23 พฤศจิกายน 2567, 08:04:51
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 320 321 [322] 323 324 ... 681   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: คุย กับ คุณมานพ กลับดี อดีตประธานชมรม ๓ สมัย  (อ่าน 3553486 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 21 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
อ้อย17
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,908

« ตอบ #8025 เมื่อ: 09 มกราคม 2556, 13:25:59 »

    ขอบคุณค่ะ พี่สิงห์...

           มาห้องนี้ก็ได้ธรรมะดีๆกลับไปสอนใจตัวเองทุกครั้ง ก็นับว่าคงมีบุญอยู่บ้าง...

    แต่ว่า...เมื่อคืนดูเหมือนตัวเองจะเกินคำว่าดีใจไปมากเลยค่ะ..อิอิ

    ได้เจอพี่ เจอเพื่อน เจอน้อง..ที่ถูกใจ ..เลย..อาจลืมสติไปบ้าง เพราะนานๆเจอกันที

    เมื่อคืนอ้อยเป็นผู้ฟังเพลง ไม่ได้ร้องเพลง จนกระทั่งจะปิดงาน..555..ตบะแตกตอนท้ายค่ะ

     พี่สิงห์ไม่ได้ไปไหนวันนี้ ...เมื่อคืนไม่น่ากลับเร็วเลยค่ะ น้องๆน่ารักมาก สนุกสนานกันทุกคน

     เป็นน้องหน้าใหม่ ที่เพิ่งหวนคืนวงการ ดูแล้วน่าจะเป็นกำลังที่ดีของหอฯในวันข้างหน้าได้

     นั่งฟังเพลงที่น้องๆร้องกันแล้วมีความสุขมากค่ะ..
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #8026 เมื่อ: 09 มกราคม 2556, 13:36:20 »

อ้างถึง
ข้อความของ อ้อย17 เมื่อ 09 มกราคม 2556, 13:25:59
    ขอบคุณค่ะ พี่สิงห์...

           มาห้องนี้ก็ได้ธรรมะดีๆกลับไปสอนใจตัวเองทุกครั้ง ก็นับว่าคงมีบุญอยู่บ้าง...

    แต่ว่า...เมื่อคืนดูเหมือนตัวเองจะเกินคำว่าดีใจไปมากเลยค่ะ..อิอิ

    ได้เจอพี่ เจอเพื่อน เจอน้อง..ที่ถูกใจ ..เลย..อาจลืมสติไปบ้าง เพราะนานๆเจอกันที

    เมื่อคืนอ้อยเป็นผู้ฟังเพลง ไม่ได้ร้องเพลง จนกระทั่งจะปิดงาน..555..ตบะแตกตอนท้ายค่ะ

     พี่สิงห์ไม่ได้ไปไหนวันนี้ ...เมื่อคืนไม่น่ากลับเร็วเลยค่ะ น้องๆน่ารักมาก สนุกสนานกันทุกคน

     เป็นน้องหน้าใหม่ ที่เพิ่งหวนคืนวงการ ดูแล้วน่าจะเป็นกำลังที่ดีของหอฯในวันข้างหน้าได้

     นั่งฟังเพลงที่น้องๆร้องกันแล้วมีความสุขมากค่ะ..

สวัสดีค่ะ คุณน้องอ้อย ที่รัก

                            เพราะว่าพี่สิงห์ เห็นคนรุ่นใหม่มารับหน้าที่ต่อแล้ว  จึงไม่มีอะไรที่พี่สิงห์ ต้องห่วง ต้องกระทำอีกแล้ว  อยู่ก็เป็นส่วนเกิน  ไม่เหมาะสม  ดร.สุริยา  จะว่าหูมันฟังเพลง ย่อมได้ยิน ผิดศีลข้อที่ ๗  ถ้าเป็นตามที่ ดร.สุริยา  ว่า พระในเมืองไทยทั้งหมด  คงต้องอาบัติเป็นแน่แท้

                            จริงอยู่เราได้ฟัง  แต่เราก็ไม่คิดต่อได้  มันก็ไม่เป็นผลทั้งสิ้น  ไม่ใช่พอติดตั้งเครื่องเสียงเสร็จ ก็อ้างต้องทดลองเสียง แบบ ดร.สุริยา  อดทนอดกลั้นจิตไม่อยู่  ก็ออกไปร้อง รำ ทำเพลง แบบนั้นผิดศีลข้อ ๗  แต่พี่สิงห์ เฉยๆ ไม่มีอะไรเกิดขึ้น  บางครั้งไม่ได้ยินเลย เพราะจิตไม่ได้สนใจเรื่องเพลง  คนร้องเพลง

                             มันหมดหน้าที่ของพี่สิงห์  จริงๆ  หมดยุคแล้ว  เป็นเรื่องของคนรุ่นใหม่  ต้องปล่อยวาง  ถ้าไม่ปล่อยวางไปเอาเป็นธุระ  เราก็ทำอะไรไม่ได้  ไม่มีอำนาจอะไรแล้ว  การปล่อยคนรุ่นใหม่นั้นดีด้วยประการทั้งปวง

                              คุณราเมศวร์  ก็บอกพี่สิงห์ เองว่า  มีอะไรให้ทำ  หรือรบกวนจะโทรศัพท์ ไปบอกให้ทราบ

                              สวัสดี
      บันทึกการเข้า
อ้อย17
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,908

« ตอบ #8027 เมื่อ: 09 มกราคม 2556, 13:45:41 »


            ค่ะ..พี่สิงห์...

                แต่ว่า.....น้องก็อยากให้พี่สิงห์อยู่ด้วยนานๆค่ะ...

            อยู่คุยกัน ถามสารทุกข์สุกดิบกัน...แลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน

            ซึ่งมันดี มีคุณค่า ไม่ใช่เรื่องไร้สาระ ..เพราะกว่าจะทักทายกันครบก็ใช้เวลานานพอสมควรทีเดียวค่ะ

            ยังอยากคุย อยากฟังเรื่องที่พี่จะบอก จะเล่า ซึ่งคิดว่ามีอีกมากมายค่ะ..ไม่รู้ว่าจะรบกวนพี่มากไปหรือเปล่านะคะ

             แต่ถ้าพี่สิงห์ ไม่สะดวก ก็...ต้องแล้วแต่พี่ล่ะค่ะ...น้องๆเคารพความคิดของพี่อยู่แล้ว...
      บันทึกการเข้า
somdej15
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 27

« ตอบ #8028 เมื่อ: 09 มกราคม 2556, 20:02:32 »

สวัสดีครับพี่สิงห์
พี่ไปงานปีใหม่หอที่บ้านอาจารย์เผ่าไม่นาน แต่ได้บรรยากาศมาครบเลย
ขอชมเชยครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #8029 เมื่อ: 09 มกราคม 2556, 20:24:16 »

อ้างถึง
ข้อความของ อ้อย17 เมื่อ 09 มกราคม 2556, 13:45:41

            ค่ะ..พี่สิงห์...

                แต่ว่า.....น้องก็อยากให้พี่สิงห์อยู่ด้วยนานๆค่ะ...

            อยู่คุยกัน ถามสารทุกข์สุกดิบกัน...แลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน

            ซึ่งมันดี มีคุณค่า ไม่ใช่เรื่องไร้สาระ ..เพราะกว่าจะทักทายกันครบก็ใช้เวลานานพอสมควรทีเดียวค่ะ

            ยังอยากคุย อยากฟังเรื่องที่พี่จะบอก จะเล่า ซึ่งคิดว่ามีอีกมากมายค่ะ..ไม่รู้ว่าจะรบกวนพี่มากไปหรือเปล่านะคะ

             แต่ถ้าพี่สิงห์ ไม่สะดวก ก็...ต้องแล้วแต่พี่ล่ะค่ะ...น้องๆเคารพความคิดของพี่อยู่แล้ว...

สวัสดีค่ะ คุณน้องอ้อย ๑๗ ที่รัก

                                  ขอบคุณมากที่เตือน ให้มีสติ

                                  การจะเล่า จะพูด เรื่องอะไรนั้น  ผู้พูดต้องระวัง  ถ้าคนฟังเขาไม่ศรัทธา  ไม่ก่อประโยชน์ทั้งสิ้น

                                  ถ้าเขาศรัทธา อยากจะรู้อะไร  เขามาบอก  เขามาเชิญ อย่างนั้นเราก็ยินดี และไปพูดให้ฟังได้ อย่างเช่น วันจันทร์ที่ ๑๔ มกราคม  เป็นความต้องการของเขาจริง ๆ ที่จะให้พี่สิงห์ไปบรรยายเรื่อง "อยู่อย่างไร  ให้ไร้โรค" และสอนชิกง-โยคะ  พี่สิงห์ ก็เอาสิ่งที่เราดูแลตนเองไปสอน  เพราะเราปฏิบัติดูแล้วตามหลัก "กาลามสูตร" ว่ามันดีจริง  เป็นกุศล  เป็นประโยชน์  แต่มีเวลามาก ดังนั้น ภาคปฏิบัติก่อนที่จะฝึกชิกง-โยคะ  จะสอนเดินจงกรม  ออกกำลังกาย หัดแยกความรู้สึกตัว  ความคิด และอารมณ์ให้ได้ หรือแยกรูป แยกนาม นั่นเอง เพราะผู้อบรมเพิ่งจะรับประทานอาหารกลางวันมา  ยังไม่เหมาะกับการฝึกชิกง-โยคะ และมันก็ถูกต้องด้วยตามที่พระพุทธองค์แนะนำ คือเดินจงกรมภายหลังรับประทานอาหาร  มันจะช่วยในการย่อยอาหารดีขึ้นเป็นประโยชน์

                             ยิ่งเรื่อง "ธรรมะ" หรือ "การเมือง" นี่พูดยากมาก ถ้าเขาไม่ศรัทธา  มีแต่วิวาท เท่านั้น

                            ยกเว้นที่กระทู้นี้ เพราะถือว่า ทุกคนถ้าไม่ชอบ  ก็ไม่ต้องอ่าน เป็นสิทธิของเขา  จะให้เขียนเรื่องวิชาการ ก็ไม่รู้เรื่อง  มันก็ต้องเขียนไปแบบนี้  คนเราจะเขียนได้ทุกวันเสียเมื่อไร  จิตมันไม่ชอบ

                             ถ้า ดร.สุริยา  หรือเวบมาสเตอร์ มาบอกว่าให้เลิกเขียนเสียที  คนเบื่อ ไม่ก่อประโยชน์อันใด  จักขอบคุณมากเลย  จะได้ปลดของหนักบนบ่าออกเสียที

                             สวัสดีค่ะ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #8030 เมื่อ: 09 มกราคม 2556, 20:29:07 »

อ้างถึง
ข้อความของ somdej15 เมื่อ 09 มกราคม 2556, 20:02:32
สวัสดีครับพี่สิงห์
พี่ไปงานปีใหม่หอที่บ้านอาจารย์เผ่าไม่นาน แต่ได้บรรยากาศมาครบเลย
ขอชมเชยครับ

สวัสดีครับ คุณสมเดช

                           พี่สิงห์ ไปถึงเวลา 17:50 น. ตอนกลับก็เกือบสองทุ่มแล้ว  มันก็น่าจะอยู่นานพอสมควร เพราะรายการที่เหลือ คือ อวยพรปีใหม่ จับของขวัญ และ ร้องเพลงคาราโอเกะ

                           ผู้อาวุโสในงานก็มี พี่สันทัศน์  พี่กาญจนา  พี่สัมพันธ์  อาจารย์พินิจ  พี่ติ๋ว เพียงพอแล้วในการให้พร

                           และมันเลยเวลาแล้ว เพราะกว่าจะถึงบ้านก็สามทุ่ม  มันจึงสมควร ครับ

                           สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #8031 เมื่อ: 09 มกราคม 2556, 20:48:18 »

การเจริญสติในชีวิตประจำวัน

                               สิ่งที่สำคัญที่สุดในการปฏิบัติธรรมคือ เวลาส่วนใหญ่ของเรานั้น มันอยู่ที่ การทำกิจวัตรประจำวัน  การทำงาน  การอยู่ในสังคม  เวลาที่เราจะนั่งเจริญสติ  มันมีไม่มาก  และไม่มีใครนั่งทั้งวันทั้งคืน

                                เรานั่งเจริญสติ  หรือเดินจงกรม เพียงแค่เวลาเราต้องการพักจิต  ให้มันสงบ  ไม่คิด เท่านั้น

                                เมื่อจิตมันตื่น เป็นผู้รู้ ผู้เบิกบานแล้ว มันเป็นไปของมันเองโดยอัตโนมัติ  เพราะจิตมันจำความรู้สึกตัว  ความคิด  อารมณ์ที่เกิดขึ้นได้  พอมีกรรมฐานใด เกิดขึ้น มันก็รู้ขึ้นมาได้ทันที  เวลาตื่นขึ้น มันก็จะเตือนให้รู้สึกตัวทันที  ไม่หลงอยู่ในความคิด  จะลุกจากที่นอน มีการเคลื่อนไหวอวัยวะร่างกาย  ก็รู้ตามไป ก้าวเท้าก็รู้ตามไป  จะไปหยิบอะไร  เดินลงบันได ก็รู้ตามไป  มันเป็นอย่างนี้ แต่ก็มีการคิด  เราก็รู้ ความคิดมันก็หายไป  บางครั้งตั้งใจคิดก็ปล่อยให้มันคิด  แต่ที่สำคัญถ้ามันคิดอย่าลืมกายเด็ดขาดไม่ดี  ให้มันอยู่กับหลง และอยู่กับรู้สลับกันอย่างนี้แหละ  ไม่มีใครแช่อารมณ์กรรมฐานได้นาน ๆ หรอก  จิตมนุษย์นั้นจับให้อยู่กับที่มันยาก

                                 การรู้สึกตัวเข้าไว้มันดีหลายอย่าง คือไม่เกิดอุบัติเหตุ  เพราะเรารู้ว่าเรากำลังก้าวขาทีละก้าว  จิตมันตื่น  ไม่เกิด  แต่ถ้าจิตมันหลงตนลืมกาย  นี่ละอุบัติเหตุทั้งนั้นจงระวัง

                                 มันเป็นธรรมชาติเกิดขึ้นเอง  ไม่ยากหรอกครับ  เราจะรู้เอง  เราก็สุขได้  ถึงแม่ไม่ได้ดู ทีวี  ฟังวิทยุ  หรืออ่านหนังสือพิมพ์ เพราะการรู้สึกตัวมันจะลืมเวลาไปเลย เพราะจิตมันไม่ได้คิด  เวลาจึงผ่านไปเร็วมาก วันหนึ่ง ๆ

                                 อาทิตย์นี้ไม่ได้ไปไหนอยู่บ้าน  เราก็มีสติ อยู่ได้สบายไปวันหนึ่ง ๆ มีแต่ หุงข้าว  กินข้าว แล้วล้างจานทันที ซักผ้า  ออกกำลังกายตอนเย็น อยู่อย่างนี้ เพราะต้องคอยหาข้าวเอาไว้ให้หลานสาวและล้างจานด้วย เพราะเขากำลังยุ่งกับวิทยานิพนธ์  ถ้าไม่มีสติ อยู่ไม่ได้ ครับ

                                 ราตรีสวัสดิ์ทุกท่านครับ

                             
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #8032 เมื่อ: 10 มกราคม 2556, 08:21:37 »

สวัสดียามเช้าครับ ชาวซีมะโด่ง และแขกผู้มาเยือน ที่รักทุกท่าน

                        งานสังสรรค์ของพวกเราชาวซีมะโด่ง ก็เป็นอดีตไปแล้ว  ผ่านไปแล้ว เราต้องกลับมาอยู่ในโลกของความจริง เป็นปัจจุบัน ที่เราจะต้องประสบความสุขบ้าง  ความทุกข์บ้าง เฉย ๆ บ้าง แล้วแต่ว่าถ้าคนไหนเห็นความจริงในความเป็นไป มันก็เฉยๆ ถ้าคนไหนยังหลงระเริงอยู่ ก็จะมีสุขมาก และมีทุกข์มากเช่นกัน  คือยับยั้งใจไม่ได้นั่นเอง

                         การที่จะยับยั้งใจได้นั้น เราต้องเอาจิตของเราออกจากในโลกของความคิด  ให้เอาความรู้สึกตัวหรือที่เราจะสมมติให้เป็นจิตอีกดวงหนึ่งมาคอยดูจิตของเราแทน  ดูทั้งกายและใจ

                         อะไรเกิดขึ้นที่กาย  มากระทบกาย(อวัยวะ)เราก็รู้

                         อะไรเกิดขึ้นกับจิตเรา เราก็รู้ 

                         การรู้สึกได้นี้เป็นอารมณ์ปรมัตถ์ตามธรรมชาติ ที่จิตมันจะต้องศึกษาของมันให้เห็นความจริง จนมันปล่อยวางเอง

                         ถ้าเราถอนออกมาจากโลกของความคิดได้  มันจะมีแต่ความสงบ  เห็นความจริงในกาย ในใจของเราได้  ให้จิตมันเห็นความจริงอันนี้ เห็นอะไรบ้าง เห็นรูป-นามที่แท้จริง และเห็นไตรลักษณ์

                         เห็นรูป-นาม คือ มีความเห็นที่ถูกต้องว่า ร่างกายของเราที่เราเข้าใจว่าเป็นตัวตนของเรานั้นแท้จริงมันประกอบไปด้วย ๒ ส่วนหลัก หรือ ๕ ส่วนย่อย คือ รูป ที่สามารถเห็นได้ กับตัวนาม หรือจิต ที่ไม่มีตัวตนที่ไม่สามารถเห็นได้เลย นามประกอบด้วย เวทนา สัญญา  สังขาร และวิญญาณ

                        รูปนั้นประกอบไปด้วยมหาธาตุทั้งสี่ คือ ธาตุดิน  ธาตุไฟ  ธาตุลม และธาตุน้ำ มาประชุมรวมกัน มีอวัยวะ ๓๒ ที่เขาสมมติเรียกว่าเป็นคน หรือมนุษย์ในภาษาไทยนั่นเอง

                        ทำไมถึงบอกว่าประกอบไปด้วยมหาธาตุทั้ง ๔

                        ท่านลองมองรูอบ ๆ ตัวเราแล้วพิจารณาให้เห็นความจริงอันนี้  โลกเราน้ำประกอบไปด้วยธาตุทั้ง ๔ จริง ๆ คือ ธาตุดิน ส่วนที่เป็นของแข็งทั้งหมด  แม้กระทั่งเหล็ก ก่อนที่จะเป็นเหล็กก็มาจากดินที่มีแร่เหล็กผสมอยู่เป็นเพียงของแข็งก่อนหนึ่ง  หินที่เราเห็นว่าแข็งมากนั้น สุดท้ายมันก็ย่อยเป็นธุรีเป็นดินได้ เช่นเดียวกันท่านพิจารณาดูธาตุไฟ คือส่วนที่มีอุณภูมิ ร้อน-เย็น อาจจะแทรกอยู่ในสิ่งต่าง ๆ ตามปัจจัย ธาตุน้ำ คือส่วนที่เป็นของเหลวทั้งหมด  ธาตุลม คือส่าวนที่เป็นอากาศและที่ว่าง  โลกใบนี้ รวมทั้งจักรวาลประกอบด้วยธาตุทั้ง ๔ นี่เท่านั้น

                       ส่วนนามหรือจิต หรือธรรมชาติที่รู้อารมณ์นั้น แบ่งออกเป็น ๔ ส่วนคือ เวทนา  สัญญา  สังขาร  และวิญญาณ

                      เวทนาคือ ความรู้สึกสุข  ความรู้สึกทุกข์ ความรู้สึกไม่สุขไม่ทุกข์  ทุกเวลาท่านก็มีความรู้สึกอย่างนี้เป็นปรมัตถ์ที่ท่านควรจะให้จิตของท่านได้รู้เมื่อรับรู้อารมณ์ที่เกิดขึ้น ว่ามันเป็นอย่างนี้ เกิดขึ้นจากเหตุปัจจัย เป็นเพียงชั่วครู่เท่านั้น แล้วก็ดับไป

                     สัญญาคือความจำ ที่จิตมันจำได้ขึ้นมาจากสิ่งที่เคยประสบที่เกิดจากธาตุทั้ง ๔ กระทบกับแสง ที่เขาสมมติว่าเป็นนั่นเป็นนี้มีชื่อเรียกต่าง ๆแล้วแต่จะตั้ง เมื่อมาประสบอีก หรือนึกขึ้นได้ ก็จะจำได้ เป็นสมมติบัญญัติทั้งนั้น ไม่น่ายินดีเลย ไม่เหมาะในการเอามาเป็นกรรมฐานทั้งสิ้น

                     สังขารคือความคิด ที่จิตมันคิด การคิดเกิดจากอวิชชา คือความไม่รู้ต่างๆ ที่ประสบทางอายตนะ หรือไม่รู้ในอริยสัจ ๔ หรือไม่รู้ในสิ่งที่เป็นธรรมชาติรอบๆ ตัวที่ประสบ ที่นึก ก็จะคิด เป็นสมมติบัญญัติ ไม่น่ายินดี  ไม่น่าปราถนาเลย และไม่ใช่อารมณ์กรรมฐานทั้งสิ้น  การคิดมีแต่ทุกข์ ก่อให้เกิดการก่อทุกข์ทั้งสิ้น

                     วิญญาณ คือการรับรู้ได้ทางตา  หู  จมูก  ลิ้น  กาย  ใจ ที่เราประสบอยู่ทุกขณะ เป็นทวารในก่อทุกข์ทั้งสิ้น พระพุทธองค์จึงทรงเน้นมากให้สำรวมทั้งวารทั้ง ๖ จงหนัก เพราะเป็นต้นเหตุต่าง ๆ ที่จะตามมา

                      วิญญาณ ไม่ใช่เป็นดวงวิญญาณ  พอตายไปแล้วก็ร่องลอยไปตามภพไปเกิดใหม่  ไม่ใช่  สิ่งที่ไปเกิดใหม่คือ นามหรือจิต

                      จะเห็นว่าร่างกายนั้น มันไม่มีตัวตนเลยมีเพียง รูป เวทนา  สัญญา  สังขาร และวิญญาณ  ท่านต้องปรับทัศน์คติต่อตัวท่าน ให้เห็นความจริงตามนี้ แล้วท่านจะเห็นความเป็นไตรลักษณ์ได้เอง

                     เพราะความเป็นไตรลักษณ์มันเกิดขึ้น  ตั้งอยู่  ดับไปตลอดเวลาอยู่แล้ว เพียงแต่ท่านมองมันไม่เห็นไม่ออก  ไม่เข้าใจได้ต่างหาก

                     เอาไว้ติดตามพรุ่งนี้ครับ

                     สวัสดี
      บันทึกการเข้า
too_ploenpit
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2514
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 7,778

เว็บไซต์
« ตอบ #8033 เมื่อ: 10 มกราคม 2556, 08:30:30 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 09 มกราคม 2556, 12:19:02
อ้างถึง
ข้อความของ too_ploenpit เมื่อ 09 มกราคม 2556, 07:51:36
อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 08 มกราคม 2556, 19:17:55





                            พบข้อไม่ดีของ Samsung 10.1 แล้ว ถ่ายภาพกลางคืนไม่ได้

...สวัสดีค่ะ...พี่สิงห์...

...ตามเข้ามาชมรูปค่ะ...

...ทั้งไอแพดและแกแล็คซี่...ถ้าเรื่องถ่ายรูปแล้วคล้ายๆกันค่ะ...

...พี่สิงห์ต้องเอากล้องเน็ก 5...ติดตัวไปดีกว่าค่ะ...


สวัสดีค่ะ คุณน้องตู่ ที่รัก

                          พี่สิงห์ ก็เอา Nex 5 ไปด้วย แต่ไม่ได้เอา Flat ไป ผลคือ คนอื่นถ่ายไม่ได้  นอกจากเราเท่านั้น ครับ

                          สวัสดี


...สวัสดีค่ะ...พี่สิงห์...

...พอดีตู่ได้ทดลองบางโปรแกรมค่ะ...

...คือว่าเคยได้ใช้โปรแกรมอัตโนมัติทั้ง 3 แบบ...แล้วใช้ถ่ายรูปในที่มืดไม่ได้...

...เพราะโปรแกรมอัตโนมัติของกล้องเน็ก...มันจะประมวลทุกอย่างให้เสร็จแต่มันประมวลไม่ได้เพราะวิวมันมืดเกินไป...

...ตู่ลองใช้...ถ่ายรูปในที่มีแสงน้อย(ป้องกันกล้องสั่นไหว)...

...หรือถ่ายคนในที่มืด...ที่มีรูปคนกับกระจันทร์ครึ่งเสี้ยวน่ะค่ะ...

...มันจะได้รูปออกมาเป็นบรรยากาศของขณะนั้นจริงๆ...

...ก็โอเคนะคะ...
      บันทึกการเข้า

i love pink, you are pink = i love you
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #8034 เมื่อ: 10 มกราคม 2556, 08:44:39 »

สวัสดีค่ะ คุณน้องตู่ ที่รัก

                             แสงในงานเลี้ยงมันเป็นแสงจากนีออไฟสี ภาพมันเลยออกมาเป็นแบบนั้น เป้นธรรมชาติจริง ๆ เพราะไม่มีแสงจากแฟลต  บางภาพเป็นกล้อง Nex 5 ภาพออกมาจะเป็นธรรมชาติและชัดด้วยเพราะเราปรับเพิ่มแสงให้  แต่ไม่มีแฟลต มันก็สวยของมัน  แต่คนถ่ายส่วนใหญ่ ถ่ายไม่เป็น เช่นสองรูปนี้




ให้ คนอื่นถ่าย(บักสน) ใช้กล้อง Nex 5



ใช้กล้อง Nex 5 แต่พี่สิงห์ ปรับแสงในตัวให้ใหม่ และใช้คนเดิม(บักสน)นั้นถ่ายภาพอีกครั้ง

                        
                         จะเห็นว่าภาพแตกต่างกันสิ้นเชิง  แต่ต้องใจเย็นปรับแสงใหม่ให้พอดีที่ภาพจะออกมาเป้นธรรมชาติ ชัด

                         สวัสดี
      บันทึกการเข้า
too_ploenpit
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2514
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 7,778

เว็บไซต์
« ตอบ #8035 เมื่อ: 10 มกราคม 2556, 09:01:15 »



...พี่สิงห์คะ...

...มันจะขึ้นอยู่กับบรรยากาศตอนนั้นด้วยค่ะ...

...ถ้าเราไปยืนอยู่ในที่มืด...ภาพมันก็มืด...

...ควรมีแสงไฟพอควรค่ะ...

...อันนี้ตู่ไม่ได้ปรับอะไรเลย...

...มันปรับให้เองหมดค่ะ...

...ไปถ่ายที่...บ้านไม้ชายน้ำ...ปากช่อง...ค่ะ...

      บันทึกการเข้า

i love pink, you are pink = i love you
too_ploenpit
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2514
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 7,778

เว็บไซต์
« ตอบ #8036 เมื่อ: 10 มกราคม 2556, 09:04:49 »


...ตั้งโปรแกรมไปที่...ถ่ายคนกับวิวในที่มืด...ค่ะ...

      บันทึกการเข้า

i love pink, you are pink = i love you
too_ploenpit
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2514
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 7,778

เว็บไซต์
« ตอบ #8037 เมื่อ: 10 มกราคม 2556, 09:07:52 »


...ไม่ต้องเปิดแฟลซค่ะ...

      บันทึกการเข้า

i love pink, you are pink = i love you
too_ploenpit
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2514
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 7,778

เว็บไซต์
« ตอบ #8038 เมื่อ: 10 มกราคม 2556, 09:12:37 »


...ไม่ใช้แฟลชค่ะ...

      บันทึกการเข้า

i love pink, you are pink = i love you
too_ploenpit
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2514
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 7,778

เว็บไซต์
« ตอบ #8039 เมื่อ: 10 มกราคม 2556, 09:14:50 »


...ใช้แฟลชค่ะ...

...สว่างไปอีก...ไม่สวย...

      บันทึกการเข้า

i love pink, you are pink = i love you
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #8040 เมื่อ: 10 มกราคม 2556, 09:48:55 »

สวัสดีค่ะ คุณน้องตู่ ที่รัก

                        ต้องบอกก่อนว่า คิดเอาเอง ตามงู ๆ ปลา ๆ  กลัวว่าอดิสรมาอ่าน  จะต่อว่าเอา ว่าจำมาผิดแล้ว

                         ปกติถ้าแสงสว่างดี เป็นธรรมชาติ  พี่สิงห์จะใช้โหมด i อัตโรมัติอัจฉริยะ ของกล้อง

                         แต่คุณหลานสาวอ๋อ (ลูกสาวอาจารย์เผ่า) สอนให้ลุงสิงห์ ใช้โหมด P เพื่อปรับแต่ง แสงได้ด้วยตัวเอง พี่สิงห์ก็กระทำตามนั้นเวลาถ่ายภาพที่แสงมีน้อย หรือกลางคืน

                         ส่วนโหมด A ยังหาความแตกต่างไม่ได้

                         ส่วน M นั้นขอเมิน เพราะความไม่รู้ ถ่ายภาพออกมามันไม่ละเอียด ครับ

                         ก็รู้อยู่เพียงแค่นี้  การนำแฟลตไปด้วย มันลำบากครับ

                          ทำไม? ในรูปเธอสมบูรณ์ จังเลย น่าอิจฉา !

                         ขอบคุณมากสวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #8041 เมื่อ: 10 มกราคม 2556, 09:58:25 »

เสร็จ "มรรคกิจ ๑๖"

                           ทุกครั้งที่อ่านเจอในพระสูตรที่พระพุทธองค์ทรงสอนว่า ภิกษุทั้งหลายบัดนี้เธอได้กระทำมรรคกิจ ๑๖ เสร็จสิ้นแล้ว ไม่มีสิ่งใดที่ต้องกระทำอีก คือสำเร็จเป็นพระอรหันต์ ก็อยากรู้ว่า มรรคกิจ ๑๖ คืออะไร? ก็ได้คำตอบจากท่านผู้รู้ใน กรูเกิล ครับ


เสร็จกิจ ๑๖ ไม่ตกกันดาร เรียกว่า นิพพานก็ได้ นี่แหละเสร็จกิจ ๑๖ ละ ทุกขสัจ สมุทัยสัจ นิโรธสัจ มรรคสัจ ในกายมนุษย์ ๔, ทุกขสัจ สมุทัยสัจ นิโรธสัจ มรรคสัจ ในกายทิพย์ ๔ เป็น ๘, ทุกขสัจ สมุทัยสัจ นิโรธสัจ มรรคสัจ ในกายรูปพรหม ๔ เป็น ๑๒, ทุกขสัจ สมุทัยสัจ นิโรธสัจ มรรคสัจ เห็นจริงตามจริงในกายอรูปพรหมอีก ๔ มันก็เป็น ๑๖ นี้เสร็จกิจทางพุทธศาสนา

“คนจำนวนเท่าขนโค แต่ที่รอดพ้นจากอบายภูมิไปได้เท่าจำนวนเขาโค”

ก็เป็นคติเตือนใจศิษยานุศิษย์ของท่าน ให้สำรวมในศีลและอินทรีย์ให้มาก และท่านยังได้สอนไว้อีกว่า

“เกิดมาว่าจะมาหาแก้ว พบแล้วไม่กำ จะเกิดมาทำอะไร
สิ่งที่อยากก็หลอก สิ่งที่หยอกเขาก็ลวง ทำให้จิตเป็นห่วงใย
เลิกอยากลาหยอก รีบออกจากกาม เดินตามขันธ์สามเรื่อยไป
เสร็จกิจสิบหก ไม่ตกกันดาร เรียกว่านิพพานก็ได้”


คติธรรมนี้ ท่านหมายความว่า เกิดมาเพื่อจะพบคุณพระศรีรัตนตรัย ได้พบพระพุทธศาสนาแล้ว ซิกลับไม่สนใจ ใส่ใจ ศึกษาสัมมาปฏิบัติ เพื่อเข้าถึงพระรัตนตรัย ให้ได้ผลสมควรแก่ธรรมปฏิบัติ แล้วที่เกิดมานี้จะได้ประโยชน์อะไร เสียชาติเกิดแท้ๆ ความทะยานอยากในกามก็เป็นเรื่องหลอกๆ ไม่จิรังยั่งยืนอะไร คือ ล้วนเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาทั้งสิ้น ทั้งยังเป็นภาระหนัก ให้ต้องห่วงใยอีกมาก ถ้าเลิกจากความทะยานอยากในกาม ตั้งหน้าปฏิบัติไตรสิกขา คือ อบรมกาย วาจา และใจ ให้เรียบร้อยดี ไม่มีโทษ โดยการปฏิบัติศีล สมาธิ และปัญญา อันมีนัยอยู่ในอริยมรรคมีองค์ ๘ พิจารณาสภาวธรรม และพระอริยสัจธรรมทั้ง ๔ ในกาย หรือในโลกมนุษย์ ทิพย์ พรหม อรูปพรหม ให้รู้แจ้งเห็นแจ้งตามธรรมชาติที่เป็นจริง ชื่อว่า เสร็จกิจ ๑๖ นี้แหละเป็นทางมรรค ผล นิพพาน ให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ และที่เป็นบรมสุข ตามระดับภูมิธรรมที่ปฏิบัติได้

โมทนาสาธุคุณ JOYSA ด้วยครับเสร็จกิจ ๑๖ ไม่ตกกันดาร ก็คือ โสฬสญาณนี่แหละครับ เพราะการจะไม่ต้องตกกันดารก็มีแต่พระอรหันต์เท่านั้นครับที่ไม่ต้องลำบากกลับมาเกิดอีกครับสาธุ



พระธรรมเทศนาโดย...หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

กิจในพระธรรมวินัยนี้ ที่นับว่าสำคัญที่สุดเรียกว่า โสฬสกิจ เป็นกิจที่โยคาวจร กุลบุตรพึง พากเพียรพยายามทำให้สำเร็จบริบูรณ์ด้วยความไม่ประมาท

โสฬสกิจ ได้แก่กิจในอริยสัจ ๔ ประการ คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ชั้นโสดาบันก็ประชุม ๔ ชั้น สกิทาคามีก็ประชุม ๔ สองสี่ก็เป็น ๘ ชั้นอนาคามีก็ประชุม ๔ ชั้นอรหันต์ก็ประชุม ๔ สองสี่ก็เป็น ๘ สอง แปดเป็น ๑๖ กำหนดสัจจะทั้ง ๔ รวมเป็นองค์อริยมรรคเป็นขั้นๆ ไป

เมื่อเรามาเจริญอริยมรรคทั้ง ๘ อันมีอยู่ในกายในจิต คือ
ทุกข์ เป็นสัจจะของจริงที่มีอยู่ ก็รู้ว่ามี อยู่เป็น ปริญเญยฺยะ ควรกำหนดรู้ก็ได้ กำหนดรู้

สมุทัย เป็นสัจจะของจริงที่มีอยู่ก็รู้ว่ามีอยู่ เป็น ปหาตัพพะ ควรละก็ละได้แล้ว

นิโรธ เป็นสัจจะของจริงที่มีอยู่ก็รู้ว่ามีอยู่เป็น สัจฉิกาตัพพะ ควรทำให้แจ้งก็ได้ทำให้แจ้งแล้ว

มรรค เป็นสัจจะของจริงที่มีอยู่ก็รู้ว่ามีอยู่เป็น ภาเวตัพพะ ควรเจริญให้มากก็ได้เจริญให้มากแล้ว

เมื่อมากำหนดพิจารณาอยู่อย่างนี้ ก็แก้โลกธรรม ๘ ได้สำเร็จ
มรรค อยู่ที่ กาย กับ จิต คือ ตา ๒ หู ๒ จ มูก ๒ รวมเป็น ๖ ลิ้น ๑ เป็น ๗ กาย ๑ เป็น ๘ มาพิจารณารู้เท่าสิ่งทั้ง ๘ นี้ ไม่หลงไปตาม ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข เสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์ อันมาถูกต้อง ตนของตนจิตไม่หวั่นไหว โลกธรรม ๘ เป็นคู่ปรับกับมรรค ๘ เมื่อรู้เท่าส่วนทั้งสองนี้แล้ว

เจริญมรรคให้บริบูรณ์เต็มที่ ก็แก้โลกธรรม ๘ ได้ ก็เป็น ผุฏฺฐสฺส โลกธมฺเมหิ จิตฺตํ ยสฺส น กมฺปติ อโสกํ วิรชํ เขมํ เอตมฺ มงฺคลมุตฺตมํ

โลกธรรมถูกต้องจิตผู้ใดแล้ว จิตของผู้นั้นไม่หวั่นไหว เมื่อ ไม่หวั่นไหวก็ไม่เศร้าโศก เป็นจิตปราศจากเครื่องย้อม เป็นจิตเกษมจากโยคะ จัดว่าเป็นมงคลอันอุดม เลิศ ฉะนี้แล ฯ

อืม ว่าจะไม่ตอบ เพราะกลัวคนไม่เข้าใจกัน เพราะผมเองก็ยังทำไม่ได้ครับ ได้แต่รับฟังมาเท่านั้น เท่าที่ได้รับฟังมาจากครูบาอาจารย์และพอจำได้นะครับ ขอขยายความของคุณ JOYSA เลยแล้วกัน ไม่แน่ใจว่าจะใช่หลักการปฏิบัติแบบเดียวกับคุณ xlmen ด้วยหรือไม่ ลองพิจารณากันเอาเองแล้วกันครับ



เสร็จกิจ 16 หมายถึง การพิจารณาอริยสัจ 4 ของกายที่ยังอยู่ในภพ 3 ทั้ง 4 กาย โดยใช้พระธรรมกายภายในเป็นตัวเจริญวิปัสสนา คือ

1) ปฏิบัติธรรมจนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับกายธรรมโคตรภู แล้วใช้กายธรรมโคตรภูไปพิจารณาอริยสัจ 4 ในกายมนุษย์ จนหมดกิเลสในกายมนุษย์ จึงบรรลุธรรมเป็นพระอริยบุคคลชั้น พระโสดาบัน

2) ปฏิบัติธรรมจนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับกายธรรมพระโสดาบัน แล้วใช้กายธรรมพระโสดาบันไปพิจารณาอริยสัจ 4 ในกายทิพย์ จนหมดกิเลสในกายทิพย์ จึงบรรลุธรรมเป็นพระอริยบุคคลชั้น พระสกทาคามี

3) ปฏิบัติธรรมจนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับกายธรรมพระสกทาคามี แล้วใช้กายธรรมพระสกทาคามีไปพิจารณาอริยสัจ 4 ในกายรูปพรหม จนหมดกิเลสในกายรูปพรหม จึงบรรลุธรรมเป็นพระอริยบุคคลชั้น พระอนาคามี

4) ปฏิบัติธรรมจนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับกายธรรมพระอนาคามี แล้วใช้กายธรรมพระอนาคามีไปพิจารณาอริยสัจ 4 ในกายอรูปพรหม จนหมดกิเลสในกายอรูปพรหม จึงบรรลุธรรมเป็นพระอริยบุคคลชั้น พระอรหันต์

เมื่อบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์แล้วก็เท่ากับเสร็จกิจในพระพุทธศาสนา ไม่ต้องตกกันดาร มีนิพพานเป็นที่ไปครับ

ผิดถูกประการใด วานผู้รู้ชี้แจงด้วย


เสร็จกิจ 16 หมายถึง การพิจารณาอริยสัจ 4 ของกายที่ยังอยู่ในภพ 3 ทั้ง 4 กาย โดยใช้พระธรรมกายภายในเป็นตัวเจริญวิปัสสนา คือ

1) ปฏิบัติธรรมจนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับกายธรรมโคตรภู แล้วใช้กายธรรมโคตรภูไปพิจารณาอริยสัจ 4 ในกายมนุษย์ จนหมดกิเลสในกายมนุษย์ จึงบรรลุธรรมเป็นพระอริยบุคคลชั้น พระโสดาบัน

2) ปฏิบัติธรรมจนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับกายธรรมพระโสดาบัน แล้วใช้กายธรรมพระโสดาบันไปพิจารณาอริยสัจ 4 ในกายทิพย์ จนหมดกิเลสในกายทิพย์ จึงบรรลุธรรมเป็นพระอริยบุคคลชั้น พระสกทาคามี

3) ปฏิบัติธรรมจนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับกายธรรมพระสกทาคามี แล้วใช้กายธรรมพระสกทาคามีไปพิจารณาอริยสัจ 4 ในกายรูปพรหม จนหมดกิเลสในกายรูปพรหม จึงบรรลุธรรมเป็นพระอริยบุคคลชั้น พระอนาคามี

4) ปฏิบัติธรรมจนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับกายธรรมพระอนาคามี แล้วใช้กายธรรมพระอนาคามีไปพิจารณาอริยสัจ 4 ในกายอรูปพรหม จนหมดกิเลสในกายอรูปพรหม จึงบรรลุธรรมเป็นพระอริยบุคคลชั้น พระอรหันต์

เมื่อบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์แล้วก็เท่ากับเสร็จกิจในพระพุทธศาสนา ไม่ต้องตกกันดาร มีนิพพานเป็นที่ไปครับ

ผิดถูกประการใด วานผู้รู้ชี้แจงด้วย



ถูกต้องแล้วครับ และคำว่าเสร็จกิจในพระพุทธศาสนานั้น หมายถึง เสร็จกิจทั้งในฝ่ายของสมถะและวิปัสสนาโดยตลอดครับ

ถ้าหลักฐานเรียกว่า โสฬสกิจ เรียกว่าแค่นี้สำเร็จโสฬสกิจแล้ว โสฬสกิจแปลว่ากระไร กิจ ๑๖ ในเพลงที่เขาวางไว้เป็นหลัก ว่า "เสร็จกิจ ๑๖ ไม่ตกกันดาร เรียกว่านิพพานก็ได้" นี่แหละ เสร็จกิจ ๑๖ ละ

ทุกขสัจ สมุทัยสัจ นิโรธสัจ มรรคสัจ ในกายมนุษย์ ๔
ทุกขสัจ มุทัยสัจ นิโรธสัจ มรรคสัจ ในกายทิพย์ ๔ เป็น ๘
ทุกขสัจ สมุทัยสัจ นิโรธสัจ มรรคสัจ ในกายรูปพรหม ๔ เป็น ๑๒
ทุกขสัจ สมุทัยสัจ นิโรธสัจ มรรคสัจ ในกายอรูปพรหมอีก๔ มันก็เป็น ๑๖

นี้เสร็จกิจทางพุทธศาสนา ทางพระอรหัตแค่นี้ นี้ทางปฏิบัติ

เทศนาดังนี้เป็นทางปฏิบัติ ไม่ใช่ทางปริยัติ นี่ทางปฏิบัติอันนี้แหละ พระพุทธศาสนาในทางปริยัติดังแสดงแล้วในตอนต้น พุทธศาสนา ในทางปฏิบัติดังแสดงแล้วในบัดนี้ แต่ปริยัติปฏิบัติ ที่เรียกว่าเข้าถึง ปฏิบัติ เดินสมาบัติทั้ง ๘ นั้นเป็นทุกขสัจ สมุทัยสัจ นิโรธสัจ มรรคสัจ ได้เข้าเห็นพระโสดา บรรลุถึงพระโสดา นั่น ปฏิเวธแท้ๆ ทีเดียว ได้เข้า ถึงพระโสดาแล้ว ทั้งหยาบทั้งละเอียด

เมื่อพระโสดาเดินสมาบัติทั้ง ๘ ดูทุกขสัจ สมุทัยสัจ นิโรธสัจ มรรคสัจ ในกายทิพย์เข้าทั้งหยาบทั้งละเอียด ได้บรรลุพระสกทาคา เมื่อถึงพระสกทาคาทั้งหยาบทั้งละเอียด เห็นเข้านั่นเป็นตัวปฏิเวธแท้ๆ ทีเดียว รู้แจ้งแทงตลอดในสกทาคาเข้าแล้ว

เมื่อพระสกทาคาเข้าสมาบัติทั้ง ๘ ดูทุกขสัจ สมุทัยสัจ นิโรธ สัจ มรรคสัจ ในกายรูปพรหมเข้าเห็นในสัจธรรมทั้ง ๔ ชัดอีกได้บรรลุพระอนาคา นี้ที่ได้เห็นตัวพระอนาคา ทั้งหยาบทั้งละเอียด และทั้งธรรมที่ทำให้เป็นพระอนาคา นั่นเป็นตัวปฏิเวธแท้ๆ ทีเดียวรู้แจ้งแทงตลอดเห็นจริงทีเดียว เห็นปรากฏทีเดียว

เมื่อพระอนาคาเข้าสมาบัติ ดูทุกขสัจ สมุทัยสัจ นิโรธสัจมรรคสัจ ทั้งหยาบทั้งละเอียด เห็นชัดในทุกขสัจ สมุทัยสัจ นิโรธสัจ มรรคสัจ ได้บรรลุพระอรหัต เมื่อเห็นกายพระอรหัตทั้งธรรมที่ ทำ ให้เป็นกายพระอรหัตทั้งหยาบทั้งละเอียด เห็นชัดทีเดียว นั่น เห็นชัดอันนั้นแหละ ได้ชื่อว่าเป็นปฏิเวธแท้ๆ เชียว รู้แจ้งแทงตลอด

นี้ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ดังนี้ ศาสนามีทั้งปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ดังนี้

ถ้าว่านับถือศาสนา ปฏิบัติศาสนา เข้าปริยัติไม่ถูก ปฏิเวธ ก็ไม่ถูก มันก็ไปต่องแต่งอยู่นั่น เอาอะไรไม่ได้ สัก ๑๐ ปี ๑๐๐ ปี ก็เอาอะไรไม่ได้ ถึงอายุจะแก่ปานใด จะโง่เขลาเบาปัญญาปานใด ถ้าเข้าถึงทุกขสัจ สมุทัยสัจ นิโรจสัจ มรรคสัจไม่ได้ ไม่เห็นทุกขสัจ สมุทัยสัจ นิโรธสัจ มรรคสัจ ดังแสดงมาแล้วนี้ จะปฏิบัติศาสนา เอาเรื่องเอาราวไม่ได้

ถ้าว่าคนละ โมฆชินโณ แก่เปล่า เอาอะไรไม่ได้ เอา เรื่องไม่ได้

เหตุนี้แหละทางพุทธศาสนาจึงนิยมนับถือนัก ในเรื่อง สัจธรรมทั้ง ๔ นี้


อืม! มรรคกิจ ๑๖ มันเป็นเช่นนี้เอง
      บันทึกการเข้า
too_ploenpit
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2514
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 7,778

เว็บไซต์
« ตอบ #8042 เมื่อ: 10 มกราคม 2556, 10:02:22 »


...พี่สิงห์คะ...

...คนขายกล้องเค้าก็แนะนำให้ตู่เล่นหมวด P..เหมือนกันค่ะ...แต่ตู่ยังเล่นไม่เป็น...

...ตู่ก็เล่นโปรแกรมอัตโนมัติอัจฉริยะอยู่ค่ะ...

...แต่กล้องของตู่มันมีพิเศษกว่านั้นอีกคือ...อัตโนมัติพิเศษ...เพิ่มขึ้นมาค่ะ...

...ถ่ายแล้วสวยกว่าอัตโนมัติอัจฉริยะ...เลยติด...ใช้อยู่แต่อัตโนมัติพิเศษค่ะ...

...มันปรับให้สว่างขึ้นได้...สีสดกว่าได้...ปรับหน้าชัดหลังเบลอได้...และปรับเอฟเฟ็คต่างๆได้...

...ส่วนโปรแกรม P...โปรแกรม A...โปรแกรม S...ที่ต้องปรับรูรับแสง...กับ...โฟกัส...เอง...ยังไม่ได้ลองเล่นค่ะ...

...ส่วนโปรแกรม M...ที่ต้องปรับเองทุกอย่าง...ยิ่งไม่ได้ลองเลย...

...ทำไปทำมามึนตึ๊บ...ต้องกลับมาเล่นแบบเก่าๆค่ะ...

...แต่ก็พอถูไถไปได้...

      บันทึกการเข้า

i love pink, you are pink = i love you
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #8043 เมื่อ: 10 มกราคม 2556, 10:39:59 »

อ้างถึง
ข้อความของ too_ploenpit เมื่อ 10 มกราคม 2556, 10:02:22

...พี่สิงห์คะ...

...คนขายกล้องเค้าก็แนะนำให้ตู่เล่นหมวด P..เหมือนกันค่ะ...แต่ตู่ยังเล่นไม่เป็น...

...ตู่ก็เล่นโปรแกรมอัตโนมัติอัจฉริยะอยู่ค่ะ...

...แต่กล้องของตู่มันมีพิเศษกว่านั้นอีกคือ...อัตโนมัติพิเศษ...เพิ่มขึ้นมาค่ะ...

...ถ่ายแล้วสวยกว่าอัตโนมัติอัจฉริยะ...เลยติด...ใช้อยู่แต่อัตโนมัติพิเศษค่ะ...

...มันปรับให้สว่างขึ้นได้...สีสดกว่าได้...ปรับหน้าชัดหลังเบลอได้...และปรับเอฟเฟ็คต่างๆได้...

...ส่วนโปรแกรม P...โปรแกรม A...โปรแกรม S...ที่ต้องปรับรูรับแสง...กับ...โฟกัส...เอง...ยังไม่ได้ลองเล่นค่ะ...

...ส่วนโปรแกรม M...ที่ต้องปรับเองทุกอย่าง...ยิ่งไม่ได้ลองเลย...

...ทำไปทำมามึนตึ๊บ...ต้องกลับมาเล่นแบบเก่าๆค่ะ...

...แต่ก็พอถูไถไปได้...



สวัสดีค่ะ คุณน้อง ตู่ที่รัก

                              พวกเราไม่ใช่นักถ่ายภาพมืออาชีพ อย่างคุณอดิสร

                              ถ่ายแล้ว เราดูแล้ว ชัดดี ว่าพอใจ  ชอบ  เป็นใช้ได้

                              เป็นอันว่าใช้ได้  จงพอใจในสิ่งที่เราทำได้ ก็ดีแล้วครับ

                              สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #8044 เมื่อ: 10 มกราคม 2556, 10:51:11 »

                      จิตมันอยากรู้ ภพ รู้ภูมิ ก็ตามไปดู ดังนี้

กามาวจรภูมิ

ความปรารภเบื้องต้น ผู้ปฏิบัติธรรมเบื้องต้น ควรรู้อะไรก่อน ควรรู้จักสิ่งที่ตนประสงค์ก่อน การปฏิบัติธรรมประสงค์ความสุขฯ ถ้าไม่รู้จักจุดประสงค์อาจปฏิบัติเอาทุกข์ได้ เช่นอัตตกิลมถานุโยค (ทำตนให้ได้ความเหน็ดเหนื่อยเปล่า)ซึ่งผิดกับความประสงค์

ก็สุขที่เราประสงค์ในที่นี้ มีสองสุขคือ สามิสสุข สุขเจืออยู่ด้วยอามิส ๑ นิรามิสสุข สุขไม่เจืออยู่ด้วยอามิส ๑ อะไรเรียกว่าอามิสสุข รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ซึ่งเรียกว่ากามคุณ ๕ ผู้ที่พอใจติดอยู่ในกามคุณทั้ง ๕ นี้แหละ เรียกว่า สามิสสุข ผู้ที่ต้องการนิรามิสสุขต้องยอมสละ สามิสสุข เพื่อแลกเปลี่ยนเอา นิรามิสสุข อีกประการหนึ่งผู้ที่จะปฏิบัติธรรมให้รู้จักชั้น รู้จักภูมิของธรรมก่อน เมื่อชอบใจในชั้นไหน ภูมิไหน ก็ให้เลือกคัดจัดสรรเอาตามความต้องการของตน
 
ภพ ๓ ภูมิ ๔
 
ต่อแต่นี้จะกล่าวถึงชั้น ถึงภูมิ อันผู้ปฏิบัติจะพึงรู้ว่า ภูมิของธรรม ที่ผู้ประพฤติปฏิบัติในศาสนานี้มีอยู่ ๔ ภูมิ คือ กามาวจรภูมิ ๑ รูปาวจรภูมิ ๑ อรูปาวจรภูมิ ๑ โลกุตตรภูมิ ๑

ภูมิหมายเอา ภูมิจิตภูมิใจ ของสัตว์ส่วน

ภพ หมายเอา ที่อยู่ ของสัตว์ ที่อยู่ของสัตว์กล่าวสั้นๆ มีอยู่ ๓ ภพ คือ กามภพ ๑ รูปภพ ๑ อรูปภพ ๑ จำแนกภพทั้ง ๓ นี้ออก

กามภพแบ่งออกเป็นสองภาค คือ ภาคหนึ่งเป็นฝ่ายทุคติ ภาคหนึ่งเป็นฝ่าย สุคติ ภาคที่เป็นทุคติ หมายเอา นรก ๑ เปรต๑ อสุรกาย๑ สัตว์เดรัจฉาน๑ รวมเรียกว่าอบายภูมิ๔ ภาคสุคติหมายเอา มนุษย์๑ สวรรค์ ๖ ชั้น รวมกันเข้าทั้งสองภาคจึงเป็น ๑๑ ภพ ด้วยกันเรียกว่า กามภพ

รูปภพ มีอยู่ ๑๖ ชั้น มีพรหม ปาริสัชชา เป็นต้น มีชั้นอกนิฏฐะเป็นที่สุดอรูปภพ มีอยู่ ๔ ชั้น มีอากาสานัญจายตนะ เป็นต้น มีเนวสัญญายตนะฌาน เป็นที่สุด รวมกันเข้าทั้งหมดจึงเป็น ๓๑ ภพ นี้เป็นที่อยู่ของสัตว์

ภพหมายเอาที่อยู่ของสัตว์ ภูมิหมายเอา ภูมิจิตภูมิใจ กามาวจรภูมิ ตกอยู่ในกามภพ รูปาวจรภูมิ ตกอยู่ใน รูปภพ อรูปาวจรภูมิ ตกอยู่ในอรูปภพ ส่วนโลกุตตรภูมิ ออกจากภพทั้งสามไปอยู่นิพพาน

เมื่อผู้ปฏิบัติธรรมรู้แจ้งชัดว่า ภพหมายเอาที่อยู่ของสัตว์ ดังนี้แล้วพึงตรวจดูตัวเรา ว่าตัวเราตกอยู่ในชั้นไหนภูมไหน เวลานี้เราตกอยู่ในกามภพ เราได้เป็นมนุษย์ นับว่าเป็นลาภของเราอันประเสริฐ คือเราต้องการอยากจะไป สู่ภพไหน ภูมิไหนก็เลือกเอาตามใจชอบ
 
ศาสนา แปลว่า คำสั่งสอน พระพุทธเจ้าสอนแต่เพียงให้รู้ ไม่มีการบังคับกฏเกณฑ์ ถ้าเราต้องการไปสู่อบายภูมิ อันเป็นส่วนทุคติ ก็ตั้งหน้าทำบาป ถ้าทำบาปอันเบาๆ ก็ไปตกนรกอันเป็นบริวาร ถ้าทำบาปขนาดหนักก็ไปสู่มหานรกใหญ่

ถ้าต้องการจะไปสวรรค์ หรือไปเป็นอินทร์ เป็นพรหม ก็ให้ตั้งหน้าทำบุญ ถ้าชั้นต่ำก็ไปชั้นต่ำ ถ้าทำชั้นสูงก็ไปชั้นสูง ตามชั้นตามภูมิของตน จะปรารถนาเอาแต่ปากเปล่าๆ ย่อมไม่สำเร็จ อย่าว่าแต่ฝ่ายคดีธรรม ถึงฝ่ายคดีโลกก็เช่นเดียวกัน ผู้ที่ต้องการเป็นเจ้าเป็นนาย ก็ต้องเป็นผู้มีความรู้ในวิชาการต่างๆ ถ้ารู้แต่เพียงชั้นต่ำ ก็ทำได้แต่หน้าที่ชั้นต่ำ ถ้ามีความรู้ชั้นสูง ก็ทำหน้าที่ชั้นสูงตามชั้นตามภูมิของตน

เมื่อรู้จักชั้นและ ภูมิ ดังนี้แล้ว พึงตรวจตราดูตัวเรา ตัวเราคืออะไร คือ กายกับใจ แต่กายไม่เป็นของสำคัญ ใจเป็นของสำคัญ เพราะธรรมทั้งหลาย มีใจถึงก่อน สำเร็จแล้วด้วยใจ กายของเรา เรารู้แล้วว่า เรามีกายเป็นมนุษย์
 
แต่ใจของเราจะตกอยู่ในชั้นไหนภูมิไหน ต้องตัดสินกันทางใจ ใจมีอยู่หลายชั้น หลายภูมิ ดังที่ได้กล่าวแล้วในชั้นต้น ทำอย่างไร จึงจะรู้จักจิต รู้จักใจ รู้ซิ เป็นอะไรจึงจะไม่รู้
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #8045 เมื่อ: 10 มกราคม 2556, 20:46:13 »

สวัสดียามค่ำครับ ชาวซีมะโด่ง และแขกผู้มีเกียรติ ที่รักทุกท่าน

                       พี่สิงห์ อยู่นครศรีธรรมราช  อากาศร้ออบอ้าวแบบแห้ง ๆ   ฝนไม่ตก  รู้สึกว่าอากาศไม่ดีเลย เมื่อลงจากเครื่องบินหายใจเอาอากาศที่นครศรีธรรมราชเข้าไป  มันแตกต่างจากกรุงเทพฯ  อึดอัดแบบไม่สบาย วันนี้เลยเดินออกกำลัง ฝึกชิกง-โยคะ เสียหนึ่งชั่วโมงครึ่ง และซาวน่า ทำให้รู้สึกดีขึ้น สามารถปรับตัวเข้ากับอากาศที่นครศรีธรรมราชได้

                         วันนี้ทางโรงแรมเปลี่ยนห้องให้ใหม่ เพราะชั้น ๑๑ ทั้งชั้น หยุดซ่อม ปรับปรุงใหม่  เลยต้องมาอยู่ชั้นที่ ๑๒ แทน เป็นห้องสูตรเหมือนเดิม แต่คิดในราคาห้องธรรมดา และลดราคาจากปกติเป็นพิเศษ  แต่พี่สิงห์  ต้องนอนบนพื้นแทน มันผิดศีลข้อที่ ๘

                         วันนี้โชคดี ตลาดหลังการบินไทยก็มีลูกเสาวรสขาย และที่สนามบินดอนเมืองก็มีลูกเสาวรสขาย เช่นเดียวกัน เลนซื้อเอาไปนครศรีธรรมราช ๔ ถุง เอาไปฝากพนักงาน  และเอาไว้รับประทานตอนเช้าหลังจากออกกำลังกายเสร็จ ทุกที่ลูกเสาวรสจะขายดีมาก หมดในเวลารวดเร็ว แสดงว่าคนนิยมรับประทาน หวังว่าชาวไร่  ชาวเขาภาคเหนือคงจะปลุกเพิ่มเพราะขายดีมาก ๆ จนไม่พอขาย  ส่วนทางนครศรีธรรมราชก็มี แต่ขายยาก เขาเลยไม่ปลุกกัน  จึงหารับประทานไม่ได้เลย

                          วันนี้ตอนเย็นได้เทศนาพนักงานโรงแรมไปท่านหนึ่ง  ต้องเทศนาแรง ๆ เพราะอายุยังไม่มากเลย สามสิบต้น ๆ มีครอบครัว มีลูก หายใจลำบาก เพราะเป็นความดันสูง  ยืนคุยรู้เลยว่าหายใจไม่ไหวเหนื่อยง่าย  ให้ไปหาหมอ ก็ไม่ไป  ให้ออกกำลังกายก็ไม่ไป  ส่วนที่มดลูกก็มีเนื้องอก แต่ยังไม่ใช่มะเร็ง  ถ้าอยู่อย่างนี้ ไม่นานคงได้ล้มทั้งยืน และเส้นโลหิตฝอยในสมองมีโอกาสแตกเป็นอำมะพฤกษ์ได้ มันห่วงแต่งาน  ทั้งๆ ที่ตัวเองจะเดินไม่ไหว  ไม่มีแรงเพราะหายใจติดขัดจากเลือดไปเลี้ยงร่างกายไม่เพียงพอ  ก็ไม่รู้จะสอนอย่างไร ให้เข้าใจ  ตกอยู่แต่ในโมหะ  และกลัวหมอ  ไม่รักตัวเองเลย  ทั้งๆ ที่มีโอกาสรักษาหายได้ มันยังเป็นเพียงอาการเริ่มต้นเท่านั้น  เลยต้องเอาหนังสือเอกสารที่ผมจะเอาไปจากที่สิงห์บุรีเอาไปให้อ่าน

                           เกิดเป็นผมนี่ ไม่ไดีเลย เที่ยวได้วุ่นวายกับชีวิตคนอื่นไปหมด เพราะปราถนาให้เขาพ้นทุกข์

                           ได้เวลาสวดมนต์ทำวัตรเย็นแล้วครับ

                           ราตรีสวัสดิ์ทุกท่าน ครับ

                         
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #8046 เมื่อ: 11 มกราคม 2556, 07:20:01 »



เรียนเชิญทุกท่านรับประทานอาหารเช้าด้วยกัน ครับ

สวัสดี




อาหารแบบนี้ขอห่างไกล ครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #8047 เมื่อ: 11 มกราคม 2556, 08:07:39 »


  
                             เช้านี้ขณะนั่งรับประทานอาหารเช้าอยู่ที่โรงแรมทวินโลตัส  ได้พบกับคุณหมอบัญชา และผู้จัดการ สวนโมกข์ กรุงเทพฯ

                             คุณหมอถามว่ามาออกกำลังกายหรือ ? เพราะปกติจะพบคุณหมอบัญชาที่บนเครื่องบินประจำ  จนคุ้นกันดี

                             ผมก็เล่าให้คุณหมอฟังถึงเรื่องการออกกำลังกายมีผลดีต่อผู้ปฏิบัติธรรม ซึ่งคุณหมอ สนใจและทราบดีอยู่แล้ว

                              คุณหมอเลยขอเรียนเชิญผมให้ไปสอนการออกกำลังกายแบบ ชิกง-โยคะ ที่สวนโมกข์กรุงเทพฯ บ้าง  

                              ผมก็ตอบไปว่าด้วยความยินดี  ทางผู้จัดการสวนโมกข์กรุงเทพฯ เลยขอเบอร์โทรศัพท์ ชื่อไป และจะติดต่อกลับมา

                              ผมก็บอกกับคุณหมอว่า ผมก็ปฏิบัติธรรมกับหลวงพ่อคำเขียน   สุวณฺโณ  

                              คุณหมอบอกว่า ดีเลย และเล่าให้ฟังว่าแปลก หลวงพ่อคำเขียน  เป็นมะเร็ง แต่ตอนนี้อาการกลับดีขึ้นผิดปกติของผู้ที่เป็นโรคมะเร็ง  นับเป็นข่าวดีสำหรับผม ที่อยากให้หลวงพ่อ อยู่นาน ๆ ครับ

                              ใครที่อยากเรียน ชิกง-โยคะ กับผมเอาไว้ไปเรียนที่สวนโมกข์กรุงเทพฯ ก็แล้วกันครับ วันไหน เวลาใด จะแจ้งให้ทราบครับ

                               สวัสดี

                        
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #8048 เมื่อ: 11 มกราคม 2556, 10:26:23 »

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง และแขกผู้มีเกียรติ ที่รักทุกท่าน

                              ตอนเช้าอากาศที่นครศรีธรรมราช ดีมากเย็น มีลดพัดอ่อน ๆ ตอนที่ยังไม่แจ้งขอบท้องฟ้ามีสีเงินสีทองน้อย ๆ ดาวประกายพฤกษ์ ดวงใหญ่ ประกอบกับเมฆที่มีรูปร่างประหลาด สวยงามมาก  ทำให้เกิดความสุขใจ  ทำให้เราได้รู้จิตที่สุขใจ ครับ

                              เพียงแต่ว่า ผมลืมหยิบ Samsung ติดมือไป เพราะกลัวลืม  ต้องระวังเป็นอย่างมาก เนื่องจากความแก่เป็นสาเหตุนั่นเอง

                               เนื่องจากเปลี่ยนห้องนอนใหม่ จิตที่ร่องลอย หรือเป็นเจ้าของห้องนั้น ได้เสกให้มารมารังความนผมทั้งคืน ทำให้ผมพ่ายแพ้หมดรูปเลย คือสติเกิดขึ้นน้อยมาก  ทั้ง ๆที่พยายามจะให้รู้ตัว แต่ก็ตกอยู่ในความฝัน(มาร)

                              ตอนเย็นก่อนนอน ผมได้โทรศัพท์ไปคุยกับคุณทรงศักดิ์ อดีตผู้จัดการฝ่ายขายของ SIW ได้ถูกขอร้องจากทางผู้ใหญ่ของ TATA ที่อินเดียขอให้เข้าไปช่วยทาง TATA Thailand เพราะขาดทุนอย่างต่อเนื่องมาเป็นหมื่นล้านบาทแล้ว

                              คุณทรงศักดิ์ ไปอยู่ในตำแหน่ง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ดูแลทางด้านการตลาด ผมก็ได้แนะนำว่า ขอให้เข้าไปดูแลเรื่องคน  ทำอย่างไรให้คนมีความรัก ความผูกพันธ์กับบริษัท ซึ่งคุณทรงศักดิ์ ก็ได้เรียกพนักงานแต่ละคนมาทำความเข้าใจ  ถามปัญญา และสิ่งที่เขาต้องการ  ตอนนี้ก็ทำงานใหม่ ๆ ไปมากแล้ว ทุกอย่างก็ดีขึ้น พนักงานมีความเข้าใจ มีขวัญกำลังใจดีขึ้น

                               อันนี้เอง จิตผมเลยได้ที ภายหลังจากหลับไปนานแล้วมันก็ฝัน เรื่องนี้ เป็นตุเป็นตะ จนผมลืมตัวไปฝันตามที่จิตมันต้องการ ลืมตนลืมตัวไปนานมาก เป็นช่วง ๆ พอรู้ตัวมันก็หยุดผมตื่นก็ทำความรู้สึกตัวพอหลับจิตมันก็เล่นงานฝันต่ออีก ผมก็ลืมตัวอีกไปนาน พอรู้ตัวก็ตื่นสร้างจังหวะมือให้รู้สึกตัว หรือลมหายใจหลับไปอีกแล้วก็เผลอฝันอีกในเรื่องเดียวกัน

                               ซึ่งปกติ ผมจะหลับสนิท ไม่ฝัน  หรือเมื่อฝันก็จะมีสติทันทีพอรู้ตัวความฝันมันก็หายไปเร็วมากจนจับเรื่องฝันไม่ได้ เพราะรู้ตัว พอหลับแบบมีสติ มันก็ไม่ฝัน  แต่คราวนี้ฝันนานหน่อย  พ่ายแพ้จิตตนเองสิ้นท่าเลยเราเมื่อคืนที่ผ่านมา

                               ได้ทบทวนตัวเองทำไมเราเป็นเช่นนี้ ขาดสติไปได้ ทำให้มารกำเเหง  จนชนะเราได้  แสดงว่าเราบกพร่องในการเจริญสติ หรือจิตที่ร่องลอยอยู่ในห้องเขาไม่พอใจ มันก็ไม่ใช่ เพราะเราก็ได้สวดมนต์ทำวัตรเย็นและแผ่เมตตาให้แล้ว  ได้ซ์้อที่แล้ว

                                ไม่เป็นไร คืนวันนี้ ดูซิจะเป็นอย่างไรอีก

                                 ดังนั้น ทางที่ดีที่สุด  ก่อนนอน อย่าไปคุยกับใคร ที่จิตมันชอบ มันจะทำให้เราขาดสติ มารมาผจญในความฝันได้

                                 เราควรจะทำจิตให้เป็นกุศลก่อนนอน คือสวดมนต์ทำวัตรเย็น แผ่เมตตา และเจริญสติสักพักให้จิตสงบ มารคงจะไม่มารังควานเราในฝัน จนทำให้เราขาดสติได้ นอนไม่หลับสนิทตลอดคืน

                                 ก็เล่าสู่กันฟังเช้านี้ เพราะยังไม่รู้จะเขียนอะไรดี

                                 สวัสดี

             
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #8049 เมื่อ: 11 มกราคม 2556, 19:35:27 »

สวัสดียามค่ำครับ ชาวซีมะโด่ง และแขกผู้มาเยือนที่รักทุกท่าน

                         วันนี้ทั้งวันอากาศที่นครศรีธรรมราชแจ่มใส่  ฝนไม่ตก คงแล้งแล้วละปีนี้ ฝนตกน้อยมากที่นครศรีธรรมราช

                         ตอนเย็นอากาศก็ดี มีลมเย็น ๆ พี่สิงห์ เลยเดินจงกรม ฝึกชิกง โยคะ และนั่งเจริญสติต่อให้หายเหนื่อย ตั้งแต่ห้าโมงเย็นถึงหกโมงครึ่ง เสร็จแล้วก็ไปเข้าอบซาวน่าให้กล้ามเนื้อคลายตัว

                         เดี๋ยวนี้ที่ลานเอนกประสงค์ ชั้นสามของโรงแรม สำหรับเดิน-วิ่งออกกำลังกาย มีคนมากหน้าหลายตาด้วยกัน  ผู้สูงอายุก็เดินเป็นกลุ่มๆ เดินไปคุยไป ก็ดีเหมือนกัน  ส่วนวัยรุ่นคงเป็นพนักงานเชฟร่อน ก็วิ่งบ้านเดินบ้าง และห้องฟิตเนสก็มีคนมาออกกำลังกายมาก  ดีครับที่คนสนใจออกกำลังกายกันมาก

                         ห้องซาวน่าวันนี้อัดแบบปลากระป๋องเลย แน่นมาก

                         จริง ๆตั้งใจจะเขียนธรรมะ เชียว  เผลอตัวไปหน่อย ครึ่งหน้าแล้ว เขียนมากไปท่านก็ไม่อ่าน เอาไว้พรุ่งนี้วันพระก็แล้วกัน จะเขียนให้ทุกท่านได้อ่านถือเป็น เทศนาประจำวันพระ

                          ค่ำนี้ขอลาทุกท่านไปก่อน วันนี้ต้องสวดมนต์ และนั่งเจริญสติ ให้มากก่อนนอน ครับ

                          ราตรีสวัสดิ์ทุกท่านครับ
      บันทึกการเข้า
  หน้า: 1 ... 320 321 [322] 323 324 ... 681   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

ทำไมหอพักนิสิตจุฬาจึงเป็นดินแดนมหัศจรรย์            " ไม่ได้เป็นแค่หอให้นอนพัก  แต่เป็นบ้านอบอุ่นรักให้อาศัย  ไม่เป็นแค่ที่ซุกหัวยามหลบภัย  แต่สร้างใจให้เข้มแข็งแกร่งการงาน"  <))))><