โมร็อกโก"เสน่ห์แห่งแอฟริกาตะวันตก โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
โดย : ป้าแพร
บ้านเรือนในเมดิน่า
ถ้าใครคิดถึงประเทศที่มีการผสมผสานของวัฒนธรรมได้อย่างลงตัวมากที่สุดอีกประเทศหนึ่ง ก็คงจะไม่พ้นประเทศ "โมร็อกโก" ซึ่งเป็นประเทศที่อยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของทวีปแอฟริกา ติดต่อกับทั้งทะเลเมดิเตอเรเนียน และมหาสมุทรแอตแลนติก และยังห่างจากประเทศสเปน ที่อยู่ในทวีปยุโรปเพียง 14 กิโลเมตรเท่านั้น จึงเป็นอีกประเทศหนึ่งที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นไม่เหมือนใคร
ชื่อเต็มๆ ของประเทศนี้คือ "ราชอาณาจักรโมร็อกโก" (Kingdom of Morocco) ซึ่งในภาษาอาหรับแปลว่าประเทศที่ตั้งอยู่ทางตะวันตก ประชาชนส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม มีภาษาอารบิกเป็นภาษาราชการ และอีกสองภาษาที่ผู้คนนิยมใช้สื่อสารกันด้วยคือ ภาษาเบอร์เบอร์ ของชนพื้นเมืองเดิม และภาษาฝรั่งเศส เนื่องจากประเทศฝรั่งเศสเคยเข้ามาปกครองโมร็อกโกในช่วง ค.ศ.1912
สุสานของกษัตริย์โมฮัมเหม็ดที่ 5 ในสถาปัตยกรรมแบบโมร็อกโก
สำหรับผู้ที่อยากจะสัมผัสความเป็นโมร็อกโกที่แท้จริง ก็ต้องเข้าไปทำความรู้จักกับ "เมดิน่า" (Medina) เสียก่อน เพราะทุกเมืองใหญ่ในโมร็อกโกนั้นจะต้องมีเมดิน่าอยู่เสมอ เมดิน่าเป็นรูปแบบวิถีชีวิตของคนเมืองในแอฟริกาเหนือ ที่ถูกออกแบบให้เป็นบ้านเรือนที่แออัดหนาแน่น มีทางเดินแคบๆ คดเคี้ยวไปทั่วทั้งเมือง ล้อมรอบด้วยกำแพงสูงหนา มีประตูเมืองแข็งแรง แต่ตกแต่งประดิดประดอยอย่างสวยงาม
ทีนี้ก็มาทำความรู้จักกับเมืองหลวงของโมร็อกโกกันบ้าง "กรุงราบัต" (Rabat) เป็นเมืองหลวงของประเทศในปัจจุบัน เป็นที่ตั้งของพระราชวังหลวง และทำเนียบทูตจากประเทศต่างๆ เหตุนี้จึงไม่ควรพลาดสถานที่สำคัญอย่าง "พระราชวังหลวง" ที่ไม่ได้เป็นเพียงที่ประทับของกษัตริย์เท่านั้น แต่ยังเป็นศูนย์กลางในการบริหารประเทศด้วย และถึงแม้จะไม่ได้เปิดให้คนทั่วไปเข้าไปชมภายใน แต่ก็สามารถที่จะชมความสวยงามของสถาปัตยกรรมจากภายนอกได้
เมดิน่า ที่ป้อมไอดูยะ ในกรุงราบัต
สิ่งน่าสนใจอีกแห่งหนึ่ง "สุสานของกษัตริย์โมฮัมเหม็ดที่ 5" (Mausolee Mohammed V) ที่ทรงเป็นกษัตริย์พระองค์แรก ภายหลังโมร็อกโกได้รับอิสระภาพในปีค.ศ. 1957 ถูกสร้างด้วยหินอ่อนอิตาลีสีขาวสะอาดด้วยสถาปัตยกรรมโมร็อกโก ทุกประตูของสุสาน จะมีทหารยามยืนเฝ้าด้วยท่าทางที่สง่างาม สุสานแห่งนี้ เปิดให้คนทุกชาติทุกภาษาเข้าไปทำความเคารพพระศพได้
หรือจะเป็นที่ "ป้อมไอดูยะ" (Kasbah des Oudaias) ป้อมปราการขนาดมหึมา ตั้งอยู่ริมมหาสมุทรแอตแลนติค บริเวณที่ปากแม่น้ำบรรจบกับมหาสมุทร ตัวป้อมมี 2 ชั้น ชั้นแรกเป็นลานกว้างบนหน้าผาสูง ส่วนชั้นที่ 2 เป็นพื้นที่กว้างตั้งอยู่บนชั้นแรกอีกที ทัศนียภาพกว้างไกล มองเห็นออกไปได้รอบทิศทาง ด้านหลังป้อมเป็นเมดิน่า หรือย่านเมืองเก่า ที่บ้านเรือนทาด้วยสีฟ้าสดใส เหมาะแก่การเดินเล่นชมเมืองเป็นอย่างยิ่ง
คาซาบลังกา เมืองแห่งบ้านสีขาว
อีกเมืองที่มีชื่อเสียงของโมร็อกโกก็คือ "คาซาบลังกา" (Casablanca) คำว่า "คาซาบลังกา" ในภาษาสเปน แปลว่า "บ้านสีขาว" แม้ไม่ได้เป็นเมืองหลวงของประเทศ แต่ก็เป็นเมืองท่าสำคัญ เป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมของประเทศ เป็นเมืองใหญ่อันดับสองในทวีปแอฟริกา (รองจากเมืองไคโร ในอียิปต์) และรู้จักไปทั่วโลกจากภาพยนตร์ชื่อ "คาซาบลังกา" ซึ่งออกฉายในปีค.ศ.1942
สุเหร่ากษัตริย์ฮัสซันที่ 2
มาถึงคาซาบลังกา ก็พลาดไม่ได้ที่จะต้องไปชม "สุเหร่ากษัตริย์ฮัสซันที่ 2" (Hassan II Mosque) สถาปัตยกรรมแบบโมร็อกโกที่มีเอกลักษณ์ ตั้งอยู่ริมชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก สร้างขึ้นในวาระครบ 60 ชันษา ของกษัตริย์ฮัสซันที่ 2 เป็นสุเหร่าที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 (รองจากที่เมกกะและเมดิน่า ในซาอุดิอาระเบีย) ตัวสุเหร่าปูหินอ่อนสีไข่ไก่ สลักลายสวยงาม หลังคาเป็นกระเบื้องสีเขียว มีหอขานละหมาดรูปจัตุรัสตั้งทำมุมกับตัวสุเหร่า ส่วนโถงที่ใช้ทำพิธีละหมาดนั้น จุคนได้ถึง 100,000 คน หลังคาด้านบนก็สามารถเปิดรับสายลมแสงแดดได้ด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์
มาร์ราเกซ เมืองสีชมพูเชิงเขาแอตลาส
ย้ายมาที่เมือง "มาร์ราเกซ" (Marrakech) กันบ้าง เมืองนี้ได้ชื่อว่า "The Pink City" เนื่องจากบ้านของชาวพื้นเมืองดั้งเดิมสร้างขึ้นจากดินสีแดง หรือฉาบด้วยปูนสีออกแดงๆ ส้มๆ และในส่วนที่เป็นตึกสร้างขึ้นมาใหม่ ทางรัฐบาลก็กำหนดให้ทาสีสันคล้ายๆ กัน
"มาร์ราเกซ" ตั้งอยู่บนที่ราบลุ่มเท็นซิฟท์ (Oued Tensift) เชิงเขาของเทือกเขาไฮแอตลาส ในอดีตเคยเป็นเมืองหลวงในช่วงศตวรรษที่ 11 สมัยราชวงศ์อัลโมราวิด เป็นจุดศูนย์กลางทางการค้าและที่พักของกองคาราวานอูฐในทะเลทราย แต่ในปัจจุบันเป็นเมืองที่มีนักท่องเที่ยวแวะมาเยี่ยมเยือนมากที่สุดใน โมร็อกโก
เจมาเอลฟนา ลานกว้างกลางเมดิน่า ในมาร์ราเกซ
หัวใจของเมดิน่าในมาร์ราเกซอยู่ที่ "เจมาเอลฟนา" (Jemaa el Fna) เป็นลานกว้างอยู่กลางเมือง ศูนย์กลางในการชุมนุมผู้คนของเมืองนี้ อาคารโดยรอบส่วนมากจะเป็นร้านค้า ร้านอาหาร นักท่องเที่ยวจะนิยมมาที่นี่ โดยเฉพาะช่วงหัวค่ำ ที่จะรวบรวมเอาบรรยากาศของการพักผ่อนหย่อนใจ การแสดงต่างๆ มาไว้ที่นี่
ซูค ในมาร์ราเกซ
และอีกที่ในมาราเกซที่ไม่ควรพลาดคือ "ซูค" (Souks) หรือตลาด นั่นเอง โดยจะแบ่งประเภทสินค้าเป็นย่าน เช่น ย่านที่ขายเสื้อผ้า ก็จะมีแต่เสื้อผ้า ย่านที่ขายพรม ก็จะมีแต่พรม บรรยากาศในซูคจะคึกคัก มีชีวิตชีวา เต็มไปด้วยผู้คนเดินที่มาจับจ่าย ทั้งคนท้องถิ่นเอง และนักท่องเที่ยวที่แวะผ่านมา
เมืองวาซาเซต ฉากหลังของหนังดังหลายเรื่อง
เมืองต่อมาคือ "วาซาเซต" (Ouarzazate) ประตูสู่ทะเลทรายซาฮารา ตั้งอยู่บนที่ราบกว้างใหญ่บนเขาแอตลาส วาซาเซตมาจากภาษาของชาวเบอร์เบอร์ มีความหมายว่า "ปราศจากเสียงและความวุ่นวาย" เมืองนี้เคยถูกใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ชื่อดังอยู่หลายเรื่อง อาทิ Lawrence of Arabia, Alexander, Kingdom of Heaven, Gladiator และยังถูกส่งเสริมให้เป็นเมืองท่องเที่ยว ด้วยการจัดกิจกรรมผจญภัยต่างๆ ในทะเลทราย เช่น การขี่มอเตอร์ไซด์ ขี่อูฐ เป็นต้น
มาที่วาซาเซท ก็ต้องไปที่ "ป้อมทาเริท" (Kasbah Taourirt) ที่อยู่ไม่ไกลจากกลางใจเมือง เป็นหมู่อาคารขนาดใหญ่ ประกอบด้วยห้องต่างๆ จำนวนมากซ่อนอยู่ เชื่อมต่อกันด้วยถนนเล็กๆ และเส้นทางที่คดเคี้ยวไปมาตามหมู่อาคารที่เบียดเสียดกัน ภายในป้อมยังเป็นพระราชวังของตระกูลกลาวี อดีตผู้ปกครองเมืองมาร์ราเกซ ลวดลายบนผนังอาคารและรูปแบบสถาปัตยกรรมเป็นไปในรูปแบบของชาวเบอร์เบอร์ ซึ่งเหมาะกับความเป็นอยู่ในอดีต ที่มีคนงานและคนรับใช้จำนวนมาก
บ่อย้อมหนังสีสันสดใส ในเมดิน่าของเมืองเฟส
ส่วนเมืองสุดท้ายที่อยากจะแนะนำ คือ "เฟส" (Fes) อดีตเมืองหลวงแห่งแรกของโมร็อกโก ที่มีอายุนับพันปี ซึ่งจนถึงปัจจุบันนี้ก็ยังมีบรรยากาศของเมืองโบราณให้นักท่องเที่ยวได้เขามา สัมผัสอยู่โดยทั่วไป
ภาพที่เห็นได้บ่อยจนเป็นเอกลักษณ์ของเฟส คือภาพบ่อย้อมหนังสีสันสดใสเตะตา ภายในเมดิน่าในเฟส ซึ่งเป็นเมืองเก่าที่ใหญ่ที่สุดในโมร็อกโก เส้นทางสัญจรภายในคดเคี้ยวเลี้ยวลด ทั้งแคบและลาดชัน ชวนให้ผู้คนที่ไม่คุ้นเคยหลงทางเอาได้ง่ายๆ ตลาดในเมดิน่ามีร้านรวงต่างๆ มากมาย อย่างร้านขายเครื่องทองเหลือง เครื่องเหล็ก โรงทอผ้า หรือพรม โดยเฉพาะโรงฟอกย้อมหนังสัตว์ ที่ยังใช้กรรมวิธีการผลิตแบบดั้งเดิม ใช้แรงงานคนในการทำงาน โดยที่ไม่มีเครื่องจักรกลเข้ามาผ่อนแรง
สุเหร่าไคราวิณี ศูนย์กลางความรู้
และอย่าลืมแวะมาที่ "สุเหร่าไคราวิณี" (Kairawine Mosque) ที่ตั้งอยู่ในใจกลางตลาดของเมือง ซึ่งนอกจากจะเป็นสุเหร่าแล้ว ยังได้ขึ้นชื่อว่า เป็นศูนย์กลางมหาวิทยาลัยที่ยิ่งใหญ่ของโลกอาหรับ เป็นแหล่งวิชาการ แหล่งความรู้ ที่สำคัญอีกแห่งหนึ่ง
นอกจากเมืองต่างๆ ที่ว่ามาแล้ว ในโมร็อกโกก็ยังมีสถานที่ที่น่าไปสัมผัสอีกหลายแห่ง ด้วยการผสมผสานระหว่างความเก่าและความใหม่ วัฒนธรรมที่มีความหลากหลายก็รวมกันได้อย่างกลมกลืน ทำให้มนต์เสน่ห์แห่งโมร็อกโก ยังคงดึงดูดใจนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกได้เสมอมา