23 พฤศจิกายน 2567, 18:27:34
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 528 529 [530] 531 532 ... 681   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: คุย กับ คุณมานพ กลับดี อดีตประธานชมรม ๓ สมัย  (อ่าน 3561649 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 31 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Dtoy16
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: อักษรศาสตร์
กระทู้: 1,424

« ตอบ #13225 เมื่อ: 26 ตุลาคม 2557, 22:08:33 »

               อนุโมทนาบุญกับพี่สิงห์และคุณเหยงด้วย  น้อยคนจะมีโอกาสได้ยกผ้าพระกฐินน่ะค่ะ
                สาธยายธรรมใช้ชื่อพี่ป๋อง ยกตัวอย่างนี่ทำให้น้องๆทั้งขำ ทั้งชวนอ่านดีค่ะต้อยว่าเอง
               แต่ที่พี่สิงห์ว่าเป็นmarketing อย่างหนึ่งนี่ สุดยอด
      บันทึกการเข้า

KUSON
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,125

« ตอบ #13226 เมื่อ: 26 ตุลาคม 2557, 22:57:31 »

อ้างถึง
ข้อความของ suriya2513 เมื่อ 25 ตุลาคม 2557, 23:21:23
น้องๆ มาอ่านตกใจกันใหญ่ ว่าพี่ป๋องเป็นอะไรไป
ยกตัวอย่างเปลี่ยนเป็น ดร.กุศล ไม่ดีกว่ารึ

พอมีคนพูดถึงทีไรพรายมากระซิบทันที  ยังไม่เข็ดรึพี่ป๋อง
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #13227 เมื่อ: 27 ตุลาคม 2557, 04:50:55 »



สวัสดีครับ คุณน้องต้อย ที่รัก

ขอบคุณมากที่ชม

พี่สิงห์  ต้องคิดหาวิธีขายของให้ลูกน้อง จึงต้องเป็นนัก marketing เช่น การผลิต คอนกรีตผสมเสร็จขาย  ใครๆก็ทำได้ แต่จะมีใครทำแล้วได้กำไร  ต้องวิธีของพี่สิงห์  เท่านั้น ทดลงมามากกว่าสิบปี

ความต้องการของลูกค้าที่ซื้อคอนกรีตผสมเสร็จ นอกเหนือจากราคาแล้วคือ ตรงเวลา  ปริมาณครบ  และคุณภาพได้ตามที่สั่งซื้อ

ส่วนผู้ผลิตขายจะให้ได้กำไรคือ แพล้นต้องไม่เสีย  รถต้องไม่เสีย คนขับรถไม่ขโมยน้ำมันขาย และคอนกรีตต้องยังมีคุณภาพ

วิธีการทำให้แพล้น - รถไม่เสีย คือการทำ 5ส. checklist ทุกวันที่แพล้น-รถ เป็นการป้องกันก่อนเสีย

วิธีการทำให้คอนกรีตไม่เสีย-เสื่อมคุณภาพ คือ สอนให้พนักงานทุกคนมีความรู้เรื่องคอนกรีต และวิธีป้องกันคอนกรีตเสื่อมคุณภาพ ไม่ยกเว้นคนขับรถ และสอนให้รักษาศีล ๕ ในเชิงป้องกัน

และภายหลังทำงานเสร็จ เราจำทำสมุดรวบรวมการทดสอบ วิธีการควบคุมการทำงาน ผลการทดสอบกำลังคอนกรีต ให้กับลูกค้า เป็นการยืนยันการทำงงาน ตรงเวลานัดหมาย  ปริมาณครบ และได้กำลังอัดตามที่ได้สั่งซื้อ

ใครจะไม่สั่งซื้อคินกรีตของเราในครั้งหน้าให้รู้ไป  ผลคือรับคำสั่งซื้อลูกค้าไม่ไหว  เราไม่ต้องทำอะไรเลย เพราะคนอื่นเขาไม่ทำอย่างเรา แต่เราทำของเราได้ ได้รับการชื่นชมจากลูกค้า

ในทำนองเดียวกันเสาเข็มเราก็ทำอย่างนี้ เพื่อยืนยันคุณภาพและวิธีการทำงาน  โดยที่ลูกค้าไม่ต้องร้องขอ เราทำให้ครบตามข้อกำหนดทางวิศวกรรมทั้งการผลิตและควบคุมการตอก ส่งให้เมื่อทำงานเสร็จ โดยที่ลูกค้าไม่ต้องร้องขอ ผลคือ

ลูกค้าชอบ  เราได้คือ ความเสียหายลดลงทั่งที่โรงงานและหน้างาน แย่กน่อยคือ บุคคลากรต้องมีควาบรู้ในการทำงานซึ่ง้ราสอนให้ ต้องทำงานจริงรับผิดชอบในการทำ ตามทีาเราได้กำหนดเอาไว้ทุกประการโดยมีเอกสารควบคุม และนำส่งให้ลูกค้าเมื่อเสร็จงาน

เป็นการตลาด และการทำงานที่ได้ผลอย่างแท้จริง

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #13228 เมื่อ: 28 ตุลาคม 2557, 06:04:38 »



เมื่อวาน นำ Enric ไปพบลูกค้า คุณสมคิด ที่กาฬสินธุ์คอนกรีต เพื่อขายเครื่องผลิต hollow core slab Prensoland ทั้งวัน  

ตอนสี่โมงเย็นเดินทางจากกาฬสินธุ์ ไปอุดรธานี เพื่อไปดูสถานที่ ปรับปรุงให้เป็นโรงงานปลิต hollow core slab ที่อุดรธานี ของ ค๔ย่งฮวด  รับประทานอาหารเย็นที่ร้านฟาร์โรห์  ส่วนพี่สิงห์  ด็ดื่มน้ำมะพร้าวแทน

วันนี้ ทำงานทั้งวัน บ่ายเดินทางไปดอนเมือง และต่อจากดอนเมืองไปเชียงรายเพื่อไปขายเครื่อง Prensoland และปรับปรุงโรงงาน

วันที่ November 15 -19 พี่สิงห์ต้องพาพรรคพวกไปเสปญ ไปดูการทำงานของเครื่องจักร ที่จะสั่งซื้อ

เครื่อง Pensoland ทำได้ทั้ง แผ่นพื้นกลวง แผ่นพื้นทึบ  คานแบบกลวง ผนังแบบกลวง และสามารถผลิตเสาเข็มได้  ทั้งโรงงานทำงานโดยคนสามคน เท่านั้น  ราคาไม่แพงเพียงรถเทเบอร์สองคันเท่านั้น คือสิบกว่าล้านบาท ก็ซื้อได้แล้ว คุ้มทุนภายในกนึ่ง-สองปี เท่านั้น

ใครสนใจเข้าไปชมได้ที่ www.prensoland.com

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #13229 เมื่อ: 28 ตุลาคม 2557, 06:55:46 »



ผัสสะ เป็นทั้งประตูสู่นรก สู่สวรรค์ และสำเร็้จเป็นพระอริยบุคคล ?

เมื่อไร อายตนะภายใน ๖ อันประกอบไปด้ว ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ

ไปผัสสะ(สัมผัส) ๖ อันประกอบไปด้วย เห็น  ได้ยิน ได้ดมกลิ่น  ได้ลิ้มรส  ได้สัมผัสทางกาย  ใจนึกคิด กับ

อายตนะภายนอก ๖ อันประกอบไปด้วย รูป เสียง กลิ่น รส โผฏทัพพะ ธัมมารมณ์

จะเกิดการรู้แจ้ง(วิญญาณ) ๖ อันประกอบไปด้วย จักษุวิณญาณ  โสตวิญญาณ ฆานะวิญญาณ  ชิวหาวิญญาณ ผัสสะวิญญาณ มโนวิญญาณ เมื่อเกิดการรู้แจ้งแล้ว ก็จะเกิดเวทนา ๑๘

เวทนา ๑ ๘ ประกอบไปด้วย

ความสุข ความทุกข์ ความไม่สุขไม่ทุกข์ ที่เกิดจากตาเห็นรูปและรู้แจ้งทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
เมื่อเกิดความสุข ชอบ ยิน ดี เพลิดเพลิน ติดใจ เกิดสังขาร ก็เป็นกามระคะนสัย-สัญโฐชน์ ก็อยากได้สัมผัสอีก
เมื่อเกิดความทุกข์ ไม่ชอบ ไม่ยินดี ไม่เพลิดเพลิน เกิดสังขาร ก็เป็นปฏิฆะนุสัย-สัญโญชน์ ไม่อยากสัมผัสอีก
เมื่อเกิดความไม่สุขไม่ทุกข์ ก็เกิดสังขาร วิจิกิจฉา และอวิชชา นุสัย-สัญโญชน์ ขึ้นมาอีก

ผลของเวทนาก็เกิดการปรุงแต่ง สังขาร และเป็นปัจจัยให้เกิดตัณหา  ตัณหาก็เป็นปัจจัยให้เกิดอุปาทาน  อุปาทานก็เป็นปัจจัยให้เกิดภพ  ภพก็เป็นปัจจัยให่เกิดชาติ  ชาติก็เป็นปัจจัยให้เกิดชรา และมรณะ เกิดกองทุกข์ขึ้นมาอีก เป็นวัฏฏะสงสารอย่างนี้

ทุกท่านต้องพิจารณาให้เห็นธรรมอันนี้ มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ตลอดเวลา เกิด-ดับ เกิด-ดับ  ถ้าท่านมีสติ ที่มีกรรมฐานที่กาย จิต ธรรม ท่านก็จะเห็นมันได้ด้วยตาใน คือความรู้สึกตัว

แต่ถ้าท่านยังหลงอยู่ในความคิด  ท่านก็จะไม่เห็นธรรมอันนี้ และจะไม่รู้ทันความคิด ความโลภ ความโกรธ ความหลง  ผลคือท่านก็ทุกข์ เท่านั้นเอง

เช้าวันนี้ ก็ขอฝากธรรมให้พิจารณาให้เห็นจริง เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับรูป-นาม ความเป็นไตรลักษณ์ของธรรม หรือ ความคิด  สภาวะธรรมณ์อารมณ์ที่มากระทบจิต และความรู้สึกตัวหรือสติ ที่เกิดขึ้น เพื่อให้ท่านรู้เท่าทัน จนสามารถอุเบกขา ได้

สวัสดี

      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #13230 เมื่อ: 28 ตุลาคม 2557, 07:41:30 »



ใครสนใจเข้าไปเยี่ยมชมได้ที่ www.prensoland.com ครับไม่มีนายหน้าในเมืองไทย มีเพียงพี่สิงห์ เป็นผู้ประสานงานให้ ด้วยความเต็มใจ เท่านั้นเอง พี่สิงห์  ไม่ใช่นักธุรกิจ ทำด้วยใจรักเท่านั้น ให้เพื่อนฝูงได้รับประโยชน์ที่ดีที่สุดเท่าที่พี่สิงห์  ประสพมา และทำให้ได้เท่านั้น

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #13231 เมื่อ: 28 ตุลาคม 2557, 16:27:06 »



อาหารเพลวันนี้ เป็น VT แหนมเนือง ที่อุดรธานี

ตอนนี้ พี่สิงห์ อยู่สนามบินดอนเมือง กำลังรอขึ้นเครื่องไปเชียงราย boarding 17:00 น.

เป็นการเดินทางที่เหนื่อย ครับ

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #13232 เมื่อ: 29 ตุลาคม 2557, 07:13:09 »



สวัสดียามเช้าครับ ชาวซีมะโด่ง และแขกผู้มาเยือน ที่รักทุกท่าน

พี่สิงห์  พักอยู่ที่ Laluna Resort เชียงราย

อากาศที่เชียงราย เย็นนิดหน่อย ยังไม่หนาวครับ ปีนี้อากาศเย็นมาช้า

วันนี้ต้องพา Enric ไปเจรจาขายเครื่องผลิต Hollow Core Slab และเครื่องทำ Cement Blocks แบบอัตโนมัติ ที่จริงทั้งสองเครื่องนั้นใช้แรงงานเพียงสอง-สาม คนเท่านั้น และราคาไม่แพง ถูกกว่าที่ทำในเมืองไทย-เกาหลี  แต่คุณภาพดีจริง ๆเมื่อเปรียบเทียบกันเจ้าอื่น ๆ

วันนี้กลับ กทม. boarding 14:55 น. ถ้า Nok Air ไม่ล่าช้าแบบเมื่อวาน ล่าช้าทุกเที่ยวบิน และผู้โดยสารมากจริง ๆ ที่ดอนเมือง แน่นมาก

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #13233 เมื่อ: 29 ตุลาคม 2557, 07:44:01 »



อาหารเช้าวันนี้ ต้องกินอย่างราชา เพื่อรูป-นาม เพราะเลือกได้

ผัสสะ เป็นจุดเกิดกองทุกข์

ผัสสะ เป็นเป็นจุดรู้แจ้งแห่งสติ-ความรู้สึกตัวที่เป็นทางสายเอกสู่พระนิพพาน

ธรรมชาติกำหนดมาให้ว่า เมื่อไร?ธรรมสามอย่าง อันได้แก่ อายตนะภายใน ๖ อายตนะภายนอก ๖ วิญญาณ ๖ มาผัสสะ เมื่อนั้นย่อมทำให้เกิดเวทนา สัังขาร(คิด) สติ ผลของเวทนา คือสุข  ทุก  ไม่สุขไม่ทุกข์

ผลของความสุข กลายเป็น กามราคะ โมหะ โลภ เป็นอนุสัย-สัญโญชน์

ผลของความทุกข์ กลายเป็น ปฏิฆะ(โกรธ โมหะ เดือดดาลใจ พยายาท ปองร้าย) เป็นอนุสัย-สัญโญชน์

ผลของความไม่สุขไม่ทุกข์ กลายเป็น  อวิชชา สังขาร เป็นอนุสัย-สัญโญชน์

ดังนั้นจะเห็นว่า ผัสสะนั้นมีทั้งคุณและโทษ ที่กล่าวมานั้นมีแต่โทษที่เกิดกองทุกข์ เวียนว่ายตาย-เกิดอยู่ในวัฏฏะสงสาร

ผัสสะที่ทำให้เกิดการพ้นทุกข์ ไม่เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏฏะสงสารนั้นเป็นอย่างไร?

เมื่อธรรม ๓ อย่างอันประกอบด้วย อายตนะภายใน อายตนะภายนอก และวิญญาณ มาผัสสะ กัน ขอเพียงท่าน มีสติ-รู้สึกตัว-มีมรรคมีองค์ ๘ อยูุ่ในจิต ท่านก็จะเปลี่ยนจาก อวิชชา เป็น วิชชา ผลที่ตามมาในปฏิจจสมุปบาท จะไม่เกิดขึ้น หรือ

อวิชชาดับ สังขารไม่มี ... กองทุกข์ การเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะสงสาร ไม่มี นั่นเอง หรือ

เมื่อใดมี อวิชชา ท่านมีสติ-รู้สึกตัว เป็นวิชชา คือ รู้ซื่อ ๆ รู้ตรง ๆ รู้กลาง ๆ รู้เฉย ๆ ที่กายหรือ จิต หรือธรรม เมื่อท่านรู้ ความไม่รู้ก็ดับไปเองแล้ว

แต่เพราะท่านหลงอยู่ในความคิด แยกตัวรู้ กับความคิด ออกจากกันไม่ได้ ท่านจึงไหล หลง กระทำไปตามความคิดของท่าน

แต่เมื่อใดท่านรู้สึกตัวที่กาย หรือจิต หรือธรรม พอรู้ อารมณ์ที่มากระทบจิตท่าน หรือให้ดีหน่อยคือ อารมณ์ทั้งหลายที่มากระทบรูป-นาม ท่าน ท่านรู้สึกตัว-มีสติ อารมณ์ทั้งหลายเหล่านั้น ก็ดับไปเองตามธรรมชาติ ตามกฏไตรลักษณ์อยู่แล้ว แต่เป็นเพราะ

ท่านไม่รู้จักรูป-นาม ไม่เห็นรูป-นาม  ไม่เห็นอารมณ์ที่มากระทบรูป-นาม ไม่เห็นความเป็้นไตรลักษณ์ของอารมณ์ที่มากระทบรูป-นาม
เพราะท่านหลงอยู่ในความคิด ไม่ได้รับทราบตามคำสอนของพระพุทธองค์  ท่านจึงตกอยู่ในความคิด จึงเกิดกองทุกข์ วนเวียนอยู่ในวัฏฏะสงสารอยู่นั่นเอง

ผัสสะ จึงเป็นต้นเหตุแห่งการเกิดทุกข์ เกิด-ตายอยู่ในวัฏฏะสงสาร และ
ผัสสะ ยังเป็นทางสายเอกก่อให้เกิดสติ สมาธิ มุ่งสู่พระนิพพานได้

เช้านี้ ขอให้ทุกท่าน พิจารณาให้เห็นธรรมตามนี้ หรือหาเอาเองจากการเจริญสติ จนพบธรรมนี้

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #13234 เมื่อ: 29 ตุลาคม 2557, 18:52:56 »



เมื่อไรเกิดผัสสะ  ท่านมีสติ-รู้สึกตัว ซึ่งมันจะเร็วมาก(เร็วมากกว่าแมวเจอหหนู)ท่านสามารถวางอุเบกขาได้ ไม่หลง ไม่ไหลไปกับอารมณ์ ที่มากระทบจิตท่าน ท่านจะเห็นอารมณ์ ความคิด เกิดขึ้น เมื่อท่านไม่คิด ไม่ไหลไปกับอารมณ์นั้น ท่านจะเห็นอารมณ์ที่มากระทบนั้นดับไปด้วยตัวของมันเอง

ธรรมชาติของความคิด  อารมณ์ หรือธรรมทั้งหลาย(โลภ  โกรธ  หลง ...)เป็นต้น มันเกิดขั้น ดับไปอย่างนั้นเป็นธรรมดาของมันอยู่แล้ว ขอเพียงท่านมีสติ-รู้สึกตัว อุเบกขาอยู่ได้ ท่านก็จะเห็นมันได้ด้วยตาในหรือสติ นั่นเอง

นี่ละการปฏิบัติธรรม เจริญสติละ

พี่สิงห์  กลับมาถึงบ้านแล้ว เป็นการทำงาน เดินทางที่เหนื่อยมาก และ Nok Air ก็ล่าช้ากว่ากำหนด  สนามบินดอนเมืองต้องขยายหลุมจอดเพิ่มแล้ว เครื่องบินขึ้น-ลง ช่วงเช้า-เย็นแออัดมาก เครื่องต้องบินวนเพราะไม่มีเวลาลงจอด คนใช้สนามบินดอนเมืองมากจริง ๆ

เครื่องผลิต Hollow core slab ของ Prensoland คงจะขายได้ ๒ เครื่อง เป็นเงิน  ๓๐ ล้าน และเครื่องทำ Cement blocks อีก ๑ เครื่อง ประมาณ ๒๐ ล้านบาท ก็หวังว่าพรรคพวกคงจะประสบความสำเร็จในการลงทุนครั้งนี

ก่อนหน้านั้น ก็ได้แนะนำให้เจ้านายที่ Asia concrete ซื้อไปแล้ว ๒๐ กว่าล้านบาท ต้นปีหน้าสามารถผลิตได้

พรุ่งนี้เย็น ก็ต้องพา Enric ไปขายให้กับเจ้านายอีกคนหนึ่ง คุณดิเรก โอกาสขายได้สูงมากเพราะต้องการเครื่องจักรมาทำงานให้  เป็นการขยายธุรกิจของ PSTC

หลังจากปักธงได้แล้ว  คงขายได้ง่ายเพราะคนจะ copy ธุรกิจ กันอยู่แล้ว

ภาษาอังกฤษของพี่สิงห์ ที่ EG101 ได้ F และจะไม่จบวิศวฯ ก็เพราะภาษาอังกฤษนี่ละ  แต่ก็สื่อสารขายของได้พูดกันรู้เรื่องบ้าง วันนี้ขณะนั่งคุยรับประทานอาหารเช้า มีสุภาพสตรี เขาคงฟังออกว่าเราพูดไม่เอาไหน  ไม่ถูกหลัก เห็นเขายิ้ม แสดงว่าเราพูดไม่ถูกหลักไวยากรณ์ มันก็เรื่องของเขา แต่ Enric เขาก็ฟังเราออกรู้เรื่อง ไม่งั้นคงขายของไม่ได้ แต่ที่ยากคือคำศัพท์ทางธรรม นี่ละกว่าจะอธิบายให้เขาเข้าใจในการปฏิบัติธรรม การรักษาศีล การดำรงตน เล่นเอาเหนื่อย เพราะเขาถามกับมาว่า แล้วก่อนที่พระพุทธเจ้าจะเกิดมา คนเขาอยู่กันอย่างไร? มีศาสนาไหม? และความแตกต่างระหว้างพุทธศาสนากับศาสนาคริสต์ รวมทั้งทำไมต้องไปอินเดีย ๔ สังเวชนีย์ด้วย

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #13235 เมื่อ: 29 ตุลาคม 2557, 20:21:07 »

จากไลน์ของเภสัช 2516 ครับ

เมื่อหลายเดือนก่อนมีข่าวเกี่ยวกับเศรษฐีอเมริกันคนหนึ่ง เศรษฐีคนนี้ร่ำรวยมาก แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลที่เขาโด่งดัง เขาตกเป็นข่าวเพราะเขาบริจาคเงินเพื่อสาธารณกุศลเป็นเงิน ตลอด ๒๙ ปีที่ผ่านมารวมเป็นเงิน ๗,๕๐๐ ล้านดอลลาร์ หรือกว่า ๒ แสนล้านบาท ทั้งนี้โดยทำอย่างเงียบ ๆ ไม่ประกาศตัว

มีคนใจดีหลายคนที่เป็นข่าวครึกโครมว่าบริจาคเงินก้อนโตเพื่อส่วนรวมหรือเพื่อสาธารณกุศล เช่น บิล เกตส์ ซึ่งรวยเป็นอันดับหนึ่งของโลก แต่ชัค ฟีเนย์ บริจาคเงินแบบเงียบ ๆ มานานมาก อย่างนี้ไม่เรียกว่าปิดทองหลังพระ แต่เป็นการปิดทองใต้ฐานพระทีเดียว เขาเป็นเจ้าของร้านขายสินค้าปลอดภาษี ไม่น่าเชื่อว่าธุรกิจนี้จะทำรายได้ให้กับคนคนหนึ่งเป็นแสน ๆ ล้านบาท

ที่น่าสนใจและแตกต่างจากเศรษฐีใจบุญทั้งหลายที่เรารู้จักก็คือ เขาเป็นคนที่อยู่แบบเรียบง่ายมาก มีเงินเป็นแสน ๆ ล้าน รวยกว่าเจ้าสัวในเมืองไทยหลายคน แต่ใช้นาฬิกาถูก ๆ ยี่ห้อคาสิโอ ราคา ๑๕ เหรียญ หรือ๔๕๐ บาท นาฬิกาของคนทั่ว ๆ ไปยังแพงกว่านี้ เขาไม่มีรถส่วนตัว ไปไหนมาไหนก็นั่งรถไฟฟ้าหรือรถไฟ เสื้อผ้าก็แต่งแบบเชย ๆ บ้านก็ไม่ได้ใหญ่โตอะไร ส่วนลูกก็เรียนไปด้วย ทำงานไปด้วย เรียนไปด้วย เพราะเขาต้องการสอนลูกให้รู้จักพึ่งพาตัวเอง

เงินที่เขาบริจาคให้แก่ส่วนรวม คิดเป็น ๙๙ เปอร์เซ็นต์ของรายได้ทั้งหมด หมายความว่า หาเงินมาได้ ๑๐๐ ทำบุญไปถึง ๙๙ บาท ผ่านมูลนิธิที่เขาตั้งขึ้น เพื่อเป็นประโยชน์ทางด้านสาธารณสุข วิทยาศาสตร์ การศึกษา และสิทธิพลเรือนทั่วโลก อันนี้เป็นตัวอย่างที่ดีของคนที่มีความสันโดษ

สันโดษไม่ได้แปลว่ายากจนหรืออยู่อย่างเรียบง่ายตามที่เราเข้าใจเท่านั้น บางคนสันโดษแบบกินน้อย ใช้น้อย แล้วก็เลยหาน้อยไปด้วย สันโดษไม่ได้หมายความอย่างนั้นเสมอไป ถึงแม้ใช้น้อย กินน้อย แต่ถ้าหามากก็ดีเหมือนกัน ไม่ได้หามากเพื่อเอาเข้าตัวเอง แต่เป็นการหามากทำมากเพื่อช่วยเหลือส่วนรวม เดี๋ยวนี้เรามักเข้าใจว่าสันโดษคือความพอเพียง ไม่ใช่แค่ใช้พอเพียง แต่รวมถึงทำงานอย่างพอเพียงด้วย หมายความว่ากินน้อย ใช้น้อย ก็เลยทำน้อยไปด้วย เช่น ใช้เดือนละ ๓,๐๐๐ บาท ก็หาแค่ ๓,๐๐๐ บาทก็พอ แล้วเวลาที่เหลือเอาไปทำอะไร เวลาที่เหลือก็นั่งเล่น นอนเล่น อย่างนี้ไม่ใช่สันโดษในทางพระพุทธศาสนา

สันโดษในทางพระพุทธศาสนานั้นจะต้องควบคู่กับความขยันหมั่นเพียร แต่ความขยันดังกล่าวไม่ได้มีจุดมุงหมายปรนเปรอตัวเอง แต่มุ่งช่วยเหลือส่วนรวม มีเวลาเหลือก็ไปเป็นจิตอาสา ช่วยเหลือส่วนรวมด้วยน้ำพักน้ำแรงของตน มีหลายคนที่มีความสามารถ เขาทำมาหาเงินได้นิดหน่อยก็พอแล้ว เพราะใช้น้อย ส่วนเวลาที่เหลือเขาก็ไปเป็นอาสาสมัครช่วยเหลือผู้คน อาทิตย์ละ ๓-๔ วันบ้าง หรืออาทิตย์ละวันบ้าง

สังคมไทยหากมีคนที่สันโดษแบบนี้มาก ๆ ย่อมเจริญก้าวหน้าและสงบร่มเย็นกว่านี้อย่างแน่นอน

พระไพศาล วิสาโล
 
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #13236 เมื่อ: 29 ตุลาคม 2557, 21:02:11 »

สาธุครับ คุณเหยง

(ปกติจะ สาธุกับพระไพศาล วิศาโล และพระสุรินทร์  ก่อนการคิด  ที่ Facebook ของวัดป่าสุคะโต เกือบทุกวัน เวลาเข้าไปอ่านธรรม ของวัดป่าสุคะโต  ที่พระไพศาล และ พระสุรินทร์  จะโพสต์ให้อ่านทุกวัน)

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #13237 เมื่อ: 30 ตุลาคม 2557, 04:50:36 »


สวัสเีครับ ชาวซีมะโด่ง และแขกผู้มาเยือน ที่รักทุกท่าน

เมื่อใดที่ท่านมีทุกข์ หรือไม่มีทุกข์ก็ตาม จงมีศรัทธาในพุทธศาสนา เชื่อในพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ ตั้งสติปัฏฐาน ๔ เป็นทางสายเอกสายเดียวที่ท่านจะพ้นทุกข์ ถึงซึ่งพระนิพพานได้

ทางสายเอกนั้นประกอบด้วย
- ศรัทธา
- ศีล
- สำรวมอินทรีย์(ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ)
- อยู่ด้วยปัจจัย ๔ แบบพอเพียง
- มีความเพียรในสัมมัปทาน ๔ เป็นเครื่องตื่น
- มีสติ-สัมปชัญญะ
- ทำสติให้เป็นสมาธิ จนสามารถละนิวรณ์ ๕ ได้
- ทำญาณที่ ๑ ๒ ๓ ๔ ให้บังเกิดขึ้น
- อยู่ด้วย ญาณที่ ๔

เพียงเท่านี้ เมื่อถึงเวลามีเหตุ-ปัจจัยเหมาะสม มันจะบังเกิดขึ้นเอง เปรียบได้กับแม่ไก่ฟักไข่ ถึงเวลาลูกไก่จะเป็นตัวเจาะเปลือกไข่ออกมาเอง ฉันใดฉันนั้นในการปฏิบัติธรรม ท่านต้องศรัทธายิ่ง

วันนี้ต้องไปทำง่นที่โรงงานบ้านแพ้ว สมุทรสงคราม

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #13238 เมื่อ: 30 ตุลาคม 2557, 09:13:45 »




เรื่องเล่าเสริมกำลังใจ อาจารย์กำพล...ถังขยะก้นรั่ว


ข้าพเจ้ารู้จักอาจารย์กำพล ครั้งแรกเมื่อเดือนมีนาคม ๒๕๔๖ ช่วงนั้นท่านยังอยู่วัดป่าสุคะโต โดยมีคุณแม่อยู่เป็นเพื่อนและคอยช่วยเหลือดูแล ตัวอาจารย์กำพลเอง ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้มากนัก หลังจากประสบอุบัติเหตุ เป็นอัมพาตเป็นคนพิการเดินไม่ได้ ต้องใช้ชีวิตส่วนใหญ่ในท่านอนบนเตียง และนั่งบนรถเข็น

อาจารย์กำพล อดีตเป็นครูพลศึกษาวิทยาลัยพลศึกษา จังหวัดอ่างทอง วันหนึ่งขณะครูกำพล กำลังสาธิตการว่ายน้ำให้นักเรียนดู ขณะที่กระโจนลงสระน้ำสิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น ครูกำพล ลงน้ำแบบผิดจังหวะศีรษะจึงกระแทกเข้ากับพื้นสระน้ำอย่างแรงจนแน่นิ่งไป มารู้สึกตัวอีกทีพบว่ากระดูกต้นคอข้อที่ห้าหักไปกระทบกับระบบประสาทไขสันหลังจนกลายเป็นอัพพาต ชาไปทั้งตัว แขน ขา และมืออยู่ในสภาพไม่พร้อมใช้งานตามปกติได้อีก หลังจากวันนั้นนั้นครูกำพล ซึ่งรูปหล่อแข็งแรง จึงกลายเป็นคนที่พิการแขนขาลีบ เดินไม่ได้

อนาคตที่สดใส งานที่มั่นคง อีกไม่กี่วันจะบวช เสร็จแล้วจะแต่งงานกับสาวสวยคนรักที่รู้ใจ การเกิดอุบัติเหตุครั้งนี้ชีวิตของครูกำพล หมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกข์ทั้งกายทั้งใจ มีแต่พ่อแม่ที่คอยให้กำลังใจ เมื่อความทุกข์บีบคั้นมาก จึงหันมาสนใจธรรมะ โดยอ่านหนังสือของครูบาอาจารย์ต่างๆหลายท่านถึง ๑๖ ปีแต่ทุกข์นั้นก็ยังไม่หาย เต็มไปด้วยความสงสัย

และแล้วชะตาชีวิตของครูกำพลก็พลิกผันอีกครั้ง วันหนึ่งคุณพ่อของท่านได้นำเทปธรรมะและ หนังสือคู่มือปฎิบัติธรรมตามแนวทางของหลวงพ่อคำเขียน สุวัณโณ มาให้ศึกษา อ.กำพล ก็ทดลองปฎิบัติตามคู่มือที่ได้มา ทั้งยังเขียนจดหมายไปขอฝากตัวเป็นศิษย์หลวงพ่ออีกด้วย..หลวงพ่อคำเขียนอ่านจดหมายแล้ว ท่านก็เขียนแนะนำวิธีการปฎิบัติตอบมาทางจดหมาย ครูกำพลก็ทำตาม จนในที่สุดก็เกิดสภาวะธรรม แยกรูป-นามได้ จนจิตเป็นอิสระจากความคิดปรุงแต่ง

วิถีชีวิตของครูกำพลจึงเปลี่ยน ผู้คนมากมายที่มีความทุกข์ ก็มาปรึกษากับท่าน บางคนถามถึงวิธีการเจริญสติ ที่ท่านทำแล้วได้ผล บางคนก็มีปัญหาชีวิตมากมายและหาทางออกไม่ได้ก็มาระบายให้ท่านฟัง คนแล้วคนเล่า สมัยที่อยู่วัดป่าสุคะโต อ.กำพล ช่วงนั้นยังไม่ดังรู้จักเฉพาะแวดวงของนักปฎิบัติแนวเคลื่อนไหวสายหลวงพ่อเทียน ตอนหลังออกโทรทัศน์ คนจึงรู้จัก อ.กำพล มากยิ่งขึ้น อ.กำพล คุยสนุก และให้กำลังใจนักปฎิธรรม และให้แง่คิดต่างๆ เช่น อีกเดือนนึง เจ็ดวัน สามวัน หนึ่งวัน ถ้ารู้ว่าจะต้องตายต้องทำยังไง?

ผู้เขียนเคยถาม อ.กำพลว่า เวลาคนมาระบายให้ฟัง บางครั้งก็เป็นเรื่องเคลียดๆ บางคนก็ขี้สงสัยถามแต่ในเรื่องที่ไร้สาระ บางครั้งก็ต้องคอยตอบทุกๆคน จะลุกหนีไปไหนก็ไม่ได้ เกือบทั้งวัน ท่านมีวิธีจัดการกับอารมณ์ขยะเหล่านี้ยังไง อ.กำพล บอกว่าจิตของท่าน เหมือนถังขยะที่ก้นรั่ว ไม่มีการเก็บขยะไว้ไม่งั้นเหม็นแย่เลย

บั้นปลายชีวิตอาจารย์กำพล พักอยู่ที่ชมรมเพื่อนคุณธรรม ชายพิการผู้นี้เต็มไปด้วยการทำประโยชน์ ต่อสังคมและส่วนรวม มีคนเชิญไปบรรยายธรรมหลายแห่ง บางครั้งก็ไปต่างประเทศ เช่น จีน ญี่ปุ่น และอาศัยตัวเองเป็นอุปกรสอนธรรม มีคนพิการที่ทุกข์อีกมากมายก็มีกำลังใจสู้ชีวิต ไม่ท้อแท้ เพราะเห็นว่าจิตสามารถเป็นอิสระออกจากความทุกข์หรือความพิการได้ ถ้าเจริญสติอย่างต่อเนื่อง ช่วงนี้อาจารย์กำพลป่วยหนักคงมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นานนัก จึงนำเรื่องของท่านมาเล่า และขอจบด้วยข้อคิดจากอาจารย์กำพล เรื่อง สามยอม

เขียนเล่าเรื่องพระสุรินทร์ ก่อนการคิด

ยอมสามยอม

"ผมคิดว่า ชีวิตเราอาจต้องตายในไม่ช้า
เพราะระบบต่างๆ ของร่างกายผิดปกติ
ไม่เหมือนคนทั่วไป ก็เลยคิดว่า
เราคงต้องตายในไม่นาน
ตายก็ตาย...ยอมตาย...
รู้จัก "ยอมสามยอม"
ยอมแรก คือ ยอมรับความจริง (เริ่มผ่อนคลาย)
ยอมสอง คือ ยอมให้มันเป็นไป (ใจสบาย)
ยอมสาม คือ ยอมตาย (ปล่อยวาง)
โอย....ใจเรา มันปล่อยวาง ไปตั้งเยอะเลย
ไม่ได้คิดเอานะ แต่มีความรู้สึกว่า
เราต้องทำอย่างนั้น ผมก็เลย ยอมรับความจริง
ยอมรับความเป็นไป และ ยอมรับความตาย ในที่สุด”


เรื่องเล่าเสริมกำลังใจ อาจารย์กำพล...ถังขยะก้นรั่ว ข้าพเจ้ารู้จักอาจารย์กำพล ครั้งแรกเมื่อเดือนมีนาคม ๒๕๔๖ ช่วงนั้นท่านยังอยู่วัดป่าสุคะโต โดยมีคุณแม่อยู่เป็นเพื่อนและคอยช่วยเหลือดูแล ตัวอาจารย์กำพลเอง ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้มากนัก หลังจากประสบอุบัติเหตุ เป็นอัมพาตเป็นคนพิการเดินไม่ได้ ต้องใช้ชีวิตส่วนใหญ่ในท่านอนบนเตียง และนั่งบนรถเข็น อาจารย์กำพล อดีตเป็นครูพลศึกษาวิทยาลัยพลศึกษา จังหวัดอ่างทอง วันหนึ่งขณะครูกำพล กำลังสาธิตการว่ายน้ำให้นักเรียนดู ขณะที่กระโจนลงสระน้ำสิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น ครูกำพล ลงน้ำแบบผิดจังหวะศีรษะจึงกระแทกเข้ากับพื้นสระน้ำอย่างแรงจนแน่นิ่งไป มารู้สึกตัวอีกทีพบว่ากระดูกต้นคอข้อที่ห้าหักไปกระทบกับระบบประสาทไขสันหลังจนกลายเป็นอัพพาต ชาไปทั้งตัว แขน ขา และมืออยู่ในสภาพไม่พร้อมใช้งานตามปกติได้อีก หลังจากวันนั้นนั้นครูกำพล ซึ่งรูปหล่อแข็งแรง จึงกลายเป็นคนที่พิการแขนขาลีบ เดินไม่ได้ อนาคตที่สดใส งานที่มั่นคง อีกไม่กี่วันจะบวช เสร็จแล้วจะแต่งงานกับสาวสวยคนรักที่รู้ใจ การเกิดอุบัติเหตุครั้งนี้ชีวิตของครูกำพล หมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกข์ทั้งกายทั้งใจ มีแต่พ่อแม่ที่คอยให้กำลังใจ เมื่อความทุกข์บีบคั้นมาก จึงหันมาสนใจธรรมะ โดยอ่านหนังสือของครูบาอาจารย์ต่างๆหลายท่านถึง ๑๖ ปีแต่ทุกข์นั้นก็ยังไม่หาย เต็มไปด้วยความสงสัย และแล้วชะตาชีวิตของครูกำพลก็พลิกผันอีกครั้ง วันหนึ่งคุณพ่อของท่านได้นำเทปธรรมะและ หนังสือคู่มือปฎิบัติธรรมตามแนวทางของหลวงพ่อคำเขียน สุวัณโณ มาให้ศึกษา อ.กำพล ก็ทดลองปฎิบัติตามคู่มือที่ได้มา ทั้งยังเขียนจดหมายไปขอฝากตัวเป็นศิษย์หลวงพ่ออีกด้วย..หลวงพ่อคำเขียนอ่านจดหมายแล้ว ท่านก็เขียนแนะนำวิธีการปฎิบัติตอบมาทางจดหมาย ครูกำพลก็ทำตาม จนในที่สุดก็เกิดสภาวะธรรม แยกรูป-นามได้ จนจิตเป็นอิสระจากความคิดปรุงแต่ง วิถีชีวิตของครูกำพลจึงเปลี่ยน ผู้คนมากมายที่มีความทุกข์ ก็มาปรึกษากับท่าน บางคนถามถึงวิธีการเจริญสติ ที่ท่านทำแล้วได้ผล บางคนก็มีปัญหาชีวิตมากมายและหาทางออกไม่ได้ก็มาระบายให้ท่านฟัง คนแล้วคนเล่า สมัยที่อยู่วัดป่าสุคะโต อ.กำพล ช่วงนั้นยังไม่ดังรู้จักเฉพาะแวดวงของนักปฎิบัติแนวเคลื่อนไหวสายหลวงพ่อเทียน ตอนหลังออกโทรทัศน์ คนจึงรู้จัก อ.กำพล มากยิ่งขึ้น อ.กำพล คุยสนุก และให้กำลังใจนักปฎิธรรม และให้แง่คิดต่างๆ เช่น อีกเดือนนึง เจ็ดวัน สามวัน หนึ่งวัน ถ้ารู้ว่าจะต้องตายต้องทำยังไง? ผู้เขียนเคยถาม อ.กำพลว่า เวลาคนมาระบายให้ฟัง บางครั้งก็เป็นเรื่องเคลียดๆ บางคนก็ขี้สงสัยถามแต่ในเรื่องที่ไร้สาระ บางครั้งก็ต้องคอยตอบทุกๆคน จะลุกหนีไปไหนก็ไม่ได้ เกือบทั้งวัน ท่านมีวิธีจัดการกับอารมณ์ขยะเหล่านี้ยังไง อ.กำพล บอกว่าจิตของท่าน เหมือนถังขยะที่ก้นรั่ว ไม่มีการเก็บขยะไว้ไม่งั้นเหม็นแย่เลย บั้นปลายชีวิตอาจารย์กำพล พักอยู่ที่ชมรมเพื่อนคุณธรรม ชายพิการผู้นี้เต็มไปด้วยการทำประโยชน์ ต่อสังคมและส่วนรวม มีคนเชิญไปบรรยายธรรมหลายแห่ง บางครั้งก็ไปต่างประเทศ เช่น จีน ญี่ปุ่น และอาศัยตัวเองเป็นอุปกรสอนธรรม มีคนพิการที่ทุกข์อีกมากมายก็มีกำลังใจสู้ชีวิต ไม่ท้อแท้ เพราะเห็นว่าจิตสามารถเป็นอิสระออกจากความทุกข์หรือความพิการได้ ถ้าเจริญสติอย่างต่อเนื่อง ช่วงนี้อาจารย์กำพลป่วยหนักคงมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นานนัก จึงนำเรื่องของท่านมาเล่า และขอจบด้วยข้อคิดจากอาจารย์กำพล เรื่อง สามยอม เขียนเล่าเรื่องพระสุรินทร์ ก่อนการคิด ยอมสามยอม "ผมคิดว่า ชีวิตเราอาจต้องตายในไม่ช้า เพราะระบบต่างๆ ของร่างกายผิดปกติ ไม่เหมือนคนทั่วไป ก็เลยคิดว่า เราคงต้องตายในไม่นาน ตายก็ตาย...ยอมตาย... รู้จัก "ยอมสามยอม" ยอมแรก คือ ยอมรับความจริง (เริ่มผ่อนคลาย) ยอมสอง คือ ยอมให้มันเป็นไป (ใจสบาย) ยอมสาม คือ ยอมตาย (ปล่อยวาง) โอย....ใจเรา มันปล่อยวาง ไปตั้งเยอะเลย ไม่ได้คิดเอานะ แต่มีความรู้สึกว่า เราต้องทำอย่างนั้น ผมก็เลย ยอมรับความจริง ยอมรับความเป็นไป และ ยอมรับความตาย ในที่สุด”
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #13239 เมื่อ: 31 ตุลาคม 2557, 06:14:29 »



ตกลงพี่สิงห์ ช่วย Enric ขายได้ ๔ เจ้า ประมาณ ๑๐๐ ล้านบาท เขาถามพี่สิงห์  ว่า คุณช่วยเขาทำไม? โดยไม่หวังผลตอบแทน คุณช่วยให้พนักงานของ Prensoland 87 ชีวิตมีงานทำ คุณทำ ทำไม?  เพราะไม่รู้จักกันมาก่อน อยากทราบเหตุผล จริง ๆ

พี่สิงห์ ก็ตอบว่า ผมไม่ได้เป็นนักธุรกิจ  ผมอยากให้เพื่อนฝูง เจ้านาย ได้ใช้เครื่องจักรที่ดี ที่สุดที่ผมรู้จัก ในราคาที่ไม่แพง  มีเพียงเท่านี้ ที่ได้ทำ !

สี่ เจ้านายนี้ เป็นผู้มีพระคุณ ที่ให้เงินผมในการดำรงชีวิต-ทำบุญ และทุกคนเป็นลูกศิษย์ของผม

วันที่ 16-23 พฤศจิกายน พี่สิงห์ ไปบาเซโลน่า เสปญ

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #13240 เมื่อ: 31 ตุลาคม 2557, 08:43:18 »



สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง และแขกผู้มาเยือน ที่รักทุกท่านครับ

วันนี้เช้า ได้หุงข้าว ใส่บาตรพระ ที่หน้าบ้าน

วันนี้ ต้องเดินทางไปทำงานที่นครศรีธรนมราช boarding 09:15 น. ตอนนี้ อยู่สนามบินดอนเมือง รอขึ้นเครื่อง Nok Air

อย่าลืมตัวช่วย เครื่องมือในการปฏิบัติธรรม คือ โพธิปักขิยะธรรม ๓๗ ประการ เราต้องมีธรรมนี้อยู่ในจิต  อันประกอบด้วย
- อิทธิบาท ๔ ได้แก่ ฉันทะ  วิริยะ  จิตตะ  และวิมังสา
- สติปัฏฐาน ๔ ที่ตั้งของจิต ให้จิตไปยึดเกาะ ได้แก่ กาย เวทนา จิต ธรรม
- สัมมัปทาน ๔ ได้แก่ ทำกุศลใหม่ให้เกิดขึ้น ละอกุศลที่ยังไม่เกิดไม่ให้เกิด ละอกุศลที่เกิดขึ้นแล้วให้หมดไป ทำกุศลที่เกิดขึ้นแล้วให้เจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไป
- อินทรีย์ ๕ ได้แก่ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา
- พละ ๕ ได้แก่ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา
- โพชฌงค์ ๗ ได้แก่ สติ ธัมมวิจยะ วิริยะ ปีติ ปัตสัทธิ สมาธิ อุเบกขา
- มรรคมีองค์ ๘ ได้แก่ สัมมาทิฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจามะะ สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาสติ และสัมมาสมาธิ

ในการเจริญสติ ทุกครั้ง ต้องกำจัดนิวรณ์ ๕ ให้ได้ มรรคทุกองค์ จะต้องเกิดขึ้นเสมอ มันเกิดขึ้นเอง สติมันสะสมตัวของมันเองได้ รู้ซื่อ ๆ รู้ตรง ๆ รู้กลาง ๆ ไม่ถามเหตุ-ผล ทำไป ๆ รู้สึกตัวแบบนั้น เห็นความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปของ สิ่งที่มากระทบรูป-นาม อันได้แก่ อารมณ์ ความคิด สติ และความว่างเปล่า

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #13241 เมื่อ: 31 ตุลาคม 2557, 14:47:09 »












เครื่องนี้ ใช้แรงโน้มถ่วงของโลก ดันคอนกรีตผ่านแบบด้วย Vibrator ได้รูปร่างตามต้องการ
การซ่อมบำรุงจึงน้อยมาก เพราะไม่มี  mechanic อะไรเลย คอนกรีตไม่ได้เสียดสีอะไรมากมายนัก แบบจึงไม่สึกหรอใช้ได้นานมากกว่า ๗ ปี
มีเพียงกระแสไฟฟ้า  และความต่อเนื่องของคอนกรีตเท่านั้น รีดได้ 3.00 เมตร ต่อ นาที
สามารถผลิต Solid slab, Hollow core slab, Hollow beam, T beam, U beam, Partion wall, Piles ..... ตามแบบที่ลูกค้าต้องการ เช่น ที่นั่งอัฒจันท์สนามกีฬา เป็นต้น

การเปลี่ยน mold ขันน๊อต ๔ ตัว ใช้เวลาเพียง 10 นาที เท่านั้นเอง ง่ายมาก ๆ

ทุกท่านเข้าไปชมได้ที่ www.prensoland.com และอยากทราบรายละเอียดติดต่อมาที่พี่สิงห์  ได้ จะเป็นตัวกลางให้ได้

พี่สิงห์  อยู่นครศรีธรรมราช  อาทิตย์นี้เดินทางไกลมาก ๆ ร่างกายต้องรับสภาพได้
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #13242 เมื่อ: 31 ตุลาคม 2557, 15:03:21 »




เครื่องแต่งผิว  จะโรยปูน-ทรายละเอียด แต่งผิวหน้าให้เรียบ กรณีทำผังสำเร็จรูป
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #13243 เมื่อ: 31 ตุลาคม 2557, 15:16:37 »



















การผลิตเสาเข็ม โดยการใช้เครื่อง Hollow Core รีด




ดร.สุริยา  จังหวัดนครสวรรค์ เหมาะสมยิ่ง ได้ทั้งพื้น ผนัง คาน เสาเข็มและรั้ว
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #13244 เมื่อ: 31 ตุลาคม 2557, 20:39:09 »



การมี สติ ไม่ไหลไปกับโลกธรรม


“ให้รักษาความมั่นคงของสติ
อย่าปล่อยให้ความผิดปกติของคนอื่น
มาทำร้ายความเป็นปกติของใจเรา
อาศัย “สติ” มั่นคง รู้ทันว่า
อะไรมันเกิดขึ้นกับเรา พอใจก็รู้
ไม่พอใจก็รู้ เราจะได้ไม่ต้องเป็นทุกข์
เราจะทำงานอยู่ในท่ามกลาง
ความไม่ปกติของคนอย่างมีความสุข
ลิ้นงูอยู่ในปากงู เห็นไหม ไม่โดนเขี้ยวของงู
อย่าไปเอาอะไรกับคนในโลกนี้
โลกนี้ มีอยู่สามประเภทที่มองตัวเรา
ประเภทแรก คือ ชอบเรา
บางประเภท ไม่ชอบเราก็มี
บางกลุ่ม เฉยๆ ก็มี
ที่เขาพอใจเรา ชอบเรา เขาก็พูดดี
ก็ถูกของเขานะ
บางคนที่ไม่ชอบใจเรา ก็นินทาว่าร้าย
มันก็ถูกของเขา บางคนเฉยๆ กับเร า
ก็ถูกของเขาอีก เราไม่ต้องไปห้าม
รักษาใจให้เป็นปกติเข้าไว้ อย่าไปฝาก
ชีวิตเราไว้กับปากและสายตา
ของคนอื่น เราต้องเป็นตัวของตนเอง”

อ.กำพล ทองบุญนุ่ม ชมรมเพื่อนคุณธรรม






รูปท่านอาจารย์กำพล  เมื่อหนึ่งเดือนที่ผ่านมา  ออกมาจากการรักษาที่ โรงพยาบาลจุฬาฯ
ท่านอยู่ได้อีกไม่นาน  ต้องตายเพราะเพราะโรคตับ มันเปี่ยนตับไม่ได้


ธรรมชาติของคนมันก็เป็นอย่างที่ อาจารย์กำพล  ทองบุญนุ่ม  ท่านว่าทุกประการ


ในแต่ละวันถ้าเรายังต้องทำกิจกรรม ทำงานอยู่กับคน มันก็ต้องประสพอยู่อย่างสม่ำเสมอ  ตลอดเวลา เพราะความคิดของคนมันไม่เหมือนกัน  อย่าลืม คนคิดเข้าข้างตนเองเสมอ เพราะอะไร? เพราะความตระหนี่ และริษยา  นี่อย่างไร

ลองดูใจตนเองดูซิ  ถ้าท่านสามารถมีสติเป็นผู้ดูได้ จะพบว่า
"ใครทำ หรือคิด ตรงกับเรา เราก็พอใจ"
"ใครทำ หรือคิด ไม่ตรงกับเรา เราก็ไม่พอใจ"
"ใครทำ หรือคิด จะตรงหรือไม่ตรงกับเรา บางครั้งเราก็รู้สึกเฉย ๆ"
จิตของเรา  จิตของคนอื่นมันก็มีพฤติกรรมอย่างนี้  มันเกิดของมันมานานแล้ว  แต่เป็นเพราะเราเป็นส่วนหนึ่งของความคิด หรือไหล หลงไปกับความคิดเราจึงแยกมันไม่ออก

แต่เมื่อท่านเจริญสติ  จนสามารถจะแยกความคิด - สติ ออกจากกันได้  ท่านจึงเห็นความคิด เห็นอารมณ์ที่มากระทบจิต ความโลภ  ความโกรธ  ความหลง  ความพอใจ  ความไม่พอใจ และรู้สึกเฉยๆ ได้

ความสำคัญมันอยู่ที่ว่าเมื่อประสพกับบุคคลอื่น  หรือเราประสพด้วยตนเอง ในอารมณ์อย่างนั้น  ขอเพียงเป็นผู้ดู  อย่าไปเป็นผู้เป็น หรือไหล หลงไปกับความคิด  อารมณ์ที่ประสพนั้น

ดังนั้น  การที่เรายังทำกิจกรรม  ยังทำงานอยู่มันเป็นการทดสอบจิตของเราได้เป็นอย่างดี ว่าเราเป็น "ผู้ดู" หรือจะเป็น "ผู้เป็น" เราจะรู้ตัวของเราดี

คนเรามันจะทุกข์ หรือไม่มันอยู่ตรงนี้ นี่ละ

ธรรมชาติของจิต หรือพฤติกรรมของจิต เราห้ามมันไม่ได้ มันเป็นอย่างนั้นมานานแล้ว  แต่ถ้าท่านมีสติ-รู้สึกตัว ท่านก็จะเป็น "ผู้ดู" ไม่หลง ไม่ไหลไปเป็น "ผู้เป็น" ได้

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #13245 เมื่อ: 01 พฤศจิกายน 2557, 06:04:49 »







ทุกสิ่งล้วนเกิดขึ้นเป็นธรรมดา และดับไปเป็นธรรมดา

ทุกสิ่ง ทุกอย่าง มันเกิดขึ้นเป็นธรรมดา และดับไปเป็นธรรมดา ของมันอยู่แล้วในธรรมชาติของธรรม สภาวะธรรม ความคิด อารมณ์ต่าง ๆ ความรู้สึกตัว  ความสุข  ความทุกข์ คามไม่สุขไม่ทุกข์ กิเลส  ตัณหา อนุสัย  สัญโญชน์

มันเกิดขึ้นด้วยมีเหตุ-ปัจจัย

มันดับด้วยเหตุ-ปัจจัย(ถ้าท่านรู้สึกตัว หรือมีสติ)

มันไม่มีตัวตน มีเพียงความรู้สึก หรืออารมณ์ หรือความรู้แจ้ง ที่มากระทบทางอายตนะ เท่านั้น

ของเพียง ท่านเป็น "ผู้ดู"  อย่าไปเป็น "ผู้เป็น"

ธรรม  สภาวะธรรม  ความคิด  อารมณ์ ความสุข  ความทุกข์ ความไม่สุขไม่ทุกข์ กิเลส ตัณหา อนุสัย สัญโญชน์ มันก็ดับไปของมันเอง ธรรมชาตมันเป็นอย่างนั้น

แต่เป็นเพราะท่านไม่สามารถแยกรูป-นาม ไม่เห็นความจริงในรูป-นาม ไม่เห็นความเป็นไตรลักษณ์ในธรรมทั้งหลายเหล่านั้น ว่าสิ่งที่ท่านประสพนั้น แท้จริงมันไม่มีตัวตนเลย มันเป็นเพียงสภาวะธรรม  อารมณ์ ความรู้สึก ความคิด เท่านั้น

ถ้าท่านมีสติ-รู้สึกตัว ท่านจะเห็นมัน ไม่หลง ไม่ไหล ไม่ไปเป็นกับมัน เห็นมันเกิด-ดับ เกิด-ดับตลอดเวลา มันเกิดแล้ว มันก็ดับของมันเอง ตามธรรมชาติอยู่แล้ว เพียงแต่ท่านไม่เห็นมัน  เป็นส่วนหนึ่งของมัน  หรือเป็นมัน

ธรรมทั้งหลาย มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่  และดับไปเป็นปกติของมันธรรมดา ตลอดเวลาอยู่แล้ว ท่านต้องเห็นมัน  อย่าไปเป็นมัน

ท่านต่างหาก ไม่เห็นมันเอง มีแต่หลง ไหลไปกับมัน จึงคิดว่า เป็นตัวตน ไปเสียหมด เป็นตัวกู ของกู  กูเป็นนั่น นั่นเป็นกู-ของกู สิ้น

นี่ละความโง่ของคุณมานพ   กลับดี  เป็นมาตั้งแต่เกิด จึงมีแต่ทุกข์ หาทางออกจากทุกข์ไม่ได้ เสียที

ความสุข  ความทุกข์ ความไม่สุขไม่ทุกข์ ความคิด สภาวะธรรมต่าง ๆ อารมณ์ ความโลภ ความโกรธ ความหลง กิเลส  ตัณหา  อนุสัย  สัญโญชน์ที่ผูกมัดสัตว์โลกอยู่ในวัฏฏะสงสาร มันเป็นเพียงสภาวะธรรม เป็นนาม  ไม่มีตัวตน มันจรมาให้ท่านประสพ  สัมผัสได้ทางอายตนะ เกิดความรู้แจ้ง ถ้าท่านมีสติ-รู้สึกตัว ท่านจะไม่หลง ไม่ไหล ไม่เป็นมัน  มันก็จะดับไป ตามธรรมชาติของมันตามกฏไตรลักษณ์ เพราะมันไม่มีตัวตน  อย่าไปหามันเลยหาไม่พบหลอก มาจรมาเกาะจิตตามเหตุ-ปัจจัย เท่านั้น เป็นอวิชชา ขอเพียงท่านมีวิชชา ด้วยสติ-ความรู้สึกตัว เหตุ-ปัจจัยมันดับ มันก็ไม่มีแล้ว

นี่แหละธรรมที่เราค้นหา

ท่านมีหน้าที่เพียงทำสติ-ความรู้สึกตัวให้เกิดขึ้น รวดเร็วเท่ากับที่มันมาสัมผัสอายตนะ เร็วยิ่งกว่าแมวเห็นหนูตะครุบหนูปั๊ปทันที

ท่านทำได้  ถ้าปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธองค์ ใหเดำรงชีวิตอยู่ในมรรคมีองค์ ๘  

สวัสดียามเช้าทุกท่าน ครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #13246 เมื่อ: 01 พฤศจิกายน 2557, 09:49:18 »



ด่วน ดร.สุริยา  ตาสว่างเข้าใจในธรรม แล้วว่า

อวิชชา คือ ความไม่รู้ใน อายตนะ นี่เอง !


สองสามสัปดาห์ที่ผ่านมา พี่สิงห์  พยายามอธิบายให้ทุกท่านได้ทราบในเรื่อง "อายตนะ วิณญาณ  ผัสสะ" โดย ยกเอา ดร.สุริยา  มาเป็นตัวอย่างในการอธิบายธรรม  อย่างที่เรียนให้ทราบ มันเป็นเรื่องของการตลาด  สร้างความสนใจ และให้ทุกท่านจำได้ นั่นเอง

เพราะว่า ธรรมนั้น อยากจะเข้าใจได้ และเป็นหัวใจของการเกิดกองทุกข์ และยังต้องเวียนว่ายตาย-เกิดอยู่ในวัฏฏะสงสาร ก็เพราะไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจ ในอายตนะ และผลของอายตนะ นี่ละ

"อวิชชา" นอกจากจะหมายถึงความไม่รู้ในปฏิจจสมุปบาท  ความไม่รู้ในอริยสัจ ๔ ความไม่รู้ในโลกหน้า(ภพหน้า)  ความไม่รู้ในโลกของอดีต(โลกที่เคยเกิดในภพที่ผ่านมา) ไม่รู้ทั้งโลกอดีตโลกอนาคตโลก ณ ปัจจุบัน ไม่รู้รูป-นาม  ไม่รู้ความเป็นไตรลักษณ์ของธรรมทั้งหลาย ด้วยแล้ว

"อวิชชา" ยังรวมถึงความไม่รู้ใน "อายตนะ" ความไม่รู้ในการประจวบกันของธรรมสามอย่าง คือ "อายตนะภายใน ๖ อายตนะภายนอก ๖ และวิญญาณ ๖" ผลของการ "ผัสสะ" ของธรรมสามอย่างนั้น คือ เวทนา ๖ อันเป็นผลให้เกิด อนุสัย  สัญโญชน์ ตามมานี่เอง

พี่สิงห์  จึงต้องยกตัวอย่าง กรณีของ ดร.สุริยา ขึ้นมาเพื่อให้ท่านรู้ใน "อายตนะ ธรรมสามอย่าง ผัสสะ และผลของธรรมสามอย่าง คือ เวทนา" เปลี่ยนจาก "อวิชชา" ในอายตนะ มาเป็น "วิชชา" ในอายตนะ นั้นเสีย

เพราะมันเป็นด่านแรก เป็นประตูเปิดแห่งการเกิดกองทุกข์ เป็นประตูเปิดแห่งสัญโญชน์ และเป็นประตูสู่หนทางพระนิพพาน

เมื่อท่านเข้าใจในมัน ในความหมาย หรือ ท่านเห็นธรรมนี้ด้วยตัวของท่านเอง ท่านก็จะเห็นหนทางเดินสู่พระนิพพานได้

ก็หวังว่าทุกท่านคงเข้าใจ "อวิชชา" คือ ความไม่รู้ในกลไกการทำงาน ผลของการทำงานใน "อายตนะ" นั่นเอง

เพราะ ครั้งแรกที่พี่สิงห์ อ่านธรรมที่สอนท่านอณาบิณฑิกเศรษฐี พี่สิงห์  ก็เข้าใจได้ดีเลย ว่าธรรมนี้อยากนักที่จะเข้าใจได้ และเป็นต้นเหตุแห่งกองทุกข์ และหนทางแห่งพระนิพพาน  สมดังที่พระสารีบุตรกล่าวว่า ธรรมนี้สอนเฉพาะภิกษุ ภิกษุณี เท่านั้น มันอยากจะเข้าใจได้ สำหรับปุถุชนม์คนทั่วไป ดีว่าท่านอาณาบิณฑิกเศรษฐี ท่านอาราธนาขอให้ช่วยสอน อุบาสก-อุบาสิกา ด้วย เราจึงได้ฟังธรรมนี้

แต่โดยทั่วไป น้อยนักที่จะได้ยิน ได้ฟังพระท่านสอน อธิบายให้ฟังแบบพี่สิงห์

มันเป็นความจริง ครับ จึงอุตส่าห์ อธิบาย ยกตัวอย่าง ให้ทุกท่านได้ศึกษา  หวังว่า ดร.สุริยา  คงให้อภัย

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #13247 เมื่อ: 03 พฤศจิกายน 2557, 05:41:01 »



มนุษย์ เกิดมาบนโลกนี้ ไม่ใช่เกิดมาเพื่อชดใช้กรรมที่เคยกระทำในภพอดีต เท่านั้น

มนุษย์ เกิดมายังเพื่อสร้างกรรมดี เพื่อความหลุดพ้นไม่ต้องเกิดอีก เพราะการเกิดแต่ละครั้งมีแต่ทุกข์

เทวดา ก็ปราถนาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อสร้างกรรมดี

หน้าที่ของมนุษย์ คือการเพียรสร้างกุศลให้บังเกิดขึ้นกับตนเอง นอกเหนือไปจากการกระทำเพื่อหาปัจจัย ๔ ในการดำรงชีวิตแบบพอเพียง ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน แม้แต่ตนเอง

การเพียรสร้างกุศล หรือการอยู่อย่างไม่ประมาท นั้น ประกอบไปด้วย
- การให้ทาน การอนุเคราะห์ผู้ที่สมควรได้รับ
- การรักษาศีล อย่างน้อย ศีล ๕
- การภาวนา

การให้ทาน ทำบุญ ช่วยเหลือ มีอานิสสง น้อยกว่าการรักษาศีล
การรักษาศีล มีอานิสสง น้อยกว่า การภาวนา

บุคคลที่มีจิตใจเป็นผู้ให้ อนุเคราะห์อย่างสม่ำเสมอนั้น จิตใจจะละความตระหนี่ ความริษยา ลงได้ เพราะความตระหนี่ ความริษยา เป็นต้นตออย่างหนึ่งของตัณหา-ความทะยานอยาก ในจิตใจของมนุษย์์

บุคคลใดรักษาศีล อย่างน้อยมีศีล ๕ หรือ กุศลกรรม ๑๐ อันประกอบด้วย กายกรรม ๓ วจีกรรม ๔ มโนกรรม ๓ มีศีลเกิดขึ้นในจิต เขาจะไม่กระทำให้ใครเดือดร้อน ไม่ว่าสัตว์ บุคคล ตนเอง  จะเป็นคนมีอริยทรัพย์เกิดขึ้นในจิต

บุคคลใดภาวนา คือการเจริญสติ มีีจิตเป็นปัจจุบัน มีสติ-สัมปชัญญะ จะมีแต่สุข ไม่คิด ไม่หลงอยู่ในความคิด จะเห็นความคิด เห็นอารมณ์ต่าง ๆ ที่มากระทบกับจิต สามารถถอดถอนตนเองจาก "ผู้เป็น" มาเป็น "ผู้เห็น" ในธรรมทั้งหลาย ทั้งกุศลธรรม และอกุศลธรรม จนสามารถละทุกสิ่งได้ ละตัวกู-ของกู ไม่ยึดมั่นในอุปาทาน จนสามารถเดินทางไปสู่พระนิพพาน ได้

จุดสูงสุดของมนุษย์ที่เกิดมานั้นคือ ต้องการถึงซึ่ง "พระนิพพาน"

ดร.กุศล เพียรสร้างกุศลเฉพาะ การทำบุญให้ทานเป็นส่วนใหญ่ มันยังไม่เพียงพอ
ดร.กุศล  ลองย้อนมองการกระทำของตนเอง จะสามารถค้นพบความจริงอันนี้ได้  ถ้ามีจิตที่เป็นกลางพอ ไม่หลง ไหลไปกับการคิดเข้าข้างตนเอง

เช้าวันนี้ ของมอบสิ่งดี ๆ ให้ทุกท่านพิจารณา "เราเกิดมาเป็นมนุษย์เพื่ออะไร?" ตายไปเอาอะไรไปไม่ได้เลยในทรัพย์สิ่งของที่จับต้องได้ เอาไปได้แต่อริยทรัพย์ เท่านั้น

สวัสดีครับ






ดร.กุศล  ชอบใหว้พระ ทำบุญ อนุเคราะห์ กราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ เมื่อวานก็ไปวัดสระเกษ
แต่มันสู้การรักษาศีล ภาวนา ไม่ได้  

แต่ ดร.กุศล ก็ยังดีกว่า ดร.สุริยา มากยังมี ทาน อยู่ในจิต

ลืมไป ดร.สุริยา  ก็มีทาน (ไม่รู้ยังมีกิ๊ก  อยู่หรือเปล่า)
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #13248 เมื่อ: 03 พฤศจิกายน 2557, 10:31:04 »


หนังสือ "ใหม่แกะกล่อง" แต่งโดยคุณ ธีรยุทร  เวชเจริญยิ่ง

พี่สิงห์  อ่านแล้วเขียนได้ดี  

พี่สิงห์  สามารถรับรองในเนื้อหานั้นได้ว่าจริง  ทุกท่านสามารถค้นพบด้วยตนเองได้

พี่สิงห์  ได้สั่งให้ทางโรงพิมพ์  พิมพ์เพิ่มให้ 500 เล่ม เพื่อเอาไปแจกผู้ปฏิบัติธรรม  เพื่อนฝูง อุบาสก  อุบาสิกา  ภิกษุ  สามเณร แม่ชี และผู้สนใจการปฏิบัติธรรม  

ใครเจอหน้าพี่สิงห์  ขอได้เลย จะเอาทิ้งไว้ท้ายรถเสมอ  คาดว่า งานคืนสู่เหย้า พี่สิงห์  คงได้รับหนังสือแล้ว

พี่สิงห์  จะเขียนใหม่ในทำนองเดียวกันกับในหัวข้อในหนังสือ ตามความเห็นของพี่สิงห์  ซึ่งเจ้าของหนังสืออนุญาติ  เพราะหนังสือเล่มนี้ไม่มีไว้ขาย  มีไว้แจกเป็นธรรมทานเท่านั้น และแก้ไขใหม่ได้

คอยติดตามอ่านก็แล้วกัน

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #13249 เมื่อ: 04 พฤศจิกายน 2557, 09:28:47 »

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง และแขกผู้มาเยือน ที่รักทุกท่าน

วันนี้ วันอังคารที่ ๔ พฤศจิกายน

พี่สิงห์ ไปทำงานที่ โรงงานบ้านแพ้ว เพิ่มพิเศษ เพราะไม่รู้จะไปไหน อยู่บ้านสถานที่ไม่สัปปายะ  ในการปฏิบัติธรรมมากมายนัก จึงทำงานดีกว่า  เพราะถ้าไม่ทำจิตมันฟุ้งได้  ถ้าขาดสติ-ความรู้สึกตัว

อย่าลืมวันพฤหัสบดีที่ ๘ พฤศจิกายน  เป็นวันลอยกระทง  ตามประเพณีไทยอันดีงาม และที่สำคัญ เป็นวันครบรอบปีที่พระสารีบุตร อัครสาวกปรินิพพาน มีธรรมที่น่าสนใจมาก  พี่สิงห์  จะพยายามนำธรรมนั้นมาระลึกถึง ให้

วันนี้อากาศดี  คือไม่มีแดด  ฝนตกแต่ไม่มาก มันกวนใจให้ทำงานไม่ได้

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
  หน้า: 1 ... 528 529 [530] 531 532 ... 681   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

สมาคมนิสิตเก่าหอพักนิสิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มวลสมาชิกสมาคม คณาจารย์ และนิสิตเก่าทุกคน ขอน้อมเกล้าถวายความอาลัย  พระผู้เสด็จสู่สวรรคาลัย ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ <;))))><