25 พฤศจิกายน 2567, 00:03:43
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 461 462 [463] 464 465 ... 681   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: คุย กับ คุณมานพ กลับดี อดีตประธานชมรม ๓ สมัย  (อ่าน 3576836 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 25 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #11550 เมื่อ: 11 มกราคม 2557, 07:42:02 »


สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง และแขกผู้มาเยือน ที่รักทุกท่าน

พี่สิงห์ ยังอยู่นครศรีธรรมราช

เช้านี้ได้สวดมนต์ทำวัตรเช้า นั่งภาวนาเจริญสติ  เดินจงกรมออกกำลังกาย ฝึกชิกง-โยคะ ที่ลานเอนกประสงค์ของโรงแรมทวินโลตัส ชั้นสาม

พี่สิงห์  มีความเชื่อมั่นว่า  การรับปรทานอาหารเช้า ที่ตรงเวลา มีผักสดเป็นเครื่องเคียง หรือมีวินัยในการกินตรงเวลาสองมื้อ และเลือกอาหารบ้างพอสมควร  การออกกำลังกายเป็นนิจ  การนอนหัวค่ำ ตื่นเช้ามืด  การขับถ่ายที่ตรงเวลา และการภาวนาเจริญสติ แบบที่พี่สิงห์ กระทำอยู่นี้

เป็นสิ่งที่ห่างไกลโรคได้  อย่าลืมพี่สิงห์  ไม่เป็นอะไรเลยในหลายปีที่ผ่านมา ทั้งๆ ที่เคยปวดหัว มายเกรน ปวดต่าง ๆ แพ้อากาศ  ไซนัสเรื้อรัง  เจ็บคอ คอบวมเวลาใช้เสียงมาก ๆ และต้องไม่สบายหนักๆ เป็นประจำ ทุกปี

แต่หลายปีที่ผ่านมานั้น  ทำไมมันไม่เป็นอย่างเดิมเล่า เพราะพี่สิงห์ มีวินัยในการปฏิบัติ ยึดหลัก 3อ.และนอนหัวค่ำตื่นเช้ามืดนี่เอง

ทุกท่านลองดูซิครับ  แล้วท่านจะพบความจริงอย่างที่พี่สิงห์ พบ คือห่างไกลโรค  มีสุขภาพกาย มีสุขภาพใจ ที่ดี

สวัสดีครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #11551 เมื่อ: 11 มกราคม 2557, 10:06:24 »



จิตมนุษย์ นั้นถ้าได้รับการฝึกที่ถูกต้อง เช่นพระพุทธองค์ สอนให้ฝึกจิตด้วยการตั้งสติปัฏฐาน ๔ คือ โดยปกติจิตมนุษย์นั้น เราไม่สามารถควบคุมจิตของเราได้เลย จิตมันคิดของมันตลอดเวลา คิดเรื่องโน้น คิดเรื่องนี้

เมื่อมันคิดขึ้นมา เราไม่มีสติ เราไม่รู้ตัว ก็จะหลงเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของความคิดนั้น ถ้าคิดในสิ่งที่เป็นกุศล ก่อประโยชน์เป็นธรรมะ ก็สมควรที่จะคิด แต่ต้องรู้ตัว เพราะถ้าหลงเราจะไม่รู้ตัว เราอาจจะพลั้งเผลอ กระทำทางกาย  วาจา ไปได้

สำหรับคนที่ศรัทธาไปทางที่ผิด หลงคิดตามผู้นำที่ผิด  หลงคิดไปกับพระบางรูปที่สอนผิด ๆ จากคำสอนของพระพุทธองค์ หรือต่างศาสนา นั้นมันอันตรายที่เราจะไปสนทนาได้ เพราะเขาก้มีศรัทธาแรงกล้า เพราะหลงในความคิดตนเอง  มันจึงมีวิวาททางความคิดไม่สิ้นสุด

เมื่อเรารู้พฤติกรรมอย่างนี้ของจิตมนุษย์เราก็ต้องเอามาใช้ประโยชน์  มาฝึกจิตของเราเสียใหม่ คือ ไม่ให้มันหลงคิด

ทำอย่างไรจะไม่ให้หลงคิด ก็คือ ปฏิบัติตามการตั้งสติปัฏฐาน ๔ คือ พิจารณากาย เวทนา  จิต  ธรรม หมายความว่า

พิจารณากาย เมื่อเดินก็รู้สึกตัวว่าเดิน  เมื่อนั่งก็รู้สึกตัวว่านั่ง เมื่อนอนก็รู้สึกตัวว่านอน เมื่อยืนก็รู้สึกตัวว่าเดิน เมื่อกำลังทำธุรส่วนตัวก็รู้ว่าทำธุรส่วนตัว เมื่อทำงานก็รู้ตัวว่ากำลังทำงาน เมื่อหายใจเข้าก็รู้สึกตัวว่าหายใจเข้า เมื่อหายใจออกก็รู้สึกตัว่ากำลังหายใจออก เมื่อเคลื่อนมือก็รู้ว่ามือกำลังเคลื่อน เมื่อหยุดมือก็รุ้ว่ากำลังหยุดมือ เพราะการรู้สึกตัวได้  จิตมันจะไม่คิด  เมื่อไม่คิดก็ไม่ทุกข์

พิจารณาเวทนา คือ เมื่อมีความสุขเกิดขึ้นที่ใจ ที่กาย ก็รู้ว่ามีความสุข ไม่หลงดีใจ ไม่หลงสุขใจ ไม่หลงติดในสุขที่ได้รับนั้น  เมื่อมีทุกข์ทางกาย เมื่อมีทุกข์ทางใจเกิดขึ้น ก็รู้ว่านี้คือทุกข์  ทุกข์นั้นเกิดขึ้นด้วยเหตุ-ปัจจัยอะไร ก็ไม่หลงเสียใจอยู่ในทุกข์นั้น ไม่หลงน้อยใจอยู่ในทุกข์นั้น เมื่อมีความไม่สุขไม่ทุกข์เกิดขึ้นก็รู้ตัวไม่หลคิดกับความไม่ทุกข์ไม่สุขนั้นด้วยรู้ตัวหรือมีวิชชา นั่นเอง (รู้เท่าทัน ในสิ่งที่ประสบนั้นในความจริง ในเหตุ-ปัจจัย จึงอุเบกขาเสียได้

พิจารณาจิต คือเวลาจิตประกอบเหตุที่ทำให้โกรธ ให้โลภ ใหเหลง ต้องรู้ตัว อย่าให้ตกไปในอารมณ์นั้น เพราะถ้าหลงไปตาม มันก็จะโกรธ จะโลภ จะหลง เมื่อรู้ตัว และมีวิชชา มันจะไม่หลงไปคิดตาม มันก้อุเบกขาได้ด้วยปัญญา จึงต้องทำวิชชาให้เกิด

พิจารณาในธรรม เมื่อเราฝึกจิตของเราให้รู้สึกตัวดีแล้ว ธรรมชาติของจิตมันต้องคิด ก็ขอให้คิดในพระธรรมของพระพุทธองค์เป็นหลัก นอกเหนือจากที่ต้องคิดในการดำรงชีวิต มีอาชีพ อยู่ในสังคม  ข้อสำคัญ อย่าส่งเสริมให้จิตคิดเรื่อยเปื่อยโดยที่ไม่รู้ตัว เพราะจิตมันชอบคิดของมัน มาจากสิ่งที่ประสบทางตา หู จมูกลิ้น กาย ใจ และในสิ่งที่มันจำไว้ในหน่วยความจำ ธรรมชาติจิตมันเป็นอย่างนี้  
สำหรับผมเองผมฝึกมันอย่างนี้  มันจึงมีธรรมะที่เห็นได้ขึ้นมาเองด้วยวิปัสสนาปัญญา อยู่ตลอดเวลา คือเห็นจริงตามคำสอนของพระพุทธองค์  จริง โดยไม่ได้ไปคิดเรื่องอะไรมากนัก เพราะผมไม่ได้ดูทีวี  ไม่ได้ฟังวิทยุ  ไม่ได้ติดต่อใครมากนัก มันจึงมีเรื่องคิดน้อย และคิดในทางธรรม

ส่วนวิปัสสนาปัญญานั้น  เนื่องจากเราฝึกจิตของเราไม่ให้ยินดี ยินร้ายในตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ และเราให้คิดในทางธรรมเป็นส่วนใหญ่ จิตมันไม่มีทางอื่นไปได้ นอกจากมันจะคิดทางธรรม พิจารณาเห็นธรรม คือความจริงในสิ่งธรรมชาตินั้น  ด้วยตัวของมันเอง เพราะมันชอบคิด เพียงแต่เราต้องมีสติ-สัมปชัญญา เป็นญาณ ไม่ใช้ไปสงบสติอยู่ที่เป็น ฌาณ คือสมถะ ไปแช่จิตให้มันอยู่เฉย ๆ ไม่รับรู้อะไร  มันจึงไม่ได้อะไร ซึ่งคนส่วนใหญ่เวลาภาวนาจะเป็นอย่างนั้น

เราต้องพยายามฝึกจิตของเรา เมื่อมันคิด ก็ให้รู้ เมื่อรู้มันก็ไม่หลง หรือไม่คิด เมื่อคิดต้องคิดประกอบไปด้วยประโยชน์ เป็นไปในทางกุศลธรรม เสมอ

จิตมนุษย์นั้นฝึกได้  อยู่ที่เราจะมีวิริยะในการฝึกหรือไม่เท่านั้นเอง คือฝึกด้วยสติปัฏฐาน ๔ นั่นเอง

ก็เรียนให้ทราบ ตามนี้ ไปก่อน  จนกว่าผมจะพบความจริงมากไปกว่านี้

สวัสดี


ที่เขียนไม่ต้องเนื่อง ตั้งแต่เช้า เพราะติดประชุม ครับ

เมื่อเช้าขณะเดินจงกรมออกกำลังกาย  จิตมันคิดขึ้นมา เห็นจริงในธรรม หลายเรื่อง ครับ

อย่าลืมคำสอนของ สมเด็จพระญาณสังวร  สมเด็จพระสังฆราช ท่านสอนว่า "สมถะ และสมาธิ ไม่สามารถจะเอาชนะกิเลสได้  ต้องใช้วิปัสนาปัญญา จึงจะกำจัดกิเลสได้ " คือจิตมันรู้เท่าทันในเหตุ-ปัจจัยของกิเลสนั้น หรือวิชชา จึงเอาชนะกิเลสได้

อนุสัย คือกิเลสเครื่องเนิ่นช้า หรือคือกิเลสที่นอนเนื่องอยู่ในสันดาลหรือจิต เหมือนหินทับหญ้า เวลามีเหตุ-ปัจจัย ก็เกิดขึ้นมาทันทีระงับไม่ทัน เช่นเดียวกับเวลาเอาก้อนหินออก หญ้าก็โตทันที หรือ น้ำที่มีตะกอนนอนก้น เวลาเอาไม้ไปกวนน้ำ น้ำก็ขุ่น ฉันใดฉันนั้น นั่นละอนุสัย ละ มันต่างกับสังโยชน์ แต่เป็นกิเลสตัวเดียวกัน ต่างสถานะที่เกาะติดในจิต
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #11552 เมื่อ: 11 มกราคม 2557, 13:31:52 »

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง และแขกผุ้มาเยือน ทีรักทุกท่าน

จูฬเวทัลลสูตร คือพระสูตรโต้ตอบสูตรเล็กนี้  น่าสนใจยิ่ง เมื่อเช้า เมือจิตมันคิดในเรื่องนี้ พอขึ้นห้องเปิดพระไตรปิฎกอ่าน ก็เจอพระสูตร นี้ อ่านแล้วเห็นจริงตามนั้น  ตรงกับที่มันเกิดวิปัสสนาปัญญา ขระเดินจงกรม

จึงเอามาบอกเพื่อให้ทุกท่านได้ศึกษาในธรรมนั้นโดยละเอียด หรือสอนจิตตนเองครับ

วิสาขอุบาสก เป็นอดีตสามีของ ธรรมทินนาภิกษุณี

สวัสดี


พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๒  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๔
มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์


๔. จูฬเวทัลลสูตร
การสนทนาธรรมที่ทำให้เกิดปีติ


             [๕๐๕] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้:-
             สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่พระวิหารเวฬุวัน อันเป็นสถานที่ให้เหยื่อแก่กระแต
เขตพระนครราชคฤห์. ครั้งนั้น วิสาขอุบาสกเข้าไปหาธรรมทินนาภิกษุณีถึงที่อยู่ อภิวาทแล้ว
นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.

เรื่องสักกายทิฏฐิ

             [๕๐๖] วิสาขอุบาสกครั้นนั่งแล้ว ได้ถามธรรมทินนาภิกษุณีว่า ข้าแต่พระแม่เจ้า พระ-
*ผู้มีพระภาคตรัสว่า สักกายะ สักกายะ ดังนี้ ธรรมอะไรที่พระผู้มีพระภาคตรัสว่า สักกายะ?
             ธรรมทินนาภิกษุณีตอบว่า ดูกรวิสาขะผู้มีอายุ อุปาทานขันธ์ ๕ คือรูปูปาทานขันธ์ ๑
เวทนูปาทานขันธ์ ๑ สัญญูปาทานขันธ์ ๑ สังขารูปาทานขันธ์ ๑ วิญญาณูปาทานขันธ์ ๑ อุปาทาน
ขันธ์ ๕ นี้แล พระผู้มีพระภาคตรัสว่า สักกายะ.
             วิสาขอุบาสก ชื่นชม อนุโมทนา ภาษิตของธรรมทินนาภิกษุณีว่า ถูกละพระแม่เจ้า ดังนี้
แล้ว ได้ถามปัญหาต่อไปว่า ข้าแต่พระแม่เจ้า พระผู้มีพระภาคตรัสว่า สักกายสมุทัย สักกาย-
*สมุทัย ดังนี้ ธรรมอะไรที่พระผู้มีพระภาคตรัสว่าสักกายสมุทัย?
             ธ. ดูกรวิสาขะผู้มีอายุ ตัณหาอันทำให้เกิดในภพใหม่ สหรคตด้วยความกำหนัดยินดี
เพลิดเพลินยิ่งในอารมณ์นั้นๆ คือ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา ตัณหานี้แล พระผู้มีพระ-
*ภาคตรัสว่า สักกายสมุทัย.
             วิ. ข้าแต่พระแม่เจ้า พระผู้มีพระภาคตรัสว่า สักกายนิโรธ สักกายนิโรธดังนี้ ธรรมอะไร
ที่พระผู้มีพระภาคตรัสว่า สักกายนิโรธ?
             ธ. ดูกรวิสาขะผู้มีอายุ ความดับด้วยความคลายกำหนัดไม่มีเหลือ ความสละ ความสละ
คืน ความปล่อย ความไม่พัวพัน ด้วยตัณหานั้น นี้แล พระผู้มีพระภาคตรัสว่า สักกายนิโรธ.
             วิ. ข้าแต่พระแม่เจ้า พระผู้มีพระภาคตรัสว่า สักกายนิโรธคามินีปฏิปทา สักกายนิ-
*โรธคามินีปฏิปทา ดังนี้ ธรรมอะไรที่พระผู้มีพระภาคตรัสว่า สักกายนิโรธคามินีปฏิปทา?
             ธ. ดูกรวิสาขะผู้มีอายุ อริยมรรคมีองค์ ๘ คือ ปัญญาอันเห็นชอบ ๑ ความดำริชอบ ๑
วาจาชอบ ๑ ทำการงานชอบ ๑ เลี้ยงชีวิตชอบ ๑ ความเพียรชอบ ๑ ความระลึกชอบ ๑ ความ
ตั้งจิตไว้ชอบ ๑ นี้แล พระผู้มีพระภาคตรัสว่า สักกายนิโรธคามินีปฏิปทา.
             วิ. ข้าแต่พระแม่เจ้า อุปาทานกับอุปาทานขันธ์ทั้ง ๕ เป็นอันเดียวกัน หรืออุปาทาน
เป็นอย่างอื่นจากอุปาทานขันธ์ทั้ง ๕?
             ธ. ดูกรวิสาขะผู้มีอายุ อุปาทานกับอุปาทานขันธ์ทั้ง ๕ หาใช่อันเดียวกันไม่
อุปาทานเป็นอย่างอื่นจากอุปาทานขันธ์ทั้ง ๕ ก็หาใช่ไม่ ความกำหนัดพอใจในอุปาทานขันธ์ทั้ง ๕
เป็นอุปาทาน ในอุปาทานขันธ์ทั้ง ๕ นั้น.
             [๕๐๗] วิ. ข้าแต่พระแม่เจ้า ก็สักกายทิฏฐิมีได้อย่างไร?
             ธ. ดูกรวิสาขะผู้มีอายุ ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับในโลกนี้ ไม่ได้เห็นพระอริยะไม่ฉลาด
ในธรรมของพระอริยะ ไม่ได้ฝึกในธรรมของพระอริยะ ไม่ได้เห็นสัปบุรุษ ไม่ฉลาดในธรรม
ของสัปบุรุษ ไม่ได้ฝึกในธรรมของสัปบุรุษ ย่อมตามเห็นรูป โดยความเป็นตนบ้าง ตามเห็น
ตนว่ามีรูปบ้าง ตามเห็นรูปในตนบ้าง ตามเห็นตนในรูปบ้าง ย่อมตามเห็นเวทนา ... ย่อมตามเห็น
สัญญา ... ย่อมตามเห็นสังขารทั้งหลาย ... ย่อมตามเห็นวิญญาณ โดยความเป็นตนบ้าง ตามเห็น
ตนว่ามีวิญญาณบ้าง ตามเห็นวิญญาณในตนบ้าง ตามเห็นตนในวิญญาณบ้าง อย่างนี้แล
สักกายทิฏฐิจึงมีได้.
             วิ. ข้าแต่พระแม่เจ้า ก็อย่างไรสักกายทิฏฐิจึงจะไม่มีฯ
             ธ. ดูกรวิสาขะผู้มีอายุ อริยสาวกผู้ได้สดับแล้วในธรรมวินัยนี้ ได้เห็นพระอริยะ
ฉลาดในธรรมของพระอริยะ ฝึกดีแล้วในธรรมของพระอริยะ ได้เห็นสัปบุรุษ ฉลาดในธรรม
ของสัปบุรุษ ฝึกดีแล้วในธรรมของสัปบุรุษ ย่อมไม่ตามเห็นรูป โดยความเป็นตนบ้าง ไม่ตามเห็น
ตนว่ามีรูปบ้าง ไม่ตามเห็นรูปในตนบ้าง ไม่ตามเห็นตนในรูปบ้าง ย่อมไม่ตามเห็นเวทนา ...
ย่อมไม่ตามเห็นสัญญา ... ย่อมไม่ตามเห็นสังขารทั้งหลาย ... ย่อมไม่ตามเห็นวิญญาณ โดยความ
เป็นตนบ้าง ไม่ตามเห็นตนว่ามีวิญญาณบ้าง ไม่ตามเห็นวิญญาณในตนบ้าง ไม่ตามเห็นตนใน
วิญญาณบ้าง อย่างนี้แล สักกายทิฏฐิจึงจะไม่มี.

เรื่องมรรค ๘ กับขันธ์ ๓

             [๕๐๘] วิ. ข้าแต่พระแม่เจ้า ก็อริยมรรคมีองค์ ๘ ไฉน?
             ธ. ดูกรวิสาขะผู้มีอายุ อริยมรรคมีองค์ ๘ นี้ คือ ปัญญาอันเห็นชอบ ๑ ความดำริชอบ ๑
วาจาชอบ ๑ ทำการงานชอบ ๑ เลี้ยงชีวิตชอบ ๑ ความเพียรชอบ ๑ ความระลึกชอบ ๑
ความตั้งจิตไว้ชอบ ๑.
             วิ. ข้าแต่พระแม่เจ้า ก็อริยมรรคมีองค์ ๘ เป็นสังขตะหรือเป็นอสังขตะ?
             ธ. ดูกรวิสาขะผู้มีอายุ อริยมรรคมีองค์ ๘ เป็นสังขตะ.
             วิ. ข้าแต่พระแม่เจ้า ขันธ์ ๓ (กองศีล กองสมาธิ กองปัญญา) พระผู้มีพระภาค
ทรงสงเคราะห์ด้วยอริยมรรคมีองค์ ๘ หรือว่าอริยมรรคมีองค์ ๘ พระผู้มีพระภาคทรงสงเคราะห์ด้วย
ขันธ์ ๓.
             ธ. ดูกรวิสาขะผู้มีอายุ ขันธ์ ๓ พระผู้มีพระภาคไม่ทรงสงเคราะห์ด้วยอริยมรรคมีองค์ ๘
ส่วนอริยมรรคมีองค์ ๘ พระผู้มีพระภาคทรงสงเคราะห์ด้วยขันธ์ ๓ คือ วาจาชอบ ๑ ทำการงาน
ชอบ ๑ เลี้ยงชีวิตชอบ ๑ ทรงสงเคราะห์ด้วยศีลขันธ์ ความเพียรชอบ ๑ ความระลึกชอบ ๑
ความตั้งจิตไว้ชอบ ๑ ทรงสงเคราะห์ด้วยสมาธิขันธ์ ปัญญาอันเห็นชอบ ๑ ความดำริชอบ ๑
ทรงสงเคราะห์ด้วยปัญญาขันธ์.

เรื่องสมาธิและสังขาร  

           วิ. ข้าแต่พระแม่เจ้า ก็ธรรมอย่างไร เป็นสมาธิ ธรรมเหล่าใด เป็นนิมิตของสมาธิ
ธรรมเหล่าใด เป็นเครื่องอุดหนุนสมาธิ การทำให้สมาธิเจริญ เป็นอย่างไร?
             ธ. ดูกรวิสาขะผู้มีอายุ ความที่จิตมีอารมณ์เป็นอย่างเดียว เป็นสมาธิ สติปัฏฐาน ๔
เป็นนิมิตของสมาธิ สัมมัปปธาน ๔ เป็นเครื่องอุดหนุนสมาธิ ความเสพคุ้น ความเจริญ ความ
ทำให้มากซึ่งธรรมเหล่านั้นแหละ เป็นการทำให้สมาธิเจริญ.
             [๕๐๙] วิ. ข้าแต่พระแม่เจ้า ก็สังขาร มีเท่าไร?
             ธ. ดูกรวิสาขะผู้มีอายุ สังขารเหล่านี้ มี ๓ ประการคือ กายสังขาร วจีสังขาร
จิตตสังขาร.
             วิ. ข้าแต่พระแม่เจ้า ก็กายสังขาร เป็นอย่างไร วจีสังขารเป็นอย่างไร จิตตสังขารเป็น
อย่างไร?
             ธ. ดูกรวิสาขะผู้มีอายุ ลมหายใจออกและลมหายใจเข้า เป็นกายสังขาร วิตกและวิจาร
เป็นวจีสังขาร สัญญาและเวทนา เป็นจิตตสังขาร.
             วิ. ข้าแต่พระแม่เจ้า ก็เหตุไร ลมหายใจออกและลมหายใจเข้า จึงเป็นกายสังขาร
วิตกและวิจาร จึงเป็นวจีสังขาร สัญญาและเวทนา จึงเป็นจิตตสังขาร?
             ธ. ดูกรวิสาขะผู้มีอายุ ลมหายใจออกและลมหายใจเข้าเหล่านี้ เป็นธรรมมีในกาย
เนื่องด้วยกาย ฉะนั้น ลมหายใจออกและลมหายใจเข้า จึงเป็นกายสังขาร บุคคลย่อมตรึก
ย่อมตรองก่อนแล้ว จึงเปล่งวาจา ฉะนั้น วิตกและวิจาร จึงเป็นวจีสังขาร สัญญาและเวทนา
เป็นธรรมมีในจิต เนื่องด้วยจิต ฉะนั้นสัญญาและเวทนา จึงเป็นจิตตสังขาร.

เรื่องสัญญาเวทยิตนิโรธ

            [๕๑๐] วิ. ข้าแต่พระแม่เจ้า ก็การเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ เป็นอย่างไร?
             ธ. ดูกรวิสาขะผู้มีอายุ ภิกษุผู้เข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ มิได้มีความคิดอย่างนี้ว่า เราจัก
เข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ ว่าเรากำลังเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธอยู่ ว่าเราเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธแล้ว
ก็แต่ความคิดอันนำเข้าไปเพื่อความเป็นอย่างนั้น อันท่านให้เกิดแล้วตั้งแต่แรก.
             วิ. ข้าแต่พระแม่เจ้า ก็เมื่อภิกษุเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ ธรรม คือ กายสังขาร วจี
สังขาร จิตตสังขาร อย่างไหน ย่อมดับไปก่อน?
             ธ. ดูกรวิสาขะผู้มีอายุ เมื่อภิกษุเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ วจีสังขารดับก่อน ต่อจากนั้น
กายสังขารก็ดับ จิตตสังขารดับทีหลัง.
             วิ. ข้าแต่พระแม่เจ้า ก็การออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ เป็นอย่างไร?
             ธ. ดูกรวิสาขะผู้มีอายุ ภิกษุผู้ออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ มิได้มีความคิดอย่าง-
*นี้ว่า เราจักออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ ว่าเรากำลังออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติว่าเรา
ออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติแล้ว ก็แต่ความคิดอันนำเข้าไปเพื่อความเป็นอย่างนั้น อัน
ท่านให้เกิดแล้วแต่แรก.
             วิ. ข้าแต่พระแม่เจ้า ก็เมื่อภิกษุออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ ธรรมคือกายสัง-
*ขาร วจีสังขาร จิตตสังขาร อย่างไหน เกิดขึ้นก่อน.
             ธ. ดูกรวิสาขะผู้มีอายุ เมื่อภิกษุออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ จิตตสังขารเกิด
ขึ้นก่อน ต่อจากนั้นกายสังขารก็เกิดขึ้น วจีสังขารเกิดขึ้นทีหลัง.
             วิ. ข้าแต่พระแม่เจ้า ก็ผัสสะเท่าไร ย่อมถูกต้องภิกษุผู้ออกแล้วจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ?
             ธ. ดูกรวิสาขะผู้มีอายุ ผัสสะ ๓ ประการ คือ ผัสสะชื่อสุญญตะ (รู้สึกว่าว่าง)
ผัสสะชื่ออนิมิตตะ (รู้สึกว่าไม่มีนิมิต) และผัสสะชื่ออัปปณิหิตะ (รู้สึกว่าไม่มีที่ตั้ง) ย่อม
ถูกต้องภิกษุผู้ออกแล้วจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ.
             วิ. ข้าแต่พระแม่เจ้า ก็ภิกษุผู้ออกแล้วจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ. มีจิตน้อมไปใน
ธรรมอะไร โอนไปในธรรมอะไร เอนไปในธรรมอะไร?
             ธ. ดูกรวิสาขะผู้มีอายุ ภิกษุผู้ออกแล้วจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ มีจิตน้อมไปใน
วิเวก โอนไปในวิเวก เอนไปในวิเวก.

เรื่องเวทนา

            [๕๑๑] วิ. ข้าแต่พระแม่เจ้า เวทนามีเท่าไร?
             ธ. ดูกรวิสาขะผู้มีอายุ เวทนานี้มี ๓ ประการ คือ สุขเวทนา ๑ ทุกขเวทนา ๑
อทุกขมสุขเวทนา ๑.
             วิ. ข้าแต่พระแม่เจ้า ก็สุขเวทนาเป็นอย่างไร ทุกขเวทนาเป็นอย่างไร อทุกขมสุขเวทนา
เป็นอย่างไร?
             ธ. ดูกรวิสาขะผู้มีอายุ ความเสวยอารมณ์ที่เป็นสุขสำราญ อันเป็นไปทางกาย หรือ
เป็นไปทางจิต นี่เป็นสุขเวทนา ความเสวยอารมณ์ที่เป็นทุกข์ไม่สำราญ อันเป็นไปทางกาย
หรือเป็นไปทางจิต นี่เป็นทุกขเวทนา ความเสวยอารมณ์ที่มิใช่ความสำราญ และมิใช่ความไม่
สำราญ (เป็นส่วนกลางมิใช่สุขมิใช่ทุกข์) อันเป็นไปทางกาย หรือเป็นไปทางจิต นี่เป็น
อทุกขมสุขเวทนา.
             วิ. ข้าแต่พระแม่เจ้า ก็สุขเวทนา เป็นสุขเพราะอะไร เป็นทุกข์เพราะอะไร?
             ธ. ดูกรวิสาขะผู้มีอายุ สุขเวทนา เป็นสุขเพราะตั้งอยู่ เป็นทุกข์เพราะแปรไป
ทุกขเวทนา เป็นทุกข์เพราะตั้งอยู่ เป็นสุขเพราะแปรไป อทุกขมสุขเวทนา เป็นสุขเพราะรู้ชอบ
เป็นทุกข์เพราะรู้ผิด.
             วิ. ข้าแต่พระแม่เจ้า ก็อนุสัยอะไร ตามนอนอยู่ในสุขเวทนา อนุสัยอะไร ตามนอน
อยู่ในทุกขเวทนา อนุสัยอะไร ตามนอนอยู่ในอทุกขมสุขเวทนา?
             ธ. ดูกรวิสาขะผู้มีอายุ ราคานุสัย ตามนอนอยู่ในสุขเวทนา ปฏิฆานุสัย ตามนอน
อยู่ในทุกขเวทนา อวิชชานุสัยตามนอนอยู่ในอทุกขมสุขเวทนา.
             วิ. ข้าแต่พระแม่เจ้า ก็ราคานุสัยตามนอนอยู่ในสุขเวทนาทั้งหมด ปฏิฆานุสัยตามนอน
อยู่ในทุกขเวทนาทั้งหมด อวิชชานุสัยตามนอนอยู่ในอทุกขมสุขเวทนาทั้งหมด หรือหนอแล?
             ธ. ดูกรวิสาขะผู้มีอายุ ราคานุสัย ตามนอนอยู่ในสุขเวทนาทั้งหมด หามิได้
ปฏิฆานุสัย ตามนอนอยู่ในทุกขเวทนาทั้งหมด หามิได้ อวิชชานุสัย ตามนอนอยู่ใน
อทุกขมสุขเวทนาทั้งหมด หามิได้.
             วิ. ข้าแต่พระแม่เจ้า ก็ธรรมอะไรจะพึงละได้ในสุขเวทนา ธรรมอะไร จะพึงละได้ใน
ทุกขเวทนา ธรรมอะไรจะพึงละได้ในอทุกขมสุขเวทนา?
             ธ. ดูกรวิสาขะผู้มีอายุ ราคานุสัยจะพึงละได้ในสุขเวทนา ปฏิฆานุสัย จะพึงละได้ใน
ทุกขเวทนา อวิชชานุสัยจะพึงละได้ในอทุกขมสุขเวทนา.
             วิ. ข้าแต่พระแม่เจ้า ก็ราคานุสัยจะพึงละเสียได้ในสุขเวทนาทั้งหมด ปฏิฆานุสัยจะพึง
ละเสียได้ในทุกขเวทนาทั้งหมด อวิชชานุสัยจะพึงละเสียได้ในอทุกขมสุขเวทนาทั้งหมด หรือ
หนอแล?
             ธ. ดูกรวิสาขะผู้มีอายุ ราคานุสัยจะพึงละเสียได้ในสุขเวทนาทั้งหมด หามิได้
ปฏิฆานุสัยจะพึงละเสียได้ในทุกขเวทนาทั้งหมด หามิได้ อวิชชานุสัยจะพึงละเสียได้ในอทุกขม-
*สุขเวทนาทั้งหมด หามิได้ ดูกรวิสาขะผู้มีอายุ ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ สงัดจากกาม
สงัดจากอกุศลธรรม บรรลุปฐมฌาน มีวิตกมีวิจาร มีปีติและสุขอันเกิดแต่วิเวกอยู่ ย่อม
ละราคะด้วยปฐมฌานนั้น ราคานุสัย มิได้ตามนอนอยู่ในปฐมฌานนั้น อนึ่ง ภิกษุในพระธรรม
วินัยนี้ ย่อมพิจารณาเห็นอยู่ว่า เมื่อไร เราจะได้บรรลุอายตนะที่พระอริยะทั้งหลายบรรลุแล้วอยู่
ในบัดนี้ ดังนี้ เมื่อภิกษุนั้นเข้าไปตั้งความปรารถนาในวิโมกข์ทั้งหลายอันเป็นอนุตตรธรรมอย่างนี้
โทมนัสย่อมเกิดขึ้น เพราะความปรารถนาเป็นปัจจัย ท่านละปฏิฆะได้ด้วยความโทมนัสนั้น
ปฏิฆานุสัยมิได้ตามนอนอยู่ในความโทมนัสนั้น อนึ่ง ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บรรลุจตุตถฌาน
อันไม่มีทุกข์ไม่มีสุข เพราะละสุขละทุกข์ และดับโสมนัส โทมนัสก่อนๆ ได้ มีอุเบกขาเป็น
เหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่ ย่อมละอวิชชาได้ด้วยจตุตถฌานนั้น อวิชชานุสัยมิได้ตามนอนอยู่ในจตุต
ฌานนั้น.
             [๕๑๒] วิ. ข้าแต่พระแม่เจ้า ก็อะไรเป็นส่วนเปรียบแห่งสุขเวทนา?
             ธ. ดูกรวิสาขะผู้มีอายุ ราคะเป็นส่วนเปรียบแห่งสุขเวทนา.
             วิ. อะไรเป็นส่วนเปรียบแห่งทุกขเวทนา?
             ธ. ปฏิฆะเป็นส่วนแห่งเปรียบแห่งทุกขเวทนา.
             วิ. อะไรเป็นส่วนเปรียบแห่งอทุกขมสุขเวทนา?
             ธ. อวิชชาเป็นส่วนเปรียบแห่งอทุกขมสุขเวทนา.
             วิ. อะไรเป็นส่วนเปรียบแห่งอวิชชา?
             ธ. วิชชาเป็นส่วนเปรียบแห่งอวิชชา.
             วิ. อะไรเป็นส่วนเปรียบแห่งวิชชา?
             ธ. วิมุติเป็นส่วนเปรียบแห่งวิชชา.
             วิ. อะไรเป็นส่วนเปรียบแห่งวิมุติ?
             ธ. นิพพานเป็นส่วนเปรียบแห่งวิมุติ
             วิ. อะไรเป็นส่วนเปรียบแห่งนิพพาน?
             ธ. ดูกรวิสาขะผู้มีอายุ ท่านล่วงเลยปัญหาเสียแล้ว ไม่อาจถือเอาส่วนสุดแห่งปัญหา
ได้ ดูกรวิสาขะผู้มีอายุ เพราะพรหมจรรย์หยั่งลงในพระนิพพาน มีพระนิพพานเป็นที่ถึงใน
เบื้องหน้า มีพระนิพพานเป็นที่สุด ถ้าท่านจำนงอยู่ ก็พึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ทูลถามเนื้อ
ความนี้เถิด พระผู้มีพระภาคทรงพยากรณ์แก่ท่านอย่างใด ท่านพึงทรงจำพระพยากรณ์นั้นไว้
อย่างนั้นเถิด.

วิสาขอุบาสกสรรเสริญธรรมทินนาภิกษุณี

            [๕๑๓] ลำดับนั้น วิสาขอุบาสก ชื่นชม อนุโมทนา ภาษิตของธรรมทินนาภิกษุณี
แล้ว ลุกจากอาสนะ อภิวาทธรรมทินนาภิกษุณี ทำประทักษิณแล้ว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค
ถึงที่ประทับ ถวายอภิวาทแล้ว นั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นนั่งเรียบร้อยแล้ว ได้กราบ
ทูลเรื่องที่ตนสนทนาธรรมกถากับธรรมทินนาภิกษุณีให้ทรงทราบทุกประการ.
             เมื่อวิสาขอุบาสกกราบทูลอย่างนี้แล้ว พระผู้มีพระภาค จึงตรัสว่า ดูกรวิสาขะ ธรรม
ทินนาภิกษุณีเป็นบัณฑิต มีปัญญามาก แม้หาก ท่านพึงสอบถามเนื้อความนั้นกะเรา แม้เราก็พึง
พยากรณ์เนื้อความนั้น เหมือนที่ธรรมทินนาภิกษุณี พยากรณ์แล้ว เนื้อความแห่งพยากรณ์นั้น
เป็นดังนั้นนั่นแล ท่านพึงทรงจำไว้อย่างนั้นเถิด.
             พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้แล้ว วิสาขอุบาสก ชื่นชม ยินดี พระภาษิตของ
พระผู้มีพระภาคแล้ว ฉะนั้นแล.

จบ จูฬเวทัลลสูตร ที่ ๔
-----------------------------------------------------
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #11553 เมื่อ: 11 มกราคม 2557, 14:01:14 »


คุณเหยง  คุณน้องหนุ๋งหนิ๋ง ไม่อยู่

มีเพียงพี่สิงห์  คนเดียวก็ขอทำหน้าที่ ถือว่าบันทึกประจำวันในชีวิตไป วันหนึ่ง ๆ ให้เวบมันคงอยู่ (ดร.สุริยา  ว่าอย่างนั้น)

ก็ต้องรับสภาพ  ดีกว่าไม่มีใครมาเขียนอะไรเลย เวบก็ตาย

พี่สิงห์ ไม่ไปไหน  ใครระลึกถึงก็เข้ามาอ่าน ก็แล้วกัน ถ้าไม่เขัยนแสดงว่าเจ็บป่วย หรือกลับบ้านเก่า ครับ

ต้องไปสนามบินนครศรีธรรมราช เพื่อเดินทางกลับ กทม. แล้วครับ

นครศรีธรรมราช ฝนกำลังตก  ไม่แรงเครื่องบินลงได้

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #11554 เมื่อ: 11 มกราคม 2557, 15:00:19 »

วันนี้คุยกับ ดร.สุริยา

คุณสมชาย  เสรีรัตน์  ต้องรับหน้าที่เป็นนายกสมาคมฯ ท่านต่อไปแล้วละ  มันหาคนอื่นไม่ได้ พี่สิงห์ ก็เห็นดีด้วย  ถ้าหาใครไม่ได้คุณราเมศว์ก็รักษาการต่อไป ในเมื่อต้องทำตามกฏหมาย เพราะเป็นสมาคมฯ

ถ้าเป็นชมรมสบายมาก  หยุดพักบ้างก็ได้ ดังที่เคยเป็นมาแล้ว

หวังว่า สุภาษิตคำโบราณยังใชไ้ได้อยู่ "กรุงศรีอยุธยา  คงไม่สิ้นคนดี" ยังเป็นจริง อยู่ครับ

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #11555 เมื่อ: 11 มกราคม 2557, 15:51:25 »

วันนี้ที่สนามบินดอนเมือง มีการโชว์การบินเนื่องในวันเด็กแห่งชาติให้เด็ก ๆ ได้ชม

ผลคือต้องปิดสนามบินดอนเมือง ชั่วคราว  ทำให้เครื่องบินลง-บินขึ้นไม่ได้

เครื่องบินที่บินจากนครศรีธรรมราชไปลงดอนเมืองเลยต้องล่าช้าออกไปครึ่งชั่วโมงเป็นอย่างน้อย เพราะต้องรอเครื่องบินมาจากดอนเมือง

พี่สิงห์ ก็ต้องถึง กทม.ล่าช้าไปด้วย ก็ไม่เป็นไรเพื่องานวันเด็ก

ได้เวลาบินขึ้นจากนครศรีธรรมราชแล้วถ้าตามเวลาปกติ แต่ตอนนี้เครื่องบินยังบินมาไม่ถึงนครศรีธรรมราชเลยครับ

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #11556 เมื่อ: 11 มกราคม 2557, 19:17:28 »

วันนี้สรุป Nok Air ล่าช้าไปหนึ่งชั่วโมงครึ่ง

รถ Taxi ที่มาส่งจากสนามบินดอนเมืองโกงมิเตอร์อีก ๓๐ บาท น่าเกลียดมาก เพราะนั่งทุกอาทิตย์ ไม่เคยเสียขนาดนี้ รถก็ไม่ติด

วันนี้โชคไม่ดี  คงเป็นกรรมเก่า ก็ต้องยอมรับ ได้แต่รู้ไว้ ไม่กล้าแย้ง มันไม่คุ้ม กับคนขี้โกงแบบนี้ แถมใบสำหรับผู้โดยสารเขาก็ยึดตั้งแต่แรกไม่ให้เรา แสดงว่าเขารู้ว่าเขาโกงมิเตอร์ จึงไม่ยอมให้ใบนั้นเราทั้งๆ ที่ถามแล้ว ขอแล้วเมื่อไม่ให้ก็ไม่เอา

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #11557 เมื่อ: 11 มกราคม 2557, 20:47:09 »

วันนี้ขณะนั่งรอเครื่อง Nok Air ได้นั่งอ่านพระไตรปิฎก เป็นการฆ่าเวลา

ได้พบคำ คำหนึ่งที่พระสารีบุตรเภระ ท่านสอนเรื่องขันธ์ ๕ ให้กับภิกษุทั้งหลายฟัง คือ

ปกติ "ขันธ์" แปลว่ากอง  หมวดหมู่ แต่ในทางพุทธศาสนานั้น หมายถึงร่างกายมนุษย์

เวทนาขันธ์  สังขารขันธ์  สัญญาขันธ์ และวิญญาณขันธ์  นั้นเป็นขันธ์อยู่แล้วในตัวเพราะมันเป็นสิ่งที่ประกอบเป็นนาม หรือจิต หรือธรรมชาติที่รู้อารมณ์ ที่เกิดขึ้นในร่างกายมนุษย์ อยู่แล้ว

ส่วนรูป  นั้นยังแยกออกได้คือ รูป กับ รูปขันธ์

รูป ก็คือ รูป ที่ประกอบเป็นร่างกายมนุษย์ส่วนหนึ่งนอกเหนือจาก นาม

แต่ รูป จะเป็น รูปขันธ์ ก็ต่อเมื่อ ตา เห็นรูป แล้วเกิดวิญญาณ นั่นแหละ จึงจะเรียกว่า รูปขันธ์

รูป เมื่อตายังไม่กระทบ(เห็น) มันไม่เกิดวิญญาณ มันก็ยังเป็น รูป  อยู่นั่นเอง

เหมือนกัน ธรรมนินทาภิกษุณี ท่านตอบ วิสาขอุบาสกว่า อุปทาน กับ อุปาทานขันธ์ ๕ นั้นต่างกัน อุปทาน ไม่จำเป็นต้องเป็น อุปทานขันธ์ ๕ แต่ อุปทานขันธ์ ๕ เป็นส่วนหนึ่งของ อุปทาน

ฉันใด ฉันนั้น ครับ

มันก็เป็นความจริง ทั้งสิ้นครับ เราต้องเข้าใจในธรรม เราจะเข้าใจได้เอง เมื่ออ่านพบ ก็สิ้นสงสัยใน อุปทานขันธ์ ๕ เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตนเป็นทุกข์

ราตรีสวัสดิ์ทุกท่านครับ
      บันทึกการเข้า
nok15
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 529

« ตอบ #11558 เมื่อ: 11 มกราคม 2557, 23:57:19 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 11 มกราคม 2557, 14:01:14

คุณเหยง  คุณน้องหนุ๋งหนิ๋ง ไม่อยู่

มีเพียงพี่สิงห์  คนเดียวก็ขอทำหน้าที่ ถือว่าบันทึกประจำวันในชีวิตไป วันหนึ่ง ๆ ให้เวบมันคงอยู่ (ดร.สุริยา  ว่าอย่างนั้น)

ก็ต้องรับสภาพ  ดีกว่าไม่มีใครมาเขียนอะไรเลย เวบก็ตาย

พี่สิงห์ ไม่ไปไหน  ใครระลึกถึงก็เข้ามาอ่าน ก็แล้วกัน ถ้าไม่เขัยนแสดงว่าเจ็บป่วย หรือกลับบ้านเก่า ครับ

ต้องไปสนามบินนครศรีธรรมราช เพื่อเดินทางกลับ กทม. แล้วครับ

นครศรีธรรมราช ฝนกำลังตก  ไม่แรงเครื่องบินลงได้

สวัสดี



สวัสดีค่ะพี่สิงห์

   ไม่ได้เขียนแต่แวะมาอ่านบ่อยๆค่ะ

มีประโยชน์ทุกห้องเลยค่ะ. เจ้าของห้องต่างๆอย่าลืมแวะเข้าห้องนะคะ

มอบถ้วยชนะเลิศเจ้าของห้องดีเด่นให้พี่สิงห์. เนื่องในวันเด็กค่ะ



สำหรับเจ้าของห้องอื่นเดี๋ยวครูนก15จะพิจารณาอีกทีว่า...ใครขยันเป็นอันดับสอง
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #11559 เมื่อ: 12 มกราคม 2557, 08:03:21 »

สวัสดีค่ะ คุณครู Nok 15 ที่รัก

ขอบคุณมากที่ยกถ้วยให้พี่สิงห์ เนื่องในวันเด็ก และขยันเข้าเวบ

เพราะมันไม่มีใครเข้า พี่สิงห์ จึงตอนเข้า ถือเป็นหน้าที่ จะต้องกระทำ ประกอบกับมีเวลา เพราะไม่ได้ข้องแวะอะไรมากนัก ในชีวิตที่เหลือนี้

วันนี้เป็นวันอาทิตย์ เป็นวันพักผ่อน เลยมาตีกอล์เช้าที่สนามกอล์ฟ President ตีครบไป ๙ หลุมแล้ว กำลังรอเข้าคิวอีก ๙ หลุมหลัง ก็แวะมาดูว่ามีใครแวะมาหาบ้าง ก็มี ครู Nok 15 นี่ละ

ขอบคุณมากค่ะที่แวะมาเยี่ยม

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
สมชาย17
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,300

« ตอบ #11560 เมื่อ: 12 มกราคม 2557, 08:17:13 »

ขอกด  ชอบนะ ชอบนะ ชอบนะ

ให้พี่นก 15   
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #11561 เมื่อ: 12 มกราคม 2557, 12:23:56 »

อ้างถึง
ข้อความของ สมชาย17 เมื่อ 12 มกราคม 2557, 08:17:13
ขอกด  ชอบนะ ชอบนะ ชอบนะ

ให้พี่นก 15  
อ้างถึง
ข้อความของ สมชาย17 เมื่อ 12 มกราคม 2557, 08:17:13
ขอกด  ชอบนะ ชอบนะ ชอบนะ

ให้พี่นก 15  

สวัสดีครับ คุณสมชาย

ขอบคุณมาก ที่แวะมาเยี่ยมเยือน

อย่าลืม ดร.สุริยา และหลาย ๆ ท่าน รวมทั้งพี่สิงห์  

เห็นชอบให้คุณสมชาย  ต้องรับตำแหน่งนายกสมาคมซีมะโด่ง  คนต่อไป เพื่อดำรงสิ่งที่ดี ๆ ของชาวซีมะโด่ง ต่อไปไม่ให้ขาดตอน

มันยากตอนตัดสินใจ  แต่เมื่อรับแล้ว ไม่มีอะไรหนักใจ ไม่มีอะไรทำไม่ได้ นี่คือความจริง

อย่าให้คนแก่ ๆ ที่เกินหกสิบปีแล้ว ต้องไปรับภาระเลย มันเลยยุคแล้ว มันเป็นเรื่องของคนรุ่นใหม่ที่จะต้องเข้ามารับภาระต่อ ในวัฒนธรรมที่ดีดีของพวกเราชาวซีมะโด่ง จุฬาฯ

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #11562 เมื่อ: 12 มกราคม 2557, 12:37:30 »

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง และแขกผู้มาเยือน ที่รักทุกท่าน

วันนี้เป็นวันพักผ่อน อยู่บ้าน  อยู่กับครอบครัว
หลายท่านวิตกกังวล ว่าพรุ่งนี้มันจะเป็นเช่นไร เมื่อกำนันสุเทพ  ปิดกรุงเทพฯ บางส่วน

มันก็ไม่เป็นอะไร  ไม่ต้องกังวลอะไร  เราก็ทำกิจกรรม ตามปกติ  ให้ถือว่าเป็นวันหยุดเพิ่มขึ้นอีกวัน ได้อยู่บ้าน  ปีใหม่ที่ผ่านมารัฐบาลท่าน ยังแถมวันหยุดให้เลย  แต่คราวนี้กำนันสุเทพ  ท่านกลัวว่าวันอาทิตย์ยังพักผ่อนไม่พอ ท่านก็เลยปิดกรุงเทพฯให้พักผ่อน เพราะรัฐบาลท่านไม่ปิด

ปิดสักวันสองวัน ธุรกิจ  มันไม่เจ้งหรอก  ถ้าจะเจ้งไม่ได้มีสาเหตุจากปิดกรุงเทพฯ ของกำนันสุเทพ  ยกตัวอย่างเช่น  

รัฐมนตรีพาณิชย์ท่านเห็นดีเห็นงามให้ปกป้องอุตสาหกรรมเหล็กของ  TATA ในเมืองไทยให้ขึ้นภาษีได้ 5% ผลคือเจ้งไปตาม ๆ กัน ส่วนรัฐมนตรีท่านก็รับทรัพย์ไป ก้อนโต ไม่มีใบเสร็จ ผลที่ตามมา กฟภ.เจ้ง ไม่มีใครขายเสาไฟฟ้าให้ เพราะราคานั้นมันขายไม่ได้ PCWire มันแพงกว่าเดิม 5% ไม่เห็นมีใครโวยวายเลย

ปิดก็ปิด ได้พักผ่อนครับ

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #11563 เมื่อ: 12 มกราคม 2557, 12:46:42 »

แต่ทางผู้เสียหายที่กระทรวงพาณิชย์ ไปรับสินบนมาแล้วออกกฏเพิ่มภาษี เขาก็ไม่ยอมเขาก็ไปร้อง เหมือนกันเพราะเขากระทบ สินค้าก่อสร้างกระทบ  ถ้าผลออกมา กระทรวงพาณิชย์แพ้  คราวนี้ละงามหน้าเพราะรับเงินไปแล้ว ประกาศไปแล้ว ต้องกลับลำใหม่ใครจะรับผิดชอบในสิ่งที่มันเสียหายไปแล้ว

ทำงานแบบกินมูมมาม  มันก็อย่างนี้ละรัฐบาลพรรคเพื่อไทย  มีช่องทางคอรับชั่นได่เป็นกระโดดใส่ท่าเดียว ทำเพื่อตัวเอง  ไม่ได้ทำเพื่อคนไทยเลย  แต่คนก็ศรัธทา  ตัวใครตัวมันก็แล้วกัน

นโยบายแบบนี้ คนแก่อยู่ยาก เพราะรายรับไม่มี  แต่รายจ่ายค่าครองชีพสินค้าอุปโภค บริโภค มันขึ้นไปจนเงินไม่มีค่าเสียแล้ว คนแก่เลยต้องรัดเข็มขัดเป็นอย่างมาก รัฐบาลท่านไม่ควบคุมเลยปล่อยให้ราคาสินค้าปรับได้ตามใจชอบ

 คนทำงานตรง ๆ โกงไม่เป็น มันจึงแย่ลง ๆ แต่คนโกงเป็น รวยเอา ๆ ก็ต้องพึ่งว่าเมื่อไรกรรมเก่ามันจะหมดเสียที  คงจะได้รับกรรมใหม่กันบ้างสำหรับคนโกง กิน คอรับชั่น กินบ้าน กินเมือง

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #11564 เมื่อ: 12 มกราคม 2557, 15:03:36 »

สี่โมงเย็นวันนี้ที่ห้าแยกลาดพร้าว ละแวก บ้านพี่สิงห์ จะได้รับผลกระทบก่อน คือ นายสาทิตย์  วงศ์หนองเตย  จะมาเตรียมเวที  รถคงจะติด  ก็ต้องทำใจถ้าใครจะผ่านเส้นทางนี้

ตอนนี้กำลังเป็นไฟไหม้ฟาง  กรณีที่นายกสั่งให้ฝ่ายความมั่นคงสอบวินัยของปลัดกระทรวงสาธารณสุข  ผลคือบุคลากรทางการแพทย์  ออกมาแสดงพลังไม่เห็นด้วยกับคำสั่งดังกล่าวมากขึ้น ๆ จะมากขึ้นถ้ารัฐบาลยังตั้งใจกระทำแบบนั้น แล้วท่านจะแย่ลงๆ

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #11565 เมื่อ: 12 มกราคม 2557, 18:22:35 »



การปิดกรุงเทพฯ ในวันพรุ่งนี้ของกำนันสุเทพ ทั้งฝ่ายกำนันสุเทพ และรัฐบาลที่สั่งการโดยรองนายกรัฐมนตรีโตวิจักฯ ซึ่งเป็นสายตรงรับคำสั่งจาก ดร.ทักษิณ  โดยตรง และนิยมความรุนแรง และกร้าวร้าว ระวังอุบัติเหตุทางการเมืองที่ทุกคนไม่ปราถนา มันจะเกิดขึ้น นั่นคือการปฏิวัติ เพราะเหตุการณ์มันจะรุนแรง มีคนล้มตาย

รองนายกคนนี้ไม่ได้หวังดีต่อประเทศไทยและคนไทยเลยทั้งสิ้น ขอให้ดูพฤติกรรมย้อนหลังได้ ทำเพื่อนายเท่านั้น

คืนนี้คงต้องสวดมนต์ ๗ ตำนาน ช่วยคนไทย ประเทศไทยครับ

สวัสดั
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #11566 เมื่อ: 12 มกราคม 2557, 19:19:19 »

วันที่ ๑๓ มกราคม ห้าแยกลาดพร้าว

ห้าแยกลาดพร้าวจะไม่มีการปิดจราจรทั้งหมด เพราะถ้าปิดทั้งหมด จะทำให้ กทม.เป็นอำมพาต

ทาง กกปส. จะปิดเฉพาะเส้นทางบนถนนพหลโยธินเท่านั้น ที่ห้าแยกลาดพร้าว ตรงสวนจตุจักร  ซึ่งกำลังตั้งเวทีปราศัยอยู่ในขณะนี้

ถ้าเป็นตามนี้จริง
ถนนวิภาวดี-รังสิต ที่ห้าแยกลาดพร้าว จะไม่มีการปิดการจราจร
ถนนลาดพร้าว ที่ห้าแยกลาดพร้าว จะไม่มีการปิดการจราจร
ถนนพหลโยธินหน้าเซ็นทรัล ที่ห้าแยกลาดพร้าว จะไม่มีการปิดการจราจร

ถ้าเป็นตามนี้  การบินไทย เซนจอห์น เซ็นทรัล   ก็ยังเปิดได้

พี่สิงห์  ก็สามารถใส่บาตรพระตอนเช้าได้ ก่อนที่จะไปทำงานที่สระบุรี

ก็ต้องขอบคุณ กำนันสุเทพ  ครับ

แต่ตอนนี้เห็น ตำรวจตั้งด่านบนถนนที่ห้าแยกลาดพร้าว ถนนลาดพร้าวทั้งสองฝั่ง

ถ้าผมเป็นตำรวจ จะไม่ตั้งด่านเลย ปล่อย เพียงแต่คอยอำนวยความสะดวกการจราจร จะดีที่สุด

ราตรีสวัสดิ์ทุกท่านครับ
      บันทึกการเข้า
nok15
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 529

« ตอบ #11567 เมื่อ: 12 มกราคม 2557, 23:02:24 »

พรุ่งนี้ไป5แยกลาดพร้าวร่วมกับชาวเกษตร
วันนี้แวะไปซื้อเสื้อรองเท้าผ้าใบกับใจถึงๆของน้าแหลม
ที่เวทีคปท.
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #11568 เมื่อ: 13 มกราคม 2557, 05:13:04 »

อ้างถึง
ข้อความของ nok15 เมื่อ 12 มกราคม 2557, 23:02:24
พรุ่งนี้ไป5แยกลาดพร้าวร่วมกับชาวเกษตร
วันนี้แวะไปซื้อเสื้อรองเท้าผ้าใบกับใจถึงๆของน้าแหลม
ที่เวทีคปท.

สวัสดียามเช้าครับ คุณน้อง Nok 15

ขอบคุณมาก
ขอเป็นกำลังใจให้เธอและ คปท.
ศีลข้อที่ ๓ เป็นข้อจำกัดสำหรับพี่สิงห์ ต้องดำเนินชีวิตให้เป็นไปเพื่อพรหมจรรย์เป็นหลัก ละทางโลกให้มาก  แต่พี่สิงห์ ยังต้องมีอาชีพ แต่ก็ยึดหลักทำแต่กุศล ไม่ทำในทางอกุศล ประกอบกับ ต้องพาเจ้านายไปดูงาน จึงไม่ได้ไปร่วมกิจกรรม ทางการเมือง ทั้งๆที่มันก็มีผลสำหรับพี่สิงห์  ถ้ามีเลือกตั้งก็ขอใช้สิทธิ์นั้นในการแสดงออกแทน ครับ

เอาใจช่วยครับ

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #11569 เมื่อ: 13 มกราคม 2557, 06:01:25 »



สวัสดียามเช้าครับ ชาวซีมะโด่ง และแขกผู้มาเยือน ที่รักทุกท่าน

เช้านี้ได้สวดมนต์ทำวัตรเช้า แผ่เมตตา ภาวนาเจริญสติ หุงข้าว ซักผ้า และเตรียมสำรับ สำหรับใส่บาตรพระเกือบเรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงเดินไปซื้อกับข้าวที่ตลาดลุงเพิ่มเท่านั้น

เช้า ๆ อย่างนี้ ตื่นขึ้นมาต้องคิดดีี  เพราะคิดดีจะทำให้จิตผ่องใส  คิดดีคือการไม่ปล่อยให้จิตไปคิดเรื่องสัพเพเหระ หรือคิดโดยไม่รู้ตัว

อย่าลืมเมื่อคิดเราต้องรู้ตัว สิ่งที่จิตมันคิดแต่ละเรื่องถ้าคิดไปในทางไม่ก่อประโยชน์และทำให้อกุศลเจริญ ก็จงอย่าคิดเสียด้วยการรู้สึกตัวที่กาย ความคิดนั้นก็จะดับไป

ถ้าจะต้องคิด ที่สัญญามาผุดมาคิด ก็ให้คิดในสิ่งที่ก่อประโยชน์ และทำให้กุศลเจริญ ก็จงตั้งใจคิด เมื่อคิดก็รู้ว่าคิดเพราะรู้ ย่อมพิจารณาด้วยปัญญา ความคิดดีดี ก็จะเกิดขึ้นเสมอ

แต่ถ้าจะให้ดี ขอให้คิดในทางธรรม คือ ยกธรรมะของพระพุทธองค์มาพิจารณาด้วยความแยบคาย ให้จิตมันยอมรับและเห็นจริงตามนั้น

ถ้าทำได้ตามนี้จิตจะผ่องใส ผ่องใสคือ มีกิเลสน้อยๆ กิเลสเก่าที่เกาะติดใจอยู่จะหมดไป กิเลสใหม่ไม่เพิ่ม สิ่งที่เกาะจิต ทำให้จิตเกิดนิวรณ์ ก็จะหลุดออกไป เมื่อหลุดออกไป จิตก็ผ่องใส คือปราศจากกิเลสนั่นเอง ท่านจะรู้ได้ตัวท่านเองว่าจิตที่ผ่องใส ปราศจากกิเลสนั้น มันสุขอย่างประหลาด หรือก็คือ ปีติ นั่นเอง

นอกจากนี้เมื่อคิดดีแล้ว ก็ต้องระวังวาจาตนเองจงหนัก เพราะวาจานี่แหละจะนำทุกข์มาให้ง่ายมาก ถ้าหลงพูดตามจิตคิดไปในทาง ส่อเสียด คำหยาบ เพ้อเจ้อ พูดทำให้คนอื่นเดือดร้อนหรือวิวาท ดังนั้นวาจาของเราต้องคิดและรู้ตัวก่อนที่จะพูด รู้ว่าจะพูดอะไรออกไป อย่าพูดออกไปโดยไม่รู้ตัว มันจะนำทุกข์มาให้  วาจาเป็นด่านแรกที่จะต้องระวังเพราะพลั้งเผลอได้ง่ายมาก บ่นตัวเอง พูดกับตัวเอง ด่าตนเอง ก็ไม่สมควร  อย่าลืมต้องมีปิยะวาจา รู้จักจังหวะในการพูด  พูดให้ได้ใจความกระชับ พูดในทางก่อประโยชน์ พูดในทางทำให้กุศลเจริญ

เมื่อคิดดี  พูดีแล้ว ก็ต้องกระทำดีด้วย  จึงจะสมบูรณ์

ทำดี คือ กระทำในสิ่งที่ไม่เบียดเบียน ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักขโมยหยิบฉวยของที่เจ้าของเขาไม่ให้ กระทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์และทำให้กุศลเจริญเป็นหลัก

เมื่อคิดดี  พูดดี และกระทำดี มันเป็นมงคลชีวิต อยู่ในมงคล ๓๘ ประการที่พระพุทธองค์ทรงสอนไว้

ต้องเดินไปซื้อกับข้าวแล้วครับ

สวัสดีทุกท่านครับ

หมายเหตุ

พี่สิงห์  นิยมเขียนด้วยโทรศัพท์มือถือ เพราะมันสะดวก แต่ตัวหนังสือมันตัวเล็ก อ่านยากสำหรับผู้สูงวัยแบบพี่สิงห์
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #11570 เมื่อ: 13 มกราคม 2557, 06:54:46 »





เช้านี้ ได้เดินไปซื้อกับข้าวที่ตลากลุงเพิ่มหลังการบินไทย
แม่ค้า ที่เคยขายของหายไปเกินครึ่ง  คงวิตกกังวลเรื่องการปิด กทม.และห้าแยกลาดพร้าว

ได้รับประทานอาหารเช้าเรัยบร้อยแล้ว
กิน เพื่อมีชีวิตอยู่
ไม่ได้อยู่ เพื่อกิน

ได้ล้างหม้อ จาน ช้อนเรัยบร้อยแล้ว

เหลืออย่างเดียวที่ต้องกระทำเช้านีั คือ กำลังยืนรอใส่บาตรพระยามเช้าที่หน้าบ้าน รู้สึกว่าจะมีพี่สิงห์  คนเดียวใส่บาตรพระ เพื่อนบ้านคงไม่ใส่ พี่โส ไปเชัยงใหม่ ไปอยู่กับคุณหมอโสพันธุ์  ลูกชาย

มีเพื่อนที่คอนโด มาใส่บาตรพระด้วยท่านหนึ่งแล้วครับ

ก่อนที่จะออกเดินทางไปทำงานที่สระบุรี

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #11571 เมื่อ: 13 มกราคม 2557, 07:03:19 »



จิต ที่ผ่องใส คือจิตที่ปราศจากนิวรณ์ ๕ เป็นส่วนหนึ่งของ ปีติ

จิตที่ปีติ คือ จิตที่ผ่องใส ปราศจากนิวรณ์ ๕ ไม่มีวิตก ไม่มีวิจารณ์

เอกคตาจิต คือ จิตของพระอรหันต์ ที่ปราศจาก นิวรณ์ ๕ ไม่มีวิตก ไม่มีวิจารณ์ ไม่มีปีติ ละสุข ละทุกข์ ละไม่สุขไม่ทุกข์ มีสติ-สัมปชัญญะ อยู่อุเบกขา หรือจิตสุญญตาวิหารธรรม นั่นเอง

เอกคตาจิต (สำเร็จ ญาณที่ ๑ - ๔ ) คือจิตที่ควรแก่งานเจริญวิปัสสนาปัญญา ที่จะพิจารณาธรรมและบรรลุธรรม

ส่วนจิตที่ขาวรอบ คือจิตที่ปราศจากกิเลสโดยสิ้นเชิง คือจิตที่สำเร็จเป็นพระอรหันต์ หรือจิตที่ได้เจโตวิมุติ

ขอตัวไปใส่บาตรพระครับ

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #11572 เมื่อ: 13 มกราคม 2557, 08:19:18 »




เช้านี้ได้ใส่บาตรพระ
ห้าแยกลาดพร้าวเมื่อเวลา 07:24 น. รถไม่ติดเลย รถหายไปหนึ่งในสี่ ทำให้ถนนโล่ง

ที่การบินไทย พนักงานมาทำงานน้อย ดังที่บอกแม่ค้าตลาดลุงเพิ่มหายไปครึ่งหนึ่ง

ถนนวิภาวดี-รังสิต รถไม่ติด

ผมเชื่อว่า บนถนนส่วนใหญ่ผู้ที่ต้องไปทำงานรถไม่ติด เพราะได้ศึกษาเส้นทางมาแล้ว และคนส่วนใหญ่ ไม่ไปทำงาน อยู่บ้าน รอดูสถานการณ์

บริษัท  รัญวิสาหกิจ พนักง่นรัฐ หยุดงานได้ ไม่ถือเป็นวันลา และขาด

ดังนั้น วันนี้ กทม. เป็นเมืองน่าอยู่อีกวันหนึ่ง

พี่สิงห์ อยู่วังน้อยแล้วครับ

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #11573 เมื่อ: 13 มกราคม 2557, 09:51:29 »



ตอนพระให้พร  ได้แผ่ส่วนกุศล ขอให้ประชาชนที่มาชุมนุมปิด กทม. จงปลอดภัย

ขอให้ประเทศไทย จงมีสันติ ความสงบสุขจงกลับมาดังเดิม

ขอให้ปัญหาทางการเมือง ยุติลง มีทางออกที่ก่อประโยชน์ส่วนรวม เป็นไปในทางกุศลธรรม

พี่สิงห์  กระทำได้เพียงเท่านี้ครับ

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #11574 เมื่อ: 13 มกราคม 2557, 21:16:36 »

















สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง และแขกผู้มาเยือน ที่รักทุกท่าน

คืนนี้พี่สิงห์  นอนที่โรงงาน PSTC สระบุรี
เมื่อกลางวัน พาเจ้านายไปดูโรงโม่หินที่ ศิลาเลิศจิต ท่าพระลาน สระบุรี ไปดูการโม่หินใช้งานก่อสร้าง การทำปูนบด แคลเซี่ยมคาร์บอเนต การแยกแร่ และการอัดแผ่นปูนบด

และไปดูแพล้นคอนกรีตที่อนุรักษ์ สิ่งแวดล้อม ในอีกแบบกนึ่งที่สร้างจุดขายคอนกรีตผสมเสร็จ ที่แตกต่างจากคนอื่น ดีมากครับ
 อากาศสระบุรีเย็น หนาวไม่มาก

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
  หน้า: 1 ... 461 462 [463] 464 465 ... 681   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

ทำไมหอพักนิสิตจุฬาจึงเป็นดินแดนมหัศจรรย์            " ไม่ได้เป็นแค่หอให้นอนพัก  แต่เป็นบ้านอบอุ่นรักให้อาศัย  ไม่เป็นแค่ที่ซุกหัวยามหลบภัย  แต่สร้างใจให้เข้มแข็งแกร่งการงาน"  <))))><