ได้อะไร? จากการปฏิบัติธรรม
คำตอบคือ ได้รู้ความจริงว่า เราเกิดมาเพื่อกระทำความดี เพื่อทำที่สุดแห่งทุกข์ ไม่ใช่เกิดมาเพื่อแสวงหาความสุขในกามคุณ ที่เกิดจาก ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ หรือหลงเสพสุขใน รูป เสียง กลิ่น รส โผฏทัพพะ และธรรมารมณ์
ทำให้ได้รู้ความจริงในชีวิต ที่พระท่านไม่ได้สอนมากนักว่า สิ่งที่เราเข้าใจว่าเป็นตัวตนของเรา เป็นเรา นั้นแท้จริง มันไม่ใช่เลย เพราะเราบังคับบัญชามันไม่ได้เลย มันเป็นเพียง ขันธ์ ๕ หรือ รูป กับ นาม ตามธรรมชาติเท่านั้น
นอกจากนี้ ยังได้เห็นความจริงในธรรมทั้งหลายว่า มันเป็นจริงเสมอ ตามที่พระพุทธองค์ทรงสอนทุกประการ ไม่มีความลังเลสงสัยในธรรมนั้นแต่ประการใด
นอกจากนี้ทำให้เราเชื่อเรื่องกรรม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เราเกิดมาเพื่อชดใช้กรรมเก่าให้หมดไป ไม่กระทำกรรมใหม่(อกุศลกรรม)ให้เกิดขึ้นอีก
ทำให้ได้รู้ว่า ชีวิตที่เกิดมาเป็น มนุษย์ นั้น ไม่มีกิจ อันใดสำคัญกว่า การเร่งความเพียรในการเจริญสติปัฏฐาน ๔ เพราะเรายังอยู่ในห้วงสงสารวัฏแห่งความทุกข์ อยู่ จิตยังประกอบไปด้วย กิเลส-ตัณหา
ทำให้รู้ว่า ทุกสิ่งเกิดขึ้นจากเหตุ-ปัจจัย ไม่ใช่เกิดขึ้นจากการอ้อนวอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เมื่อเหตุ-ปัจจัยดับ ผลจึงไม่มี
ทำให้ได้เห็นความคิด เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปเมื่อ รู้สึกตัวหรือมีสติ ไม่หลงอยู่ในความคิด
ทำให้ได้เห็นอารมณ์ต่าง ๆ ที่มากระทบ หรือมาปรุงจิต และเมื่อรู้สึกตัว อารมณ์ต่าง ๆ ที่มาปรุงจิตนั้นก็ดับไป
ทำให้รู้ว่า ที่เราหลงว่าเป็นตัวตน เป็นเรา นั้น เป็นความเห็นผิด เมื่อเห็นผิดจึงประกอบไปด้วยความอยาก อิจฉา ริษยา อันจะนำมาซึ่งทุกข์
ทำให้รู้ความจริงในพฤติกรรมของจิต จิตชอบคิดเข้าข้างตนเอง กังวลไปในสิ่งที่ยังมาไม่ถึง และเสียดายในสิ่งที่ผ่านไปแล้ว
จิตนั้น ไม่อยู่กับปัจจุบันเลย และจิตนั้น บังคับบัญชา สั่งการมันไม่ได้เลย มันชอบท่องเที่ยว(คิด) ของมันแวบไปทางนั้นที แวบมาทางนี้ที
ทำให้เห็นธรรมชาติของ รูป จิต เจตสิก(สิ่งประกอบจิต) และนิพพาน(ความสงบจากกิเลสทั้งปวง ชั่วขณะที่มีสติ-สัมปชัญญะ หรืออยู่ในณาน และญาณ)
ทำให้รู้ว่า สุข เกิดจาก ปีติ นั้น ตัดยาก และต้องตัดด้วย ปัตสัทธิ เท่านั้น
ทำให้รู้ว่า ต้องระวังตนเอง ดำรงชีวิตอยู่ด้วย มรรคมีองค์ ๘ ประการ หรือศีล สมาธิ ปัญญา และ
เชื่อในทางสายเอก ได้แก่การตั้งสติปัฏฐาน ๔ ว่า สามารถทำให้พ้นทุกข์ถาวรได้ คือถึงซึ่ง "พระนิพพาน" ในชาตินี้ได้
สวัสดี