พระผู้มีพระภาคตรัสกับพระอานนท์ว่า.......
'' ปฏิจจสมุปบาทนี้ ลึกซึ้งสุดประมาณและปรากฏเป็นของลึก ดูกรอานนท์เพราะไม่รู้จริง เพราะไม่แทงตลอด ซึ่งธรรมอันนี้ หมู่สัตว์นี้ จึงเกิดเป็นผู้ยุ่งประดุจด้ายของช่างหูกเกิดเป็นปม ประหนึ่งกระจุกด้าย เป็นผู้เกิดมาเหมือนหญ้ามุงกระต่ายและหญ้าปล้อง จึงไม่พ้นอบาย ทุคติ วินิบาต สังสาร ..... ''
[ ป ฏิ จ จ ส มุ ป บ า ท ]
๏ '' ภิกษุทั้งหลาย
อริยะสาวกภายธรรมวินัยนี้
ย่อมแยบคายในใจไว้อย่างดี
ที่ปฏิจจสมุปบาทดั่งนี้นา
๏ ว่าเมื่อสิ่งนี้มีสิ่งนี้ก็ย่อมมี
เพราะสิ่งนี้เกิดสิ่งนี้จึงเกิดตามยถา
เมื่อสิ่งนี้ไม่มีสิ่งนี้ย่อม บ่ มีนา
นิโรธาสิ่งนี้สิ่งนี้ปลาสนาการ
( ฝ่ายสมุทยวาระ )
๏ คือเพราะมีอวิชชาเป็นปัจจัย
จึงมีในสังขารามาสืบสาน
สังขารเป็นปัจจัยให้วิญญาณ
วิญญาณ์เป็นปัจจยาการนามรูปา
๏ นามรูปเป็นปัจจัยให้สฬายตนัง
สฬายตนะยังปัจจัยให้ผัสสา
ผัสสะเป็นปัจจัยให้เวทนา
เวทนังเป็นปัจจยา ณ ตัณโห
๏ ตัณหาเป็นปัจจัยให้อุปาทาน
อุปทานะปัจจยาการแก่ภโว
ภวะเป็นปัจจัยให้ชาโต
ชาติเป็นปัจจโยแก่ชรัง
๏ กับทั้งมรณ์, โสกะ, ปริเทวะ
โทมะนัสคับแค้นแสนทุกขัง
เกิดมีพร้อมกองทุกข์รุกประดัง
ย่อมมีดั่งอาการอย่างนี้นา
( ฝ่ายนิโรธวาระ )
๏ เพราะความคลายดับไม่กลับเหลือ
อวิชชาหมดเชื้อดับสังขาร์
สังขารดับจึงลับดับวิญญาณ์
วิญญาณดับนามรูปาก็ดับไป
๏ นามรูปดับสฬายตนะก็ดับ
สฬายตนะลับผัสสะก็ไขษย
ผัสสะดับเวทนาก็ดับไป
เวทนาขัยตัณหาก็ลาจร
๏ ตัณหาดับก็ดับอุปาทาน
อุปาทานดับลาญภพก็ถอน
เพราะภพดับชาติก็ บ่ ถาวร
เมื่อชาติรอนก็ดับชรา, มรณัง
๏ ดับทั้งโสกะ, ปริเทวะ
ดับโทมะนัส, อุปายาสทาษทุกขัง
ดับสิ้นกองทุกโขนิโรธัง
ย่อมมีดั่งอาการอย่างนี้แล..... '' ๚ะ๛
แม่พลอย มณีตรี อัลตรา