26 พฤศจิกายน 2567, 04:54:10
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 279 280 [281] 282 283 ... 681   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: คุย กับ คุณมานพ กลับดี อดีตประธานชมรม ๓ สมัย  (อ่าน 3580054 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 10 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #7000 เมื่อ: 25 กันยายน 2555, 13:45:59 »

สวัสดีค่ะ คุณน้องตู่ ที่รัก

                         สำหรับพี่สิงห์ ศัพท์ทางธรรมะ และคุณสมบัติต่างๆ เข้าใจได้หมดครับเพราะศึกษามาพอสมควร  ผ่านตามาทั้งนั้นเป็นส่วนใหญ่

                         คนที่คุณน้องหนุ๋งหนิ๋งบอกมานั้น อย่างเก่งก็โสดาบัน  ในทางพุทธศาสนา เท่านั้น แต่ ณ ขณะนี้ยังไม่ถึงครับ

                         สิ่งต่าง ๆที่ฝรั่งเรียนรู้นั้น อย่าลืมพระพุทธองค์ทรงค้นพบมา ๒๕๕๕ ปีแล้ว ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ใหม่สำหรับฝรั่ง ครับ

                         ศาสนาพุทธ เป็นศาสนาที่สอนตามความจริง ที่มีเป็นธรรมชาติ เป็นเพียงศาสนาเดียวเท่านั้น ครับ แต่ฝรั่งมองว่าเป็นปรัชญา

                         ติดประชุมครับ

                         สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #7001 เมื่อ: 25 กันยายน 2555, 13:50:32 »

สวัสดีครับ ป้าแจ่ม  ที่รัก

                             ไม่พบป้าแจ่มเสียนาน คิดถึงครับ

                             อาจารย์เผ่า  เป็นอย่างไรบ้าง  สุขสบายดีหรือไม่  ยังเป็นห่วงเรื่องสุขภาพอยู่เหมือนกัน  กลัวจะเดินไม่ไหว  เพราะเข่าเสื่อม

                             รูป-นาม มันก็เป็นเช่นนี้ละ เป็นไปตามกฏไตรลักษณ์  ถ้าอยู่แบบประมาท

                             สวัสดีค่ะ
      บันทึกการเข้า
suriya2513
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,457

« ตอบ #7002 เมื่อ: 25 กันยายน 2555, 15:48:56 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 25 กันยายน 2555, 08:06:03

...
                                  เท่าที่นึกออกก็มีเท่านี้ 

                                  ศักดิ์ศรีกินไม่ได้  อย่าประหยัดเกินไป มันไม่ใช่เรื่องของเรา อะไรที่คิดว่าจะเป็นอันตรายต้องเผื่อเอาไว้ใส่ RC เข้าไปไม่เป็นพิษเป็นภัย ทั้งสิ้น

                                   สวัสดี


copy ไว้แล้วครับ ขอบคุณมากครับ
      บันทึกการเข้า

[โบราณคดี]จุดกำเนิดเริ่มต้นของ cmadong.com by : มานพ กลับดี  คลิ๊ก->
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #7003 เมื่อ: 26 กันยายน 2555, 07:35:11 »

อ้างถึง
ข้อความของ suriya2513 เมื่อ 25 กันยายน 2555, 15:48:56
อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 25 กันยายน 2555, 08:06:03

...
                                  เท่าที่นึกออกก็มีเท่านี้ 

                                  ศักดิ์ศรีกินไม่ได้  อย่าประหยัดเกินไป มันไม่ใช่เรื่องของเรา อะไรที่คิดว่าจะเป็นอันตรายต้องเผื่อเอาไว้ใส่ RC เข้าไปไม่เป็นพิษเป็นภัย ทั้งสิ้น

                                   สวัสดี


copy ไว้แล้วครับ ขอบคุณมากครับ

                   คำว่า "มันไม่ใช่เรื่องของเรา" นั้น ผมไม่ได้เป็นคนคิดขึ้น  ดร.อภิวัฒน์   เป็นคนบอกผมเอง เพื่อว่า "เราทำเฉพาะในส่วนของเราคือการออกแบบ ที่เรารับผิดชอบ ส่วนจะทำได้หรือไม่  ทำอย่างไร  จะถูก จะแพง ไม่ใช่เรื่องของเรา เป็นเรื่องของผู้อื่นที่จะมาทำต่อ"  แต่ผมก็บอกว่า "ในเมื่อเราเป็นผู้ออกแบบ เราก็ต้องเชื่อมั่นว่าเราต้องทำได้ ด้วย"

                   สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #7004 เมื่อ: 26 กันยายน 2555, 07:54:53 »

มันเป็นเช่นนี้(นั้น)เอง !


                             วันนี้ขอยืมคำที่ท่านหลวงพ่อพุทธาส ท่านคิดขึ้นเอามาสอนญาติโยม คือ "มันเป็นเช่นนี้เอง"  และ "ช่างหัวมัน"

                              คำว่า "มันเป็นเช่นนี้เอง" นั้น ในความหมายคือ พฤติกรรมของจิตคน หรือธรรมชาติของคน นั้น

                               - คิด วิตกกังวลไปในอนาคต  หวังไปในอนาคต

                               - เสียดายในสิ่งที่ผ่านพ้นมาแล้ว

                               - ปราถนาอยากได้ อยากเอา ในสิ่งที่พอใจ  รักใคร่  ชอบใจ เมื่อตาเห็นรูป  หูได้ยินเสียง  จมูกได้ดมกลิ่น  ลิ้นได้สัมผัส  กายได้สัมผัส และได้ปล่อยใจนึกคิด

                               - อยากเกิดในตระกูลรวยๆ

                               - อยากมีร่างกายแข็งแรง สวย  หล่อ ไม่เป็นโรค

                               - อยากได้แต่สิ่งที่ตนเองปราถนา

                               - ไม่อยากพลัดพรากจากบุคคลที่ตนรัก หรือ ไม่อยากสูญเสียสิ่งของที่ตนชอบ

                               - อยากประสบแต่สิ่งที่ดีๆ ที่ตนเองชอบ

                               - อยากสุข  สบาย  อยากได้อะไรก็ได้สิ่งนั้น

                               - จิตคนมีความปราถนา มีความชอบ และคิดไม่เหมือนกัน

                               - จิตคนย่อมมีโลภ  โกรธ  หลง  พอใจ  ไม่พอใจ เกิดขึ้น

                               - และต่างๆ นาๆ อีกมากมาย นับไม่ถ้วน

                                 เมื่อเรารู้ความจริง เช่นนี้ เรายังต้องเกี่ยวข้อง อยู่กับคน เมื่อเราต้องอยู่กับคน เราก็ต้องรู้เท่าทันจิตคน และรู้ว่ามันย่อม "เป็นเช่นนี้เอง"  จะให้มันเป็นดังใจเรานั้นไม่ได้ เมื่อไม่ได้ และเราไม่อยากทุกข์ ก็ต้องทำใจปล่อยวาง คือ "ช่างหัวมัน"

                                 นี่ละวิธีทางพ้นทุกข์ ที่เราสามารถจะกระทำได้

                                 แต่ ท่านอย่าหลงอยู่ในโมหะ คือเป็นทาสของความคิดตัวเองเสียก่อนล่ะ มันจะเป็นทุกข์ และก็ไม่รู้ตัวด้วย

                                 ดังนั้น ท่านจงอยู่กับ การสร้างความรู้สึกตัว คือ อยู่กับ "รู้" และ "หลง" ให้ "รู้"มันมากขึ้น ๆ "หลง" มันจะน้อยลง ๆ หรือไม่มีเลยแบบจิตของ พระอรหันต์ คือ ผู้รู้  ผู้ตื่น  ผู้เบิกบานด้วยธรรม

                                 วันนี้อยู่บ้านเลยได้หุงข้าว  ใส่บาตรพระที่หน้าบ้านครับ

                                  ต้องพยายามสร้างกุศล ด้วยการใส่บาตรพระ เพื่อชำระจิต ตนเอง และแผ่ส่วนบุญให้เจ้ากรรม นายเวร เพราะช่วงนี้ พญามาร  มาผจญมาก  จนจิตหวั่นไหว  ไม่รักษา กาย  วาจา   ใจ  ให้เป็นปกติได้  "หลง" อยู่ในความคิดตนเอง  มากเกินไปแล้ว

                                 สวัสดีครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #7005 เมื่อ: 26 กันยายน 2555, 08:04:09 »

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน

                               เมื่อวานได้โทรศัพท์ คุยกับคุณแววตา  ได้รายงานให้คุณแววตาทราบ เรื่อง Buwty ได้เสนอราคาไป "ซาปา" ประเทศเวียตนาม และได้รับทราบจากคุณแววตามาว่า ได้จัดทัวร์ จะไป "ซาปา" ในช่วงต้นเดือนธันวาคม  ได้ให้บริษัท ทัวร์ จัดการให้เรียบร้อยแล้ว จะไปประมาณ ๒๐-๓๐ คน โดยสายการบินกาต้าร์  ค่าใช้จ่ายประมาณ สองหมื่นบาท ๕ วัน ๔ คืน และและที่ฮาลองเบย์

                                ผมก็เรียนให้ทราบว่า  จะไปด้วย  ถ้าแม่จากไปก่อนหน้านั้น เพราะไม่มีอะไรที่จะต้องกังวลอีกแล้ว

                                ใครอยากไปก็ติดต่อที่คุณแววตา ได้ครับ  ยังมีที่เหลือ

                                 ส่วนการไปอินเดียนั้น  จะไปช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งจะไม่หนาวมาก และไม่มีฝน  ตอนนี้หลวงพ่อ ดร.พระมหาสุเทพ  กลับมาอยู่เมืองไทยแล้ว  ผมจะติดต่อกับท่านเอาไว้ก่อน ครับ  ใครจะไปพร้อมผมก็ติดต่อมาได้เลยครับ

                                สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #7006 เมื่อ: 26 กันยายน 2555, 08:16:27 »

ศีล ๒๒๗



                       มีความหมายคือ ศีลสำหรับพระภิกษุ ซึ่งพระภิกษุต้องถือศีล ๒๒๗ ข้อ โดยอยู่ในภิกขุปาฏิโมกข์
                       ศีล ๒๒๗ ข้อที่เป็นวินัยของสงฆ์ ทำผิดถือว่าเป็นอาบัติ สามารถแบ่งออกได้เป็นลำดับขั้น ตั้งแต่ขั้นรุนแรงจนกระทั่งเบาที่สุดได้ดังนี้ ได้แก่
                    - ปาราชิก มี ๔ ข้อ
                    - สังฆาทิเสส มี ๑๓ ข้อ
                    - อนิยต มี ๒ ข้อ (อาบัติที่ไม่แน่ว่าจะปรับข้อไหน)
                    - นิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๓๐ ข้อ (อาบัติที่ต้องสละสิ่งของว่าด้วยเรื่องจีวร ไหม บาตร อย่างละ ๑๐ข้อ)
                    - ปาจิตตีย์ มี ๙๒ ข้อ (ว่าด้วยอาบัติที่ไม่ต้องสละสิ่งของ)
                    - ปาฏิเทสนียะ มี ๔ ข้อ (ว่าด้วยอาบัติที่พึงแสดงคืน) เสขิยะ (ข้อที่ภิกษุพึงศึกษาเรื่องมารยาท)
                    - แบ่งเป็น สารูปมี ๒๖ ข้อ (ความเหมาะสมในการเป็นสมณะ)
                    -โภชนปฏิสังยุตต์ มี ๓๐ ข้อ (ว่าด้วยการฉันอาหาร)
                    - ธัมมเทสนาปฏิสังยุตต์ มี ๑๖ ข้อ (ว่าด้วยการแสดงธรรม)
                    - ปกิณสถะ มี ๓ ข้อ (เบ็ดเตล็ด)
                    - อธิกรณสมถะ มี ๗ ข้อ (ธรรมสำหรับระงับอธิกรณ์)

                       รวมทั้งหมดแล้ว ๒๒๗ ข้อ

                       ผิดข้อใดข้อหนึ่งถือว่าต้องอาบัติ

                       การแสดงอาบัติสามารถกล่าวกับพระภิกษุรูปอื่นเพื่อเป็นการแสดงตนต่อความผิดได้

                       แต่ถ้าถึงขั้น ปาราชิก ก็ต้องสึกอย่างเดียว

ปาราชิก มี ๔ ข้อได้แก่
 
๑.เสพเมถุน แม้กับสัตว์เดรัจฉานตัวเมีย (ร่วมสังวาสกับคนหรือสัตว์)
๒.ถือเอาทรัพย์ที่เจ้าของไม่ได้ให้มาเป็นของตน จากบ้านก็ดี จากป่าก็ดี (ขโมย)
๓.พรากกายมนุษย์จากชีวิต (ฆ่าคน)หรือแสวงหาศาสตราอันจะนำไปสู่ความตายแก่ร่างกายมนุษย์
๔.กล่าวอวดอุตตริมนุสสธัมม์ อันเป็นความเห็นอย่างประเสริฐ อย่างสามารถ น้อมเข้าในตัวว่า ข้าพเจ้ารู้อย่างนี้ ข้าพเจ้าเห็นอย่างนี้ (ไม่รู้จริง แต่โอ้อวดความสามารถของตัวเอง)
 
สังฆาทิเสส มี ๑๓ ข้อ ถือเป็นความผิดหากทำสิ่งใดต่อไปนี้

๑.ปล่อยน้ำอสุจิด้วยความจงใจ เว้นไว้แต่ฝัน
๒.เคล้าคลึง จับมือ จับช้องผม ลูบคลำ จับต้องอวัยวะอันใดก็ตามของสตรีเพศ
๓.พูดจาหยาบคาย เกาะแกะสตรีเพศ เกี้ยวพาราสี
๔.การกล่าวถึงคุณในการบำเรอตนด้วยกาม หรือถอยคำพาดพิงเมถุน
๕.ทำตัวเป็นสื่อรัก บอกความต้องการของอีกฝ่ายให้กับหญิงหรือชาย แม้สามีกับภรรยา หรือแม้แต่หญิงขายบริการ
๖.สร้างกุฏิด้วยการขอ
๗.สร้างวิหารใหญ่ โดยพระสงฆ์มิได้กำหนดที่ รุกรานคนอื่น
๘.แกล้งใส่ความว่าปาราชิกโดยไม่มีมูล
๙.แกล้งสมมุติแล้วใส่ความว่าปาราชิกโดยไม่มีมูล
๑๐.ยุยงสงฆ์ให้แตกกัน
๑๑.เป็นพวกของผู้ที่ทำสงฆ์ให้แตกกัน
๑๒.เป็นผู้ว่ายากสอนยาก และต้องโดนเตือนถึง 3 ครั้ง
๑๓.ทำตัวเป็นเหมือนคนรับใช้ ประจบคฤหัสถ์

อนิยตกัณฑ์ มี ๒ ข้อได้แก่
 
๑. การนั่งในที่ลับตา มีอาสนะกำบังอยู่กับสตรีเพศ และมีผู้มาเห็นเป็นผู้ที่เชื่อถือได้พูดขึ้นด้วยธรรม ๓ ประการอันใดอันหนึ่งกล่าวแก่ภิกษุนั้นได้แก่ ปาราชิกก็ดี สังฆาทิเสสก็ดี หรือปาจิตตีย์ก็ดี ภิกษุนั้นถือว่ามีความผิดตามที่อุบาสกผู้นั้นกล่าว
๒. ในสถานที่ที่ไม่เป็นที่ลับตาเสียทีเดียว แต่เป็นที่ที่จะพูดจาค่อนแคะสตรีเพศได้สองต่อสองกับภิกษุผู้เดียว และมีผู้มาเห็นเป็นผู้ที่เชื่อถือได้พูดขึ้นด้วยธรรม 2 ประการ อันใดอันหนึ่งกล่าวแก่ภิกษุนั้นได้แก่ สังฆาทิเสสก็ดี หรือปาจิตตีย์ก็ดี ภิกษุนั้นถือว่ามีความผิดตามที่อุบาสกผู้นั้นกล่าว

นิสสัคคิยปาจิตตีย์ มี ๓๐ ข้อ ถือเป็นความผิดได้แก่

๑.เก็บจีวรที่เกินความจำเป็นไว้เกิน ๑๐ วัน
๒.อยู่โดยปราศจากจีวรแม้แต่คืนเดียว
๓.เก็บผ้าที่จะทำจีวรไว้เกินกำหนด ๑ เดือน
๔.ใช้ให้ภิกษุณีซักผ้า
๕.รับจีวรจากมือของภิกษุณี
๖.ขอจีวรจากคฤหัสถ์ที่ไม่ใช่ญาติ เว้นแต่จีวรหายหรือถูกขโมย
๗.รับจีวรเกินกว่าที่ใช้นุ่ง เมื่อจีวรถูกชิงหรือหายไป
๘.พูดทำนองขอจีวรดีๆ กว่าที่เขากำหนดจะถวายไว้แต่เดิม
๙.พูดให้เขารวมกันซื้อจีวรดีๆ มาถวาย
๑๐.ทวงจีวรจากคนที่รับอาสาเพื่อซื้อจีวรถวายเกินกว่า ๓ ครั้ง
๑๑.หล่อเครื่องปูนั่งที่เจือด้วยไหม
๑๒.หล่อเครื่องปูนั่งด้วยขนเจียม (ขนแพะ แกะ) ดำล้วน
๑๓.ใช้ขนเจียมดำเกิน ๒ ส่วนใน ๔ ส่วน หล่อเครื่องปูนั่ง
๑๔.หล่อเครื่องปูนั่งใหม่ เมื่อของเดิมยังใช้ไม่ถึง ๖ ปี
๑๕.เมื่อหล่อเครื่องปูนั่งใหม่ ให้เอาของเก่าเจือปนลงไปด้วย
๑๖.นำขนเจียมไปด้วยตนเองเกิน ๓ โยชน์ เว้นแต่มีผู้นำไปให้
๑๗.ใช้ภิกษุณีที่ไม่ใช้ญาติทำความสะอาดขนเจียม
๑๘.รับเงินทอง
๑๙.ซื้อขายด้วยเงินทอง
๒๐.ซื้อขายโดยใช้ของแลก
๒๑.เก็บบาตรที่มีใช้เกินความจำเป็นไว้เกิน ๑๐ วัน
๒๒.ขอบาตร เมื่อบาตรเป็นแผลไม่เกิน ๕ แห่ง
๒๓.เก็บเภสัช ๕ (เนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย)ไว้เกิน ๗ วัน
๒๔.แสวงและทำผ้าอาบน้ำฝนไว้เกินกำหนด ๑ เดือนก่อนหน้าฝน
๒๕.ให้จีวรภิกษุอื่นแล้วชิงคืนในภายหลัง
๒๖.ขอด้ายเอามาทอเป็นจีวร
๒๗.กำหนดให้ช่างทอทำให้ดีขึ้น
๒๘.เก็บผ้าจำนำพรรษา (ผ้าที่ถวายภิกษุเพื่ออยู่พรรษา) เกินกำหนด
๒๙.อยู่ป่าแล้วเก็บจีวรไว้ในบ้านเกิน ๖ คืน
๓๐.น้อมลาภสงฆ์มาเพื่อให้เขาถวายตน
 
ปาจิตตีย์ มี ๙๒ ข้อได้แก่

๑.ห้ามพูดปด
๒.ห้ามด่า
๓.ห้ามพูดส่อเสียด
๔.ห้ามกล่าวธรรมพร้อมกับผู้ไม่ได้บวชในขณะสอน
๕.ห้ามนอนร่วมกับอนุปสัมบัน(ผู้ไม่ใช้ภิกษุ)เกิน ๓ คืน
๖.ห้ามนอนร่วมกับผู้หญิง
๗.ห้ามแสดงธรรมสองต่อสองกับผู้หญิง
๘.ห้ามบอกคุณวิเศษที่มีจริงแก่ผู้มิได้บวช
๙.ห้ามบอกอาบัติชั่วหยาบของภิกษุแก่ผู้มิได้บวช
๑๐.ห้ามขุดดินหรือใช้ให้ขุด
๑๑.ห้ามทำลายต้นไม้
๑๒.ห้ามพูดเฉไฉเมื่อถูกสอบสวน
๑๓.ห้ามติเตียนภิกษุผู้ทำการสงฆ์โดยชอบ
๑๔.ห้ามทิ้งเตียงตั่งของสงฆ์ไว้กลางแจ้ง
๑๕.ห้ามปล่อยที่นอนไว้ ไม่เก็บงำ
๑๖.ห้ามนอนแทรกภิกษุผู้เข้าไปอยู่ก่อน
๑๗.ห้ามฉุดคร่าภิกษุออกจากวิหารของสงฆ์
๑๘.ห้ามนั่งนอนทับเตียงหรือตั่งที่อยู่ชั้นบน
๑๙.ห้ามพอกหลังคาวิหารเกิน ๓ ชั้น
๒๐.ห้ามเอาน้ำมีสัตว์รดหญ้าหรือดิน
๒๑.ห้ามสอนนางภิกษุณีเมื่อมิได้รับมอบหมาย
๒๒.ห้ามสอนนางภิกษุณีตั้งแต่อาทิตย์ตกแล้ว
๒๓.ห้ามไปสอนนางภิกษุณีถึงที่อยู่
๒๔.ห้ามติเตียนภิกษุอื่นว่าสอนนางภิกษุณีเพราะเห็นแก่ลาภ
๒๕.ห้ามให้จีวรแก่นางภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ
๒๖.ห้ามเย็บจีวรให้นางภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ
๒๗.ห้ามเดินทางไกลร่วมกับนางภิกษุณี
๒๘.ห้ามชวนนางภิกษุณีเดินทางเรือร่วมกัน
๒๙.ห้ามฉันอาหารที่นางภิกษุณีไปแนะให้เขาถวาย
๓๐.ห้ามนั่งในที่ลับสองต่อสองกับภิกษุณี
๓๑.ห้ามฉันอาหารในโรงพักเดินทางเกิน ๓ มื้อ
๓๒.ห้ามฉันอาหารรวมกลุ่ม
๓๓.ห้ามรับนิมนต์แล้วไปฉันอาหารที่อื่น
๓๔.ห้ามรับบิณฑบาตเกิน ๓ บาตร
๓๕.ห้ามฉันอีกเมื่อฉันในที่นิมนต์เสร็จแล้ว
๓๖.ห้ามพูดให้ภิกษุที่ฉันแล้วฉันอีกเพื่อจับผิด
๓๗.ห้ามฉันอาหารในเวลาวิกาล
๓๘.ห้ามฉันอาหารที่เก็บไว้ค้างคืน
๓๙.ห้ามขออาหารประณีตมาเพื่อฉันเอง
๔๐.ห้ามฉันอาหารที่มิได้รับประเคน
๔๑.ห้ามยื่นอาหารด้วยมือให้ชีเปลือยและนักบวชอื่นๆ
๔๒.ห้ามชวนภิกษุไปบิณฑบาตด้วยแล้วไล่กลับ
๔๓.ห้ามเข้าไปแทรกแซงในสกุลที่มีคน ๒ คน
๔๔.ห้ามนั่งในที่ลับมีที่กำบังกับมาตุคาม (ผู้หญิง)
๔๕.ห้ามนั่งในที่ลับ (หู) สองต่อสองกับมาตุคาม
๔๖.ห้ามรับนิมนต์แล้วไปที่อื่นไม่บอกลา
๔๗.ห้ามขอของเกินกำหนดเวลาที่เขาอนุญาตไว้
๔๘.ห้ามไปดูกองทัพที่ยกไป
๔๙.ห้ามพักอยู่ในกองทัพเกิน ๓ คืน
๕๐.ห้ามดูเขารบกันเป็นต้น เมื่อไปในกองทัพ
๕๑.ห้ามดื่มสุราเมรัย
๕๒.ห้ามจี้ภิกษุ
๕๓.ห้ามว่ายน้ำเล่น
๕๕.ห้ามหลอกภิกษุให้กลัว
๕๔.ห้ามแสดงความไม่เอื้อเฟื้อในวินัย
๕๖.ห้ามติดไฟเพื่อผิง
๕๗.ห้ามอาบน้ำบ่อยๆเว้นแต่มีเหตุ
๕๘.ให้ทำเครื่องหมายเครื่องนุ่งห่ม
๕๙.วิกัปจีวรไว้แล้ว (ทำให้เป็นสองเจ้าของ-ให้ยืมใช้) จะใช้ต้องถอนก่อน
๖๐.ห้ามเล่นซ่อนบริขารของภิกษุอื่น
๖๑.ห้ามฆ่าสัตว์
๖๒.ห้ามใช้น้ำมีตัวสัตว์
๖๓.ห้ามรื้อฟื้นอธิกรณ์(คดีความ-ข้อโต้เถียง)ที่ชำระเป็นธรรมแล้ว
๖๔.ห้ามปกปิดอาบัติชั่วหยาบของภิกษุอื่น
๖๕.ห้ามบวชบุคคลอายุไม่ถึง ๒๐ ปี
๖๖.ห้ามชวนพ่อค้าผู้หนีภาษีเดินทางร่วมกัน
๖๗.ห้ามชวนผู้หญิงเดินทางร่วมกัน
๖๘.ห้ามกล่าวตู่พระธรรมวินัย (ภิกษุอื่นห้ามและสวดประกาศเกิน ๓ ครั้ง)
๖๙.ห้ามคบภิกษุผู้กล่าวตู่พระธรรมวินัย
๗๐.ห้ามคบสามเณรผู้กล่าวตู่พระธรรมวินัย
๗๑.ห้ามพูดไถลเมื่อทำผิดแล้ว
๗๒.ห้ามกล่าวติเตียนสิกขาบท
๗๓.ห้ามพูดแก้ตัวว่า เพิ่งรู้ว่ามีในปาฏิโมกข์
๗๔.ห้ามทำร้ายร่างกายภิกษุ
๗๕.ห้ามเงื้อมือจะทำร้ายภิกษุ
๗๖.ห้ามโจทภิกษุด้วยอาบัติสังฆาทิเสสที่ไม่มีมูล
๗๗.ห้ามก่อความรำคาญแก่ภิกษุอื่น
๗๘.ห้ามแอบฟังความของภิกษุผู้ทะเลาะกัน
๗๙.ให้ฉันทะแล้วห้ามพูดติเตียน
๘๐.ขณะกำลังประชุมสงฆ์ ห้ามลุกไปโดยไม่ให้ฉันทะ
๘๑.ร่วมกับสงฆ์ให้จีวรแก่ภิกษุแล้ว ห้ามติเตียนภายหลัง
๘๒.ห้ามน้อมลาภสงฆ์มาเพื่อบุคคล
๘๓.ห้ามเข้าไปในตำหนักของพระราชา
๘๔.ห้ามเก็บของมีค่าที่ตกอยู่
๘๕.เมื่อจะเข้าบ้านในเวลาวิกาล ต้องบอกลาภิกษุก่อน
๘๖.ห้ามทำกล่องเข็มด้วยกระดูก งา หรือเขาสัตว์
๘๗.ห้ามทำเตียง ตั่งมีเท้าสูงกว่าประมาณ
๘๘.ห้ามทำเตียง ตั่งที่หุ้มด้วยนุ่น
๘๙.ห้ามทำผ้าปูนั่งมีขนาดเกินประมาณ
๙๐.ห้ามทำผ้าปิดฝีมีขนาดเกินประมาณ
๙๑.ห้ามทำผ้าอาบน้ำฝนมีขนาดเกินประมาณ
๙๒.ห้ามทำจีวรมีขนาดเกินประมาณ

ปาฏิเทสนียะ มี ๔ ข้อได้แก่

๑. ห้ามรับของคบเคี้ยว ของฉันจากมือภิกษุณีมาฉัน
๒. ให้ไล่นางภิกษุณีที่มายุ่งให้เขาถวายอาหาร
๓. ห้ามรับอาหารในสกุลที่สงฆ์สมมุติว่าเป็นเสขะ (อริยบุคคล แต่ยังไม่ได้บรรลุเป็นอรหันต์)
๔. ห้ามรับอาหารที่เขาไม่ได้จัดเตรียมไว้ก่อนมาฉันเมื่ออยู่ป่า
 
เสขิยะ สารูป มี ๒๖ ข้อได้แก่

๑.นุ่งให้เป็นปริมณฑล (ล่างปิดเข่า บนปิดสะดือไม่ห้อยหน้าห้อยหลัง)
๒.ห่มให้เป็นนปริมณฑล (ให้ชายผ้าเสมอกัน)
๓.ปกปิดกายด้วยดีไปในบ้าน
๔.ปกปิดกายด้วยดีนั่งในบ้าน
๕.สำรวมด้วยดีไปในบ้าน
๖.สำรวมด้วยดีนั่งในบ้าน
๗.มีสายตาทอดลงไปในบ้าน (ตาไม่มองโน่นมองนี่)
๘.มีสายตาทอดลงนั่งในบ้าน
๙.ไม่เวิกผ้าไปในบ้าน
๑๐.ไม่เวิกผ้านั่งในบ้าน
๑๑.ไม่หัวเราะดังไปในบ้าน
๑๒.ไม่หัวเราะดังนั่งในบ้าน
๑๓.ไม่พูดเสียงดังไปในบ้าน
๑๔.ไม่พูดเสียงดังนั่งในบ้าน
๑๕.ไม่โคลงกายไปในบ้าน
๑๖.ไม่โคลงกายนั่งในบ้าน
๑๗.ไม่ไกวแขนไปในบ้าน
๑๘.ไม่ไกวแขนนั่งในบ้าน
๑๙.ไม่สั่นศีรษะไปในบ้าน
๒๐.ไม่สั่นศีรษะนั่งในบ้าน
๒๑.ไม่เอามือค้ำกายไปในบ้าน
๒๒.ไม่เอามือค้ำกายนั่งในบ้าน
๒๓.ไม่เอาผ้าคลุมศีรษะไปในบ้าน
๒๔.ไม่เอาผ้าคลุมศีรษะนั่งในบ้าน
๒๕.ไม่เดินกระโหย่งเท้า ไปในบ้าน
๒๖.ไม่นั่งรัดเข่าในบ้าน

โภชนปฏิสังยุตต์ มี ๓๐ ข้อคือหลักในการฉันอาหารได้แก่

๑.รับบิณฑบาตด้วยความเคารพ
๒.ในขณะบิณฑบาต จะแลดูแต่ในบาตร
๓.รับบิณฑบาตพอสมส่วนกับแกง (ไม่รับแกงมากเกินไป)
๔.รับบิณฑบาตแค่พอเสมอขอบปากบาตร
๕.ฉันบิณฑบาตโดยความเคารพ
๖.ในขณะฉันบิณฑบาต และดูแต่ในบาตร
๗.ฉันบิณฑบาตไปตามลำดับ (ไม่ขุดให้แหว่ง)
๘.ฉันบิณฑบาตพอสมส่วนกับแกง ไม่ฉันแกงมากเกินไป
๙.ฉันบิณฑบาตไม่ขยุ้มแต่ยอดลงไป
๑๐.ไม่เอาข้าวสุกปิดแกงและกับด้วยหวังจะได้มาก
๑๑.ไม่ขอเอาแกงหรือข้าวสุกเพื่อประโยชน์แก่ตนมาฉัน หากไม่เจ็บไข้
๑๒.ไม่มองดูบาตรของผู้อื่นด้วยคิดจะยกโทษ
๑๓.ไม่ทำคำข้าวให้ใหญ่เกินไป
๑๔.ทำคำข้าวให้กลมกล่อม
๑๕.ไม่อ้าปากเมื่อคำข้าวยังมาไม่ถึง
๑๖.ไม่เอามือทั้งมือใส่ปากในขณะฉัน
๑๗.ไม่พูดในขณะที่มีคำข้าวอยู่ในปาก
๑๘.ไม่ฉันโดยการโยนคำข้าวเข้าปาก
๑๙.ไม่ฉันกัดคำข้าว
๒๐.ไม่ฉันทำกระพุ้งแก้มให้ตุ่ย
๒๑.ไม่ฉันพลางสะบัดมือพลาง
๒๒.ไม่ฉันโปรยเมล็ดข้าว
๒๓.ไม่ฉันแลบลิ้น
๒๔.ไม่ฉันดังจับๆ
๒๕.ไม่ฉันดังซูด ๆ
๒๖.ไม่ฉันเลียมือ
๒๗.ไม่ฉันเลียบาตร
๒๘.ไม่ฉันเลียริมฝีปาก
๒๙.ไม่เอามือเปื้อนจับภาชนะน้ำ
๓๐.ไม่เอาน้ำล้างบาตรมีเมล็ดข้าวเทลงในบ้าน

ธัมมเทสนาปฏิสังยุตต์ มี ๑๖ ข้อคือ

๑.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่มีร่มในมือ
๒.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่มีไม้พลองในมือ
๓.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่มีของมีคมในมือ
๔.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่มีอาวุธในมือ
๕.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่สวมเขียงเท่า (รองเท้าไม้)
๖.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่สวมรองเท้า
๗.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่ไปในยาน
๘.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่อยู่บนที่นอน
๙.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่นั่งรัดเข่า
๑๐.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่โพกศีรษะ
๑๑.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่คลุมศีรษะ
๑๒.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่อยู่บนอาสนะ (หรือเครื่องปูนั่ง) โดยภิกษุอยู่บนแผ่นดิน
๑๓.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่นั่งบนอาสนะสูงกว่าภิกษุ
๑๔.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่นั่งอยู่ แต่ภิกษุยืน
๑๕.ภิกษุเดินไปข้างหลังไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่เดินไปข้างหน้า
๑๖.ภิกษุเดินไปนอกทางไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่ไปในทาง
 
ปกิณสถะ มี ๓ ข้อ
 
๑. ภิกษุไม่เป็นไข้ไม่ยืนถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ
๒. ภิกษุไม่เป็นไข้ไม่ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ หรือบ้วนน้ำลายลงในของเขียว (พันธุ์ไม้ใบหญ้าต่างๆ)
๓. ภิกษุไม่เป็นไข้ไม่ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ หรือบ้วนน้ำลายลงในน้ำ
 
อธิกรณสมถะ มี ๗ ข้อได้แก่

๑. ระงับอธิกรณ์ (คดีความ หรือความที่ตกลงกันไม่ได้) ในที่พร้อมหน้า (บุคคล วัตถุ ธรรม)
๒. ระงับอธิกรณ์ (คดีความ หรือความที่ตกลงกันไม่ได้) ด้วยการยกให้ว่าพระอรหันต์เป็นผู้มีสติ
๓. ระงับอธิกรณ์ (คดีความ หรือความที่ตกลงกันไม่ได้) ด้วยยกประโยชน์ให้ในขณะเป็นบ้า
๔. ระงับอธิกรณ์ (คดีความ หรือความที่ตกลงกันไม่ได้) ด้วยถือตามคำรับของจำเลย
๕. ระงับอธิกรณ์ (คดีความ หรือความที่ตกลงกันไม่ได้) ด้วยถือเสียงข้างมากเป็นประมาณ
๖. ระงับอธิกรณ์ (คดีความ หรือความที่ตกลงกันไม่ได้) ด้วยการลงโทษแก่ผู้ผิด
๗. ระงับอธิกรณ์ (คดีความ หรือความที่ตกลงกันไม่ได้) ด้วยให้ประนีประนอมหรือเลิกแล้วกันไป
      บันทึกการเข้า
too_ploenpit
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2514
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 7,778

เว็บไซต์
« ตอบ #7007 เมื่อ: 26 กันยายน 2555, 08:19:24 »


...สวัสดีค่ะ...พี่สิงห์...

...เรื่องทัวร์ซาปา...แววตาได้โทรมาชวนตู่แล้ว...

...และหลังจากที่ได้ไปเช็ควันเดินทาง...

...มันต่อจากทัวร์ที่ตู่ต้องกลับมาจากวังเวียงพอดีเลย...เป๊ะๆเลย...

...กลับจากลาววันที่ 30 พฤศจิกาค่ะ...

...คงไปด้วยไม่ได้...เสียดายนะคะ...
      บันทึกการเข้า

i love pink, you are pink = i love you
เอมอร 2515
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu 2515
คณะ: รัฐศาสตร์(นิติศาสตร์)
กระทู้: 4,562

« ตอบ #7008 เมื่อ: 26 กันยายน 2555, 08:21:15 »

สวัสดีค่ะ พี่สิงห์
 ไม่ได้เข้ามาเยี่ยมพี่นานมาก ขอ early retire ค่ะ
จึงยุ่งๆ มอบงาน สอนงานค่ะ
กำลังจะมีเวลาทำประโยน์ให้คนอื่น และให้ตนเองแล้วค่ะ
      บันทึกการเข้า
too_ploenpit
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2514
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 7,778

เว็บไซต์
« ตอบ #7009 เมื่อ: 26 กันยายน 2555, 08:23:07 »


...ขอบพระคุณพีสิงห์ค่ะ...ที่นำศีลของพระทั้ง 227 ข้อมาบอกให้ทราบ...

...บางครั้งก็อยากจะรู้เหมือนกันค่ะว่ามีอะไรบ้าง...

...ท่านมีศีลเยอะขนาดนี้...

...ถึงว่าคำที่เปรียบว่าพระมีจริยาวัตรที่งดงาม...ท่านงามอย่างนี้นี่เองค่ะ...
      บันทึกการเข้า

i love pink, you are pink = i love you
too_ploenpit
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2514
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 7,778

เว็บไซต์
« ตอบ #7010 เมื่อ: 26 กันยายน 2555, 09:10:07 »

อ้างถึง
ข้อความของ jamsai เมื่อ 25 กันยายน 2555, 11:26:42
อ้างถึง
ข้อความของ khesorn mueller เมื่อ 25 กันยายน 2555, 02:23:46
อ้างถึง
ข้อความของ too_ploenpit เมื่อ 23 กันยายน 2555, 19:46:53

...น้องหนุงหนิงคะ...

...ฉลาดรอบรู้ในที่นี้...คงหมายความว่า...สมองดีเรียนเก่ง...

...เรียนจนจบด๊อคเตอร์หรือยิ่งกว่า...

...เป็นการรอบรู้ในทางโลก...

...ซึ่งคนละอย่างกับทางธรรมค่ะ...

...คนที่บรรลุทางธรรมได้ไม่ต้องเรียนมากๆก็ได้ค่ะ...

...บางคนจบแค่ ป.4...แต่บางคนก็จบแพทย์จบวิศวะ...

...มันคนละประเด็นกันแล้วค่ะ...



พี่ตู่,
Weisheit ไม่ใช่คนเรียนเก่งคะ!
เป็นคนธรรมดาที่ฉลาดรู้ ฉลาดคิดต่อชีวิต
ต่อสังคมแวดล้อมรอบๆตัวด้วยความrelax
ด้วยความสงบในจิต ด้วยความเชื่อมั่นในตัวเค้า
จะเชื่ออะไรก็ตามแต่ เค้าอยู่ในโลกนี้ได้ด้วย
ความสุขคะ...สุขในชีวิตประจำวัน,Weisheit
อาจเป็นผู้สูงอายุ อายุยืนๆที่มีทัศนะต่อโลก positive
มีชีวิตยาวนานอยู่ได้ด้วยตัวเอง...เค้าเรียนรู้ที่จะดำรงชีวิต
และมีชีวิตให้ได้ในโลกนี้อย่างฉลาดรอบรู้ ไม่เกรงกลัวต่อ
อนาคตที่เหลือน้อย เค้าrelaxต่อการมองสิ่งที่ผ่านมา
และสิ่งที่เป็นอยู่ รวมทั้งสิ่งที่กำลังจะมาถึง!
จะนักปราชญ์ นักปรัชญาไหนๆสมัยใดๆ...สอนสั่งกันเข้าไปเถอะ
คนที่อยากจะไปใหถึง...Weisheit ไม่ใช่จะถึงได้ทุกคน!!
เค้าไม่ได้พูดถึงศาสนาคะ...และไม่ได้พูดถึงพุทธ
แต่เค้ายกตัวอย่างพุทธและนิกายในพุทธที่พยายาม"หลุด"
แต่ Weisheitไม่ใช่หลุดคะ...มีชีวิต ใช้ชีวิตธรรมดานี่แหละค่ะ
อย่างมีความสุข ...โดยปลอดให้ได้จากการยึด การติดในอะไร
ใดๆก็ตาม

นึกภาพออกมั้ยคะ?


๑. สวัสดีค่ะพี่สิงห์ ติดตามอ่านอยู่บ่อยๆ ก็ได้เรียนรู้กับพี่สิงห์ไปเรื่อยๆ ขออนุโมทนากับความก้าวหน้าในเส้นทางที่พี่สิงห์เดินอยู่ และดีใจด้วยกับตู่ที่มีความเจริญในธรรมระดับนี้ เดิมคิดว่าตู่ไม่สนใจด้วยซ้ำไป ขออนุโมทนาด้วยเช่นกัน และปลื้มใจที่พระต้นท่านบวชอย่างมีเป้าหมายที่สาธุชนพึงกระทำ ตู่มีบุญที่พระต้นท่านตั้งใจบวชและปฏิบัติตามพระวินัยอย่างดีเช่นนี้ ปลื้มใจแทน

๒. สวัสดีน้องหนุงหนิง ไม่ได้ทักทายกันนาน แต่ก็ตามข่าวอยู่นะคะ ที่อ้างอิงข้อเขียนข้างต้นมา เพราะ อยากขยายความเข้าใจ และแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน  คำว่า "หลุด" ของคุณฝรั่งและน้องหนิงแปลว่าอะไร ลองขยายความสักนิด แต่ในพุทธศาสนา หลุด คำนี้ อธิบายแบบคนที่อยู่ในโลกียธรรมอย่างพี่คืออิสระภาพจากสิ่งที่ติดข้องอยู่ เป็นลำดับๆไป การอยูเป็นสุขได้โดยไม่ขึ้นกับสภาพสิ่งแวดล้อม หรือปัญหาที่อยู่รอบตัว ก็เป็นอีกนัยหนึ่งของคำว่าหลุด ถ้าพิจารณาแค่ที่น้องหนิงเขียนมา คุณฝรั่งเธอก็ใช้วิธีเดียวกับคำสอนของพุทธศาสนานั่นแหล่ะ คืออยู่กับปัจจุบันขณะ ให้รู้เห็นตามจริง น่าเสียดายหากเขารู้หลักวิปัสสนามากขึ้นเขาอาจไปไกลกว่านั้นได้ วันนี้ขอคุยแค่นี้ก่อนนะคะ



...สวัสดีค่ะ...อ.แจ่มใส...

...ถ้าพูดถึงระดับธรรมของตู่...ยังแค่ต้นๆค่ะ...ระดับอนุบาล...

...เพียงแต่เป็นคนที่ชอบทำบุญค่ะ...แต่ก็ทำเท่าตามกำลังที่เรามี...

...ไม่เคยสนใจเรื่องสมาธิมาก่อนค่ะ...

...แต่เหมือนเป็นบุญอยู่ๆก็ได้หนังสือเล่มเล็กๆมาเล่มนึง...

...จากการที่ได้ไปถวายสังฆทานที่วัดญาณฯ...

...เป็นหนังสือที่ระลึกครบรอบ...ปีของสมเด็จย่า...

...สอนการนั่งสมาธิอย่างง่ายๆ...

...และตู่ได้ลองทำตามดู...เท่ากับหนังสือเล่มนี้เป็นครูคนแรกค่ะ...
      บันทึกการเข้า

i love pink, you are pink = i love you
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #7011 เมื่อ: 26 กันยายน 2555, 20:59:25 »

อ้างถึง
ข้อความของ เอมอร 2515 เมื่อ 26 กันยายน 2555, 08:21:15
สวัสดีค่ะ พี่สิงห์
 ไม่ได้เข้ามาเยี่ยมพี่นานมาก ขอ early retire ค่ะ
จึงยุ่งๆ มอบงาน สอนงานค่ะ
กำลังจะมีเวลาทำประโยน์ให้คนอื่น และให้ตนเองแล้วค่ะ

สวัสดีค่ะ คุณน้องเอมอร ที่รัก

                         ดีใจที่เธอเข้ามาทักทาย ครับ

                         พี่สิงห์ ยังติดค้างเธอ คือ จะไปสอนโยคะ และชิกง เพื่อเธอจะได้เอาไว้ดูแลร่างกาย  ยังไมลืมครับ

                         เอาไว้เธอว่าง เมื่อไรบอกมาก็แล้วกัน

                         เกษียรก่อนกำหนดก็ดี  เพราะเงินเดือนมันคงไม่มากไปกว่านี้แล้ว  จะได้มีเวลาให้กับตัวเองมากขึ้น ครับ

                         สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #7012 เมื่อ: 26 กันยายน 2555, 21:02:31 »

อ้างถึง
ข้อความของ too_ploenpit เมื่อ 26 กันยายน 2555, 08:23:07

...ขอบพระคุณพีสิงห์ค่ะ...ที่นำศีลของพระทั้ง 227 ข้อมาบอกให้ทราบ...

...บางครั้งก็อยากจะรู้เหมือนกันค่ะว่ามีอะไรบ้าง...

...ท่านมีศีลเยอะขนาดนี้...

...ถึงว่าคำที่เปรียบว่าพระมีจริยาวัตรที่งดงาม...ท่านงามอย่างนี้นี่เองค่ะ...


สวัสดีค่ะ คุณน้องตู่ ที่รัก

                         เธอคิดเหมือนพี่สิงห์ เลย  คือ อยากรู้ ครับ

                         ราตรีสวัสดิ์ค่ะ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #7013 เมื่อ: 27 กันยายน 2555, 07:44:44 »




สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง และแขกผู้มีเกียรติ ทุกท่าน

                              วันนี้ช่วงเช้าอยู่บ้าน เลยได้หุงข้าวใส่บาตรพระตอนเช้า ประกอบกับคุณเจี๊ยบ ผู้จัดการฝ่ายขายภายในประเทศของ SIW เอาขนมไหว้พระจันทร์ มาให้เพื่อแสดงความระลึกถึงจาร้านภัตตาคารแชงกริลลา ผมเลยเอาไปใส่บาตรพระ ๑ ชิ้น และ ให้เพื่อนบ้าน คือ พี่โส  หนึ่งชิ้น เพราะตนเอง รับประทานมาก  จะเห็นแก่ตัวเกินไป เลยแบ่งปันให้เพื่อนบ้านและใส่บาตร ผู้ให้ จะได้กุศล ด้วย

                              เช้านี้ทุกท่านลองพิจารณา ศีล ๒๒๗ ข้อเถิด  แบบโยนิโสมนสิการ จะเห็นว่า  ข้อกำหนดต่าง ๆ นั้น ใครปฏิบัตได้จะเกิดมหากุศล  จริงๆ  เป็นประโยชน์ ทั้งนั้น  ถึงแม้จะไม่ครบ ๒๒๗ ข้อก็ตาม  กุศลจะเกิดกับท่านแน่นอน

                              ถ้าเราไม่กล่าวร้ายเกินไป  จะเห็นว่า ภิกษุในพุทธศาสนาแบบประเทสไทย  ปัจจุบันนั้น  ต่างกับภิกษุของพุทธศาสนาของ สมณโคดมมาก  จริงๆ

                              อย่างช่วงนี้เป็นช่างอยู่ระหว่างพรรษา  เราจะเห็นภิกษุท่าน ก็ยังเดินทาง ไปตามที่ต่างๆ ไปทำกิจธุระของท่าน ค้างคืน โดยละเสีย หรืออาจจะไม่ได้ปวารนาตนเข้าพรรษาก็ได้  มีให้เห็นเสมอ

                              โบราณกาล พระท่านจำนำพรรษา เพื่อป้องกันไม่ให้พระท่านไปทำร้ายสัตว์ ต่างๆ ในหน้าฝน เพราะเป็นหน้าที่สัตว์ต่างๆ เจริญพันธ์ และประชาชนทำนากัน ภิกสุเมื่ออยู่วันเป็นหมู่คณะรวมกัน ก็ได้โอกาสทบทวนคำสอนของ สมณโคดม ไปในตัว

                              แต่ปัจจุบันมันตรงกันข้ามกันเลย  ก็ไม่ว่ากัน  

                              กรรม คือการกระทำ ใครทำอย่างไรไว้  ย่อมได้อย่างนั้น ยังเป็นจริง เสมอ ไม่ช้าก้เร็วย่อมบังเกิดขึ้น

                              วันนี้บ่ายผมต้องเดินทางไปนครศรีธรรมราช ครับ กลับวันเสาร์ค่ำ ขึ้นอยู่กับเครื่องบิน Nok Air ว่าจะตรงเวลาหรือไม่ เพราะเที่ยวนี้ต้องรอผู้โดยสารจากสมุย ครับ

                               เมื่อคืน คุณเจี๊ยบ ๑๖  ได้โทรศัพท์  มาหาผมและถามว่า ปีนี้จะจัดงานครบรอบวันเกิดให้พี่ทองอู่ หรือเปล่า  ผมก็เรียนไปว่า  ผมก็ยังไม่ได้คิดเลย  ถ้าทางกรรมการสมาคม  จะจัดก็ได้ แต่ต้องไปเรียนให้พี่ทองอู่ ทราบก่อน  จัดก็ดี  จะได้มีข้ออ้างในการพบปะสังสรรค์ กันครับ

                               สวัสดี


      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #7014 เมื่อ: 27 กันยายน 2555, 08:07:05 »

ประวัติเทศกาลวันไหว้พระจันทร์




ขนมไหว้พระจันทร์ทำจากการนำแป้งหมี่กับน้ำมันหมูมานวดเข้ากัน คลึงเป็นแผ่นที่มีความหนาพอประมาณ จากนั้นห่อด้วยไส้ชนิดต่างๆ ไส้ที่สำหรับขนมไหว้พระจันทร์นั้น มีหลากหลายประเภท เช่น ขนมไหว้พระจันทร์นั้น โดยทั่วไปจะห่อด้วยซานจา กุหลาบ ครีมพุทราจีน วอลนัท อัลมอนล์ เม็ดแตง ถั่วบด เป็นต้น ไส้ขนมไหว้พร ะจันทร์ในเขตพื้นที่กวางตุ้ง ซึ่งเป็นภาคใต้ของจีน มักเป็นไข่แดง เม็ดบัว โหงวยิ้ง และเส้นมะพร้าว ส่วนไส้แบบซูโจว มักเป็นกุหลาบ ถั่วบด เม็ดพุทรา พริกกับเกลือ และอาจมรการเพิ่มเม็ดสนและวอลนัทเข้าไปด้วย เมื่อห่อไส้เรียบร้อย ก็จะนำไปบรรจุเข้าไปในเบ้าทรงกลมที่เตรียมไว้ในเบ้านั้นมักมีลวดลายหรือลายลักษณ์อักษร เช่น " โจง ชิว เว่ ปิ่ง " หรือชื่ออื่นๆ เมื่อผ่านการอบและบรรจุเรียบร้อยแล้ว ก็จะส่งเข้าตลาดต่อไป

เทศกาลไหว้พระจันทร์ของทุกปี (วันที่ 15 เดือน 8 ตามปฏิทินจันทรคติของจีน) ทุกๆ ครัวเรือนจะซื้อขนมไหว้ระจันทร์มาไหว้พระจันทร์ พร้อมกับการชมพระจันทร์จนกลายเป็นประเพณีของจีนตลอดมา สำหรับประเพณีรับประทานขนมไหว้พระจันทร์ในวันไหว้นระจันทร์นั้น กล่าวคือ เกิดขึ้นเมื่อสมัยมองโกลเข้ามาปกครองแผ่นดินจีน เมื่อชาวมองโกลกดขี่ข่มเหงและทำร้ายชาวจีนอย่างโหดเหี้ยม และเพื่อควบคุมดูแลชาวจีนอย่างใกล้ชิด ชาวมองโกลจึงส่งทหารของตนไปประจำอยู่ในบ้านของชาวจีนครอบครัวละ 1 คน เป็นอันว่าชาวจีนทุกๆครัวเรือนต่างต้องเลี้ยงดูทหารมองโกล 1 คน ทหารมองโกลเหล่านี้ ยังก่อกรรมทำชั่วไปหมด ทำให้ชาวจีนขุ่นเคืองใจเป็นอย่างยิ่ง ต่อมาท่านหลิวปั๋วเวิน คิดได้วิธีหนึ่ง คือ ให้นำกระดาษเขียนข้อความ แล้วสอดไส้ไว้ในขนม เรียกร้องให้ชาวจีนทุกคนลงมือสังหารทหารมองโกลที่ประจำอยู่ในบ้านของตน อย่างพร้อมเพรียงกันในวันเพ็ญเดือนแปด ทั้งนี้เพื่อให้ชาวจีนที่ไปซื้อขนมมารับประทานกัน ต่างได้อ่านข้อความดังกล่าวและช่วยกันกระจายข่าวนี้ออกไป เพื่อก่อการปฏิวัติโดยพร้อมเพรียงกัน ณ วันเพ็ญเดือนแปด ทำให้สามารถโค่นล้มอำนาจการปกครองของมองโกลในที่สุด

เพื่อเป็นการฉลอง และรำลึกการกอบกู้แผ่นดินที่ประสบการสำเร็จ ประเพณีรับประทานขนมไหว้พระจันทร์ในวันเทศกาลดังกล่าวจึงมีการสืบทอดกันตลอดมา

ต่อมา ไม่ว่าแห่งหนใดที่มีชาวจีนเดินทางไปถึงก็จะพาประเพณีรับประทานนมไหว้พระจันทร์ ไปด้วย สำหรับขนมไหว้พระจันทร์ที่แพร่หลายในไทยนั้น เป็นแบบของกวางตุ้งโดยส่วนใหญ่ หลายปีที่ผ่านมา ขนมไหว้พระจันทร์ที่ผลิตในไทย ไม่ว่าด้านคุณภาพ รสชาติ และการบรรจุล้วนมีระดับที่สูงขึ้น แต่แน่นอน ราคาก็สูงขึ้นไปด้วย เรามีความเห็นว่า วันแห่งเทศกาลไหว้พระจันทร์ปีละหนึ่งครั้งนี้ สมาชิกในครอบครัวได้มาอยู่พร้อมหน้ากัน และรับประทานอาหารพร้อมหน้ากันภายใต้พระจันทร์เต็มดวง อันเป็นการนำความสุขสมบูรณ์มาสู่สมาชิกครอบครัวได้เป็นอย่างดี เช่นนี้ นับว่ามีคุณค่าแก่การสืบทอดและเผยแพร่ตลอดไป
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #7015 เมื่อ: 27 กันยายน 2555, 08:13:28 »

สวัสดีครับ กรรมการสมาคมฯ ที่รัก

                ผมเห็นตัวหนังสือวิ่งขึ้น บอกว่า จะจัดกอล์ฟ วันศุกร์ที่ ๒๓ พฤศจิกายน นั้น

                ท่านกำลังทำความลำบากใจให้กับผม คือ ไม่ไปร่วมก็มีคนนินทา  หาว่าไม่มีสปิริต

                ผมยังต้องเลี้ยงชีพด้วยเงินที่เขาให้  ต้องไปทำงานครับ นี่คือความรับผิดชอบ

                สปิริต จอมปลอมสำหรับผม  ไม่มีความหมาย  มันเป็นเพียงสมมติในทางโลก

                ก็เรียนให้ทราบว่า  ผมคงไม่ได้ไปร่วมงานดังกล่าวครับ

                ขอไปทำงาน นั่นคือสิ่งที่ถูกต้อง

                 เมื่อผมไม่ได้ไป  ผมคงไม่สามารถไปขอทีมจาก SIW ได้ มันน่าเกลียด  หวังว่าคงเข้าใจ

                 ถ้าเป็นวันพฤหัสบดี  ผมยินดีช่วยเต็มที่  วันศุกร์ขอละเว้น

                 ดร.สุริยา  ก็ทราบดี เรื่องนี้  แต่คนรุ่นใหม่ เขาคงคิดดีแล้ว ว่าเหมาะสมแล้ว

                 ดังนั้น  อย่าโทรศัพท์ มารบกวน หรือแจ้งให้ทราบเลย  ไม่มีประโยชน์

                 กรรมจริงๆ คุณมานพ

                                สวัสดี
                        
      บันทึกการเข้า
too_ploenpit
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2514
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 7,778

เว็บไซต์
« ตอบ #7016 เมื่อ: 27 กันยายน 2555, 09:09:48 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 26 กันยายน 2555, 21:02:31
อ้างถึง
ข้อความของ too_ploenpit เมื่อ 26 กันยายน 2555, 08:23:07

...ขอบพระคุณพีสิงห์ค่ะ...ที่นำศีลของพระทั้ง 227 ข้อมาบอกให้ทราบ...

...บางครั้งก็อยากจะรู้เหมือนกันค่ะว่ามีอะไรบ้าง...

...ท่านมีศีลเยอะขนาดนี้...

...ถึงว่าคำที่เปรียบว่าพระมีจริยาวัตรที่งดงาม...ท่านงามอย่างนี้นี่เองค่ะ...


สวัสดีค่ะ คุณน้องตู่ ที่รัก

                         เธอคิดเหมือนพี่สิงห์ เลย  คือ อยากรู้ ครับ

                         ราตรีสวัสดิ์ค่ะ


...สวัสดีค่ะ...พี่สิงห์...

...ได้อ่านเรื่องศีลบางข้อของพระภิกษุแล้ว...

...ทำให้คิดได้ว่า...เวลาท่านลงศาลา...แล้วกำลังฉันอาหารอยู่ต่อหน้าญาติโยมที่กำลังทานอาหารอยู่เหมือนกัน...

...ท่านก็คงจะตำหนิพวกเรานะคะ...

...เวลาที่เห็นพวกเราทานไปด้วยคุยไปด้วย...

...ศีลบางข้อถ้าหากเราทำได้อย่างพระ...

...คนๆนั้นก็จะดูเป็นคนที่สุภาพหรือมีมารยาทดีมากๆเลยค่ะ...
      บันทึกการเข้า

i love pink, you are pink = i love you
too_ploenpit
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2514
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 7,778

เว็บไซต์
« ตอบ #7017 เมื่อ: 27 กันยายน 2555, 09:26:11 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 27 กันยายน 2555, 08:07:05
ประวัติเทศกาลวันไหว้พระจันทร์




ขนมไหว้พระจันทร์ทำจากการนำแป้งหมี่กับน้ำมันหมูมานวดเข้ากัน คลึงเป็นแผ่นที่มีความหนาพอประมาณ จากนั้นห่อด้วยไส้ชนิดต่างๆ ไส้ที่สำหรับขนมไหว้พระจันทร์นั้น มีหลากหลายประเภท เช่น ขนมไหว้พระจันทร์นั้น โดยทั่วไปจะห่อด้วยซานจา กุหลาบ ครีมพุทราจีน วอลนัท อัลมอนล์ เม็ดแตง ถั่วบด เป็นต้น ไส้ขนมไหว้พร ะจันทร์ในเขตพื้นที่กวางตุ้ง ซึ่งเป็นภาคใต้ของจีน มักเป็นไข่แดง เม็ดบัว โหงวยิ้ง และเส้นมะพร้าว ส่วนไส้แบบซูโจว มักเป็นกุหลาบ ถั่วบด เม็ดพุทรา พริกกับเกลือ และอาจมรการเพิ่มเม็ดสนและวอลนัทเข้าไปด้วย เมื่อห่อไส้เรียบร้อย ก็จะนำไปบรรจุเข้าไปในเบ้าทรงกลมที่เตรียมไว้ในเบ้านั้นมักมีลวดลายหรือลายลักษณ์อักษร เช่น " โจง ชิว เว่ ปิ่ง " หรือชื่ออื่นๆ เมื่อผ่านการอบและบรรจุเรียบร้อยแล้ว ก็จะส่งเข้าตลาดต่อไป

เทศกาลไหว้พระจันทร์ของทุกปี (วันที่ 15 เดือน 8 ตามปฏิทินจันทรคติของจีน) ทุกๆ ครัวเรือนจะซื้อขนมไหว้ระจันทร์มาไหว้พระจันทร์ พร้อมกับการชมพระจันทร์จนกลายเป็นประเพณีของจีนตลอดมา สำหรับประเพณีรับประทานขนมไหว้พระจันทร์ในวันไหว้นระจันทร์นั้น กล่าวคือ เกิดขึ้นเมื่อสมัยมองโกลเข้ามาปกครองแผ่นดินจีน เมื่อชาวมองโกลกดขี่ข่มเหงและทำร้ายชาวจีนอย่างโหดวรนุชม และเพื่อควบคุมดูแลชาวจีนอย่างใกล้ชิด ชาวมองโกลจึงส่งทหารของตนไปประจำอยู่ในบ้านของชาวจีนครอบครัวละ 1 คน เป็นอันว่าชาวจีนทุกๆครัวเรือนต่างต้องเลี้ยงดูทหารมองโกล 1 คน ทหารมองโกลเหล่านี้ ยังก่อกรรมทำชั่วไปหมด ทำให้ชาวจีนขุ่นเคืองใจเป็นอย่างยิ่ง ต่อมาท่านหลิวปั๋วเวิน คิดได้วิธีหนึ่ง คือ ให้นำกระดาษเขียนข้อความ แล้วสอดไส้ไว้ในขนม เรียกร้องให้ชาวจีนทุกคนลงมือสังหารทหารมองโกลที่ประจำอยู่ในบ้านของตน อย่างพร้อมเพรียงกันในวันเพ็ญเดือนแปด ทั้งนี้เพื่อให้ชาวจีนที่ไปซื้อขนมมารับประทานกัน ต่างได้อ่านข้อความดังกล่าวและช่วยกันกระจายข่าวนี้ออกไป เพื่อก่อการปฏิวัติโดยพร้อมเพรียงกัน ณ วันเพ็ญเดือนแปด ทำให้สามารถโค่นล้มอำนาจการปกครองของมองโกลในที่สุด

เพื่อเป็นการฉลอง และรำลึกการกอบกู้แผ่นดินที่ประสบการสำเร็จ ประเพณีรับประทานขนมไหว้พระจันทร์ในวันเทศกาลดังกล่าวจึงมีการสืบทอดกันตลอดมา

ต่อมา ไม่ว่าแห่งหนใดที่มีชาวจีนเดินทางไปถึงก็จะพาประเพณีรับประทานนมไหว้พระจันทร์ ไปด้วย สำหรับขนมไหว้พระจันทร์ที่แพร่หลายในไทยนั้น เป็นแบบของกวางตุ้งโดยส่วนใหญ่ หลายปีที่ผ่านมา ขนมไหว้พระจันทร์ที่ผลิตในไทย ไม่ว่าด้านคุณภาพ รสชาติ และการบรรจุล้วนมีระดับที่สูงขึ้น แต่แน่นอน ราคาก็สูงขึ้นไปด้วย เรามีความเห็นว่า วันแห่งเทศกาลไหว้พระจันทร์ปีละหนึ่งครั้งนี้ สมาชิกในครอบครัวได้มาอยู่พร้อมหน้ากัน และรับประทานอาหารพร้อมหน้ากันภายใต้พระจันทร์เต็มดวง อันเป็นการนำความสุขสมบูรณ์มาสู่สมาชิกครอบครัวได้เป็นอย่างดี เช่นนี้ นับว่ามีคุณค่าแก่การสืบทอดและเผยแพร่ตลอดไป


...ในชีวิตตู่แม้ว่าจะเป็นสะใภ้คนจีน...

...แต่ไม่เคยไหว้พระจันทร์เลยค่ะ...

...และได้ทานขนมไหว้พระจันทร์น้อยมากๆ...

...เพราะเป็นคนไม่ชอบทานขนมประเภทนี้ค่ะ...

...บางทีเคยมีคนให้มาและทิ้งไว้จนเสีย...

...เพราะหมอทานไม่ไหวก็มีค่ะ...

...ขนมไหว้พระจันทร์เดี๋ยวนี้ราคาแพง...

...ยิ่งถ้ามาจากห้างหรือโรงแรมที่พี่สิงห์ว่า...

...ตู่เลยต้องลองแบ่งจากหมอมาทานบ้างค่ะ...ก็อร่อยดี...

...ถ้านานๆได้ทานนะคะ...ทานบ่อยๆก็ไม่ไหวค่ะ...

...จริงๆแล้วเทศกาลนี้หรือคืนพระจันทร์เต็มดวงในคืนไหนๆ...

...ตู่ก็เคยไหว้ค่ะแต่จุดมุ่งหมายอีกแบบนึง...

...คือนำเครื่องประดับที่ทำมาจากหินหรือสิ่งที่มาจากธรรมชาติเช่นไข่มุก...

...มาอาบแสงจันทร์ค่ะ...เป็นการทำให้เค้าคืนสู่ธรรมชาติ...

...เป็นความเชื่อของคนที่ศรัทธานะคะ...

...เพราะหินแต่ละอย่างมีคุณสมบัติไม่เหมือนกันค่ะ...
      บันทึกการเข้า

i love pink, you are pink = i love you
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #7018 เมื่อ: 27 กันยายน 2555, 10:05:16 »

อ้างถึง
ข้อความของ too_ploenpit เมื่อ 27 กันยายน 2555, 09:09:48
อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 26 กันยายน 2555, 21:02:31
อ้างถึง
ข้อความของ too_ploenpit เมื่อ 26 กันยายน 2555, 08:23:07

...ขอบพระคุณพีสิงห์ค่ะ...ที่นำศีลของพระทั้ง 227 ข้อมาบอกให้ทราบ...

...บางครั้งก็อยากจะรู้เหมือนกันค่ะว่ามีอะไรบ้าง...

...ท่านมีศีลเยอะขนาดนี้...

...ถึงว่าคำที่เปรียบว่าพระมีจริยาวัตรที่งดงาม...ท่านงามอย่างนี้นี่เองค่ะ...


สวัสดีค่ะ คุณน้องตู่ ที่รัก

                         เธอคิดเหมือนพี่สิงห์ เลย  คือ อยากรู้ ครับ

                         ราตรีสวัสดิ์ค่ะ


...สวัสดีค่ะ...พี่สิงห์...

...ได้อ่านเรื่องศีลบางข้อของพระภิกษุแล้ว...

...ทำให้คิดได้ว่า...เวลาท่านลงศาลา...แล้วกำลังฉันอาหารอยู่ต่อหน้าญาติโยมที่กำลังทานอาหารอยู่เหมือนกัน...

...ท่านก็คงจะตำหนิพวกเรานะคะ...

...เวลาที่เห็นพวกเราทานไปด้วยคุยไปด้วย...

...ศีลบางข้อถ้าหากเราทำได้อย่างพระ...

...คนๆนั้นก็จะดูเป็นคนที่สุภาพหรือมีมารยาทดีมากๆเลยค่ะ...


มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ เป็นสิ่งที่น่ากระทำ และกระทำได้ครับ

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #7019 เมื่อ: 27 กันยายน 2555, 10:19:53 »

ชาวซีมะโด่ง ขอเชิญพบกัน

วันอังคารที่ ๙ ตุลาคม เวลา ๑๘:๐๐ น. เป็นต้นไป

วันเกิด พี่ทองอู่  จักรสิงห์

ณ ภัตตาคารกุหลาบ ซอยราชครู ครับ




สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน

                          ผมได้ปรึกษากับทาง ท่านอาจารย์เผ่า  สุวรรณศักดิ์ศรี และท่านอาจารย์เผ่า ได้เรียนให้พี่ทองอู่  จักรสิงห์ รับทราบและยินดีมาร่วมงานเป็นอย่างยิ่ง ที่จะได้พบน้องๆ ชาวซีมะโด่ง

                          ผมได้เรียนให้พี่กาญจนา  รับทราบและขอให้พี่กาญจนา รับเป็นธุระจองห้องให้ ที่ภัตตาคารกุหลาบ เป็นห้องเดิมเมื่อปีที่แล้ว ส่วนอาหารนั้น จะจองเป็นบางส่วนก่อน และไปสั่งเพิ่มเติมในงานเอาเอง

                          ส่วนค่าใช้จ่าย หารยาว ตามธรรมเนียม

                          ส่วนที่ว่า อาจจะตรงกับวันที่กรรมการสมาคมฯประชุมนั้น  อาจารย์เผ่า  บอกว่า  ก็ให้เขาประชุมเสร็จเร็วหน่อย  ใครอยากมาร่วมงานเขาก็มาเองแหละ  เอาตามนี้

                          ผมก็ขอเรียนเชิญทุกท่านที่ทราบข่าว  ช่วยกระจายข่าวให้ด้วยว่า วันอังคารที่ ๙  ตุลาคม  ศกนี้ เป็นวันเกิดของพี่ทองอู่  จักรสิงห์ มีอายุครบ ๘๕ ปี  ขอเรียนเชิญทุกท่านที่ยังระลึกถึงพี่ทองอู่  จักรสิงห์   อยู่มาร่วมงานด้วยครับ ในเวลา ๑๘:๐๐ น.เป็นต้นไป  

                          ใครอยากหาอะไรติดมือมาก็เรียนเชิญ ตามสะบาย เพราะผมคงไม่มีสุรา ให้ ครับ

                          เรียนเชิญทุกท่าน ครับ

                          สวัสดี


ได้แจ้งให้ รศ.ประกายแก้ว   เลขาสมาคมฯ และคุณทรงเกียรติ  ทราบแล้ว
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #7020 เมื่อ: 27 กันยายน 2555, 16:28:55 »


สวัสดครับ ชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน

                                  รายชื่อผู้ที่จะไปร่วมงาน วันครบรอบวันเกิดพี่ทองอู่  จักรสิงห์

                                  ๑. พี่ทองอู่  จักรสิงห์
                                  ๒. พี่สันทัศน์ (พี่ตัน)
                                  ๓. อาจารย์เผ่า- อ.แจ่มใส   สุวรรณศักดิ์ศรี
                                  ๕. รศ.พินิจ - จันทร์แจ่ม  เพิ่มพงศ์พันธ์
                                  ๗. มานพ  กลับดี
                                  ๘. คุณราเมศว์   ศิลปพรหม  นายกสมาคมฯ
                                  ๙. รศ.ประกายแก้ว - คุณวัฒนา   โอภานนท์อมตะ
                                ๑๑. พี่กาญจนา  ว่งชวานิช
                                ๑๒. คุณสุภาณี      นาคฤทธิ์
                                ๑๓. คุณกนกวรรณ    สิกขโกศล
                                ๑๔. คุณ Tooky
                                ๑๕. คุณอดิสร
                                ๑๖. คุณหนุ๋น
                                ๑๗. คุณนันทิกา
                                ๑๘. คุณทรงเกียรติ
                                ๑๙. ดร.สุริยา
                                ๒๐. คุณวิทิดา
                                ๒๑. ดร.กุศล

                                ใครจะมาร่วมงาน กรุณาแจ้งให้ทราบด้วย จะได้เตรียมสถานที่ - อาหารได้ใกล้เคียงครับ

                                เรียนเชิญทุกท่านครับ

                                สวัสดี
               
      บันทึกการเข้า
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #7021 เมื่อ: 27 กันยายน 2555, 18:24:08 »

อ้างถึง
ข้อความของ jamsai เมื่อ 25 กันยายน 2555, 11:26:42
๒. สวัสดีน้องหนุงหนิง ไม่ได้ทักทายกันนาน แต่ก็ตามข่าวอยู่นะคะ ที่อ้างอิงข้อเขียนข้างต้นมา เพราะ อยากขยายความเข้าใจ และแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน  คำว่า "หลุด" ของคุณฝรั่งและน้องหนิงแปลว่าอะไร ลองขยายความสักนิด แต่ในพุทธศาสนา หลุด คำนี้ อธิบายแบบคนที่อยู่ในโลกียธรรมอย่างพี่คืออิสระภาพจากสิ่งที่ติดข้องอยู่ เป็นลำดับๆไป การอยูเป็นสุขได้โดยไม่ขึ้นกับสภาพสิ่งแวดล้อม หรือปัญหาที่อยู่รอบตัว ก็เป็นอีกนัยหนึ่งของคำว่าหลุด ถ้าพิจารณาแค่ที่น้องหนิงเขียนมา คุณฝรั่งเธอก็ใช้วิธีเดียวกับคำสอนของพุทธศาสนานั่นแหล่ะ คืออยู่กับปัจจุบันขณะ ให้รู้เห็นตามจริง น่าเสียดายหากเขารู้หลักวิปัสสนามากขึ้นเขาอาจไปไกลกว่านั้นได้ วันนี้ขอคุยแค่นี้ก่อนนะคะ



สวัสดีคะพี่อจ.แจ่มใส,
ดีใจจริงๆคะที่พี่ให้ความสนใจในกระทู้นี้,
ในคอลัมภ์ที่หนิงอ่านมา,อ่านจากGEOคะ
คนเขียนเป็นคริสต์ ที่พยายามจะเข้าถึง
ความหมายที่แท้ ของการที่จะ"มีชีวิต"ให้ได้
ในโลกที่ไม่สมบูรณ์พร้อมใบนี้...โดย,เค้า
ศึกษาจากบุคคลที่"มีชีวิต"ใช้ชีวิตปกติธรรมดา
แต่เข้าถึงแล้วซึ่งการหลุดพ้น ปลอดจากการยึด
การถือในสิ่งของภายนอกหรือลาภยศนามธรรม
ทั้งหลาย...คนที่ถึงพร้อมเหล่านี้ต้องพิเศษ
ต้องแปลกแตกต่างจากรอบๆมั้ย?ไม่คะ!
อาจเป็นผู้สูงอายุที่อยู่มาจนล่วงวัยชราเข้าไปนานโข
แต่การมองโลกของเค้าย่ำเข้าราตรีกาลแห่งชีวิต
คิดถึงแต่การจะไป การจะละให้ได้ไปจากโลกนี้? ไม่คะ!
Weisheit ไม่ใช่โสดาบัน ไม่ใช่การตรัสรู้ ไม่ใช่ความสำเร็จ
ที่นำมาซึ่งปาฏิหาริย์ตายไปแล้ว"หลุดพ้น"แล้วจากวงกรรม
เวียนวนแห่งการเวียนว่ายตายเกิดซึ่งเป็นเรื่องหลังความตาย!

Weisheitเป็นนามธรรมที่รวมหลายๆคุณลักษณ์เข้าด้วยกัน:ปล่อยวาง
(Gelassenheit..แปลเป็นภาษาไทยได้คำว่าrelaxแหละคะ
นึกภาพออกทันที) มีสมดุลในจิต (Ausgeglichenheit...balanceคะ
เห็นภาพทันที) มีจิตที่เข้มแข็ง...มีความกล้า กล้าอะไรคะ?
และสมาธิต่อสิ่งรอบๆตัว

การจะเข้าถึง"คุณภาพ"นี้ได้คะคือหัวใจของหนังสือเล่มนี้
ที่พยายามแกะความลับของการมีชีวิตให้ได้ด้วย...Weisheit

ใช่คะที่พี่บอกว่าคุณฝรั่งนี่ใช้วิธีเดียวกับพุทธศาสนา
อิสระภาพจากสิ่งที่ติดข้องอยู่ คืออยู่กับปัจจุบันขณะ ให้รู้เห็นตามจริง
แต่ไม่ใช่ตรงที่,เค้าไม่ได้พูดถึง"methode"ใดๆที่จะ
เข้าถึงให้ได้เพื่อ"หลุดพ้น" Erlösen...อย่างที่เป็น
ขั้นสุดท้ายที่เป็นปลายทางของพุทธ?เพื่อสุขโดยไม่ต้อง
เกิดใหม่เวียนว่ายใหม่ เพราะฟากโน้นจบลงสิ้นลงเมื่อหมดลมคะ
ไม่มีเรื่องหลังจากนั้นต่อว่าตายลงแล้ว ละร่างแล้วไปเกิดเป็นอะไร.



เค้าให้ความสำคัญของการมีชีวิตอยู่ตอนนี้ขณะนี้คะ
หน้าปกหนังสือ...เป็นรูปผู้หญิงที่อายุร้อยกว่าปีชาวญี่ปุ่นคะ
(แน่ใจว่าหนิงเคยดูรายการที่โทรทัศน์ไปสัมภาษณ์
ไปถ่ายทำชีวิตประจำวันของเธอคะ...คนปกตินี่ล่ะพี่)
      บันทึกการเข้า


khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #7022 เมื่อ: 27 กันยายน 2555, 18:45:11 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 25 กันยายน 2555, 07:40:22
สวัสดีค่ะ คุณน้องหนุ๋งหนิ๋ง ที่รัก

                          มันก็มาจากพุทธศาสนาของสมณโคดม นั่นแหละ เพราะสิ่งที่สมณโคดม ค้นพบนั้น คือความจริงที่มีอยู่ตามธรรมชาติ อยู่แล้ว พระองค์เพียงเอามาบอกกล่าว  เอามาแสดง รวบรวมเป้นหมวดหมู่ และใส่สมมติบัญญัติเข้าไปเท่านั้นแหละ  ดังนั้นศาสนาพุทธ หรือจพเรียกว่า คำสอนที่เป็นจริงตามธรรมชาติก็ได้

                          สำหรับสิ่งที่เธอบอกมานั้น ถ้าเทียบในศาสนาพุทธคือ ระดับโสดาบัน นั่นเอง

                          ศาสนาพุทธแบ่งออกเป็น(ผู้สำเร็จในธรรม คือได้ดวงตาเห็นธรรม) โสดาบัน  สกคามี   อนาคามี และอรหันต์ ครับ

                           ดีใจครับที่โค๊ชทีมฮอพเฟ่นฮาม ไม่ถูกปลดเพราะทีมชนะ  การไม่มีงานทำนั้น ครอบครัวเดือดร้อนครับ

                           สวัสดี


พี่สิงห์,
ไม่ใช่โสดาบันค่ะ..Erlösen หลุดพ้น
ที่พี่หมายน่ะ เป็นเรื่องที่ยาวไกลไปไหนๆ
เค้าหมายถึงมีชีวิต ใช้ชีวิตในโลกนี้แหละคะ
ยังอยู่ในสังคม ในแวดล้อม ยังactiveที่จะ
เป็นส่วนนึงเหมือนๆคนอื่นๆคะ ชีวิตที่ยังเหลือ
อยู่นี่ล่ะพี่...แบบมีคุณภาพ แค่นั้นจริงๆ,
ใครจะpractice ใครจะฝึกนั่นฝนนี่
 ก็เรื่องของคนนั้นสิคะ...เป็นเอกกัตตะบุคคล/วิธีที่
แต่ละคนต้องรู้ว่าตัวเองทำอะไรอยู่...
ไม่มีความจำเป็นอะไรจริงๆคะที่จะไปชี้ ไปชัด
ว่าสิ่งที่คนอื่นๆทำน่ะยังผิด ยังไม่ถูก ยังบาป
ยังกิเลส ยังมัวเมา ยังหลง ยังยึดติด...ยังบัวใต้น้ำ
ยังไม่มีตา ยังไม่เห็นทำ...เพราะถ้าถึงขั้นนี้

มีอะไรสักอย่างสักที่แล้วคะ
ที่เริ่มล้ำเส้น!
เส้นของความ Tolerance!!
      บันทึกการเข้า


khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #7023 เมื่อ: 27 กันยายน 2555, 19:02:44 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 27 กันยายน 2555, 10:19:53
ชาวซีมะโด่ง ขอเชิญพบกัน

วันอังคารที่ ๙ ตุลาคม เวลา ๑๘:๐๐ น. เป็นต้นไป

วันเกิด พี่ทองอู่  จักรสิงห์

ณ ภัตตาคารกุหลาบ ซอยราชครู ครับ



สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน

                          ผมได้ปรึกษากับทาง ท่านอาจารย์เผ่า  สุวรรณศักดิ์ศรี และท่านอาจารย์เผ่า ได้เรียนให้พี่ทองอู่  จักรสิงห์ รับทราบและยินดีมาร่วมงานเป็นอย่างยิ่ง ที่จะได้พบน้องๆ ชาวซีมะโด่ง

                          ผมได้เรียนให้พี่กาญจนา  รับทราบและขอให้พี่กาญจนา รับเป็นธุระจองห้องให้ ที่ภัตตาคารกุหลาบ เป็นห้องเดิมเมื่อปีที่แล้ว ส่วนอาหารนั้น จะจองเป็นบางส่วนก่อน และไปสั่งเพิ่มเติมในงานเอาเอง

                          ส่วนค่าใช้จ่าย หารยาว ตามธรรมเนียม

                          ส่วนที่ว่า อาจจะตรงกับวันที่กรรมการสมาคมฯประชุมนั้น  อาจารย์เผ่า  บอกว่า  ก็ให้เขาประชุมเสร็จเร็วหน่อย  ใครอยากมาร่วมงานเขาก็มาเองแหละ  เอาตามนี้

                          ผมก็ขอเรียนเชิญทุกท่านที่ทราบข่าว  ช่วยกระจายข่าวให้ด้วยว่า วันอังคารที่ ๙  ตุลาคม  ศกนี้ เป็นวันเกิดของพี่ทองอู่  จักรสิงห์ มีอายุครบ ๘๕ ปี  ขอเรียนเชิญทุกท่านที่ยังระลึกถึงพี่ทองอู่  จักรสิงห์   อยู่มาร่วมงานด้วยครับ ในเวลา ๑๘:๐๐ น.เป็นต้นไป  

                          ใครอยากหาอะไรติดมือมาก็เรียนเชิญ ตามสะบาย เพราะผมคงไม่มีสุรา ให้ ครับ

                          เรียนเชิญทุกท่าน ครับ

                          สวัสดี


ได้แจ้งให้ รศ.ประกายแก้ว   เลขาสมาคมฯ และคุณทรงเกียรติ  ทราบแล้ว

[/center]

โอพี่สิงห์,
นี่ล่ะ in trendกะเรื่องที่หนิงเขียนมาข้างต้นพอดี!
พี่สิงห์แอบกระซิบถามท่านพี่ให้หน่อยคะ
ว่าอะไรคือความลับของการมีชีวิตยืนยาว,

เมื่อวาน,หนิงโทรมาคุยกะแม่...วัย89
แม่ว่าต้องใช้walkerค้ำเวลาเดิน มารับโทรศัพท์
เล่าว่าฝนตก แต่บางบัวทองไม่ท่วม
มีใครโทรมาหาบ้าง มีใครมาเยี่ยมบ้าง
แม่ถามว่าหนิงเป็นยังไง หลานๆและแฟนหนิงเป็นยังไง
พร้อมกับบอกว่าติดตามข่าวกรุงเทพฝนลงไม่กี่ห่า..
แค่นั้นน้ำก็ขังแล้ว....เมื่อไหร่หนิงจะมา
หนิงได้จากการคุยกะแม่:past,present และ future tense
ครบเลยพี่!! เลยลืมถามเคล็ดลับของแม่ไป
ว่าอะไรคือสิ่งที่ทำให้แม่อายุยืน..เผลอๆนะคะ
Weisheitที่หนิงเพิ่งอ่านมา...
อาจอยู่ในตัวสุภาพสตรีท่านนี้แหละคะ!!
      บันทึกการเข้า


khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #7024 เมื่อ: 27 กันยายน 2555, 21:41:50 »

โฆษณานี้ออกฉายครั้งแรก 1996
ผ่านตาทุกทีก็เฉยๆคะ
แต่หลายวันที่แล้ว...
ดูแล้วคิดถึงพี่สิงห์ค่ะ!

แถมตอนท้ายคะ: ชีวิต,เดินหน้าต่อไปคะ!

เด็ดขาด...ต้องนำมาฝากพี่ให้ได้.


<a href="http://www.youtube.com/v/SODyCw5KmZg?" target="_blank">http://www.youtube.com/v/SODyCw5KmZg?</a>

http://youtu.be/SODyCw5KmZg
      บันทึกการเข้า


  หน้า: 1 ... 279 280 [281] 282 283 ... 681   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

ทำไมหอพักนิสิตจุฬาจึงเป็นดินแดนมหัศจรรย์            " ไม่ได้เป็นแค่หอให้นอนพัก  แต่เป็นบ้านอบอุ่นรักให้อาศัย  ไม่เป็นแค่ที่ซุกหัวยามหลบภัย  แต่สร้างใจให้เข้มแข็งแกร่งการงาน"  <))))><