04 ธันวาคม 2567, 00:32:10
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 526 527 [528] 529 530 ... 681   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: คุย กับ คุณมานพ กลับดี อดีตประธานชมรม ๓ สมัย  (อ่าน 3595714 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
pusadee sitthiphong
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: พาณิชยศาสตร์และการบัญชี
กระทู้: 4,689

« ตอบ #13175 เมื่อ: 22 ตุลาคม 2557, 23:31:20 »

ตอนเรียนใกล้จะจบก็หัดอยู่คนเดียวเพราะต่อไปจะไม่มีเพื่อนอยู่ใกล้ๆแล้ว ตอนนี้ก็ต้องเริ่มหัดอยู่คนเดียวอีกแล้ว เพราะวันจากกันคงใกล้เข้ามาทุกที ไม่รู้ว่าใครจะไปก่อนใคร ไม่เราจากเขาก็เขาจากเรา หวังว่าคงจะพร้อมเมื่อเวลามาถึง วันนี้คุยเรื่องเศร้านะติ๋มนะ แต่คุยเรื่องนี้ห้องนี้ คำเมืองเขาว่า เปิงขนาด ค่ะ พี่สิงห์คงไม่ว่านะคะ มันเปิงขนาดแต๊ๆนาเจ้า
      บันทึกการเข้า

pom shi 2516
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #13176 เมื่อ: 23 ตุลาคม 2557, 11:45:26 »

สวัสดีค่ะ คุณน้องป้อม และคุณน้องติ๋ม ที่รัก

ชีวิตเราผ่านมามากแล้ว ครอบครัวปักหลักได้แล้ว เวลาเหลืออีกไม่มาก อายุมากกว่านี้ร่างกายมันก็ไม่ไหว ต่อการเจริญสติ ภาวนา

ถึงเวลาที่เราจะต้องอยู่ด้วยธรรมแล้ว

การปล่อยวางนั้น ไม่ได้หมายความอย่างที่เธอหรือใครเข้าใจ ?



ขอเวลานอก ไปรับประทานอาหารเพล เพราะมันจะเลยเที่ยง ตามพุทธบัญญัติ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #13177 เมื่อ: 23 ตุลาคม 2557, 12:31:12 »



สวัสดีค่ะ คุณน้องป้อม ที่รัก

การปล่อยวางในความหมายทางธรรม ของพี่สิงห์ นั้น หมายความว่า

เธอยังสามารถทำงาน มีตำแหน่งใหญ่โต อยู่ได้
เธอยังต้องรับผิดชอบครอบครัว-ญาติสนิท อยู่ได้
เธอยังไปงานสังคมต่าง ๆ ได้

แต่เธอจงปล่อยวาง เมื่อมีอารมณ์ที่มากระทบจิตของเธอ ที่มันจะทำให้เธอไม่สบายใจ ทุกข์ใจ  สุขใจ อย่าไปหลง ไปไหลตามอารมณ์ ที่มากระทบนั้น  ถ้าเธอมีสติ-รู้สึกตัว เป็นผู้ดู เธอจะปล่อยวางอารมณ์ที่มากระทบนั้นลงได้

พี่สิงห์  ให้เธอปล่อยวางอารมณ์ที่มากระทบ(กิเลส-ตัณหา) มาเกาะ ที่เกิดกับจิตเธอต่างหาก  ไม่ได้ให้ไปปล่อยวาง ความรับผิดชอบ ที่ยังต้องกระทำอยู่ และมันจะเป็นผลดีกับสิ่งที่เรารับผิดชอบอยู่อีกต่างหาก

แต่มันทำอยากนะ ถ้าไม่ได้เจริญสติปัฏฐาน ๔ อย่างหนัก

การระลึกถึงมรณานุสสติ อยู่เป็นประจำเป็นสิ่งที่ดี เป็นการสอนจิตตนเองให้ปล่อยวางลงได้เมื่อความตาย มาถึง เป็นการอยู่อย่างไม่ประมาท ประการหนึ่ง

อย่าลืม อายุเฉลี่ย สามีจะตายจากไปก่อนภรรยา เป็นส่วนมาก

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #13178 เมื่อ: 23 ตุลาคม 2557, 13:17:25 »



วันนี้

เป็นวันที่ ๒๓ ตุลาคม เป็นวันปิยะมหาราช

เลยระลึกถึงเพื่อน ๆ สมัยจบใหม่ ๆ

๕ ท่านนี้้ เรียนเก่งมาก ๕ ปีจบ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #13179 เมื่อ: 23 ตุลาคม 2557, 13:18:32 »



สองท่านนี้  ไม่ได้พบนานแล้ว
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #13180 เมื่อ: 23 ตุลาคม 2557, 13:19:50 »



น้อง ๆ หอหญิงกลุ่มนี้  ไม่ได้พบนานมาก ๆ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #13181 เมื่อ: 23 ตุลาคม 2557, 13:22:04 »



คุณน้องฉวีวรรณ  ก็ไม่ได้พบนานมาก

ครั้งสุดท้าย คือ งานคืนสู่เหย้า แต่ก็นานมากแล้ว

คุณมานพ กลับดี
ไม่มีวาสนา และไม่มีคุณสมบัติดีพอที่จะมีครอบครัวเหมือนกับท่านอื่น ๆ ได้
ขออยู่กับธรรมของพระพุทธองค์ เป็นที่พึ่งแห่งตนครับ

      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #13182 เมื่อ: 23 ตุลาคม 2557, 13:23:48 »



คุณน้องหวาน  คุณน้อง ดร.แอนด์  

ก็ไม่ได้พบนานแล้ว
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #13183 เมื่อ: 23 ตุลาคม 2557, 13:25:14 »



คุณน้องตู่  นี่พบบ่อยหน่อย
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #13184 เมื่อ: 23 ตุลาคม 2557, 13:27:03 »



หวังว่า งานคืนสู่เหย้า ปีนี้ จะได้พบทุกท่านที่ยังระลึกถึงกันอยู่
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #13185 เมื่อ: 23 ตุลาคม 2557, 13:29:13 »



วันนี้ ดร.กุศล  ส่วมาทาง line ว่า เป็นวัน ปิยะมหาราช
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #13186 เมื่อ: 23 ตุลาคม 2557, 13:34:40 »



หวังว่า งานคือนสู่เหย้า ปีนี้

ดร.สุริยา  คงไปเชิญพรรคพวกเหล่านี้มางานด้วย
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #13187 เมื่อ: 23 ตุลาคม 2557, 15:17:06 »



วันปิยะมหาราช ๒๓ ตุลาคม



ปฏิจจสมุปบาท

เพราะมี ชาติ(ความเกิด) เป็นเหตุ-ปัจจัย  จึงมี ชราและมรณา เกิดขึ้น
เพราะมี ภพ เป็นเหตุ-ปัจจัย จึงมี ชาติ เกิดขึ้น
เพราะมี อุปาทาน เป็นเหตุ-ปัจจัย จึงมี ภพ เกิดขึ้น
เพราะมี ตัณหา เป็นเหตุ-ปัจจัย จึงมี อุปาทาน เกิดขึ้น
เพราะมี เวทนา เป็นเหตุ-ปัจจัย จึงมี ตัณหา เกิดขึ้น
เพราะมี ผัสสะ เป็นเหตุ-ปัจจัย จึงมี เวทนา เกิดขึ้น
เพราะมี สฬายตนะ เป็นเหตุ-ปัจจัย จึงมี ผัสสะ เกิดขึ้น
เพราะมี นาม-รูป เป็นเหตุ-ปัจจัย จึงมี สฬายตนะ เกิดขึ้น
เพราะมี วิญญาณ เป็นเหตุ-ปัจจัย จึงมี นาม-รูป เกิดขึ้น
เพราะมี สังขาร เป็นเหตุ-ปัจจัย จึงมี วิญญาณ เกิดขึ้น
เพราะมี อวิชชา เป็นเหตุ-ปัจจัย จึงมี สังขาร เกิดขึ้น

ถ้า อวิชชาดับ  สังขารก็ดับ
ถ้า สังขารดับ  วิญญาณก็ดับ
ถ้า วิญญาณดับ  นาม-รูปก็ดับ
ถ้า นาม-รูปดับ สฬายตนะก็ดับ
ถ้า สฬายตนะดับ  ผัสสะก็ดับ
ถ้า ผัสสะดับ  เวทนาก็ดับ
ถ้า เวทนาดับ  ตัณหาก็ดับ
ถ้า ตัณหาดับ  อุปาทานก็ดับ
ถ้า อุปาทานดับ  ภพก็ดับ
ถ้า ภพดับ  ชาติก็ดับ
ถ้า ชาติดับ ชรามรณะก็ดับ กองทุกข์และการเกิดในวัฏฏะสงสารก็ไม่เกิดขึ้น

ปฏิจจสมุปบาทนี้ เป็นอิทัปปัจจยตา เป็นตถตา


เพื่อที่จะหลุดพ้นจากกองทุกข์ และวัฏฏะสงสาร ท่านต้องเปลี่ยน "อวิชชา" ให้เป็น  "วิชชา" ด้วยการมีศรัทธาในพุทธศาสนา เชื่อในการตรัสรู้ของพระพุทธองค์ ปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ และเชื่อว่าพระอริยสงฆ์(พระโสดาบัน พระสกนาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์) มีจริง ปฏิบัติตามมรรคมีองค์ ๘ เจริญสติปัฏฐาน ๔ ทำมรรค ๘ ให้บังเกิดขึ้นสมบูรณ์ จนสามารถละความเป็นเรา เป็นตัวตนของเรา เราเป็นนั่น นั่นเป็นของเรา ลงได้ กองทุกข์ วัฏฏะสงสารก็จะหมดไป ไม่เกิดอีกแล้ว

ขอให้ทุกท่านได้ดวงตาเห็นธรรม ในปฏิจจสมุปบาท นี้ทุกท่านเทอญ

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #13188 เมื่อ: 23 ตุลาคม 2557, 18:18:04 »


วันที่ ๑-๑๔ ธันวาคม ๒๕๕๗

พี่สิงห์  ไปร่วมงานสาธยายพระไตรปิฎกนานาชาติ ที่พุทธคยา  ประเทศอินเดีย ครั้งที่ ๑๐

เพื่อไปให้ห่างไกล  สภาพแวดล้อม และได้มีโอกาสปฏิบัติธรรม  มากขึ้น  เป็นการให้รางวัลตนเอง

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #13189 เมื่อ: 23 ตุลาคม 2557, 18:43:00 »

มาชมการเผาศพ แบบชาวบ้านนอก ที่วัดป่าสุคะโต กันครับ เพื่อพิจารณา "มรณานุสสติ" ฝึกจิตตนเอง










หลวงตากรม เป็นประธานฝ่ายสงฆ์



เวลาเผาศพ แบบนี้ เขาต้องเอาศพนอนตะแคง หรือ คว่ำ เพื่อไม่ให้ขา-ตัว ยกขึ้นมา


เพราะการตาย เป็นเหตุ ปัจจัย ทำให้ผัสสะดับ  เป็นการดับทุกข์ใขชาติปัจจุบัน

แต่ก็ยังต้องไปเกิดในวัฏฏะสงสาร อยู่ดีเพราะมันมีเชื้อของความยึดมั่นถือมั่น อยู่ในจิต และกรรมของตนเองที่ได้กระทำเอาไว้ยามมีชีวิตอยู่

อย่าลืม มนุษย์นั้น เกิดมาเพื่อกระทำกุศลให้มาก เพื่อถึงซึ่งพระนิพพาน

ไม่ใช่เกิดมาเพื่อชดใช้กรรมเก่าอย่างเดียว

แต่เพราะกิเลส-ตัณหา เลยทำอกุศลเพิ่มขึ้นไปอีก
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #13190 เมื่อ: 23 ตุลาคม 2557, 19:01:21 »

สวัสดีครับ พี่สิงห์


ค่อนข้างจะเงียบเหงา เพราะส่วนใหญ่หนีไปอยู่ในไลน์กันหมด
ก่อนหน้านี้ก็ไปอยู่ใน FB พอ Line สะดวกกว่า ก็หนีไปไลน์กันหมด

      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #13191 เมื่อ: 23 ตุลาคม 2557, 19:02:10 »

ปชส. งานคืนสู่เหย้า ไม่เข้มข้น
ครั้งก่อนที่ไปร่วมงานมีประมาณ 800 กว่าคน
ปีนี้จะได้เท่าจำนวนนั้นหรือเปล่า
ยังไม่มั่นใจครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #13192 เมื่อ: 23 ตุลาคม 2557, 19:06:28 »

สวัสดีครับ คุณเหยง

ขอบคุณมาก

มันเป็นไปตามเหตุ-ปัจจัย

พี่สิงห์  ช่วยอะไรไม่ได้มาก  ก็พยายามเอาภาพเก่า ๆ มาลงเป็นการโหมโรง  ไม่ให้เงียบเหงา

ใครเขาระลึกถึง เขาก็เข้ามาเองแหละ  

นี่ละจิตมนุษย์ละ  คิดเข้าข้างตนเอง เอาความสะดวกสบายของตนเองเป็นที่ตั้ง

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #13193 เมื่อ: 23 ตุลาคม 2557, 19:19:32 »

พี่สิงห์ครับ

ปีนี้ ช่วงนี้ เศรษฐกิจไม่ดีเอามากๆ
ผู้คนเริ่มใช้สอยน้อยลง
รุ่นใหม่ๆ (จบย้อนหลังไม่ไกเิน 10 ปี) เพิ่งทำงาน สร้างครอบครัว ก็จะงดใช้จ่าย
ประดังกันครับ
กลัวคนจะไปร่วมงานน้อย
      บันทึกการเข้า
pusadee sitthiphong
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: พาณิชยศาสตร์และการบัญชี
กระทู้: 4,689

« ตอบ #13194 เมื่อ: 23 ตุลาคม 2557, 20:25:59 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 23 ตุลาคม 2557, 12:31:12


สวัสดีค่ะ คุณน้องป้อม ที่รัก

การปล่อยวางในความหมายทางธรรม ของพี่สิงห์ นั้น หมายความว่า

เธอยังสามารถทำงาน มีตำแหน่งใหญ่โต อยู่ได้
เธอยังต้องรับผิดชอบครอบครัว-ญาติสนิท อยู่ได้
เธอยังไปงานสังคมต่าง ๆ ได้

แต่เธอจงปล่อยวาง เมื่อมีอารมณ์ที่มากระทบจิตของเธอ ที่มันจะทำให้เธอไม่สบายใจ ทุกข์ใจ  สุขใจ อย่าไปหลง ไปไหลตามอารมณ์ ที่มากระทบนั้น  ถ้าเธอมีสติ-รู้สึกตัว เป็นผู้ดู เธอจะปล่อยวางอารมณ์ที่มากระทบนั้นลงได้

พี่สิงห์  ให้เธอปล่อยวางอารมณ์ที่มากระทบ(กิเลส-ตัณหา) มาเกาะ ที่เกิดกับจิตเธอต่างหาก  ไม่ได้ให้ไปปล่อยวาง ความรับผิดชอบ ที่ยังต้องกระทำอยู่ และมันจะเป็นผลดีกับสิ่งที่เรารับผิดชอบอยู่อีกต่างหาก

แต่มันทำอยากนะ ถ้าไม่ได้เจริญสติปัฏฐาน ๔ อย่างหนัก

การระลึกถึงมรณานุสสติ อยู่เป็นประจำเป็นสิ่งที่ดี เป็นการสอนจิตตนเองให้ปล่อยวางลงได้เมื่อความตาย มาถึง เป็นการอยู่อย่างไม่ประมาท ประการหนึ่ง

อย่าลืม อายุเฉลี่ย สามีจะตายจากไปก่อนภรรยา เป็นส่วนมาก

สวัสดี

ขอบพระคุณค่ะ จะพยายามทำใจเย็นๆมีสติเข้าไว้ค่ะ
      บันทึกการเข้า

pom shi 2516
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #13195 เมื่อ: 24 ตุลาคม 2557, 05:46:44 »



หลายท่านคงสงสัย ขออธิบายเพิ่มเติม

ปฏิจจสมุปบาท คือวงจรการเกิดทุุกข์, วงจรการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะสงสาร

อิทัปปัจจยตา คือ เมื่อสิ่งนี้มี  สิ่งนี้จึงมี  เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้จึงไม่มี หรือเมื่อสิ่งนี้เกิด  สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น เมื่อสิ่งนี้ดับ  สิ่งนี้จึงดับตาม ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นนั้น มันมีเหตุ-ปัจจัยของมันตามธรรมชาติที่เกิดขึ้นตามมา

ตถตา คือธรรมชาติที่จะต้องมี ต้องเกิด ต้องเป็นอย่างนั้น ไม่เปลี่ยนแปลง  ไม่ว่าพระพุทธองค์จะบังเกิดขึ้นหรือไม่ก็ตามมันต้องเป็นอย่างนั้น  เพียงแต่พระพุทธองค์ท่านตรัสรู้เป็นคนแรก เมื่อรู้แล้วจึงเอามาบอกเอามาแสดง ให้ทราบ

พระพุทธองค์ ท่านสอนให้ภิกษุเห็นธรรม เห็นปฏิจจสมุปบาท ตามนี้ จะถึงซึ่งพระนิิพพานได้ หรือมีสุขในชาติปัจจุบัน เพราะรู้เหตุแห่งทุกข์ รู้วิธีดับทุกข์ และรู้วิธีปฏิบัติให้สามารถพ้นทุกข์ได้ ซึ่งก็คือ อริยสัจ ๔ นั่นเอง อันประกอบด้วย ทุกข์  สมุทัย  นิโรธ  มรรค ที่เราเข้าใจกัน

เป็นผลมาจากการตรัสรู้ของพระพุทธองค์ใน ปฏิจจสมุปบาท -เห็นการเกิดดับของกองทุกข์ เห็นการเกิด-ตายของสัตว์โลกในวัฏฏะสงสาร

ในปฏิจจสมุปบาทนี้ ไม่มีสัตว์  บุคตล  ตัวตน เรา เขา มีเพียงรูป-นาม และสภาวะธรรม เท่านั้น

เมื่อท่านเห็นธรรมในปฏิจจสมุปบาท จากการตั้งจิตอยู่ในมรรค ๘ อันมีสติปัฏฐาน ๔ เป็นสมาธิ พิจารณาในปฏิจจสมุปบาทนี้ ท่านจะเห็นจริงตามธรรมนี้ ท่านจะสิ้น สักกายทิฐิ สีลัพพตปรามาส และวิจิกิจฉา ความเป็นพระจะบังเกิดขึ้นในจิตของท่าน ท่านจะทราบด้วยตนเอง เพราะท่านจะแยกรูป-นาม เห็นความเป็นไตรลักษณ์ แยกบัญญัติ-ปรมัตถ์ รู้พฤติกรรมในจิต ได้ดวงตาเห็นธรรม คือเข้าใจในธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ มองทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นอิทัปปัจจยตา ตถตา หรือเป็นตามอริยสัจ ๔ เชื่อเริ่องกรรม มีอริยทรัพย์เกิดขึ้นในจิต อันประกอบด้วย ศรัทธา ศีล พหุสัจจ  จาคะ หิริ  โอตัปปะ และปัญญา(อยู่ด้วยการมีสติ-สัมปชัญญะ)

อย่าลืมมันเป็นปัจจัตตัง -ผู้รู้ รู้ได้เฉพาะตน

มันเป็นจริง เกิดขึ้นจริงท่านสามารถทำให้เกิดขึ้นได้ในจิตของท่าน ด้วยตัวท่านเอง ไม่ใช่จากการอ่าน ฟัง คิด วิเคราะห์ แต่เป็นผลจากกานตั้งสติปัฏฐาน ๔ เห็นความจริงอันนี้ในปฏิจจสมุปบาท ด้วยจิตของท่านเอง

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #13196 เมื่อ: 24 ตุลาคม 2557, 06:26:54 »



"ผัสสะ" เป็นประตูเปิดการรับรู้ของรูป-นาม !

ดร.สุริยา  อาจจะคิดว่า "ถ้ากูตาย ผัสสะหยุดทำงาน ก็หมดทุกข์ ?"

จะดับ "ผัสสะ" ได้อย่างไร? ถ้าเรายังไม่ตาย จะได้ไม่ทุกข์ !

เช้านี้ มีหลายเรื่องที่ต้องกระทำคือ เจริญสติ  ออกกำลังกาย หุงข้าว เดินไปซื้อกับข้าว(กำลังนั่งรอแม่ค้า)หลังการบินไทย  ใส่บาตรพระที่หน้าบ้าน อาบน้ำ กินข้าว ออกเดินทางไปสนามบินดอนเมืองในเวลา 07:00 น. ไม่มีเวลาเขียน

เอาไว้ถึงสนามบินดอนเมือง มีเวลา จะเขียนให้ได้รับทราบกันครับ เพราะต้องเดินทางไปทำงานที่นครศรีธรรมราช เช้าวันนี้

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #13197 เมื่อ: 24 ตุลาคม 2557, 08:47:07 »



"ผัสสะ" เป็นประตูเปิดรับกองทุกข์

ดร.สุริยา  อาจจะคิดว่า ในเมื่อกูตาย ผัสสะไม่มี ทุกข์ย่อมไม่มี !

ถูกต้องแล้วครับ ? เพราะคนตายนั้นมีเพียง ธาตุดิน ธาตุน้ำและธาตุลม ไม่มีธาตุไฟ(ไออุ่น)และวิญญาณธาตุ หรือองค์ประกอบของรูป-นาม ไม่ครบ มันก็ไม่มีทุกข์ในชาติปัจจุบัน หมดลงแล้วเพราะความตาย ทุกข์ในชาตินี้สิ้นสุดลง

แต่ก่อนตาย  มนุษย์ได้ทำกรรมเอาไว้ ตั้งความปราถนาไปเกิด ยังมีอุปาทานเป็นปัจจัย จึงต้องมีภพ และชาติ ขึ้นมาอีก จึงต้องไปเกิดและเกิดกองทุกข์ขึ้นมาอีก

ดังนั้น ถึงจะตายก็หนีความทุกข์ไปไม่พ้นอยู่ดี

เพราะมี สฬายตนะ(อายตนะภายใน ๖ อายตนะภายนอก ๖) เป็นปัจจัย ผลจึงมี ผัสสะ

เพราะมี ผัสสะ เป็นปัจจัย ผลจึงมี เวทนา เพราะมีเวทนาเกิดขึ้น ทั้งสุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ ก็ก่อ กามราคะนุสัย ปฏิฆะนุสัย วิจิกิจฉานุสัย และเป็นสังโยชน์ ๑๐ ตามมา ผูกมัดสัตว์โลกให้ต้องเวียนว่ายตาย-เกิดอยู่ในวัฏฏะสงสารจาก

เพราะมี เวทนาเป็นปัจจัย จึงเกิด ตัณหา
เพราะมี ตัณหาเป็นปัจจัย จึงเกิดอุปาทาน
เพราะมี อุปาทานเป็นปัจจัย จึงเกิดภพ
เพราะมี ภพเป็นปัจจัย จึงเกิดชาติ
เพราะมี ชาติเป็นปัจจัย จึงเกิดมีชรา มรณะ เกิดกองทุกข์ขึ้นมาอีกแล้ว

เพราะธรรมสามอย่างประกอบกันคือ วิญญาณ สฬายตนะ และผัสสะ สัตว์โลกจึงประสพกับความทุกข์ สุข ไม่ทุกไม่สุข เวียนว่ายตาย-เกิด อยู่ในวัฏฏะสงสาร มิรู้จบ

จะเห็นว่า "ผัสสะ" เป็นประตูเปิดรับกองทุกข์ อย่างแท้จริง

ถ้าจะดับผัสสะ ที่เป็นประตูรับกองทุกข์ ก็ต้องดับสฬายตนะ จะดับสฬายตนะ ก็ต้องดับที่นาม-รูป จะดับนาม-รูป ก็ต้องดับที่วิญญาณ คือการตายนั่นเอง แต่เป็นเพียงการหนีความทุกข์ในโลกมนุษย์เท่านั้น แต่ต้องไปเกิดไปรับทุกข์ในภพใหม่อีก ก็หนีไม่พ้นอีก

ทำอย่างไร? ที่เมื่อมี "ผัสสะ" เรายังมีชีวิตอยู่ แต่ไม่ทุกข์ หรือทุกข์น้อยลง !

ทุกท่านจำคำสอนของพระพุทธองค์ ที่สอนพระพาหิยะ ได้หรือไม่

พระพุทธองค์ ท่านให้พระพาหิยะ สำรวมอินทรีย์ให้เป็นปกติ(มีสติเป็นสมาธิ กำจัดนิวรณ์ ๕ ลงได้) เมื่อเห็นสักแต่ว่าเห็น (ไม่คิดต่อ) เมื่อได้ยินสักแต่ว่าได้ยิน(ไม่คิดต่อ) เมื่อได้กลิ่นสักแต่ว่าได้กลิ่น(ไม่คิด) เมื่อได้ลิ้มรสสักแต่ว่าได้ลิ้มรส(ไม่คิดต่อ) เมื่อได้สัมผัสทางกายก็สักแต่ว่าได้สัมผัสทางกาย(ไม่คิดต่อ) และเมื่อคิดก็รู้ว่าคิด

การไม่คิดต่อ คือ มีสติ-รู้สึกตัว ไม่หลงไม่ไหลไปกับความคิด-อารมณ์ หรือสภาวะธรรมที่มากระทบกับจิต นั่นเอง สามารถวางอุเบกขาได้

เท่านี้เองครับ ท่านก็จะเห็นธรรม เห็นความจริงในธรรม ความทุกข์จะน้อยลง หรือสิ้นไปได้

เครื่องบินเรียกขึ้นเครื่องแล้วครับ

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #13198 เมื่อ: 24 ตุลาคม 2557, 11:33:20 »

พี่สิงห์  ถึงนครศรีธรรมราช เรียบร้อยแล้ว ที่สนามบินแสงแดดแรงมาก ผู้โดยสารต้องกางร่มเดินเข้าอาคารผู้โดยสารขาเข้า




ดร.สุริยา คิดฆ่าตัวตายเพื่อหนีทุกข์ !





ปฏิจจสมุปาบาท - วงจรเกิดทุกข์ - วงจรการเวียนว่ายตาย เกิดในวัฏฏะสงสาร

ทุกวันนี้ ดร.สุริยา  ทุกข์หนัก
เพราะไปรับงานออกแบบเขามามาก  ทำไม่ทัน  เครียดจัด  นอนไม่หลับ  เกิดวิตกกังวล  กลัวตึกพัง  
น้อง ๆ ชาวซีมะโด่งใช้งานหนักทั้งในสมาคม และ www.cmadong.com
มีโรคความดัน โรคเครียด......มารุมเร้า
กลัวตัวเองเมื่อแก่ไม่มีใครหุงข้าวให้กิน  
ไปนอนเจ็บป่วยอยู่โรงพยาบาล กลัวว่าไม่มีใครดูแล  
และกลัวว่าเมื่อตายไปแล้วจะไม่มีใครไปเผา สารพัดกลัว วิตกกังวลไปหมด

เลยคิดว่า  ถ้ากูฆ่าตัวตาย  ตอนนี้เป็นการจบชีวิตตนเอง หนีทุกข์ได้  ชาติหน้าไม่ต้องกังวล เพราะไม่รู้ว่ามีหรือไม่  สู้หนีทุกข์ ในชาตินี้ดีกว่า เลยคิดฆ่าตัวตายเพื่อหนีทุกข์ เพราะ

เมื่อวิญญาณดับ  นาม-รูปก็ดับ
เมื่อนาม-รูปดับ  สฬายตนะก็ดับ
เมื่อสฬายตนะดับ ผัสสะก็ดับ
เมื่อผัสสะดับ เวทนาก็ดับ  ดร.สุริยา  คิดว่าเราจะหมดทุกข์ตรงนี้ เลยคิดฆ่าตัวตายเพื่อหนีทุกข์


ดร.สุริยา  คิดถูก เพราะคนตาย วิญญาณ-ความรู้แจ้งมันไม่มี เมื่อวิญาณ-ความรู้แจ้งมันไม่มี มันก็ไม่ทุกข์ในชาตินี้

แต่เพราะก่อนตาย ดร.สุริยา ยังมี "อวิชชา" ยังไม่มี "วิชชา" เกิดขึ้น ไม่รู้แจ้งใน ปฏิจจสมุปาบาท ไม่รู้แจ้งในอริยสัจ ๔ ไม่รู้แจ้งในรูป-นาม  ไม่รู้แจ้งในไตรลักษณ์ ไม่รู้แจ้งในสติปัฏฐาน ๔ ยังมีวิจิกิจฉาในพระพุทธ  พระธรรม พระอริยสงฆ์ โลกหน้ามีจริงหรือไม่  คนตายแล้วไปเกิดไหน

พูดง่าย ๆ จิตของ ดร.สุริยา ก่อนตายยังประกอบไปด้วย สัญโญชน์ ๑๐ ที่ผูกมันจิตให้ยังหลงเป็น ตัวกู ของกู  กูเป็นนั่น นั่นเป็นของกูอยู่ แจกแจงได้คือ

เพราะ ดร.สุริยา ยังมีอวิชชาเป็นปัจจัย     ผลจึงมี สังขาร
เพราะ ดร.สุริยา ยังมีสังขารเป็นปัจจัย      ผลจึงมี วิญญาณ
เพราะ ดร.สุริยา ยังมีวิญญาณเป็นปัจจัย   ผลจึงมี นาม-รูป
เพราะ ดร.สุริยา ยังมีนาม-รูปเป็นปัจจัย     ผลจึงมีสฬายตนะ
เพราะ ดร.สุริยา ยังมีสฬายตนะเป็นปัจจัย  ผลจึงมีผัสสะ
เพราะ ดร.สุริยา ยังมีผัสสะเป็นปัจจัย        ผลจึงมีเวทนา
เพราะ ดร.สุริยา ยังมีเวทนาเป็นปัจจัย       ผลจึงมีตัณหา
เพราะ ดร.สุริยา ยังมีตัณหาเป็นปัจจัย       ผลจึงมีอุปาทาน
เพราะ ดร.สุริยา ยังมีอุปาทานเป็นปัจจัย    ผลจึงมีภพ
เพราะ ดร.สุริยา ยังมีภพเป็นปัจจัย            ผลจึงมีชาติ
เพราะ ดร.สุริยา ยังมีชาติเป็นปัจจัย           ผลจึงมีชราและมรณะ เกิดกองทุกข์ขึ้นมาใหม่อีกแล้ว เพราะมีการเกิด

ตกลง ดร.สุริยา  ก็หนีทุกข์ไปไม่พ้น เกิด-ตาย เกิด-ตาย  อยู่ในวัฏฏะสงสาร ร่ำไป

ชีวิตนี้สำหรับ ดร.สุริยา  ทำไฉนจะไม่ต้องเกิดอีก เพราะ
ถ้า ชาติดับ  ชรา และมรณะก็ดับ กองทุกข์ไม่เกิดขึ้นอีก
ถ้า ภพดับ   ชาติก็ดับ
ถ้า อุปาทานดับ  ภพก็ดับ
ถ้า ตัณหาดับ  อุปาทานก็ดับ
ถ้า เวทนาดับ  ตัณหาก็ดับ
ถ้า ผัสสะดับ  เวทนาก็ดับ
ถ้า สฬายตนะดับ ผัสสะก็ดับ
ถ้า นาม-รูปดับ สฬายตนะก็ดับ
ถ้า วิญญาณดับ นาม-รูปก็ดับ
ถ้า สังขารดับ วิญญาณก็ดับ
ถ้า อวิชชาดับ สังขารก็ดับ

ทำไฉนหนอ ดร.สุริยา จะดับ "อวิชชา" ให้เป็น "วิชชา" ได้

จะเห็นว่า การคิดฆ่าตัวตายเพื่อหนีทุกข์ ของ ดร.สุริยา  ผลสุดท้ายก็หนีทุกข์ไม่พ้นอยู่ดี  สู้เปลี่ยนวิธีคิด  ปลดทุกข์ลงจากบ่าดีกว่า ง่ายกว่าการฆ่าตัวตายแยะมาก  เช่น เมื่อไปแบกทุกข์อยู่ มันมีทุกข์จากอะไร ก็โยนทุกข์นั้นทิ้งเสีย มันก็เบาตัวแล้ว แค่นี้เอง ทำไมโง่นัก ดร.สุริยา 5555!

หวังว่าทุกท่านคงเข้าใจใน ปฏิจจสมุปาบาท
พี่สิงห์  ยกมาอธิบายกันให้เข้าใจพอสังเขป  มันยังอธิบายได้อีกมาก เพราะผลของปฏิจจสมุปาบาท จึงทำให้เกิด คำสอนของพระพุทธ์องค์ถึง ๘๔๐๐๐ พระธัมขันธ์ นั่นคือความพิสดารของ ปฏิจจสมุปาบาท

พี่สิงห์  ก็เขียนออกมาจากจิต เท่านั้นเอง

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #13199 เมื่อ: 24 ตุลาคม 2557, 14:36:16 »

เรื่องเล่าสอนใจ แกงร้อนของสมเด็จโต



สมเด็จพุฒาจารย์ ( โต พรหมรังสี )เจ้าอาวาสวัดระฆัง ท่านเป็นพระที่มักน้อยสันโดษ ทั้งๆที่ท่านสนิทกับในหลวง แต่ไม่เคยถือตัวและมีอารมณ์ขัน ท่านมีวิธีปกครองพระเณร และอบรมสั่งสอนลูกศิษย์ที่ไม่เหมือนใคร

เช่นมีเรื่องเล่าว่าครั้งหนึ่งสมเด็จโตรู้สึกอึดอัดใจ ก็คือ ไม่ว่าท่านจะทำกิจการใดๆ ก็ตามเมื่อปรึกษาหารือกับภิกษุในวัด ก็มักจะได้รับคำตอบว่า สิ่งที่ท่านทำนั้นสมควรแล้ว ดีแล้ว ทุกครั้งไป คือลูกวัดประจบเอาใจ

วันหนึ่งมีผู้นำแกงร้อนวุ้นเส้นชามใหญ่มาถวายท่าน สมเด็จโตสั่งให้ศิษย์วัดนำกระทะใบบัวใหญ่ มาตั้งน้ำเต็มกระทะจนกระทั้งเดือนพล่าน แล้วนำแกงร้อนถ้วยนั้นเทลงในกระทะแล้วให้ศิษย์วัดไปเก็บผักบุ้งในลำคลองข้างวัด มาล้างทำความสะอาดแล้วหั่น ใส่ลงไปในแกงร้อนนั้น นำอาหารอีกหลายอย่างที่มีผู้นำมาถวาย เทใส่รวมลงไปหมด แลดูไม่น่าขบฉันเลยแม้แต่น้อย

เมื่อเสร็จแล้ว ก็ให้ศิษย์วัดตีกลองเป็นสัญญาณให้ภิกษุสามเณรต่างๆ นำปิ่นโต ถ้วยชามมาแบ่งอาหาร โดยท่านกำชับให้บอกภิกษุสามเณรทุกรูปว่าเป็นแกงร้อนที่ท่านปรุงเอง ภิกษุทั้งวัดระฆังจึงได้ฉันแกงร้อน ในมื้อเพลวันนั้นโดยทั่วถึง

ครั้นตกเวลาเย็น ภิกษุทุกรูปจะต้องมาร่วมทำวัตรค่ำในพระอุโบสถ สมเด็จโตไปยืนอยู่ตรงหน้าประตูโบสถ์ คอยถามภิกษุทุกรูปที่เดินผ่านท่านเข้าไปในโบสถ์ว่า

“แกงร้อนของฉันเมื่อตอนเพลเป็นอย่างไรบ้าง? ”

ปรากฏว่าภิกษุทุกรูปตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า อร่อยดีมาก

ท่านก็ถามภิกษุทุกรูปเรื่อยมา จนกระทั้งถึงภิกษุชราองค์หนึ่งซึ่งบวชอยู่วัดระฆังมานานหลายสิบพรรษา เดินผ่านมาสมเด็จฯก็ถามเหมือนเดิมว่า

“ขรัวตา แกงร้อนของฉันเมื่อตอนเพลเป็นอย่างไรบ้าง? ฉันลงมือทำเองทีเดียวนะ” ขรัวตา นิ่งสักพักแล้วตอบว่า

“ไม่ไหวครับ พระเดชพระคุณท่าน กระผมเทให้หมามันยังไม่กินเลย”

สมเด็จฯ ยิ้มด้วยความพอใจ แล้วประนมมือไหว้ขรัวตา
สาธุ สาธุ ขรัวตานี่แหละศีลบริสุทธิ์โดยแท้ ควรแก่การเคารพ สาธุ ..

คืนวันนั้น หลังจากทำวัตรเย็นแล้ว สมเด็จโต ก็เทศนาอบรมพระเณรในวัดทุกรูป อย่าพูดโกหก โดยยกเรื่องแกงร้อนเป็นอุทธาหรณ์ พร้อมกล่าวยกย่อง ขรัวตาที่กล้าพูดความจริงไม่โกหก นี่คือวิธีการอบรมสั่งสอนลูกวัดของท่าน
      บันทึกการเข้า
  หน้า: 1 ... 526 527 [528] 529 530 ... 681   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

ทำไมหอพักนิสิตจุฬาจึงเป็นดินแดนมหัศจรรย์            " ไม่ได้เป็นแค่หอให้นอนพัก  แต่เป็นบ้านอบอุ่นรักให้อาศัย  ไม่เป็นแค่ที่ซุกหัวยามหลบภัย  แต่สร้างใจให้เข้มแข็งแกร่งการงาน"  <))))><