23 พฤศจิกายน 2567, 11:48:31
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 524 525 [526] 527 528 ... 681   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: คุย กับ คุณมานพ กลับดี อดีตประธานชมรม ๓ สมัย  (อ่าน 3556587 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 39 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #13125 เมื่อ: 09 ตุลาคม 2557, 20:26:21 »





งานพี่ทองอู่  จักรสิงห์ อายุครบ ๘๗ ปี

คุณหมอตุ่น นัด 18:00-21:00 น.
ปรากฏว่างานเริ่มตั่งแต่ 17:00 น.
ดร.สุริยา-คุณรองรัตน์ อาสาไปรับท่านอาจารย์ สุพพัดดา  ปวนฤทธิ์ ต้องขอขอบคุณยิ่ง

อาจารย์สุพพัดดา  บอกว่า เวลาวันพฤหัสบดี จะคิดถึงคุณสิงห์  ที่ต้องลงไปทำงานที่นครศรีธรรมราช  ต้องขอขอบคุณท่านอาจารย์ที่คิดถึง  วันนี้ได้เอาขนมเปี๊ยะ เจ้าที่อร่อยมากของสิงห์บุรี  แต่ไม่มีใครรู้จัก เอาไปฝากพี่ ๆ ผู้อาวุโสด้วย
คงต้องหาเวลาไปเยี่ยมท่านอาจารย์ให้มากขึ้น กว่าเดิม

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #13126 เมื่อ: 09 ตุลาคม 2557, 20:35:02 »



วันนี้ คุณทรงเกียรติ  อดีตประธานชมรมฯ เป็นเจ้าชายสายเสมอ

แต่ก็ต้องขอบคุณ ที่มาครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #13127 เมื่อ: 09 ตุลาคม 2557, 20:38:34 »



พี่ทองอู่  ยังแข็งแรง ยังแกว่งแขนวันละ ๑๐๐๐ ครั้ง

แต่ช่วงหนึ่งอาทิตย์ ที่ผ่านมา กลัวมาร่วมงานไม่ได้ เลยแถมตอนเย็นแกว่งแขนอีก ๕๐๐ ครั้ง

อย่าลืมการแกว่งแขนเป็นการออกกำลังกายอย่างหนึ่งของผู้สูงอายุ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #13128 เมื่อ: 09 ตุลาคม 2557, 20:42:39 »



สมาชิกชักน้อยลง  คงติดภาระกิจ เช่นคุณกวางดำ  ต้องเข้าโรงพยาบาล แต่คุณมิ้ง ที่ไปเยี่ยมมาบอกว่า อาการดีขึ้น ยังต้องรอตรวจดูการอีกสักพัก ตอนนี้ลิ้นยังแข็ง  แขนแกว่งได้  พ้นขีดอันตรายเพราะ ส่งโรงพยาบาลเร็ว มีเส้นเลือดแตกในสมองนิดหน่อย ความดัน 190
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #13129 เมื่อ: 09 ตุลาคม 2557, 20:45:01 »



ขอขอบคุณ คุณหนุ๋น  คุณแหลม  คุณน้องฮะยี  ที่เป็นธุระในการจัดงานครั้งนี้ยิ่ง
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #13130 เมื่อ: 09 ตุลาคม 2557, 20:47:15 »



ช่วงเข้าพรรษาที่ผ่านมา อาจารย์แจ่มใส  ไปปฏิบัติธรรม อยู่ที่ประเทศพม่า  กลับมาวันนี้ พอดี เลยได้รับประทานอาหารไทย
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #13131 เมื่อ: 09 ตุลาคม 2557, 20:50:12 »



ต้องขอขอบคุณ พี่กาญจนา  ที่เป็นแม่งานในการจัดเลี้ยงครั้งนี้ ยิ่ง

พี่กาญจนา  สั่งขาหมูที่อาจารย์เผ่า  ชอบ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #13132 เมื่อ: 09 ตุลาคม 2557, 20:52:11 »



อย่าลืม เดือนธันวาคม  เป็นวันเกิดท่าน อาจารย์สุพพัดดา
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #13133 เมื่อ: 09 ตุลาคม 2557, 21:16:02 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 09 ตุลาคม 2557, 05:17:53


ผู้ใดเห็น ปฏิจจสมุปบาท   ผู้นั้นเห็นธรรม
ผู้ใดเห็นธรรม   ผู้นั้นเห็นตถาคต

จงพิจารณาด้วยโยนิโสมนสิการ จะพบว่า

กองทุกข์ทั้งมวล มันเกิดอย่างนี้ และดับไปอย่างนี้(ด้วยเหตุ-ปัจจัย)
ไม่มีสัตว์  บุคคล  ตัวตน  เรา  เขา
การเกิดในวัฏฏะสงสารของมนุษย์  ก็เป็นอย่างนี้
การจะพ้นจากวัฏฏะสงสารของมนุษย์  ก็เป็นอย่างนี้
สักกายทิฏฐิ ก็เกิดจาก(ปฏิจจสมุปาบาท)นี้
สีลัพพตปรามาส ก็เกิดจากนี้
วิจิกิจฉา ก็เกิดจากนี้
สมมติบัญญัติ ก็เกิดจากนี้
ปรมัตถ์บัญญัติ ก็เกิดจากนี้
รูป-นาม ก็เกิดจากนี้
อายตนะ ก็เกิดจากนี้
ความเป็นมนุษย์  ก็เกิดจากนี้
ทำไมมนุษย์ต้องเกิด เกิดมาเพื่ออะไร ก็เกิดจากนี้

พูดง่าย ๆ ทุกสิ่งของมนุษย์ ล้วนเกิดจากปฏิจจสมุปาบาท และสิ้นไปเพราะปฏิจจสมุปาบาท

ปฏิจจสมุปาบาทนี้ เป็นตถตา พระพุทธเจ้าจะเกิดหรือไม่ มันก็มีของมันอยู่แล้วในธรรมชาติ ต้องเป็นไปอย่างนี้ ไม่เปลี่ยนแปลงไปอย่างอื่นได้

แต่ธรรมในปฏิจจสมุปบาทนั้น ไม่เที่ยง เป็นอนัตตา

พุทธศาสนา อธิบายจบลงได้ในปฏิจจสมุทบาท เพราะปฏิจจสมุปบาท คือธรรมที่พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้ นั่นเอง

วันนี้เป็นวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ เป็นวันออกพรรษา เริ่มต้นเทศกาลทอดกฐิน มีระยะเวลา ๑ เดือน

สวัสดียามเช้า ทุกท่านครับ



ปฏิจจสมุปบาทนี้  ลึกซึ้งนัก อย่าพิจารณาเพียงฉาบฉวย ต่องโยนิโสมนสิการ เพราะพุทธศาสนา รวมอยู่ในปฏิจจสมุปาบาท
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #13134 เมื่อ: 10 ตุลาคม 2557, 08:25:30 »



สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง และแขกผู้มาเยือน ที่รักทุกท่าน

วันนี้เช้า ได้หุงข้าวใส่บาตรพระที่หน้าบ้าน

ตอนนี้อยู่สนามบินดอนเมือง เพื่อรอขึ้น Nok Air ไปทำงานที่นครศรีธรรมราช Boarding 09:15 น.


ปฏิจจสมุปบาท หรือวงจรกาารเกิดทุกข์ และการเวียนว่ายตาย-เกิดในวัฏฏะสงสาร
ของสัตว์โลก

เพราะมี ชาติ เป็นปัจจัย จึงมีเกิด แก่ เจ็บ ตาย โกรธ ร่ำไรรำพัน ความไม่สบายกาย ความไม่สบายใจ ความคับแค้นใจ ทั้งหลาย

เพราะมี ภพ เป็นปัจจัย จึงมีชาติ เกิดขึ้น (ภพ คือความเกิดขึ้น ของสัตว์โลก)

เพราะมี อุปาทาน เป็นปัจจัย จึงมี ภพ เกิดขึ้น (อุปทาน คือความยึดมั่น ถือมั่น ว่าเป็นเรา เป็นตัวตนของเรา เราเป็นนั่น นั่นเป็นของเรา)


เพราะมี ตัณหา เป็นปัจจัย จึงมี อุปาทาน เกิดขึ้น(ตัณหา คือความทะยานอยาก ประกอบด้วย กามะตัณหา  ภวตัณหา และวิภวตัณหา)

เพราะมี เวทนา เป็นปัจจัย จึงมี ตัณหา เกิดขึ้น(เวทนา ประกอบด้วย สุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์)

เพราะมี ผัสสะ เป็นปัจจัย จึงมีี ตัณหา เกิดขึ้น (ผัสสะ คือการสัมผััััสของอายตนะภายใน สัมผัส อายตนะภายนอก คือ อาการเห็น ได้ยิน ได้รู้รส ได้ดมกลิ่น ได้สัมผัสทางกาย ได้สัมผัสทางใจ)

เพราะมี สฬายตนะ เป็นปัจจัย จึงมี ผัสสะ เกิดขึ้น(สฬายตนะ คืออายตนะภายใน ๖ ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ และอายตนะภายนอก ๖ ได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏทัฟพะ และธัมมารมณ์)

เพราะมี นาม-รูป เป็นปัจจัย จึงมี สฬายตนะ (นามคือ จิตไม่มีตัวตนเป็นสภาพของการรู้อารมณ์ ประกอบด้วย เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ รูป คือร่างกายที่เห็น ประกอบด้วยธาตุดิน  น้ำ  ลม ไฟ)

เพราะมี วิญญาณ เป็นปัจจัย จึงมี นาม-รูป เกิดขึ้น (วิญญาณ คือ การรู้แจ้งทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เกิด จักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานะวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ และมโนวิญญาณ)

เพราะมี สังขาร เป็นปัจจจัย จึงมี วิญญาณ เกิดขึ้น (สังขาร คือ การคิดหรือการปรุงแต่งทางความคิด)

เพราะมี อวิชชา เป็นปัจจัย จึงเกิด สังขาร (อวิชชา คือความไม่รู้ ไม่รู้อริยสัจจ ๔ ไม่รู้โลกหน้า.... เป็นต้น คืออวิชชา ๘)

เพราะมี ชาติ ชรา มรณะ เป็นปัจจัย จึงมี สังขาร เกิดขึ้น

กองทุกข์ทั้งปวง เกิดขึ้นด้วยประการ ฉะนี้
การเวียนว่ายตายเกิดของสัตว์โลก เกิดขึ้นด้วยประการ ฉะนี้
ทุกสิ่งล้วนเกิดขึ้นด้วยเหตุ-ปัจจัย ทั้งสิ้น มันเกิดขึ้นเองไม่ได้

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #13135 เมื่อ: 10 ตุลาคม 2557, 11:07:08 »

ทุกท่านต่างเอาใจช่วย ให้เป่าเทียนแท่งสุดท้ายดับ แสดงว่า พี่ทองอู่  ยังแข็งแรง

พี่ทองอู่  แข็งแรงเพราะ แกว่งแขนตอนเช้าทุกวัน วันละ ๑๐๐๐ ครั้ง



ปฏิจจสมุปบาท  พิจารณาทางสายเกิด

พิจารณาธรรม ตามเข็มนาฬิกา ในวงจรทุกข์

เพราะมี อวิชชา เป็นปัจจัย จึงมี สังขาร เกิดขึ้น

เพราะมี สังขาร เป็นปัจจัย จึงมี วิญญาณ เกิดขึ้น

เพราะมี วิญญาณ เป็นปัจจัย จึงมี นาม-รูป เกิดขึ้น

เพราะมี นาม-รูป เกิดขึ้น จึงมี สฬายตนะ เกิดขึ้น

เพราะมี สฬายตนะ เกิดขึ้น จึงมี ผัสสะ เกิดขึ้น

เพราะมี ผัสสะเกิดขึ้น จึงมี เวทนาเกิดขึ้น

เพราะมี เวทนา เกิดขึ้น จึงมี ตัณหา เกิดขึ้น

เพราะมี ตัณหาเกิดขึ้น จึงมี อุปาทาน เกิดขึ้น

เพราะมี อุปาทาน เกิดขึ้น จึงมี ภพ เกิดขึ้น

เพราะมี ภพ เกิดขึ้น จึงมี ชาติ เกิดขึ้น

เพราะมี ชาติ เกิดขึ้น จึงมีความเกิด แก่ เจ็บ ตาย (สร้่างกองทุกข์ขึ้นมาใหม่อีก)

กองทุกข์ทั้งมวล เกิดขึ้นด้วยประการ ฉะนี้
การเกิด-ดับในวัฏฏะสงสาร เกิดขึ้นได้ด้วยประการ ฉะนี้
ทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ล้วนมีเหตุ-ปัจจัย ทั้งสิ้น มันเกิดขึ้นเองไม่ได้

จะเห็นว่าธรรมทั้งหลายใน ปฏิจจสมุปบาท นั้น เป็นเหตุ-ปัจจัย ซึ่งกันและกันทุกธรรม  ทั้งพิจารณาตามเข็มนาฬิกา และทวนเข็มนาฬิกา ก็มีความหมายเดียวกัน เพราะเป็นอิทัปปัจจยตา และตถาคตา


พี่สิงห์ ถึงนครศรีธรรมราช เรียบร้อยแล้ว
วันนี้ได้เห็น ดร.สุรินทร์  พิศสุวรรณ และคุณวิทยา  แก้วภราไดย บนเครื่องบิน
คุณวิทยาได้เชิญให้พี่สิงห์ ไปใส่บาตรพระตอนเช้าที่หน้าวัดพระธาตุ และเรียนให้ทราบว่า ตอนนี้ท่านได้รณรงค์ ให้คนนครศรีธรรมราช ใส่บาตรพระตอนเช้าที่หน้าวันพระธาตุ ทุกวันอาทิตย์  ซึ่งเรื่องนี้ได้เสนอให้ท่านทราบมานานแล้ว ให้ทำเมืองนครศรีธรรมราช ให้เป็นแบบหลวงพระบาง ที่คนไทยไปเที่ยวนั้น เพื่อไปใส่บาตรข้าวเหนี๋ยวพระตอนเช้า ถ้านครศรีธรรมราชทำได้ นอกจากจะมีนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมนครศรีธรรมราชแล้ว คนนครเองจะเป็นผู้ให้  อาชญากรรม จะลดลง ระเบียบวินัย ความรับผิดชอบสังคทจะเกิดขึ้นเอง จากการใส่บาตรพระตอนเช้านี่ละ  ขออนุโมทนา

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #13136 เมื่อ: 10 ตุลาคม 2557, 13:12:34 »



ปฏิจจสมุปบาท ในทางสายดับ

พิจารณาเหตุ-ปัจจัย ทวนเข็มนาฬิกา ในวงจรทุกข์

เมื่อชาติไม่มี  ชราและมรณะจึงไม่มี    ชาติดับ  ชราและมรณะก็ดับ (กองทุกข์ทั้งมวลดับ)

เมื่อภพไม่มี  ชาติจึงไม่มี   ภพดับ ชาติก็ดับ

เมื่ออุปาทานไม่มี  ภพจึงไม่มี   อุปาทานดับ  ภพก็ดับ

เมื่อตัณหาไม่มี  อุปาทานจึงไม่มี   ตัณหาดับ  อุปาทานก็ดับ

เมื่อเวทนาไม่มี  ตัณหาจึงไม่มี   เวทนาดับ  ตัณหาก็ดับ

เมื่อผัสสะไม่มี  เวทนาจึงไม่มี   ผัสสะดับ  เวทนาจึงดับ

เมื่อสฬายตนะไม่มี  ผัสสะจึงไม่มี   สฬายตนะดับ  ผัสสะก็ดับ

เมื่อนาม-รูปไม่มี  สฬายตนะจึงไม่มี   นาม-รูปดับ  สฬายตนะก็ดับ

เมื่อวิญญาณไม่มี  นาม-รูปจึงไม่มี   วิญญาณดับ  นาม-รูปก็ดับ

เมื่อสังขารไม่มี  อวิชชาจึงไม่มี   สังขารดับ  อวิชชาก็ดับ


พิจารณาเหตุ-ปัจจัย ตามเข็มนาฬิกา ในวงจรทุกข์

เมื่ออวิชชาไม่มี  สังขารจึงไม่มี  อวิชชาดับ  สังขารก็ดับ

เมื่อสังขารไม่มี  วิญญาณจึงไม่มี   สังขารดับ  วิญญาณก็ดับ

เมื่อวิญญาณไม่มี  นาม-รูปจึงไม่มี   วิญญาณดับ  นาม-รูปก็ดับ

เมื่อนาม-รูปไม่มี  สฬายตนะจึงไม่มี   นาม-รูปดับ  สฬายตนะก็ดั

เมื่อสฬายตนะไม่มี  ผัสสะจึงไม่มี   สฬายตนะดับ  ผัสสะก็ดับ

เมื่อผัสสะไม่มี  เวทนาจึงไม่มี   ผัสสะดับ  เวทนาก็ดับ

เมื่อเวทนาไม่มี  ตัณหาจึงไม่มี   เวทนาดับ  ตัณหาก็ดับ

เมื่อตัณหาไม่มี  อุปทานจึงไม่มี   ตัณหาดับ  อุปาทานก็ดับ

เมื่ออุปาทานไม่มี  ภพจึงไม่มี   อุปาทานดับ  ภพก็ดับ

เมื่อภพไม่มี  ชาติจึงไม่มี   ภพดับ  ชาติก็ดับ

เมื่อชาติไม่มี  ชราและมรณะจึงไม่มี  ชาติดับ  ชราและมรณะก็ดับ


กองทุกข์ทั้งปวงดับลงได้ ด้วยประการ ฉะนี้
วัฏฏะสงสารของสัตว์โลกดับลงได้ ด้วยประการ ฉะนี้
ธรรม(ทุกสิ่งที่เกิดขึ้น)ทั้งหลายดับลงได้ ด้วยประการ ฉะนี้

ขอจงพิจารณาด้วยโยนิโสมนสิการ จนได้ดวงตาเห็นธรรมด้วยเทอญ

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #13137 เมื่อ: 10 ตุลาคม 2557, 13:30:28 »


จะเห็นว่า ในปฏิจจสมุปบาท หรือวงจรทุกข์นี้ ไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตนเราเขา หรือ เป็นเรา เป็นตัวตนของเรา เราเป็นนั่น นั่นเป็นของเรา เลย

มีเพียง "นาม - รูป " เท่านั้น

เมื่อใดผู้ปฏิบัติธรรมเจริญสติ เห็นด้วยวิปัสสนาปัญญา ในปฏิจจสมุปบาท ดังนี้ กองทุกข์ทั้งมวล และวัฏฏะสงสาร ก็สิ้นลง เพราะความเป็นอนัตตา ที่เกิดขึ้นในจิตมีแต่สติ-สัมปชัญญะ ล้วน ๆ นั่นเอง



ดร.สุริยา  ทุกข์  เพื่อนของดร.สิริยา  ก็ทุกข์  ทุกคนก็ทุกข์ เพราะอะไร?

ทุกข์ เพราะ นี่ ดร.สุริยา นี่ตัวตนของ ดร.สุริยา  ดร.นี้เป็นของ สุริยา บ้านที่ทับทันนั้นมีสุริยา เป็นเจ้าของ เมื่อไปยึดติดแบบนี้ จึงมีแต่ทุกข์ ทุกข์เพราะอะไร?เล่า  

ทุกข์ เพราะ

เมื่อมีชาติ  จึงมี ดร.สุริยา (เกิด แก่ เจ็บตาย ได้รับทุกข์)  ดร.สุริยา มีเพราะชาติเป็นปัจจัย
เมื่อมีภพ  จึงมีชาติ   ชาติมีเพราะภพเป็นปัจจัย
เมื่อมีอุปาทาน  จึงมีภพ   ภพมีเพราะอุปาทานเป็นปัจจัย
เมื่อมีตัณหา  จึงมีอุปาทาน  อุปาทานมีเพราะตัณหาเป็นปัจจัย
เมื่อมีเวทนา  จึงมีตัณหา  ตัณหามีเพราะมีเวทนาเป็นปัจจัย
เมื่อมีผัสสะ  จึงมีเวทนา  เวทนามีเพราะมีผัสสะเป็นปัจจัย
เมื่อมีสฬายตนะ จึงมีผัสสะ   ผัสสะมีเพราะมีสฬายตนะเป็นปัจจัย
เมื่อมีนาม-รูป จึงมีสฬายตนะ  สฬายตนะมีเพราะมีนาม-รูปเป็นปัจจัย
เมื่อมีวิญญาณ  จึงมีนาม-รูป  นาม-รูปมีเพราะมีวิญญาณเป็นปัจจัย
เมื่อมีสังขาร  จึงมีวิญญาณ  วิญญาณมีเพราะมีสังขารเป็นปัจจัย
เมื่อมีอวิชชา  จึงมีสังขาร   สังขารมีเพราะมีอวิชชาเป็นปัจจัย

ถ้า ดร.สุริยา  ต้องการที่จะพ้นทุกข์ ทำอย่างไร

ดร.สุริยา ก็ต้องดำเนินชีวิตด้วยมรรคมีองค์ ๘
ทำวิชชาให้เกิดขึ้นด้วยการมีสติ-สัมปชัญญะให้สมบูรณ์ จนละอวิชชาลงได้
 
เมื่อ ดร.สุริยาไม่มีอวิชชา อยู่ด้วยวิชชา ด้วยการมีสติ  สังขารจึงไม่เกิดขึ้น คือดับสังขารลงได้ด้วยการมีสติ
เมื่อสังขารดับ  วิญญาณก็ดับ
เมื่อวิญญาณดับ  นาม-รูปก็ดับ
เมื่อนามรูปดับ  สฬายตนะก็ดับ
เมื่อสฬายตนะดับ  ผัสสะก็ดับ
เมื่อผัสสะดับ  เวทนาก็ดับ
เมื่อเวทนาดับ  ตัณหาก็ดับ
เมื่อตัณหาดับ  อุปาทานก็ดับ
เมื่ออุปาทานดับ  ภพก็ดับ
เมื่อภพดับ  ชาติก็ดับ
เมื่อชาติดับ  กองทุกข์ทั้งมวลของ ดร.สุริยา ก็สิ้นไป และถ้า

ไม่มี ดร.สุริยา  นี้ไม่ใช่ตัวตน ดร.สุริยา ดร.ก็ไม่ใช่สุริยา  สมบัติทั้งหลายก็ไม่ใช่ของสุริยา  ความเป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน ไม่มีเลย มีเพียงรูป-นาม และธรรมที่ปรากฏ  รูป-นามที่เขาเรียกว่า สุริยา เมื่อตายลงก็ไม่ต้องไปเกิดอีกแล้ว เพราะไม่มีเชื้อให้เกิด มีแต่สติ-สัมปชัญญะที่สมบูรณ์

เพราะอะไร? เล่า

เพราะ ดร.สุริยา ดับอุปาทานลงได้ ภพจึงไม่มี เพราะดับภพลงได้ ชาติจึงไม่มี

ทำไม? จึงดับอุปาทานลงได้ เพราะไม่มีตัณหา
ทำไม? จึงดับตัณหาลงได้ เพราะไม่มีเวทนา
ทำไม? จึงดับเวทนาลงได้ เพราะไม่มีผัสสะ
ทำไม? จึงดับผัสสะลงได้ เพราะไม่มีสฬายตนะ
ทำไม? จึงดับสฬายตนะลงได้ เพราะไม่มีนาม-รูป
ทำไม? จึงดับนามรูปลงได้ เพราะไม่มีวิญญาณ
ทำไม? จึงดับวิญญาณลงได้ เพราะไม่มีสังขาร
ทำไม? จึงดับสังขารลงไ้ด้ เพราะไม่มีอวิชชา
ทำไม? จึงดับอวิชชาลงได้ เพราะตั้งสติปัฏฐาน ๔ เป็นสมาธิเกิดวิมุติ เปลี่ยนอวิชชา เป็นวิชชา อยู่ด้วยสติ-สัมปชัญญะนั่นเอง

ดร.สุริยา  ก็สูญสิ้นลงในวัฏฏะสงสารนี้

ด้วยประการ ฉะนี้เทอญ

ความอัศจรรย์ของปฏิจจสมุปบาท นั้นมีอีกมากมายนัก

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
lek_adisorn
Hero Cmadong Member
***

ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,595

« ตอบ #13138 เมื่อ: 10 ตุลาคม 2557, 14:10:06 »

สว้สดีครับพี่สิงห์
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #13139 เมื่อ: 10 ตุลาคม 2557, 14:19:01 »

อ้างถึง
ข้อความของ lek_adisorn เมื่อ 10 ตุลาคม 2557, 14:10:06
สว้สดีครับพี่สิงห์

สวัสดี อดิสร

ไม่ได้พบกันนานมากแล้ว
เมื่อวานนึกว่า อดิสร  จะไป แต่แล้วก็ไม่ได้ไป คงจะไม่ทราบข่าว

หวังว่าครอบครัว และตัวเอง  คงมีความสุขตามเหตุ-ปัจจัย

อย่าลืมดูแลสุขภาพ ให้มาก อะไรที่ปลดลงจากบ่าได้ ก็ปลดลงบ้าง  ทำงานอย่างมีสติ สนุกกับงาน และสุขใจด้วย

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #13140 เมื่อ: 11 ตุลาคม 2557, 04:57:33 »



สัมมาทิฏฐิ - ความเห็นชอบ !

ทุกท่านอาจจะได้ยินคำนี้บ่อยๆ
อย่างพระท่านชอบเทศน์ให้ฟังว่า ให้มีสัมมาทิฏฐิ ให้มีสัมมาทิฏฐิ แต่ท่านไม่ได้อธิบาย ว่าแล้ว สัมมาทิฏฐิ - ความเห็นชอบ! มันเป็นอย่างไร ? เล่า

วันก่อนไปทำบุญออกพรรษา มัคคนายกวัดพระนอน เอาเทป CD หลวงพ่อวัดไหนไม่รู้ เปิดให้ฟัง พอเปิดไปสิบห้านาที หลวงพ่อท่านเทศน์อยู่คำเดียว วนไปวนมา ให้ปล่อยวาง ให้ปล่อยวาง แต่่ท่านไม่บอกว่า มันจะปล่อยวางอย่างไร? มีวิธีปฏิบัติไปสู่การปล่อยวางอย่างไร ?  ปล่อยวางอะไร? ท่านไม่บอก  แล้วคนฟังเขาจะปล่อยวางกันอย่างไร? กันเล่า

คำว่า "ปล่อยวาง" เด็กนักเรียนก็พูดได้  ใครๆก็ผู้ได้ จากการอ่านหนังสือ หรือคิดเอา  แต่มันไม่ใช่สำหรับคำตอบจากนักปฏิบัติธรรม ที่แท้จริงที่ปล่อยวางได้ มันต้องบอกวิธีปฏิบัติที่ตนเองกระทำมาแล้ว  และเห็นผลมาแล้ว

อย่างหลวงพ่อคำเขียน
ตอนที่ท่านป่วย ก่อนท่านป่วย ท่านพูดว่า "ไม่เป็นอะไร กับอะไร" มันเป็นสภาวะอย่างไร? ท่านทำให้มาถึงจุดนี้ได้อย่างไร? หลวงพ่อคำเขียน ท่านก็บอกหมด เพื่อให้เราได้ปฏิบัติ ท่านทำให้ดู  อยู่ให้เห็น และเย็นได้สัมผัส ต้องทำอย่างนี้ จึงจะถูกต้อง ผู้ฟังจึงจะกระทำตามได้

แต่ใน CD ที่ฟังวันออกพรรษา ไม่มีเลย มัันอย่างไรไม่รู้
ดังนั้น เวลาฟัง CD ฟังเทศน์ อ่านธรรมะ ต้องทำความเข้าใจให้ดี ต้องยึดหลัก"กาลามสูตร"ให้มั่น อย่าหลงไหลไปกับความคิด กิตติศัพท์ชื่อเสียง

เช่นกัน สัมมมาทิฏฐิิ - ความเห็นชอบ ก็เช่นเดียวกันฉันใดฉันนั้น

บางท่านอาจจะตอบว่า สัมมาทิฏฐิ คือความเห็นตามอริยสัจ ๔ ตอบแค่นี้ก็ถูกต้อง
แต่อริยสัจ ๔ มันมีความหมายอย่างไร?
บางคนตอบว่า คือ ทุกข์  สมุทัย นิโรธ มรรค  
ตอบอย่างนี้ เด็กนักเรียนก็ตอบได้ เพราะไปท่องจำเอามาจากหนังสือ ดร.สุริยา   ดร.กุศล  ใคร ๆ ก็ตอบได้  ถ้าศึกษามา จริงไหม?

แต่นักปฏิบัติธรรม ต้องตอบจากความรู้สึก ด้วยสติ-ปัญญา ที่ตนเองประสพ จากผลของการเห็นความจริงในธรรม นี้ !
      บันทึกการเข้า
lek_adisorn
Hero Cmadong Member
***

ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,595

« ตอบ #13141 เมื่อ: 11 ตุลาคม 2557, 07:00:56 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 10 ตุลาคม 2557, 14:19:01
อ้างถึง
ข้อความของ lek_adisorn เมื่อ 10 ตุลาคม 2557, 14:10:06
สว้สดีครับพี่สิงห์

สวัสดี อดิสร

ไม่ได้พบกันนานมากแล้ว
เมื่อวานนึกว่า อดิสร  จะไป แต่แล้วก็ไม่ได้ไป คงจะไม่ทราบข่าว

หวังว่าครอบครัว และตัวเอง  คงมีความสุขตามเหตุ-ปัจจัย

อย่าลืมดูแลสุขภาพ ให้มาก อะไรที่ปลดลงจากบ่าได้ ก็ปลดลงบ้าง  ทำงานอย่างมีสติ สนุกกับงาน และสุขใจด้วย

สวัสดี


สวัสดีครับพี่ งานพี่อู่ก็ทราบข่าวครับ วันนั้พยามเร่งงานให้เสร็จคิดว่าไปสายหน่อย น้องนัทก็อยากเจอน้องนาวหลานชายพี่อู่ น้องนัทก็ติดงานที่คณะกว่าจะเสร็จก็เกือบสองทุ่ม เลยไม่ได้ไปครับ วันอาทิตย์นี้ผมจะไปทำบุญกันที่วัดไร่ขิง ก็ยกเว้นนัทอีกที่ไม่ได้ไป ติดไปสอนเด็กที่วัดอะไรจำไม่ได้ เป็นจิตอาสาครับ พี่สบายดีนะครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #13142 เมื่อ: 11 ตุลาคม 2557, 08:46:11 »



สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง และแขกผู้มาเยือน ที่รักทุกท่าน

เช้าวันนี้ อากาศที่นครศรีธรรมราช ดี มีแสงแดดจ้า ท้องฟ้าแจ่มใส ไร้เมฆ

ได้เดินจงกรมออกกำลังกาย พิจารณาปฏิจจสมุปบาท ฝึกชิกง-โยคะ และแกว่งแขน

รับประทานอาหารเช้า อย่างราชา

เราจะละทิฏฐิ ได้อย่างไร?

เราจะละทิฏฐิ ให้เป็น สัมมาทิฏฐิได้ นั้นเราต้องเห็นชอบในธรรมนั้นด้วยปัญญาอัญชอบด้วยการเป็นจริงว่า
"ทิฏฐินั้น ๆ ไม่ใช่ของเรา  เราไม่ได้เป็นนั่น นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา ก็จะสละทิฏฐิเหล่านั้นได้"

การที่จะทำปัญญาเห็นชอบได้ ก็ต้อง อยู่-ใช้ มรรคมีองค์ ๘ ประการ เจริญสติ  จนเป็นสมาธิ ละนิวรณ์ ๕ ได้ อยู่ในญาณ ๑ ๒ ๓ ๔  จนเห็นรูป-นาม  ความเป็นไตรลักษณ์  เห็นความคิด เห็นอารมณ์(กิเลสต่าง )ที่มากระทบ-เกาะจิต เป็นผู้เห็น ไม่ใช่ผู้เป็น ก็จะเกิดเป็นปัญญาเห็นชอบที่จะละความเป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา ลงได้ จะละทิฏฐิลงเสียได้

ช่วงนี้มีมารมาผจญทางความคิด ไหลไปกับความคิด ทางความฝัน ไหลไปทางความฝัน มาก
ก็ได้อาศัยสติ-ความรู้สึกตัว เตือนตนเองว่า นั่นละมาร เรารู้จักเจ้าแล้ว ไม่หลง-ไหล ไปกับมัน มารู้สึกตัวด้วยการสร้างจังหวะที่กาย ทำให้เป็นผู้ดู ในอารมณ์ต่าง ๆ ที่มากระทบนั้น

"ผัสสะ" เป็นตัวสร้างความไม่สบายกาย ความไม่สบายใจ มาให้โดยแท้จริง ต้องระวังผัสสะจากอายตนะ ให้ดี คือ ได้เห็น ได้ยิน ได้ดมกลิ่น ได้ลิ้มรส ได้โผฏทัฟพะ ได้ธัมมารมณ์ นี่ละมันตามมาด้วย กามราคะ  ปฏิฆะ และอวิชชา ที่จะทำให้เกิดกิเลสที่จิต เป็นอนุสัย ได้ ต้องเห็นผัสสะ ด้วย สติ-ความรู้สึกตัว  จึงจะวางเฉยได้ เพราะเราไม่ได้เป็นพระอริยะเจ้า เรายังเป็นปุถุชนม์ คนธรรมดา  ก็ต้องหาสติ-ความรู้สึกตัว ธรรม  มาสอนจิต ให้มันเห็นความจริงในธรรมทั้งหลาย เพราะธรรมทั้งหลายล้วนเป็นอนัตตา อย่าไปยึดมั่นถือมั่น เลย

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #13143 เมื่อ: 11 ตุลาคม 2557, 09:57:39 »



ไปฉลองกันที่ไหน ?  บอกด้วย

หวังว่า ดร.สุริยา  คงเป็นโต้โผ  ในฐานะพี่ใหญ่

ส่วน พี่สิงห์ ไปร่วมเสวนาเฉย ๆ

      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #13144 เมื่อ: 11 ตุลาคม 2557, 13:01:18 »





สัมมาทิฐิ - ความเห็นชอบ

ขอยก กัจจานโคตรสูตร มาแสดงให้ทราบก่อนที่จะแสดงความเห็น ของตนเอง


กัจจานโคตรสูตร

เห็นปฏิจจสมุปบาท คือสัมมาทิฐิ

ครั้งหนึ่ง พระกัจจานโคตต์เข้าเฝ้าพระพุทธองค์ที่วัดเชตวัน ทูลถามว่า ที่พูดว่า สัมมาทิฐิ-สัมมาทิฐิ นั้น แค่ไหน เพียงใด จึงจัดว่า เป็นสัมมาทิฐิ พระพุทธองค์ตรัสตอบว่า

"กัจจานะ ! โลกนี้ส่วนมากเห็นกันเป็น ๒ อย่าง คือ
๑. เห็นว่ามีอยู่อย่างเที่ยงแท้(อตฺถิตํ)
๒. เห็นว่าไม่มีอะไรอย่างแท้จริงเลย(นตฺถิตํ)

แต่เมื่อได้เห็นความเกิดขึ้นของโลก(โลกสมุทัย)ตามความเป็นจริงด้วยปัญญา  ก็เป็นอันปฏิเสธความเห็นว่าโลกไม่มีอย่างแท้จริง  
และเมื่อได้เห็นความดับของโลก(โลกนิโรธ)ตามความเป็นจริงด้วยสัมมาปัญญา  ก็เป็นอันปฏิเสธความเห็นว่าโลกมีอย่างเที่ยงแท้"

"กัจจานะ ! โลกนี้โดยมากผูกติดกับ อยู่กับ ภาวะ ๒ อย่าง คือ อัตถิตา(ความมีอยู่) และนัตถิตา(ความไม่มี)
เมื่อเห็นความเกิดขึ้นของโลก(โลกสมุทัย) ตามที่มันเป็นด้วยสัมมาปัญญา นัตถิตาในโลกนี้ก็ไม่มี  
เมื่อเห็นความดับของโลก(โลกนิโรธ)  ตามที่มันเป็น ด้วยสัมมาปัญญา อัตถิตาในโลกนี้ก็ไม่มี  
โลกนี้โดยมากยึดถือในอุบาย(ตัณหาและทิฐิ) และถูกคล้องไว้ด้วยอภินิเวส(ความยึดมั่นถือมั่น)
  
ส่วนอริยสาวกไม่เข้าไปยึดถืออยู่กับอุบาย(ตัณหาและทิฐิ)  ความปักใจ(เจตโส  อธฏฺฐานํ) ความยึดมั่นถือมั่น(อภินิเวส) และอนุสัยว่ามีอัตตา

ส่วนอริยสาวกไม่เคลือบแคลงสงสัยเลย  เพราะรู้ว่าทุกข์นั่นเอง เมื่อเกิดก็คือเกิด  เมื่อดับก็คือดับ

อริยสาวกย่อมมีญาณในเรื่องนี้โดยไม่ต้องอาศัยผู้อื่นเลย  กัจจานะ ! ถึงเพียงนี้แหละ คือสัมมาทิฐิ"

"กัจจานะ !  ความเห็นสุดโต่งข้างหนึ่งว่าทุกสิ่งมี  อีกข้างหนึ่งว่าทุกสิ่งไม่มีนั้น
  
เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย  จึงมีสังขาร  
เพราะสังขารเป็นปัจจัย   จึงมีวิญญาณ  
เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย  จึงมีนาม-รูป  
เพราะนาม-รูปเป็นปัจจัย  จึงมีสฬายตนะ  
เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย   จึงมีผัสสะ  
เพราะผัสสะเป็นปัจจัย  จึงมีเวทนา  
เพราะเวทนาเป็นปัจจัย   จึงมีตัณหา  
เพราะตัณหาเป็นปัจจัย  จึงมีอุปาทาน  
เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย  จึงมีภพ  
เพราะมีภพเป็นปัจจัย  จึงมีชาติ
เพราะมีชาติเป็นปัจจัย  จึงมีชราและมรณะ  
กองทุกข์ทั้งปวงเกิดขึ้นด้วยอาการอย่างนี้
  
เพราะอวิชชาดับ  สังขารจึงดับ  
เพราะสังขารดับ  วิญญาณจึงดับ  
เพราะวิญญาณดับ  นาม-รูปจึงดับ  
เพราะนาม-รูปดับ  สฬายตนะจึงดับ  
เพราะสฬายตนะดับ  ผัสสะจึงดับ  
เพราะผัสสะดับ  เวทนาจึงดับ  
เพราะเวทนาดับ  ตัณหาจึงดับ  
เพราะตัณหาดับ  อุปาทานจึงดับ  
เพราะอุปาทานดับ  ภพจึงดับ
เพราะภพดับ  ชาติจึงดับ  
เพราะชาติดับ  ชราและมรณะจึงดับ  
กองทุกข์ทั้งปวงดับด้วยอาการอย่างนี้"

(คำว่า โลก ในพระดำรัสนี้ หมายถึงสังขารโลก(ขันธ์ ๕)  สัมมาปัญญา ได้แก่ มัคคปัญญาพร้อมวิปัสสนา)
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #13145 เมื่อ: 12 ตุลาคม 2557, 21:03:12 »


ผู้ที่เห็นปฏิจจสมุปบาท นั้นจะสามารถละ

- สักกายะทิฐิ
- สีลัพพตปรามาส
- วิจิกิจฉา

ลงเสียได้ เพราะ

-ในปฏิจจสมุปาบาท ไม่มีสัตว์ บุคคล  ตัวตน  เรา  เขา มีเพียง "นาม-รูป" และสภาวะธรรมเท่านั้น
- ทุกสิ่งที่เกิด(ทุกข์ ขันธ์ ๕ ปัญหา ผลต่าง ๆ อารมณ์ ธรรม)นั้น มันเกิดขึ้นเองไม่ได้ ต้องมีเหตุ-ปัจจัย
- ทุกสิ่งที่เกิดนั้น จะดับได้เมื่อเหตุ-ปัจจัยดับ
-ทุกสิ่งที่เกิดนั้น จะมีวิธีปฏิบัติเพื่อดับเหตุ คือ มรรคมีองค์ ๘ สามารถดับได้ทั้งทุกข์-ปัญหาที่เกิดจากการทำงาน ดำรงชีพของมนุษย์ เพราะผู้ที่มีสตินั้น จะมีปัญญา ที่เรียกว่ามัคคปัญญา-ปัญญาที่เกิดจากการเจริญองค์ มรรค ๘)
- ท่านจะเชื่อเรื่องกรรม ไม่เชื่อเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์
- ท่านจะไม่มีความลังเลสงสัยในการตรัสรู้ของพระพุทธองค์ พระธรรม และพระอริยสงฆ์

ดังนั้น ท่านจงพิจารณาแบบโยนิโสมนสิการเถิด
ท่านจะพบความจริงในปฏิจจสมุปาบาท ด้วยตนเอง เพียงเจริญสติปัฏฐาน ๔ อยู่ในองค์มรรค ๘ สมบูรณ์ ท่านจะเห็นชอบตามนั้น นั่นคือ ผลของปฏิจจสมุปาบาท ที่พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้ละ

ทุกสิ่ง ทุกปัญหา รวมทั้งทุกข์ อารมณ์ สภาวะธรรมที่มาเกาะจิต(กิเลส)นั้น มันเกิดขึ้นจากอริยสัจ ๔ ทั้งสิ้น(ไม่ใช่อริยสัจ ๔)

ถ้าท่านเจริญสติ แยกรูป-นาม เห็นความเป็นไตรลักษณ์ แยกบัญญัติ ปรมัตถ์ได้ โดยท่านเป็นผู้ดู ท่านจะเห็นทุกสิ่งล้วนเกิดขึ้น ดับลง วิธีปฏิบัติเพื่อดับ ท่านต้องใช้ อริยสัจ ๔ ทั้งสิ้น(เกิดจาก สมุทัย ดับด้วยนิโรธ และวิธีปฏิบัติให้ดับด้วย มรรค ๘)

สิ่งที่ร้ายกาจที่สุดของจิต ที่มันคิดว่า มีเรา มีตัวตนของเรา มีของเรา เราเป็นนั่น นั่นเป็นของเรา นี่ละ มันจึงต้องทุกข์ และอยู่ในวัฏฏะสงสาร ไม่จบสิ้น

สติปัฏฐาน ๔ เท่านนั่นเป็นทางสายเอก เพียงส่ยเดียวที่จะแก้ปัญหาได้ ขอเพียง
มีศรัทธา มีศีล มีความเพียรในทางกุศล สำรวมอินทรีย์ อยู่อย่างพอเพียง มีสติ ทำสติให้เป็นสมาธิ จนละนิวรณ์ ๕ ได้ อยู่ในณานที่ ๑ ๒ ๓ ๔ ดำรงจิตอยู่ด้วย ณานที่ ๔ เพียงเท่านี้

ความมหัศจรรย์ของ ปฏิจจสมุปาบาท มีมากมันรวมธรรมของพระพุทธองค์ ทั้งหมด  
ก็ขอจบ เรื่องปฏิจจสมุปาบาท เพียงเท่านี้ เพราะมันเขียนยาก มันต้องเขียนออกมาจากจิต หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับทุกท่าน เอาไปแก้ปัญหาชีวิต การทำงาน และการดำรงชีวิตของท่าน

ถึงท่านไม่เคยศึกษาปฏิจจสมุปาบาทมาเลย ท่านก็จะทราบได้เองในผลของปฏิจจสมุปาบาท จากการเจริญสติปัฏฐาน ๔ นั่นเอง

หวังว่า คุณสมชาย  คงเข้าใจได้ อย่าไปท่องจำ  ท่านต้องเห็นจริงตามธรรมนั้น ด้วยจิตของท่านในธรรมที่มันปรากฏกับจิตท่าน จากการเจริญสติ มันจึงจะนำเอาไปใช้งานได้ในการแก่ปัญาชีวิต-งานของท่าน ได้

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #13146 เมื่อ: 13 ตุลาคม 2557, 07:40:39 »



สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง และแขกผู้มาเยือน ที่รักทุกท่าน

วันนี้เช้า ได้เดินจงกรมออกกำลังกาย ฝึกชิกง-โยคะและแกว่งแขน ได้ปล่อยให้จิตพิจารณา ปฏิจจสมุปบาท
มีหลายสิ่งที่น่าสนใจขอโน๊ตเอาไว้ก่อน จะมาอธิบายให้ทราบภายหลัง

- คำว่า สัตว์  บุคคล ตัวตน เรา เขา เป็นอย่างไร?
- รูป-นาม ที่ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา ที่จิตมาอาศัยอยู่ และเป็นนายคอยบงการรูป-นาม นั้น เป็นอย่างไร?
- การเปลี่ยนจาก "อวิชชา" เป็น "วิชชา" หรือเปลี่ยนจาก "หลง" เป็น "รู้" นั้นหมายความอย่างไร? และทำให้เกิดขึ้นได้อย่างไร?
- ผัสสะ ดับ กองทุกทั้งมวลก็ดับ ดร.สุริยา  อาจจะแย้งว่า อย่างนั้นคนตายไม่มีวิญญาณ ไม่มีผัสสะ ก็คงสิ้นทุกข์ ได้
- เมื่อใดมีทุกข์ เมื่อนั่นมีศรัทธา ก็สิ้นทุกข์ได้
- การเปลี่ยน"ทุกข์" เป็น "มีศรัทธา" ด้วยกาารมีสติ-รู้สึกตัว
- เปลี่ยน "อวิชชา" มาเป็น "วิชชา" ด้วยสติปัฏฐาน ๔
- อริยมรรคมีองค์ ๘ คือวิธีปฏิบัติที่พ้นทุกถาวร และแก้ปัญหาทางโลกได้สิ้นอย่างไร?

วันนี้้เช้า ได้หุงข้าว ใส่บาตรพระที่หน้าบ้าน

วันนี้ ต้องเดินทางไปทำงานที่ PSTC สระบุรี

ขอทุกท่านจงเห็นความจริงในธรรม ปฏิจจสมุปบาท  ด้วยเถิด

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #13147 เมื่อ: 13 ตุลาคม 2557, 08:09:14 »

สวัสดีครับพี่สิงห์

ถ้ายังอยู่ภาคใต้ครับ.....
ภาคใต้ (ฝั่งตะวันออก)  มีเมฆเป็นส่วนมาก กับมีฝนฟ้าคะนองเกือบทั่วไป ร้อยละ 70 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดเพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฏร์ธานี นครศรีธรรมราช และสงขลา
อุณหภูมิต่ำสุด 22-24 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 31-33 องศาเซลเซียส
ลมตะวันออก ความเร็ว 15-30 กม./ชม.
ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอคลื่นสูง 1-2 เมตร

หากกลับ กทม.แล้ว.....
กรุงเทพมหานครและปริมณฑล  มีเมฆมาก โอกาสมีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆ ร้อยละ 20 ของพื้นที่
อุณหภูมิต่ำสุด 24-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-33 องศาเซลเซียส
ลมตะวันออก ความเร็ว 10-30 กม./ชม.


 
      บันทึกการเข้า
สมชาย17
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,300

« ตอบ #13148 เมื่อ: 13 ตุลาคม 2557, 10:33:12 »


สวัสดีครับ พี่สิงห์

ผมเองเป็นผ ุ้อ่านธรรมะมาพอสมควร  แต่ปฎิบัติน้อยมาก   กิเลสจึงครอบอยู่เสมอ โลภ โกรธ หลง

โดยเฉพาะ ตัวหลง หรือหลงตัว. มีอยู่ตลอดเวลา สติมาไม่ทัน

ได้อ่านบทความพี่สิงห์ ทำให้อยากปฎิบัติมากขึ้น ให้ได้เห็นได้พบเอง

แค่มีสติ อยู่กับตัว บ่อยๆ ก็ดีมากแล้ว. อยากมีตัวสตินี่แหละครับ

 ที่กังวลคือการเข้าใจผิดระหว่าง ความนึกคิดกับสติ. แล้วคิดว่าเป็น ตัวเดียวกัน

ขอบคุณ พี่สิงห์ ที่เผยแผ่ ธรรมะดีๆ มาโดยตลอดครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #13149 เมื่อ: 13 ตุลาคม 2557, 13:22:32 »

สวัสดีครับ คุณสมชาย

สติ-ความรู้สึกตัว VS ความคิด

มันคนละอันกันเลย มันเป็นคู่อริกัน

จิตมนุษย์นั้น มันมีอารมณ์ มันรู้แจ้ง ได้ครั้งละอย่างเดียวเท่านั้น

เมื่ออยู่กับความคิด  มีแต่วิตกกังวล ไหลไปกับความคิด

แต่เมื่อรู้สึกตัว หรือมีสติ จะมีแต่ความรู้สึก ๆ ธรรมดา ๆ เท่านั้น มันจึงไม่ทุกข์ เราต้องมีความรู้สึกที่กาย เพราะเป็นอวัยวะอย่างหยาบ ที่จิดจะไปเกาะได้ง่าย

ต้องพยายาม แยกสติ-ความรู้สึกตัว กับ ความคิด  ออกจากกันให้ได้

เมื่อใดหลง ไหลไปกับความคิด เรากลับมารู้ได้ เราก็จะเห็นสภาพของการคิดหรือความคิด เมื่อเรารู้จักอารมณ์ของความคิด เราก็จะรู้จักอารมณ์ของการไม่คิด

ในทำนองเดียวกันเมื่อเรารู้จักอารมณ์ของการขาดสติ ไปกับการคิด เราจะรู้จักอารมณ์ของสติ-ความรู้สึกตัวที่กาย ได้เช่นกัน

ต้องแยกให้ออกครับ ระหว่างสติ-ความรู้สึกตัว กับ ความคิด

ตั้งแต่เกิดเราชิน หลงไปกับความคิด แต่ตอนนี้เราต้องมาอยู่กับสติ-ความรู้สึกตัว ทำอารมณ์ตัวนี้ให้เกิดขึ้น ครับ มันเป็นทางสายเอกสายเดียวเท่านั้น ที่จะทำให้ชีวิตมีความสุข ณ ปัจจุบัน และพ้นทุกข์ถาวรได้ จริง

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
  หน้า: 1 ... 524 525 [526] 527 528 ... 681   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

สมาคมนิสิตเก่าหอพักนิสิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มวลสมาชิกสมาคม คณาจารย์ และนิสิตเก่าทุกคน ขอน้อมเกล้าถวายความอาลัย  พระผู้เสด็จสู่สวรรคาลัย ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ <;))))><