23 พฤศจิกายน 2567, 15:24:44
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 396 397 [398] 399 400 ... 681   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: คุย กับ คุณมานพ กลับดี อดีตประธานชมรม ๓ สมัย  (อ่าน 3559665 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 40 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #9925 เมื่อ: 21 สิงหาคม 2556, 05:41:32 »

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง และแขกผู้มาเยือน ที่รักทุกท่าน

                                วันนี้วันพระขึ้นสิบห้าค่ำ 

                                 ทำจิตให้ผ่องใส  ไม่ปรุงแต่งมากนัก  คิดในทางธรรม

                                 มีสติ-สัมปชัญญะ  อยู่กับปัจจุบัน

                                 กระทำในสิ่งที่ก่อประโยชน์ และเป็นไปในทางสร้างกุศลกรรม

                                  พี่สิงห์ต้องออกจากบ้านหกโมงเช้า ไปทำงานที่บ้านแพ้ว  สมุทรสงคราม ครับ

                                   สวัสดี
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #9926 เมื่อ: 21 สิงหาคม 2556, 11:11:39 »

ฝนเพิ่มขึ้นในภาคเหนือ ภาคอีสานเล็กน้อย
กทม.และปริมณฑล มีฝนร้อยละ 40 ตกช่วงบ่ายถึงค่ำ

พยากรณ์อากาศ ประจำวันพุธที่ 21 สิงหาคม 2556
ลักษณะอากาศทั่วไปเมื่อเวลา 04:00 น.  ร่องมรสุมพาดผ่านตอนบนของภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เข้าสู่
หย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณอ่าวตังเกี๋ย ทำให้ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนมีฝนเพิ่มขึ้นในระยะ 2-3 วันนี้
สำหรับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย มีกำลังค่อนข้างแรง ทำให้บริเวณอ่าวไทยตอนบน และทะเลอันดามัน จะมีคลื่นสูงประมาณ
2 เมตร ขอให้ชาวเรือเพิ่มความระมัดระวังในการเดินเรือไว้ด้วย
อนึ่ง พายุโซนร้อน “จ่ามี” (TRAMI) บริเวณมหาสมุทรแปซิฟิก มีศูนย์กลางอยู่ทางด้านตะวันออกของเกาะไต้หวัน กำลังเคลื่อนทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ด้วยความเร็วประมาณ 18 กม./ชม. และมีแนวโน้มจะเคลื่อนตัวเข้าใกล้บริเวณหัวเกาะไต้หวัน และด้านตะวันออกของประเทศจีน ในช่วงวันที่ 21-22 สิงหาคม 2556 ขอให้ผู้ที่จะเดินทางไปบริเวณดังกล่าวตรวจสอบสภาพอากาศก่อนออกเดินทาง ซึ่งพายุนี้ไม่มีผลกระทบต่อประเทศไทย
 
พยากรณ์อากาศสำหรับประเทศไทยตั้งแต่เวลา 06:00 วันนี้ ถึง 06:00 วันพรุ่งนี้. 

ภาคเหนือ  มีฝนฟ้าคะนองเกือบทั่วไป ร้อยละ 70 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง
บริเวณจังหวัดตาก แม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ เชียงราย พะเยา และน่าน

อุณหภูมิต่ำสุด 23-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 30-33 องศาเซลเซียส
ลมแปรปรวน ความเร็ว 10-30 กม./ชม.
 
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 40 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง
ส่วนมากทางตอนบนของภาค บริเวณจังหวัดหนองคาย บึงกาฬ
หนองบัวลำภู อุดรธานี สกลนคร และนครพนม

อุณหภูมิต่ำสุด 24-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 31-33 องศาเซลเซียส
ลมตะวันตก ความเร็ว 10-30 กม./ชม.
 
ภาคกลาง  มีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆ ร้อยละ 30 ของพื้นที่
ส่วนมากบริเวณจังหวัดกาญจนบุรี อุทัยธานี นครสวรรค์ ลพบุรี และสระบุรี

อุณหภูมิต่ำสุด 23-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-35 องศาเซลเซียส
ลมตะวันตก ความเร็ว 15-30 กม./ชม.
 
ภาคตะวันออก  มีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆ ร้อยละ 30 ของพื้นที่
ส่วนมากบริเวณจังหวัดนครนายก ปราจีนบุรี สระแก้ว จันทบุรี และตราด

อุณหภูมิต่ำสุด 25-27 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 31-33 องศาเซลเซียส
ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 20-35 กม./ชม.
ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร
 
ภาคใต้ (ฝั่งตะวันออก) มีเมฆบางส่วน กับมีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง ร้อยละ 10 ของพื้นที่
อุณหภูมิต่ำสุด 23-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-35 องศาเซลเซียส
ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-35 กม./ชม.
ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร ห่างฝั่งคลื่นสูง 1-2 เมตร
 
ภาคใต้ (ฝั่งตะวันตก)  มีเมฆบางส่วน กับมีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆ ร้อยละ 20 ของพื้นที่
ส่วนมากบริเวณจังหวัดระนอง และสตูล

อุณหภูมิต่ำสุด 23-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 31-34 องศาเซลเซียส
ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 20-35 กม./ชม.
ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณฝนฟ้าคะนองมีคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร
 
กรุงเทพมหานครและปริมณฑล มีเมฆเป็นส่วนมาก โอกาสมีฝนตก ร้อยละ 40 ส่วนมากในช่วงเย็นถึงค่ำ
อุณหภูมิต่ำสุด 26-27 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-35 องศาเซลเซียส
ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ชม.
 
 
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #9927 เมื่อ: 21 สิงหาคม 2556, 11:14:25 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 21 สิงหาคม 2556, 05:41:32
สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง และแขกผู้มาเยือน ที่รักทุกท่าน

                                วันนี้วันพระขึ้นสิบห้าค่ำ 

                                 ทำจิตให้ผ่องใส  ไม่ปรุงแต่งมากนัก  คิดในทางธรรม

                                 มีสติ-สัมปชัญญะ  อยู่กับปัจจุบัน

                                 กระทำในสิ่งที่ก่อประโยชน์ และเป็นไปในทางสร้างกุศลกรรม

                                 พี่สิงห์ต้องออกจากบ้านหกโมงเช้า ไปทำงานที่บ้านแพ้ว  สมุทรสงคราม ครับ

                                   สวัสดี


วันนี้ วันสาร์ทจีน หรือวันขึ้น 15 ค่ำเดือนเจ็ดตามจันทรคติ

คนจีนมีประเพณีนิยมในการไหว้เจ้า ไหว้บรรพบุรุษ และไหว้ผีไม่มีญาติ
รวมทั้งทำบุญ-ทำทาน อาทิ พิธีเทกระจาด แจกจ่ายข้าวของให้ผู้มีรายได้น้อย-ผู้ยากไร้ ได้อิ่มในวันนี้
ถือเป็นทานอย่างหนึ่งที่สมควรปฎิบัติ หลังตักบาตรทำบุญกับพระสงฆ์ สามเณร ชี ในช่วงเช้าไปแล้ว
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #9928 เมื่อ: 21 สิงหาคม 2556, 20:00:16 »

อ้างถึง
ข้อความของ เหยง 16 เมื่อ 21 สิงหาคม 2556, 11:14:25
อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 21 สิงหาคม 2556, 05:41:32
สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง และแขกผู้มาเยือน ที่รักทุกท่าน

                                วันนี้วันพระขึ้นสิบห้าค่ำ  

                                 ทำจิตให้ผ่องใส  ไม่ปรุงแต่งมากนัก  คิดในทางธรรม

                                 มีสติ-สัมปชัญญะ  อยู่กับปัจจุบัน

                                 กระทำในสิ่งที่ก่อประโยชน์ และเป็นไปในทางสร้างกุศลกรรม

                                 พี่สิงห์ต้องออกจากบ้านหกโมงเช้า ไปทำงานที่บ้านแพ้ว  สมุทรสงคราม ครับ

                                   สวัสดี


วันนี้ วันสาร์ทจีน หรือวันขึ้น 15 ค่ำเดือนเจ็ดตามจันทรคติ

คนจีนมีประเพณีนิยมในการไหว้เจ้า ไหว้บรรพบุรุษ และไหว้ผีไม่มีญาติ
รวมทั้งทำบุญ-ทำทาน อาทิ พิธีเทกระจาด แจกจ่ายข้าวของให้ผู้มีรายได้น้อย-ผู้ยากไร้ ได้อิ่มในวันนี้
ถือเป็นทานอย่างหนึ่งที่สมควรปฎิบัติ หลังตักบาตรทำบุญกับพระสงฆ์ สามเณร ชี ในช่วงเช้าไปแล้ว


สวัสดีครับ คุณเหยง

                            วันนี้วันสารทจีน  ที่โรงงานมีการแจกทับทิม  ขนมเข่ง  ขนมเทียน และขนมเค็ก ให้กับคนงานและพนักงานทุกคน 

                             พี่สิงห์ ก็ได้กินขนมเทียน  และได้รับของแจกมาหนึ่งชุด

                             พรุ่งนี้เลยมีผลไม้ ขนมใส่บาตรพระยามเช้าครับ

                             สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #9929 เมื่อ: 21 สิงหาคม 2556, 21:03:27 »


สวัสดีครับ คุณน้องหนุ๋งหนิ๋ง และชาวซ๊มะโด่ง ที่รักทุกท่าน

                    รูปนี้ ถ่ายเมื่อบ่ายวันนี้เอง น้ำหนักอยู่ที่ ๖๗ กิโลกรัม

                    การได้เดินดูคนงานทำงาน (ชาวพม่า) มีความสุขอย่างหนึ่ง ของผม เพราะไม่ต้องคิดมาก

                    มีอะไรที่ไม่ถูกไม่ควร ก็แนะนำ ใช้ภาษาอังกฤษ ปนภาษาใบ้ เพราะพม่าชุดนี้ยังพูดไทย ไม่ได้เลย

                    ขอตัวไปสวดมนต์ทำวัตรเย็น ก่อนนอน วันนี้วันพระ

                    ราตรีสวัสดิ์ทุกท่านครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #9930 เมื่อ: 21 สิงหาคม 2556, 21:10:10 »


แด่เธอ...ผู้รู้สึกตัว




            และแล้ว
            ก็จะไม่ถูกแผดเผาอีก

           
            วันนี้เป็นวันสำคัญวันหนึ่งที่เราได้มาประชุมกัน เพื่อฟังข้าพเจ้าพูดเกี่ยวกับความจริง สิ่งที่ข้าพเจ้าจะพูดต่อไปนี้เป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าได้ประสบมา ข้าพเจ้าได้ปฏิบัติมันและผลที่ข้าพเจ้าได้รับก็คือ ข้าพเจ้าไม่มีทุกข์ ข้าพเจ้าคิดว่าพวกเธอทั้งหมดในที่นี้คงจะปรารถนาความไม่มีทุกข์เช่นเดียวกับข้าพเจ้า ในความเป็นจริงในภาวะที่แท้จริงแล้ว ทุกข์เป็นสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง เราทุกข์เพียงเพราะเราไม่รู้มันเท่านั้น พวกเธอทั้งหลายที่ฟังข้าพเจ้าพูดอยู่ในบัดนี้ ไม่มีโทสะ ไม่มีโลภะ และไม่มีโมหะ ภาวะดั้งเดิมของจิตใจของมนุษย์ในทุกชาติและทุกภาษาย่อมเป็นเช่นนั้น โปรดตั้งใจฟังและนำไปปฏิบัติ
 
            ขั้นแรกที่สุดนั้น เราจะต้องกระทำความรู้สึกตัว คนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจ ดังนั้นเขาจึงพยายามค้นหาความสงบ แต่ไม่ประสบความสำเร็จ ข้าพเจ้าก็ได้กระทำเช่นนั้นมาก่อน ข้าพเจ้าเคยเสาะหาความสงบ แต่ก็ไม่รู้ว่าความสงบนั้นอยู่ที่ไหน บัดนี้ ข้าพเจ้าอยากจะพูดถึงความสงบอีกชนิดหนึ่ง ความสงบที่เป็นอิสระจากการไม่รู้เพราะเรารู้และเพราะเราตื่นตัว ความสงบที่เป็นอิสระจากความไม่สงบ ที่เป็นอิสระจากความสงสัย เมื่อเราปฏิบัติความรู้สึกตัวอย่างถูกวิธี เราจะรู้ถึงสิ่งสมมติทุกสิ่งที่มีอยู่ในโลก เพราะว่าความรู้สึกตัวนั้นนำมาซึ่งปัญญา
 
            ปัญญา มีอยู่สี่ชนิดด้วยกัน คือ รู้โดยการจำ รู้โดยการรู้จัก รู้อย่างแจ้งชัด และรู้อย่างแท้จริง และปัญญาทั้งหมดเหล่านี้มีอยู่ในคนทุกคน สัจจะ หมายถึงความจริง การรู้ธรรมะมีอยู่สี่ระดับ คือ การรู้สมมติสัจจะ ปรมัตถสัจจะ อรรถสัจจะ และอริยสัจจะ และสิ่งนี้สามารถทำให้ใครก็ได้กลายเป็นบุคคลที่สูงส่งขึ้นมาโดยไม่จำกัดชนชั้นหรือภาษา ขั้นแรกที่สุดคือ โสดาบัน ขั้นที่สอง สกิทาคามี ขั้นที่สาม อนาคามี และขั้นที่สี่ อรหันต์
 
            บัดนี้ ในขั้นต้นของการปฏิบัติเรารู้ วัตถุ  (สิ่งที่มีอยู่) เรารู้ ปรมัตถ์  (สิ่งที่กำลังมีอยู่ เป็นอยู่ สัมผัสอยู่) เรารู้ อาการ (การเปลี่ยนแปลงของสิ่งที่กำลังมีอยู่) จิตใจจะเปลี่ยนเป็นอริยะ (ประเสริฐ) เพราะเราเห็นที่มาของ โทสะ โมหะ โลภะ อย่างแจ่มแจ้ง และรู้ต้นตอของ เวทนา-สัญญา-สังขาร-วิญญาณ (การรู้สึก-การจำได้-การปรุงแต่ง-การรู้อารมณ์) อย่างชัดเจน นี้เรียกว่า รู้แจ้งรู้จริงด้วยญาณปัญญา (ความรู้ของการรู้) ที่เกิดขึ้นจากการเจริญสติ
 
            ขั้นต่อไปใช้สติมาดูจิตใจ ปัญญาจะเกิดขึ้น และเราจะรู้ที่มาของกิเลส (ยางเหนียว) ตัณหา (ติด, หนัก) อุปาทาน (ยึดถือ, ยึดติด) และกรรม (การกระทำและเสวยผลที่ทำนั้น) ต่อไปใช้สติดูจิตใจอีก ไม่ว่าความคิดอะไรเกิดขึ้น เห็นมันทันที และเราจะรู้ถึงความลวงหลอก รู้ทันเวลา รู้การป้องกัน และรู้การแก้ไข เราจะรู้สึกถึงการเอาชนะความคิดปรุงแต่ง ศีลจะเกิดขึ้นภายในจิตใจของเราเอง
 
            ไม่ใช่คนดอกที่รักษาศีล แต่ศีลต่างหากที่รักษาคน ศีลแปลว่าปกติ เมื่อใดก็ตามที่จิตใจคิดผิดปกติ เราเห็นความคิดนั้นทันที นี้เรียกว่าศีลรักษาคน คนที่รักษาศีลจะไม่รู้ถึงการปรากฏของจิตใจนี้ ดังนั้น ศีลจึงเป็นเครื่องจำกัดกิเลสอย่างหยาบ  ทำลายโทสะ โมหะ โลภะ ทำลายกิเลส ตัณหา และอุปาทาน ศีลจึงปรากฏ
 
            สมาธิเป็นเครื่องจำกัดกิเลสอย่างกลาง กิเลสอย่างกลางคือ ความยึดติดในความสงบ ข้าพเจ้าได้กระทำภาวนาด้วยลมหายใจมาแล้ว ซึ่งทำให้เกิดความสงบแต่เป็นความสงบชนิดที่อิงอยู่บนโมหะ ข้าพเจ้ากระทำไปอย่างนั้นก็เพราะข้าพเจ้าไม่รู้จักความสงบที่แท้จริงในเวลานั้น บัดนี้ข้าพเจ้ารู้จักความสงบแล้ว ความสงบที่แท้จริง คือการเห็นอย่างแจ่มชัด การรู้อย่างแท้จริง และการเข้าใจอย่างแท้จริง ความสงบชนิดนี้ทุกคนสามารถทำได้ เมื่อเขารู้ที่มาของโมหะ ไม่ว่าเธอจะเป็นครู นักศึกษา พ่อค้า หรือแม่บ้าน เธอสามารถปฏิบัติได้ ทุกคนต้องการความสงบและความสงบชนิดนี้ ไม่ว่าเธอจะทำงานอะไรก็ตาม เธอก็ยังคงมีอยู่ เพราะว่าเธอรู้ถึงที่มาของโมหะ เราไม่จำต้องนั่งหลับตาเพื่อหาความสงบ แต่เราสามารถมีความสงบได้ในสังคม ขณะนี้ เมื่อใดก็ตามที่ความคิดปรุงแต่งเกิดขึ้น สมาธิจะเห็นมันทันที สมาธิมิได้หมายถึงการนั่งหลับตา สมาธิหมายถึงการตั้งจิตใจ เพื่อที่จะดูจิตใจของเราเอง เพื่อที่จะดูการงานของเราเอง
 
            บัดนี้ ปัญญากำจัดกิเลสอย่างละเอียด เรารู้กิเลสอย่างละเอียด เมื่อเรารู้ต้นตอของความคิดในทุกขณะที่มันเกิดขึ้น ไม่ว่าเราทำอะไร ในขณะนี้เรามีความปกติในคำพูดและในจิตใจ เมื่อเงื่อนไขทั้งหมดเหล่านี้มารวมตัวกันเข้าจะเกิด ญาณ (ความรู้) ชนิดหนึ่งขึ้น และมันจะแตกออกจากตัวของบุคคลนั้น ผู้ที่ปฏิบัติจะรู้โดยตัวของเขาเอง พวกเธอทั้งหมดที่นั่งอยู่ ณ ที่นี้ในขณะนี้ยังไม่มีญาณ แต่ความไม่ทุกข์และความไม่สุขก็มีอยู่แล้ว เมื่อเราไม่มีญาณ เราไม่รู้จักมันเราจึงแสวงหาความสงบ บัดนี้ ขณะที่เธอกำลังนั่งอยู่ในที่นี้ ลองมองดูที่จิตใจของเธอเอง เธอไม่มีความอิจฉาริษยา ความมุ่งร้าย ความก้าวร้าว จิตใจของเธอขณะนี้มีความเฉยๆ ไม่มีทุกข์และไม่มีสุข อยู่เหนือดีและชั่ว ภาวะนี้มีอยู่ในคนทุกคน และนี้คือความสงบซึ่งทุกคนกำลังเสาะแสวงหา
 
            บุคคลบางคนที่ไม่รู้แล้วมาสอนคนอื่น คนจำนวนมากติดตามเขาและนั่งหลับตา พยายามค้นหาความสงบ นี้คือการพยายามที่จะเอาบางสิ่งซึ่งไม่มีอยู่จริง การพยายามที่จะทำบางสิ่งซึ่งไม่อาจเป็นจริงให้เป็นจริง มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ดังนั้น นั่นเป็นเพียงภาวะของความหลง บัดนี้เรามารู้จักสิ่งที่เป็นจริง นี้เรียกว่า อุเบกขา (การวางเฉย) มันมีอยู่ในจิตใจของเราเอง เปรียบเหมือนบางสิ่งที่ถูกปกคลุมไว้ บัดนี้เมื่อเรามาเห็นจิตใจของเราเอง เปรียบเหมือนบางสิ่งที่ถูกปกคลุมไว้ บัดนี้เมื่อเรามาเห็นจิตใจของเราเอง มันจึงถูกเปิดเผยออก
 
            ดังนั้น เราจึงไม่ต้องทำอะไรกับความสงบ เพราะว่า มันมีอยู่แล้ว สิ่งที่เราต้องรู้เพียงอย่างเดียวก็คือ รู้วิธีของการปฏิบัติ วิธีการปฏิบัติคือรู้การเคลื่อนไหวของร่างกาย เราไม่ต้องมาเฝ้าดูการเคลื่อนไหวของลมหายใจ ให้เรารู้การเคลื่อนไหวของร่างกายและเห็นการเคลื่อนไหวของจิตใจ
 
            ลมหายใจไม่เคยดีใจหรือเสียใจ มันไม่เคยเกลียดใครหรือชอบใคร สิ่งที่โกรธคือจิตใจที่กำลังนึกคิดอยู่ สิ่งที่พึงพอใจก็คือจิตใจที่กำลังนึกคิดอยู่เช่นเดียวกัน ดังนั้น เราเพียงมาดูที่จุดนี้ การดูที่จุดนี้ก็คือ การรู้ตัวถึงความคิด ในการดูความคิดนั้นอย่าเข้าไปในความคิด ทันทีที่มันคิดให้ถอนตัวออกจากความคิดนั้น เช่นเดียวกับแมวที่ตะครุบหนู เราไม่จำเป็นต้องสอนแมวให้จับหนู แต่เมื่อใดก็ตามที่หนูมาแมวจะจับทันที การรู้อย่างชัดแจ้งและการรู้อย่างแท้จริงก็เป็นเช่นเดียวกัน คนส่วนมากเข้าใจปัญญาเพียงโดยการจำและการรู้จัก แต่มีน้อยคนนักที่รู้อย่างแจ่มแจ้งและรู้อย่างแท้จริง บุคคลที่จะรู้อย่างแจ่มแจ้งและรู้อย่างแท้จริงจะต้องใช้ความพยายามเสมอ ไม่ว่าเขาจะไปที่ใดเขาคอยเฝ้าดูความคิดเสมอ ไม่ว่าไปเข้าห้องน้ำ กินอาหารหรือทำอะไรก็ตาม เขาคอยดูความคิด เมื่อเราเฝ้าดูความคิดมากเข้าเหมือนแมวที่เฝ้าคอยหนูแล้ว เมื่อความคิดเกิดขึ้น สติหรือปัญญาจะเห็นอย่างแจ่มแจ้งในทันที นี้เรียกว่า ปัญญากำจัดกิเลสอย่างละเอียด
 
            เมื่อเรามาถึงจุดนี้ เหมือนกับของที่ซ่อนอยู่ถูกเปิดเผยออก และเราจะรู้ศาสนาทุกศาสนา เราจะเห็นด้วยความเข้าใจของเราเองถึงคำสอนของทุกศาสนา เราจะเข้าใจศาสนาฮินดู หรือศาสนาคริสต์ ที่เราไม่เข้าใจในขณะนี้ก็เพราะเราเพียงแต่จำมาจากตำรา นั่นเป็นเพียงประวัติศาสตร์ชนิดหนึ่งเท่านั้น บัดนี้เรามาศึกษาที่ตัวของเราเอง ความจริงมีอยู่ในตัวของเรา ตำราเป็นเพียงคำพูดของบุคคลอื่น เรามาเห็นจิตใจของเราเอง และเราก็จะเป็นผู้รู้อีกคนหนึ่ง
 
            ข้าพเจ้าขอยุติในบัดนี้ ผู้ที่มีปัญหาสงสัยขอได้โปรดถาม
 
            ผู้ฟัง : หลวงพ่อสอนว่า เมื่อเราไปเข้าห้องน้ำ เราเฝ้าดูความคิดด้วย เราเฝ้าดูการเดินของเรา หรือเราเฝ้าดูความคิด หรือเราเฝ้าดูอะไรกันแน่
 
            หลวงพ่อ : ความคิดเกิดขึ้นแม้เมื่อเราไม่ได้ใส่ใจกับมัน ดังนั้นเมื่อมันเกิดขึ้น เราจะเห็นมัน เราจะรู้มัน เราจะเข้าใจมัน ถ้าเราใส่ใจกับมันมากเกินไป พยายามที่จะเห็นมัน มันจะไม่คิด ดังนั้นเราควรจะปฏิบัติในลักษณะเฉยๆ เมื่อมันคิดเราจะรู้มัน สมาธิ ก็คือความรู้สึกตัวนี้ด้วย เมื่อเรามีความรู้สึกตัวนั่นคือสมาธิ เมื่อมันคิดและเราเห็นความคิด นั่นคือสมาธิ
 
            ผู้ฟัง : เมื่อกระผมนั่ง กระผมสามารถเฝ้าดูความคิด แต่เมื่อกระผมเดินไปเข้าห้องน้ำและตั้งใจดูความคิด เมื่อความคิดเกิดขึ้น กระผมควรจะหยุดเดินแล้วดูความคิด หรือว่ากระผมควรทำอย่างไร
 
            หลวงพ่อ : เธอไม่ต้องหยุดเดิน เพียงแต่รู้สึกตัว เมื่อเรามีความรู้สึกตัวนั่นคือสมาธิ ไม่ว่าเราจะเคลื่อนไหวอย่างไร เราจะรู้มัน ความคิดที่เราไม่ได้ตั้งใจจะเกิดขึ้นโดยตัวของมันเอง เมื่อเราไม่เห็นมันเราจะติดอยู่กับมัน และนี้คือทุกข์ ดังนั้น เรามารู้ที่สาเหตุของทุกข์   โดยปกติแล้วจิตใจของเราอยู่เฉยๆ มันสามารถคิดโดยไม่มีทุกข์ และเราก็รู้ว่ามันคิดโดยไม่มีทุกข์ แต่เมื่อเราไม่เห็นความคิด เราตามความคิด เราเข้าไปอยู่ในความคิด เราเข้าไปอยู่ในถ้ำ และนั่นคือทุกข์ การดูความคิดเป็นสิ่งที่ยากสำหรับคนที่ไม่เข้าใจ แต่เป็นสิ่งที่ง่ายสำหรับคนที่เข้าใจแล้ว การเห็นความคิดไม่เกี่ยวข้องกับชนิดของการงานที่เราทำอยู่ เราสามารถเขียนหนังสือ และเมื่อความคิดเกิดขึ้นเราเห็นมัน เมื่อเราเดินไปเข้าห้องน้ำ หรือเมื่อขณะเราอาบน้ำ และมันคิด เราเพียงแต่เห็นมัน ดังนั้น เราไม่ต้องทำอะไรกับความสงบ เพราะว่าความสงบเป็นสิ่งที่มีอยู่แล้ว ความสงบที่แท้จริงก็คือ ขณะเมื่อเราเห็นความคิด
 
            ผู้ฟัง : เพราะฉะนั้นเราไม่ต้องหยุดคิด
 
            หลวงพ่อ : ถูกต้อง เพียงเฝ้าดูการเคลื่อนไหวของจิตใจ อย่าไปบังคับจิตใจไม่ให้คิด อย่าไปพยายามป้องกันหรือกำจัดความคิด คนส่วนใหญ่ต้องการทำจิตใจให้สงบ เขาเหล่านั้นไม่ต้องการให้จิตใจคิด นั่นเป็นความเข้าใจของคนอื่น แต่ในทัศนะของข้าพเจ้าแล้ว เราควรปล่อยให้จิตใจนึกคิด ยิ่งมันคิดมากเราก็ยิ่งรู้
 
            อุปมาเหมือนขณะเราขุดบ่อน้ำ น้ำในตอนแรกนั้นจะเต็มไปด้วยสิ่งสกปรก ดังนั้นเราจึงต้องวิดน้ำออกครั้งแล้วครั้งเล่า เราไม่ไปปิดกั้นตาน้ำที่ไหลออกมา แต่เราไปให้น้ำไหลออกมาให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ และเราวิดน้ำสกปรกออกเรื่อยๆ เราทำความสะอาดที่ปากบ่อและวิดน้ำออกอีก เราทำเช่นนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า เราทำจนกระทั่งสิ่งสกปรกทั้งหมด หมดไป และน้ำที่ไหลออกจากตาน้ำใสสะอาดและบริสุทธิ์ ถ้ามีสิ่งใดตกลงไปในบ่อน้ำที่ใสสะอาดนี้เราจะเห็นและรู้ในทันที
 
            ดังนั้น เราจึงไม่ต้องไปห้ามจิตใจไม่ให้คิด บางครั้งมันคิดสิ่งนี้ บางครั้งมันคิดสิ่งนั้น แต่เราเพียงเห็นมันในทันที เหมือนดังแมวที่ตะครุบหนู และมันยิ่งคิด เราก็ยิ่งเอามันออก เมื่อความคิดเกิดขึ้น  เราเห็นมัน นั่นเป็นสิ่งสำคัญ
 
            ผู้ฟัง : เมื่อเรานอนหลับและเมื่อเราตื่น เราดูความคิดแบบเดียวกันหรือไม่
 
            หลวงพ่อ : แบบเดียวกัน เมื่อเราไม่เห็นความคิด เมื่อความคิดเกิดขึ้นในตอนกลางวันเราไม่รู้มัน ในตอนกลางคืนเรานอนหลับและเราฝันเราก็ไม่รู้มันด้วย บัดนี้เมื่อเราเห็นความคิด ไม่ว่าเราไปที่ไหน เมื่อความคิดเกิดขึ้นเรารู้มัน ในตอนกลางคืนเรานอนหลับและเมื่อมันคิดเราก็รู้มันด้วย
 
            ผู้ฟัง : กระผมยังคงงุนงงสงสัยอยู่ เราควรจะดูความคิดหรือเราควรจะดูตัวเราเอง
 
            หลวงพ่อ : เป็นสิ่งเดียวกัน เราอาจเรียกมันว่าดูความคิด และเราก็รู้สึกตัวของเราในขณะเดียวกัน
 
            ทุกข์เป็นสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง
            เราทุกข์เพียงเพราะเราไม่รู้มันเท่านั้น
 
 
            เมื่อเราไม่เห็นความคิด
            เราตามความคิด เราเข้าไปอยู่ในความคิด
            เราเข้าไปอยู่ในถ้ำ และนั่นคือทุกข์...
            ความสงบที่แท้จริงก็คือ
            ขณะเมื่อเราเห็นความคิด

 
            ผู้ฟัง: กระผมใคร่จะให้หลวงพ่ออธิบายความแตกต่างระหว่างการรู้ความคิดและการเห็นความคิด
 
            หลวงพ่อ : เมื่อเรารู้ความคิด เราเข้าไปอยู่ในความคิด และความคิดก็ยังคงดำเนินต่อไปไม่หยุด แต่เมื่อเราเห็นความคิด เมื่อความคิดเกิดขึ้นมันหยุดในทันที ดังนั้นเราควรจะปฏิบัติบ่อยๆ ในการเห็นความคิด ญาณปัญญาจะเกิดขึ้น ทำให้เหมือนกับนักมวย นักมวยทุกคนต้องการเป็นแชมเปี้ยนโลก นักมวยจำเป็นจะต้องว่องไวมาก โมหะเป็นสิ่งที่ว่องไว ปัญญาก็เป็นสิ่งที่ว่องไวด้วย โทสะ โมหะ โลภะ ว่องไวในลักษณะหนึ่ง สติ สมาธิ ปัญญา ว่องไวในอีกลักษณะหนึ่ง เมื่อเราฝึก สติ สมาธิ ปัญญา ให้ว่องไวมากขึ้นๆ มันจะกลายเป็นแชมเปี้ยนโลก มันจะชนะโลก ร่างกายที่มีความรู้สึกนี้คือโลก เราต้องการ โทสะ โมหะ โลภะ หรือ สติ สมาธิ ปัญญา ครองโลกกันแน่ ถ้า โทสะ โมหะ โลภะ ครองโลกก็จะเป็นโลกที่มีแต่ความเศร้าโศกไม่สิ้นสุด ทุกข์ไม่สิ้นสุด ถ้า สติ สมาธิ ปัญญา ครองโลก ก็จะเป็นโลกที่มีแต่ความสว่างไสวและสันติ
 
            ผู้ฟัง : เมื่อเราเฝ้าดูการเคลื่อนไหวของเราและความคิดเกิดขึ้น เราจะรู้มันได้อย่างไร
 
            หลวงพ่อ : ถ้าเธอต้องการรู้ เธอต้องปฏิบัติด้วยตัวของเธอเอง
 
            ผู้ฟัง : การค้นพบความสงบเป็นสิ่งเดียวกับการค้นพบตัวเองหรือไม่
 
            หลวงพ่อ : เป็นสิ่งเดียวกัน
 
            ผู้ฟัง: ถ้าเราสามารถค้นพบความสงบภายในตัวของเราเอง เราจะรักษามันไว้กับเราตลอดเวลาได้อย่างไร
 
            หลวงพ่อ : มันเป็นอยู่อย่างนั้นตลอดเวลา สิ่งที่ไม่เป็นอย่างนั้นตลอดเวลาไม่ใช่ความสงบ
 
            ผู้ฟัง : คนเรามีกรรม และกรรมก็คอยติดตามมารบกวนเรา แล้วเราจะมีความสงบได้อย่างไร
 
            หลวงพ่อ : ไม่ ไม่เป็นอย่างนั้น เราคิดของเราเอาเอง กรรมมีความหมายเพียงการกระทำ มิใช่กรรมชนิดที่เธอทำในชาติที่แล้ว
 
            ผู้ฟัง : ถ้าเราไม่คิดเกี่ยวกับกรรมแล้ว ก็ไม่มีกรรมใช่ไหม
 
            หลวงพ่อ :   ถูกแล้ว ไม่ต้องคิดถึงมัน
 
            ผู้ฟัง : คนเราแสวงหาสิ่งเดียวกัน แต่ทำไมจึงมีความคิดมากมาย
 
            หลวงพ่อ :   เป็นเพราะมีคำสอนต่างๆ เป็นจำนวนมาก มีตำรามาก มีคำเทศนามาก ทั้งหมดนี้จึงผสมปนเปกัน และก่อให้เกิดทุกข์ ความสงบแบบนี้ไม่เกี่ยวข้องกับการศึกษาหรือตำรา ไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งใดๆ เมื่อเราอ่านหนังสือมากหรือฟังครูอาจารย์มาก เราเพียงแต่มีความรู้สำหรับพูดคุยเท่านั้น ดังนั้นเราจึงไม่มีประสบการณ์ของความสงบที่แท้จริง
 
            ผู้ฟัง : มันเป็นอย่างนั้นตลอดเวลาได้อย่างไร
 
            หลวงพ่อ :   ถ้าเราเติมสีลงไปในน้ำ คนจะบอกว่าน้ำสีแดงหรือน้ำสีดำ หรือน้ำสีใดๆ ก็สุดแท้ แต่ในความเป็นจริงแล้วน้ำไม่มีสี และถ้าสิ่งที่ไม่ใช่น้ำถูกเอาออกไป เราก็จะเห็นน้ำนั้น อุเบกขา คือภาวะธรรมชาติของจิตใจ มันมีอยู่ในคนทุกคนไม่ยกเว้น เมื่อบางคนมีความโกรธจัด อุเบกขาจะช่วยถ่วงเขาไว้ดุจดังสมอของเรือ และดังนั้นเขาจึงไม่หัวใจวายตาย เมื่อบางคนมีความโลภจัดและอยากจะเอาจากคนอื่นให้มากๆ อุเบกขาจะเป็นเหมือนลูกตุ้มเหล็กและโซ่ตรวนดึงเขาไว้ และทำให้ความโลภเบาบางลง เพื่อว่าเขาจะได้ไม่สูญเสียดุลยภาพไปโดยสิ้นเชิง ดังนั้นอุเบกขาจึงมีอยู่แล้ว เราไม่ต้องไปแสวงหามัน เปรียบดั่งดวงอาทิตย์เมื่อถูกเมฆบัง โทสะ โมหะ โลภะ เมื่อเกิดขึ้นย่อมบดบังอุเบกขา เมื่อเราเห็นจิตใจของเราเองอย่างแจ่มชัด อุเบกขาก็จะถูกเปิดเผยออก
 
            ผู้ฟัง : หลวงพ่อบอกว่าดีใจกับเสียใจเป็นสิ่งเดียวกัน มันเป็นสิ่งเดียวกันได้อย่างไร
 
            หลวงพ่อ : มันเป็นทุกข์ทั้งคู่ ดีใจก็เป็นทุกข์ชนิดหนึ่ง เสียใจก็เป็นทุกข์อีกชนิดหนึ่ง คนที่ไม่รู้มีชีวิตอยู่ด้วยทุกข์ กินด้วยทุกข์ เดิน ยืน นั่ง ด้วยทุกข์ นอนด้วยทุกข์ ไม่ว่าเขาจะไปไหนเขาก็เอาทุกข์ไปด้วย เมื่อเขาดูภาพยนตร์เขาหัวเราะ การหัวเราะก็เป็นทุกข์ชนิดหนึ่ง เมื่อเขาพบกับความเสียใจ เขาร้องไห้ การร้องไห้ก็เป็นทุกข์ชนิดหนึ่ง ความดีใจกับความเสียใจทั้งคู่ต่างก็เป็นทุกข์แต่ละชนิด เช่นนั้นแล้ว ข้าพเจ้าเข้าใจว่า มีความมืดอยู่สองชนิด คือ ความมืดสีขาวและความมืดสีดำ เมื่อเราหาเงินได้มากเรารู้สึกดีใจ นั่นก็เป็นทุกข์เป็นความมืดสีขาว เมื่อเราสูญเสียเงินทองเรารู้สึกเสียใจ และจิตใจก็เต็มไปด้วยความคิดที่โกรธเคือง นั่นก็เป็นทุกข์ เป็นความมืดสีดำ แต่ทั้งคู่ต่างก็เป็นทุกข์
 
            ผู้ฟัง : ในความเป็นจริงแล้วไม่มีดีใจหรือเสียใจทั้งคู่ เพียงเกิดจากโมหะใช่หรือไม่
 
            หลวงพ่อ : เป็นเช่นนั้น
 
            ผู้ฟัง : หลวงพ่อบอกว่าความดีใจทุกชนิดเป็นทุกข์ จะมีความดีใจบางชนิดที่ไม่เป็นทุกข์บ้างไหม อย่างเช่นความรักระหว่างสามีและภรรยา
 
            หลวงพ่อ : ทั้งหมดเป็นทุกข์
 
            ผู้ฟัง : แล้วความดีใจในธรรมะล่ะ หรือบางครั้งเมื่อเรามองดูแสงอาทิตย์เรารู้สึกมีความสุข
 
            หลวงพ่อ : นั่นมิใช่ทุกข์ ไม่ใช่ความทุกข์ หรือความสุข ไม่ใช่ความดีใจหรือเสียใจ มันเป็นภาวะเฉยๆ
 
            ผู้ฟัง : ดิฉันอยากจะให้หลวงพ่อช่วยอธิบายสิ่งที่เรียกว่าความรัก ยกตัวอย่างเช่น ผู้หญิงกับผู้ชายที่กำลังจะแต่งงานกัน
 
            หลวงพ่อ : คนที่ไม่รู้จักทุกข์จะเข้าหาทุกข์ และทุกข์ก็จะสอนบทเรียนของมัน
           
ผู้ฟัง: เมื่อเราเห็นความคิดความคิดจะหยุด แล้วขณะใดที่เราเห็นไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา เราเห็นมันขณะเมื่อเราเห็นความคิด หรือเมื่อเราคิดมัน
 
            หลวงพ่อ : เมื่อเราคิดมันนั่นไม่ใช่การเห็นด้วยญาณปัญญา มันเป็นเพียงการจำและการรู้จัก หลังจากที่เรารู้อย่างชัดแจ้งและรู้อย่างแท้จริงแล้ว เราจะไม่ถามใคร
 
            ผู้ฟัง : แล้วความตั้งใจที่จะทำบางสิ่งล่ะ สมมติว่าบางคนมาพูดบางสิ่งที่ไม่ดีแก่เรา และเราตั้งใจจะทำร้ายเขา
 
            หลวงพ่อ : การทำร้ายเป็นการโง่เขลา เมื่อเรารู้ถึงภาวะของความทุกข์และของความสุข เราไม่ต้องการให้ใครเป็นทุกข์ เราจะช่วยทุกคนให้มีชีวิตอยู่โดยไม่มีทุกข์
 
            ผู้ฟัง : เมื่อกระผมให้เงินแก่คนขอทาน กระผมรู้ความคิดที่จะให้เงิน การเห็นความคิดนั้นเรียกว่าปัญญาหรือไม่
 
            หลวงพ่อ : นั่นไม่เรียกว่าปัญญา นั่นเรียกว่ารู้จากความจำ เราทุกคนมีจิตใจ ดังนั้นก่อนที่จะทำอะไรหรือพูดอะไร ให้มาดูที่จิตใจของเรา จิตใจที่แท้จริงหรือชีวิตที่แท้จริงของเรา ไม่ได้เกลียดใครและไม่ได้รักใคร   เมื่อเราเกลียดหรือเรารัก นั่นคือกิเลสเกิดขึ้น ดังนั้นเพียงมาดูจิตใจในขณะเริ่มต้น แล้วโทสะ โมหะ โลภะ จะถูกทำลายไป หลังจากนั้น เวทนา – สัญญา – สังขาร – วิญญาณ จะยังคงอยู่ที่นั้น แต่บริสุทธิ์และไม่มีทุกข์ ให้ดูจิตใจต่อไป เราจะเห็นกิเลส กิเลสคือความดีใจและความเสียใจ เมื่อเราชอบสิ่งนี้และให้มันแก่บุคคลอื่น นั่นมิใช่ไม่มีกิเลส เพราะว่าเราชอบบุคคลที่เราให้ของนั้น เราให้ด้วยกิเลส เราไม่ได้ให้เฉยๆ พระ (“ภิกษุ”, ผู้ควรแก่การเคารพ, พระพุทธเจ้า) คือความเฉยๆ พระ หมายถึงผู้ที่สอนบุคคลอื่นให้เป็นอยู่เฉยๆ
 
            ผู้ฟัง: เมื่อเราบริจาคทานโดยทั่วไปแล้วเรามักคิดถึงเมตตา (“ความปรารถนาจะให้ผู้อื่นเป็นสุข”) และกรุณา (“ความสงสารคิดจะช่วยให้ผู้อื่นพ้นทุกข์”) แล้วกรุณาอยู่ที่ไหน เมตตาอยู่ไหน
 
            หลวงพ่อ : นั่นเป็นเพียงคำพูดสำหรับพูดคุยกัน มิใช่ธรรมะ เป็นเรื่องของสังคม
 
            ผู้ฟัง : ถ้าเราไม่มีเมตตาและกรุณา เราจะมีแรงจูงใจในการทำดีต่อบุคคลอื่นได้อย่างไร
 
            หลวงพ่อ : นั่นเป็นเรื่องพื้นๆ หรือเป็นรากฐานของจริยธรรมของโลก
 
            ผู้ฟัง : ในกรณีของหลวงพ่อที่พยายามช่วยเหลือพวกเราให้เป็นอิสระจากทุกข์ นั่นมิใช่เมตตาของหลวงพ่อหรือ
 
            หลวงพ่อ : ไม่ใช่เมตตา ใครที่อยากจะได้ธรรมะเพียงแต่รับเอาไป ใครที่ไม่ต้องการก็ไม่ได้ไป เราไม่มีความดีใจหรือเสียใจ เปรียบเหมือนเมื่อเราเห็นคนที่กำลังจมน้ำ เรากระโดดลงไปในน้ำแล้วช่วยเขาโดยไม่ได้คิดอะไร
 
            ผู้ฟัง : เมื่อบุคคลนั้นเห็นคนที่กำลังจมน้ำและช่วยเหลือเขาในทันที นั่นเป็นผลของจริยธรรมทางสังคมหรือเป็นธรรมชาติของเขาเอง
 
            หลวงพ่อ : เป็นธรรมชาติของเขา แต่เมื่อเราพยายามที่จะช่วยเหลือบุคคลอื่น เราไม่ได้เห็นถึงจิตใจของเราเอง แต่ธรรมชาติของจิตใจก็อยู่ที่นั่นแล้ว ความเฉยๆ ก็อยู่ที่นั่นแล้ว เราไม่ได้มาดูที่นี่ และเราพยายามไปทางอื่น นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมเราจึงไม่มีความสงบที่แท้จริง
 
 
 
 
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #9931 เมื่อ: 22 สิงหาคม 2556, 06:24:24 »

สวัสดียามเช้าตรับ ชาวซีมะโด่ง และแขกผู้มาเยือน ที่รักทุกท่าน

                     เช้านี้ได้นั่งภาวนา  สวดมนต์ทำวัตรเช้า ได้ทบทวนคำสอนของหลวงพ่อเทียน  จิตตฺสุโภ  ได้หุงข้าวเพื่อใส่บาตรพระ  ได้ทำ Detox เรียบร้อยแล้ว  กำลังจะไปตลาดลุงเพิ่มเพื่อซื้อกับข้าวใส่บาตรพระ และเอาไว้รับประทาน

                     ธรรมะ ที่หลวงพ่อเทียนท่านแสดงนั้น เป็นเรื่องจริง  ท่านสามารถสัมผัสได้จริงด้วยตัวท่านเอง  ลองทำให้จริง  ด้วยศรัทธา และมีวิริยะ  เอาชนะจิตตนเองให้ได้  ท่านก็จะรู้ด้วยตัวของท่านเอง เช่นกัน  อย่างไม่ดีสุด ท่่านจะได้รู้ความคิด  แต่ถ้าท่านเห็นความคิด ก็เป็นวาสนาของท่าน

                      ธรรมะของพระพุทธองค์นั้น เป็น "ปัจจัตตัง" คือผู้รู้ก็รู้ได้เฉพาะตน และ

                      เป็น "อกาลิโก"  ไม่จำกัดเวลาใด ๆ ทั้งสิ้น

                      สวัสดี
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #9932 เมื่อ: 22 สิงหาคม 2556, 08:38:21 »

ภาคเหนือ ภาคอีสาน ฝนตกหนักขึ้นรวมร้อยละ 80 ของพื้นที่
ภาคอื่นๆของประเทศ ฝนมากขึ้นจากมรสุมตะวันตกเฉียงใต้จากทะเลอันดามันและอ่าวไทย
กทม.และปริมณฑล ฝนร้อยละ 60 ของพื้นที่

พยากรณ์อากาศ ประจำวันพฤหัสบดีที่ 22 สิงหาคม 2556
ลักษณะอากาศทั่วไปเมื่อเวลา 04:00 น.  ร่องมรสุมพาดผ่านภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน เข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณอ่าวตังเกี๋ย ทำให้ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีฝนเพิ่มขึ้นและมีฝนตกหนักบางแห่ง
สำหรับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังแรงพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย ลักษณะเช่นนี้ทำให้ภาคกลาง ภาคใต้ และภาคตะวันออกมีฝนเพิ่มขึ้น ส่วนคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามัน และอ่าวไทยตอนบน จะมีคลื่นสูง 2-3 เมตร ขอให้ชาวเรือเพิ่มความระมัดระวังในการเดินเรือไว้ด้วย และเรือเล็กในทะเลอันดามันควรงดออกจากฝั่ง
อนึ่ง พายุโซนร้อน “จ่ามี” (TRAMI) ได้เคลื่อนขึ้นฝั่งบริเวณมณฑลฟูเจี้ยน ประเทศจีนแล้ว ขอให้ผู้ที่จะเดินทางไปบริเวณดังกล่าวตรวจสอบสภาพอากาศก่อนออกเดินทางด้วย และพายุนี้ไม่มีผลกระทบต่อประเทศไทย
 
พยากรณ์อากาศสำหรับประเทศไทยตั้งแต่เวลา 06:00 วันนี้ ถึง 06:00 วันพรุ่งนี้.

ภาคเหนือ  มีฝนฟ้าคะนองเกือบทั่วไป ร้อยละ 80 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง
บริเวณจังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ เชียงราย พะเยา น่าน ตาก และเพชรบูรณ์

อุณหภูมิต่ำสุด 23-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 30-33 องศาเซลเซียส
ลมแปรปรวน ความเร็ว 10-30 กม./ชม.
 
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ  มีฝนฟ้าคะนองเกือบทั่วไป ร้อยละ 80 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง
ส่วนมากทางตอนบนของภาค บริเวณจังหวัดหนองคาย บึงกาฬ
หนองบัวลำภู เลย ขอนแก่น อุดรธานี สกลนคร นครพนม และกาฬสินธุ์

อุณหภูมิต่ำสุด 24-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 30-33 องศาเซลเซียส
ลมตะวันตก ความเร็ว 10-30 กม./ชม. 

ภาคกลาง  มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 40 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดกาญจนบุรี
สุพรรณบุรี ราชบุรี อุทัยธานี นครสวรรค์ ลพบุรี และสระบุรี

อุณหภูมิต่ำสุด 24-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-34 องศาเซลเซียส
ลมตะวันตก ความเร็ว 15-30 กม./ชม. 

ภาคตะวันออก  มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 40 ของพื้นที่และมีฝนตกหนักบางแห่ง
ส่วนมากบริเวณจังหวัดระยอง จันทบุรี และตราด

อุณหภูมิต่ำสุด 24-27 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 31-33 องศาเซลเซียส
ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 20-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร
 ส่วนบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองมีคลื่นสูงมากdว่า 2 เมตร 

ภาคใต้ (ฝั่งตะวันออก)  มีเมฆเป็นส่วนมาก กับมีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 40 ของพื้นที่
ส่วนมากบริเวณจังหวัดเพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพรและสุราษฎร์ธานี

อุณหภูมิต่ำสุด 23-27 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-35 องศาเซลเซียส
ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-35 กม./ชม.
ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร ห่างฝั่งคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร 

ภาคใต้ (ฝั่งตะวันตก) มีเมฆเป็นส่วนมาก กับมีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 40 ของพื้นที่
ส่วนมากบริเวณจังหวัดระนอง พังงา และสตูล

อุณหภูมิต่ำสุด 23-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 31-34 องศาเซลเซียส
ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 20-40 กม./ชม.
ทะเลมีคลื่นสูง 2-3 เมตร
 
กรุงเทพมหานครและปริมณฑล  มีเมฆเป็นส่วนมาก โอกาสมีฝนตก ร้อยละ 60
อุณหภูมิต่ำสุด 24-27 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-35 องศาเซลเซียส
ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ชม. 
 
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #9933 เมื่อ: 22 สิงหาคม 2556, 12:50:04 »

สวัสดีครับ คุณเหยง

                      ขอบคุณมากสำหรับรายงานอากาศ

                      พี่สิงห์ อยากทราบอุณหภูมิ ที่เกาะฮอกไกโด  ช่วงวันที่ 10-15 กันยายน ครับ จะได้จัดเสื้อผ้าได้ถูก

                      พี่สิงห์ อยู่สนามบินดอนเมือง รอขึ้นเครื่อง Nok Air ไปนครศรีธรรมราช Boarding 14:15 น.

                      ช่วงนี้พี่สิงห์  ไม่มีกิจกรรมอะไร มีแต่งานและการเดินทาง

                      สวัสดี
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #9934 เมื่อ: 22 สิงหาคม 2556, 16:46:41 »

พี่สิงห์

ลองเปิดหน้าเว็ปนี้ดูครับ
ผมไ่ทราบชื่อเมืองที่จะไป ลองเติมคำและเซิร์ทดูครับ

http://www.jnto.go.jp/weather/tha/
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #9935 เมื่อ: 22 สิงหาคม 2556, 19:33:26 »

อ้างถึง
ข้อความของ เหยง 16 เมื่อ 22 สิงหาคม 2556, 16:46:41
พี่สิงห์

ลองเปิดหน้าเว็ปนี้ดูครับ
ผมไ่ทราบชื่อเมืองที่จะไป ลองเติมคำและเซิร์ทดูครับ

http://www.jnto.go.jp/weather/tha/

สวัสดีครับ คุณเหยง

                        ผมก็ยังไม่รู้ว่าไปเมืองไหน บ้างมันเป็นโปรแกรมกระทันหัน คือทุกเที่ยวบินของการบินไทยบินไปเกาะฮอกไกโดเต็มหมด  ทางทัวร์จองตั๋วอยากมาก ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าไปสายการบินไหน  ทั้งที่เหลือเพียงไม่ถึงสองอาทิตย์แล้ว

                        เขาเชิญให้ไป ก็ไป และต้องรักษาศีลให้สมบูรณ์ ตามที่ตั้งใจเอาไว้(พระท่านยังเที่ยวได้เลย)

                        นครศรีธรรมราช  ฝนไม่ตก แดดร้อนมาก ห้าโมงเย็นยังเดินออกกำลังกายไม่ได้ เพราะแดดมันร้อนมาก

                        สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #9936 เมื่อ: 22 สิงหาคม 2556, 19:38:36 »


แด่เธอ...ผู้รู้สึกตัว



            เห็นได้ที่นี่และเดี๋ยวนี้
            เรียกให้มาและดู :
            ธรรมะอึดใจเดียว


 
            วันนี้ข้าพเจ้าอยากจะนำความจริงมาเล่าสู่เธอฟัง ความจริงที่ข้าพเจ้าได้ยินมาจากคนเฒ่าคนแก่ ซึ่งได้เล่าสืบทอดกันมาจากชั่วคนหนึ่งถึงอีกชั่วคนหนึ่ง เธออาจจะเคยได้ยินมาก่อนหรืออาจจะไม่เคยได้ยินมาก่อน เมื่อขณะฟังโปรดตั้งใจฟัง ฟังด้วย สติ สมาธิ ปัญญา พิจารณาคำพูดเหล่านี้และค้นหาความจริงของมัน
 
            ในทุกสิ่งที่เกิดขึ้นจะต้องมีเหตุปัจจัยและผล ยกตัวอย่างเช่น เหตุคือเราทำงาน ผลคือเราได้เงินมา เหตุคือเราศึกษา ผลคือเราได้ความรู้ ความรู้จึงเป็นผลของการศึกษา ดังนั้น ถ้าเหตุเป็นความขยัน ผลก็จะได้ประโยชน์อย่างแท้จริง
 
            คนเฒ่าคนแก่เคยสอนว่า เหตุคือการเจริญสติ ผลคือความรู้ที่เกิดขึ้น ท่านกล่าวอย่างนั้น ไม่ว่าพระพุทธเจ้าจะตรัสเช่นนี้หรือไม่ หรือไม่ว่าพ่อแม่และครูอาจารย์ของเธอจะพูดเช่นนี้หรือไม่ ขอให้ทดลองดูและค้นพบด้วยตัวของเธอเองว่า มันเป็นจริงหรือไม่ เราต้องพิจารณาและรู้มันอย่างแท้จริง เหตุเรียกว่าการเจริญสติ ความจริงเรียกว่าสัจจะ ไม่ว่าเราจะรู้หรือไม่ มันก็ยังคงอยู่ ณ ที่นั้น เหมือนดังบางสิ่งที่อยู่ข้างใต้ของที่คว่ำไว้ เราหงายออกและสิ่งที่ซ่อนเร้นอยู่ก็ถูกเปิดเผยขึ้น หรือเหมือนดังเปิดของที่ปิดอยู่ เธอควรจะทดลองดูและเห็นด้วยตัวของเธอเองว่ามันเป็นเช่นนี้หรือไม่
 
            เธออาจจะนั่งพับเพียบ นั่งเหยียดขา นั่งบนเก้าอี้ หรือนั่งขัดสมาธิ คว่ำมือของเธอไว้เหนือเข่า พลิกมือตะแคงขึ้น มีความรู้สึกถึงการกระทำนั้น การพลิกมือเป็นเหตุ ความรู้สึกถึงการกระทำเป็นผล คว่ำมือลงมีความรู้สึกตัว เหตุคือการคว่ำมือ ผลคือความรู้สึกตัวที่เกิดขึ้นพร้อมกับการเคลื่อนไหว ยกมือขึ้นรู้สึกตัวถึงการเคลื่อนไหว วางมือลงรู้สึกตัวถึงความเคลื่อนไหว เหตุคือการยกมือขึ้นและรู้สึกตัวกับการวางมือลงและรู้สึกตัว ผลคือการรู้ที่เพิ่มขึ้น ดังนั้นเมื่อเธอทำอย่างนี้ในการกำหนดจังหวะเจริญสติ เธอสามารถพูดว่ามันเป็นสิ่งเดียวกับคำสอนของพระพุทธเจ้า สิ่งเดียวกับคำสอนของผู้เฒ่าผู้แก่ เธอควรจะเจริญสติ เมื่อเธอเจริญสติ ปัญญาจะเกิดขึ้น
 
            คนเฒ่าคนแก่เคยเล่าว่า พระพุทธเจ้าทรงสอนสติปัฏฐาน ๔ หรืออิริยาบถที่สำคัญ ๔ อย่าง ซึ่งได้แก่ การยืน การเดิน การนั่ง และการนอน เธอมีสติในอิริยาบถเหล่านี้แล้ว เธอมีสติรู้อิริยาบถย่อยอื่นๆ ในอิริยาบถย่อยทั้งหมดนี้ ไม่ว่าจะเป็นการคู้ การเหยียด หรือการเคลื่อนไหวอื่นๆ ทั้งหมดให้มีสติรู้ ผลจะเป็นความรู้ที่เกิดขึ้น
 
            บางคนอาจจะกล่าวว่าอันนี้เข้ากับตำรา บางคนอาจจะกล่าวว่าอันนี้ไม่เข้ากับตำรา แต่โปรดฟังและโปรดทดลองปฏิบัติด้วยตัวของเธอเอง ถ้าเป็นประโยชน์เราก็ใช้มัน ถ้าไม่เป็นประโยชน์เราก็ทิ้งมันไป ความรู้ที่เราเคยเล่าเรียนศึกษามาเป็นสิ่งที่เรารู้แล้ว แต่ความรู้ที่เราไม่เคยได้ฟังมาก่อน โปรดทดลองดูและค้นหามันด้วยตัวของเธอเอง
 
            นี้คือการปฏิบัติที่ข้าพเจ้าได้กระทำมาก่อน นั่งสบายๆ หลังตรง คว่ำมือไว้เหนือเข่า บัดนี้พลิกมือขวาตะแคงขึ้นมีความรู้สึกถึงการเคลื่อนไหว ยกมือขึ้นถึงระดับหน้าอกรู้สึกถึงการเคลื่อนไหว ลดมือลงมาไว้ที่สะดือรู้สึกถึงการเคลื่อนไหว ในแต่ละจังหวะของการเคลื่อนไหว ให้มีการหยุดนิดหนึ่งและให้รู้สึกตัวถึงการหยุดนั้น บัดนี้เคลื่อนมือซ้ายอย่างเดียวกันทั้งสามจังหวะ เลื่อนมือขวาขึ้นหน้าอก เอามือขวาออกมาไว้ที่ตรงข้าง ลดมือขวาลงตะแคงไว้ที่เหนือเข่า และคว่ำมือขวาลง ให้มีสติรู้ทุกๆ การเคลื่อนไหวและการหยุดนิดหนึ่งระหว่างจังหวะแต่ละจังหวะ บัดนี้เคลื่อนมือซ้ายทำนองเดียวกันทั้งสี่จังหวะ นี้คือการสร้างจังหวะ เรียกว่า อิริยาบถการเคลื่อนไหวย่อย
 
            คนเราไม่สามารถจะอยู่นิ่งๆ ได้ ดังนั้นเราจึงหางานให้ร่างกายทำ และใช้สติอยู่กับการเคลื่อนไหว เธออาจจะเรียกมันว่าสติ หรือเธออาจจะเรียกมันว่าสมาธิ ความรู้สึกตัวเรียกว่าสติ สมาธิคือการตั้งใจ เมื่อเธอกระทำให้มีความรู้สึกตัวถึงการกระทำนั้น ถ้าเธอมิได้ตั้งใจเธอก็จะไม่รู้ เมื่อเธอกะพริบตา เธอรู้มัน
 
            เรากะพริบตาตั้งแต่เราเกิดจากท้องแม่แต่เราไม่รู้ เมื่อเราเหลียวซ้ายหรือแลขวาเราไม่รู้ เราไม่มีสติสมาธิ เรามีเพียงสติสมาธิธรรมดา แต่เราไม่ได้ตั้งใจที่จะรู้ ถ้าเราตั้งใจที่จะรู้ สติก็จะเป็นสติที่สร้างขึ้นมา ใหม่ๆ สมาธิคือการตั้งใจ เราหายใจมาตั้งแต่เราเกิดจากท้องแม่แต่เราไม่รู้ บัดนี้เราตั้งใจ หายใจเข้าและออก แล้วเรารู้ เมื่อความคิดเกิดขึ้น เรารู้ การรู้มีเหตุมาจากการเจริญสติ
 
            ดังนั้นข้าพเจ้าปรารถนาให้พวกเธอทั้งหมดนำคำสอนนี้ไปใช้ จะบวชก็ได้ไม่บวชก็ได้ นับถือศาสนาใดก็ได้ สวมเครื่องแบบใดก็ได้ รักษาศีลก็ได้ ไม่รักษาศีลก็ได้ บริจาคทานเป็นจำนวนมากก็ได้ ไม่บริจาคทานเลยก็ได้ ถ้าเธอไม่เจริญสติแล้วเธอก็จะไม่รู้ แม้ว่าเธอจะทำบุญ รักษาศีล หรือปฏิบัติภาวนาเพื่อความสงบเป็นอันมากก็ตาม การรู้จะเกิดขึ้นเพราะเหตุของการเจริญสติ
 
            เมื่อเรามีความรู้สึกตัวมากๆ ขึ้น ความไม่รู้ตัวซึ่งก็คือโมหะ หรือความหลงจะหายไป เมื่อเรามีสติมากขึ้นๆ สมาธิมากๆ ขึ้น ปัญญาจะเกิดขึ้น นี้เรียกว่าปัญญาบารมี (“ความสมบูรณ์แห่งความรอบรู้”) ข้าพเจ้ามิได้พูดตามตำรา ปัญญามีอยู่แล้ว บารมี หมายถึงความพร้อมที่จะรู้ถ้าเราปฏิบัติในหนทางที่ถูก ถ้าเราปฏิบัติในหนทางที่ผิดแล้วเราจะไม่รู้
 
            บัดนี้ถ้าเรารู้เราจะรู้ของจริง ไม่รู้ออกนอกตัวของเรา เรารู้ภายในตัวเรา เรารู้ตัวของเราเอง นั่งอยู่ที่นี่เรารู้ตัวเราว่าเป็นรูป-นาม พลิกมือขึ้นคือรูป-นาม คว่ำมือลงคือรูป-นาม การพลิกมือขึ้นและลงติดต่อกันคือรูป-นาม นี้คือการรู้รูป-นาม
 
            ต่อมาเรารู้การกระทำของรูป-นาม เมื่อรูปกระทำ นามก็กระทำพร้อมกัน เมื่อรูป-นามกระทำเราก็รู้ เรารู้เพราะเหตุของการเจริญสติ ปัญญาเกิดขึ้นเพราะเหตุของการเจริญสติ
 
            เรารู้รูปโรค-นามโรค รูปที่เกิดนี้เป็นโรค เช่น ปวดหัว ปวดท้อง เป็นไข้ และอื่นๆ อีกชนิดหนึ่งของรูปโรค-นามโรค ความคิดเป็นนาม แต่เมื่อมันคิดมันเป็นรูป เมื่อบุคคลอื่นพูดแล้วทำให้เราพอใจหรือไม่พอใจ จิตใจของเราเป็นโรค ให้รู้สิ่งนี้อย่างแท้จริง การเจริญสติเป็นเหตุ การเกิดขึ้นของปัญญาเป็นผล
 
            หลังจากที่รู้รูป-นาม เรารู้ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา มีคนสอนว่า ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา คือผมที่หงอก ผิวหนังที่เหี่ยวย่น ฟันที่หัก นั่นก็จริง แต่ไม่จริงตามแบบของการเจริญสติ การเจริญสติจะก่อให้เกิดปัญญาขึ้นว่า การพลิกมือขึ้นคือทุกขัง การคว่ำมือลงคือทุกขัง การยกมือขึ้นคือทุกขัง การลดมือลงคือทุกขัง ทุกขังอยู่กับรูป รูปคือก้อนทุกข์ชนิดหนึ่ง ทุกขังคือทนไม่ไหว อนิจจังคือไม่เที่ยง อนัตตาคือบังคับควบคุมไม่ได้ มันเป็นเช่นนั้นตลอดเวลา ถ้าเรารู้มันก็เป็นเช่นนั้น ถ้าเราไม่รู้มันก็เป็นเช่นนั้น
 
            ดังนั้นพระธรรมซึ่งทำให้บุคคลกลายเป็นพระพุทธเจ้ามีอยู่แล้วก่อนพระพุทธเจ้า พระธรรมนี้ดำรงอยู่ในคนทุกคน ขึ้นอยู่กับ “เจ้าของ” แต่ละคนที่จะทำให้การรู้นี้เกิดขึ้น ถ้าเขาสามารถจะรู้เขาก็จะรู้ เปรียบเหมือนกับภาชนะที่คว่ำอยู่ มันจะคว่ำอยู่หรือหงายขึ้น ขึ้นอยู่กับเรา
 
            บัดนี้เรามารู้สมมติ รู้สมมติทุกอย่างให้จบสิ้น เรารู้ว่าเงินเป็นเพียงโลหะชนิดหนึ่ง เป็นเพียงกระดาษชนิดหนึ่ง แต่เราสมมติมันขึ้น ผู้หญิงและผู้ชายก็เป็นสมมติเช่นเดียวกัน เมื่อเราไม่รู้เราสมมติว่าเป็นหญิงและสมมติว่าเป็นชาย แต่ถ้าเราไม่สมมติแล้วเราก็ไม่รู้ การบวชและการสึก พระสงฆ์และสามเณร ทั้งหมดนี้คือสมมติ เพียงแต่เอาผ้ามาห่มเท่านั้น การรู้คือสติ สมาธิ ปัญญา และสัจจะคือความจริง ถ้าเป็นจริงโดยสมมติเราก็รู้ ถ้าเป็นจริงโดยปรมัตถ์เราก็รู้
 
            ผีและเทวดาเป็นสิ่งสมมติทั้งสิ้น เราเคยเห็นมันบ้างไหม ผีคือบุคคลที่กระทำ พูด หรือคิดในทางที่ชั่ว ร่างกายไม่ได้ทำอะไร มันคือรูป เช่นเดียวกับตุ๊กตา สิ่งที่เคลื่อนไหวอยู่นั้นคือจิตใจ เทวดาก็เช่นเดียวกันเราสมมติมันขึ้น เมื่อเราไม่รู้สมมติอย่างแท้จริงเราจะไม่รู้ เราจะไม่รู้จริงๆ ข้าพเจ้ารับรองได้ว่าเราจะไม่รู้ ตัวข้าพเจ้าเองไม่รู้ แต่คนอื่นอาจจะรู้ข้าพเจ้าไม่ทราบ
 
            ข้าพเจ้าได้กระทำภาวนามาหลายชนิด เช่น “พุทโธ” “สัมมาอรหัง” นับลมหายใจ ยุบหนอพองหนอ และนั่งดูลมหายใจ แต่ข้าพเจ้าไม่รู้โดยแท้จริง การรู้ไม่ได้เกิดขึ้น มันนำไปสู่ความสงบและยึดติดในความสงบนั้น ดังนั้นความสงบหรือสมถกรรมฐาน (ที่ตั้งแห่งการกระทำเพื่อความสงบ) เปรียบเหมือนการนำก้อนหินมาทับหญ้าไว้ เมื่อเราเอาก้อนหินออก หญ้าจะขึ้นงอกงามกว่าเก่า เพราะว่าดินนั้นถูกปิดไว้ชุ่มชื้น  วิปัสสนา หมายถึงความรู้ภายในที่แจ่มชัด การถอนรากขึ้นอย่างสิ้นเชิง นี้คือการรู้ที่แท้จริง ใครที่ทำก็จะรู้ ใครที่เกิดมาเป็นมนุษย์สามารถทำได้โดยไม่เกี่ยวข้องกับเชื้อชาติ ภาษา หรือศาสนา แต่เราต้องเข้าใจวิธีที่ถูกต้อง
 
            แล้วเรารู้ศาสนา ศาสนาไม่ได้หมายถึงวัด วัดเป็นเพียงศาสนาสมมติ นี้เรียกว่าสมมติบัญญัติ ปรมัตถ์คือของจริงซึ่งมีอยู่ในคนทุกคนคือศาสนา กล่าวกันว่าศาสนาคือคำสั่งสอน ท่านสอนและหูฟัง แล้วสติ สมาธิ ปัญญา พิจารณามันและรู้ขึ้นมาโดยแท้จริงว่า “โอ้ตัวคนทุกคนคือศาสนา” การทำลายศาสนามิได้หมายถึงการทำลายวัดหรือพระพุทธรูปหรือต้นโพธิ์ การทำลายศาสนา หมายถึงการกล่าวสิ่งชั่วร้ายต่อบุคคล ทำร้ายบุคคล ฆ่าคน ซึ่งเป็นสิ่งที่เลวร้ายที่สุด ดังนั้น ศาสนาคือคน การแช่งคนคือการแช่งศาสนา การทำร้ายคนคือการทำร้ายศาสนา นั่นเป็นความชั่วร้าย
 
            บัดนี้พุทธศาสนา พุทธะ หมายถึง ผู้รู้ ร่างกายเปรียบเหมือนตุ๊กตา สติ สมาธิ ปัญญา คือการรู้ ดังนั้นพุทธะจึงหมายถึง สติ สมาธิ ปัญญา หรือจิตใจที่สะอาด สว่าง และสงบ ซึ่งมีอยู่ในคนทุกคนโดยไม่ยกเว้น
           
บัดนี้เรามาพูดถึงบาป บาปคือการไม่รู้ ความมืด ความโง่เขลา  เรากลัวบาป แต่ทำไมเราจึงไม่ทำให้ตัวเราเองรู้แจ้ง เพื่อว่าเราจะได้เป็นอิสระจากความกลัวนั้น บุญคือการรู้อย่างแจ่มแจ้ง คนเมื่อเข้ามาชิดกับพระเกินไปเขากลัวบาป ดังกับว่าพระเป็นตัวบาปเสียเอง นั่นเป็นเพียงสมมติ บัดนี้เราไม่ต้องกลัวบาป ถ้าเราไม่สามารถเอาชนะบาปได้แล้ว เราจะไม่มีโอกาสและไม่มีเวลาที่จะเอาชนะมันได้เลย อย่าได้กลัวบาป แต่ให้พยายามเอาชนะบาป นี้ไม่เกี่ยวกับการทำบุญ รักษาศีลหรือวินัย (ระเบียบของพระสงฆ์) การเจริญสติ คือธรรมะ คือวินัย คือศีล และคือทุกสิ่งทุกอย่าง เรารู้สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดเพราะเราเจริญสติ
 
            ถ้าเราไม่เจริญสติ และเพียงแต่ศึกษา นั่นเป็นเพียงการจำมิใช่การเห็นแจ้งหรือการเห็นจริง การเจริญสติ คือการรู้แจ้งรู้จริง เมื่อบุคคลใดบุคคลหนึ่งรู้ เขาจะสามารถรับรองตัวเองและคนอื่นได้ ใครที่ทำก็จะรู้เพราะว่าทุกคนรู้สิ่งเดียวกัน ความรู้คือสิ่งร่วมของการเจริญสติ ผลของการเจริญสติสามารถดับทุกข์ เราไม่ยึดติดในสมมติ เราจะไม่กลัวผี เราจะไม่กลัวเทวดา เราไม่ติดอยู่ในสมมติทั้งหมด เพราะว่าสิ่งที่ไม่มีอยู่จริงเราไม่ต้องกลัว ผีและเทวดาไม่มีตัวตนอยู่จริง เป็นเพียงสมมติ ผีคือคนที่พูด คิด หรือกระทำในสิ่งที่ชั่วร้าย เมื่อความโกรธเกิดขึ้น และเราสามารถหยุดความโกรธได้นั่นคือมนุษย์ เมื่อเราสามารถทำจิตใจของเราให้สงบและสะอาดตลอดเวลานั่นคือเทวดา เป็นจิตใจที่ควรแก่การเคารพ เมื่อเรารู้ในลักษณะเช่นนี้เราจะสามารถผ่านได้
 
            ดังนั้น วิปัสสนามีวัตถุคือ อายตนะ ๖ อันได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และจิตใจ ขันธ์ ๕ นั่นจากตำรา อายตนะ ๑๒ ธาตุ ๑๘ อินทรีย์ ๒๒ อริยสัจ ๔ และปฏิจจสมุปบาท ๑๒ เราเรียนจากตำรา เราศึกษาแต่เราไม่รู้ เราเพียงรู้จากความจำ เมื่อเรามาเจริญสติ การรู้เกิดขึ้น นั่นคือของจริง
 

            วิปัสสนา
            หมายถึงความรู้ภายในที่แจ่มชัด
            การถอนรากขึ้นอย่างสิ้นเชิง
            นี้คือการรู้ที่แท้จริง ใครที่ทำก็จะรู้
            ใครที่เกิดมาเป็นมนุษย์สามารถทำได้
            โดยไม่เกี่ยวข้องกับเชื้อชาติ ภาษา หรือศาสนา
            แต่เราต้องเข้าใจวิธีที่ถูกต้อง
 
 
            ถ้าเธอไม่เจริญสติแล้วเธอก็จะไม่รู้
            แม้ว่าเธอจะทำบุญ รักษาศีล
            หรือปฏิบัติภาวนา
            เพื่อความสงบเป็นอันมากก็ตาม
            การรู้จะเกิดขึ้น
            เพราะเหตุของการเจริญสติ

 
            เมื่อเราใช้สติเฝ้าดูความคิด ความคิดเกิดขึ้นเมื่อใดก็ตามเรารู้ เพราะเมื่อเราเคลื่อนไหวเรามีสติ ความคิดไม่มีตัวตนอยู่จริง เมื่อความคิดเกิดขึ้นเรามีสติและรู้ เหมือนดังแมวจ้องจับหนู เมื่อหนูโผล่มาแมวตะครุบหนูทันที อันนี้ก็เช่นเดียวกัน เมื่อเรามีสติในทุกอิริยาบถ เมื่อความคิดเกิดขึ้นเรารู้มัน เห็นมัน และเข้าใจมัน นี้หมายความว่า เราสามารถแก้มันและชนะมันได้ คนเฒ่าคนแก่กล่าวว่า การเอาชนะคนอื่นร้อยครั้งหรือพันครั้งไม่มีประโยชน์เท่าการเอาชนะตนเองเพียงครั้งเดียว การเอาชนะตนเองคือการเอาชนะความคิด เมื่อความคิดเกิดขึ้นเราเห็นมัน รู้มัน มันจะไม่สามารถแพร่ขยายได้ เมื่อใดก็ตามที่ความคิดเกิดขึ้นเรารู้ เมื่อเราเจริญสติมากขึ้นๆ ญาณปัญญา การรู้แจ้งรู้จริงจะเกิดขึ้น
            วัตถุ หมายถึง ของทุกสิ่งที่มีอยู่ในโลกและในตัวเรา เราต้องรู้มันให้หมด ปรมัตถ์ หมายถึง ของทุกสิ่งที่ดำรงอยู่ในโลกและในตัวเรากำลังมีอยู่ เป็นอยู่ สัมผัสอยู่ เราต้องรู้มันให้หมด อาการ หมายความว่า ทุกสิ่งในโลกและในตัวเราสามารถเปลี่ยนแปลงได้ เมื่อเราเข้าใจมันอย่างแจ่มแจ้งแล้ว เราเห็น รู้ เข้าใจ และสัมผัส โทสะ โมหะ โลภะ เพราะว่ามันเป็นวัตถุ-ปรมัตถ์-อาการ หลังจากที่รู้สิ่งนี้จิตใจจะอิ่มเอิบเบิกบานและสามารถเห็นเวทนา-สัญญา-สังขาร-วิญญาณ ไม่เป็นทุกข์ พระที่แท้จริงเกิดขึ้นที่นี่
 
            พระมิได้หมายถึงการที่เธอโกนศีรษะ แต่หมายถึง คุณภาพของจิตใจ ปรมัตถ์หมายถึงของจริง พระที่แท้จริงมีอยู่ในคนทุกคนไม่ยกเว้น ในวิถีอาการเจริญสตินี้ ความรู้สึกถึงการเคลื่อนไหวเป็นเหตุ ผลคือการรู้สิ่งเหล่านี้ทั้งหมด พระอาจหมายถึงครูผู้สั่งสอน เมื่อเรารู้สิ่งนี้และสอนสิ่งนี้ก็จะไม่มีทุกข์ พระที่แท้จริงย่อมรู้ สมมติบัญญัติ ปรมัตถ์บัญญัติ อรรถบัญญัติ และอริยบัญญัติ จิตใจได้เปลี่ยนไป และเราจะรู้สิ่งนี้อย่างแท้จริง ถ้าเรารู้สิ่งอื่นก็จะไม่ถูกต้อง
 
            ให้เราปฏิบัติต่อไปจะเกิดปีติ (ความยินดี) ขึ้น เรารู้สึกสบาย จิตใจโปร่งเบา เหมือนดังในความมืดมีแสงสว่างเกิดขึ้น หรือเหมือนดังสิ่งสกปรกกลับสะอาดอีกครั้งหนึ่ง หรือเหมือนดังสีดำและสีขาว หรือของหนักกลับเป็นเบา จิตใจได้เปลี่ยนจากสภาวะหนึ่งมาสู่อีกสภาวะหนึ่ง เมื่อการรู้เกิดขึ้นการไม่รู้ก็หายไปทันที เมื่อคุณภาพของพระที่แท้จริงเกิดขึ้น คุณสมบัติของสิ่งที่มิใช่พระก็หายไปทันที เมื่อคุณสมบัติของการเป็นเทวดาเกิดขึ้น คุณสมบัติของการเป็นผีก็หายไปทันที เมื่อคุณสมบัติของมนุษย์เกิดขึ้น คุณสมบัติของสิ่งอื่นก็หายไปทันที มันเกิดและทดแทนกัน นี้เรียกว่าเกิดที่นี่และตายที่นี่ มิใช่การเกิดจากท้องแม่และตาย ในทางร่างกายนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง นั่นเป็นการสมมติของ ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา เหมือนกัน
 
            ปฏิบัติต่อไป มันจะเป็นเหมือนดังหม้อน้ำซึ่งมีน้ำอยู่เต็มปรี่ บัดนี้น้ำได้ถูกเอาออก เมื่อการรู้เกิดขึ้น สติก็จะลดน้อยลง ไม่เต็มเหมือนดังก่อน ในการปฏิบัติความรู้สึกตัวของเราเต็ม แต่เมื่อการรู้เกิดขึ้นมันจะยึดติดในการรู้นั้น มันจะยึดติดในอารมณ์ เมื่ออารมณ์ของการปฏิบัติเกิดขึ้นเรามีความมั่นใจ และมันเข้าไปอยู่ในความทรงจำ ในสมองของเรา และก็จะไม่ลืมอีกเลย  ข้าพเจ้าได้รู้ถึงสิ่งนี้ตั้งแต่เมื่อข้าพเจ้าอายุได้ ๔๖ ปี แต่ข้าพเจ้าก็ไม่เคยลืมเลยแม้แต่น้อย ข้าพเจ้ารู้รูป-นาม ในตอนเช้า และรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของจิตใจในตอนเย็น ข้าพเจ้ารู้สิ่งนี้อย่างแท้จริง และข้าพเจ้ามีความมั่นใจรับรองได้ว่า มันเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทรงสอนสิ่งนี้ การทำบุญ การบริจาคทาน การรักษาศีล นั่นก็เป็นสิ่งที่ดีในลักษณะหนึ่ง แต่การเรียนจากตำราเราไม่อาจจะรู้ถึงวิธีปฏิบัติการเจริญสติ การเกี่ยวข้องกับจิตใจได้อย่างแท้จริง
 
            บุคคลที่ไม่รู้สอนบุคคลที่ไม่รู้ ผลก็คือการไม่รู้ ส่วนผู้รู้สอน ผลก็คือการรู้ เพราะทุกคนมีอยู่ ทุกคนสามารถเป็นพระที่แท้จริงได้ไม่ว่า ผู้หญิง ผู้ชาย หรือเด็ก ถ้าเขารู้เขาจะกลายเป็นพระ บุคคลที่ประเสริฐอย่างแท้จริง ดังนั้นพระคือพรชนิดหนึ่ง เพราะเขาสอนประชาชนให้รู้ พรหมายถึงความประเสริฐ การให้ธรรมะเป็นทาน หรือการให้ความรู้เป็นทาน เรียกว่าความรู้ที่ประเสริฐ นี้คือหนทางของบุคคลที่ประเสริฐโดยแท้
 
            เมื่อเราเจริญสติ และรู้ถึงการเคลื่อนไหวมากขึ้นๆ ญาณปัญญาจะเกิดขึ้น เมื่อญาณเกิดขึ้นเธอจะรู้อย่างแท้จริง เธอไม่ต้องจำมาจากตำรา เธอจะรู้กิเลส ตัณหา อุปาทาน และกรรม เมื่อเห็นแจ้งเห็นจริง กิเลส ตัณหา อุปาทาน และกรรมจะลดลง และจางหายไป เมื่อเรารู้จุดนี้ เราไม่ต้องไปเชื่อคนอื่น คนที่เห็นมันก็จะมีมัน สมมติว่าพระพุทธเจ้าเสด็จมาและทรงบอกแก่เธอว่าการปฏิบัตินี้ไม่ถูกต้อง เธอก็จะไม่เชื่อพระพุทธเจ้าเพราะว่ามันเป็นของจริง เมื่อญาณปัญญาเกิดขึ้น เธอจะมีความเชื่อมั่นอย่างแท้จริง
 
            เมื่อเธอรู้จุดนี้ปีติจะเกิดขึ้นอีก เมื่อข้าพเจ้ารู้จุดนี้ระหว่างการปฏิบัติข้าพเจ้าได้เข้านอน เมื่อตื่นขึ้นข้าพเจ้าได้กลับมาเดินจงกรมอีก เหตุคือการเดินจงกรมกลับไปกลับมา ผลคือการรู้ได้เกิดขึ้นอีก ข้าพเจ้าเดินกลับไปกลับมาและเกิดการรู้ ในขณะนั้นมีตะขาบตัวหนึ่งวิ่งผ่านทางเดินของข้าพเจ้า ตะขาบเป็นเหตุ ผลคือข้าพเจ้าเห็นตะขาบ ข้าพเจ้าเดินไปจุดเทียนไขและพยายามหาตะขาบ เมื่อข้าพเจ้าหาตะขาบไม่พบ ข้าพเจ้าจึงถือเทียนไขกลับมา และเริ่มต้นเดินจงกรมอีก การเดินจงกรมเป็นเหตุ ผลคือการรู้ ศีล ศีลขันธ์ สมาธิขันธ์ ปัญญาขันธ์ การรู้เกิดขึ้นว่า ขันธ์หมายถึงภาชนะที่รองรับ รองรับหรือต่อสู้ เธอสามารถต่อสู้กับทุกสิ่งทุกอย่าง เหมือนกับเมื่อภาชนะดีและเธอนำไปตักน้ำ เธอก็จะได้น้ำมาดื่ม แต่ถ้าภาชนะมีรอยรั่ว เธอนำไปตักน้ำ เธอก็จะไม่ได้น้ำ
 
            ตามตำราเรียกสิ่งนี้ว่า อธิศีลสิกขา อธิจิตตสิกขา และอธิปัญญาสิกขา (ข้อปฏิบัติสำหรับฝึกหัดอบรม “ในทางความประพฤติอย่างสูง, ในทางจิตเพื่อให้เกิดสมาธิอย่างสูง, ในทางปัญญาเพื่อให้เกิดความรู้แจ้งอย่างสูงหรือหลุดพ้น”) เราสามารถนำตำราและประสบการณ์มาเปรียบเทียบกัน นี้เรียกว่าศีลเกิดขึ้น ดังนั้นศีลเป็นเครื่องกำจัดกิเลสอย่างหยาบ ศีลมีอยู่แล้วในตัวของเรา ดังนั้นศีลชนิดนี้ไม่เกี่ยวข้องกับการรักษาศีล แต่เกี่ยวข้องกับการเจริญสติ เมื่อเราปฏิบัติการเจริญสติแบบนี้ ผลของมันจะเกิดขึ้นอย่างนี้ เมื่อเรารู้จุดนี้เราจะเข้าใจว่าศีลสามารถกำจัดกิเลสอย่างหยาบได้อย่างแท้จริง เมื่อกิเลสอย่างหยาบถูกขจัดออกไป ศีลก็เกิดขึ้น เหมือนกับเมื่อเราปลูกต้นผลไม้ เช่น กล้วยมะพร้าว หรือต้นตาล รากมีอยู่แล้วแต่เราต้องคอยจนกระทั่งมันงอกออกมา เราจึงจะเห็น เมื่อเราเห็นนั่นก็คือผล
 
            โปรดปฏิบัติการเจริญสติด้วยความพากเพียรและด้วยความอุทิศตัว ไม่ว่าคนอื่นจะว่าอย่างไรเราไม่ต้องสนใจ แม้ว่าเธอจะทำบุญและบริจาคทานเป็นจำนวนมาก เธอก็จะไม่รู้ถึงประสบการณ์นี้ แม้ว่าเธอจะศึกษามากเธอก็จะไม่รู้เช่นเดียวกัน สิ่งเหล่านั้นไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งนี้ สิ่งนี้สามารถแก้ทุกข์ได้อย่างแท้จริง เมื่อเราสามารถแก้ทุกข์ได้ ไม่ว่าเราจะไปที่ใด เราก็จะมีแต่ความสบาย ถ้าเราเป็นพ่อแม่ เป็นครู เป็นเด็ก เป็นตำรวจ เป็นทหาร เป็นพระภิกษุ เป็นสามเณร หรือเป็นใครก็ตาม เราก็จะมีแต่ความสบาย เพราะว่าโทสะ โมหะ โลภะ ได้หายไป ความยึดมั่นถือมั่นได้หายไป แต่เราต้องทบทวนอารมณ์นี้อยู่บ่อยๆเพื่อจะได้ไม่ลืม แต่เมื่อเธอเห็นอย่างแท้จริงเธอก็จะไม่ลืม ข้าพเจ้าได้เห็นมันและข้าพเจ้าไม่เคยลืมอีกเลย
 
            บัดนี้เรามารู้สมถะ หรือการทำความสงบ  ความสงบมี ๒ ชนิด ความสงบแบบสมถะ คือความสงบของการไม่รู้ ดังนั้น สมถกรรมฐานจึงเป็นอุบายที่จะทำจิตใจให้สงบ วิปัสสนา หมายถึงการเห็นอย่างแจ่มชัด การรู้อย่างแท้จริง มันเป็นความสงบด้วยเหมือนกันแต่เป็นความสงบอีกชนิดหนึ่ง ด้วยการเจริญสติ ความสงบจะเกิดขึ้นด้วยตัวของมันเอง เพราะว่ามันมีอยู่แล้ว ความสงบที่เกิดขึ้นคือความไม่ยึดติด การไม่มีโทสะ โมหะ โลภะ
 
            เมื่อคนมาพูดอะไรกับเรา สติจะมาทันทีเปรียบเหมือนกับมีเก้าอี้เพียงตัวเดียว แต่มีคนสองคนวิ่งเข้ามาแย่งกันนั่ง เมื่อสติเกิดขึ้น สติก็จะนั่งอยู่ที่นั่น  โทสะ โมหะ โลภะ ไม่สามารถจะมาได้ เพราะว่า สติ สมาธิ ปัญญา อยู่ที่นั่นแล้ว มันเต็ม ความเต็มมีอยู่ที่นั่นแล้ว ความ
 
 
            ด้วยการเจริญสติ ความสงบจะเกิดขึ้น
            ด้วยตัวของมันเอง เพราะว่ามันมีอยู่แล้ว
            ความสงบที่เกิดขึ้นคือความไม่ยึดติด
            การไม่มีโทสะ โมหะ โลภะ

 
ว่างก็มีอยู่ที่นั่นแล้วเหมือนกัน เหมือนกับแก้วที่ว่างเปล่าซึ่งมีอากาศอยู่ข้างใน แต่เราไม่สามารถเห็นอากาศนั้น เมื่อเราเทน้ำลงไปในแก้ว น้ำจะเข้าไปแทนที่อากาศทั้งหมด เรื่องของสติก็เช่นเดียวกัน ข้าพเจ้าสามารถยืนยันรับรองแก่เธอได้จริงๆ สมมติว่ามีคนบางคนมาพูดสิ่งที่ไม่ดีต่อเรา สติจะมาและเราจะเห็นมันชัดเจน พ่อแม่สอนเราว่าถ้ามีคนมาแช่งด่าเราหรือพูดไม่ดีแก่เรา เราควรจะอดทนและไม่โกรธ แต่ไม่สามารถอยู่เฉยได้เพราะว่าเราไม่เห็นมัน เมื่อไม่มีใครมากล่าวร้ายต่อเรา เรารู้สึกสบายอยู่แล้วเพราะความสบายมีอยู่แล้ว มันขึ้นอยู่กับสิ่งซึ่งเราสมมติเรียกว่าเป็นเจ้าของของแต่ละคนจะปฏิบัติและทำให้มันเกิดขึ้น เมื่อเราปฏิบัติการรู้อย่างแจ่มแจ้งและการเห็นอย่างแท้จริงจะเกิดขึ้น ข้าพเจ้าสามารถยืนยันรับรองแก่ทุกคนได้ ถ้าคนที่ไม่ได้เจริญสติ และไม่ได้ทำให้สิ่งนี้เกิดขึ้น บุคคลผู้นั้นจะไม่มีมัน แต่มันก็มีอยู่ที่นั่นแล้ว ดังนั้นเราจึงควรเคารพซึ่งกันและกัน
 
            ภายหลังรู้ศีลแล้วเราจะรู้กาม กาม (“ความใคร่, ความอยาก, สิ่งที่น่าใคร่น่าปรารถนา”) หมายถึงสิ่งที่ทำให้เกิดความสงบ กามคือความยึดติดนี้เรียกว่า กามารมณ์ นี้เรียกว่า กามาสวะ อยู่ภายใต้การควบคุมของกาม ภวาสวะ อยู่ภายใต้การควบคุมของภพ (ความเป็น) หรือทุกข์ นี้คือภพ และชาติ (ความเกิด) อวิชชาสวะ อวิชชา คือการไม่รู้ บัดนี้เรามารู้กาม ซึ่งได้แก่ เทวดา คนมั่งคั่ง คนมีอำนาจ เขายึดติดในชื่อเสียง เงินทอง  เกียรติยศ บุคคลเหล่านี้ที่มีกาม ข้าพเจ้าไม่ได้ตำหนิใคร ข้าพเจ้าเพียงแต่สอนตรงๆ เธออาจนำไปปฏิบัติหรือเธออาจไม่นำไปปฏิบัติ ขึ้นอยู่กับตัวเธอ เมื่อเรารู้กาม เราเห็นว่ากามเป็นทุกข์ กามาสวะเป็นทุกข์ ภวาสวะเป็นทุกข์ อวิชชาสวะเป็นทุกข์เพราะเหตุแห่งการไม่รู้ เรารู้สมถกรรมฐานด้วยเช่นเดียวกัน แม้ว่าคนจะพูดในลักษณะใดก็ตาม เรารู้เรื่องความสงบจริงๆ เรารู้ขั้นตอนของมันทั้งหมด เพราะว่ามันมีอยู่แล้วในตัวของเรา เราเปิดของที่คว่ำอยู่ให้หงายขึ้น เราเปิดสิ่งที่ถูกปิดอยู่ นั่นคือการสอนวิธีปฏิบัติ วิธีของการเคลื่อนไหวด้วยมือวิธีของการพลิกมือ
 
            นี้คือการปฏิบัติแบบอุกฤต ข้าพเจ้าไม่ได้สอนสิ่งนี้ตามตำราอาจจะขัดแย้งหรือไม่ขัดแย้งกับตำรา แต่ข้าพเจ้าก็จะพูดอย่างนี้ เพราะว่าถ้าทำอย่างนี้เธอก็จะรู้อย่างนี้ ถ้าเธอศึกษาจากตำราเมื่อถูกถามถึงเรื่องความจริงเธอจะไม่รู้ ครูอาจารย์ของข้าพเจ้าเป็นจำนวนมากไม่รู้ การเคลื่อนมือเป็นเหตุ ผลคือปัญญาที่เกิดขึ้น เหตุและผลไปด้วยกัน
 
            หลังจากรู้สิ่งนี้ เรารู้เกี่ยวกับบุญและบาป สำหรับการทำชั่วทางกาย เรารู้ว่ามันเป็นบาปกรรมอย่างไร และถ้ามีนรกจริงๆ แล้วเราจะตกนรกขุมไหน สำหรับการทำชั่วทางใจ เรารู้ว่าเป็นบาปกรรมอย่างไร และถ้ามีนรกจริงๆ   เราจะตกนรกขุมไหน สำหรับการทำชั่วทางกาย วาจา และใจพร้อมกัน เรารู้ว่ามันเป็นบาปกรรมอย่างไร และถ้ามีนรกจริงๆ เราจะตกนรกขุมไหน
 
            สำหรับการทำดีทางกาย เรารู้ว่ามันเป็นบุญอย่างไร และถ้ามีสวรรค์   หรือนิพพานจริงๆ เราจะไปชั้นไหน สำหรับการทำดีทางวาจา เรารู้ว่ามันเป็นบุญอย่างไร และถ้ามีสวรรค์หรือนิพพานจริงๆ เราจะไปชั้นไหน สำหรับการทำดีทางใจ เรารู้ว่ามันเป็นบุญอย่างไร และถ้ามีสวรรค์หรือนิพพานจริงๆ เราจะไปชั้นไหน สำหรับการทำดีทางกาย วาจา และใจพร้อมกัน เรารู้ว่ามันเป็นบุญอย่างไร และถ้ามีสวรรค์หรือนิพพานจริงๆ เราจะไปชั้นไหน
 
            การเขย่าธาตุรู้มีอยู่แล้วในคนทุกคน การเจริญสติสามารถใช้ได้กับคนทุกคน ถ้าเธอไม่เชื่อโปรดทดลองดู ข้าพเจ้าสามารถรับรองได้ว่าไม่เกิน ๓ ปี และเธอจะรู้ เปรียบเหมือนเมล็ดข้าวที่เต็มและสมบูรณ์ที่เราหว่านลงในท้องนา ถ้าเราปฏิบัติไม่ถูกต้องก็เปรียบเหมือนเมล็ดข้าวเปลือกที่ไม่มีเนื้อใน ถ้าเธอขุดไม่ถูกที่เธอจะไม่ได้น้ำ ถ้าเธอขุดถูกที่ เธอจะได้น้ำจริงๆ การปฏิบัติชนิดนี้ถ้าเธอทำอย่างถูกต้องเธอจะได้รับผลจริงๆ ถ้าเธอปฏิบัติไม่ถูกต้องเธอก็จะไม่ได้รับผล
 
            เมื่อการปรากฏเกิดขึ้นเรารู้เกี่ยวกับธาตุ ๔ คือ ดิน น้ำ ไฟ และลม มันมาด้วยกัน เมื่อเรารู้สิ่งนี้การปรากฏจะเกิดขึ้น เรารู้ที่สุดของทุกข์ ที่สุดของทุกข์อยู่ที่นี่ มันจะรื้อถอนทั้งหมดและทุกสิ่ง ในเรื่องนี้ข้าพเจ้าไม่ได้เชื่อใคร เมื่อเรามาถึงที่สุดเราจะมีญาณ
 
            ศีลเป็นเครื่องกำจัดกิเลสอย่างหยาบ เมื่อกิเลสอย่างหยาบสิ้นสุดลง ศีลจึงเกิดขึ้น สมาธิคือเครื่องจำกัดกิเลสอย่างกลาง เมื่อเรารู้กิเลสอย่างกลางแล้วเรารู้สมาธิ ปัญญาเป็นเครื่องกำจัดกิเลสอย่างละเอียด ปัญญาที่เกิดขึ้นนั้นเรียกว่าญาณปัญญา เพราะมันมีอยู่ในตัวเรา เราจึงรู้จักมัน ถ้ามันไม่มีอยู่ในตัวของเรา เราจะไม่รู้ ข้าพเจ้าสามารถยืนยันแก่เธอได้ว่าทุกคนรู้ได้โดยไม่ยกเว้น ไม่ว่าผู้หญิง ผู้ชาย หรือนับถือศาสนาใดๆ ขณะเมื่อข้าพเจ้าปฏิบัติวิธีนี้ข้าพเจ้ามิได้เป็นพระภิกษุ บางครั้งข้าพเจ้านุ่งกางเกงขาสั้น บางครั้งข้าพเจ้านุ่งกางเกงขายาว ภายหลังเมื่อรู้ธรรมะแล้วข้าพเจ้าได้สั่งสอนพี่น้อง พ่อแม่ น้าอา เป็นเวลา ๓ ปี พวกเขาได้รู้แต่รู้น้อยๆ พวกเขาได้รู้ความเป็นพระที่แท้จริง รู้ความเป็นพระโดยสมมติ รู้สมมติบัญญัติ ปรมัตถบัญญัติ อรรถบัญญัติ และอริยบัญญัติ จิตใจได้เปลี่ยนจากปุถุชนเป็นอริยะ
 
            กล่าวกันว่านิพพาน คือ ตทังคปหาน (“การละกิเลสด้วยธรรมที่เป็นคู่ปรับหรือธรรมที่ตรงข้าม”) วิขัมภนปหาน (“การละกิเลสด้วยการข่มไว้ด้วยญาณ”) สมุจเฉทปหาน (“การละกิเลสด้วยการตัดขาดด้วยโลกุตตรมรรค”) ตทังคปหาน คือการรู้จักตัวเองโดยตลอด ความรู้มีอยู่ด้วยกัน ๔ ขั้น ขั้นที่ ๑ เรารู้จนกระทั่งถึงที่สุดของทุกข์ แต่เรารู้เพียงเวลาสั้นๆ มันไม่คงอยู่นาน ขั้นที่ ๒ เรารู้นานขึ้น เหมือนแสงของตะเกียงที่ใหญ่ขึ้น ขั้นที่ ๓ เรารู้นานขึ้นอีกเหมือนแสงตะเกียงที่ใหญ่ขึ้นอีก และขั้นที่ ๔ เมื่อเรารู้เรารู้ถึงที่สุดของทุกข์ และมันอยู่ที่นั่นตลอดเวลา เปรียบเหมือนกับแสงของตะเกียงที่สว่างเต็มที่ หรือแสงของดวงอาทิตย์ซึ่งสว่างไสวที่สุด
 
            ญาณ มี ๔ ชนิด เราต้องรู้มันจริงๆ นี้คือการเรียนรู้และการปฏิบัติ การเรียนรู้หมายถึงการเคลื่อนมือ การปฏิบัติ หมายถึงการพลิกมือขึ้นและลง หลังจากการเรียนรู้และปฏิบัติวิธีนี้ ผลจะเกิดขึ้นและเราจะไม่มีความสงสัยเพราะว่าเรารู้ทั้งหมด เรารู้ถึงที่สุดของทุกข์
 
            ปฏิจจสมุปบาท เป็นเพียงคำพูด ถ้าเราต้องการมันในการปฏิบัติ เราต้องมาที่เหตุ นั่นคือปฏิบัติโดยการเคลื่อนไหว จนกระทั่งปัญญาเกิด เมื่อปัญญาเกิดขึ้น และเมื่อเราพูดถึงปฏิจจสมุปบาท เราจะรู้มันทันที
 
            บัดนี้เรามาถึงบทสรุป เราปฏิบัติการเจริญสติ และเราเห็นความคิด เราเห็นจิตใจ เราปฏิบัติเช่นเดียวกับนักมวย เมื่อนักมวยอยู่บนเวทีเขาต้องชก เราทำมันบ่อยๆ ทีละขั้นๆ เราทำเหมือนกับลูกบอลในสนาม เมื่อคนไม่หยุดเตะลูกบอล ลูกบอลก็ยังคงกลิ้งต่อไป เมื่อคนหยุดเตะ ลูกบอลก็จะหยุดนิ่งโดยตัวของมันเอง มันไม่ต้องต่อสู้หรือหลบหนี เราออกจากความมืด เราออกจากถ้ำ และเราอยู่ในความสว่างไสว เราเห็นชีวิตจิตใจของเราตลอดเวลา เมื่อจิตใจเคลื่อนไหวเรารู้มัน สติปัญญาอยู่ที่นั่นในทันที เป็นเครื่องป้องกันจากอันตรายทั้งมวล และแม้ว่าโลกของคนอื่นจะโกลาหลและเร่าร้อน แต่สำหรับเราแล้วโลกทั้งโลกมีแต่สันติสุข ให้เป็นเช่นนั้น
 
 
 
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #9937 เมื่อ: 23 สิงหาคม 2556, 05:50:37 »

สวัสดียามเช้าครับ ชาวซีมะโด่ง และแขกผู้มาเยือน ที่รักทุกท่าน

                       เช้านี้ท่านภวนาเจริญสติ หรือยัง?

                       ท่านสวดมนต์ทำวัตรเช้า หรือยัง

                       ท่านออกกำลังกายยามเช้า หรือยัง?

                       ท่านถ่ายอุจจาระ หรือยัง?

                       ท่านรับประทานอาหารเช้า หรือยัง?

                       ถ้ายัง  ระวังสุขภาพของท่าน  มีโอกาสเป็นโรคเรื้อรัง ครับ

                       ผมต้องไปเดินจงกรม  ออกกำลังกาย ฝึกชิกง-โยคะ แล้วครับ

                       สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #9938 เมื่อ: 23 สิงหาคม 2556, 08:18:29 »



เขมาเขมสรณทีปิกคาถา

พะหุง  เว  สะระณัง  ยันติ        ปัพพะตานิ  วะนานิ  จะ,
อารามะรุกขะเจตฺยานิ                       มะนุสสา  ภะยะตัชชิตา,  
   
               มนุษย์เป็นอันมาก, เมื่อเกิดมีภัยคุกคามแล้ว, ก็ถือเอาภูเขาบ้าง,
               ป่าไม้บ้าง, อาราม และรุกขเจดีย์บ้าง  เป็นสรณะ;

เนตัง  โข  สะระณัง  เขมัง        เนตัง  สะระณะมุตตะมัง,
เนตัง  สะระณะมาคัมมะ        สัพพะทุกขา  ปะมุจจะติ.

   นั่น มิใช่สรณะอันเกษมเลย,     นั่น มิใช่สรณะอันสูงสุด,  
   เขาอาศัยสรณะนั้นแล้ว,    ย่อมไม่พ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้.

โย  จะ  พุทธัญจะ  ธัมมัญจะ     สังฆัญจะ  สะระณัง  คะโต,  
จัตตาริ  อะริยะสัจจานิ        สัมมัปปัญญายะ  ปัสสะติ,  

    ส่วนผู้ใดถือเอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะแล้ว,  
   เห็นอริยสัจจ์คือ ความจริงอันประเสริฐสี่  ด้วยปัญญาอันชอบ;

ทุกขัง  ทุกขะสะมุปปาทัง        ทุกขัสสะ  จะ อะติกกะมัง,
อะริยัญจัฏฐังคิกัง  มัคคัง        ทุกขูปะสะมะคามินัง,  

    คือเห็นความทุกข์, เหตุให้เกิดทุกข์, ความก้าวล่วงทุกข์เสียได้,
   และหนทางมีองค์แปดอันประเสริฐ  เครื่องถึงความระงับทุกข์;

เอตัง  โข  สะระณัง  เขมัง        เอตัง  สะระณะมุตตะมัง,
เอตัง  สะระณะมาคัมมะ        สัพพะทุกขา  ปะมุจจะติ.

   นั่นแหละ  เป็นสรณะอันเกษม, นั่น  เป็นสรณะอันสูงสุด,
   เขาอาศัยสรณะนั้นแล้ว,   ย่อมพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้.


สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง และแขกผู้มาเยือน ที่รักทุกท่าน

              กรรม คือการกระทำ
              ใครทำกรรมดีก็ตาม  ใคทำรกรรมชั่วก็ตาม ย่อมได้รับผลของกรรมนั้นเสมอ
              เราหนีกรรมที่เราก่อเอาไว้ไม่พ้น  ย่อมได้รับผลของกรรมนั้นเสมอไม่ช้า ก็เร็ว

              คนเราเมื่อประสบทุกข์(ความเกิดก็เป็นทุกข์ ความแก่ก็เป็นทกข์ ความเจ็บไข้ก็เป็นทุกข์ ความประสบกับสิ่งที่ไม่รักไม่ชอบก็เป็นทุกข์ ปราถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้นก็เป็นทุกข์ และความพลัดำรากจากสิ่งที่รักที่ชอบก็เป็นทุกข์)

               เมื่อเราประสบทุกข์ สิ่งที่เกิดขึ้น คือ ความไม่สบายกาย ความไม่สบายใจ การวิตกกังวล ความคับแค้นใจ หรือ อุปาทานขันธ์ ๕ เป็นทุกข์ คือความยึดมั่นถือมั่น เมื่อตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง จมูกได้ดมกลิ่น ลิ้นได้ลิ้มรส ได้สัมผัสทางกาย และปล่อยใจนึกคิด ย่อมเกิดการปรงแต่งไปต่าง ๆ นา ๆ ถ้าเป็นไปในทางที่ดี ก็ชอบ  ยินดี ปราถนาจะได้อีกไม่มีสิ้นสุด  แต่ถ้าไม่รักไม่ชอบ ก็ไม่อยากประสบอีก ทั้งหมดมันเป็นอารมณ์ที่มากระทบทำให้เกิด ความดลภ  ความโกรธ และความหลง(เป็นทาสความคิด  ทำตามความคิด)

                เมื่อมีทุกข์เกิดขึ้น เราหนีไม่พ้น เพราะมันอยู่ที่ใจ มันเกาะติดที่ใจ  สลัดอย่างไรก็ไม่ออก

                แต่ถ้าเราวางจิตของเราให้ถูก หรือมีสติ มีความรู้สึกตัว ทุกข์นั้นก็หายไปสิ้น

                เพราะเรารู้สาเหตุแห่งทุกข์  วิธีละทุกข์  ทางดำเนินในชีวิตประจำวันเพื่อพ้นทุกข์ (มรรค ๘)

                เราใช้ปัญญา เราก็จะพ้นทุกข์ เพราะเรามีสติ  รู้สึกตัว ความทุกข์มันก็หายไปแล้ว

                 ความทุกข์ไม่มีตัวตน เป็นเพียงอารมณ์ที่จรมากระทบด้วยเหตุ-ปัจจัย ที่ประสบเท่านั้น

                 ขอให้พิจารณาธรรมที่ยกมานั้น  ให้เห็นความจริงนี้ ท่านจะพ้นทุกข์ได้

                 สวัสดี
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #9939 เมื่อ: 23 สิงหาคม 2556, 08:54:50 »

ฝนยังตกมากและหนัก อีก 1-2 วันในภาคเหนือ ภาคอีสาน รวมทั้ง กทม.และปริมณฑล โดยมีฝนร้อยละ 80

พยากรณ์อากาศ ประจำวันศุกร์ที่ 23 สิงหาคม 2556
ลักษณะอากาศทั่วไปเมื่อเวลา 04:00 น.  ร่องมรสุมยังคงพาดผ่านภาคเหนือ และตอนบนของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ทำให้ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีฝนหนาแน่น และมีฝนตกหนักบางแห่ง ในระยะ 1-2 วันนี้
สำหรับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังค่อนข้างแรงที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย ทำให้ภาคกลาง และภาคตะวันออก มีฝนเพิ่มขึ้น ส่วนบริเวณทะเลอันดามัน และอ่าวไทยตอนบน จะมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร ขอให้ชาวเรือเพิ่มความระมัดระวังในการเดินเรือไว้ด้วย
อนึ่ง พายุโซนร้อน “จ่ามี” (TRAMI) บริเวณมณฑลฟูเจี้ยน ประเทศจีน ได้อ่อนกำลังลงเป็นพายุดีเปรสชันแล้ว ขอให้ผู้ที่จะเดินทางไปบริเวณดังกล่าวตรวจสอบสภาพอากาศก่อนออกเดินทางด้วย โดยพายุนี้ไม่มีผลกระทบต่อประเทศไทย
 
พยากรณ์อากาศสำหรับประเทศไทยตั้งแต่เวลา 06:00 วันนี้ ถึง 06:00 วันพรุ่งนี้.

ภาคเหนือ  มีฝนฟ้าคะนองเกือบทั่วไป ร้อยละ 80 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง
บริเวณจังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ เชียงราย พะเยา น่าน ตาก และเพชรบูรณ์

อุณหภูมิต่ำสุด 23-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 29-31 องศาเซลเซียส
ลมแปรปรวน ความเร็ว 10-30 กม./ชม.
 
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ  มีฝนฟ้าคะนองเกือบทั่วไป ร้อยละ 80 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง
บริเวณจังหวัดเลย หนองคาย บึงกาฬ หนองบัวลำภู อุดรธานี สกลนคร และนครพนม

อุณหภูมิต่ำสุด 24-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 29-31 องศาเซลเซียส
ลมตะวันตก ความเร็ว 10-30 กม./ชม.
 
ภาคกลาง  มีฝนฟ้าคะนองเกือบทั่วไป ร้อยละ 70 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง
บริเวณจังหวัดกาญจนบุรี และราชบุรี

อุณหภูมิต่ำสุด 24-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 30-32 องศาเซลเซียส
ลมตะวันตก ความเร็ว 10-30 กม./ชม.
 
ภาคตะวันออก  มีฝนฟ้าคะนองเกือบทั่วไป ร้อยละ 70 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง
บริเวณจังหวัดนครนายก จันทบุรี และตราด

อุณหภูมิต่ำสุด 25-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 29-32 องศาเซลเซียส
ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 20-35 กม./ชม.
ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร
ส่วนบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองมีคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร
 
ภาคใต้ (ฝั่งตะวันออก)  มีเมฆมาก กับมีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆ ร้อยละ 30 ของพื้นที่
ส่วนมากบริเวณจังหวัดเพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร และสุราษฎร์ธานี

อุณหภูมิต่ำสุด 24-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 31-35 องศาเซลเซียส
ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร
 
ภาคใต้ (ฝั่งตะวันตก)  มีเมฆมาก กับมีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆ ร้อยละ 30 ของพื้นที่
ส่วนมากบริเวณจังหวัดระนอง พังงา และภูเก็ต

อุณหภูมิต่ำสุด 24-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 31-34 องศาเซลเซียส
ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 20-35 กม./ชม.
ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร
ส่วนบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองมีคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร
 
กรุงเทพมหานครและปริมณฑล  มีเมฆเป็นส่วนมาก โอกาสมีฝนตก ร้อยละ 80
อุณหภูมิต่ำสุด 25-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 31-32 องศาเซลเซียส
ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ชม.

      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #9940 เมื่อ: 23 สิงหาคม 2556, 13:57:57 »

สวัสดีครับ คุณเหยง

                      ขอบคุณมากสำหรับรายงานอากาศประจำวัน

                      นครศรีธรรมราช เมื่อเช้าฝนทำท่าจะตก  แต่แล้วก็ไม่ตก  กลางวันก็ไม่ตก  ถือเป็นช่วงไม่ใช่หน้าฝน

                      ช่วงนี้มีคนมาเที่ยวนครศรีธรรมราชมาก  โดยเฉพาะสัมมนา  โรงแรมทิวินโลตัวเฉลี่ย 80% ทั้งปี วันนี้โรงแรมเต็ม

                      ก็ดีมีคนมาเที่ยว  อย่างน้อยอุตสาหกรรมภาคบริการ  จะอยู่ได้สบาย รวมทั้งสิ้นค้า Otop ด้วย

                      สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #9941 เมื่อ: 23 สิงหาคม 2556, 21:03:23 »



สวัสดียามค่ำครับ ชาวซีมะโด่ง และแขกผู้มาเยือน ที่รักทุกท่าน

                        วันนี้ได้เปิดสอน โยคะเพื่อสุขภาพเป็นวันแรก ปรากฏว่า มีคนมาฝึกหนึ่งท่าน เป็นสุภาพสตรีวัยกลางคน ที่เป็นสาวสำนักงาน คือเป็นโรคออฟฟิตซินโดรม ปวดตามแขน ไหล่ หลัง และสุขภาพไม่สู้ดี  นอกนั้นมาสังเกตการณ์อีกหลายท่าน  ยังไม่แน่ใจ เพราะเพิ่งปิดประกาศให้ทราบเมื่อวานเอง เตรียมตัวไม่ทัน  ครั้งหน้าคงมีคนมาเรียนสิบท่านขึ้นไป

                        ก่อนสอนผมได้อธิบายการฝึกโยคะ ของผมเป็นการฟื้นฟูข้อต่อไม่ให้ติด  ยึดคลายกล้ามเนื้อ และจัดทรวดทรงร่างกาย โดยใช้ท่าของคุณหมออุดม  จากโรงพยาบาลจอมทองในการยึดกล้ามเนื้อ-ข้อต่อ และใช้ท่าของ ดร. สวามี ซานโตส อนัน ในการบริหารช่องท้อง ปอด  หัวใจ  หลอดลม และใบหน้า

                        เมื่อจบทุกท่าแล้วใช้เวลาไปเกือบหนึ่งชั่วโมง  ผมได้สอบถามว่าเป็นอย่างไรบ้าง  เธอตอบว่า รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมากเลย ครั้งหน้าจะชวนเพื่อน ๆ มาอีกหลายคน

                         พี่สิงห์  ก็สุขที่ได้ช่วยให้คนพ้นทุกข์ทางกาย และทางใจ ครับ

                         ราตรีสวัสดิ์ครับ
      บันทึกการเข้า
ติ๋ม จันทร์ฉาย
Hero Cmadong Member
***


เป็นญาติพี่น้องกับซีมะโด่ง
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2516
กระทู้: 1,692

« ตอบ #9942 เมื่อ: 23 สิงหาคม 2556, 21:28:25 »



สวัสดีค่ะพี่สิงห์
หายไปนาน เลยไม่ได้ทำโยคะ เข้ามาห้องพี่สิงห์ก็ได้คำเตือนให้ทำโยคะพอดี
ระลึกถึงพี่เสมอค่ะ
      บันทึกการเข้า

ติ๋ม จันทร์ฉาย
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #9943 เมื่อ: 24 สิงหาคม 2556, 05:34:13 »

อ้างถึง
ข้อความของ ติ๋ม จันทร์ฉาย เมื่อ 23 สิงหาคม 2556, 21:28:25


สวัสดีค่ะพี่สิงห์
หายไปนาน เลยไม่ได้ทำโยคะ เข้ามาห้องพี่สิงห์ก็ได้คำเตือนให้ทำโยคะพอดี
ระลึกถึงพี่เสมอค่ะ

สวัสดียามเช้า ค่ะคุณน้องจันทร์ฉาย ที่รัก

                   อย่าลืมสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ชีวิตของเรานี่ละ อย่างอื่นไม่สำคัญเลย

                    เพราะไม่รู้ว่า เมื่อตายไปแล้วจะได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกหรือไม่ หรือไปเกิดในภพไหน !

                   มีเงินทองมากมาย  ประสบความสำเร็จมากมายในการทำงาน

                   มีชื่อเสียงโด่งดัง มีคนสรรเสริญ

                   แต่ต้องเจ็บป่วย ด้วยโรคเรื้อรัง หรือโรคประจำตัว นอนอยู่บ้านบนเตียง และตาย

                   ตัวอย่างมีให้เห็นมากมาย ณ ขณะนี้

                   เงิน งาน ชื่อเสียง สรรเสริญ จะมีประโยชน์อะไร!

                   สู้ดูแลร่างกาย กินอาหารให้เป็นยา ถ่ายสม่ำเสมอ ออกกำลังกาย นอนหัวค่ำ

                   และภาวนาเจริญสติ ให้มีสติ-สัมปชัญญะ ณ ปัจจุบัน

                   นั่นละคือสิ่งที่สำคัญที่สุดของเรา ณ ขณะนี้

                   คือการดูแลชีวิตของเรา ได้แก่ รูป-นาม (กาย-จิต)

                   อย่าลืม ถ้าเป็นนักบริหารจริง อะไรที่สำคัญที่สุด  ต้องกระทำก่อนเสมอ

                   สวัสดีค่ะ
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #9944 เมื่อ: 24 สิงหาคม 2556, 08:29:07 »

ประจำวันที่ 24 สิงหาคม 2556
ลักษณะอากาศทั่วไปเมื่อเวลา 04:00 น.  มรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังค่อนข้างแรงพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย ทำให้ภาคตะวันออก และภาคใต้ฝั่งตะวันตกมีฝนตกหนักบางแห่ง ส่วนภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีฝนลดลง สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามัน และอ่าวไทยตอนบนสูง 2-3 เมตร ขอให้ชาวเรือบริเวณดังกล่าวเพิ่มความระมัดระวังในการเดินเรือ และเรือเล็กในทะเลอันดามันควรงดออกจากฝั่งในระยะนี้ไว้ด้วย

 
พยากรณ์อากาศสำหรับประเทศไทยตั้งแต่เวลา 06:00 วันนี้ ถึง 06:00 วันพรุ่งนี้.

ภาคเหนือ  มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 60 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง
บริเวณจังหวัดเชียงราย พะเยา น่าน ตาก และเพชรบูรณ์

อุณหภูมิต่ำสุด 23-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 30-33 องศาเซลเซียส
ลมตะวันตก ความเร็ว 10-30 กม./ชม.
 
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ  มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 40 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง
บริเวณจังหวัดหนองคาย และบึงกาฬ

อุณหภูมิต่ำสุด 23-24 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 31-33 องศาเซลเซียส
ลมตะวันตก ความเร็ว 10-30 กม./ชม.
 
ภาคกลาง มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 40 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัด
นครสวรรค์ อุทัยธานี กาญจนบุรี และราชบุรี

อุณหภูมิต่ำสุด 23-24 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 31-33 องศาเซลเซียส
ลมตะวันตก ความเร็ว 10-30 กม./ชม.
 
ภาคตะวันออก มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 60 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง
บริเวณจังหวัดจันทบุรี และตราด

อุณหภูมิต่ำสุด 24-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-34 องศาเซลเซียส
ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 20-35 กม./ชม.
ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร
ส่วนบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองมีคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร
 
ภาคใต้ (ฝั่งตะวันออก)  มีเมฆเป็นส่วนมาก กับมีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆ ร้อยละ 30 ของพื้นที่
ส่วนมากบริเวณจังหวัดเพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ และชุมพร

อุณหภูมิต่ำสุด 24-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 31-35 องศาเซลเซียส
ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร
 
ภาคใต้ (ฝั่งตะวันตก) มีเมฆเป็นส่วนมาก กับมีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆ ร้อยละ 30 ของพื้นที่
และมีฝนตกหนักบางแห่งบริเวณจังหวัดระนอง และพังงา

อุณหภูมิต่ำสุด 24-27 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 30-34 องศาเซลเซียส
ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 20-40 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 2-3 เมตร
 
กรุงเทพมหานครและปริมณฑล  มีเมฆเป็นส่วนมาก โอกาสมีฝนตก ร้อยละ 60 ส่วนมากในระหว่างบ่ายถึงค่ำ
อุณหภูมิต่ำสุด 24-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-34 องศาเซลเซียส
ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-35 กม./ชม.
 
 
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #9945 เมื่อ: 24 สิงหาคม 2556, 10:03:41 »

สวัสดีครับ คุณเหยง ชาวซีมะโด่ง และแขกผู้มาเยือน ที่รักทุกท่าน

                         เช้านี้เวลาหกโมงเช้าที่นครศรีธรรมราช เห็นพระจันทร์สว่างโล่บนท้องฟ้า  เห็นแสงเงินแสงทองแตะที่ขอบฟ้าตะวันออก มีเสียงนกเอี้ยงร้องเซ็งแซ่ มีลมเย็นพัดผ่านอ่อน ๆ และพอแสงแดดอ่อน ๆ ส่อง เห็นพระอาทิตย์ยามเช้าเต็มดวง เป็นบรรยากาศที่เหมาะกับการเดินจงกรม ฝึกชิกง-โยคะ เป็นอย่างยิ่ง เพราะได้วิตามีน D จากแสงแดด

                          เมื่อรับประทานอาหารเช้าแล้ว มีเวลาได้เดินจงกรม เพื่อให้อาหารย่อย พอสมควร จนรู้สึกโล่งกระเพาะ ไม้ค้างอยู่ในหลอดอาหาร

                          เมื่อวาน รศ.ประกายแก้ว  ได้โทรศัพท์ มาเชิญชวนเป็นกรรมการสมาคม บอกว่า  จะให้พี่ปรีดาเป็นนายกสมาคม มีคุณทรงเกียรติและคุณราเมศวร์ เป็นรองนายก สมาคม

                          กรรมการชุดนี้ พี่ปรีดา  บอกว่า ไม่จำเป็นต้องมีกรรมการที่ปรึกษา มีเพียงนายก รองนายก และกรรมการที่จะทำงาน เท่านั้น 

                          ได้สอบถามพี่สิงห์ ว่า จะเป็นกรรมการไหม?

                           ผมได้ตอบไปว่า  เมื่อไม่มีที่ปรึกษา  ก็ไม่ขอเป็นกรรมการสมาคม เพราะไม่มีเวลาให้ 

                           ถ้าจะเป็นกรรมการ หมายความว่าพี่สิงห์ ต้องมีเวลาทำงานให้กับสมาคม

                           เมื่อมีเวลา ทำไม? พี่สิงห์ ไม่รับเป็นนายกสมาคมเสียเลย  ยังมีแนวทางในการทำงานที่จะสามารถ ทำให้สมาคมแข็งแกร่ง ขึ้นได้

                           แต่เนื่องจาก พี่สิงห์  พอแล้ว  ปล่อยวางแล้ว  ไม่อยากรบกวนใครอีกแล้ว ขอไม่รับเป็นอะไรทั้งสิ้น  มีอะไรที่จะทำให้ได้  ยินดีทำไห้เสมอ ขอให้บอกมา  มีเวลาก็จะไปร่วมกิจกรรม  อย่าให้ต้องไปเป็นกรรมการเลย พอแล้ว มันเป็นเรื่องของคนรุ่นใหม่แล้ว  อย่าไปยึดติดเลย

                           พี่สิงห์  อยู่อย่างปัจจุบัน ก็ช่วยสมาคม  ช่วยสังคมได้  สุขกว่าแยะ มีเวลาให้กับตนเองในการฝึกฝนจิต และดูแลร่างกาย นั่นคือสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับ พี่สิงห์ ณ เวลานี้ ที่จะต้องกระทำเพื่อตนเองในชีวิตที่เหลือก่อนตายจากไป

                           ก็เรียนให้ทราบ

                           สวัสดี

                         
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #9946 เมื่อ: 24 สิงหาคม 2556, 11:02:16 »

๘. โกสัมพิยสูตร

ทรงโปรดภิกษุชาวเมืองโกสัมพี


             [๕๔๐] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้:-

             สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารโฆสิตารามเขตพระนครโกสัมพี.
             สมัยนั้น พวกภิกษุในเมืองโกสัมพี เกิดขัดใจ ทะเลาะ วิวาท ทิ่มแทงกันและกัน
ด้วยหอกคือปากอยู่ ไม่ยังกันและกันให้เข้าใจ ไม่ปรารถนาความเข้าใจกัน ไม่ยังกันและกันให้
ปรองดอง ไม่ปรารถนาความปรองดองกัน.
             ครั้งนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถวายอภิวาทแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วน
ข้างหนึ่งแล้ว ได้ทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอประทานพระวโรกาส พวกภิกษุในเมืองโกสัมพี
เกิดขัดใจ ทะเลาะ วิวาท ทิ่มแทงกันและกันด้วยหอกคือปากอยู่ ไม่ยังกันและกันให้เข้าใจ
ไม่ปรารถนาความเข้าใจกัน ไม่ยังกันและกันให้ปรองดอง ไม่ปรารถนาความปรองดองกัน.
             ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุรูปหนึ่งมาแล้วรับสั่งว่า ดูกรภิกษุ เธอจงมา
เธอจงเรียกภิกษุเหล่านั้นมาตามคำของเราว่า พระศาสดาของพวกเรารับสั่งให้หาพวกท่านผู้มีอายุ.
             ภิกษุรูปนั้นทูลรับพระดำรัสพระผู้มีพระภาคว่า อย่างนั้น พระพุทธเจ้าข้า ดังนี้แล้ว
เข้าไปหาภิกษุเหล่านั้นแล้ว บอกว่า พระศาสดารับสั่งให้หาท่านผู้มีอายุทั้งหลาย.
             ภิกษุเหล่านั้นรับคำภิกษุนั้นว่า อย่างนั้น ท่านผู้มีอายุ ดังนี้ แล้วเข้าไปเฝ้าพระผู้มี
พระภาคถึงที่ประทับ ถวายอภิวาทแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.

             [๕๔๑] พระผู้มีพระภาคตรัสถามภิกษุเหล่านั้นว่า ดูกรภิกษุทั้งหลายได้ยินว่า พวกเธอ
เกิดขัดใจ ทะเลาะ วิวาท ทิ่มแทงกันและกันด้วยหอกคือปากอยู่ ไม่ยังกันและกันให้เข้าใจ
ไม่ปรารถนาความเข้าใจกัน ไม่ยังกันและกันให้ปรองดอง ไม่ปรารถนาความปรองดองกัน
จริงหรือ?
             ภิกษุเหล่านั้นทูลว่า เป็นอย่างนั้น พระพุทธเจ้าข้า.
             พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน สมัยใด
พวกเธอ เกิดขัดใจ ทะเลาะ วิวาท ทิ่มแทงกันและกันด้วยหอกคือปากอยู่ สมัยนั้น พวกเธอ
เข้าไปตั้งเมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม และเมตตามโนกรรม ในเพื่อนสพรหมจารีทั้งหลาย
ทั้งต่อหน้าและลับหลัง บ้างหรือหนอ?
             ภิกษุเหล่านั้นทูลว่า ข้อนั้นไม่มีเลย พระพุทธเจ้าข้า.
             พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เช่นนี้ก็เป็นอันว่า สมัยใด พวกเธอ เกิด
ขัดใจ ทะเลาะ วิวาท ทิ่มแทงกันและกันด้วยหอกคือปากอยู่ สมัยนั้นพวกเธอมิได้เข้าไปตั้ง
เมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม และเมตตามโนกรรมในเพื่อนสพรหมจารีทั้งหลาย ทั้งต่อหน้า
และลับหลัง ดูกรโมฆบุรุษทั้งหลาย เมื่อเป็นดังนั้น พวกเธอรู้อะไร เห็นอะไร จึงเกิดขัดใจ
ทะเลาะ วิวาท ทิ่มแทงกันและกันด้วยหอกคือปากอยู่ ไม่ยังกันและกันให้เข้าใจ ไม่
ปรารถนาความเข้าใจกัน ไม่ยังกันและกันให้ปรองดอง ไม่ปรารถนาความปรองดองกัน ดูกรโมฆ-
*บุรุษทั้งหลาย ข้อนั้นนั่นแหละ จักมีเพื่อไม่เป็นประโยชน์ เพื่อทุกข์ แก่เธอทั้งหลายตลอดกาลนาน.

ว่าด้วยสาราณิยธรรม ๖

             [๕๔๒] ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสบอกภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม
๖ ประการนี้ เป็นเหตุให้ระลึกถึงกัน ทำความรักกัน ทำความเคารพกัน เป็นไปเพื่อความ
สงเคราะห์กัน เพื่อความไม่วิวาทกัน เพื่อความพร้อมเพรียงกัน เพื่อความเป็นพวกเดียวกัน ๖
ประการเป็นไฉน? ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เข้าไปตั้งกายกรรมอันประกอบด้วย
เมตตา ในเพื่อนสพรหมจารีทั้งหลาย ทั้งในที่แจ้งและที่ลับ ธรรมแม้นี้ เป็นเหตุให้ระลึกถึงกัน
ทำความรักกัน ทำความเคารพกัน เป็นไปเพื่อความสงเคราะห์กัน เพื่อความไม่วิวาทกัน เพื่อ
ความพร้อมเพรียงกัน เพื่อความเป็นพวกเดียวกัน.
             ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง ภิกษุเข้าไปตั้งวจีกรรมอันประกอบด้วยเมตตา ในเพื่อน
สพรหมจารีทั้งหลาย ทั้งในที่แจ้งและในที่ลับ ธรรมแม้นี้ เป็นเหตุให้ระลึกถึงกัน ทำความรัก
กัน ทำความเคารพกัน เป็นไปเพื่อความสงเคราะห์กัน เพื่อความไม่วิวาทกัน เพื่อความพร้อม
เพรียงกัน เพื่อความเป็นพวกเดียวกัน
             ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง ภิกษุเข้าไปตั้งมโนกรรมอันประกอบด้วยเมตตา ในเพื่อน
สพรหมจารีทั้งหลาย ทั้งในที่แจ้งและที่ลับ ธรรมแม้นี้เป็นเหตุให้ระลึกถึงกัน ทำความรักกัน
ทำความเคารพกัน เป็นไปเพื่อความสงเคราะห์กัน เพื่อความไม่วิวาทกัน เพื่อความพร้อมเพรียง
กัน เพื่อความเป็นพวกเดียวกัน.
             ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง ภิกษุมีลาภเกิดขึ้นโดยธรรม ได้มาโดยธรรม ที่สุดเป็น
ลาภสักว่าอาหารที่เนื่องในบาตร ก็บริโภคโดยไม่เกียดกันไว้เพื่อตน บริโภคเป็นสาธารณะกับ
เพื่อนสพรหมจารีผู้มีศีล ธรรมแม้นี้ เป็นเหตุให้ระลึกถึงกัน ทำความรักกัน ทำความเคารพกัน
เป็นไปเพื่อความสงเคราะห์กัน เพื่อความไม่วิวาทกัน เพื่อความพร้อมเพรียงกัน เพื่อความเป็น
พวกเดียวกัน.
             ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง ภิกษุมีศีลไม่ขาด ไม่เป็นช่อง ไม่ด่าง ไม่พร้อย เป็น
ไท อันท่านผู้รู้สรรเสริญ อันตัณหาทิธรรมไม่ครอบงำ เป็นไปเพื่อสมาธิ ถึงความเป็นผู้มีศีล
เสมอกันในศีลเช่นนั้นกับเพื่อนสพรหมจารีทั้งหลาย ทั้งในที่แจ้งและในที่ลับอยู่ ธรรมแม้นี้ เป็น
เหตุให้ระลึกถึงกัน ทำความรักกัน ทำความเคารพกัน เป็นไปเพื่อความสงเคราะห์กัน เพื่อ
ความไม่วิวาทกัน เพื่อความพร้อมเพรียงกัน เพื่อความเป็นพวกเดียวกัน.
             ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง ภิกษุมีทิฏฐิอันไกลจากข้าศึก เป็นนิยยานิกธรรม อันนำ
ออกซึ่งบุคคลผู้ทำตามนั้น เพื่อความสิ้นทุกข์โดยชอบ ถึงความเป็นผู้เสมอกันด้วยทิฏฐิในทิฏฐิเช่น
นั้นกับเพื่อนสพรหมจารีทั้งหลาย ทั้งในที่แจ้งและในที่ลับอยู่ ธรรมแม้นี้ เป็นเหตุให้ระลึกถึง
กัน ทำความรักกัน ทำความเคารพกัน เป็นไปเพื่อความสงเคราะห์กันเพื่อความไม่วิวาทกัน
เพื่อความพร้อมเพรียงกัน เพื่อความเป็นพวกเดียวกัน.
             ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๖ ประการนี้แล เป็นเหตุให้ระลึกถึงกัน ทำความรักกัน ทำ
ความเคารพกัน เป็นไปเพื่อความสงเคราะห์กัน เพื่อความไม่วิวาทกัน เพื่อความพร้อมเพรียงกัน
เพื่อความเป็นพวกเดียวกัน. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ทิฏฐิอันไกลจากกิเลสเป็นข้าศึก เป็นนิยยานิก-
*ธรรม นำออกซึ่งบุคคลผู้ทำตามนั้น เพื่อความสิ้นทุกข์โดยชอบนี้ เป็นยอดยึดคุมธรรม ๖
ประการนี้ ที่เป็นเหตุให้ระลึกถึงกันไว้. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนยอดเป็นที่สูงสุด
เป็นที่ยึดคุมของเรือนยอด ฉันใด ทิฏฐิอันไกลจากกิเลสเป็นข้าศึก เป็นนิยยานิกธรรม นำออก
ซึ่งบุคคลผู้ทำตามนั้น เพื่อความสิ้นทุกข์โดยชอบนี้ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน เป็นยอดยึดคุมธรรม ๖
ประการนี้ ที่เป็นเหตุให้ระลึกถึงกัน.

ทิฏฐิที่เป็นนิยยานิกธรรม

             [๕๔๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ทิฏฐิอันไกลจากกิเลสเป็นข้าศึก เป็นนิยยานิกธรรม นำ
ออกซึ่งบุคคลผู้ทำตามนั้น เพื่อความสิ้นทุกข์โดยชอบ เป็นไฉน? ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุใน
ธรรมวินัยนี้ ไปสู่ป่าก็ดี ไปสู่โคนต้นไม้ก็ดี ไปสู่เรือนว่างเปล่าก็ดี ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า เรา
มีจิตอันปริยุฏฐานกิเลสใดกลุ้มรุมแล้ว ไม่พึงรู้เห็นตามความเป็นจริง ปริยุฏฐานกิเลสในภายใน
นั้นที่เรายังละไม่ได้ มีอยู่หรือหนอ? ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุมีจิตอันกามราคะกลุ้มรุม
ก็ชื่อว่ามีจิตอันปริยุฏฐานกิเลสกลุ้มรุมแล้วเทียว มีจิตอันพยาบาทกลุ้มรุม ก็ชื่อว่ามีจิตอัน
ปริยุฏฐานกิเลสกลุ้มรุมแล้วเทียว มีจิตอันถีนมิทธะกลุ้มรุม ก็ชื่อว่ามีจิตอันปริยุฏฐาน
กิเลสกลุ้มรุมแล้วเทียว มีจิตอันอุทธัจจกุกกุจจะกลุ้มรุม ก็ชื่อว่ามีจิตอันปริยุฏฐานกิเลสกลุ้มรุม
แล้วเทียว มีจิตอันวิจิกิจฉากลุ้มรุม ก็ชื่อว่ามีจิตอันปริยุฏฐานกิเลสกลุ้มรุมแล้วเทียว เป็น
ผู้ขวนขวายในการคิดเรื่องโลกนี้ ก็ชื่อว่ามีจิตอันปริยุฏฐานกิเลสกลุ้มรุมแล้วเทียว เป็นผู้ขวน
ขวายในการคิดเรื่องโลกหน้า ก็ชื่อว่ามีจิตอันปริยุฏฐานกิเลสกลุ้มรุมแล้วเทียว และเกิด
ขัดใจ ทะเลาะ วิวาท ทิ่มแทงกันและกันด้วยหอกคือปากอยู่ ก็ชื่อว่ามีจิตอันปริยุฏฐานกิเลส
กลุ้มรุมแล้วเทียว ภิกษุนั้น ย่อมรู้ชัดอย่างนี้ว่า เรามีจิตอันปริยุฏฐานกิเลสใดกลุ้มรุมแล้ว ไม่
พึงรู้เห็นตามความเป็นจริง ปริยุฏฐานกิเลสในภายในนั้นที่เรายังละไม่ได้แล้ว มิได้มีเลย จิตเรา
ตั้งไว้ดีแล้ว เพื่อตรัสรู้สัจจะทั้งหลาย. นี้ญาณที่ ๑ เป็นอริยะ เป็นโลกุตระ ไม่ทั่วไปกับพวก
ปุถุชน อันภิกษุนั้นบรรลุแล้ว.

             [๕๔๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง อริยสาวกย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า เราเสพ
เจริญ ทำให้มากซึ่งทิฏฐินี้ ย่อมได้ความระงับเฉพาะตน ย่อมได้ความดับกิเลสเฉพาะตนหรือหนอ?
อริยสาวกนั้นย่อมรู้ชัดอย่างนี้ว่า เราเสพ เจริญ ทำให้มากซึ่งทิฏฐินี้ ย่อมได้ความระงับเฉพาะตน
ย่อมได้ความดับกิเลสเฉพาะตน. นี้ญาณที่ ๒ เป็นอริยะ เป็นโลกุตระ ไม่ทั่วไปกับพวกปุถุชน
อันอริยสาวกนั้นบรรลุแล้ว.

             [๕๔๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง อริยสาวกย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า เราประกอบ
ด้วยทิฏฐิเช่นใด สมณะหรือพราหมณ์อื่นนอกธรรมวินัยนี้ ประกอบด้วยทิฏฐิเช่นนั้น มีอยู่หรือ
หนอ? อริยสาวกนั้นย่อมรู้ชัดอย่างนี้ว่า เราประกอบด้วยทิฏฐิเช่นใด สมณะหรือพราหมณ์อื่น
นอกธรรมวินัยนี้ ประกอบด้วยทิฏฐิเช่นนั้น มิได้มี. นี้ญาณที่ ๓ เป็นอริยะ เป็นโลกุตระ ไม่
ทั่วไปกับพวกปุถุชน อันอริยสาวกนั้นบรรลุแล้ว.

             [๕๔๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง อริยสาวกย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า บุคคลผู้ถึง
พร้อมด้วยทิฏฐิ ประกอบด้วยธรรมดาเช่นใด ถึงเราก็ประกอบด้วยธรรมดาเช่นนั้น. ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย ก็บุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ ประกอบด้วยธรรมดาอย่างไร ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมดา
นี้ของบุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ คือ ความออกจากอาบัติเช่นใด ย่อมปรากฏ อริยสาวกย่อม
ต้องอาบัติเช่นนั้นบ้างโดยแท้ ถึงอย่างนั้น อริยสาวกนั้นรีบแสดง เปิดเผย ทำให้ตื้น ซึ่งอาบัติ
นั้น ในสำนักพระศาสดาหรือเพื่อนสพรหมจารีที่เป็นวิญญูชนทั้งหลาย ครั้นแสดงเปิดเผย ทำให้
ตื้นแล้ว ก็ถึงความสำรวมต่อไป. เปรียบเหมือนกุมารที่อ่อนนอนหงาย ถูกถ่านไฟ ด้วยมือหรือ
ด้วยเท้าเข้าแล้ว ก็ชักหนีเร็วพลัน ฉะนั้น. อริยสาวกนั้น ย่อมรู้ชัดอย่างนี้ว่า บุคคลผู้ถึงพร้อม
ด้วยทิฏฐิ ประกอบด้วยธรรมดา เช่นใด ถึงเราก็ประกอบด้วยธรรมดาเช่นนั้น. นี้ญาณที่ ๔ เป็น
อริยะ เป็นโลกุตระ ไม่ทั่วไปกับพวกปุถุชน อันอริยสาวกนั้นบรรลุแล้ว.

             [๕๔๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง อริยสาวกย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า บุคคลผู้ถึง
พร้อมด้วยทิฏฐิ ประกอบด้วยธรรมดาเช่นใด ถึงเราก็ประกอบด้วยธรรมดาเช่นนั้น. ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย ก็บุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ ประกอบด้วยธรรมดาอย่างไร ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมดา
นี้ของบุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ คือ อริยสาวกถึงความขวนขวายในกิจใหญ่น้อยที่ควรทำอย่างไร
ของเพื่อนสพรหมจารีโดยแท้ ถึงอย่างนั้น ความเพ่งเล็งกล้าในอธิศีลสิกขา อธิจิตตสิกขา และ
อธิปัญญาสิกขา ของอริยสาวกนั้นก็มีอยู่ เปรียบเหมือนแม่โคลูกอ่อน ย่อมเล็มหญ้ากินด้วย
ชำเลืองดูลูกด้วยฉะนั้น. อริยสาวกนั้น ย่อมรู้ชัดอยู่อย่างนี้ว่า บุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ ประกอบ
ด้วยธรรมดาเช่นใด ถึงเราก็ประกอบด้วยธรรมดาเช่นนั้น. นี้ญาณที่ ๕ เป็นอริยะ เป็นโลกุตระ
ไม่ทั่วไปกับพวกปุถุชน อันอริยสาวกนั้นบรรลุแล้ว.

             [๕๔๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง อริยสาวกย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า บุคคลผู้ถึง
พร้อมด้วยทิฏฐิ ประกอบด้วยพละเช่นใด ถึงเราก็ประกอบด้วยพละเช่นนั้น. ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ก็บุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ ประกอบด้วยพละอย่างไร ดูกรภิกษุทั้งหลาย พละนี้ของบุคคลผู้ถึง
พร้อมด้วยทิฏฐิ คือ อริยสาวกนั้น เมื่อธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้ว อันบัณฑิตแสดงอยู่
ทำให้มีประโยชน์ทำไว้ในใจ กำหนดด้วยจิตทั้งปวง เงี่ยโสตฟังธรรม. อริยสาวกนั้นรู้ชัดอย่างนี้
ว่าบุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ ประกอบด้วยพละเช่นใด ถึงเราก็ประกอบด้วยพละเช่นนั้น. นี้ญาณ
ที่ ๖ เป็นอริยะ เป็นโลกุตระ ไม่ทั่วไปกับพวกปุถุชน อันอริยสาวกนั้นบรรลุแล้ว.

             [๕๔๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง อริยสาวกย่อมพิจารณาเห็น ดังนี้ว่า บุคคล
ผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ ประกอบด้วยพละเช่นใด ถึงเราก็ประกอบด้วยพละเช่นนั้น. ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย ก็บุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ ประกอบด้วยพละอย่างไร ดูกรภิกษุทั้งหลาย พละนี้ของ
บุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ คือ อริยสาวกนั้น เมื่อธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้ว อันบัณฑิต
แสดงอยู่ ย่อมได้ความรู้อรรถ ย่อมได้ความรู้ธรรม ย่อมได้ปราโมทย์อันประกอบด้วยธรรม.
อริยสาวกนั้นรู้ชัดอย่างนี้ว่า บุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ ประกอบด้วยพละเช่นใด ถึงเราก็ประกอบ
ด้วยพละเช่นนั้น. นี้ญาณที่ ๗ เป็นอริยะ เป็นโลกุตระ ไม่ทั่วไปกับพวกปุถุชน อันอริยสาวกนั้น
บรรลุแล้ว.

             [๕๕๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมดาอันอริยสาวกผู้ประกอบด้วยองค์ ๗ ประการอย่างนี้
ตรวจดูดีแล้ว ด้วยการทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล. ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้ประกอบด้วย
องค์ ๗ ประการนี้แล ย่อมเป็นผู้เพรียบพร้อมด้วยโสดาปัตติผล ฉะนี้แล.
             พระผู้มีพระภาค ได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้แล้ว ภิกษุเหล่านั้น ชื่นชมยินดี พระภาษิต
ของพระผู้มีพระภาค ฉะนี้แล.


จบ โกสัมพิยสูตรที่ ๘
-----------------------------------------------------
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #9947 เมื่อ: 24 สิงหาคม 2556, 11:32:18 »




                      หวังว่าผู้มีปัญญา อย่าง ดร.สุริยา  

                      คงจะเกิดปัญญา  จากข้อความในโกสัมพิยสูตร

                      เข้าใจได้  ได้เห็นธรรม  จะได้เอาไปเป็นประโยชน์กับตนเอง

                      อย่าลืม มันเป็น ปัจจัตตัง

                      สวัสดี
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #9948 เมื่อ: 24 สิงหาคม 2556, 18:00:06 »

พี่สิงห์


สมาคมจะเปลี่ยนแปลงตราสารให้ "อุปนายก เป็นรองนายกสมาคม" แล้วหรือ ??
หรือจะเอาแบบ เทศบาล อบจ. และ อบต. ที่เห็นกันอยู่ในปัจจุบัน!!
ปกติผู้ดำรงตำแหน่ง "นายกสมาคม" แล้ว จะไม่ลดชั้นกลับไปเป็น"อุปนายก หรือรองนายก" อีกแล้ว
และที่ผ่านมา ประธานชมรมฯ หรือ นายกสมาคม จะเลือก RCU ในวัยประมาณ 50 กลางๆ เพื่อความกระฉับกระเฉง
หรือ การเลือก"พี่ปรีดา รวมเมฆ" เป็น "นายกสมาคม" ก็ด้วยภาระกิจ 100 ล้านบาทในการช่วยสร้างหอหลังใหม่ ??
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #9949 เมื่อ: 24 สิงหาคม 2556, 18:08:30 »

ตามที่ผมติดตามการบริจาคเงินให้จุฬาฯ ในโครงการรินน้ำใจฯ
หากสามารถติดตาม RCU ได้รุ่นละเพียง 50 คน ก็จะได้เครือข่ายในรุ่นนั้นเพิ่มขึ้น
และน่าจะได้เงินบริจาคมากขึ้น รุ่นที่แข็งแกร่ง อาทิ 2521, 2524 แสดงพลังให้ดูแล้ว
รุ่นของผม 2516 ดูอ่อนด้อยไปเลย รวมตัวได้ยังไม่ถึง 30 คนเลยครับ (Update ล่าสุด 22 คน)
จากที่เคยรวมตัวได้เกือบ 50 คนในคราวที่"วัฒนา-หมอเสียด" จะขึ้นเป็นประธานชมรมฯ รุ่นสุดท้าย

กรณีนี้ขอวิพากษ์ด้วยความเคารพต่อพี่ปรีดา รวมเมฆ วศ. 2506 พี่ที่สารพัดดีของชาวหอและชาวนครปฐม
เพียงแต่มองว่า ชุดหาทุนในโครงการรินน้ำใจฯ ไม่เข้มแข็งเท่าที่ควร ??
      บันทึกการเข้า
  หน้า: 1 ... 396 397 [398] 399 400 ... 681   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

ทำไมหอพักนิสิตจุฬาจึงเป็นดินแดนมหัศจรรย์            " ไม่ได้เป็นแค่หอให้นอนพัก  แต่เป็นบ้านอบอุ่นรักให้อาศัย  ไม่เป็นแค่ที่ซุกหัวยามหลบภัย  แต่สร้างใจให้เข้มแข็งแกร่งการงาน"  <))))><