เพราะมีภพเป็นปัจจัย การเกิดย่อมมี ตามมาด้วยการแก่ การเจ็บ การวิตกกังวล ความเดือดดาลใจหรือนิวรณ์ ๕ หรือความโลภ ความโกรธ ความหลง หรือรวม ๆ กันก็คือ ความไม่รู้ หรืออวิชชา นั่นเอง
เพราะมีอุปปาทาน(ความยึดมั่นถือมั่นในรูป-นาม)เป็นปัจจัย ภพย่อมมี
เพราะมีตัณหา(ความทะยานอยาก)เป็นปัจจัย อุปปาทานย่อมมี
เพราะมีเวทนา(ความสุข ความทุกข์ ความไม่สุขไม่ทุกข์)เป็นปัจจัย ตัณหา ย่อมมี
เพราะมีผัสสะ(สัมผัส)เป็นปัจจัย เวทนาย่อมมี
เพราะมีสฬายตนะ(อายตนะ)เป็นปัจจัย ผัสสะย่อมมี
เพราะมีนาม-รูปเป็นปัจจัย สฬายตนะย่อมมี
เพราะมีนาม-รูปเป็นปัจจัย วิญญาณย่อมมี
เพราะมีสังขารเป็นปัจจัย วิญญาณย่อมมี
เพราะมีอวิชชาเป็นปัจจัย สังขารย่อมมี
ทุกสิ่งในวงจรทุกข์นี้ หรือปฏิจจสมุปาบาท นี้ เป็นธรรมชาติที่ต้องมี ต้องเป็นของมันแบบนั้น แน่นอนเป็นกฏตายตัว
"ผู้ใดพิจารณาเห็นความจริงในธรรมนี้ ย่อมเห็นตถาคต" พระพุทธองค์ทรงกล่าวไว้
มันเป็นความจริงเสมอ
จะเห็นว่า ปัจจัยที่จะทำให้วงจรทุกข์นี้ขาดสะบั่นลงได้นั้นคือ ตัณหา หรือความทะยานอยากนั่นเอง เมื่อไม่มีตัณหาเป็นปัจจัย อุปาทานหรือความยึดมั่นถือมั่นก็ไม่บังเกิดขึ้น
ตัณหา เกิดจากความทะยานอยากเมื่อตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง จมูกได้ดมกลิ่น ลิ้นได้ลิ้มรส ได้สัมผัสทางกาย ใจอยากมีอยากเป็น และใจไม่อยากมี ใจไม่อยากเป็น
การจะเอาชนะตัญหาได้นั้น คือการเจริญสติ ย้อนกลับมาศึกษาจิตตนเองจนเห็นความจริงในธรรม ก็จะคลายความยึดมั่นถือมั่นลงได้ คือปฏิบัติตามมรรคมีองค์ ๘ นั่นเอง
เช้านี้ก็ขอฝากวงจรทุกข์ให้ทุกท่านได้พิจารณา ครับ
"เพราะทิฏฐิ ที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ ของคนนี่ละ บ้านเมืองของเราจึงมีแต่ความวุ่นวาย เพราะเห็นแต่ประโยชน์ส่วนตนและพวกพ้องเป็นหลัก จึงเป็นหนทางแห่งความฉิบหาย ทั้งสิ้น"
"กรรม คือการกระทำ ใครทำกรรมดีก็ตาม ใครทำกรรมชั่วก็ตาม ย่อมได้รับผลของกรรมนั้นเสมอ"
การกระทำที่ก่อประโยชน์ ประกอบไปด้วยกุศล จึงเป็นการกระทำที่ยิ่ง
คนจะสรรเสริญ เพราะไม่เห็นประโยชน์ส่วนตน และไม่ทำให้ใครเดือดร้อน
สวัสดี