #97 เมื่อ: 06 มีนาคม 2554, 14:04:13 » |
|
สถานที่สุดท้ายอันเป็นไฮไลท์ของการท่องเที่ยวพม่า ในวันมาฆะบูชาของคณะเรานี้ คือ พระเจดีย์อินทร์แขวน ที่ตั้งใจนักหนาว่าในชีวิตนี้จะต้องขอไปกราบสักการะพระธาตุที่งดงามสีทอง ตั้งอยู่บนก้อนหินอย่างหมิ่นเหม่ต่อการตกหล่นอย่างยิ่ง ยิ่งคราวนี้ได้ไปในวันมาฆะบูชาเสียแล้วด้วย ก็ยิ่งดีใจ เพียรพยายามซ้อมสวดมนต์ ท่องคาถา และ ทบทวนการนั่งสมาธิที่เรื้อมานานปี พระธาตุอินทร์แขวน ตั้งอยู่ที่เมืองไจก์โท อำเภอสะเทิม เขตรัฐมอญของประเทศพม่า อยู่บนยอดเขา เหนือระดับน้ำทะเล 3,615 ฟุต มีลักษณะเด่นเป็นก้อนหินสีทองขนาดใหญ่ ตั้งอยู่บนหน้าผาสูงชันอย่างหมิ่นเหม่ เหมือนจะหล่นและท้าทายแรงดึงดูดของโลกโดยไม่ตกลงมา นับเป็น 1 ใน 5 สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่ชาวพม่าต้องไปสักการะ และยังเป็นพระธาตุประจำปีจอ (สุนัข) ที่คนเกิดปีนี้ต้องไปนมัสการสักการะครั้งหนึ่งในชีวิตพระธาตุอินทร์แขวนนี้ เป็นที่มาและแรงบันดาลใจของกวีซีไรส์ ปี พุทธศักราช 2534 มาลา คำจันทร์ ที่แต่งวรรณกรรม เรื่อง “เจ้าจันทร์ผมหอม นิราศพระธาตุอินทร์แขวน” งดงามเพียงใดโปรดทัศนาเองเอง...
|
|
|
|
สมชาย17
|
|
« ตอบ #98 เมื่อ: 06 มีนาคม 2554, 19:02:36 » |
|
มาถึงเมืองหงสาวดี ชาวพม่าเรียกว่า เมืองพะโค
|
|
|
|
สมชาย17
|
|
« ตอบ #99 เมื่อ: 06 มีนาคม 2554, 19:06:18 » |
|
ต้องมาต่อวันหลังแล้วครับ วันนี้ เน็ต อืดมาก โพสต์รูปไม่ได้เลย
|
|
|
|
|