25 พฤศจิกายน 2567, 01:32:15
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 460 461 [462] 463 464 ... 681   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: คุย กับ คุณมานพ กลับดี อดีตประธานชมรม ๓ สมัย  (อ่าน 3577199 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 19 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #11525 เมื่อ: 08 มกราคม 2557, 07:03:08 »



สวัสดียามเช้าครับ ชาวซีมะโด่ง และแขกผู้มาเยือน ที่รักทุกท่าน

พี่สิงห์ เดินทางมาถึงโรงงานบ้านแพ้ว บ.เอเซียคอนกรีต(1999) จำกัด เมื่อเวลา 06:30 น. รถไม่ติด เป็นการทำงานวันแรกของปี 2557 คงต้องประชุมวางแผนแนวทางปฏิบัติ ทิศทางการดำเนินงาน สำหรับปี 2557 อย่างน้อยสุดต้องดีกว่าปีที่ผ่านมา

พี่สิงห์ ได้รับประทานอาหารเช้าเรียบร้อยแล้ว โดยเตรียมเป็นอาหารกล่อง นำมาจากบ้านและแม่บ้านที่โรงงานแถมต้มยำเห็ดให้อีกถ้วยหนึ่ง มื้อเช้าเป็นมื้อสำคัญสำหรับผม ต้องกินอย่างราชา แต่ในปริมาณที่พอสมควรเท่านั้น คือพออิ่มกำลังดี

ทุกท่านอย่าลืมทำแบบพี่สิงห์ คือต้องกินข้าวเช้า

อย่ารับประทานเพียงแค่กาแฟ และขนมปัง มันไม่เพียงพอ ร่างกายจะเสื่อมโทรมเร็ว

อย่าลืมว่า หลายปีมานี้ พี่สิงห์ ไม่ได้เจ็บป่วย ดังที่เคยเป็นมาทุกปีตั้งแต่ยังหนุ่ม เลย เป็นผลมาจากการมีวินัยกินข้าวเช้า-กลางวัน มีสารอาหารที่เป็นประโยชน์ ไม่กินวิตามินเสริมทั้งสิ้น นอนหัวค่ำ ออกกำลังกายตามวัย และภาวนาเจริญสติ  ก็ห่างไกลโรคได้  เป็นเรื่องจริง

จึงอยากแนะนำให้ทุกท่านนำไปปฏิบัติ  แต่ต้องมีวิริยะ และไม่หลงในจิตตนเองเรื่องรสชาดของอาหาร ไม่ได้ละครเพราะต้องนอนเร็ว และต้องไม่เกียจคร้านในการออกกำลังกาย รมทั้งต้องภาวนา ที่จิตมันไม่ชอบ ด้วย

สวัสดีครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #11526 เมื่อ: 08 มกราคม 2557, 07:19:54 »


ปีนี่โชคดีครับ ๑๔ กุมภาพันธ์เป็นวันเกิดพี่สิงห์  เป็นวันมาฆะบูชา  ได้มีโอกาสสวดโอวาทปาฏิโมกข์  ที่วัดเวฬุวัน  ซึ่งตรงกับสถานที่จริงในสมัยพุทธกาล

ได้ไปขึ้นเขาอิชกูฏ ไปสวดมนต์ที่ ที่พระพุทธองค์ เคยอยู่พร้อมเหล่าสาวกพระอรหันต์

ได้ไปกราบสถานที่อยู่ของพระสารีบุตร และพระโมคคัลลานะ

และตอนค่ำจะไปปฏิบัติธรรมที่ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์

โอกาสแบบนี้ มีไม่มากนัก

ขอทำเพื่อตนเองบ้าง
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #11527 เมื่อ: 08 มกราคม 2557, 09:54:51 »

ศีล  สมาธิ  ปัญญา



ศีล คือ เครื่องมือที่พระพุทธองค์ทรงให้ไว้เพื่อให้คนที่ปฏิบัติตามศีลนั้น ยังจะรักษากาย  วาจา  ได้เป็นปกติ  ไม่เป็นที่รังเกียจของสังคม ในทางตรงกันข้ามจะได้ความไว้วางใจ และสรรเสริญในสังคมเสียด้วยซ้ำ เช่นศีล ๕ มหาศีล ถ้าใครรักษาได้ครบไม่บกพร่อง คนนั้นจะเป็นคนดีมีศีลธรรม เป็นคนดีของสังคม ท่านว่าจริงหรือไม่ ท่านลองหาข้อบกพร่องของศีล ๕ ว่ามันไม่ดีตรงไหน ?  กิเลสอย่างหยาบ คือ กิเลสที่เกิดจากการกระทำที่ขาดความยั้งคิด หาภัยมาสู่ตนทั้งสิ้นเพราะการกระทำทางกาย และคำพูด ล้วยหาภัยมาให้ถ้าผิดศีล ๕ หรือ ถ้าท่านละเมิดศีล ๕  นอกจากนี้ พระพุทธองค์ทรงเน้นว่า อานิสสงของศีล ๕ คือ คนที่รักษาศีล ๕ เมื่อตายไปจะไม่ตกนรกภูมิ เป็นจริงครับ ณ ชาตปัจจุบันก็ได้อานิสสง เพราะได้รับคำสรรเสริญ  เชื่อถือ จากคนในสังคม ว่าเป็นคนดีมีศีลธรรม

ต่างจากคำว่า คนดีมีจริยธรรม เพราะอาจะทำดีก็ตาม แต่ผิดศีลธรรม เช่น นักการเมือง ที่เราเห็นๆ อยู่กันทุกวันนี้

ทุกวันนี้เพราะคนเราผิดศีล ๕ ไม่รักษาศีล ๕  จึงมีแต่ความแตกแยกในสังคม ประเทศชาติ ความคิดต่างกัน ไร้ความสามัคคีในสังคมเพราะคนไม่มีศีล ๕ โดยเฉพาะนักการเมือง ไม่มีศีล ๕ มันเลยไม่มีใครเชื่อ มีแต่คนกอบโกย เบียดเบียนย่ำยีเพื่อนนักการเมืองด้วยกัน จนประเทศหาความเจริญไม่ได้  จนหาทางลงในทางการเมืองไม่พบเช่นประเทศไทย ขณะนี้ เพราะคน นักการเมือง ข้าราชการ ไม่รักษาศีล ๕ นั่นเอง

ดังนั้นประเทศไทยของเราจะกลับมาสันติที่แท้จริงได้ คนต้องรักษาศีล ๕ เท่านั้นครับ  จึงจะแก้ปัญหาประเทศไทยได้อย่างยั่งยืน  แต่มันคงเป็นไปไม่ได้

ต้องเป็นคนดีมีศีลธรรม จึงจะเป็นคนดี

ไม่ใช่เป็นคนดีมีจริยธรรม เพราะอาจจะกระทำที่ผิดศีลก็ได้

สมาธิ คือการตั้งใจมั่นอยู่ในอารมณ์เดียว ได้แก่การเจริญภาวนาจนเป็นอารมณ์เดียว มีสติ-สัมปชัญญะ
ละนิวรณ์ ๕ ได้ บรรลุญาณที่ ๑
ละวิตก-วิจารณ์ ได้ บรรลุญาณที่ ๒
ละปีติ ได้ บรรลุญาณืั้ ๓
ละสุข ละทุกข์ ได้ บรรลุญาณที่ ๔

สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช ท่านทรงสอนว่า "สมถะ และสมาธิ ยังไม่สามารถจะละกิเลสได้  ต้องใช้วิปัสสนาปัญญา จึงจะละกิเลสได้"

พี่สิงห์  เห็นจริงตามนั้น ดังที่เคยเขียนไปแล้ว

แต่ในอีกความหมายหนึ่งที่เราสามารถนำมาใช้ในการทำงานของเราได้คือ การทำอะไรก็แล้วแต่ที่เราตั้งใจมั่นในการทำเป็นอารมณ์เดียว คือไม่คิดไปอย่างอื่น มีสติ-สัมปชัญญะ(แต่ต้องไม่ผิดศีล เพราะโจรก็ตั้งใจลักขโมย  ปล้น) ไม่ว่าจะทำกิจวัตรประจำวัน  ทำงาน รับประทานอาหาร ออกกำลังกาย .....ใช้ได้ทั้งนั้น
เช่นครูดุเด็กนักเรียนขอให้มีสมาธิในการเรียน คือตั้งใจมั่นในการเรียนนั่นเอง  หรือให้ตั้งใจในการทำงาน  ตั้งใจในการฟัง นั่นเอง ก็เรียกว่าสมาธิทั้งสิ้น แต่ไม่ใช่สมาธิที่จะทำให้ถึงนิพพานได้ เป็นเพียงสมาธิการทำกจิกรรม เท่านั้น
      บันทึกการเข้า
pusadee sitthiphong
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: พาณิชยศาสตร์และการบัญชี
กระทู้: 4,689

« ตอบ #11528 เมื่อ: 08 มกราคม 2557, 19:11:17 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 08 มกราคม 2557, 07:19:54

ปีนี่โชคดีครับ ๑๔ กุมภาพันธ์เป็นวันเกิดพี่สิงห์  เป็นวันมาฆะบูชา  ได้มีโอกาสสวดโอวาทปาฏิโมกข์  ที่วัดเวฬุวัน  ซึ่งตรงกับสถานที่จริงในสมัยพุทธกาล

ได้ไปขึ้นเขาอิชกูฏ ไปสวดมนต์ที่ ที่พระพุทธองค์ เคยอยู่พร้อมเหล่าสาวกพระอรหันต์

ได้ไปกราบสถานที่อยู่ของพระสารีบุตร และพระโมคคัลลานะ

และตอนค่ำจะไปปฏิบัติธรรมที่ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์

โอกาสแบบนี้ มีไม่มากนัก

ขอทำเพื่อตนเองบ้าง


อภิมหาโอกาสเลยค่ะ
      บันทึกการเข้า

pom shi 2516
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #11529 เมื่อ: 08 มกราคม 2557, 19:52:23 »

อ้างถึง
ข้อความของ pusadee sitthiphong เมื่อ 08 มกราคม 2557, 19:11:17
อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 08 มกราคม 2557, 07:19:54

ปีนี่โชคดีครับ ๑๔ กุมภาพันธ์เป็นวันเกิดพี่สิงห์  เป็นวันมาฆะบูชา  ได้มีโอกาสสวดโอวาทปาฏิโมกข์  ที่วัดเวฬุวัน  ซึ่งตรงกับสถานที่จริงในสมัยพุทธกาล

ได้ไปขึ้นเขาอิชกูฏ ไปสวดมนต์ที่ ที่พระพุทธองค์ เคยอยู่พร้อมเหล่าสาวกพระอรหันต์

ได้ไปกราบสถานที่อยู่ของพระสารีบุตร และพระโมคคัลลานะ

และตอนค่ำจะไปปฏิบัติธรรมที่ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์

โอกาสแบบนี้ มีไม่มากนัก

ขอทำเพื่อตนเองบ้าง


อภิมหาโอกาสเลยค่ะ

สวัสดีปีใหม่ค่ะ คุณน้องป้อม ที่รัก

ขอบคุณมากที่เข้ามาทักทาย ที่ยังระลึกถึงกันอยู่

ดร.สุริยา  เขาก็ทิ้งไปแล้ว เพราะพี่สิงห์ ลืมวันเกิดของเขา(แก่แล้ว มันลืมจริงๆ)

ไปอินเดียด้วยกันไหม? ยังมีที่ว่าง จะถามหลวงพ่อให้

เชียงใหม่อากาศหนาว เธอคงได้แต่งตัวสวยๆ นาน  ระวังสุขภาพด้วย ต้องใส่เสื้อหนา ๆ อบอุ่นร่างกาย มิฉนั้นจะเป็นหวัดได้

ดีใจด้วยที่ชาวเชียงใหม่จะได้ Panda น้อย

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #11530 เมื่อ: 08 มกราคม 2557, 21:13:13 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 08 มกราคม 2557, 09:54:51
ศีล  สมาธิ  ปัญญา



ศีล คือ เครื่องมือที่พระพุทธองค์ทรงให้ไว้เพื่อให้คนที่ปฏิบัติตามศีลนั้น ยังจะรักษากาย  วาจา  ได้เป็นปกติ  ไม่เป็นที่รังเกียจของสังคม ในทางตรงกันข้ามจะได้ความไว้วางใจ และสรรเสริญในสังคมเสียด้วยซ้ำ เช่นศีล ๕ มหาศีล ถ้าใครรักษาได้ครบไม่บกพร่อง คนนั้นจะเป็นคนดีมีศีลธรรม เป็นคนดีของสังคม ท่านว่าจริงหรือไม่ ท่านลองหาข้อบกพร่องของศีล ๕ ว่ามันไม่ดีตรงไหน ?  กิเลสอย่างหยาบ คือ กิเลสที่เกิดจากการกระทำที่ขาดความยั้งคิด หาภัยมาสู่ตนทั้งสิ้นเพราะการกระทำทางกาย และคำพูด ล้วยหาภัยมาให้ถ้าผิดศีล ๕ หรือ ถ้าท่านละเมิดศีล ๕  นอกจากนี้ พระพุทธองค์ทรงเน้นว่า อานิสสงของศีล ๕ คือ คนที่รักษาศีล ๕ เมื่อตายไปจะไม่ตกนรกภูมิ เป็นจริงครับ ณ ชาตปัจจุบันก็ได้อานิสสง เพราะได้รับคำสรรเสริญ  เชื่อถือ จากคนในสังคม ว่าเป็นคนดีมีศีลธรรม

ต่างจากคำว่า คนดีมีจริยธรรม เพราะอาจะทำดีก็ตาม แต่ผิดศีลธรรม เช่น นักการเมือง ที่เราเห็นๆ อยู่กันทุกวันนี้

ทุกวันนี้เพราะคนเราผิดศีล ๕ ไม่รักษาศีล ๕  จึงมีแต่ความแตกแยกในสังคม ประเทศชาติ ความคิดต่างกัน ไร้ความสามัคคีในสังคมเพราะคนไม่มีศีล ๕ โดยเฉพาะนักการเมือง ไม่มีศีล ๕ มันเลยไม่มีใครเชื่อ มีแต่คนกอบโกย เบียดเบียนย่ำยีเพื่อนนักการเมืองด้วยกัน จนประเทศหาความเจริญไม่ได้  จนหาทางลงในทางการเมืองไม่พบเช่นประเทศไทย ขณะนี้ เพราะคน นักการเมือง ข้าราชการ ไม่รักษาศีล ๕ นั่นเอง

ดังนั้นประเทศไทยของเราจะกลับมาสันติที่แท้จริงได้ คนต้องรักษาศีล ๕ เท่านั้นครับ  จึงจะแก้ปัญหาประเทศไทยได้อย่างยั่งยืน  แต่มันคงเป็นไปไม่ได้

ต้องเป็นคนดีมีศีลธรรม จึงจะเป็นคนดี

ไม่ใช่เป็นคนดีมีจริยธรรม เพราะอาจจะกระทำที่ผิดศีลก็ได้

สมาธิ คือการตั้งใจมั่นอยู่ในอารมณ์เดียว ได้แก่การเจริญภาวนาจนเป็นอารมณ์เดียว มีสติ-สัมปชัญญะ
ละนิวรณ์ ๕ ได้ บรรลุญาณที่ ๑
ละวิตก-วิจารณ์ ได้ บรรลุญาณที่ ๒
ละปีติ ได้ บรรลุญาณืั้ ๓
ละสุข ละทุกข์ ได้ บรรลุญาณที่ ๔

สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช ท่านทรงสอนว่า "สมถะ และสมาธิ ยังไม่สามารถจะละกิเลสได้  ต้องใช้วิปัสสนาปัญญา จึงจะละกิเลสได้"

พี่สิงห์  เห็นจริงตามนั้น ดังที่เคยเขียนไปแล้ว

แต่ในอีกความหมายหนึ่งที่เราสามารถนำมาใช้ในการทำงานของเราได้คือ การทำอะไรก็แล้วแต่ที่เราตั้งใจมั่นในการทำเป็นอารมณ์เดียว คือไม่คิดไปอย่างอื่น มีสติ-สัมปชัญญะ(แต่ต้องไม่ผิดศีล เพราะโจรก็ตั้งใจลักขโมย  ปล้น) ไม่ว่าจะทำกิจวัตรประจำวัน  ทำงาน รับประทานอาหาร ออกกำลังกาย .....ใช้ได้ทั้งนั้น
เช่นครูดุเด็กนักเรียนขอให้มีสมาธิในการเรียน คือตั้งใจมั่นในการเรียนนั่นเอง  หรือให้ตั้งใจในการทำงาน  ตั้งใจในการฟัง นั่นเอง ก็เรียกว่าสมาธิทั้งสิ้น แต่ไม่ใช่สมาธิที่จะทำให้ถึงนิพพานได้ เป็นเพียงสมาธิการทำกจิกรรม เท่านั้น


ปัญญา คือความรู้ ท่านต้องได้ วิชชา ๘ จึงจะสำเร็จเป็นพระอรหันต์ตามที่พระอานนท์ ได้แสดงเอาไว้ก่อนที่จะกระทำปฐมเทศนา (เคยนำมาเขียนให้อ่านกันแล้ว) คือได้เจโตวิมุตติ จิดหลุดพ้น มีญาณทราบว่าจิตหลุดพ้นแล้ว ไม่มีสิ่งใดต้องกระทำอีกแล้วนอกจากการดำรงอยู่ของขันธ์ ๕ และสอนธรรม เท่านั้น  อันนี้ผมจะไม่กล่าวมากเพราะก็ไม่รู้เหมือนกัน ตัวเองไม่รู้จัก และก็ไม่มีใครบอก  นอกจากหลวงพ่อคำเขียน  สุวณฺโณ เคยบอกสั้น ๆให้ฟัง

แต่ปัญญาในแง่มุมของพวกเราปุถุชนม์  คนธรรมดา เอามาใช้งานคือ เมื่อใดเรามีสติ คือระลึกได้ เราจะใช้ปัญญา กระทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ส่วนรวม ไม่ผิดศีลธรรม และวิญญูชนม์ก็สมควรกระทำ คือกระทำโดยแยบคายด้วยเหตุ และผล ไม่หลงกระทำตามจิตตนเอง โดยใช้ปัญญาใคร่ครวญ  เราก็สงบสุข ประสบความสำเร็จได้ แต่ยังไม่สามารถที่จะรู้เท่าทันกิเลส หรือความโลภ  ความโกรธ  ความหลงได้ เพราะจิตมันยังไม่เห็นความจริงในธรรมนั้น ที่จะเกิดได้ต่อเมื่อเราได้ภาวนา  ตามดูจิต  ศึกษาจิตตนเอง  จนจิตมันตื่น คือมีสติเป็นส่วนใหญ่ วิปัสสนาปัญญามันจึงเกิด  เกิดขึ้นเอง  รู้ขึ้นเอง  เมื่อรู้แล้วเราก็จะสามารถรู้เท่าทันจิตตนเองได้  จนสามารถปล่อยวางได้ คือมีกาย  วาจา เป็นปกติ แต่ใจยังควบคุมไม่ได้ แต่จะสงบระงับได้ เพราะรู้ด้วยวิปัสสนาปัญญา  จึงสงบกาย  วาจา  ได้

หรือพูดให้เข้าใจได้ คือ คนเรานั้นจะอยู่อย่างสงบสุขได้ต้องอยู่ด้วยปัญญา นั่นเอง เพราะกิเลสอย่างละเอียดที่เราต้องละนั้น มันเป็นเรื่องของความเห็นผิดว่า มีตัวเรา  ของเรา มันเลยมีความยึดมั่นในอัตตาของตนเอง มันจึงต้องใช้วิปัสสนาปัญญา 

ก็ไม่รู้เขียนให้มันเข้าใจได้อย่างไรเหมือนกัน  มันเป็นความรู้สึกภายใน  ที่รู้เข้าใจด้ของมันเอง

ราตรีสวัสดิ์ทุกท่านครับ
      บันทึกการเข้า
pusadee sitthiphong
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: พาณิชยศาสตร์และการบัญชี
กระทู้: 4,689

« ตอบ #11531 เมื่อ: 08 มกราคม 2557, 23:30:50 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 08 มกราคม 2557, 19:52:23
อ้างถึง
ข้อความของ pusadee sitthiphong เมื่อ 08 มกราคม 2557, 19:11:17
อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 08 มกราคม 2557, 07:19:54

ปีนี่โชคดีครับ ๑๔ กุมภาพันธ์เป็นวันเกิดพี่สิงห์  เป็นวันมาฆะบูชา  ได้มีโอกาสสวดโอวาทปาฏิโมกข์  ที่วัดเวฬุวัน  ซึ่งตรงกับสถานที่จริงในสมัยพุทธกาล

ได้ไปขึ้นเขาอิชกูฏ ไปสวดมนต์ที่ ที่พระพุทธองค์ เคยอยู่พร้อมเหล่าสาวกพระอรหันต์

ได้ไปกราบสถานที่อยู่ของพระสารีบุตร และพระโมคคัลลานะ

และตอนค่ำจะไปปฏิบัติธรรมที่ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์

โอกาสแบบนี้ มีไม่มากนัก

ขอทำเพื่อตนเองบ้าง


อภิมหาโอกาสเลยค่ะ

สวัสดีปีใหม่ค่ะ คุณน้องป้อม ที่รัก

ขอบคุณมากที่เข้ามาทักทาย ที่ยังระลึกถึงกันอยู่

ดร.สุริยา  เขาก็ทิ้งไปแล้ว เพราะพี่สิงห์ ลืมวันเกิดของเขา(แก่แล้ว มันลืมจริงๆ)

ไปอินเดียด้วยกันไหม? ยังมีที่ว่าง จะถามหลวงพ่อให้

เชียงใหม่อากาศหนาว เธอคงได้แต่งตัวสวยๆ นาน  ระวังสุขภาพด้วย ต้องใส่เสื้อหนา ๆ อบอุ่นร่างกาย มิฉนั้นจะเป็นหวัดได้

ดีใจด้วยที่ชาวเชียงใหม่จะได้ Panda น้อย

สวัสดี


ที่บ้านมีแพนด้าแล้วค่ะ เดี๋ยวโชว์รูป
      บันทึกการเข้า

pom shi 2516
pusadee sitthiphong
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: พาณิชยศาสตร์และการบัญชี
กระทู้: 4,689

« ตอบ #11532 เมื่อ: 08 มกราคม 2557, 23:32:04 »



เขาชื่อแพนด้า
      บันทึกการเข้า

pom shi 2516
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #11533 เมื่อ: 09 มกราคม 2557, 04:39:49 »

สวัสดีค่ะ คุณน้องป้อมที่รัก

แพนด้าตัวนี้ เป็นของเธอ แต่แพนด้าน้อยที่จะเกิดใหม่ จะเป็นขวัญใจของชาวเชียงใหม่  ไม่รู้ว่าคลอดหรือยัง หรือว่าแท้งลูก ไม่ได้ติดตามข่าว จึงไม่รู้ความคืบหน้า

อากาศหนาวมาอีกระลอก  รักษาสุขภาพด้วย

อย่าลืมใส่บาตรพระ และดูแลผู้มีพระคุณเมื่อยามท่านแก่เฒ่า อานิสสงมีกับเธอแน่นอน

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #11534 เมื่อ: 09 มกราคม 2557, 05:38:29 »

ตกลงงานคืนสู่เหย้าปีนี้ เลื่อนออกไปอีก เพราะความวุ่นวายทางการเมืองและการเลือกตั้ง  

ไม่ว่ากัน เลื่อนก็เลื่อน  ในเมื่อผู้จัดเขาให้เลื่อน เราก็ต้องเลื่อน เพราะถึงจะไปตามกำหนด ก็ไม่มีใครไป ไม่พบใคร ไม่ว่ากัน

ดร.สุริยา  ครั้งสุดท้ายที่จัดงานคืนสู่เหย้า ปีไหนครับ  ผมก็ลืมไปหมดแล้ว แย่จังเลย คนแก่อย่างผมนี่ ขี้ลืมเสียแล้ว

ข่าวแว่ว ๆ ของคุณน้องหนุ๋งหนิ๋ง เรื่องจัดงานคืนสู่เหย้าเลื่อน ก็เป็นความจริง !

วันนี้จิตฟุ้งซ่าน  ไม่เป็นสมาธิ  ละนิวรณ์ ๕ ไม่ได้  มีกิเลสเข้ามาโจมตีหนัก

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #11535 เมื่อ: 09 มกราคม 2557, 06:02:56 »


สวัสดียามเช้าครับ ชาวซีมะโด่งและแขกผู้มาเยือน ที่รักทุกท่าน

เมื่อวันอังคารที่ผ่านมาไปรับประทานอาหารเกาหลีมื้อเพลที่ร้านซังกุง ที่เสนาเซนเตอร์ รู้สึกว่าในกระเพาะอาหารมีแก๊ส และได้เวลาที่จะต้องล้างลำไส้แล้ว ซึ่งปกติจะกระทำอาทิตย์ละครั้ง และก็ยังถ่ายปกติทุกวัน แต่เมื่อวานไม่ถ่าย

วิธีล้างลำไส้ พี่สิงห์ Detox ด้วยน้ำดื่มขนาดขวดลิตร ผสมหัวเชื้อน้ำด่าง และเติมน้ำร้อนเพื่อให้เป็นน้ำพออุ่น มันสะดวก และก็ปลอดภัย  แต่คุณภาพอาจจะไม่เทียบเท่ากับกาแฟ Detox ที่จะไปกระตุ้นตับด้วย

แต่ถือเป็นการทำความสะอาดลำไส้ ก็ใช้ได้

ลองทำดูนะครับ เพื่อสุขภาพที่ดี  พี่สิงห์ ก็ทำรวม ๆ แบบนี้ละ ในการดูแลร่างกายไม่ให้เจ็บป่วยทั้งกายและใจ

คราวที่แล้วก่อนไปอินเดีย ก็ล้างลำไส้
พอกลับจากอินเดียก็ล้างลำไส้  มันก็ดี

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #11536 เมื่อ: 09 มกราคม 2557, 07:22:23 »



วันนี้อยู่บ้าน  ได้หุงข้าวใส่บาตรพระ ที่หน้าบ้าน

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #11537 เมื่อ: 09 มกราคม 2557, 08:02:42 »

นาฬิกาชีวิต



การไหลเวียนของพลังชีวิต (ลมปราณ) ที่ผ่านแต่ละอวัยวะจะใช้เวลา ๒ ชั่วโมง ทั้งหมดมี ๑๒ อวัยวะ  รวม ๒๔ ชั่วโมง คือ ๑ วัน

การดำเนินชีวิต  และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวันให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติ โดยแบ่งช่วงเวลาดังนี้

01:00 - 03:00 น.
เป็นช่วงเวลาของตับ
 ควรนอนหลับพักผ่อน  ตับจะหลั่งสารมีราโทนิน เพื่อฆ่าเชื้อโรค ทำให้ดุหน้าอ่อนวัย  ตับจะหลั่งสารเอนโดรฟิน จึงไม่ควรกินอาหาร เพราะตับจะทำงานหนักและเสื่อมเร็ว หน้าที่หลักของตับ คือขจัดสารพิษในร่างกาย  หน้าที่รอง คือช่วยไตดูแลผม ขน เล็บ และช่วยกระเพาะย่อยอาหาร  ถ้ากินบ่อย ๆ ตับทำงานหนัก  ทำให้สารพิษตกค้างในตับได้

03:00 - 05:00 น.
เป็นช่วงเวลาของปอด
จึงควรตื่นนอน  ผู้ตื่นนอนช่วงนี้ประจำ  ปอดจะดี  ผิวดีขึ้น  และเป็นคนมีอำนาจในตัว (พระพุทธองค์ จะตื่นในเวลานี้มาตรวจดูสัตว์โลก และเป็นช่วงอมฤติกาล เหมาะอย่างยิ่งในการปฏิบัติธรรมภาวนา)

05:00 - 07:00 น.
เป็นช่วงเวลาของลำไส้ใหญ่
 ควรขับถ่ายอุจจาระ (แนะนำใฟ้ฝึก  และรับประทานผักสด  จะทำได้ตรงเวลาและถ่ายคล่อง)

07:00 - 09:00 น.
เป็นช่วงเวลาของกระเพาะอาหาร
กระเพาะอาหารจะทำงาน ถ้าท่านรับประทานอาหารเช้าช่วงนี้ กระเพาะอาหารจะแข็งแรง  ถ้ากระเพาะอาหารอ่อนแอ ส่งผลให้เป็นคนตัดสินใจช้า  ขี้กังวล ขาไม่แข็งแรง ปวดเข่า หน้าแก่เกินวัย (อย่าง ดร.สุริยา ตุณ Tooky เป็นต้น เพราะไม่กินข้าวตอนเช้า  ตื่นสาย)

09:00 - 11:00 o.
เป็นช่วงเวลาของม้าม
ม้ามอยู่ชายโครงซ้าย  ทำหน้าที่ควบคุมเม็ดเลือด  สร้างน้ำเหลือง  ควบคุมไขมัน  คนที่ปวดหัวบ่อยเกิดจากความผิดปกติของม้าม  ม้ามโต ม้ามเบียดปอด ทำให้เหนื่อยง่าย  ผอมเหลือง  ตาเหลือง  สร้างเม็ดเลือดขาวได้น้อย  ม้ามชื้น  อาหารและน้ำที่กินเข้าไปจะแปรสภาพเป็นไขมัน จึงทำให้อ้วนง่าย  ผู้ที่มักนอนหลับช่วงนี้ ม้ามจะอ่อนแอ

11:00 - 13:00 น.
เป็นช่วงเวลาของหัวใจ
หัวใจจะทำงานหนักในช่วงเวลานี้  ควรหลีกเลี่ยงความเครียด  เหตุที่ทำให้ต้องใช้ความคิดหนัก และหาทางระงับอารมณ์ตื่นเต้น หรืออาการตกใจให้ได้

13:00 - 15:00 น.
เป็นช่วงเวลาของลำไส้เล็ก
 ควรงดการกินอาหารทุกประเภท เปิดโอกาสให้ลำไส้ทำงาน  ลำไส้เล็กมีหน่าที่ดูดซึมสารอาหารที่เป็นน้ำทุกชนิด เช่น วิตามินซี  วิตามินบี  โปรตีนเพื่อสร้างกรดอะมิโน  สร้างเซลล์สมอง  ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ  สร้างไข่สำหรับผู้หยิง  ถ้ากรดอะมิโนน้อย ไข่จะมาไม่ครบเดือน  ผู้หยิงมีลำไส้ยาวกว่าผู้ชายเพื่อให้ดูดซึมได้ดีกว่า

15:00 - 17:00 น.
เป็นช่วงเวลาของกระเพาะปัสสาวะ
 ควรทำให้เหงื่อออก  กระเพาะปัจจสาวะจะได้แข็งแรง  คือการออกกำลังกายเป็นประจำในช่วงเวลานี้นั่นเอง  การอั้นปัสสาวะบ่อยๆ ปัสสาวะจะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด  ทำให้เหงื่อที่ออกมามีกลิ่นเหม็นเหมือนปัสสาวะ

17:00 - 19:00 น.
เป็นช่วงเวลาของไต
  ควรทำตัว  ทำใจให้สดชื่น  ไม่ง่วงนอนในเวลานี้  ผู้ใดง่วงนอนช่วงนี้แสดงว่า มีปัญหาเรื่องไตเสื่อม
ไตซ้าย คุมสมองด้านขวา  ควบคุมความคิดสร้างสรรค์  อารมณ์สุนทรีย์  รักสวยรักงามชอบแต่งตัว  ถ้าไตซ้ายมีปัญหาอารมณ์รักสวยรักงามจะหายไป ปลาอยเนื้อปล่อยตัว เป็นคนขี้ร้อน
ไตขวา คุมสมองด้านซ้าย  ควบคุมความจำ  ถ้าไตขวามีปัญหา  ความจำจะเสื่อมและเป็นคนขี้หนาว

19:00 - 21:00 น.
เป็นช่วงเวลาของเยื่อหุ้มหัวใจ
 ช่วงนี้ควรสวดมนต์  ทำสมาธิ  ถ้ามีปัญหาเกี่ยวกับเยื่อหุ้มหัวใจ ต้องระวังเรื่องการตื่นเต้น ดีใจ การหัวเราะ

21:00 - 23:00 น.
เป็นช่วงเวลาของการทำให้ร่างกายอบอุ่น
 ห้ามอาบน้ำเย็น  เพราะจะเจ็บป่วยได้ง่าย

23:00 - 01:00 น.
เป็นช่วงเวลาของถุงน้ำดี  
ควรหลับบอบ และนอนให้สนิท


จงมาปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ของตนเองให้ใกล้เคียงกับ นาฬิกาชีวิต หรือ
มาตั้งนาฬิกาาชีวิตให้กับตนเอง ในปีใหม่ ๒๕๕๗ กันดีกว่า ไม่ต้องลงทุนอะไรมากมายนัก ก็มีสุขภาพที่ห่างไกลโรคภัยไข้เจ็บได้

หรือจะเอาแบบที่ผมสอยคนงานที่เอเซีย ง่าย ๆ คือ กินข้าวเช้า กินข้าวเที่ยงให้ตรงเวลา กินแล้วห้ามนอน หรือห้ามนอนกลางวัน  ตอนบ่ายงดขนม-น้ำอัดลมน้ำชาที่มีน้ำตาล ไม่นอนตอนตะวันโพล้เพล้ สวดมนต์ก่อนนอน และนอนหัวค่ำ - หลับให้ลึก ตื่นเช้ามืดมาสูดอากาศยามเช้า ต้อนเที่ยงห้ามเครียด และถ่ายอุจจาระตอนเช้ามืด  แบบนี้ละครับ ทำได้อยู่แล้ว ถ้าให้ความสำคัญ

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #11538 เมื่อ: 09 มกราคม 2557, 11:49:51 »




อาหารขยะต่อไปนี้อย่ากิน มีแต่แป้ง  น้ำมัน และน้ำตาล  มีแต่อ้วนเท่านั้น

น้ำอัดลม  น้ำผลไม้ปรุงแต่ง ใส่น้ำตาล ๑๒ ช้นชา  ร่างกายเราต้องการน้ำตาลเพียง ๖ ช้อนชา 

ดังนั้น  น้ำตาลว่านเกินจะเปลี่ยนไปเป็นไขมัน ที่หน้าท้อง

อาหารพวกนี้จะก่อโรคอ้วน เบาหวาน ความดัน  หลอดเลือดหัวใจ และหัวใจตามมาภายหลังเมื่อแก่เฒ่า ครับ

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #11539 เมื่อ: 09 มกราคม 2557, 16:59:54 »


สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน

พี่สิงห์ ยกเลิกการใช้เบอร์ 0817000760 เรียบร้อยแล้ว เปลี่ยนมาใช้เบอร์ 0917977878 แทนตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ก็เรียนให้ทราบทั่วกันสาเหตุการเปลี่ยนคือ เพราะเป็น AIS  เสียเงินเพิ่มทุกเดือนในสิ่งที่เราไม่ได้ใช้ มันไม่ยุติธรรมสำหรับผู้ใช้ และเพื่อตัดกิเลส

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #11540 เมื่อ: 09 มกราคม 2557, 21:14:19 »


สวัสดียามค่ำ ครับ ชาวซีมะโด่ง และแขกผู้มาเยือน ที่รักทุกท่าน

ได้ทราบข่าวจาก ดร.สุริยา ว่ากำนันสุเทพ  จะปิดห้าแยกลาดพร้าว
 
ซึ่ง พี่สิงห์  ต้องใช้พอดี  เพราะบ้านอยู่ละแวกนั้น รับปากเจ้านาย ไว้ว่า วันจันทร์จะพาไปดูโรงโมหินที่สระบุรี กำนันสุเทพ จะปิดตอน 09:00 น. พี่สิงห์ คงต้องออกเดินทาง 06:00 น. ไม่ได้ใส่บาตรพระ

แต่อย่างไร ขอใส่บาตรพระตอน 07:00 น.ก่อน คงจะทัน  ถ้าไม่ทันก็ไม่ได้ไป  ก็ไม่เป็นไร ได้อยู่บ้าน ก็ดี เช่นกัน

อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด  จะช้า หรือเร็วเท่านั้น ในเมื่อความเห็นต่างกัน  ต่างฝ่ายไม่ยอมถอยในหลักการ และไม่จริงใจ  มันก็เป็นอย่างนี้ละ

มนุษย์นั้นหลงอยู่ในความคิดตนเอง  โดยมีทิฏฐิเป็นตัวกำหนด และอยากได้ ลาภ  ยศ  สรรเสริญ  สุข โดยลืมไปว่า ยังมีเสื่อมลาภ  เสื่อมยศ  มีคนนินทา  และได้รับทุกข์ ไม่มีอะไรที่จะยั่งยืนได้ตลอดไป มีขึ้น  มีลง  สลับกันขึ้น-ลง ขึ้นอยู่กับการกระทำของตนเอง  ถ้าก่อประโยชน์ส่วนรวม ไม่เห็นแก่ตน และเป็นไปในทางสร้างกุศล  ไม่ผิดศีลธรรม ลาภ ยศสรรเสริญ  สุข  ก็จะอยู่ได้นาน  แต่ถ้ากระทำโดยลุแก่อำนาจเห็นประโยชน์ส่วนตนและพวกเป็นหลัก  ไม่ยึดหลักคุณธรรม และศีลธรรม  มันก็จะเสื่อมลาภ  เสื่อมยศ  มีคนนินทา  และเกิดความทุกข์ เร็วขึ้นเท่านั้น หนีไม่พ้น

ในเมื่อโลกธรรม ๘ มันเป็นเช่นนี้  เรารู้ความจริงอย่างนี้ เราทำไมต้องไปยึดถือมิจฉาทิฏฐิ นั้นเล่า  มีแต่วิวาท  จงปลดมันลงจากบ่าเสียเถิด  อย่าไปแบกเอาไว้เลยหนักเปล่า ๆ

จงเปลี่ยนเป็นสัมมาทิฏฐิ  รู้จักเสียสละ  เห็นกับความสุขของคนส่วนใหญ่  ตัดมันทิ้งไปเสีย  ลาภ  ยศ  สรรเสริญ  สุข เพราะตายไปก็เอาไปไม่ได้  จะไปแบกทุกข์มันไว้ทำไม ?

พูดไป  เขียนไป ก็ไร้ค่า เพราะคนมันหลงอยู่ในโมหะ  ทิฏฐิ  อยากที่จะไถ่ถอนได้เสียแล้ว

กรรม คือการกระทำ ใครทำกรรมดีก็ตาม  ทำกรรมชั่วก็ตาม  ย่อมได้รับผลของกรรมนั้นเสมอ ไม่มีทางหนีพ้น  ไม่ช้าก็เร็ว  นี่คือความจริง เป็นกฏธรรมชาติ

เมื่อหมดกรรมเก่าแล้ว  มีแต่กรรมที่ไม่ดี  ก็ย่อมจะต้องรับกรรมที่ตนเองก่อ เพราะมีแต่คนซาบแช่งตลอดเวลา  มันจะมีผลดีไปได้อย่างไร

พรุ่งนี้ ต้องเดินทางไปทำงานที่นครศรีธรรมราช Boarding 09:15 น. ได้หุงข้าวใส่บาตรพระตอนเช้าที่หน้าบ้าน

ราตรีสวัสดิ์ทุกท่านครับ


ต้องเขียนแป๊ะข้างฝาไว้กันลืม ดร.สุริยา  เกิดวันที่ ๑๗  มกราคม ตรงกับวันศุกร์
คุณน้องหนุ๋งหนิ๋ง โทรศัพท์ แจ้งมา
ถ้า ดร.สุริยา เปลี่ยนมาเลี้ยงข้าวเพล ที่ห้องอาหารเพลิน  ว่าจะลางานไม่ลงไปนครศรีธรรมราช
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #11541 เมื่อ: 10 มกราคม 2557, 06:01:34 »



สวัสดียามเช้าครับ ชาวซีมะโด่ง และแขกผู้มาเยือน ที่รักทุกท่าน

เช้านี้ได้รับรูปภาพพระเกจิอาจารย์  จากคุณน้องหนู(เสริมศักดิ์)  ที่ทำงานเพื่อเจ้านาย(คุณทองมา)อย่างมากจนร่ำรวย (เขาคิดเอาเอง )แต่ตัวเองไม่มีบ้าน สายตาเสียเพราะต้องตระเวณดู google เพื่อหาที่ดินให้เจ้านายทำบ้านขาย จนตัวเองสายตาเสื่อม ต้องหยอดน้ำตาเทียม และมีโรคเรื้อรัง พี่สิงห์ ก็ได้แต่รับฟัง และบอกความจริงไปในหลักการของการดำเนินธุรกิจ เขาไม่ได้คิดว่าเราคือเพื่อนที่ร่วมทุกข์ร่วมสุข มาแต่เริ่มต้น เราเป็นพนักงานทำงานให้บริษัท เมื่อเราคิดต่าง เราจะมีแต่ทุกข์

นอกจากนี้ก็บอกไปว่า บรรดาพระเกจิอาจารย์นั้น ไม่ต้องแนะนำว่าท่านเป็นอรหันต์ ควรทำอย่างนั้นอย่างนี้ เอารูปมาให้กราบไหว้ ก็บอกไปว่า พี่สิงห์ ดูออกว่าใช่หรือไม่ขอให้ได้ฟังธรรมจากท่าน และไม่ไปรบกวนท่าน  นอกจากธรรมของท่านเท่านั้นที่ต้องการฟัง  แต่ต้องเป้นธรรมแท้ ๆ ที่ท่านได้ปิบัติ ไม่ใช่ไปอ่าน ได้ยินมา แล้วเอามาสอน เพราะพี่สิงห์ มีพระไตรปิฎกของพระพุทธองค์ แล้ว ศึกษาแล้ว  เข้าใจดีแล้วเหลือเพียงปฏิบัติให้ถึงที่สุดเท่านั้น ที่ยังทำไม่ได้ผลสำเร็จ

พี่สิงห์ ไม่เชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เมื่อเชื่อว่าพระเกจิอาจารย์เหล่านั้นท่านจะวิเศษช่วยได้  มันไม่เป็นแบบที่คนทั่วไป  ไปยึดติดกัน

พระธรรมของพระพุทธองค์ต่างหากที่ท่านทรงสอน ให้เรานำไปปฏิบัตืดำเนินชีวิตของเราอย่างสงบสุข ไม่เบียดเบียนใคร หรือเพียงรักษาศีล ๕ ให้มั่นคง ยังดีกว่าไปกราบพระเกจิอาจารย์ ตั้งไหน ๆ

และบอกไปว่าในสมัยพุทธกาล พระวักกลิ จ้องดูพระพุทธองค์ไม่คลาดสายตา  จนพระพุทธองค์เรียกไปสั่งสอนว่า ถึงแม้จะจับสังฆาฏิของพระองค์ เดินตามพระองค์ตลอดเวลา ก็ไม่สามารถบรรลุธรรมได้  แต่ถ้าบุคคลใดถึงจะอยู่ห่างไกล แต่ปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์ ก็บรรลุธรรมได้  ผู้ที่บรรลุธรรมได้ชื่อว่าได้เห็นพระองค์แท้จริง

แต่สังคมชาวพุทธไทย ณ ปัจจุบัน  ชอบไปกราบ ทำบุญกับพระเกจิอาจารย์ นั่นละไม่สมควร เพราะ ลาภสักการะ ยศ สรรเสริญ สุข ที่พระเกจิอาจารย์ท่านได้รับจากโยม นั่นละ พระเกจิอาจารย์ท่านเลยยึดติด เป็นกับดักหมด เลยไม่ไปถึงไหน  แต่คนก็สรรเสริญท่าน เชื่อท่าน ว่าท่านปฏิบัติดี  ปฏิบัติชอบ ไปกราบไหว้ ทำบุญ เนืองแน่นไปหมด พระท่านก็หลงว่าท่านทำดีแล้ว เหมาะสมแล้ว  ถูกต้องแล้ว  มันไม่ใช่เพราะนั่นละหลงอยู่ในคิด เป็นอัตตา เชียวละ

กรรม คือการกระทำ ใครทำกรรมดีก็ตาม ทำกรรมชั่วก็ตาม ย่อมได้รับผลของกรรมนั้น

พระพุทธองค์สอนว่า ถ้าไปกราบสิ่งศักดิ์สิทธ์(หรือพระเกจิอาจารย์)แล้วได้สิ่งที่ปราถนา  คนเราก็ไม่ต้องทำอะไรอ้อนวอน ไปกราบพระทุกวันก็ได้สิ่งนั้น  มันไม่เป็นความจริง เป็นไปไม่ได้ พระพุทธองค์ท่านก็ทรงสอนอย่างนี้  ท่านให้ปฏิบัจิตาม มรรคมีองค์ ๘ หรือ ศีล  สมาธิ  ปัญญา เป็นหลัก

หรือเพียงรักษาศีล ๕ ให้มั่น ตายไปก็ไม่ตกนรกภูมิแน่นอน  ดีกว่าไปยึดติดกับพระเกจิอาจารย์  ซึ่งไม่ได้อะไรเลย

ก็เอามาบอกกล่าวกันในเช้านี้  

จะได้เวลากินข้าวเช้า  เดินไปซื้อกับข้าว มาใส่บาตร เพราะต้องทำเวลา ไปตามที่กำหนด ต้องออกจากบ้าน 07:30 น.ไปสนามบิน หมายความว่า ต้องกินข้าว ซื้อกับข้าว ล้างจาน ตากผ้า ใส่บาตรพระ ทำธุระส่วนตัว และอีกมาก ก่อนปิดบ้านเดินทางไปสนามบินดอนเมือง

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #11542 เมื่อ: 10 มกราคม 2557, 06:10:21 »



อาหารเช้านี้

บวบผัดไข่(เหลือมาจากมื้อกลางวัน) น้ำพริกปลาดุกฟู  ผักสด ๓ ชนิด  ข้าวกล้อง และซุปผักโขม

มื้อเช้าต้องกินอย่างราชา เพราะร่างกายต้องการสารอาหาร

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #11543 เมื่อ: 10 มกราคม 2557, 07:08:38 »


เหมื่อยแล้วครับ  ขอบคุณมากที่กรุณา
คุณเหยง ไม่อยู่ ไม่เข้าเวบ  คงเหมื่อยไปอีกนาน คงต้องให้คุณสนธยา  ช่วยเหลือแล้วครับ

เช้านี้ ใส่บาตรพระที่หน้าบ้านเรียบร้อยแล้วครับ
ต้องเดินทางไปสนามบินดอนเมืองแล้ว

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #11544 เมื่อ: 10 มกราคม 2557, 08:16:54 »



พี่สิงห์ ถึงสนามบินดอนเมืองเมื่อเวลา 08:00 น.

วันนี้คนไม่มาก  รถมีไม่มากที่สนามบิน ผิดกับวันศุกร์โดยทั่วไป  ที่คนจะเดินทางไปต่างจังหวัด ไปพักผ่อนกันมาก  แต่ศุกร์นี้ไม่ใช่

อาจจะเป็นเพราะ เหตุการณ์บ้านเมือง มันไม่ปกติ  อย่าลืม วันจันทร์ที่ ๑๓ มกราคม เป็นวันปิด กรุงเทพฯ เพื่อประท้วงระบอบทักษิณ  ตามที่ท่านกำนันสุเทพ  ท่านประกาศเอาไว้

ปิดก็ปิด  อยู่บ้าน  ไม่ต้องไปไหน  มันจะเป็นอะไรไป ไม่ตาย  แน่นอน  อย่าไปคิดมาก ให้คิดเหมือนเป็นวันหยุดวันหนึ่ง  กำนันสุเทพ  ท่านให้พักผ่อนที่บ้าน  มันก้เท่านั้นเอง  ดีเสียอีก จะได้ซักผ้า  เก็บบ้าน  ทำความสะอาด  และที่สำคัญไม่เสียสตางค์ เพราะอยู่บ้านค่าใช้จ่ายน้อย ปิดหนึ่งอาทิตย์ก้ไม่เดือดร้อน

ปิดนานยิ่งดี  ดร.สุริยา  จะได้มีข้อ้อางไม่ต้องรีบส่งงาน  มีเวลาทำงานอยู่ที่บ้าน  ให้เสร็จ  จะได้ไม่ต้องกลุ้ม  อย่างทุกวันนี้  ไปรับงานเขามามาก  ทำไม่ทัน  เกรงใจ  มีแต่ความวิตกกังวล  ระวัง มะเร็งมันจะมาเร็วเกินไป  อ่านธรรมะ มาก็มาก ไม่เอามาใช้ให้เป็นประโยชน์  เศร้าชะมัด คนอย่าง ดร.สุริยา  มีธรรมะท้วมหัว  มีแต่ทุกข์  นี่หรือ ดร.สุริยา  ผู้รู้

ขอค่าเวลาด้วยการ นั่งอ่านพระไตรปิฎก ครับ

สวัสดี

      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #11545 เมื่อ: 10 มกราคม 2557, 11:25:35 »

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง และแขกผู้มาเยือน ที่รักทุกท่าน

พี่สิงห์  มาถึงนครศรีธรรมราชเรียบร้อยแล้วครับ ที่สนามบินมีรอยฝนตก คือเมื่อเช้านครศรีธรรมราชฝนตกแต่ไม่หนัก อากาศทางใต้มันก็อย่างนี้  จะต่างจากกรุงเทพฯ  ดังนั้น นี้คือสาเหตุที่พี่สิงห์  ต้องมีวินัยการกิน  นอนหัวค่ำ  ออกกำลังกาย เพื่อให้ร่างกายแข็งแรง พอที่จะต้องรับกับอากาศที่แตกต่างกันได้ในเวลารวดเร็วแบบที่พี่สิงห์ ต้องเผชิญเสมอ

นครศรีธรรมราช  อากาศร้อนชื้น  ฝนตก

สวัสดีครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #11546 เมื่อ: 10 มกราคม 2557, 11:42:54 »


อาหารเพล วันนี้

ซื้อกับข้าวได้แก่ผักสด  แกงคั่วสัปรดกับหอยแมงภู่  วุ้นเส้นผัดใส่ไข่และกระเทียมดองนิดหน่อย มาจากร้านอิ่มอร่อยตลาดลุงเพิ่มหลังการบินไทย

 ข้าวกล้องเหลืองหุงเองเอามาจากบ้าน

แค่นี้ก็ดีต่อสุขภาพ และราคาไม่แพง  ไม่ต้องรบกวนใครทั้งสิ้น

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #11547 เมื่อ: 10 มกราคม 2557, 13:27:02 »

สังคมเรียกหาคนดี



สังคมปัจจุบัน เรียกร้องหาคนดี  พ่อแม่ ร้องหาลูกดี, ครูอาจารย์ ร้องหาลูกศิาย์ดี, ประชาชนเรียกร้องหานักการเมืองดี, ผู้หญิงเรียกร้องหาผู้ชายดี, ผู้ชายเรียกร้องหาผู้หญิงดี เป็นต้น  ซึ่งแสดงว่า  สังคมในปัจจุบันนี้ มีคนชั่วมากกว่าคนดี ใช่หรือไม่ใช่ ?  ผู้เขียนก็ไม่ทราบเหมือนกัน

ในที่นี้  อยากทำความเข้าใจกับท่านผู้อ่านว่า คนดี คือคนเช่นไร?
บ้างก็ว่า คนดี ต้องเป็นคนมีคุณธรรมบ้าง (ความรู้คู่คุณธรรม)
คนดี ต้องมีจริยธรรมบ้าง (ความรู้คู่จริยธรรม)

แต่คำว่า คนดีมีศีลธรรม (ความรู้คู่ศีลธรรม) ไม่มี

คนดีมีศีลธรรม (ความรู้คู่ศีลธรรม) มันขาดหายไปจากกระทรวงศึกษาธิการ  และคนในสังคมไทย  รวมไปถึงคณะสงฆ์ด้วย (พอดีผู้เขียนเคยได้อ่านคำสั่งมหาเถรสมาคมฉบับหนึ่ง ที่ออกโดยสำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติมีไปถึงวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศ ใช้คำว่า "คุณธรรมจริยธรรม"  ไม่ใช้คำว่า "ศีลธรรม") แล้วคนดีที่คนในสังคมเรียกหา คือคนเช่นไร ?
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #11548 เมื่อ: 10 มกราคม 2557, 13:43:10 »

คนดี กับ คนมีศีลธรรม

ความจริงแล้ว  คนดี กับ คนมีศีลธรรม เป็นคนคนเดียวกัน เพราะคนมีศีลธรรมแต่ไร้ธรรม กับคนมีธรรมแต่ไร้ศีล จะเป็นคนดีได้อย่างไร  คนขาดธรรม ชีวิตดำเนินไปได้ตามปกติ แต่คนขาดศีล นาทีเดียว ชีวิตพังพินาศได้ แล้วใครจะว่า ศีลไม่สำคัญ?

คนมีศีลธรรม กับ คนมีคุณธรรม ต่างกันอย่างไร?

คนมีคุณธรรมข้อใดข้อหนึ่ง  มีกตัญญูกตเวทิตาธรรม เป็นต้น  ไปขโมยสิ่งของๆ คนอื่นที่เจ้าของเขาไม่ได้ให้เพื่อเอามาเลี้ยงพ่อ-แม่  เขาได้ชื่อว่าเป็นคนมีคุณธรรม  คือกตัญญูกตเวทิตาต่อพ่อ-แม่  แต่ขาดศีลข้อที่สอง เพราะไปขโมยของเขามา  คนเช่นนี้ ทำให้ตนเองและสังคมเดือดร้อน  จะได้ชื่อว่า เป็นคนดีได้อย่างไร ?

ขออีกสักตัวอย่าง  สังคมปัจจุบัน  นักการเมือง ชอบกินเล็กกินน้อย (ในสมัยนั้นที่เขียนหนังสือ  แต่ตอนนี้กินไม่น้อย อย่างต่ำ 20% ของงบประมาณเพื่อตนเองและพรรคการเมือง) โกงเล็กโกงน้อยจากงบประมาณแผ่นดิน แล้วนำเพียงบางส่วนน้อยนิด  ส่วนใดส่วนหนึ่งไปแจกจ่ายประชาชน  เพียงเพื่อหวังให้เขาเหล่านั้นได้เลือกตนเข้ามาอีกในคราวเลือกตั้งครั้งต่อไป ทั้งๆ ที่เงินนั้นก็คือเงินภาษีของราษฎรที่รัฐเก็บไปนั่นเอง  ไม่ได้เอาเงินตัวเองลงทุนแต่อย่างใด แต่คนก็นิยมชมชอบเลือกตั้งเข้ามาใหม่  ที่ร้ายไปกว่านั้น  ข้าราชการคนไหนที่ช่วยในการโกงการกิน โครงการใหญ่ๆ ยามเขามีปัญหาต้องออกจากราชการ ก็รับเข้าไปทำงานให้กับโครงการที่ตนร่วมกันโกงได้มา เรียกว่า โกงทั้งทรัพย์สินและบุคคลากรของทางราชการ  ลักษณะอย่างนี้จะนับเป็นคนดีมีกตัญญูกตเวทตาธรรมได้อย่างไร?

ดังนั้น คนดี คือคนที่มีศีลด้วย มีธรรมด้วย จึงจะได้ชื่อว่าเป็นคนดี  ที่สังคมต้องการเรียกหา

ดังนั้น  จึงอยากถามคนในสังคมไทยว่า  เราจะเรียกร้องหาคนดีกันได้ที่ไหน?
ในเมื่อคำว่า "ศีลธรรม" ยังไม่มีคนพูดถึง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้หลักผู้ใหญ่ ในบ้านเมือง  รวมไปถึงกระทรวงศึกษาธิการ  ซึ่งเป็นกระทรวงหลัก ได้ตัดวิชา หน้าที่พลเมือง ศีลธรรม สำหรับ ที่จะได้ใช้พัฒนาพฤติกรรมของเยาวชนออกไปรับใช้สังคมและประเทศชาติ ออกไปจากระบบการศึกษาไทย (เวลาตัดออกง่าย  แต่เวลาจะนำเข้ากลับไว้เหมือนเดิมยากเหลือเกิน  จนทุกวันนี้ก็ยังไม่สามารถนำกลับเข้าไปไว้อย่างเดิมได้)

ผลิตผลของกระทรวงศึกษาธิการ  จึงทำให้คนมีความรู้เต็มบ้านเต็มเมือง ในองค์การต่าง ๆ สุภาพบุรุษชาติชั่วเดินหัวชนกัน  ไม่เว้นแม้ในสถานบันการปกครองชั้นสูงของไทย  แต่หาความดีในบุคคลเหล่านั้นไม่ได้  

สังคมจึงต้องเรียกหา คนมีความรู้คู่ความดี

ดังนั้น  พระมหาเถระของไทยรูปหนึ่งคือ ท่านพุทธทาส  ท่านพยายามเรียกร้องให้เอาศีลธรรมกลับมา ถ้าศีลธรรมไม่กลับมาโลกาจะพินาศ  แล้วปัจจุบันเป็นอย่างไร ? มีแต่คนปากกล้า  หน้าด้าน  ไม่มียางอาย  ไร้เสียซึ่ง หิริและโอตัปปะ  เสพสมตั้งครรภ์รีดลูกกันตั้งแต่เยาว์วัย ทำแต่สิ่งที่เป็นพิษเป็นภัยให้กับชีวิตของตนเองและสังคมกันทั่วบ้านทั่วเมือง โทษกันและกันว่า  คนนั้นโกง  คนนี้กิน กินกันไม่มีวันสิ้นสุด  แต่ไม่เคยมองตนเอง  พรรคตนเอง  พวกตนเอง เลย


บ้านเมืองที่วุ่นวาย ณ วันนี้ เป็นเพราะ คนขาด "ศีลธรรม" นั่นเอง
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #11549 เมื่อ: 10 มกราคม 2557, 14:12:26 »

ตามหลักพุทธศาสนา ต้องดับที่เหตุ

เมื่อเรารู้ว่า คนมันไม่ดี นักการเมืองไม่ดี เพราะไม่มีศีลธรรม เราก็ต้องนำ ศีลธรรม มาให้เยาวชนม์ได้ศึกษา ตั้งแต่ต้นใหม่ เป็นการแก้ที่ต้นเหตุ
อย่าลืม ไม้อ่อนดัดได้  ถ้าดัดให้ถูกวิธี
แต่ไม้แก่ดัดอย่างไร ก็ดัดไม่ได้  นี่คือความจริง


กระทรวงศึกษาธิการกับการพัฒนาคน

ท่านนายกรัฐมนตรี  และท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ที่เคารพ  ได้โปรดนำเอสวิชา "หน้าที่พลเมือง และ ศีลธรรม" กลับคืนมาเถิด  ก่อนที่สังคมบ้านเมืองจะเกิดวิกฤตไปมากกว่านี้  จนถึงขั้นกลียุค หน้าที่พลเมือง - ศีลธรรม ทุกคนต้องรู้  หรือด๊อกเตอร์หรือผู้รู้ และหรือผู้รับผิดชอบในกระทรวงศึกษาธิการไม่ต้องการให้เยาวชนไทย รู้หน้าที่รู้ศีลรู้ธรรม ตลอดไปถึง รู้วัฒนธรรมประเพณีที่เป็นของไทย  แล้วเยาวชนที่เราว่ากันว่า เยาวชนในวันนี้ คือผู้ใหญ่ในวันข้างหน้า  จะเป็นอย่างไร? ความเป็นคนไทย  ความเป็นชาติไทย  จะมีอะไรเหลืออยู่อีกหรือ?

เด็กดีรู้หน้าที่ มีศีลธรรมในวันนี้  คือผู้ใหญ่ที่ดี  รู้หน้าที่  มีศีลธรรม ในวันข้างหน้า

ตามหลักของพระพุทธศาสนา หรือ หลักวิทยาศาสตร์  สอนให้คนมองเหตุและมองผลที่เกิดขึ้น  ถ้าเราต้องการให้ลูกหลานของเรา รู้และมีอะไร  ต้องให้เขาได้มีโอกาสศึกษาและเรียนรู้สิ่งนั้น เช่น  อยากให้เขาเป็นคอมพิวเตอร์ เราก็ต้องให้เขาเรียนคอมพิวเตอร์  อยากให้เขาเป็นหมอ เราก็ต้องให้เขาเรียนแพทย์  อยากให้เขาเป็นวิศวกร ก็ต้องให้เขาเรียนวิศว เป็นต้น

เช่นเดียวกัน  ถ้าอยากให้ลูกหลานของเราเป็นนนนนคนมีความรู้ดีและมีศีลธรรม  เราก็ต้องให้เขาได้มีโอกาสศึกษา วิชาศีลธรรมและฝึกปฏิบัติศีลธรรมกันอย่างทั่วถึงและจริงจัง  เมื่อถึงเวลานั้น  คนดีก็จะเต็มบ้านเต็มเมือง  กระทรวงศึกษาธิการ  จึงเป็นกระทรวงที่สำคัยที่สุดในการพัฒนาคน  ให้เป็นคนดีและมีความรู้ เพื่อออกมารับใช้สังคมและประเทศชาติ


แต่เพราะที่ผ่านมามุสสลิมเข้ามามีบทบาทที่กระทรวงศึกษาธิการ  จนสามารถปลดพุทธศาสนา เป็นศาสนาประจำชาติได้สำเร็จ  ก็รุกคืบหน้า ปลดวิชาหน้าที่พลเมือง - ศีลธรรม  ออกจากระบบการศึกษาไทยได้สำเร็จ  จนสามารถออกกฏหมายมาอีก ๑๘ ฉบับบช่วยขยายศาสนามุสลิมในประเทศไทยได้ทัดเทียมพุทธศาสนา  จนสามารถยึดครองคณะกรรมการกรมศาสนาได้ เพราะมีเสียง ๘ เสียง พุทธมีเพียง ๒ เสียง เท่านั้น

ดังนั้น โอกาสที่วิชา หน้าที่พลเมือง - ศีลธรรม จะกลับมาในระบบการศึกษาไทย จึงไม่มีเลย กระทรวงศึกษาให้เด็กไปหาเอาเองตามวัด เท่านั้นเอง ในอนาคต พุทธศาสนามันก็ลดบทบาทในสังคมไทยไปแน่นอน โดยมี มุสสลิมเติบโตขึ้นมาแทนที่ ในชีวิตเราคงไม่เห็นแต่ระดับเหลน เห็นแน่นอน

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
  หน้า: 1 ... 460 461 [462] 463 464 ... 681   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

ทำไมหอพักนิสิตจุฬาจึงเป็นดินแดนมหัศจรรย์            " ไม่ได้เป็นแค่หอให้นอนพัก  แต่เป็นบ้านอบอุ่นรักให้อาศัย  ไม่เป็นแค่ที่ซุกหัวยามหลบภัย  แต่สร้างใจให้เข้มแข็งแกร่งการงาน"  <))))><