ปรมัตถ์ธรรม ประกอบไปด้วย รูป จิต เจตสิก และพระนิพพาน
อย่าลืม รูป กับ รูปธรรม นั้นต่างกัน อย่าไปเหมารวมว่าเป็นอันเดียวกัน แต่ทั้งรูป และรูปธรรม นั้นเป็นอนัตตา เพราะรูป ไม่เที่ยง ส่วนรูปธรรม นั้นเป็นนาม(ไม่มีตัวตน)อยู่แล้ว จึงเป็นอนัตตา
ส่วน นามนั้น เป็น อนัตตา
นาม กับ นามธรรม ก็ต่างกัน นาม ประกอบไปด้วย เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ส่วน นามธรรมนั้น เป็นเจตสิก
ถ้าท่านเข้าใจอย่างนี้ ท่านก็จะเห็นได้ว่า รูป-นาม นั้นเป็นอนัตตา ได้ง่ายขึ้น การไม่ยึดมั่นถือมั่นใน รูป-นาม จะเกิดขึ้น
ชีวิต ประกอบไปด้วย ขันธ์ ๕ หรือ รูป-นาม
แต่เพราะชีวิตนั้น มี รูป-นาม จึงมีสฬายตนะ และมี ผัสสะ ตามมา
เมื่อมีผัสสะ จึงตามมาด้วย เวทนา และเจตสิก(เครื่องประกอบจิต)
เจตสิกนั้น มีทั้งธรรมที่เป็นกุศล เป็นอกุศล และเป็นกลาง ๆ
เจตสิกนี้ เกิดขึ้นด้วยเหตุ-ปัจจัย และดับด้วยเหตุ-ปัจจัย เป็นนาม ไม่มีตัวตน เช่นเดียวกับธรรมทั้งหลาย หรือสภาวะธรรมต่าง ๆ
เจตสิกนี้ เกิดจากผัสสะทางทวารทั้ง ๖ (อายตนะภายใน๖)
ถ้าท่านเจริญสติภาวนา พระพุทธองค์ให้เห็น รูปธรรม(ไม่ใช่รูป) นามธรรม(เวทนา สัญญา สังขาร วิญญา เจตสิก) ที่เกิดขึ้นเป็นปัจจุบัน ไม่ยินดี ไม่ยินร้าย ทั้งไม่รัก ไม่ชัง เป็นผู้ดู ไม่เป็นผู้เป็น คืออุเบกขา นั่นเอง
เป็นการเอาชนะจิต ชนะความคิด ไม่หลง ไม่ไหล ไปกับความคิด อารมณ์ต่าง ๆ(เจตสิก) ที่เกิดขึ้น จนจิตมันเกิดการเบื่อหน่ายในรูปธรรม นามธรรม นั้น รู้ว่าทุกสิ่นล้วนเกิดขึ้นเป็นธรรมดา และดับไปเป็นธรรมดาของมัน ด้วยเหตุ-ปัจจัย ขอเพียงไม่ไปเป็น "ผู้เป็น" คือไม่ไปยึดมั่นถือมั่นในรูป-นาม ต่าง ๆ นั้น
สุดท้ายท่านก็จะ "ไม่เป็นอะไร กับอะไร" เป็นผู้ดู ด้วยสติ-สัมปชัญญะ อยู่ในกรรมฐานทั้ง ๔ ไม่หลง ไม่ไหลไปกับผัสสะ
ส่วนพระนิพพานนั้น เป็นนาม มันไม่มีในปุถุชนถ์คนธรรมดา แต่เมื่อใดท่านเจริญองค์มรรคทั้ง ๘ ให้เกิดขึ้น ท่านก็ได้ชื่อว่า กำลังทำพระนิพพานให้แจ้ง ตามหลักอริยสัจ ๔ ข้อนิโรธ
เช้าวันนี้ ได้หุงข้าวใส่บาตรพระที่หน้าบ้าน ครับ
สวัสดี