23 พฤศจิกายน 2567, 09:03:52
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 353 354 [355] 356 357 ... 681   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: คุย กับ คุณมานพ กลับดี อดีตประธานชมรม ๓ สมัย  (อ่าน 3554618 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 27 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #8850 เมื่อ: 18 เมษายน 2556, 20:35:51 »


สวัสดียามค่ำครับ ชาวซีมะโด่งและแขกผู้มาเยือน ที่รักทุกท่าน

                       วันนี้ได้มีโอกาสพบปะกับคุณน้อง Tippy ที่ห้องอาหารของโรงแรมทวินโลตัส ได้รับฟังเรื่องราวการเจ็บไข้ได้ป่วยของ คุณพ่อ  ของคุณ Tippy ที่ได้มาดูแลตั้งแต่เดือนกันยายน  ทั้งวันทั้งคืน ไม่ได้หลับได้นอน เพราะต้องทำทุกอย่าง ครบเครื่องจริง ๆ หาคนปฏิบัติได้ยาก เพราะคุณพ่อ ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เลยในทุกเรื่อง ไลาตั้งแต่ ทำอาหารเหลว  ให้อาหารทางสายยาง อาบน้ำ  โกนหนวด  ทำกายภาพบำบัด ล้วงอุจจาระ  ปัสสาวะ  ทำแผลกดทับ ....... อีกมากๆ ที่หาคนทำได้ยาก  แม้แต่พยาบาลก็ยังทำไม่ได้

                        และตอนที่คุณพ่อ อยู่ห้องคนไข้รวม เป็นเดือน ๆ คุณน้อง Tippy บอกว่าเห็นคนตายไปต่อหน้าต่อตา  ไม่รู้กี่ราย  จนชินไปเลย ได้เห็นชีวิตที่จากไป  เป็นไปตามกฏแห่งกรรม จริง ๆ

                        ผมเลยถือโอกาสแนะนำให้พยายามดูจิตตนเอง  ตามหาจิตตนเองให้พบตลอดเวลา เพราะมีเวลาทั้งวัน และได้พยาบาลคุณพ่อด้วย  ตัวชี้วัดคือ  การไม่ปรุงแต่งนอกกายของเรา  จะได้ประโยชน์อย่างยิ่ง

                        และถ้าอยากเปลี่ยนบรรยากาศ  พี่สิงห์ ก็มานครศรีธรรมราชทุกอาทิตย์  สามารถมาระบายให้ฟังได้ทุกเรื่อง  จะได้ไม่จำเจอยู่กับบ้าน  จะได้มีจิตที่เป็นกุศล  ดูแลคุณพ่อ  ได้อีกตลอดไป

                        ผมได้เรียนให้ทราบว่า คุณเหยง  คุณน้องหนุ๋งหนิ๋ง  ฝากความระลึกถึงและเป็นห่วงมาให้ทราบด้วย

                         ค่ำนี้ ราตรีสวัสดิ์ทุกท่านครับ

                       
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #8851 เมื่อ: 18 เมษายน 2556, 22:32:05 »

พี่สิงห์

ขอบคุณครับ

ขอให้กำลังใจทิปปี้ ในการดูแลคุณพ่อ และติดตามข่าวต่อไปครับ
      บันทึกการเข้า
Thippy
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 377

« ตอบ #8852 เมื่อ: 18 เมษายน 2556, 23:21:46 »


กราบขอบพระคุณพี่สิงห์มากๆค่ะ ที่กรุณาเลี้ยงอาหารเย็น และให้คำแนะนำ รวมทั้งข้อคิดหลายๆ อย่าง

ทำให้น้องสาวรู้สึกมีกำลังใจ และมีความสุขมากๆ เลยค่ะ และกราบขอบพระคุณพี่เหยง,ขอบคุณน้องหนุงหนิง

และพี่ๆน้องๆ เพื่อนๆทุกๆคน ที่ห่วงใย และให้กำลังใจเสมอมาค่ะ 

      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #8853 เมื่อ: 19 เมษายน 2556, 07:03:27 »

 
                          เชิญทุกท่านรับประทานอาหารเช้ากับพี่สิงห์ ครับ

                          สวัสดี


สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่งและแขกผู้มาเยี่ยมเยือน ที่รักทุกท่าน

                           เช้านี้อากาศที่นครศรีธรรมราชดี  แดดแรง เห็นพระอาทิตย์สีแดงเต็มดวงที่ขอบฟ้าตะวันออก เพราะไม่มีเมฆบัง  เหมาะแก่การออกกำลังกายยามเช้าเพราะว่าจะได้รับแสงแดดวิตามินดี ตรง ๆ ก่อนเจ็ดโมงเช้า แต่ร้อนเหงื่อออกมาก

                           วันนี้เพล(10:30-12:00 น.) ดร.สุริยา จะทำบุญเนื่องในประเพณีสงกรานต์ให้กับบรรพบุรุษ คือคุณพ่อ-คุณแม่  ที่วัดทัพทัน  อุทัยธานี  ใครที่สามารถไปได้ ก็เรียนเชิญ 

                            แต่สำหรับผมนั้น  ต้องมาทำรายการคำนวณคานสะพาน เสนอให้กรมทางหลวงอนุมัติ เพราะหล่อไปแล้ว  ติดสงกรานต์ และผมทำไม่ทัน เลยต้องมานครศรีธรรมราชเพื่อจัดการให้เขาก่อน  เอาไว้ปีหน้าขอให้ ดร.สุริยา ทำบุญวันอาทิตย์  อย่าทำวันศุกร์หรือเสาร์เลย มันไม่สมควร เพราะผมไปไม่ได้  จริงอยู่วันอาทิตย์พระติดนิมนต์  แต่ถ้าเรานิมนต์เอาไว้เนิ่น ๆ มันก็ได้เหมือนกัน

                            เมื่อวานที่สนามบินดอนเมือง คนแน่นมาก แสดงว่าคนท่องเที่ยวสงกรานต์กันมากโดยเฉพาะชาวต่างชาติแยะมาก  เป็นนิมิตที่ดี

                            หมู่นี้รู้สึกว่าตัวเอง  จะฝันมากขึ้น คือจิตมันชอบคิด เพราะเผลอตัวลืมตนมากไปหน่อย เลยรู้ไม่ทันที  แต่ก็รู้ตัว ไม่ปล่อยให้มันคิดโดยไม่ตั้งใจคิด และพยายามไม่ให้มันฝันโดยที่เราไม่รู้ตัว  ต้องให้เท่าทันกัน  อาจจะเป็นเพราะเกี่ยวข้องกับคนมาก เลยมีเรื่องต้องคิด  จิตมันเลยติดลม เพราะมันชอบคิด

                            คงจะต้องกลับมาอยู่ในสภาพเดิมให้มากขึ้น คือภาวนาให้มาก ๆ เป็นการพักจิต  ไม่ให้คิด

                            สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #8854 เมื่อ: 19 เมษายน 2556, 07:54:03 »

อ้างถึง
ข้อความของ Thippy เมื่อ 18 เมษายน 2556, 23:21:46

กราบขอบพระคุณพี่สิงห์มากๆค่ะ ที่กรุณาเลี้ยงอาหารเย็น และให้คำแนะนำ รวมทั้งข้อคิดหลายๆ อย่าง

ทำให้น้องสาวรู้สึกมีกำลังใจ และมีความสุขมากๆ เลยค่ะ และกราบขอบพระคุณพี่เหยง,ขอบคุณน้องหนุงหนิง

และพี่ๆน้องๆ เพื่อนๆทุกๆคน ที่ห่วงใย และให้กำลังใจเสมอมาค่ะ 



สวัสดีค่ะ คุณน้อง Tippy ที่รัก

                       รูปที่เธอส่ง mail มาให้ ไม่ได้รับ เธอต้องส่งมาที่ singhamanop@gmail.com ครับ

                       สวัสดี
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #8855 เมื่อ: 19 เมษายน 2556, 08:44:34 »

อ้างถึง
ข้อความของ Thippy เมื่อ 18 เมษายน 2556, 23:21:46

กราบขอบพระคุณพี่สิงห์มากๆค่ะ ที่กรุณาเลี้ยงอาหารเย็น และให้คำแนะนำ รวมทั้งข้อคิดหลายๆ อย่าง

ทำให้น้องสาวรู้สึกมีกำลังใจ และมีความสุขมากๆ เลยค่ะ และกราบขอบพระคุณพี่เหยง,ขอบคุณน้องหนุงหนิง

และพี่ๆน้องๆ เพื่อนๆทุกๆคน ที่ห่วงใย และให้กำลังใจเสมอมาค่ะ 



เข้ามาบ่อยๆ น่ะ
เชื่อว่าหลายๆ คนติดตามข่าวและเอาใจช่วยน้องอยู่
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #8856 เมื่อ: 19 เมษายน 2556, 13:49:13 »


                        คุณน้องส่งภาพนี้มาให้ได้พิจารณากัน ในความเป็นจริง

                        คุณน้อง Tippy สามารถดูแลทำ ได้ทุกอย่างเพื่อคุณพ่อ คือ อาบน้ำ ปัสสาวะ(โดยใช้ถุงพลาสติกไปรองรับ) อุจจาระ(ไม่ใช้แพมพัส ต้องใช้นิ้วมือไปล้วงออกเพราะถ่ายเองไม่ได้) ดูดสะเลดที่คอ ทำอาหารเหลว ล้างแผลกดทับ  อาบน้ำ  พลิกทุกสองชั่วโมง  พยุงให้นั่ง  พูดคุย  รับคำดุว่าจากพ่อ

                         ให้ถามตัวท่านเองว่า ถ้าท่านต้องล้มป่วยแบบนี้  ท่านมีเงินมากไหม? ท่านมีลูกที่สามารถทำทุกอย่างเพื่อท่านแบบคุณน้อง Tippy ไหม? เพราะพยาบาลเขาไม่ทำให้ท่าน  ถ้าคำตอบว่าไม่มี  ท่านต้องดูแลตนเองเรื่องการกิน  การออกกำลังกาย  ทำจิตให้ผ่องใส  ปล่อยวาง  ถ้าท่านทำได้  ท่านก็จะสบายใจ เพราะท่านจะห่างไกลโรคเรื้องรัง

                         แต่ถ้าท่านทำไม่ได้  ผลคือ ท่านก็ทุกข์ ลูกขอท่านก็ทุกข์ ท่านจะตายในระยะเวลาอันสั้น และทรมารทั้งกาย และใจก่อนตาย

                         นี่คือ ความเป็นจริงที่รอท่านอยู่  ถ้าท่านยังอยู่ในความประมาท

                         สวัสดี
      บันทึกการเข้า
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #8857 เมื่อ: 19 เมษายน 2556, 19:37:05 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 18 เมษายน 2556, 18:50:10
สวัสดีค่ะ คุณน้องหนุ๋งหนิ๋ง ที่รัก

                    ขอชมว่าวันนี้เธอเขียนเรื่องราวได้ดีมาก ๆ มันก็เป็นจริงตามที่เธอเขียนนั่นแหละชีวิตมนุษย์และครอบครัว

                    อีกสักครู่เจอคุณน้อง Tippy จะบอกให้ทราบว่าเธอระลึกถึง  จริง ๆ แล้วคุณน้อง Tippy เธอก็เข้ามาอ่านนกระทู้นี้  แต่ด้วยความเกรงใจ  จึงไม่ได้เขียนอะไร  ลงไปเลย

                    พี่สิงห์  ชวนคุณน้อง Tippy มากินข้าว  โดยมีพี่สิงห์  นั่งดู  เพื่อให้เธอได้ผ่อนคลาย  ห่างบ้านบ้าง  เพราะดูแลคุณพ่อ มาตั้งหลายเดือนแล้ว  ไปไหนไม่ได้เลย  ด้วนอานิสสงค์นี่ละ คุณพ่อเธอเลย  ยังมีชีวิตต่อเพื่อให้ลูก ได้ดูแลกันต่อไปในช่วงบั่นปลายของชีวิต

                    พี่สิงห์  ไม่รู้คิดผิด  คิดถูก  ที่มีงานทำเพิ่ม อีกที่หนึ่งในวันพุธ  เลยทำให้มีอะไรต้องคิดมาก  เพราะเขาปราถนาเราจริง ๆ  ก็จะพยายามทำเท่าที่จะทำได้ เพื่อการมีชีวิตของเราต่อไปจนกว่าจะตายจากโลกนี้ไป

                     ชีวิตพี่สิงห์  ก็มีแต่ครู อาจารย์ และผู้มีพระคุณ  ที่เอื้ออารีย์เรามา  ถึงเวลาที่เราต้องดูแลท่านบ้าง  ตามโอกาส  เพราะท่านก็เหงา  ท่านจะดีใจเมื่อเห็นลูกศิษย์ที่ท่านเคยเมตตา มากราบท่าน  ในยามที่ท่านอายุมาก ๆ และพี่สิงห์ ก็เป็นลูกศิษย์ที่ท่านภูมิใจ  เพราะเข้าวิศวฯ จุฬาฯ ได้  เป็นบุคคลในหอเกียรติยศของโรงเรียนอินทร์บุรี

                     พี่สิงห์ ต้องกระทำ  ตามที่เราจะสามารถทำได้  ถือว่าเป็นหน้าที่ค่ะ

                     ได้เวลาไปพบคุณน้อง Tippy แล้วครับ

                     สวัสดี



พี่สิงห์ที่เคารพ ขา,
ก็เขียนจากสิ่งใกล้ตัวนี่แหละคะพี่ท่าน.
คู่ชีวิตหนิงก็มีอายุมากกว่า12-13ปี..
แวดล้อมของเค้าจึงเป็นคนในวัยเกษียณ
วัยหยุดทำงาน แปลกนะคะพี่,พอกลับมาอยู่บ้านนี่
หลายคนมีปัญหาอยู่ไม่ร่มไม่รื่นกะภรรยาซะแล้ว!!
เพราะอะไร??ตอนทำงานเจอะเจอใช้ชีวิตร่วมกัน
ไม่เท่ากับตอนอยู่บ้าน ภรรยาคะที่จะรู้สึกว่าจู่ๆ
สามีที่ไปทำงานทุกวัน อยู่บ้านทุกวัน...ต้องปรับตัว
อย่างมากค่ะ ไม่งั้นจะอึดอัดในบ้านของตัวเอง..
ฝรั่งเค้ามีงานอดิเรกค่ะ มี/รักษากลุ่มเพื่อน ออกกำลังกาย
มีอะไรให้ทำ ที่มีความสุข ปล่อยวางก็มาก ที่ต้องปรับตัว
กะคู่ครองใหม่ก็มีคะ สำคัญที่...สุขภาพค่ะ สุขภาพดีทำอะไร
ได้มากกว่าคล่องกว่า

เมื่อวานหนิงไปว่ายน้ำลงสระsportlerกะหญิง4 ชาย1
วัย60-70 upกันทั้งนั้นคะพี่ แต่vitalมีพลานมัยดีมากๆ
ดูอ่อนกว่าวัย ผ่องใส คนสูงอายุที่ได้ออกกำลังคะพี่ท่าน
เคล็ดง่ายๆที่ไม่ทุกคนจะมีโอกาสทำได้.

หนิงเห็นใจทุกคนที่ต้องดูแลสมาชิกในครอบครัวที่ป่วยเจ็บ
เป็นภาระ/เป็นหน้าที่ ที่ต้องใช้พลังกาย พลังจิตมากมาย
ทุกคนมักพุ่งความสนใจไปที่คนป่วยคนเจ็บ..น้อยคนจะเพ่งมอง
ไปที่ญาติพี่น้องใกล้ชิดที่ดูแล...บุคคลเหล่านี้เป็นผู้ประกอบ
กรรมดีที่ไม่มีใครเอ่ยถึง เค้าๆต้องรับความกดดันสองต่อคะพี่
ต่อหนึ่งคือความวิตกกังวลอยากให้ผู้ที่เค้าดูแลหายเจ็บ สบายกาย
อีกต่อหนึ่งคือความเหนื่อยกายที่ไม่สามารถผลักดันภาระนี้ได้
จะด้วยความเป็นห่วง ใส่ใจ รึจะด้วยข้อปลีกย่อยอื่นๆ การดูแลคนเจ็บ
นี่เครียดค่ะ ต้องมีอะไรให้ได้ผ่อนคลาย

พี่สิงห์ช่างเข้าใจ!
ได้พบป่ะ พูดคุยกับพี่ทิ้ปปี้..
พี่สิงห์ได้ความดีสองต่อนะคะนี่.
      บันทึกการเข้า


khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #8858 เมื่อ: 19 เมษายน 2556, 19:52:23 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 18 เมษายน 2556, 20:34:48

                     เดี๋ยวนี้ คุณน้องTippy ทำหน้าที่ของลูกดูแลคุณพ่อ อย่างดี

                     ทำทุกอย่างให้พ่อ  ดีกว่าพยาบาลอีก  นับว่าเป็นกุศล ของผู้เป็นพ่อ

                     ขอสรรเสริญเพราะไม่ใช่เรื่องง่ายเลย จริง

                     สวัสดี


พี่สิงห์,
พี่ทิ้ปปี้ทำดีคะ เป็นตัวอย่างที่ดี
ในอนาคต เวลาพี่เค้าเจ็บไข้ไม่สบาย
ลูกๆพี่ทิ้ปปี้ก็จะปฏิบัติแบบเดียวกันคะ
วันนี้พี่เค้าได้ปฏิบัติเป็นตัวอย่าง
ที่ไม่เห็นแกเหน็ดแก่เหนื่อย ไม่เห็นแก่ตัวเอง
...
พี่ทิ้ปปี้ซูบลงเยอะคะ!
      บันทึกการเข้า


khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #8859 เมื่อ: 19 เมษายน 2556, 20:01:50 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 18 เมษายน 2556, 20:35:51

สวัสดียามค่ำครับ ชาวซีมะโด่งและแขกผู้มาเยือน ที่รักทุกท่าน

                       วันนี้ได้มีโอกาสพบปะกับคุณน้อง Tippy ที่ห้องอาหารของโรงแรมทวินโลตัส ได้รับฟังเรื่องราวการเจ็บไข้ได้ป่วยของ คุณพ่อ  ของคุณ Tippy ที่ได้มาดูแลตั้งแต่เดือนกันยายน  ทั้งวันทั้งคืน ไม่ได้หลับได้นอน เพราะต้องทำทุกอย่าง ครบเครื่องจริง ๆ หาคนปฏิบัติได้ยาก เพราะคุณพ่อ ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เลยในทุกเรื่อง ไลาตั้งแต่ ทำอาหารเหลว  ให้อาหารทางสายยาง อาบน้ำ  โกนหนวด  ทำกายภาพบำบัด ล้วงอุจจาระ  ปัสสาวะ  ทำแผลกดทับ ....... อีกมากๆ ที่หาคนทำได้ยาก  แม้แต่พยาบาลก็ยังทำไม่ได้

                        และตอนที่คุณพ่อ อยู่ห้องคนไข้รวม เป็นเดือน ๆ คุณน้อง Tippy บอกว่าเห็นคนตายไปต่อหน้าต่อตา  ไม่รู้กี่ราย  จนชินไปเลย ได้เห็นชีวิตที่จากไป  เป็นไปตามกฏแห่งกรรม จริง ๆ

                        ผมเลยถือโอกาสแนะนำให้พยายามดูจิตตนเอง  ตามหาจิตตนเองให้พบตลอดเวลา เพราะมีเวลาทั้งวัน และได้พยาบาลคุณพ่อด้วย  ตัวชี้วัดคือ  การไม่ปรุงแต่งนอกกายของเรา  จะได้ประโยชน์อย่างยิ่ง

                        และถ้าอยากเปลี่ยนบรรยากาศ  พี่สิงห์ ก็มานครศรีธรรมราชทุกอาทิตย์  สามารถมาระบายให้ฟังได้ทุกเรื่อง  จะได้ไม่จำเจอยู่กับบ้าน  จะได้มีจิตที่เป็นกุศล  ดูแลคุณพ่อ  ได้อีกตลอดไป

                        ผมได้เรียนให้ทราบว่า คุณเหยง  คุณน้องหนุ๋งหนิ๋ง  ฝากความระลึกถึงและเป็นห่วงมาให้ทราบด้วย

                         ค่ำนี้ ราตรีสวัสดิ์ทุกท่านครับ

                       


พี่สิงห์,
โห,พี่ทิปปี้พยาบาลตลอดเลยเหรอพี่ ตั้งกี่เดือนแล้วนี่?
อ่านแล้ว นึกถึงคุณแม่พี่สิงห์ช่วงนึงก่อนไปโรงพยาบาล
มีลูก/หลานดูแลเอง ช่วงนั้นพี่สิงห์ไปเยี่ยมคุณแม่พี่บ่อย
เล่าละเอียด หนิงอ่านเหมือนไปยืนข้างๆเตียงเลยค่ะ
แต่เรื่องขับถ่าย ผู้ป่วยนี่ เป็นงานที่ไม่ใช่ทุกคนจะทำได้
หรือกล้าทำ!! ภาพ/กลิ่น เราอ่านอย่างเดียว ใช่จะนึกไปถึง.
ต้องยกนิ้วให้พี่เค้าคะ เยี่ยมยอดไปเลย.
      บันทึกการเข้า


khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #8860 เมื่อ: 19 เมษายน 2556, 20:28:32 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 19 เมษายน 2556, 07:03:27

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่งและแขกผู้มาเยี่ยมเยือน ที่รักทุกท่าน

                             หมู่นี้รู้สึกว่าตัวเอง  จะฝันมากขึ้น คือจิตมันชอบคิด เพราะเผลอตัวลืมตนมากไปหน่อย เลยรู้ไม่ทันที  แต่ก็รู้ตัว ไม่ปล่อยให้มันคิดโดยไม่ตั้งใจคิด และพยายามไม่ให้มันฝันโดยที่เราไม่รู้ตัว  ต้องให้เท่าทันกัน  อาจจะเป็นเพราะเกี่ยวข้องกับคนมาก เลยมีเรื่องต้องคิด  จิตมันเลยติดลม เพราะมันชอบคิด

                            คงจะต้องกลับมาอยู่ในสภาพเดิมให้มากขึ้น คือภาวนาให้มาก ๆ เป็นการพักจิต  ไม่ให้คิด

                            สวัสดี


พี่สิงห์ขา,
เป็นนิมิตหมายอันดีนะคะนี่ ที่พี่สิงห์ฝัน!
ฝันคือการจัดเรียงเรื่องราวที่ผ่านมาในชีวิตประจำวัน
ให้เป็นระเบียบเรียบร้อยเพื่อเก็บ speichernเข้าสู่ศูนย์
ข้อมูลความทรงจำในส่วนลึก!
เอ,หนิงชักสงสัยอีกแล้วว่าปกติพี่ไม่ฝันเหรอคะ??
รึฝันแล้วพี่จำไม่ได้เอง??
หนิงฝันทุกวันค่ะ...ผาดโผนมากก็จะจำได้ เช่นว่าเดินลงน้ำ
มีแผ่นไม้มารองรับใต้เท้า จรเข้ยักษ์มาคาบคนอื่นไปกิน
น้ำเป็นเลือด แต่ทำไมเราเดินข้ามถึงฝั่ง...ไม่รุ
หรือวิ่งหนีผีทะเล จวนตัวไหงหนุงหนิงติดปีกบินได้....เฉย!
วันก่อน พิลึกจริง แม้เรื่องฝัน...ฝันว่าเดินในป่า มีงูยักษ์แอบมอง
แลบลิ้นแผล็บๆ งูสบตาshe sheสบตากลับ งูหลบแระกันคะคิดดู
เดินไปอีก มีอีก ป่าบ้าอะไรไม่รุคะพี่ท่าน งูเยอะแยะ ตัวนี้เลื้อย
ผ่านต่อหน้าต่อตา ว๊ายยย งูพิเรน หางพันผ้าก็อตพันแผลค่ะ!!
เหมือนลูกตุ้มไดโนเสาร์น่ะพี่ เลื้อยลากผ้าพัน

พี่เห็นมั้ย,ฝันนี่ดีคะ...creative!
สงสัยอยู่คะว่าข้อมูลอะไรเหรอ
ถึงได้เป็นเรื่องเป็นราวพิสดารจริงแท้.
      บันทึกการเข้า


Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #8861 เมื่อ: 19 เมษายน 2556, 20:39:38 »

สวัสดีค่ะ คุณน้องหนุ๋งหนิ๋ง ที่รัก

                     คุณน้อง Tippy เขามาดูแลคุณพ่อเขาตั้งแต่เดือนกันยายน เป็นต้นมา จากที่ทำอะไรไม่เป็น จนตอนนี้ทำได้ทุกอย่างที่คนทั่วไปทำไม่ได้เด็ดขาดแม้กระทั้งพี่สิงห์ ครับ

                     ถ้าไม่ทำพ่อก็ต้องจากไปเร็ว  ผมถึงบอกให้ทุกท่านได้ตระหนัก  อย่าประมาทเด็ดขาด ภัยมาไม่ถึง ไม่รู้ตัวเอง  แต่เมื่อภัยมาถึงมันก็สายเสียแล้ว  ทำอะไรไม่ได้  ต้องทนรับทุกข์ที่เกิดขึ้นให้ได้  ใครทำไม่ได้มีแต่ทุกข์ ๆๆๆ ไปทั้งสิ้นครับ

                     พี่สิงห์ ก็ได้แต่เตือนให้ กินอาหารให้เป็นยา  ออกกำลังกายวันละหนึ่งชั่วโมง  นอนหัวค่ำ และมีสติที่กาย เวทนา  จิตและคิดในธรรม ครับ  แต่มันทำยากเพราะจิตมันไม่ชอบ  จิตมันชอบสบายไม่มีใครมาบังคับ ครับ

                     วันนี้ขณะออกกำลังกายตอนเย็นเห็นพระจันทร์เต็มครึ่งดวงแสดงวันเป็นวันพระ ขอเวลาสวดมนต์ทำวันเย็นและสวดพระสูตรที่สำคัญเป็นการทบทวนตัวเองให้จิตมันได้พิจารณาครับ

                      ราตรีสวัสดิ์ทุกท่านครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #8862 เมื่อ: 19 เมษายน 2556, 21:16:46 »

จูฬยมกวรรค

๑. สาเลยยกสูตร

ทรงโปรดชาวบ้านสาละ


             [๔๘๓] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้:-
             สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเสด็จจาริกไปในโกศลชนบทกับด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ ลุถึง
พราหมณคามชื่อสาละของชาวโกศล.
             พราหมณ์และคฤหบดีชาวบ้านสาละได้สดับข่าวว่า ท่านพระสมณโคดมศากยบุตร เสด็จ
ออกจากศากยสกุล ทรงผนวชแล้ว เสด็จจาริกไปในโกศลชนบทกับด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ ลุถึง
พราหมณคามชื่อสาละ กิตติศัพท์อันงามของท่านพระโคดมพระองค์นั้นขจรไปแล้วอย่างนี้ว่า แม้
เพราะเหตุนี้ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชา
และจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึกไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดา
ของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกพระธรรม พระองค์ทรงทำโลกนี้
พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ให้แจ้งชัดด้วยพระปัญญาอันยิ่งของพระองค์แล้ว
ทรงสอนหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ให้รู้ตาม ทรงแสดงธรรมงามใน
เบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ทรงประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้ง
พยัญชนะบริสุทธิ์ บริบูรณ์สิ้นเชิง ก็การเห็นพระอรหันต์ทั้งหลายเห็นปานนั้น ย่อมเป็นการดี
ดังนี้.
             ครั้งนั้น พราหมณ์และคฤหบดีชาวบ้านสาละ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ
ครั้นแล้ว บางพวกถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาค บางพวกทูลปราศรัยกับพระผู้มีพระภาค บางพวก
ประนมมือต่อพระผู้มีพระภาค บางพวกประกาศชื่อและโคตรในสำนักของพระผู้มีพระภาค บางพวก
ก็นิ่งอยู่ แล้วพากันนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ อะไรเป็นเหตุ เป็นปัจจัย ให้สัตว์บางพวกในโลกนี้เข้าถึงอบาย
ทุคติ วินิบาตและนรก เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ อะไรเป็น
เหตุ เป็นปัจจัย ให้สัตว์บางพวกในโลกนี้ เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะ
กายแตก?
             พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย สัตว์บางพวกในโลกนี้ เข้า
ถึงอบาย ทุคติ วินิบาต และนรก เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก เพราะเหตุประพฤติไม่
เรียบร้อย คือ ไม่ประพฤติธรรม ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย สัตว์บางพวกในโลกนี้
เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก เพราะเหตุประพฤติเรียบร้อย คือ
ประพฤติธรรม.
             พราหมณ์และคฤหบดีเหล่านั้นทูลว่า พวกข้าพระองค์ไม่ทราบเนื้อความอย่างพิสดารแห่ง-
*ธรรม ที่พระโคดมตรัสโดยย่อ มิได้ทรงจำแนกความให้พิสดาร ขอพระโคดมผู้เจริญโปรดแสดง
ธรรมแก่พวกข้าพระองค์ โดยอาการที่พวกข้าพระองค์จะพึงรู้เนื้อความอย่างพิสดารแห่งธรรมที่
พระโคดมผู้เจริญตรัสโดยย่อมิได้ ทรงจำแนกความให้พิสดารเถิด.
             พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย ถ้าเช่นนั้นพวกท่านจงฟัง
จงทำไว้ในใจให้ดี เราจักกล่าว.
             พวกพราหมณ์และคฤหบดีชาวบ้านสาละทูลรับพระดำรัสพระผู้มีพระภาคแล้ว.
อกุศลกรรมบถ ๑๐
             [๔๘๔] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย ความประพฤติไม่
เรียบร้อย คือ ความไม่ประพฤติธรรม ทางกาย มี ๓ อย่าง ทางวาจามี ๔ อย่าง ทางใจมี
๓ อย่าง.
             ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย ความประพฤติไม่เรียบร้อย คือ ความไม่ประพฤติ-
*ธรรมทางกาย ๓ อย่าง เป็นไฉน? บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ฆ่าสัตว์ คือ เป็นคนเหี้ยมโหด
มีมือเปื้อนเลือด พอใจในการประหารและการฆ่าไม่มีความละอาย ไม่ถึงความเอ็นดูในสัตว์
ทั้งปวง.
             เป็นผู้ถือเอาทรัพย์ที่เขามิได้ให้ คือ ลักทรัพย์เป็นอุปกรณ์เครื่องปลื้มใจของบุคคลอื่น
ที่อยู่ในบ้าน หรือที่อยู่ในป่า ที่เจ้าของมิได้ให้ ซึ่งนับว่าเป็นขโมย.
             เป็นผู้ประพฤติผิดในกามทั้งหลาย คือ ถึงความสมสู่ในพวกหญิงที่มารดารักษา ที่บิดา
รักษา ที่มารดาและบิดารักษา ที่พี่ชายรักษา ที่พี่สาวรักษา ที่ญาติรักษา ที่มีสามี ที่อิสรชนหวง
ห้าม ที่สุดแม้หญิงที่เขาคล้องแล้วด้วยพวงมาลัย (หญิงที่เขาหมั้นไว้) ดูกรพราหมณ์และ
คฤหบดีทั้งหลาย ความประพฤติไม่เรียบร้อย คือ ความประพฤติธรรมทางกาย ๓ อย่าง เป็น
อย่างนี้แล.
             ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย ก็ความประพฤติไม่เรียบร้อย คือ ความไม่ประพฤติ
ธรรมทางวาจา ๔ อย่าง เป็นไฉน? บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้กล่าวเท็จคือ ไปในที่ประชุม
หรือไปในหมู่ชน หรือไปในท่ามกลางญาติ หรือไปในท่ามกลางขุนนาง หรือไปในท่ามกลาง
ราชสกุล หรือถูกนำไปเป็นพยาน ถูกถามว่า แน่ะบุรุษผู้เจริญ เชิญเถิด ท่านรู้เรื่องใด ก็จงบอก
เรื่องนั้น เขาเมื่อไม่รู้ก็บอกว่า รู้บ้าง เมื่อรู้บอกว่า ไม่รู้บ้าง เมื่อไม่เห็น ก็บอกว่าเห็นบ้าง
เมื่อเห็นก็บอกว่า ไม่เห็นบ้าง เป็นผู้กล่าวคำเท็จทั้งรู้อยู่ เพราะเหตุตนบ้าง เพราะเหตุผู้อื่นบ้าง
เพราะเหตุเห็นแก่สิ่งเล็กน้อยบ้าง.
             เป็นผู้ส่อเสียด คือ ได้ฟังข้างนี้แล้ว นำไปบอกข้างโน้น เพื่อทำลายพวกข้างนี้บ้าง
หรือฟังข้างโน้นแล้ว นำไปบอกข้างนี้ เพื่อทำลายพวกข้างโน้นบ้าง ยุพวกที่พร้อมเพรียงกันให้
แตกกันไปบ้าง ส่งเสริมพวกที่แตกกันบ้าง ส่งเสริมพวกที่แตกกันแล้วบ้าง ชอบใจในคนที่แตก
กันเป็นพวก ยินดีในความแตกกันเป็นพวก ชื่นชมในพวกที่แตกกัน และกล่าววาจาที่ทำให้แตก
กันเป็นพวก.
             เป็นผู้มีวาจาหยาบ คือ กล่าววาจาที่เป็นโทษหยาบ อันเผ็ดร้อนแก่ผู้อื่น อันขัดใจผู้อื่น
อันใกล้ต่อความโกรธ ไม่เป็นไปเพื่อความสงบจิต.
             เป็นผู้กล่าวคำเพ้อเจ้อ คือ พูดในเวลาไม่ควรพูด พูดเรื่องที่ไม่เป็นจริง พูดไม่เป็น
ประโยชน์ พูดไม่เป็นธรรม พูดไม่เป็นวินัย กล่าววาจาไม่มีหลักฐาน ไม่มีที่อ้าง ไม่มีที่สุด ไม่
ประกอบด้วยประโยชน์ โดยกาลไม่สมควร ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย ความประพฤติ
ไม่เรียบร้อย คือ ความไม่ประพฤติธรรมทางวาจา ๔ อย่างเป็นอย่างนี้แล.
             ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย ก็ความประพฤติไม่เรียบร้อย คือ ความไม่ประพฤติ
ธรรมทางใจ ๓ อย่าง เป็นไฉน? บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้มีความโลภมาก คือ เพ่งเล็ง
ทรัพย์อันเป็นอุปกรณ์เครื่องปลื้มใจของผู้อื่นว่า ขอของผู้อื่นพึงเป็นของเราเถิด ดังนี้.
             เป็นผู้มีจิตพยาบาท คือ มีความดำริในใจอันชั่วช้าว่า ขอสัตว์เหล่านี้จงถูกฆ่าบ้าง จงถูก
ทำลายบ้าง จงขาดสูญบ้าง อย่าได้มีแล้วบ้าง ดังนี้.
             เป็นผู้มีความเห็นผิด คือ มีความเห็นวิปริตว่า ผลแห่งทานที่ให้แล้วไม่มีผลแห่งการบูชา
ไม่มี ผลแห่งการเซ่นสรวงไม่มี ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำดีและทำชั่วไม่มี โลกนี้ไม่มี โลกหน้า
ไม่มี มารดาไม่มี บิดาไม่มี สัตว์ทั้งหลายที่เป็นอุปปาติกะไม่มี สมณะและพราหมณ์ทั้งหลาย
ผู้ดำเนินชอบ ปฏิบัติชอบ ผู้ทำโลกนี้และโลกหน้าให้แจ้งชัดด้วยปัญญาอันยิ่งเอง แล้วสั่งสอน
ให้ผู้อื่นรู้ไม่มีอยู่ในโลก ดังนี้ ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย ความประพฤติไม่เรียบร้อย คือ
ความไม่ประพฤติธรรมทางใจ ๓ อย่าง เป็นอย่างนี้แล.
             ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย สัตว์บางพวกในโลกนี้ เข้าถึงอบายทุคติ วินิบาต
และนรก เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก เพราะเหตุประพฤติไม่เรียบร้อย คือไม่ประพฤติธรรม
อย่างนี้แล.
กุศลกรรมบถ ๑๐
             [๔๘๕] ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย ความประพฤติเรียบร้อยคือความประพฤติ
ธรรมทางกายมี ๓ อย่าง ทางวาจามี ๔ อย่าง ทางใจมี ๓ อย่าง.
             ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย ก็ความประพฤติเรียบร้อย คือ ความประพฤติธรรม
ทางกาย ๓ อย่าง เป็นไฉน? บุคคลบางคนในโลกนี้ ละการฆ่าสัตว์เว้นขาดการฆ่าสัตว์ วางทัณฑะ
วางศาตราเสียแล้ว มีความละอาย มีความเอ็นดู มีกรุณาหวังประโยชน์เกื้อกูลแก่สัตว์
ทั้งปวงอยู่.
             ละการถือเอาทรัพย์ที่เขามิได้ให้ เว้นขาดจากการลักทรัพย์ ไม่ลักทรัพย์เป็นอุปกรณ์เครื่อง
ปลื้มใจของผู้อื่น ที่อยู่ในบ้าน หรือที่อยู่ในป่า ที่เจ้าของมิได้ให้ ซึ่งนับว่าเป็นขโมย.
             ละการประพฤติผิดในกามทั้งหลาย เว้นขาดจากการประพฤติผิดในกามทั้งหลาย คือ ไม่
ถึงความสมสู่ในพวกหญิง ที่มารดารักษา ที่บิดารักษา ที่มารดาและบิดารักษา ที่พี่ชายรักษา
ที่พี่สาวรักษา ที่ญาติรักษา ที่มีสามี ที่อิสรชนหวงห้าม ที่สุดหญิงที่เขาคล้องแล้วด้วยพวงมาลัย
ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย ความประพฤติเรียบร้อย คือ ความประพฤติธรรมทางกาย ๓
อย่าง เป็นอย่างนี้แล.
             ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย ก็ความประพฤติเรียบร้อย คือ ความประพฤติธรรม
ทางวาจา ๔ อย่าง เป็นไฉน? บุคคลบางคนในโลกนี้ ละการพูดเท็จ เว้นขาดจากการพูดเท็จ
ไปในทีประชุม หรือไปในหมู่ชน หรือไปในท่ามกลางญาติ หรือไปในท่ามกลางขุนนาง หรือไป
ในท่ามกลางราชสกุล หรือถูกนำไปเป็นพยาน ถูกถามว่า บุรุษผู้เจริญ เชิญเถิด ท่านรู้เรื่องใด
ก็จงบอกเรื่องนั้น เขาเมื่อไม่รู้ก็บอกว่า ไม่รู้ หรือเมื่อรู้ก็บอกว่า รู้ เมื่อไม่เห็นก็บอกว่า ไม่เห็น
หรือเมื่อเห็นก็บอกว่า เห็น ไม่กล่าวเท็จทั้งรู้อยู่ เพราะเหตุตนบ้าง เพราะเหตุผู้อื่นบ้าง เพราะ
เหตุเห็นแก่สิ่งของเล็กน้อยบ้าง.
             ละวาจาอันส่อเสียด เว้นขาดจากวาจาส่อเสียด คือได้ฟังข้างนี้แล้วไม่นำไปบอกข้างโน้น
เพื่อทำลายพวกข้างนี้ หรือได้ฟังข้างโน้นแล้ว ไม่นำมาบอกข้างนี้ เพื่อทำลายพวกข้างโน้น
สมานพวกที่แตกกันให้ดีกันบ้าง ส่งเสริมพวกที่ดีกันให้สนิทสนมบ้าง ชอบใจพวกที่พร้อมเพรียง
กัน ยินดีแล้วในพวกที่พร้อมเพรียงกัน ชื่นชมในพวกที่พร้อมเพรียงกัน และกล่าววาจาอันทำให้
พร้อมเพรียงกัน.
             ละวาจาหยาบ เว้นขาดจากวาจาหยาบ กล่าววาจาที่ไม่มีโทษ เพราะหูชวนให้รัก จับใจ
เป็นของชาวเมือง คนส่วนมากรักใคร่ ชอบใจ.
             ละการพูดเพ้อเจ้อ เว้นขาดจากการพูดเพ้อเจ้อ พูดในเวลาที่ควรพูดตามความจริง พูด
เรื่องที่เป็นประโยชน์ พูดเรื่องที่เป็นธรรม พูดเรื่องที่เป็นวินัยและกล่าววาจามีหลักฐาน มีที่อ้าง
ได้มีที่สุด ประกอบด้วยประโยชน์ โดยกาลอันควร ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย ความ
ประพฤติเรียบร้อย คือความประพฤติธรรมทางวาจา ๔ อย่าง เป็นอย่างนี้แล.
             ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย ก็ความประพฤติเรียบร้อย คือ ความประพฤติธรรม
ทางใจ ๓ อย่าง เป็นไฉน? บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ไม่มีความโลภมาก ไม่เพ่งเล็งทรัพย์
อันเป็นอุปกรณ์เครื่องปลื้มใจของผู้อื่นว่า ขอของผู้อื่นพึงเป็นของเราเถิด ดังนี้.
             เป็นผู้มีจิตไม่พยาบาท มีความดำริในใจไม่ชั่วช้าว่า ขอสัตว์เหล่านี้ จงเป็นผู้ไม่มีเวร
ไม่มีความเบียดเบียนกัน ไม่มีทุกข์ มีแต่สุข รักษาตนเถิด ดังนี้.
             เป็นผู้มีความเห็นชอบ คือมีความเห็นไม่วิปริตว่า ผลแห่งทานที่ให้แล้วมีอยู่ ผลแห่งการ
การบูชามีอยู่ ผลแห่งการเซ่นสรวงมีอยู่ ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำดีและทำชั่วมีอยู่ โลกนี้มีอยู่
โลกหน้ามีอยู่ มารดามีอยู่ บิดามีอยู่ สัตว์ทั้งหลายที่เป็นอุปปาติกะมีอยู่ สมณะและพราหมณ์
ทั้งหลาย ผู้ดำเนินชอบ ปฏิบัติชอบผู้ทำโลกนี้ และโลกหน้าให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้วสอน
ให้ผู้อื่นรู้ได้มีอยู่ในโลกนี้ ดังนี้ ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย ความประพฤติเรียบร้อย
คือความประพฤติธรรมทางใจ ๓ อย่าง เป็นอย่างนี้แล.
             ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลายบางพวกในโลกนี้ เข้าถึงสุคติโลก-
*สวรรค์ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก เพราะเหตุประพฤติเรียบร้อย คือ ประพฤติธรรม
อย่างนี้แล.
ว่าด้วยผลแห่งความประพฤติเรียบร้อย
             [๔๘๖] ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย ถ้าบุคคลผู้ประพฤติเรียบร้อย คือ ประพฤติ-
*ธรรมพึงหวังว่า โอหนอ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก เราพึงเข้าถึงความเป็นพวกกษัตริย์
มหาศาลเถิด ข้อนี้เป็นฐานะที่จะมีได้ คือ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก บุคคลนั้นพึงเข้าถึง
ความเป็นพวกกษัตริย์มหาศาล นั่นเป็นเพราะอะไร เพราะบุคคลนั้นเป็นผู้ประพฤติเรียบร้อย
คือ เป็นผู้ประพฤติธรรมอย่างนั้นแหละ.
             ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย ถ้าบุคคลผู้ประพฤติเรียบร้อย คือ ประพฤติธรรม
พึงหวังว่า โอหนอ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก เราพึงเข้าถึงความเป็นพวกพราหมณ์
มหาศาล ฯลฯ
             ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย ถ้าบุคคลผู้ประพฤติเรียบร้อย คือ ประพฤติธรรม
พึงหวัง เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก เราพึงเข้าถึงความเป็นพวกคฤหบดีมหาศาลเถิด ข้อนี้
เป็นฐานะที่จะมีได้ คือ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก บุคคลนั้นพึงเข้าถึงความเป็นพวกคฤหบดี
มหาศาล นั่นเป็นเพราะเหตุอะไร เพราะบุคคลนั้นเป็นผู้ประพฤติเรียบร้อย คือ เป็นผู้ประพฤติ
ธรรมอย่างนั้นแหละ.
             ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย ถ้าบุคคลผู้ประพฤติเรียบร้อย คือ ประพฤติธรรม
พึงหวังว่า เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก เราพึงเข้าถึงความเป็นพวกเทวดาชั้นจาตุมหาราชิกาเถิด
ข้อนี้เป็นฐานะที่จะมีได้ คือ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก บุคคลนั้นพึงเข้าถึงความเป็นพวก
เทวดาชั้นจาตุมหาราชิกา นั่นเป็นเพราะเหตุอะไร เพราะบุคคลนั้นเป็นผู้ประพฤติเรียบร้อย คือ
เป็นผู้ประพฤติธรรมอย่างนั้นแหละ.
             ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย ถ้าบุคคลผู้ประพฤติเรียบร้อย คือ ประพฤติธรรม
พึงหวังว่า เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก เราพึงเข้าถึงความเป็นพวกเทวดาชั้นดาวดึงส์ ... ความ
เป็นพวกเทวดาชั้นยามา ... ความเป็นพวกเทวดาชั้นดุสิต ... ความเป็นพวกเทวดาชั้นนิมมานรดี ...
ความเป็นพวกเทวดาชั้นปรนิมมิตวสวัตตี ...
             ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย ถ้าบุคคลผู้ประพฤติเรียบร้อย คือ ประพฤติธรรม
พึงหวังว่า เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก เราพึงเข้าถึงความเป็นพวกเทวดาที่เนื่องในหมู่พรหม
เถิด ข้อนี้เป็นฐานะที่จะมีได้ คือ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก บุคคลนั้นพึงเข้าถึงความเป็น
พวกเทวดาที่เนื่องในหมู่พรหม นั่นเป็นเพราะเหตุอะไร เพราะบุคคลนั้นเป็นผู้ประพฤติเรียบร้อย
คือ เป็นผู้ประพฤติธรรมอย่างนั้นแหละ.
             ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย ถ้าบุคคลผู้ประพฤติเรียบร้อย คือประพฤติธรรมพึง
หวังว่า เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก เราพึงเข้าถึงความเป็นพวกเทวดาชั้นอาภา ข้อนี้เป็น
ฐานะที่จะมีได้ คือ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก บุคคลนั้นพึงเข้าถึงความเป็นพวกเทวดา
ชั้นอาภา นั่นเป็นเพราะอะไร เป็นเพราะบุคคลนั้นเป็นผู้ประพฤติเรียบร้อย คือ เป็นผู้ประพฤติ
ธรรมอย่างนั้นแหละ.
             ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย ถ้าบุคคลผู้ประพฤติเรียบร้อย คือประพฤติธรรม
ธรรมพึงหวังว่า เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก เราพึงเข้าถึงความเป็นพวกเทวดาชั้นปริตตาภา ...
ความเป็นเทวดาชั้นอัปปมาณาภา ... ความเป็นพวกเทวดาชั้นอาภัสสรา ... ความเป็นพวกเทวดาชั้น
ปริตตสุภา ... ความเป็นพวกเทวดาชั้นอัปมาณสุภา ... ความเป็นพวกเทวดาชั้นสุภกิณหกะ ...
ความเป็นพวกเทวดาชั้นเวหัปผละ ... ความเป็นพวกเทวดาชั้นอวิหา ความเป็นพวกเทวดาชั้น
อตัปปา ... ความเป็นพวกเทวดาชั้นสุทัสสา ... ความเป็นพวกเทวดาชั้นสุทัสสี ... ความเป็น
พวกเทวดาชั้นอกนิฏฐะ ... ความเป็นพวกเทวดาผู้เข้าถึงอากาสานัญจายตนภพ ... ความเป็นพวก
เทวดาผู้เข้าถึงวิญญาณัญจายตนภพ ... ความเป็นพวกเทวดาผู้เข้าถึงอากิญจัญญายตนภพ ... ความเป็น
พวกเทวดาผู้เข้าถึงเนวสัญญานาสัญญายตนภพ นั้นเป็นเพราะอะไร เป็นเพราะบุคคลนั้นเป็น
ผู้ประพฤติเรียบร้อย คือ เป็นผู้ประพฤติธรรมอย่างนั้นแหละ.
             ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย ถ้าบุคคลผู้ประพฤติเรียบร้อย คือประพฤติธรรมพึง
หวังว่า เราพึงทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติและปัญญาวิมุติ อันไม่มีอาสวะ เพราะสิ้นอาสวะ ด้วย
ปัญญาอันยิ่งเองแล้ว เข้าถึงอยู่ในชาตินี้เถิด ข้อนี้เป็นฐานะที่จะมีได้ บุคคลนั้นพึงทำให้แจ้งซึ่ง
เจโตวิมุติปัญญาวิมุติ อันไม่มีอาสวะเพราะสิ้นอาสวะ ด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้ว เข้าถึงอยู่ใน
ชาตินี้นั่นเป็นเพราะเหตุอะไร เป็นเพราะบุคคลนั้นเป็นผู้ประพฤติเรียบร้อย คือ เป็นผู้ประพฤติ
ธรรม อย่างนั้นแหละ.
ความเป็นผู้ถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะตลอดชีวิต
             [๔๘๗] เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว พวกพราหมณ์และคฤหบดี ชาวบ้านสาละ
ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ข้าแต่
พระโคดมผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก พระองค์ทรงประกาศธรรมโดยเอนกปริยาย
เปรียบเหมือนบุคคลหงายของที่คว่ำเปิดของที่ปิด บอกทางแก่ผู้หลงทาง หรือตามประทีปในที่
มืดด้วยตั้งใจว่า คนมีจักษุจักเห็นรูป ดังนี้ พวกข้าพระองค์นี้ ขอถึงพระโคดมผู้เจริญกับพระธรรม
และพระภิกษุสงฆ์ว่า เป็นสรณะ ขอพระโคดมผู้เจริญ จงทรงจำพวกข้าพระองค์ว่าเป็นอุบาสก
ผู้ถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะตลอดชีวิต จำเดิมแต่วันนี้เป็นต้นไปฉะนี้แล.

จบ สาเลยยกสูตร ที่ ๑
-----------------------------------------------------
      บันทึกการเข้า
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #8863 เมื่อ: 19 เมษายน 2556, 21:39:11 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 19 เมษายน 2556, 20:39:38
สวัสดีค่ะ คุณน้องหนุ๋งหนิ๋ง ที่รัก

                     พี่สิงห์ ก็ได้แต่เตือนให้ กินอาหารให้เป็นยา  ออกกำลังกายวันละหนึ่งชั่วโมง  นอนหัวค่ำ และมีสติที่กาย เวทนา  จิตและคิดในธรรม ครับ  แต่มันทำยากเพราะจิตมันไม่ชอบ  จิตมันชอบสบายไม่มีใครมาบังคับ ครับ

                                         ราตรีสวัสดิ์ทุกท่านครับ




พี่สิงห์,
ปฏิบัติตามอยู่ค่ะ แต่เปลี่ยนจาก natur riceในภาพ
ไปเป็นMehrkornvollkorn ...wholewheat คะพี่ 4แผ่นทาเนย
ดื่มเครื่องดื่มกาแฟบางๆ 4-5แก้ว@ 500 ml. มื้อเย็นทำสลัดผักเขียว
กินเคียงกะข้าว-ปลา มีแฮงว่ายน้ำป๋อมแป๋ม 60-65นาที 1-2ครั้ง/week

ดีกว่านี้ไม่ได้แล้วคะ!
ว่าแต่,
พี่มีแฮงพัชต์กอล์ฟนะค๊า ด้วยอาหารในภาพ?
      บันทึกการเข้า


Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #8864 เมื่อ: 20 เมษายน 2556, 08:41:21 »

สวัสดีค่ะ คุณน้องหนุ๋งหนิ๋ง ชาวซีมะโด่ง และแขกผู้มาเยือน ที่รักทุกท่าน

                     ขอบคุณมากสำหรับความคิดเห็นที่ดี ๆ สามารถเอาไปปฏิบัติได้

                     แฮงพัชต์กอล์ฟ  พี่สิงห์  ไม่รู้จัก ว่ามันคืออะไร

                     สำหรับพี่สิงห์  ก็ยังคงเดินจงกรมออกกำลังกายยามเช้า หรือยามเย็น  รำชิกง และโยคะ เป็นประจำมิได้ขาด เอาตัวเองเป็นหนูทดลอง ตามทฤษฎีของเราในการดูแลร่างกาย ไม่ให้เจ็บป่วย  ส่วนอาหารการกินนั้นก็พยายามเลือกที่มีประโยชน์เท่าที่จะหาได้  ไม่ตามใจปาก  กินอาหารให้เป็นยา  ไม่กินสนองตัณหา  กินไปก็พิจารณาไป  เรากินเพื่อการยังชีพเท่านั้น  ส่วนน้ำอัดลม  เลิกโดยเด็ดขาด ไม่แตะเลย

                     การนอนก็พยายามดึกสุดคือ สามทุ่มครึ่ง เพราะเช้ามืดมันตื่นอยู่แล้วตั้งแต่ตีสี่  จึงต้องนอนหัวค่ำให้มาก และไม่ดูทีวี  หนังสือพิมพ์  สำหรับวิทยุ  ฟังเป็นเพื่อนตอนขับรถ ฟังกีฬา  สุขภาพ ธรรมะ และเพลงบางโอกาส เมื่อพระท่านไม่เทศน์  การเมืองไม่ขอรับฟังทั้งสิ้น มันรกใจ  ตัดขาดไปเลย

                     ที่สำคัญพยายามไม่ทำให้ใครเดือดร้อนเพราะตัวเราในทุกเรื่องให้มากที่สุด

                     ชีวิตมันก็มีเพียงแค่นี้  รอวันจากไปเท่านั้น  อะไร ๆ ก็ทำมามากแล้ว  ขอทำเพื่อตัวเองในทางธรรม บ้างเป็นกิจที่พึงกระทำก่อนที่จะจากโลกนี้ไป กับทำงานเพียงเพื่อให้มีรายได้เลี้ยงตัวเอง  ไม่ต้องพึงชาวบ้าน  ญาติพี่น้อง เท่านั้น เพราะไม่มีบำนาญกิน

                     วันนี้เช้าเห็นพระอาทิตย์เต็มดวงสีแดงจับขอบฟ้าตะวันออก  คงร้อน  เพราะไม่มีฝนตก ครับ

                     สวัสดี

                     
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #8865 เมื่อ: 20 เมษายน 2556, 21:26:23 »

สวัสดีก่อนนอนครับ ชาวซีมะโด่งและแขกผู้มาเยือน ที่รักทุกท่าน

                         พี่สิงห์  อยู่กทม. เรียบร้อยแล้ว  สบายดีครับ

                         ดีใจที่สามารถกลับมาบ้าน เปิดทีวี ได้ดูการมอบรางวัล และประกาศนียบัตร The Comedian Thailand จากคุณครูผู้สอน  ขอสนับสนุนที่ คุณเป็ด   เชิญยิ้ม  เปิดโรงเรียน The Comedian Thailand ทำให้ผมได้ดู ทีวี  เพราะไม่ได้ดูมานานมาก  ไม่รู้จะดูอะไร เลยไม่ยอมเสียเงินเป็นค่าดูทีวีของ True ใด ๆ อีกแล้ว

                          พรุ่งนี้เช้าคงไปออกกำลังกาย เล่นกอล์ฟตอนเช้าครับ

                          ขอฝากพระสูตรให้ได้ศึกษา กัน มีประโยชน์มาก

                          สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #8866 เมื่อ: 20 เมษายน 2556, 21:31:45 »

๙. มหาอัสสปุรสูตร

ว่าด้วยธรรมทำความเป็นสมณพราหมณ์

             [๔๕๙] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้-
             สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่อัสสปุรนิคมของหมู่อังคราชกุมาร ในอังคชนบท.
ณ ที่นั้น พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย. ภิกษุเหล่านั้นทูลรับ
พระดำรัสของพระผู้มีพระภาคแล้ว.
             พระผู้มีพระภาคได้ตรัสดังนี้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ประชุมชนย่อมรู้จักพวกเธอว่าสมณะๆ
ก็แหละพวกเธอ เมื่อเขาถามว่า ท่านทั้งหลายเป็นอะไร ก็ปฏิญญา (รับ) ว่า พวกเราเป็นสมณะ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อพวกเธอนั้นมีชื่ออย่างนี้ มีปฏิญญาอย่างนี้แล้ว ก็ควรศึกษาอยู่ว่า เรา
ทั้งหลายจักสมาทานประพฤติธรรม เป็นเครื่องทำความเป็นสมณะด้วย เป็นเครื่องทำความเป็น
พราหมณ์ด้วย เมื่อพวกเราปฏิบัติอยู่อย่างนี้ ชื่อและปฏิญญานี้ของพวกเรา ก็จักเป็นความจริงแท้
ใช่แต่เท่านั้น พวกเราบริโภคจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจัยเภสัชบริขารของทายก
เหล่าใด ปัจจัยทั้งหลายนั้น ของทายกเหล่านั้น ก็จักมีผลมาก มีอานิสงส์มาก ในเพราะพวกเรา
อีกอย่างหนึ่งเล่า บรรพชานี้ของพวกเรา ก็จักไม่เป็นหมัน จักมีผล มีความเจริญ.
             [๔๖๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ธรรมเป็นเครื่องทำความเป็นสมณะ และเป็นเครื่อง
ทำความเป็นพราหมณ์ เป็นอย่างไร? พวกเธอควรศึกษาอยู่ว่า เราทั้งหลายจักเป็นผู้ประกอบด้วย
หิริและโอตตัปปะ. บางทีพวกเธอจะมีความดำริว่า พวกเราเป็นผู้ประกอบด้วยหิริและโอตตัปปะ
แล้ว ด้วยกิจเพียงเท่านี้ พอละ พวกเราทำเสร็จแล้ว สามัญญัตถะ (มรรค ผล นิพพาน)
พวกเราถึงแล้วโดยลำดับ กิจอะไรๆ ที่ควรทำให้ยิ่งขึ้นไปมิได้มี พวกเธอถึงความยินดีด้วยกิจ
เพียงเท่านั้น เราขอบอกแก่เธอทั้งหลาย ขอเตือนแก่เธอทั้งหลาย เมื่อกิจที่ควรทำให้ยิ่งขึ้นไป
ยังมีอยู่ สามัญญัตถะที่พวกเธอปรารถนาอย่าได้เสื่อมไปเสียเลย.
             [๔๖๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็กิจที่ควรทำให้ยิ่งขึ้นไปเป็นอย่างไร? พวกเธอควรศึกษา
อยู่ว่า เราทั้งหลายจักมีกายสมาจารบริสุทธิ์ ปรากฏ เปิดเผย ไม่มีช่องและคอยระวัง จักไม่
ยกตน ไม่ข่มผู้อื่น ด้วยความเป็นผู้มีกายสมาจารอันบริสุทธิ์นั้น บางทีพวกเธอจะมีความดำริว่า
พวกเราเป็นผู้ประกอบด้วยหิริและโอตตัปปะ มีกายสมาจารบริสุทธิ์แล้ว ด้วยกิจเพียงเท่านี้
พอละ พวกเราทำเสร็จแล้ว สามัญญัตถะพวกเราถึงแล้วโดยลำดับ กิจอะไรๆ ที่ควรทำให้
ยิ่งขึ้นไปมิได้มี พวกเธอถึงความยินดีด้วยกิจเพียงเท่านั้น เราขอบอกแก่เธอทั้งหลาย ขอเตือนแก่
เธอทั้งหลาย เมื่อกิจที่ควรทำให้ยิ่งขึ้นไปยังมีอยู่ สามัญญัตถะที่พวกเธอปรารถนา อย่าได้เสื่อมไป
เสียเลย.
             [๔๖๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็กิจที่ควรทำให้ยิ่งขึ้นไปเป็นอย่างไร? พวกเธอควร
ศึกษาอยู่ว่า เราทั้งหลายจักมีวจีสมาจารบริสุทธิ์ ปรากฏ เปิดเผย ไม่มีช่อง และคอยระวัง
จักไม่ยกตน ไม่ข่มผู้อื่น ด้วยความเป็นผู้มีวจีสมาจารบริสุทธิ์นั้น. บางทีพวกเธอจะมีความดำริว่า
พวกเราเป็นผู้ประกอบด้วยหิริและโอตตัปปะ มีกายสมาจารและวจีสมาจารบริสุทธิ์แล้ว ด้วยกิจ
เพียงเท่านี้พอละ พวกเราทำเสร็จแล้ว สามัญญัตถะพวกเราถึงแล้วโดยลำดับ กิจอะไรๆ
ที่ควรทำให้ยิ่งขึ้นไปมิได้มี พวกเธอถึงความยินดีด้วยกิจเพียงเท่านั้น เราขอบอกแก่เธอทั้งหลาย
ขอเตือนแก่เธอทั้งหลาย เมื่อกิจที่ควรทำให้ยิ่งขึ้นไปยังมีอยู่ สามัญญัตถะที่พวกเธอปรารถนา
อย่าได้เสื่อมไปเสียเลย.
             [๔๖๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็กิจที่ควรทำให้ยิ่งขึ้นไปเป็นอย่างไร? พวกเธอควรศึกษา
อยู่ว่า เราทั้งหลายจักมีมโนสมาจารบริสุทธิ์ ปรากฏ เปิดเผย ไม่มีช่อง และคอยระวัง จักไม่
ยกตน ไม่ข่มผู้อื่น ด้วยความเป็นผู้มีมโนสมาจารบริสุทธิ์นั้น. บางทีพวกเธอจะมีความดำริว่า พวก
เราเป็นผู้ประกอบด้วยหิริและโอตตัปปะ มีกายสมาจาร วจีสมาจาร และมโนสมาจารบริสุทธิ์
แล้ว ด้วยกิจเพียงเท่านี้ พอละ พวกเราทำเสร็จแล้ว สามัญญัตถะพวกเราถึงแล้วโดยลำดับ กิจ
อะไรๆ ที่ควรทำให้ยิ่งขึ้นไปมิได้มี พวกเธอถึงความยินดีด้วยกิจเพียงเท่านั้น เราขอบอกแก่เธอ
ทั้งหลาย ขอเตือนแก่เธอทั้งหลาย เมื่อกิจที่ควรทำให้ยิ่งขึ้นไปยังมีอยู่ สามัญญัตถะที่พวกเธอ
ปรารถนาอย่าได้เสื่อมไปเสียเลย.
             [๔๖๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็กิจที่ควรทำให้ยิ่งขึ้นไปเป็นอย่างไร? พวกเธอควรศึกษา
อยู่ว่า เราทั้งหลายจักมีอาชีวะบริสุทธิ์ ปรากฏ เปิดเผย ไม่มีช่อง และคอยระวัง จักไม่ยกตน
ไม่ข่มผู้อื่น ด้วยความเป็นผู้มีอาชีวะบริสุทธิ์นั้น. บางทีพวกเธอจะมีความดำริว่า พวกเราเป็นผู้
ประกอบด้วยหิริและโอตตัปปะ มีกายสมาจาร วจีสมาจาร มโนสมาจาร และอาชีวะบริสุทธิ์แล้ว
ด้วยกิจเพียงเท่านี้ พอละ พวกเราทำเสร็จแล้ว สามัญญัตถะพวกเราถึงแล้วโดยลำดับ กิจอะไรๆ
ที่ควรทำให้ยิ่งขึ้นไปมิได้มี พวกเธอถึงความยินดีด้วยกิจเพียงเท่านั้น เราขอบอกแก่เธอทั้งหลาย
ขอเตือนแก่เธอทั้งหลาย เมื่อกิจที่ควรทำให้ยิ่งขึ้นไปยังมีอยู่ สามัญญัตถะที่พวกเธอปรารถนา
อย่าได้เสื่อมไปเสียเลย.
             [๔๖๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็กิจที่ควรทำให้ยิ่งขึ้นไปเป็นอย่างไร? พวกเธอควรศึกษา
อยู่ว่า เราทั้งหลายจักมีทวารอันคุ้มครองแล้วในอินทรีย์ทั้งหลาย เห็นรูปด้วยจักษุแล้ว ไม่ถือโดย
นิมิต ไม่ถือโดยอนุพยัญชนะ จักปฏิบัติเพื่อสำรวม จักขุนทรีย์ ที่เมื่อไม่สำรวมแล้ว จะเป็น
เหตุให้อกุศลธรรมอันลามก คือ อภิชฌา และโทมนัสครอบงำนั้น ชื่อว่ารักษาจักขุนทรีย์ทั้งหลาย
ถึงความสำรวมในจักขุนทรีย์. ได้ยินเสียงด้วยโสต ... ดมกลิ่นด้วยฆานะ ... ลิ้มรสด้วยลิ้น ...
ถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกาย ... รู้แจ้งธรรมารมณ์ด้วยใจแล้ว จักไม่ถือโดยนิมิต ไม่ถือโดยอนุ
พยัญชนะ จักปฏิบัติเพื่อสำรวมมนินทรีย์ ที่เมื่อไม่สำรวมแล้ว จะเป็นเหตุให้อกุศลธรรมอัน
ลามก คือ อภิชฌาและโทมนัสครอบงำนั้น ชื่อว่ารักษามนินทรีย์ถึงความสำรวมในมนินทรีย์.
บางทีพวกเธอจะมีความดำริว่า พวกเราเป็นผู้ประกอบด้วยหิริและโอตตัปปะ มีกายสมาจาร
วจีสมาจาร มโนสมาจาร อาชีวะบริสุทธิ์แล้ว และเป็นผู้มีทวารอันคุ้มครองแล้วในอินทรีย์
ด้วยกิจเพียงเท่านี้ พอละ พวกเราทำเสร็จแล้วโดยลำดับ กิจอะไรๆ ที่ควรทำให้ยิ่งขึ้นไปมิได้
มี พวกเธอถึงความยินดีด้วยกิจเพียงเท่านั้น เราขอบอกแก่เธอทั้งหลาย ขอเตือนแก่เธอทั้งหลาย
เมื่อกิจที่ควรทำให้ยิ่งขึ้นไปยังมีอยู่ สามัญญัตถะที่พวกเธอปรารถนาอย่าได้เสื่อมเสียไปเลย.
             [๔๖๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็กิจที่ควรทำให้ยิ่งขึ้นไปเป็นอย่างไร? พวกเธอควรศึกษา
อยู่ว่า เราทั้งหลายจักรู้จักประมาณในโภชนะ จักพิจารณาโดยแยบคายแล้วกลืนอาหาร จักไม่กลืน
เพื่อเล่น เพื่อมัวเมา เพื่อตบแต่ง เพื่อประดับ จักกลืนเพียงเพื่อให้กายนั้นตั้งอยู่ เป็นไป
ห่างไกลจากความเบียดเบียน เพื่ออนุเคราะห์แก่พรหมจรรย์เท่านั้น และจะบำบัดเวทนาเก่า
ไม่ให้เวทนาใหม่เกิดขึ้น และจักให้มีความดำเนินไป ความไม่มีโทษ ความอยู่สบาย ด้วยประการ
ฉะนี้. บางทีพวกเธอจะมีความดำริว่า พวกเราเป็นผู้ประกอบด้วยหิริและโอตตัปปะ มีกาย
สมาจาร วจีสมาจาร มโนสมาจาร อาชีวะบริสุทธิ์ เป็นผู้มีทวารอันคุ้มครองแล้วในอินทรีย์
ทั้งหลาย และรู้จักประมาณในโภชนะแล้ว ด้วยกิจเพียงเท่านี้ พอละ พวกเราทำสำเร็จแล้ว
สามัญญัตถะพวกเราถึงแล้วโดยลำดับ กิจอะไรๆ ที่ควรทำให้ยิ่งขึ้นไปมิได้มี พวกเธอถึงความยินดี
ด้วยกิจเพียงเท่านั้น เราขอบอกแก่เธอทั้งหลาย ขอเตือนแก่เธอทั้งหลาย เมื่อกิจควรทำให้
ยิ่งขึ้นไปยังมีอยู่ สามัญญัตถะที่พวกเธอปรารถนาอย่าได้เสื่อมไปเลย.
             [๔๖๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็กิจควรทำให้ยิ่งขึ้นไปเป็นอย่างไร? พวกเธอควรศึกษา
อยู่ว่า เราทั้งหลายจักเป็นผู้ประกอบเนืองๆ ในความเป็นผู้ตื่น จักชำระจิตให้บริสุทธิ์จากธรรม
อันเป็นเครื่องกีดกั้น ด้วยการจงกรม และการนั่งตลอดวัน จักชำระจิตให้บริสุทธิ์จากธรรมอัน
เป็นเครื่องกีดกั้น ด้วยการจงกรม และการนั่งตลอดปฐมยามแห่งราตรี จักสำเร็จการนอนดัง
ราชสีห์โดยเบื้องขวา ซ้อนเท้า เหลื่อมเท้า มีสติสัมปชัญญะ ทำไว้ในใจถึงความสำคัญในอัน
ลุกขึ้น ตลอดมัชฌิมยามแห่งราตรี กลับลุกขึ้นแล้ว จักชำระจิตใจให้บริสุทธิ์จากธรรมเป็นเครื่อง
กีดกั้นด้วยการจงกรม และการนั่งตลอดปัจฉิมยามแห่งราตรี. บางทีพวกเธอจะมีความดำริว่า
พวกเราเป็นผู้ประกอบด้วยหิริและโอตตัปปะ มีกายสมาจาร วจีสมาจาร มโนสมาจาร อาชีวะ
บริสุทธิ์แล้ว เป็นผู้มีทวารอันคุ้มครองแล้วในอินทรีย์ทั้งหลาย และรู้จักประมาณในโภชนะ
ประกอบเนืองๆ ในความเป็นผู้ตื่นแล้ว ด้วยกิจเพียงเท่านี้ พอละ พวกเราทำเสร็จแล้ว
สามัญญัตถะพวกเราถึงแล้ว โดยลำดับ กิจอะไรๆ ที่ควรทำได้ยิ่งขึ้นไปมิได้มี พวกเธอถึงความ
ยินดีด้วยกิจเพียงเท่านั้น เราขอบอกแก่เธอทั้งหลาย ขอเตือนแก่เธอทั้งหลาย เมื่อกิจที่ควร
ทำให้ยิ่งขึ้นไปยังมีอยู่ สามัญญัตถะที่พวกเธอปรารถนาอย่าได้เสื่อมไปเสียเลย.
             [๔๖๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็กิจที่ควรทำให้ยิ่งขึ้นไปเป็นอย่างไร? พวกเธอควรศึกษา
อยู่ว่า เราทั้งหลายจักประกอบด้วยสติสัมปชัญญะ ทำความรู้สึกตัวในการก้าว ในการถอย
ในการแล ในการเหลียว ในการคู้เข้า ในการเหยียดออก ในการทรงสังฆาฏิ บาตร และจีวร
ในการฉัน การดื่ม การเคี้ยว การลิ้ม ในการถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ ทำความรู้สึกตัวในการเดิน
การยืน การนั่ง การหลับ การตื่น การพูด การนิ่ง. บางทีพวกเธอจะมีความดำริว่า พวกเรา
เป็นผู้ประกอบด้วยหิริและโอตตัปปะ มีกายสมาจาร วจีสมาจาร มโนสมาจาร อาชีวะบริสุทธิ์แล้ว
เป็นผู้มีทวารอันคุ้มครองแล้วในอินทรีย์ทั้งหลาย รู้จักประมาณในโภชนะ ประกอบเนืองๆ
ในความเป็นผู้ตื่น และประกอบด้วยสติสัมปชัญญะแล้ว ด้วยกิจเพียงเท่านี้ พอละ พวกเรา
ทำเสร็จแล้ว สามัญญัตถะพวกเราถึงแล้วโดยลำดับ กิจอะไรๆ ที่ควรทำให้ยิ่งขึ้นไปมิได้มี
พวกเธอถึงความยินดีด้วยกิจเพียงเท่านั้น เราขอบอกแก่เธอทั้งหลาย ขอเตือนแก่เธอทั้งหลาย
เมื่อกิจที่ควรทำให้ยิ่งขึ้นไปยังมีอยู่ สามัญญัตถะที่พวกเธอปรารถนาอย่าได้เสื่อมไปเสียเลย.
             [๔๖๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็กิจที่ควรทำให้ยิ่งขึ้นไปเป็นอย่างไร? ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมเสพเสนาสนะอันสงัด คือ ป่า โคนไม้ ภูเขา ถ้ำ ซอกเขา ป่าช้า ป่าชัฏ
ที่แจ้ง ลอมฟาง. เธอกลับจากบิณฑบาต ในการภายหลังแล้ว นั่งคู้บัลลังก์ตั้งกายตรง ดำรงสติไว้
เฉพาะหน้า. เธอละความเพ่งเล็งในโลกแล้ว มีใจปราศจากความเพ่งเล็งอยู่ ย่อมชำระจิตให้
บริสุทธิ์จากความเพ่งเล็งได้. ละความประทุษร้ายคือพยาบาทแล้ว ไม่คิดพยาบาท มีความกรุณา
หวังประโยชน์แก่สัตว์ทั้งปวงอยู่ ย่อมชำระจิตให้บริสุทธิ์จากความประทุษร้ายคือพยาบาทได้.
ละถีนมิทธะได้แล้ว เป็นผู้ปราศจากถีนมิทธะ มีความสำคัญ หมายอยู่ที่แสงสว่าง มีสติ
สัมปชัญญะอยู่ ย่อมชำระจิตให้บริสุทธิ์จากถีนมิทธะได้. ละอุทธัจจกุกกุจจะได้แล้ว เป็นผู้ไม่
ฟุ้งซ่าน มีจิตสงบ ณ ภายในอยู่ ย่อมชำระจิตให้บริสุทธิ์จากอุทธัจจกุกกุจจะได้. ละวิจิกิจฉาได้แล้ว
เป็นผู้เข้ามาวิจิกิจฉา ไม่มีความคลางแคลงในกุศลธรรมทั้งหลายอยู่ ย่อมชำระจิตให้บริสุทธิ์จาก
วิจิกิจฉาได้.
ว่าด้วยการละนิวรณ์ ๕
             [๔๗๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนบุรุษจะพึงกู้หนี้ไปประกอบการงาน การงาน
เหล่านั้นของเขาจะพึงสำเร็จผล. เขาจะพึงใช้หนี้ที่เป็นต้นทุนเดิมให้หมดสิ้น และทรัพย์ที่เป็นกำ
ไรของเขาจะพึงมีเหลืออยู่สำหรับเลี้ยงภรรยา. เขาจะพึงมีความคิดเห็นอย่างนี้ว่า เมื่อก่อน เรากู้
หนี้ไปประกอบการงาน บัดนี้ การงานของเราสำเร็จผลแล้ว เราได้ใช้หนี้ที่เป็นต้นทุนเดิมให้
หมดสิ้นแล้ว และทรัพย์ที่เป็นกำไรของเรายังมีเหลืออยู่สำหรับเลี้ยงภรรยา ดังนี้. เขาจะพึงได้ความ
ปราโมทย์ ถึงความโสมนัส มีความไม่มีหนี้นั้นเป็นเหตุ ฉันใด.
             ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนบุรุษจะพึงเป็นผู้มีอาพาธ ถึงความลำบาก เจ็บหนัก
บริโภคอาหารไม่ได้ และไม่มีกำลังกาย. สมัยต่อมา เขาพึงหายจากอาพาธนั้น บริโภคอาหารได้
และมีกำลังกาย. เขาจะพึงมีความคิดเห็นอย่างนี้ว่า เมื่อก่อน เราเป็นผู้มีอาพาธ ถึงความลำบาก
เจ็บหนัก บริโภคอาหารไม่ได้ และไม่มีกำลังกาย บัดนี้ เราหายจากอาพาธนั้นแล้ว บริโภค
อาหารได้และมีกำลังกาย ดังนี้. เขาจะพึงได้ความปราโมทย์ ถึงความโสมนัส มีความไม่มีโรค
นั้นเป็นเหตุ ฉันใด.
             ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนบุรุษจะพึงถูกจองจำอยู่ในเรือนจำ. สมัยต่อมา เขาพึง
พ้นจากเรือนจำนั้นโดยสวัสดี ไม่มีภัย และไม่ต้องเสียทรัพย์อะไรๆ เลย. เขาจะพึงมีความคิดเห็น
อย่างนี้ว่า เมื่อก่อน เราถูกจองจำอยู่ในเรือนจำ บัดนี้ เราพ้นจากเรือนจำนั้นโดยสวัสดี ไม่มีภัย
แล้ว และไม่ต้องเสียทรัพย์อะไรๆ เลย ดังนี้. เขาจะพึงได้ความปราโมทย์ ถึงความโสมนัส มี
การพ้นจากเรือนจำนั้นเป็นเหตุ ฉันใด.
             ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนบุรุษจะพึงเป็นทาส พึ่งตัวเองไม่ได้ ต้องพึ่งผู้อื่น ไป
ไหนตามความพอใจไม่ได้. สมัยต่อมา เขาพึงพ้นจากความเป็นทาสนั้น พึ่งตัวเองได้ ไม่ต้อง
พึ่งผู้อื่น เป็นไทยแก่ตัว ไปไหนได้ตามความพอใจ. เขาพึงจะมีความคิดเห็นอย่างนี้ว่า เมื่อก่อน
เราเป็นทาส พึ่งตัวเองไม่ได้ ต้องพึ่งผู้อื่น ไปไหนตามความพอใจไม่ได้ บัดนี้ เราพ้นจาก
ความเป็นทาสนั้นแล้ว พึ่งตัวเองได้ ไม่ต้องพึ่งผู้อื่น เป็นไทยแก่ตัว ไปไหนได้ตามความพอใจ
ดังนี้. เขาจะพึงได้ความปราโมทย์ ถึงความโสมนัส มีความเป็นไทยแก่ตัวนั้นเป็นเหตุ ฉันใด.
             ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนบุรุษมีทรัพย์ มีโภคสมบัติ จะพึงเดินทางไกลกันดาร.
สมัยต่อมา เขาพึงข้ามพ้นทางกันดารนั้นได้ โดยสวัสดี ไม่มีภัย ไม่ต้องเสียทรัพย์อะไรๆ เลย.
เขาจะพึงมีความคิดเห็นอย่างนี้ว่า เมื่อก่อนเรามีทรัพย์ มีโภคสมบัติ เดินทางไกลกันดาร บัดนี้
เราข้ามพ้นทางกันดารนั้นแล้ว โดยสวัสดี ไม่มีภัย ไม่ต้องเสียทรัพย์อะไรๆ เลย ดังนี้.
ดังนี้ เขาจะพึงได้ความปราโมทย์ ถึงความโสมนัส มีภูมิสถานอันเกษมนั้นเป็นเหตุ ฉันใด.
             ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพิจารณาเห็นนิวรณ์ ๕ ประการเหล่านี้ ที่ยังละไม่ได้ในตน
เหมือนหนี้ เหมือนโรค เหมือนเรือนเรือนจำ เหมือนความเป็นทาส เหมือนทางไกลกันดาร.
และพิจารณาเห็นนิวรณ์ ๕ ประการเหล่านี้ ที่ละได้แล้วในตน เหมือนความไม่มีหนี้ เหมือนความ
ไม่มีโรค เหมือนการพ้นจากเรือนจำ เหมือนความเป็นไทยแก่ตน เหมือนภูมิสถานอันเกษม
ฉันนั้นแล.
ว่าด้วยฌาน ๔
             [๔๗๑] ภิกษุนั้นละนิวรณ์ ๕ ประการนี้ อันเป็นเครื่องเศร้าหมองแห่งจิต อันเป็น
เครื่องทำปัญญาให้ถอยกำลังได้แล้ว สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม บรรลุปฐมฌาน มีวิตก
มีวิจาร มีปีติและสุขอันเกิดแก่วิเวกอยู่. เธอทำกายนี้แล ให้ชุ่มชื่น อิ่มเอิบ ซาบซ่าน ด้วย
ปีติและสุขอันเกิดแต่วิเวก ไม่มีเอกเทศไหนๆ แห่งกายของเธอทั่วทั้งตัว ที่ปีติและสุขอันเกิด
แต่วิเวกจะไม่ถูกต้อง. เปรียบเหมือนพนักงานสรงสนาน หรือลูกมือของพนักงานสรงสนานผู้
ฉลาด ใส่จุรณสีตัวลงในภาชนะสำริด แล้วพรมด้วยน้ำหมักไว้ ก้อนจุรณสีตัวนั้นมียางซึมไปจับ
ติดกันทั้งข้างในข้างนอก ย่อมไม่กระจายออก ฉะนั้น.
             [๔๗๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ยังอีกข้อหนึ่ง ภิกษุบรรลุทุติยฌาน มีความผ่องใสแห่งจิต
ในภายใน เป็นธรรมดาเอกผุดขึ้น เพราะวิตกและวิจารสงบไป ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีปีติและ
สุขอันเกิดแต่สมาธิอยู่. เธอทำกายนี้แลให้ชุ่มชื่น อิ่มเอิบ ซาบซ่าน ด้วยปีติและสุขอันเกิด
แต่สมาธิ ไม่มีเอกเทศไหนๆ แห่งกายของเธอทั่วทั้งตัว ที่ปีติและสุขอันเกิดแต่สมาธิจะไม่
ถูกต้อง เปรียบเหมือนห้วงน้ำลึก มีน้ำขังอยู่ ไม่มีทางที่น้ำจะไหลมาได้ ทั้งในด้านตะวันออก
ด้านตะวันตก ด้านเหนือ ด้านใต้ ทั้งฝนก็ไม่ตกเพิ่มตามฤดูกาล แต่สายน้ำเย็นพุขึ้นจากห้วงน้ำ
นั้นแล้ว จะพึงทำห้วงน้ำนั้นแลให้ชุ่มชื่น เอิบอาบ ซาบซึมด้วยน้ำเย็น ไม่มีเอกเทศไหนๆ
แห่งห้วงน้ำนั้นทั้งหมดที่น้ำเย็นจะไม่ถูกต้อง ฉะนั้น.
             [๔๗๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ยังอีกข้อหนึ่ง ภิกษุมีอุเบกขา มีสติสัมปชัญญะ เสวยสุข
ด้วยนามกาย พระปีติสิ้นไป บรรลุตติยฌานที่พระอริยะทั้งหลายสรรเสริญว่า ผู้ได้ฌานนี้ เป็นผู้
มีอุเบกขา มีสติ อยู่เป็นสุข. เธอทำกายนี้แลให้ชุ่มชื่น เอิบอาบ ซาบซ่าน ด้วยสุขอัน
ปราศจากปีติ ไม่มีเอกเทศไหนๆ แห่งกายของเธอทั่วทั้งตัว ที่สุขปราศจากปีติจะไม่ถูกต้อง
เปรียบเหมือนในกออุบล กอปทุม หรือกอบุณฑริก แต่ละชนิด กออุบล กอปทุมหรือ
กอบุณฑริก ดอกบัวบางชนิด เกิดในน้ำ เจริญในน้ำ ยังไม่พ้นจากน้ำ จมอยู่ในน้ำ
น้ำเลี้ยงไว้ อันน้ำเย็นหล่อเลี้ยง เอิบอาบซึมซาบไปแต่ยอดและเหง้า ไม่มีเอกเทศไหนๆ แห่ง
กออุบล กอปทุม หรือกอบุณฑริก ที่น้ำเย็นจะไม่ถูกต้อง ฉะนั้น
             [๔๗๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ยังอีกข้อหนึ่ง ภิกษุบรรลุจตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข
เพราะละสุขและทุกข์ และดับโสมนัสในก่อนได้ มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่. เธอนั่ง
แผ่ไปทั่วกายนี้แล ด้วยใจอันบริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ไม่มีเอกเทศไหนๆ แห่งกายของเธอทั่วทั้งตัว
ที่จิตอันบริสุทธิ์ผ่องแผ้วจะไม่ถูกต้อง เปรียบเหมือนบุรุษนั่งคลุมตัวตลอดศีรษะด้วยผ้าขาว ไม่มี
เอกเทศไหนๆ แห่งกายทุกๆ ส่วนของเขาที่ผ้าขาวจะไม่ถูกต้องฉะนั้น.
ว่าด้วยวิชชา ๓
             [๔๗๕] ภิกษุนั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลสปราศจากอุปกิเลส
อ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวอย่างนี้ ย่อมโน้มจิตไปเพื่อปุพเพนิวาสานุสติญาณ.
เธอระลึกชาติที่เคยอยู่อาศัยในกาลก่อนได้เป็นอันมาก คือ ระลึกได้หนึ่งชาติบ้าง สองชาติ
บ้าง ฯลฯ ระลึกชาติที่เคยอยู่อาศัยในกาลก่อนได้เป็นอันมาก พร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้งอุทเทศ
ด้วยประการฉะนี้ เปรียบเหมือนบุรุษออกจากบ้านของตนไปสู่บ้านอื่น ออกจากบ้านแม้นั้นไป
สู่บ้านอื่น ออกจากบ้านแม้นั้นแล้ว กลับมาสู่บ้านของตนตามเดิม เขาจะพึงระลึกได้ว่า
เราออกจากบ้านของตนไปสู่บ้านโน้น ในบ้านนั้น เราได้ยืนอย่างนั้น ได้นั่งอย่างนั้น
ได้พูดอย่างนั้น ได้นิ่งอย่างนั้น ออกจากบ้านแม้นั้นไปสู่บ้านโน้น แม้ในบ้านนั้น เราก็ได้
ยืนอย่างนั้น ได้นั่งอย่างนั้น ได้พูดอย่างนั้น ได้นิ่งอย่างนั้น ออกจากบ้านแม้นั้นแล้ว
กลับมาสู่บ้านของตนตามเดิม ดังนี้ ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นแล ย่อมระลึกชาติที่เคยอยู่อาศัยใน
กาลก่อนได้เป็นอันมาก คือ ระลึกได้หนึ่งชาติหน้า สองชาติบ้าน ฯลฯ ระลึกชาติที่เคยอยู่อาศัยใน
กาลก่อนได้เป็นอันมาก พร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้งอุทเทศ ด้วยประการฉะนี้.
             [๔๗๖] ภิกษุนั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส
อ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวอย่างนี้ ย่อมน้อมโน้มจิตไปเพื่อรู้จุติและอุปบัติของ
ของสัตว์ทั้งหลาย. เธอเห็นหมู่สัตว์ที่กำลังจุติกำลังอุปบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณ
ทราม ได้ดี ตกยากด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์ ฯลฯ ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ผู้
เป็นไปตามกรรม เปรียบเหมือนเรือนสองหลังมีประตูอยู่ตรงกัน บุรุษผู้มีจักษุ ยืนอยู่ตรงกลาง
บนเรือนนั้น พึงเห็นหมู่มนุษย์ กำลังเข้าสู่เรือนบ้าง กำลังออกจากเรือนบ้าง กำลังเดินไปบ้าง
กำลังเดินมาบ้าง กำลังเที่ยวไปบ้าง ฉันใด ภิกษุย่อมเห็นหมู่สัตว์ที่กำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลว
ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของ
มนุษย์ ฯลฯ ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ผู้เป็นไปตามกรรม ฉันนั้นเหมือนกันแล.
             [๔๗๗] ภิกษุนั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส อ่อน
ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวอย่างนี้ ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่ออาสวักขยญาณ. เธอย่อมรู้
ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา เหล่านี้
อาสวะ นี้อาสวะสมุทัย นี้อาสวะนิโรธ นี้อาสวะนิโรธคามินีปฏิปทา. เมื่อเธอรู้เห็นอยู่อย่างนี้
จิตย่อมหลุดพ้น แม้จากกามาสวะ แม้จากภวาสวะ แม้จากอวิชชาสวะ เมื่อจิตหลุดพ้นแล้ว
ก็มีญาณว่า หลุดพ้นแล้ว รู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จ
แล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้ มิได้มี. เปรียบเหมือนห้วงน้ำบนยอดภูเขา มีน้ำใสสะอาด ไม่
ขุ่นมัว บุรุษผู้มีจักษุยืนอยู่ที่ขอบห้วงน้ำนั้น พึงเห็นหอยกาบ หอยโข่ง ก้อนกรวด กระเบื้อง
ฝูงปลา หยุดอยู่บ้าง เคลื่อนไปบ้าง. เขามีความดำริว่า ห้วงน้ำนี้ มีน้ำใสสะอาด ไม่ขุ่นมัว
มีหอยกาบ หอยโข่ง ก้อนกรวด กระเบื้อง และฝูงปลา หยุดอยู่บ้าง เคลื่อนไปบ้าง ฉันใด
ภิกษุย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย ฯลฯ รู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์
อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำได้ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้ มิได้มี ฉันนั้นเหมือนกันแล.
ว่าด้วยสมัญญาแห่งภิกษุ
             [๔๗๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนี้เรียกว่า สมณะบ้าง พราหมณ์บ้าง มหาตกะบ้าง
เวทคูบ้าง โสตติยะบ้าง อริยะบ้าง อรหันต์บ้าง.
             ก็อย่างไร ภิกษุจึงชื่อว่า สมณะ? เหล่าอกุศลธรรมอันลามก อันให้เศร้าหมอง นำให้
เกิดในภพใหม่ ให้มีความกระวนกระวาย มีวิบากเป็นทุกข์ ให้มีชาติ ชรา มรณะต่อไป อันภิกษุ
นั้นระงับเสียแล้ว อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่า สมณะ.
             ก็อย่างไร ภิกษุจึงชื่อว่า พราหมณ์? เหล่าอกุศลธรรมอันลามก อันให้เศร้าหมอง นำให้
เกิดในภพใหม่ ให้มีความกระวนกระวาย  มีวิบากเป็นทุกข์ ให้มี ชาติ ชรา มรณะต่อไป
อันภิกษุนั้นลอยเสียแล้ว อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่าพราหมณ์.
             ก็อย่างไร ภิกษุจึงชื่อว่า นหาตกะ? เหล่าอกุศลธรรมอันลามก อันให้เศร้าหมอง นำ
ให้เกิดในภพใหม่ ให้มีความกระวนกระวาย มีวิบากเป็นทุกข์  ให้มีชาติ ชรา มรณะต่อไป
อันภิกษุนั้นอาบล้างเสียแล้ว อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่านหาตกะ.
             ก็อย่างไร ภิกษุจึงชื่อว่า เวทคู? เหล่าอกุศลธรรมอันลามก อันให้เศร้าหมอง นำให้
เกิดในภพใหม่ ให้มีความกระวนกระวาย มีวิบากเป็นทุกข์ ให้มีชาติ ชรา มรณะต่อไป อัน
ภิกษุนั้นรู้แจ้งแล้ว อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่าเวทคู.
             ก็อย่างไร ภิกษุจึงชื่อว่าโสตติยะ? เหล่าอกุศลธรรมอันลามก อันให้เศร้าหมอง นำให้
เกิดในภพใหม่ ให้มีความกระวนกระวาย มีวิบากเป็นทุกข์ ให้มีชาติ ชรา มรณะต่อไป อัน
ภิกษุนั้นให้หลับไปหมดแล้ว อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่าโสตติยะ.
             ก็อย่างไร ภิกษุจึงชื่อว่าอริยะ? เหล่าอกุศลธรรมอันลามก อันให้เศร้าหมอง นำให้
เกิดในภพใหม่ ให้มีความกระวนกระวาย มีวิบากเป็นทุกข์ ให้มีชาติ ชรา มรณะต่อไป
ห่างไกลภิกษุนั้น อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่าอริยะ.
             ก็อย่างไร ภิกษุจึงชื่อว่าอรหันต์? เหล่าอกุศลธรรมอันลามก อันให้เศร้าหมอง นำให้
เกิดในภพใหม่ ให้มีความกระวนกระวาย มีวิบากเป็นทุกข์ ให้มีชาติ ชรา มรณะต่อไป อัน
ภิกษุนั้นกำจัดเสียแล้ว อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่าอรหันต์.
             พระผู้มีพระภาคตรัสพระพุทธพจน์นี้แล้ว ภิกษุนั้นชื่นชม ยินดีพระภาษิตของพระผู้มี
พระภาค ฉะนี้แล.


จบ มหาอัสสปุรสูตรที่ ๙
-----------------------------------------------------
      บันทึกการเข้า
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #8867 เมื่อ: 20 เมษายน 2556, 21:54:08 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 20 เมษายน 2556, 08:41:21
สวัสดีค่ะ คุณน้องหนุ๋งหนิ๋ง ชาวซีมะโด่ง และแขกผู้มาเยือน ที่รักทุกท่าน

                     ขอบคุณมากสำหรับความคิดเห็นที่ดี ๆ สามารถเอาไปปฏิบัติได้

                     แฮงพัชต์กอล์ฟ  พี่สิงห์  ไม่รู้จัก ว่ามันคืออะไร

                     สำหรับพี่สิงห์  ก็ยังคงเดินจงกรมออกกำลังกายยามเช้า หรือยามเย็น  รำชิกง และโยคะ เป็นประจำมิได้ขาด เอาตัวเองเป็นหนูทดลอง ตามทฤษฎีของเราในการดูแลร่างกาย ไม่ให้เจ็บป่วย  ส่วนอาหารการกินนั้นก็พยายามเลือกที่มีประโยชน์เท่าที่จะหาได้  ไม่ตามใจปาก  กินอาหารให้เป็นยา  ไม่กินสนองตัณหา  กินไปก็พิจารณาไป  เรากินเพื่อการยังชีพเท่านั้น  ส่วนน้ำอัดลม  เลิกโดยเด็ดขาด ไม่แตะเลย

                     การนอนก็พยายามดึกสุดคือ สามทุ่มครึ่ง เพราะเช้ามืดมันตื่นอยู่แล้วตั้งแต่ตีสี่  จึงต้องนอนหัวค่ำให้มาก และไม่ดูทีวี  หนังสือพิมพ์  สำหรับวิทยุ  ฟังเป็นเพื่อนตอนขับรถ ฟังกีฬา  สุขภาพ ธรรมะ และเพลงบางโอกาส เมื่อพระท่านไม่เทศน์  การเมืองไม่ขอรับฟังทั้งสิ้น มันรกใจ  ตัดขาดไปเลย

                     ที่สำคัญพยายามไม่ทำให้ใครเดือดร้อนเพราะตัวเราในทุกเรื่องให้มากที่สุด

                     ชีวิตมันก็มีเพียงแค่นี้  รอวันจากไปเท่านั้น  อะไร ๆ ก็ทำมามากแล้ว  ขอทำเพื่อตัวเองในทางธรรม บ้างเป็นกิจที่พึงกระทำก่อนที่จะจากโลกนี้ไป กับทำงานเพียงเพื่อให้มีรายได้เลี้ยงตัวเอง  ไม่ต้องพึงชาวบ้าน  ญาติพี่น้อง เท่านั้น เพราะไม่มีบำนาญกิน

                     วันนี้เช้าเห็นพระอาทิตย์เต็มดวงสีแดงจับขอบฟ้าตะวันออก  คงร้อน  เพราะไม่มีฝนตก ครับ

                     สวัสดี

                     


พี่สิงห์ที่เคารพ
มีแฮง? เรี่ยวแรงไงพี่!! แรงเหวี่ยงเอี้ยวสุดตัว
เอวแทบเดี้ยง วืบเดียว,ไม้จะตีถูกลูกหรือไม่
ถูกแล้วลูกลิ่วเหินไปไหน ใกล้ไกลหลุม รึลงป่าพัมพ้า
ลงน้ำ ลงทราย...อยู่ที่แรงตรงนี้ล่ะพี่.

หนิงตามTVช่องSport1 เพื่อฟังวิเคราะห์ฟุตบอล
บางทีได้ชมรายการนักกอล์ฟโปรฟี่..จัดเล่น
แจ็ค นิครอสเหรอคะ?? โห,วัยไหนแล้วน่ะ
70 upกันแล้วรุ่นนั้น 2-3 คนจัดทัวนาเม้นต์Senior
พี่สิงห์juniorไปเลยคะ ขอบอก.

วันนี้บ้านหนิงฝนตกแต่เช้าคะ 8°c
เดินหนาวในบ้านสักพัก ต้องไปสวมเสื้อผ้าwinter
ม่ายงั้นไม่สบายตัวคะพี่ท่าน...ออกไปซื้อดอกไม้มา
6ต้น Eibe...สนevergreen 1 ต้น ยังไม่ลงปลูกคะ
รอฝนหยุด เค้าพยากรณ์อากาศว่ารอไปเหอะ!
มืดมัวฝนมากอีกหลายวัน...ดีคะดี ใบไม้ผลิเร็ว.

ค่ำนี้หนิงจะเดินไปบ้านวินเซอร์ผู้ผลิตไวน์
ดื่มไวน์ที่เค้าเสนอ จะดื่มเผื่อพี่สิงห์ 1 แก้ว 250 ml.
ดื่มให้ตัวเอง 1 แก้ว 250 ml. ดื่มเพื่อสุขภาพ 1 แก้ว 250ml.
3 แก้วก็ 1 ขวดพอดีคะพี่ท่าน...
      บันทึกการเข้า


khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #8868 เมื่อ: 20 เมษายน 2556, 22:03:29 »

อ้างถึง
ข้อความของ Thippy เมื่อ 18 เมษายน 2556, 23:21:46

กราบขอบพระคุณพี่สิงห์มากๆค่ะ ที่กรุณาเลี้ยงอาหารเย็น และให้คำแนะนำ รวมทั้งข้อคิดหลายๆ อย่าง

ทำให้น้องสาวรู้สึกมีกำลังใจ และมีความสุขมากๆ เลยค่ะ และกราบขอบพระคุณพี่เหยง,ขอบคุณน้องหนุงหนิง

และพี่ๆน้องๆ เพื่อนๆทุกๆคน ที่ห่วงใย และให้กำลังใจเสมอมาค่ะ 



พี่ทิ้ปปี้,
ขอชื่นชมพี่และพี่น้องพี่ในความเสียสละ
ทำหน้าที่พยาบาลคุณพ่อพี่ที่ป่วยเจ็บ
ขยับเขยื่อนกายไม่ได้..ท่านคงอึดอัดและขัดใจ
คนเคยเคลื่อนไหว ทำอะไรได้ด้วยตนเอง แล้ว
ต้องล้มเจ็บแบบที่ต้องพึ่งพาอาศัยการดูแลช่วยเหลือ
จากผู้อื่นตลอดเวลา...ในมุมมองของคุณพ่อพี่ก็ยากแก่
การทำใจยอมรับคะ สภาวะนี้,การอดทน เห็นอกเห็นใจ
ใจเค้าใจเรา จึงจำเป็นมากๆคะ ขอพี่ทิ้ปปี้ปิติในสิ่งที่พี่ทำนะคะ
พี่ทำดีค่ะ น่านับถือ.
      บันทึกการเข้า


Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #8869 เมื่อ: 21 เมษายน 2556, 13:55:01 »

สวัสดีค่ะ คุณน้องหนุ๋งหนิ๋ง ที่รัก

                                  มันก็จริงของเธอ การรับประทานอาหารสองมื้อ และไม่กินอะไรหลังเที่ยงจนถึงหกโมงเช้า  แรงมันหายไปจริงๆ  จะเล่นกอล์ฟดีเพียงเก้าหลุม เท่านั้น  ยิ่่งตอนนี้ กทม.ร้อนสุด ๆ  ยิ่งถ้าไม่มีลมพัดแล้วร้อนจริง ๆ  อย่างเมื่อเช้าร้อนมาก  ขนาดอยู่บ้านก็เหมือนอยู่ในเตาอบ  ได้แต่ทำไม่รู้ไม่ชี้  ให้ร่างกายมันปรับตัวเองตามธรรมชาติ เราก็อยู่ได้ เพราะคนอื่นเขาก็ประสบแบบเดียวกัยเรา

                                  บ่ายนี้ร้อนจริงๆ  แดดจัดมากและไม่มีลมพัด

                                   สวัสดี
      บันทึกการเข้า
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #8870 เมื่อ: 21 เมษายน 2556, 18:40:05 »


พี่สิงห์ที่เคารพ,
อดทนอีกนิดคะ ร้อนสุดๆ ร้อนแห้งๆมากๆ
ธรรมชาติก็จะชะโลมฝนลงมาให้สบายตัว
สักห่าสองห่าพอให้ชะล้างถนน ลดอุณหภูมิ
สบายกันสักพักก็จะร้อนระเบิดเถิดเทิงอีก
เป็นแบบนี้จนฤดูฝนมา ตกยันเต ฟ้ามัวทั้งวัน

หากหนิงได้มีโอกาสสร้างบ้านที่กอทอมอ..
จะสร้างยกพื้น คานคอนกรีตเสริมเหล็กกันน้ำแช่
ผนังชั้นบน แบบหนามีโฟมกันร้อน..สองชั้นแซนวิช
จะซื้อหินมาแปะผนังกันร้อนอีกต่อ..ภายใน
หน้าต่างจะเปิดให้ลมโกรก ยุงเข้าต้องนอนกางมุ้ง
แต่นี่ล่ะ,กันยุงกัดชงักงันที่สุดแห่งเมืองtropic
แล้วจะปลูก ปลูก ปลูก ให้แน่นขนัดเขียวขจีร่มรื่น
ที่..มีเท่าไหร่ปลูกให้หมด..ขอร่มขอเงาต้นไม้กันร้อน
งูอาจมาหลบร้อนบนต้นไม้ด้วยก็ต้องมองๆดูๆดีใต้ต้นไม้
แบ่งๆกันคะ ยกพื้นแต่มีชั้นบน 2 ชั้นหรือชั้นครึ่ง..
พอคะสำหรับการใช้ชีวิต...ขอห้องครัวแบบเปิดระเบียง
เป็นลานมีหลังคา(ชั้นบนจากยกพื้น)เผื่ออยากทำอะไรกินเอง
แบบมีสุขภาพไม่ง้อซื้อเค้ากินบางมื้อ ครัวกะโต๊ะนั่งใหญ่
ขาดไม่ได้!

พี่นึกภาพบ้านหนิงที่กอทอมอ ออกมั้ยคะ?
ชาวบ้านอาจมามุงดูตอนสร้าง วิพากษ์กันจัง
ทำไมต้องเสียพื้นที่ยกพื้นตั้ง 1 ชั้น...หนิงจะ
ยืนยิ้มบนระเบียงตอบพวกเค้าตอนน้ำท่วมกอทอมอ..
that's why!
หากวันไหนร้อนระเบิดเถิดเทิง?จะเลื้อยลงมานั่ง
ที่ใต้บ้าน...ตรวจดู ตกแต่งต้นไม้ ร่มเย็นดีแท้คะ
บ้านหนิง.
      บันทึกการเข้า


Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #8871 เมื่อ: 21 เมษายน 2556, 20:23:21 »

สวัสดีค่ะ คุณน้องหนุ๋งหนิ๋ง ที่รัก

                       ว่าแต่ว่าเธอมีที่หรือยัง  ถ้ายังไม่มีสนใจของพี่สิงห์ไหม ?

                       อยู่ถนนรามอินทรา  หลังโรงเรียนปราโมทย์ หลัง central บางเขต ขนาด ๒๐๐ ตารางวา เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ๒๐x๔๐ เมตร ไม่ได้ใช้แล้วขายในราคาไม่แพง  ต่อรองกันได้เอาแค่ 75% ของราคาประเมินก็น่าพอใจ  ซึ่งก็ไม่รู้ว่าราคาประเมินเท่าไร ขณะนี้

                       ตอนนี้ร้อนจริง ๆ ครับ กรุงเทพฯ

                       วันจันทร์ - อังคาร ไปอำเภอสูงเนิน  โคราช และสระบุรี ไปทำงาน  ได้เวลาเดินทางอีกแล้ว ชีวิต

                        อาทิตย์นี้ฝากเธอดูบอลล์ยุโรป  รอบรองชนะเลิศให้ด้วย  เพราะพี่สิงห์  ไม่ดูครับ

                        สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #8872 เมื่อ: 22 เมษายน 2556, 07:42:01 »

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่งและแขกผู้มาเยือน ที่รักทุกท่าน

                         เมื่อตอนตีห้าของวันนี้ ดีใจที่ฝนตก  ถึงแม้จะไม่มาก  ทำให้อากาศเย็นขึ้นมาหน่อยหนึ่ง  มันคงเป็นสัญญาณการจะสิ้นสุดฤดูร้อน  ย่างเข้าฤดูฝน เพราะที่ผ่านมามันร้อนจริง ๆ  จนเกิดพายุฤดูร้อนในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะภาคอิสาน

                         เช้านี้อยู่บ้านได้หุงข้าวใส่บาตรพระที่หน้าบ้าน  อีกวันหนึ่ง  เดี๋ยวนี้มีภาระกิจมากเหลือวันที่จะใส่บาตรพระที่หน้าบ้าน ๒-๓ วันต่อสัปดาห์ เอง  จนพรรคพวกชมรมผู้ใส่บาตรถาม ว่าหายไปไหน  ไม่ใส่บาตรพระทุกวันเลย  ก็ต้องยอมรับความจริง พี่สิงห์  ยังต้องทำมาหากิน มิฉนั้นตอนแก่จะอยู่ยาก  อนนี้ยังมีความสามารถอยู่ก็ต้องรีบตัก ครับ

                         อีกสักครู่ จะเดินทางไปสระบุรีแล้วต่อไปที่โคราช ครับ

                         การปฏิบัติธรรมนั้น  มันเป็น "ปัจจัตตัง" ผู้รู้จะรู้ได้เฉพาะตน  มันเป็นความจริง ขอยืนยัน เพราะเรามาถึงขั้นนี้เรารู้แล้วว่า  ความจริงมันเป็นอย่างไร  มันค่อย ๆ รู้เข้าใจเพิ่มของมันเอง ไปเรื่อย ๆ ข้อสำคัญอย่าหลงตนเอง  อย่าหลงอยู่ในความคิด  ต้องแยกสติออกมาจากจิตเราจะสามารถเห็นความจริงแห่งจิตมากขึ้น ๆ รู้มากขึ้น ๆ มันไม่มีอะไรเลย คือ "การปรุงแต่ง"  นี่ละเป็นตัวสำคัญ  ถ้าหยุดมันได้ ซึ่งก็หยุดไม่ได้  ยกเว้นท่านมีความระลึกได้อยู่ที่กาย เท่านั้น ส่วนเวทนา จิต และธรรม นั้น มันเป็นหนทางออกให้จิตได้พิจารณาให้เห็นความจริง และให้จิตมีงานทำ ไม่หลงไปในทางปรุงแต่ง ซึ่งจะก่อทุกข์ตามมาทั้งสิ้น

                         มันบอกกันยาก  บอกไปเขาก็หาว่าเราบ้า  ดังนั้น การอยู่เฉย  รู้เฉพาะตน มันจึงดีที่สุด  ยกเว้นผู้ที่ต้องการศึกษา เท่านั้น จึงจะพูดคุยกันได้  เพราะจิตมันจะบอกทันที บอกไป  ไม่บอกไป มีทั้งผิดและถูก สมควร ไม่สมควร  มันเกิดขึ้นเอง เป็นความจริง ครับ

                         สวัสดี

                       
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #8873 เมื่อ: 22 เมษายน 2556, 14:13:47 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 21 เมษายน 2556, 13:55:01
สวัสดีค่ะ คุณน้องหนุ๋งหนิ๋ง ที่รัก

                                  มันก็จริงของเธอ การรับประทานอาหารสองมื้อ และไม่กินอะไรหลังเที่ยงจนถึงหกโมงเช้า  แรงมันหายไปจริงๆ  จะเล่นกอล์ฟดีเพียงเก้าหลุม เท่านั้น  ยิ่่งตอนนี้ กทม.ร้อนสุด ๆ  ยิ่งถ้าไม่มีลมพัดแล้วร้อนจริง ๆ  อย่างเมื่อเช้าร้อนมาก  ขนาดอยู่บ้านก็เหมือนอยู่ในเตาอบ  ได้แต่ทำไม่รู้ไม่ชี้  ให้ร่างกายมันปรับตัวเองตามธรรมชาติ เราก็อยู่ได้ เพราะคนอื่นเขาก็ประสบแบบเดียวกัยเรา

                                  บ่ายนี้ร้อนจริงๆ  แดดจัดมากและไม่มีลมพัด

                                   สวัสดี


พี่สิงห์

จัดเรื่องอาหารไม่สัมพันธ์กับการใช้ชีวิตรึเปล่า ??
มือเย็นเป็นมังสวิรัติ หรือ ทานพวกผักสลัด ผลไม้ก็ได้ครับ โดยไม่ต้องเว้นมื้อเย็น
เพราะเรายังมีงานที่ต้องใช้แรง ไม่เหมือนพระที่บ่าย-จำวัด, เย็นจะทำวัตร สวดมนต์ และจำวัดเลย
พระยังมีน้ำปานะ ซึ่งเป็นน้ำผลไม้เคี่ยวมีน้ำตาลสูงมาก เป็นเครื่องดื่มในช่วงบ่าย-เย็น ทุกวัน
ช่วยบรรเทาอาการอ่อนแรง จากน้ำตาลในเลือดไม่พอ
พี่สิงห์อดมากกว่าพระซะอีก ต้องระวังนะครับ
เข้าสู่วัยนี้ น้ำตาลไม่พอเลี้ยงสมอง อาจเกิดอาการสมองเสื่อมขึ้นได้ จะมีปัญหาตามมาครับ


ข้อสังเกตุง่ายๆคือ มีการอาการมึน วูบ หรือหน้ามืด ตื้อคิดอะไรไม่ออกในช่วงบ่ายจนถึงช่วงก่อนนอน
                          หรือหน้ามืดขณะเปลี่ยนอิริยาบท เช่น ลุกขึ้นยืนแล้วเวียนศรีษะ     
                          นี่เป็นสัญญานไม่ดีแล้วครับ เกิดบ่อยๆ จะมีผลต่อสมอง
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #8874 เมื่อ: 22 เมษายน 2556, 16:57:25 »

สวัสดีครับ คุณเหยง

                        ขอบคุณมากสำหรับข้อแนะนำ

                        สิ่งที่กล่าวมานั้นไม่มีเลยสักข้อ

                        ได้พิจารณาเห็นความจริงจากตัวเองแล้วว่า  การไม่กินมื้อเย็น นั้น ไม่ทำให้เรามีประสิทธิภาพลดลงเลย  และตัดความยุ่งยากลงไปได้มาก  ไม่มีการพะวงอะไรเลย  มีผลดีมากกว่าผลเสีย และทำให้เอาชนะจิตตนเองได้สบาย 

                        กระเพาะอาหารไม่มีการบิดตัว  ไม่ปวดท้วงอะไรเลย  คงเป็นปกติแล้วละ

                        สวัสดี
      บันทึกการเข้า
  หน้า: 1 ... 353 354 [355] 356 357 ... 681   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

สมาคมนิสิตเก่าหอพักนิสิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มวลสมาชิกสมาคม คณาจารย์ และนิสิตเก่าทุกคน ขอน้อมเกล้าถวายความอาลัย  พระผู้เสด็จสู่สวรรคาลัย ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ <;))))><