24 พฤศจิกายน 2567, 06:19:42
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 277 278 [279] 280 281 ... 681   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: คุย กับ คุณมานพ กลับดี อดีตประธานชมรม ๓ สมัย  (อ่าน 3569468 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 35 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
too_ploenpit
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2514
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 7,778

เว็บไซต์
« ตอบ #6950 เมื่อ: 20 กันยายน 2555, 08:28:35 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 19 กันยายน 2555, 20:17:43
อ้างถึง
ข้อความของ too_ploenpit เมื่อ 18 กันยายน 2555, 08:42:34
อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 17 กันยายน 2555, 20:02:09
อ้างถึง
ข้อความของ too_ploenpit เมื่อ 17 กันยายน 2555, 08:43:52

...สวัสดีค่ะ...พี่สิงห์...

...ตามอ่านแล้วค่ะ...

...เมื่อวานไม่ได้เข้ามาคุยด้วย...

...เพราะว่าต้องตื่นแต่เช้าไปทำบุญที่วัดค่ะ...

...จากนั้นไปสนามบอล...มีกิจกรรมเหมือนกับวันเสาร์ค่ะ...

...แต่ตอนเย็นมีฝนปรอยๆ...สนามเลยไม่มีขาประจำมาเล่นตั้งแต่ห้าโมงเย็นค่ะ...

...ตู่นั่งสมาธิยังสังเกตุไม่ได้ค่ะ...ว่าญาณไหนเป็นยังไง...

...นั่งไปเรื่อยๆทื่อๆ...เอาความสงบเป็นพอค่ะ...

...ถ้าใจส่งออกนอก...ถ้ารู้ตัว...ก็พยายามดึงกลับเข้ามาใหม่...

...กลับมาจับลมหายใจอย่างเดิม...เช่นนี้ทุกครั้งไป...

...บางครั้งก็มีปิติ...มีสุข...มีอะไรๆอีกเยอะเลย...

...ถ้าพี่สิงห์ปฎิบัติแล้วมีอะไรเกิดขึ้นแปลกๆ...

...ก็เอามาเล่าให้ฟังบ้างก็ได้ค่ะ...

...ถือเป็นประสบการณ์ที่อาจเกิดขึ้นบ้าง...แต่เราไม่ได้สังเกตุ...

...แต่ความมหัศจรรย์ทางจิตที่เคยสัมผัสได้หรือครูบาอาจารย์ท่านเคยทำให้รู้สึก...

...ตู่ก็เคยได้รับมาแล้วค่ะ...และเชื่อว่าท่านรู้วาระจิตจริงๆ...

...แต่รู้ยังไง...เราเองก็ยังงงค่ะ...


สวัสดีค่ะ คุณน้องตู่ ที่รัก

                         ทุกสิ่งทุกอย่าง ที่เขียนมานั้น เขียนมาจากประสบการที่ตัวเองประสบมาแล้วทั้งสิ้น เพราะถือตามคติ ที่หลวงพ่อเทียน ท่านสอน คือ เขียนในสิ่งที่ตัวเองรู้ เข้าใจ  จากการปฏิบัติธรรม  อย่าเขียนเพราะไปจำเขามา  ซึ่งมันอาจจะไม่เป็นจริงก็ได้  แต่ถ้าเขียนจากสิ่งที่เราประสบมา มันเป็นความจริง เพราะเราประสบมาด้วยตัวเอง  รู้ได้ด้วยตัวเราเอง  ตามหลักกาลามสูตร ครับ

                         ในการปฏิบัติธรรม เธอจะต้องแยกให้ออกระหว่าง ความรู้สึกตัว   อารมณ์  และความคิด  เมื่อแยกออกแล้วต่อไปเธอจะแยกรูป-นาม  ออกได้เอง และถ้าโชคดีเธอจะเห็นรูป-นาม ด้วยอารมณ์ของการปฏิบัติจริงๆ และจะรู้ว่าแท้จริงการปฏิบัติธรรมนั้น กระทำไปทำไม? จะรู้ด้วยตัวเอง  จะรู้เรื่องสมมติบัญญัติ และปรมัตถ์บัญญัติ เอง

                         นอกจากนี้จะรู้พฤติกรรมของจิตมนุษย์ทั่วๆ ไปว่ามันเป็นอย่างไร เราสามารถเอามันมาใช้กับเราได้ เพื่อให้ชีวิตสุข  สงบ อยู่ในสังคมได้ เพราะรู้ความจริงเกี่ยวกับจิตมนุษย์แล้ว และรู้อะไร อีกตั้งมากมาย รวมทั้งจะละทิ้งความเชื่อถือที่งมงาย  สิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ไปเอง  จากการดูกาย-จิต  ตนเองนี่ละ

                          พี่ประสิทธิ์ คุมทีมฟุตบอลศรีราชา หรือ เปล่า อยากทราบ

                           สวัสดีค่ะ


...สวัสดีค่ะ...พี่สิงห์...

...จากการที่ได้อ่านกระทู้ต่างๆตามที่พี่สิงห์ตอบ...

...แสดงว่าพี่สิงห์นั่งสมาธิจนได้ญานสี่แล้ว...และได้ด้วยตัวเอง...ไม่ได้ไปจำเขามา...ใช่มั้ยคะ...

...ขออนุโมทนาด้วยค่ะ...

...หมอประสิทธิ์ไม่ได้คุมทีมฟุตบอลศรีราชา...หรือที่ไหนทั้งนั้นค่ะ...

...เพียงแต่ไปช่วยงานที่สนามบอล...และจัดลีคแข่งขันประเภทต่างๆไปเรือยๆ...

...ถ้าทีมไหนได้แชมป์...ก็เป็นตัวประสานงานเพื่อส่งแข่งในระดับต่อๆไปค่ะ...


สวัสดีค่ะ คุณน้องตู่ ที่รัก

                          ดีแล้วละที่พี่ประสิทธิ์ กระทำในสิ่งที่ตนรัก และตนเองชอบ มีอะไรให้ทำเพื่อสังคม  ดีกว่าอยู่เฉยๆ ครับ

                          พี่สิงห์  ไม่ได้รู้อะไรมากหรอก  ตอนนี้ก็เอาตัวเองเป็นหนูตะเภา  ทดลองไปเรื่อยๆ

                           และรู้ว่าจักคำว่า "สัมมาวายะโม คือ ความเพียรชอบ" นั้น สำคัญยิ่งนัก ต่อการปฏิบัติธรรม คือ ต้องมีวิริยะในการทำกุศลที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น  ต้องมีวิริยะในการละอกุศลที่ยังไม่เกิด ไม่ให้เกิดขึ้น  เพียรละอกุศลที่เกิดขึ้นแล้วให้หมดไป และทำกุศลที่เกิดขึ้นแล้วให้เจริญยิ่งๆ ขึ้นไป

                            เพราะสิ่งเหล่านี้มันจะทำให้เป็นจิตกุศลควรแก่งานที่จะเจริญวิปัสสนาญาณ ยิ่งนัก

                            และมันก็ไม่ง่ายเลยจริงๆ ต้องเอาชนะใจตนเองเป็นอย่างมาก  เพราะมารมันแยะ ครับ

                            ราตรีสวัสดิ์ครับ


...สวัสดีค่ะ...พี่สิงห์...

...หมอประสิทธิ์ใช้ความชอบของตัวเองให้เป็นประโยชน์ค่ะ...

...ช่วงหลังๆนี้หมอได้เข้าไปร่วมทีมวีไอพีของพัทยาและของโรงพยาบาล...

...และบางทีก็ไปร่วมแข่งกับทีมของกระทรวงสาธารณสุข...

...ก็เลยค่อนข้างจะรู้จักคนที่เกี่ยวข้องกับเรืองฟุตบอลอยู่เยอะค่ะ...

...ส่วนความคิดที่สร้างสนามเป็นเรื่องของลูกชายค่ะ...

...พอดีเค้าไปเล่นบอลตามสนามหญ้าเทียมอยู่บ่อยๆ...

...เลยคิดร่วมหุ้นกับเพื่อนรุ่นพี่...ที่ไปเล่นบอลด้วยกัน...

...แล้วพยายามลบข้อด้อยเพิ่มข้อดีให้กับสนามบอลตัวเอง...

...ตู่ก็พยายามดึงหมอให้เข้าวัดบ่อยๆค่ะ...

...อย่างน้อยก็ได้ทำบุญทางด้านทาน...อย่างอื่นอาจตามมาค่ะ...
      บันทึกการเข้า

i love pink, you are pink = i love you
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #6951 เมื่อ: 20 กันยายน 2555, 08:47:30 »

อ้างถึง
ข้อความของ khesorn mueller เมื่อ 19 กันยายน 2555, 23:19:46
พี่สิงห์กลับถึงกทม.แล้วเหรอคะ?
เค้ากลัวน้ำท่วมกันเหรอพี่?
ไม่เคยท่วมติดๆกันไม่ใช่เหรอคะ?
คือปีที่แล้วอุทกภัยใหญ่ใช่มั้ยคะ,
ปีนี้เค้าก็ให้พัก! ให้ซ่อมบ้าน
ปีหน้าแกล้งๆลืม,ปีถัดไปโน่นล่ะค่ะ
จะกลับมาอีก!
ตอนนี้ให้จีน ให้ญี่ปุ่นโน่น รับไป...
ยินว่ามรสุมพัดฟิลิปปินส์จัด
ไทยไม่ถูกคะปีนี้...อะไรจะร้าวราน
ซ้ำแล้วซ้ำอีก??


สวัสดีค่ะ คุณน้องหนุ๋งหนิ๋ง ที่รัก

                       ปกติธรรมชาติ มันก็จะกรุณาตามแบบที่เธอว่า นั่นละ

                      แต่เพราะความกลัว ฝังอยู่ในจิตใจ และการไม่บอกความจริง หรือรู้ไม่จริงของฝ่ายรัฐบาล ผลคือ ผู้สื่อข่าวทางทีวี ก็เล่นข่าว เพราะคนสนใจ จึงมีข่าวน้ำท้วมทุกวัน และคนไม่เชื่อคำพูดของรัฐบาล  มันเลยมีแต่ทุกข์ คือกลัวน้ำท้วมขึ้นสมอง ประกอบกับฝนตกทีไรน้ำท้วมทุกที  คนเลยสับสนใหญ่ ครับ

                        ถึงอย่างไร ปีนี้น้ำไม่ท้วมแน่นอน และปีหน้าจะไม่มีน้ำใช้อย่างพอเพียง ครับ

                        สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #6952 เมื่อ: 20 กันยายน 2555, 08:55:20 »

สวัสดีค่ะ คุณน้องตู่ ที่รัก

                         ชวนพี่ประสิทธิ เข้าวัดนั้นเป็นสิ่งที่ดี เพราะคนแก่โดยทั่วไปเอาใจยาก คือยึดมั่นถือมั่นในตัวเองมาก โดยเฉพาะผู้บริหาร  จะอยู่แบบลำบากทั้งๆ ที่แก่มากๆ ช่วยตัวเองไม่ได้ก็ตาม ขวางหูขวางตาไปหมด  การเข้าวัดทำบุญ  จะทำให้จิตมันละการยึดมั่นถือมั่นได้มาก  จะทำให้อยู่แบบง่ายๆ ขึ้นก็จะมีทุกข์น้อยลง  คนดูแลก็สบายขึ้น  จึงจำเป็นสำหรับผู้สูงอายุ ครับ

                         ปัจจุบันโลกมันเปลี่ยนไปแล้ว  มนุษย์ต้องการความสะดวกสบาย  การทำสนามฟุตบอลให้เช่า เป็นธุระกิจที่ดี  ไปได้ ไม่เจ้งแน่นอนและเรายังสามารถขายน้ำดื่ม อาหาร ได้อีกทางหนึ่ง  ถ้ามีเงินเหลือเฝือพอที่จะลุงทุนทำได้  รับรองไม่ขาดทุน อย่างน้อยพื้นที่ก็มีมูลค่าเพิ่มทุกปี  เราก็มีอะไรทำ และเราก็ชอบ  ที่สำคัญเราสามารถออกกำลังกายได้ เพราะมีสถานที่แล้ว  ทำไปเลยขอสนับสนุน ครับ

                         สวัสดี


      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #6953 เมื่อ: 20 กันยายน 2555, 10:47:13 »

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง และแขกผุ้มาเยือน ที่รักทุกท่าน

                              วันนี้อยู่บ้าน เลยได้ใส่บาตรพระตอนเช้า  งดการไปตีกอล์ฟเช้าอย่างปกติที่เคยทำมาแต่ก่อนมา ทำให้การตีกอล์ฟ น้อยลงไป  ได้เดินน้อยเกินไป  ดังนั้น วันนี้ที่นครศรีธรรมราช คงต้องเดินจงกรมบนสายพาน หนึ่งชั่วโมง เป็นการทดแทน ก่อนที่จะรำมวยจีน และฝึกโยคะ

                              ที่สุรินทร์ ได้มีโอกาสได้สอนพนักงานกลุ่มย่อยๆ เกี่ยวกับศีล ๕ โดยชี้ให้ถึงทั้งคุณและโทษ 

                              ศีล ๕ ปัจจับันมีความสังคัญกับสังคมมนุษย์ เริ่มต้นตั้งแต่ สังคมครอบครัว ชุมชน  ตำบล  อำเภอ จังหวัด และประเทศชาติ  เพราะศีล ๕ เป็นพื้นฐานชีวิตของคนให้อยู่เป็นสุข   สงบ และสร้างความเชื่อมั่น  เชื่อถือให้กับบุคคล จริงๆ เพราะจะไม่พูดปด  ซื่อสัตว์  ไม่เบียดเบียนผู้อื่น  ไม่ติดในกาม และมีสติ-สัมปชัญญะ

                              ผมเชื่อว่า คนเราถ้าได้สวดมนต์ ท่องบ่นศีล ๕ ทุกวัน มันจะดีขึ้นเอง เพราะจิตมันจะจำได้ 

                              โทษของศีล ๕ นั้น ทำให้ลูกเมียและตัวพนักงานลำบาก  ไม่มีกิน เพราะปัจจุบัน เหล้า สุรา  ยามบ้า การพนันทุกรูปแบบ มันมีเกลื่อนไปหมด โอกาสที่จะเสีย มีโอกาสเสี่ยงสูงไปกระทำ จึงต้องให้พนักงานท่องบ่นศีล ๕ ทุกเช้า  จะได้ละอายต่อการละเมิดศีล ๕ ผลประโยชน์จะตกกับเจ้าของกิจการ และตัวพนักงานเอง

                              นอกจากนี้ ผมก็ได้สอนให้ยึดหลักสายกลางในการดำรงชีวิต แบบย่อๆ ให้รู้จักทุกข์  เหตุเกิดทุกข์ วิธีแก้ทุกข์ และหลักปฏบัติให้พ้นทุกข์

                               สอนปฏิบัติธรรมแบบง่ายๆ แยกให้ออกระหว่าง ความคิด  อารมณ์ และความรู้สึกตัว เพียงแค่เอาความรู้สึกตัวมาดูกาย-ใจ ของเราเท่านั้นเอง  อยู่กับปัจจุบัน แบบไม่คิด  ด้วยมีความรู้สึกตัวอยู่ที่กาย-ใจ  จะคิดก็รู้  อารมณ์เกิดขึ้นก็รู้ เพราะอยู่กับการรู้สึกตัว  ปัญญามันเกิดของมันเอง  ง่ายๆ แบบนี้ ไม่ต้องไปวัด นั่งสมาธิ  อยู่กับการทำงานนี่ละ

                              ผมต้องทำ Detox ประจำสัปดาห์แล้วครับ เพราะไปรับประทานอาหารข้าวเหนียว สัมตำ ไก่ย่าง หมูน้ำตกมา ก็ต้องล้างลำไส้ใหญ่ ครับ

                              บ่ายเดินทางไปนครศรีธรรมราช Boarding 14:15 น. ครับ

                              สวัสดี






      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #6954 เมื่อ: 20 กันยายน 2555, 10:53:49 »

ภูมิอากาศวันนี้






                         - ไม่มีพายุพัดผ่าน ประเทศไทย  มีแต่ฝนตามปกติของมัน

                         - การปล่อยน้ำที่เขื่อนเจ้าพระยา  ระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา ลดลงกว่าเมื่อวาน  ตลิ่งสูงขึ้น

                         - ไม่มีอะไรต้องกังวล  สิ่งที่เห็นในกทม. คือ ท่อมันอุดตัน  ระบายน้ำไม่ได้

                           สวัสดี
      บันทึกการเข้า
suriya2513
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,457

« ตอบ #6955 เมื่อ: 20 กันยายน 2555, 11:00:57 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 19 กันยายน 2555, 20:24:36
อ้างถึง
ข้อความของ khesorn mueller เมื่อ 19 กันยายน 2555, 05:28:29

พี่สิงห์ที่เคารพ,
หนิงสวัสดีตอนเช้ามายังพี่ด้วยกวามดีใจ,
ว่าหนิงสมัครสมาชิกสมาคมฯแล้วเมื่อครู่
เก๋สุดขีดคะ...สมัคร online!
อุ๊ยพี่,สมัครตามโต๊ะ ชำระเงินตามโต๊ะ
จะเก๋อะไรใครๆก็ทำกันคะแบบนั้น.

สู้พี่สิงห์นั่งหน้าจอ,สมัครเลย
โอนเงินชำระผ่านธนาคารด้วย online
โอ้โห-ทีนี้ล่ะพี่จะเป็น Proชั้น 1
ของสมาคมฯ!

ลองเลยคะพี่สิงห์ แอบโอนผ่านตู้ATMก็ได้
ไม่มีใครรู้ หนิงรู้หนิงก็อุบคะ..สำคัญที่
เป็นสมาชิกภาพแบบไม่เห็นตัว...เก๋ออกคะ

เชื่อหนิง.


สวัสดีค่ะ คุณน้องหนุ๋งหนิ๋ง ที่รัก

                         พี่สิงห์ ยังไม่ได้คิดเลยครับ  ความสำคัญมันไม่ได้อยู่ที่ต้องสมัครสมาชิกหรอกครับ

                         เอาไว้สบายกาย   สบายใจ  เมื่อไรก้ได้ฤกษ์งามยามดี  จะสมัคร ครับ

                         คุณราเมศวร์  ยังไม่เห็นว่าอะไรเลย  จริงๆ คุณราเมศวร์น่าที่จะสมัครให้ผมไปนานแล้ว ครับ

                         ถึงอย่างไร ก็ขอขอบคุณเธอมาก ที่เตือน ครับ

                         ตอนนี้ ดร.สุริยา  ก็ค่อนขอดเอามากแล้ว เพราะผมไม่ได้ไปร่วมวงครึกครื้น หรือไปงานแต่งงานลูก-หลาน ชาวซีมะโด่ง เลย เพราะรู้ตัวดีครับ  ไม่มีสูตรใส่ และคงไม่ตัดใหม่ด้วย  เลยไม่อยากไปให้ทุกคนรังเกียจ ครับ

                         สวัสดี

ตกลงแผนที่หนึ่ง ไม่สำเร็จนะหนุงหนิงนะ
จะให้ สิงห์ มานพ หลวมตัวเป็นพรีเซนเตอร์สมัครสมาชิกออนไลน์ให้ซักหน่อย
      บันทึกการเข้า

[โบราณคดี]จุดกำเนิดเริ่มต้นของ cmadong.com by : มานพ กลับดี  คลิ๊ก->
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #6956 เมื่อ: 20 กันยายน 2555, 11:51:03 »





                              วันนี้เป็นวันดี  เป็นวันพฤหัสบดี  เป็นวันครู  สบายกาย  สบายใจ  เพราะได้อยู่บ้าน ใส่บาตรพระ  ฟังธรรม  และเจริญสติ

                               สุขใจแบบ หลวงพ่อคำเขียน   สุวณฺโณ  ครับ

                              ไม่อยากทำตนเป็นจระเข้ขวางคลอง คือยึดมั่นถือมั่น ถือทิฏฐิ ตนเอง

                              ผมสมัครสมาชิกสมาคมฯ ทาง Online เรียบร้อยแล้วครับ

                              แจ้งให้ทราบทั่วกัน

                              สวัสดี


      บันทึกการเข้า
suriya2513
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,457

« ตอบ #6957 เมื่อ: 20 กันยายน 2555, 15:41:31 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 20 กันยายน 2555, 11:51:03

                              วันนี้เป็นวันดี  เป็นวันพฤหัสบดี  เป็นวันครู  สบายกาย  สบายใจ  เพราะได้อยู่บ้าน ใส่บาตรพระ  ฟังธรรม  และเจริญสติ

                               สุขใจแบบ หลวงพ่อคำเขียน   สุวณฺโณ  ครับ

                              ไม่อยากทำตนเป็นจระเข้ขวางคลอง คือยึดมั่นถือมั่น ถือทิฏฐิ ตนเอง

                              ผมสมัครสมาชิกสมาคมฯ ทาง Online เรียบร้อยแล้วครับ

                              แจ้งให้ทราบทั่วกัน

                              สวัสดี


เย๊ๆๆๆ  ค่อยคุ้มเหนื่อยหน่อย
      บันทึกการเข้า

[โบราณคดี]จุดกำเนิดเริ่มต้นของ cmadong.com by : มานพ กลับดี  คลิ๊ก->
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #6958 เมื่อ: 20 กันยายน 2555, 20:12:50 »

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง ที่้รักทุกท่าน

                                  ผมอยู่นครศรีธรรมราช อากาศร้อน  ฝนทำท่าจะตก ก็ไม่ตก ครับ

                                  เมื่อตอนเที่ยงได้คุยกับคุณกนกวรรณ  เหรัญญิกสมาคมฯ เรื่องการจ่ายเงินค่าสมาชิก และจะต้องจ่ายค่าทุนหอพักเทอมหลังอีกหนึ่งทุน เป็นเงิน 5,000 = 4,000+1,000 บาท เป็นที่เข้าใจกันแล้ว

                                   ดร.สุริยา

                                  ผมเป็นสมาชิกตลอดชีพของสมาคมกอล์ฟอาชีพผู้อาวุโสไทย (5,000 บาท) สิทธิที่ผมได้รับคือ อย่างน้อย
                                     1. สามารถเข้าแข่งขันกอล์ฟอาชีพได้
                                     2. สามารถมีสิทธิตามกฏหมายเป็นครูสอนกอล์ฟได้ อย่างน้อยชั่วโมงละ 500 บาท
                                     3. ได้ส่วนลด ค่ากรีนฟรี หรือไม่ต้องจ่ายเลยเวลาไปเล่นกอล์ฟตามสนามต่างๆ ทั่วโลกในฐานะ โปร.กอล์ฟ
                                     4. เวลาเจ็บไข้ได้ป่วย ช่วยตัวเองไม่ได้ สมาคมฯ จะหาเงินช่วยเหลือให้ ตามกำลัง
                                     5. เวลาตายทางสมาคมฯ จะไปเป็นเจ้าภาพ และช่วยค่าทำศพรายละ 20,000 บาท

                                  ก็เรียนให้ ดร.สุริยา ทราบ ในฐานะกรรมการสมาคมฯ

                                  ข้อเสนอของผมคือ นิสิตเก่าหอพักที่มีอายุเกิน 60 ปีขึ้นไป ควรเชิญท่านมาเป็นสมาชิกกิตติมศักดิ์ และงดการเก็บค่าสมาชิก เพราะท่านเหล่านั้น  ไม่ได้ทำงานแล้ว  ท่านมาร่วมกิจกรรมของสมาคม ก็เป็นเกียรติแล้วครับ

                                  สมาคมเป็นเรื่องของคนวัยทำงาน ครับ

                                 สวัสดี

      บันทึกการเข้า
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #6959 เมื่อ: 20 กันยายน 2555, 20:30:28 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 20 กันยายน 2555, 08:47:30
สวัสดีค่ะ คุณน้องหนุ๋งหนิ๋ง ที่รัก

                       ปกติธรรมชาติ มันก็จะกรุณาตามแบบที่เธอว่า นั่นละ

                      แต่เพราะความกลัว ฝังอยู่ในจิตใจ และการไม่บอกความจริง หรือรู้ไม่จริงของฝ่ายรัฐบาล ผลคือ ผู้สื่อข่าวทางทีวี ก็เล่นข่าว เพราะคนสนใจ จึงมีข่าวน้ำท้วมทุกวัน และคนไม่เชื่อคำพูดของรัฐบาล  มันเลยมีแต่ทุกข์ คือกลัวน้ำท้วมขึ้นสมอง ประกอบกับฝนตกทีไรน้ำท้วมทุกที  คนเลยสับสนใหญ่ ครับ

                        ถึงอย่างไร ปีนี้น้ำไม่ท้วมแน่นอน และปีหน้าจะไม่มีน้ำใช้อย่างพอเพียง ครับ

                        สวัสดี


พี่สิงห์คะ,
จะแล้งเหรอคะ?เสียชื่อเมืองไทยแย่
โอ่งไงพี่,โอ่งราชบุรีคะ
เก็บน้ำฝนกันเข้าไป!
ถ้าหนิงมีโอกาสสร้างบ้านในกทม.นะคะ
หนิงจะสร้างเก๋มากเลยพี่...ตึกที่ยกพื้น!
ชั้นล่างใช้เป็นที่จอดรถ ที่นั่งให้ลมโกรก
แถม--->จากัก เก็บถังน้ำ?ไม่คะ,โอ่งนี่ล่ะพี่
โอ่งมังกรมีฝาปิด ยุงไม่ให้ไข่..แล้วจาปลูกต้นไม้
ไม้ใบ ไม้ดอกให้เขียวงูชุม...ไว้ไล่โจร หุหุ
โน่นคะไปชั้นแรกกันที่ชั้นบน..ไปชั้น2กันที่ชั้นใต้หลังคา
ฮ้ายยย แค่คิดคะ ภาพบ้านมาเป็นภาพภาพ
เวลาน้ำท่วมกทม.หนิงก็มองจากระเบียงลงมา
แถมนั่งตกปลาอีกต่างหาก.

ฮืม,ฝันคะ.
      บันทึกการเข้า


khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #6960 เมื่อ: 20 กันยายน 2555, 20:52:55 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 20 กันยายน 2555, 20:12:50
สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง ที่้รักทุกท่าน


                                  ก็เรียนให้ ดร.สุริยา ทราบ ในฐานะกรรมการสมาคมฯ

                                  ข้อเสนอของผมคือ นิสิตเก่าหอพักที่มีอายุเกิน 60 ปีขึ้นไป
ควรเชิญท่านมาเป็นสมาชิกกิตติมศักดิ์ และงดการเก็บค่าสมาชิก เพราะท่านเหล่านั้น  
ไม่ได้ทำงานแล้ว  ท่านมาร่วมกิจกรรมของสมาคม ก็เป็นเกียรติแล้วครับ

                                  สมาคมเป็นเรื่องของคนวัยทำงาน ครับ

                                 สวัสดี



หนิงก็นั่งอ่านระเบียบข้อบังคับของสมาคมฯ
สมาชิกภาพมีหลายประเภทจนเบรอ!
แต่ข้อเสนอพี่สิงห์ ดีคะ,เกณฑ์มาให้หมด
มาชุมนุมกันที่สมาคมของเรา..ทุกแรง ทุกกำลัง
แม้แต่,มาร่วมงาน... ล้วนสำคัญทั้งสิ้น.
คนทำงานก็หายเหนื่อย คนมาร่วมก็สนุก
จัดอะไรอะไรก็ไม่ขาดทุน...

ถ้าอยู่เมืองไทย หนิงร่วมทุกงานเลยนะพี่!
ร่วมเฉยๆ ขอให้นั่งๆยืนๆตามซอกนั้นมุมนี้
ขอให้ได้มีส่วนร่วม ร่วมรู้เห็น ร่วมในสิ่งที่
สมาชิกคนอื่นๆเค้าทำกัน...

บางที,คนเค้ามองภาพลักษณ์ของการ"ร่วม"
กิจกรรมผิดไป...ไปมองมุมเดียวคะว่าเป็นผู้ทำงาน
มีอะไรให้ทำ ต้องทำอะไร อีกมุมคะก็สำคัญ
คนมาร่วมงานไงพี่ ขาดบุคคลเหล่านี้..
ทั้งงานมีแต่คณะกรรมการทำงาน...มันก็แปลกๆอยู่!
ชวนมาเลย ชักมาเลย...ที่ควรนำติดตัวมาด้วย
คือท้องว่างๆ(มาอุดหนุนงานซื้อกินเอา)และ..."Stimmung"
ว่างานต้องสนุกแน่ๆ เตรียมทำงานนี้ให้สนุกได้เลย
โดยเรานี่แหละ...ไม่ใช่แมวที่ไหน!!

แหม่,ม่ายงั้นหนูจะได้รับรางวัล"ผู้ร่วมงานดีเด่น"
เหรอพี่สมัยอยู่หอ.
คุณลักษณ์นี้ยังไม่ไปไหนคะ ยังอยู่.
ขอให้ได้ร่วมเหอะ...หนูสนุกทั้งนั้นแหละ.
      บันทึกการเข้า


Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #6961 เมื่อ: 21 กันยายน 2555, 07:56:04 »

อ้างถึง
ข้อความของ khesorn mueller เมื่อ 20 กันยายน 2555, 20:30:28
อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 20 กันยายน 2555, 08:47:30
สวัสดีค่ะ คุณน้องหนุ๋งหนิ๋ง ที่รัก

                       ปกติธรรมชาติ มันก็จะกรุณาตามแบบที่เธอว่า นั่นละ

                      แต่เพราะความกลัว ฝังอยู่ในจิตใจ และการไม่บอกความจริง หรือรู้ไม่จริงของฝ่ายรัฐบาล ผลคือ ผู้สื่อข่าวทางทีวี ก็เล่นข่าว เพราะคนสนใจ จึงมีข่าวน้ำท้วมทุกวัน และคนไม่เชื่อคำพูดของรัฐบาล  มันเลยมีแต่ทุกข์ คือกลัวน้ำท้วมขึ้นสมอง ประกอบกับฝนตกทีไรน้ำท้วมทุกที  คนเลยสับสนใหญ่ ครับ

                        ถึงอย่างไร ปีนี้น้ำไม่ท้วมแน่นอน และปีหน้าจะไม่มีน้ำใช้อย่างพอเพียง ครับ

                        สวัสดี


พี่สิงห์คะ,
จะแล้งเหรอคะ?เสียชื่อเมืองไทยแย่
โอ่งไงพี่,โอ่งราชบุรีคะ
เก็บน้ำฝนกันเข้าไป!
ถ้าหนิงมีโอกาสสร้างบ้านในกทม.นะคะ
หนิงจะสร้างเก๋มากเลยพี่...ตึกที่ยกพื้น!
ชั้นล่างใช้เป็นที่จอดรถ ที่นั่งให้ลมโกรก
แถม--->จากัก เก็บถังน้ำ?ไม่คะ,โอ่งนี่ล่ะพี่
โอ่งมังกรมีฝาปิด ยุงไม่ให้ไข่..แล้วจาปลูกต้นไม้
ไม้ใบ ไม้ดอกให้เขียวงูชุม...ไว้ไล่โจร หุหุ
โน่นคะไปชั้นแรกกันที่ชั้นบน..ไปชั้น2กันที่ชั้นใต้หลังคา
ฮ้ายยย แค่คิดคะ ภาพบ้านมาเป็นภาพภาพ
เวลาน้ำท่วมกทม.หนิงก็มองจากระเบียงลงมา
แถมนั่งตกปลาอีกต่างหาก.

ฮืม,ฝันคะ.


สวัสดียามเช้าค่ะ คุณน้องหนุ๋งหนิ๋ง ที่รัก

                          ปัจจุบัน ชาวราชบุรีเขาเลิกทำโอ่งขายกันแล้ว  มันไม่มีคนซื้อ หันไปทำเซอรามิคก็ไปไม่ไหว  ยิ่งคนรุ่นใหม่แล้ว  ไม่ต้องพูดถึง  สิ่งที่เธอเอ่ยมานั้น เขาไม่เคยเห็นเพราะพ่อ-แม่ไม่ได้ทำเป็นตัวอย่างให้ได้ศึกษา  จะกินน้ำหรือ "ซื้อเอา" น้ำฝนไม่รู้จัก  ต้องการกินผักหรือ "ซื้อเอา" เพราะปลูกไม่เป็นและไม่รู้จักด้วย  ปัจจุบันรู้แต่ผักคะน้า เป็นส่วนใหญ่ เพราะในโรงเรียนเขาไม่สอน  พ่อแม่ไม่ได้สอน  แล้วคนรุ่นใหม่เลยไม่รู้เรื่องใกล้ตัวเลย

                         นี่ละเป็นสาเหตุที่ปัจจุบันอาหารสำเร็จรูป  ข้าวแกงสำเร็จรูป  จึงขายดีเป็นเทน้ำ เทท่า  จริงๆ เพราะมันสะดวกไม่ต้องทำ  ไปซื้อ เอาเข้าไมโครเวบ กินได้เลย  แต่โทษทีมันเป็ฌนอาหารขยะ  ที่กินเข้าไปมากๆ มีแต่โรคยามแก่เฒ่า  แต่คนรุ่นใหม่ไม่รู้ เพราะมันเพิ่งเข้ามาไม่ถึง 5 ปี เอง  ยังไม่มีใครได้รับผลให้เห็น  เอาไว้รอ 20 ปี แล้วจะทราบเอง  แต่ก็สายไปแล้ว

                         ดังนั้น  คนรุ่นใหม่  หาเงินให้ได้มากเข้าไว้  และซื้อกิน  แต่ถ้าไม่มีให้ซื้อ ก็อดตาย ครับ มันเป็นเช่นนี้

                         พี่สิงห์ ก็คิดแบบเธอ  ถ้าไม่ทำงานจริงๆ  จะปลูกบ้านดินหลังเล็ก ๆ เพราะคิดว่าทำได้เอง  ไม่ต้องใช้เงินมาก  หรือปลูกกระต๊อบบ้านไม้เล็กๆ มีนอกชานเอาไว้ดูดาว มีเพียงฝาผนัง ไม่กั้นห้อง เพราะไม่มีสมบัติอะไร เอาเป็นเพียงกันฝน กันลมเท่านั้น  ปลูกผัก ทำสวนครัว  อยู่อย่างพอเพียง เก็บน้ำฝนเอาไว้กิน  มีรถจักรยานหนึ่งคันเอาไว้ไปทำธุระ  ข้าวก็หุงกิน  อยู่ได้แล้วครับ ถึงแม้จะไม่มีรายได้  แต่ก็ไม่มีรายจ่ายมาก  มันก็อยู่ได้อีก 20 ปี สะบายมาก โดยที่ไม่ต้องพึ่งใครเลย  ใครอยากปฏิบัติธรรม  ก็จะสอนให้  อยู่เพื่อรอวันจากไปเท่านั้น  โลกนี้ไม่มีอะไรที่น่าสนใจ  ที่จะต้องอยู่  อยู่นานมีแต่ทุกข์ ครับ

                      ยกเว้นถ้าตัดสินใจบวช  ก็ต้องพึ่งชาวบ้าน แล้วละ แต่ก็จะตอบแทนด้วยการสอน "ธรรมะ และการดูแลสุขภาพ" ให้ชาวบ้านอยู่อย่างสุข  สับายพอสมควร

                          สวัสดี
   
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #6962 เมื่อ: 21 กันยายน 2555, 08:03:56 »

อ้างถึง
ข้อความของ khesorn mueller เมื่อ 20 กันยายน 2555, 20:52:55
อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 20 กันยายน 2555, 20:12:50
สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง ที่้รักทุกท่าน


                                  ก็เรียนให้ ดร.สุริยา ทราบ ในฐานะกรรมการสมาคมฯ

                                  ข้อเสนอของผมคือ นิสิตเก่าหอพักที่มีอายุเกิน 60 ปีขึ้นไป
ควรเชิญท่านมาเป็นสมาชิกกิตติมศักดิ์ และงดการเก็บค่าสมาชิก เพราะท่านเหล่านั้น  
ไม่ได้ทำงานแล้ว  ท่านมาร่วมกิจกรรมของสมาคม ก็เป็นเกียรติแล้วครับ

                                  สมาคมเป็นเรื่องของคนวัยทำงาน ครับ

                                 สวัสดี



หนิงก็นั่งอ่านระเบียบข้อบังคับของสมาคมฯ
สมาชิกภาพมีหลายประเภทจนเบรอ!
แต่ข้อเสนอพี่สิงห์ ดีคะ,เกณฑ์มาให้หมด
มาชุมนุมกันที่สมาคมของเรา..ทุกแรง ทุกกำลัง
แม้แต่,มาร่วมงาน... ล้วนสำคัญทั้งสิ้น.
คนทำงานก็หายเหนื่อย คนมาร่วมก็สนุก
จัดอะไรอะไรก็ไม่ขาดทุน...

ถ้าอยู่เมืองไทย หนิงร่วมทุกงานเลยนะพี่!
ร่วมเฉยๆ ขอให้นั่งๆยืนๆตามซอกนั้นมุมนี้
ขอให้ได้มีส่วนร่วม ร่วมรู้เห็น ร่วมในสิ่งที่
สมาชิกคนอื่นๆเค้าทำกัน...

บางที,คนเค้ามองภาพลักษณ์ของการ"ร่วม"
กิจกรรมผิดไป...ไปมองมุมเดียวคะว่าเป็นผู้ทำงาน
มีอะไรให้ทำ ต้องทำอะไร อีกมุมคะก็สำคัญ
คนมาร่วมงานไงพี่ ขาดบุคคลเหล่านี้..
ทั้งงานมีแต่คณะกรรมการทำงาน...มันก็แปลกๆอยู่!
ชวนมาเลย ชักมาเลย...ที่ควรนำติดตัวมาด้วย
คือท้องว่างๆ(มาอุดหนุนงานซื้อกินเอา)และ..."Stimmung"
ว่างานต้องสนุกแน่ๆ เตรียมทำงานนี้ให้สนุกได้เลย
โดยเรานี่แหละ...ไม่ใช่แมวที่ไหน!!

แหม่,ม่ายงั้นหนูจะได้รับรางวัล"ผู้ร่วมงานดีเด่น"
เหรอพี่สมัยอยู่หอ.
คุณลักษณ์นี้ยังไม่ไปไหนคะ ยังอยู่.
ขอให้ได้ร่วมเหอะ...หนูสนุกทั้งนั้นแหละ.


                     ระเบียบมันเป็นเพียงตัวหนังสือ ที่เขาสมมติขึ้นมาจากความคิด

                     มันต้องกระทำให้ได้จริงๆ  นั่นละมันถึงจะเป็นที่ยอมรับ และมีคนมาร่วมแยะๆ

                     มนุษย์เรา  ยังต้องการสิ่งตอบแทน  การให้เกียรติ  และการเคารพ  มันหนีไม่พ้น ครับ

                     พิจารณาเอาเอง ก็แล้วกัน

                     พี่สิงห์  รู้ตัวดี  อยากอยู่อย่างสงบ  ไม่วุ่นวายกับโลกภายนอกมากนัก เพราะมีแต่ทุกข์  ไม่อยากหาทุกข์มาเพิ่มอีกแล้ว  และอยากอยู่แบบไม่พึ่งพาใคร  และไม่ทำให้ใครทุกข์เพราะเรา  ชีวิตมันก็มีเพียงเท่านี้  จะเอาอะไรมากไปทำไม  ตายไปก็เอาไปไม่ได้  โลงศพเขาก็ทำให้นิดเดียว  คนตายมีแต่คนรังเกียจ เขาไปงานศพก็ไปพอเป็นพิธี(เป็นส่วนใหญ่) เท่านั้น

                     สวัสดี
      บันทึกการเข้า
too_ploenpit
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2514
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 7,778

เว็บไซต์
« ตอบ #6963 เมื่อ: 21 กันยายน 2555, 11:35:56 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 20 กันยายน 2555, 08:55:20
สวัสดีค่ะ คุณน้องตู่ ที่รัก

                         ชวนพี่ประสิทธิ เข้าวัดนั้นเป็นสิ่งที่ดี เพราะคนแก่โดยทั่วไปเอาใจยาก คือยึดมั่นถือมั่นในตัวเองมาก โดยเฉพาะผู้บริหาร  จะอยู่แบบลำบากทั้งๆ ที่แก่มากๆ ช่วยตัวเองไม่ได้ก็ตาม ขวางหูขวางตาไปหมด  การเข้าวัดทำบุญ  จะทำให้จิตมันละการยึดมั่นถือมั่นได้มาก  จะทำให้อยู่แบบง่ายๆ ขึ้นก็จะมีทุกข์น้อยลง  คนดูแลก็สบายขึ้น  จึงจำเป็นสำหรับผู้สูงอายุ ครับ

                         ปัจจุบันโลกมันเปลี่ยนไปแล้ว  มนุษย์ต้องการความสะดวกสบาย  การทำสนามฟุตบอลให้เช่า เป็นธุระกิจที่ดี  ไปได้ ไม่เจ้งแน่นอนและเรายังสามารถขายน้ำดื่ม อาหาร ได้อีกทางหนึ่ง  ถ้ามีเงินเหลือเฝือพอที่จะลุงทุนทำได้  รับรองไม่ขาดทุน อย่างน้อยพื้นที่ก็มีมูลค่าเพิ่มทุกปี  เราก็มีอะไรทำ และเราก็ชอบ  ที่สำคัญเราสามารถออกกำลังกายได้ เพราะมีสถานที่แล้ว  ทำไปเลยขอสนับสนุน ครับ

                         สวัสดี



...สวัสดีตอนใกล้เที่ยงค่ะ...พี่สิงห์...

...ตู่ไม่ได้ใส่บาตรทุกวัน...

...ก็เลยต้องไปทำบุญที่วัดบ่อยๆค่ะ...

...ปกติจะไปอาทิตย์ละครั้ง...

...แต่ช่วงนี้ไปบ่อยหน่อยเพราะถือโอกาสไปเยี่ยมพระลูกชายด้วยค่ะ...

...ไปทำบุญที่วัดบ่อยๆก็ดีค่ะ...ได้ทำบุญเพิ่มขึ้นด้วย...

...ได้เจอคนรู้จักและเค้ามาบอกบุญต่อ...

...ก็เก็บเกี่ยวบุญไปทีละหน่อยค่ะ...

...วันอาทิตย์ที่แล้ว...คุณแม่ชีหมวยก็มาบอกบุญซื้อเก้าอี้ให้วัดค่ะ...

...วัดหนองวัวซอ...อุดรธานี...

...เลยทำไป 9 ตัว...ตัวละ 300 บาท...เป็น 2,700 บาทค่ะ...

...สาธุ...ไปทัวร์ครั้งใดก็ขอให้มีที่นั่งดีๆ...และสบายๆ...

...ไม่ต้องไปแย่งที่นั่งกับใครค่ะ...สาธุ...สาธุ...สาธุ...
      บันทึกการเข้า

i love pink, you are pink = i love you
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #6964 เมื่อ: 21 กันยายน 2555, 12:56:30 »

อ้างถึง
ข้อความของ too_ploenpit เมื่อ 21 กันยายน 2555, 11:35:56
อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 20 กันยายน 2555, 08:55:20
สวัสดีค่ะ คุณน้องตู่ ที่รัก

                         ชวนพี่ประสิทธิ เข้าวัดนั้นเป็นสิ่งที่ดี เพราะคนแก่โดยทั่วไปเอาใจยาก คือยึดมั่นถือมั่นในตัวเองมาก โดยเฉพาะผู้บริหาร  จะอยู่แบบลำบากทั้งๆ ที่แก่มากๆ ช่วยตัวเองไม่ได้ก็ตาม ขวางหูขวางตาไปหมด  การเข้าวัดทำบุญ  จะทำให้จิตมันละการยึดมั่นถือมั่นได้มาก  จะทำให้อยู่แบบง่ายๆ ขึ้นก็จะมีทุกข์น้อยลง  คนดูแลก็สบายขึ้น  จึงจำเป็นสำหรับผู้สูงอายุ ครับ

                         ปัจจุบันโลกมันเปลี่ยนไปแล้ว  มนุษย์ต้องการความสะดวกสบาย  การทำสนามฟุตบอลให้เช่า เป็นธุระกิจที่ดี  ไปได้ ไม่เจ้งแน่นอนและเรายังสามารถขายน้ำดื่ม อาหาร ได้อีกทางหนึ่ง  ถ้ามีเงินเหลือเฝือพอที่จะลุงทุนทำได้  รับรองไม่ขาดทุน อย่างน้อยพื้นที่ก็มีมูลค่าเพิ่มทุกปี  เราก็มีอะไรทำ และเราก็ชอบ  ที่สำคัญเราสามารถออกกำลังกายได้ เพราะมีสถานที่แล้ว  ทำไปเลยขอสนับสนุน ครับ

                         สวัสดี



...สวัสดีตอนใกล้เที่ยงค่ะ...พี่สิงห์...

...ตู่ไม่ได้ใส่บาตรทุกวัน...

...ก็เลยต้องไปทำบุญที่วัดบ่อยๆค่ะ...

...ปกติจะไปอาทิตย์ละครั้ง...

...แต่ช่วงนี้ไปบ่อยหน่อยเพราะถือโอกาสไปเยี่ยมพระลูกชายด้วยค่ะ...

...ไปทำบุญที่วัดบ่อยๆก็ดีค่ะ...ได้ทำบุญเพิ่มขึ้นด้วย...

...ได้เจอคนรู้จักและเค้ามาบอกบุญต่อ...

...ก็เก็บเกี่ยวบุญไปทีละหน่อยค่ะ...

...วันอาทิตย์ที่แล้ว...คุณแม่ชีหมวยก็มาบอกบุญซื้อเก้าอี้ให้วัดค่ะ...

...วัดหนองวัวซอ...อุดรธานี...

...เลยทำไป 9 ตัว...ตัวละ 300 บาท...เป็น 2,700 บาทค่ะ...

...สาธุ...ไปทัวร์ครั้งใดก็ขอให้มีที่นั่งดีๆ...และสบายๆ...

...ไม่ต้องไปแย่งที่นั่งกับใครค่ะ...สาธุ...สาธุ...สาธุ...


สวัสดีค่ะ คุณน้อง ตู่ที่รัก

                       การทำบุญ  บริจาคทาน  ช่วยเหลือคนและสัตว์  ทำได้ทำไปเลย  สุขใจทั้งนั้น ถ้าเราไม่เดือดร้อน เป็นเรื่องที่ดี  สำคัญที่ก่อนทำ  ขณะทำ  และภายหลังทำ ต้องสบายใจ  จิตจะเป็นมหากุศล เหมาะแก่งานเจริญวิปัสสนา ครับ

                       ถือเสียว่าจะไปทำบุญมาก  น้อย ไม่สำคัญ  ทำบุญมากแต่จิตเป็นอกุศล ก็ไม่ก่อประโยชน์อะไรทั้งสิ้น  ไม่ทำเสียดีกว่าครับ

                       ขออนุโมทนา

                       สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #6965 เมื่อ: 21 กันยายน 2555, 13:02:59 »






สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน

                               วันนี้ผมขอเสนอให้ทุกท่าน ดำเนินชีวิตตามที่พระสมณโคดม  ทรงสั่งสอนครั้งในสมัยพุทธกาล คือสมาทานรับศีล ๕ ซึ่งเป็นมหาศีลที่สำคัญที่สุดในการดำรงค์ชีวิตของมนุษย์ อยู่อย่างสงบสุข ที่แท้จริง

                               เราอย่าคิดว่าไม่สำคัญ  ลองมาทำกันจริงจัง  เริ่มต้นที่ตัวเรานี่ละครับ ไม่ต้องสนใจผู้อื่นทั้งสิ้น เราก็สงบสุขได้ครับ

                               สวัสดี
      บันทึกการเข้า
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #6966 เมื่อ: 21 กันยายน 2555, 18:56:11 »

สวัสดีคะพี่สิงห์ พี่ตู่,
ขนาดศีล ๕ ยังยากเลยคะพี่!!
นี่พูดกันตามจริงนะคะนี่ ยังไม่ลงไปหยิบ"สาก"
ขึ้นมาจากในครัวที!

พี่พี่ดูนะคะ:
ข้อ ๑. เว้นไม่ให้ผู้อื่นฆ่า...ข้อนี้ก็จบเห่แล้วคะ!
ก็เอ๋า,หนูหยิบSchweinebratenชิ้นเบ่อเฮิ่ม 800 gr.
ออกจากตู้แช่เตรียมทำอาหารมื้อเย็น...ก็บาปแล้ว!
ไม่ได้ฆ่าหมูเองแต่"Metzger"เค้าฆ่าเค้าชำแหละ
ส่งSupermarkt...ไม่ตรงก็อ้อมคะพี่ขา...ซื้อเค้ากิน
หลายตัดหลายต่อก็-->ไม่พ้นบาปค่ะ หนิงว่า.


ข้อ๒.
ข้อนี้รับได้ คะ

ข้อ ๓.ข้อนี้หนิงปลอด แม้จิตจาคิดอกุศลกะหนุ่มๆ
พอหอมปากหอมคอกระชุ่มกระชวย...แต่กาย,ยังคง
ในกฎ ในระเบียบ ไม่ล่วง ไม่ละเมิด ไม่มีทางคะ...
ไม่แลก...ว่าแต่ ใครล่ะจาไม่คิด...พูดแล้ว เดี๋ยวก็หม่ามซะหร็อก!!

ข้อ ๔. ข้อนี้ต้องตีความนะคะนี่...bla bla ง่ายๆไม่ได้
ไม่เชื่อถามพวกนิติดูสิพี่? เฮอะ,ลดเลี้ยวเคี้ยวคดใน
ข้อ ในความ ไปได้เรื่อยๆ แต่,หนู"ล่อลวง"พี่สิงห์ให้สมัคร
onlineได้--->ใครว่าบาป??

ข้อ ๕. วันไหนไปงานไวน์...ช่วงนี้ล่ะไวน์เปิดตัว
ขอละเว้นการรักษาข้อนี้...ไปรักษาสถานภาพพวกWinzer!
ไม่มีเราเขาจะอดตายค่ะ อุตส่าห์ทำมาหากินสุจริต..
ปลูกองุ่น ฟูมฟัก รักษา กว่าจะตัด ไปส่งสหกรณ์
ไปบด กดน้ำ บ่ม หมัก อีกกี่ปีกว่าจะบรรจุขวด นำออกขาย
จุ๊ๆๆๆ เป็นเครื่องดื่มเพื่อควบคุมตัวเองคะ..แค่ไหนดี
แค่ไหนพอไม่อ้วกแตกอ้วกแตนเสียของ.

เห็นมั้ยพี่ๆ,แค่นี้ก็ยากแล้วค่ะ
ทำให้ได้ทุกวัน?? oh,no
ชีวิตอะไรจะขาดซึ่งการรับรู้
เดี๋ยวsenseก็แปรปรวน หมดกัน.



ลงชื่อ
น้องสุขนิยม..
เจ้าของ motto:ศุกร์กันเถอะเรา,เสาร์ไปทำไม!
      บันทึกการเข้า


khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #6967 เมื่อ: 21 กันยายน 2555, 19:37:53 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 21 กันยายน 2555, 07:56:04
สวัสดียามเช้าค่ะ คุณน้องหนุ๋งหนิ๋ง ที่รัก

                          ปัจจุบัน ชาวราชบุรีเขาเลิกทำโอ่งขายกันแล้ว  มันไม่มีคนซื้อ หันไปทำเซอรามิคก็ไปไม่ไหว  ยิ่งคนรุ่นใหม่แล้ว  ไม่ต้องพูดถึง  สิ่งที่เธอเอ่ยมานั้น เขาไม่เคยเห็นเพราะพ่อ-แม่ไม่ได้ทำเป็นตัวอย่างให้ได้ศึกษา  จะกินน้ำหรือ "ซื้อเอา" น้ำฝนไม่รู้จัก  ต้องการกินผักหรือ "ซื้อเอา" เพราะปลูกไม่เป็นและไม่รู้จักด้วย  ปัจจุบันรู้แต่ผักคะน้า เป็นส่วนใหญ่ เพราะในโรงเรียนเขาไม่สอน  พ่อแม่ไม่ได้สอน  แล้วคนรุ่นใหม่เลยไม่รู้เรื่องใกล้ตัวเลย

                         นี่ละเป็นสาเหตุที่ปัจจุบันอาหารสำเร็จรูป  ข้าวแกงสำเร็จรูป  จึงขายดีเป็นเทน้ำ เทท่า  จริงๆ เพราะมันสะดวกไม่ต้องทำ  ไปซื้อ เอาเข้าไมโครเวบ กินได้เลย  แต่โทษทีมันเป็ฌนอาหารขยะ  ที่กินเข้าไปมากๆ มีแต่โรคยามแก่เฒ่า  แต่คนรุ่นใหม่ไม่รู้ เพราะมันเพิ่งเข้ามาไม่ถึง 5 ปี เอง  ยังไม่มีใครได้รับผลให้เห็น  เอาไว้รอ 20 ปี แล้วจะทราบเอง  แต่ก็สายไปแล้ว

                         ดังนั้น  คนรุ่นใหม่  หาเงินให้ได้มากเข้าไว้  และซื้อกิน  แต่ถ้าไม่มีให้ซื้อ ก็อดตาย ครับ มันเป็นเช่นนี้

                         พี่สิงห์ ก็คิดแบบเธอ  ถ้าไม่ทำงานจริงๆ  จะปลูกบ้านดินหลังเล็ก ๆ เพราะคิดว่าทำได้เอง  ไม่ต้องใช้เงินมาก  หรือปลูกกระต๊อบบ้านไม้เล็กๆ มีนอกชานเอาไว้ดูดาว มีเพียงฝาผนัง ไม่กั้นห้อง เพราะไม่มีสมบัติอะไร เอาเป็นเพียงกันฝน กันลมเท่านั้น  ปลูกผัก ทำสวนครัว  อยู่อย่างพอเพียง เก็บน้ำฝนเอาไว้กิน  มีรถจักรยานหนึ่งคันเอาไว้ไปทำธุระ  ข้าวก็หุงกิน  อยู่ได้แล้วครับ ถึงแม้จะไม่มีรายได้  แต่ก็ไม่มีรายจ่ายมาก  มันก็อยู่ได้อีก 20 ปี สะบายมาก โดยที่ไม่ต้องพึ่งใครเลย  ใครอยากปฏิบัติธรรม  ก็จะสอนให้  อยู่เพื่อรอวันจากไปเท่านั้น  โลกนี้ไม่มีอะไรที่น่าสนใจ  ที่จะต้องอยู่  อยู่นานมีแต่ทุกข์ ครับ

                      ยกเว้นถ้าตัดสินใจบวช  ก็ต้องพึ่งชาวบ้าน แล้วละ แต่ก็จะตอบแทนด้วยการสอน "ธรรมะ และการดูแลสุขภาพ" ให้ชาวบ้านอยู่อย่างสุข  สับายพอสมควร

                          สวัสดี
   

พี่สิงห์ที่เคารพ,
ส่วนประกอบอื่นๆ factorอื่นๆอีกหลายอย่างคะ
ที่เข้ามาเป็นส่วนสำคัญ..การเลือกจะใช้ชีวิต

หากยังต้องสร้าง ต้องหา ต้องเก็บ ต้องออม
อะไรที่จะไปให้ถึงจุดนี้ได้ แต่ละคนก็หาทางที่จะไป.
เวลาคะ,ที่ผ่านไปรวดเร็วยิ่งว่าใจซะอีก
อยากenjoy,อยากslow down มันก็ทำไม่ง่าย
เพราะกระแสรอบๆมันเร็วจนกลัวไม่ทันเค้า..

ความสะดวกสบายที่เราจะหาให้ชีวิตได้
ควรมีเราคะเป็นผู้กำหนด...กำหนดขอบเขต
กำหนดความเร็ว เพื่อเราเองคะ,จะได้ดื่มด่ำ
กับสภาวะ,momentนั้นๆได้...

ชีวิตที่เร่งรีบ พี่สิงห์คงหมายถึงชีวิตในกรุงเทพ?
ที่หมดเปลืองเวลาไปมากมาย กี่เปอเซนต์ของ
แต่ละวันกับการอยู่บนถนน?การจะไปจากA เพื่อให้ถึง B
...เวลาที่เท่ากัน 24 ชั่วโมง
จะอยู่ จะใช้ชีวิตมุมไหนของโลก ก็หนีfactนี้ไปไม่ได้...

ทีนี้,เมื่อ"เงิน"คือส่วนประกอบสำคัญ ที่ทำให้เราได้ใช้ชีวิต
ในแบบที่เราต้องการ การ"หา"เงินจึงต้องรีบกระทำ
ในช่วงชีวิตนี้...จากไหนนะคะ ช่วงเวลาทำงาน?
อายุ 22-23 ทำงานกันไปจนเกษียณ 58-59-60 ถือว่าเต็มขีด,
รวดเร็วคะ..เช้า-เย็น เช้า-เย็น เช้า-เย็น...เผลออีกที หว่ายยย
จะหมดเวลาทำงานแล้ว....มองย้อนกลับ,มีอะไรเป็น"Balance"
ในช่วงที่ผ่านมาบ้าง? มีเงิน? มีบ้าน? มีรถ? มีคู่ชีวิต?
มีสังคม? มีเพื่อน? มีสุขภาพ? มีงานอดิเรก?

รอตรวจสอบกันตอนเลิกทำงาน? รึต้องตรวจสอบเป็นระยะๆ?
ว่าทุกอย่างที่ถูกตั้งเป็น"เป้าหมาย"เมื่อเริ่มต้นชีวิตน่ะ
ทำได้ ไปได้ถึงมั้ย? เพราะชีวิต,มีอะไรมากมายเกิดขึ้นได้
ไม่แน่ไม่นอน ...ได้หยุดตั้งสติ,เพื่อตรวจสอบเป้าหมายกันมั้ย?
รึชีวิตที่เป็นroutineมาแต่อ้อนแต่ออก...มีให้เดินก็เดิน?
..
..
ไม่สะดุดเลย?
..
..
ไม่เชื่อหรอกพี่!

ตรงนี้คะพี่ ที่หนิงคิดว่าคือตอนสำคัญที่spiritual
ควรได้เข้ามามีบทบาท...ให้มองย้อนเข้าไปตรวจสอบ
ตรวจจิต เพื่อลดเกียร์ของชีวิตลงจากความเร่งรีบ
ร้อนรน เพื่อได้ปล่อยวาง เพื่อได้สงบ เพื่อมองตัวเอง..

แต่ชีวิตยังคงดำเนินต่อไปนี่พี่
ไม่จำเป็นต้องมองbalanceนี้ในด้านทุกข์
ด้านเดียว...ถามตัวเอง,ให้แจงมาสิคะ
ว่าชีวิตจนถึงวันนี้มีช่วง มีmomentแห่งความสุข
เมื่อไหร่?ยังไง? กะใคร? ที่ไหน?
เพราะชีวิตที่ได้ใช้อย่าง intensive จะเป็นชีวิต
ที่ติดตรึงในความทรงจำ...ให้พูด ให้เล่า
ก็เล่าไม่หมดค่ะ.
      บันทึกการเข้า


too_ploenpit
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2514
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 7,778

เว็บไซต์
« ตอบ #6968 เมื่อ: 22 กันยายน 2555, 09:22:56 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 21 กันยายน 2555, 12:56:30
อ้างถึง
ข้อความของ too_ploenpit เมื่อ 21 กันยายน 2555, 11:35:56
อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 20 กันยายน 2555, 08:55:20
สวัสดีค่ะ คุณน้องตู่ ที่รัก

                         ชวนพี่ประสิทธิ เข้าวัดนั้นเป็นสิ่งที่ดี เพราะคนแก่โดยทั่วไปเอาใจยาก คือยึดมั่นถือมั่นในตัวเองมาก โดยเฉพาะผู้บริหาร  จะอยู่แบบลำบากทั้งๆ ที่แก่มากๆ ช่วยตัวเองไม่ได้ก็ตาม ขวางหูขวางตาไปหมด  การเข้าวัดทำบุญ  จะทำให้จิตมันละการยึดมั่นถือมั่นได้มาก  จะทำให้อยู่แบบง่ายๆ ขึ้นก็จะมีทุกข์น้อยลง  คนดูแลก็สบายขึ้น  จึงจำเป็นสำหรับผู้สูงอายุ ครับ

                         ปัจจุบันโลกมันเปลี่ยนไปแล้ว  มนุษย์ต้องการความสะดวกสบาย  การทำสนามฟุตบอลให้เช่า เป็นธุระกิจที่ดี  ไปได้ ไม่เจ้งแน่นอนและเรายังสามารถขายน้ำดื่ม อาหาร ได้อีกทางหนึ่ง  ถ้ามีเงินเหลือเฝือพอที่จะลุงทุนทำได้  รับรองไม่ขาดทุน อย่างน้อยพื้นที่ก็มีมูลค่าเพิ่มทุกปี  เราก็มีอะไรทำ และเราก็ชอบ  ที่สำคัญเราสามารถออกกำลังกายได้ เพราะมีสถานที่แล้ว  ทำไปเลยขอสนับสนุน ครับ

                         สวัสดี



...สวัสดีตอนใกล้เที่ยงค่ะ...พี่สิงห์...

...ตู่ไม่ได้ใส่บาตรทุกวัน...

...ก็เลยต้องไปทำบุญที่วัดบ่อยๆค่ะ...

...ปกติจะไปอาทิตย์ละครั้ง...

...แต่ช่วงนี้ไปบ่อยหน่อยเพราะถือโอกาสไปเยี่ยมพระลูกชายด้วยค่ะ...

...ไปทำบุญที่วัดบ่อยๆก็ดีค่ะ...ได้ทำบุญเพิ่มขึ้นด้วย...

...ได้เจอคนรู้จักและเค้ามาบอกบุญต่อ...

...ก็เก็บเกี่ยวบุญไปทีละหน่อยค่ะ...

...วันอาทิตย์ที่แล้ว...คุณแม่ชีหมวยก็มาบอกบุญซื้อเก้าอี้ให้วัดค่ะ...

...วัดหนองวัวซอ...อุดรธานี...

...เลยทำไป 9 ตัว...ตัวละ 300 บาท...เป็น 2,700 บาทค่ะ...

...สาธุ...ไปทัวร์ครั้งใดก็ขอให้มีที่นั่งดีๆ...และสบายๆ...

...ไม่ต้องไปแย่งที่นั่งกับใครค่ะ...สาธุ...สาธุ...สาธุ...


สวัสดีค่ะ คุณน้อง ตู่ที่รัก

                       การทำบุญ  บริจาคทาน  ช่วยเหลือคนและสัตว์  ทำได้ทำไปเลย  สุขใจทั้งนั้น ถ้าเราไม่เดือดร้อน เป็นเรื่องที่ดี  สำคัญที่ก่อนทำ  ขณะทำ  และภายหลังทำ ต้องสบายใจ  จิตจะเป็นมหากุศล เหมาะแก่งานเจริญวิปัสสนา ครับ

                       ถือเสียว่าจะไปทำบุญมาก  น้อย ไม่สำคัญ  ทำบุญมากแต่จิตเป็นอกุศล ก็ไม่ก่อประโยชน์อะไรทั้งสิ้น  ไม่ทำเสียดีกว่าครับ

                       ขออนุโมทนา

                       สวัสดี


...สาธุค่ะ...พี่สิงห์...

...ตู่ก็พยายามสร้างบารมีทุกวันค่ะ...ทั้งคนทั้งสัตว์...

...ถ้าใครมาเห็นชีวิตจริงๆ...อาจจะคิดว่าบ้า...

...ข้อ 1...ไม่ฆ่าสัตว์...ไม่จริงๆค่ะทั้งยุงทั้งมด...เวลามดมาตอมอะไรก็ตาม...ต้องหยิบออกเป็นตัวๆเลยค่ะ...

...เพราะตู่เคยเห็นคนที่จำเป็นต้องฆ่าสัตว์เล็กๆ...เวลาใกล้ตายต้องนอนเจ็บร้องครวญคราง...เห็นมาหลายคนแล้วค่ะ...

...ข้อ 2...สอนลูกตลอดค่ะ...อย่าเอาเงินใครแม้แต่บาทเดียว...ไม่ว่าจะเดือดร้อนแค่ไหน...

...ตู่กับหมอแม้แต่ไปซื้อของตามห้างหรือที่ไหนก็ตาม...เวลาคนขายคิดเงินผิดทอนเงินเกิน...จะคืนเค้าทุกครั้งไปค่ะ...

...ข้อ 3...รับไม่ได้จริงๆเวลาเห็นผู้ชายมีเมียน้อย...และเกลียดเมียน้อยทุกคนค่ะ...

...ข้อ 4...บางครั้งเราต้องโกหกเพราะความจำเป็นจริงๆ...เพราะบางทีความจริงก็ไม่เป็นประโยชน์สำหรับบางคน...เรียกว่าโกหกสีขาวมั้ง...

...แต่ถ้าสำหรับเรื่องทั่วๆไป...หากจับได้ว่าใครโกหกเราหรือชอบแทงข้างหลัง...ก็จะอยู่ห่างๆและต่อไปก็เลิกคบค่ะ...

...ข้อ 5...ทั้งตู่และหมอแพ้แอลกอฮอล...แต่บางครั้งทดลองจิบเฉยๆค่ะ...อย่างไวน์บางขวดที่แพงมากๆอยากรู้ว่ามันอร่อยยังไง...

...ถือหลักทำดี...ไม่ทำชั่ว...และทำใจให้ผ่องใส...

...จากนั้นก็สร้างบารมีเพิ่มโดยการสวดมนต์ทุกวัน...

...เวลาตู่ไปเที่ยวหรือทำอะไรก็ตาม...จะสวดมนต์ในใจไปด้วยค่ะ...

...และถ้ามีเวลาเหลือ...แต่ส่วนมากจะไม่ค่อยได้ทำค่ะ...พยายามอยู่คือการนั่งสมาธิ...

...แต่เวลานอน...จับลมหายใจตลอด...ครูบาอาจารย์บอกให้จับลมจนกว่าจะหลับและให้จำให้ได้...

...ว่าตอนที่หลับไป...ลมหายใจเข้าหรือออก...ไม่รู้เลยค่ะ...แสดงว่าสติยังเผลออยู่ใช่มั้ยคะ...

...พี่สิงห์ทำได้มั้ยคะ...
      บันทึกการเข้า

i love pink, you are pink = i love you
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #6969 เมื่อ: 22 กันยายน 2555, 10:13:49 »

อ้างถึง
ข้อความของ too_ploenpit เมื่อ 22 กันยายน 2555, 09:22:56
อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 21 กันยายน 2555, 12:56:30
อ้างถึง
ข้อความของ too_ploenpit เมื่อ 21 กันยายน 2555, 11:35:56
อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 20 กันยายน 2555, 08:55:20
สวัสดีค่ะ คุณน้องตู่ ที่รัก

                         ชวนพี่ประสิทธิ เข้าวัดนั้นเป็นสิ่งที่ดี เพราะคนแก่โดยทั่วไปเอาใจยาก คือยึดมั่นถือมั่นในตัวเองมาก โดยเฉพาะผู้บริหาร  จะอยู่แบบลำบากทั้งๆ ที่แก่มากๆ ช่วยตัวเองไม่ได้ก็ตาม ขวางหูขวางตาไปหมด  การเข้าวัดทำบุญ  จะทำให้จิตมันละการยึดมั่นถือมั่นได้มาก  จะทำให้อยู่แบบง่ายๆ ขึ้นก็จะมีทุกข์น้อยลง  คนดูแลก็สบายขึ้น  จึงจำเป็นสำหรับผู้สูงอายุ ครับ

                         ปัจจุบันโลกมันเปลี่ยนไปแล้ว  มนุษย์ต้องการความสะดวกสบาย  การทำสนามฟุตบอลให้เช่า เป็นธุระกิจที่ดี  ไปได้ ไม่เจ้งแน่นอนและเรายังสามารถขายน้ำดื่ม อาหาร ได้อีกทางหนึ่ง  ถ้ามีเงินเหลือเฝือพอที่จะลุงทุนทำได้  รับรองไม่ขาดทุน อย่างน้อยพื้นที่ก็มีมูลค่าเพิ่มทุกปี  เราก็มีอะไรทำ และเราก็ชอบ  ที่สำคัญเราสามารถออกกำลังกายได้ เพราะมีสถานที่แล้ว  ทำไปเลยขอสนับสนุน ครับ

                         สวัสดี



...สวัสดีตอนใกล้เที่ยงค่ะ...พี่สิงห์...

...ตู่ไม่ได้ใส่บาตรทุกวัน...

...ก็เลยต้องไปทำบุญที่วัดบ่อยๆค่ะ...

...ปกติจะไปอาทิตย์ละครั้ง...

...แต่ช่วงนี้ไปบ่อยหน่อยเพราะถือโอกาสไปเยี่ยมพระลูกชายด้วยค่ะ...

...ไปทำบุญที่วัดบ่อยๆก็ดีค่ะ...ได้ทำบุญเพิ่มขึ้นด้วย...

...ได้เจอคนรู้จักและเค้ามาบอกบุญต่อ...

...ก็เก็บเกี่ยวบุญไปทีละหน่อยค่ะ...

...วันอาทิตย์ที่แล้ว...คุณแม่ชีหมวยก็มาบอกบุญซื้อเก้าอี้ให้วัดค่ะ...

...วัดหนองวัวซอ...อุดรธานี...

...เลยทำไป 9 ตัว...ตัวละ 300 บาท...เป็น 2,700 บาทค่ะ...

...สาธุ...ไปทัวร์ครั้งใดก็ขอให้มีที่นั่งดีๆ...และสบายๆ...

...ไม่ต้องไปแย่งที่นั่งกับใครค่ะ...สาธุ...สาธุ...สาธุ...


สวัสดีค่ะ คุณน้อง ตู่ที่รัก

                       การทำบุญ  บริจาคทาน  ช่วยเหลือคนและสัตว์  ทำได้ทำไปเลย  สุขใจทั้งนั้น ถ้าเราไม่เดือดร้อน เป็นเรื่องที่ดี  สำคัญที่ก่อนทำ  ขณะทำ  และภายหลังทำ ต้องสบายใจ  จิตจะเป็นมหากุศล เหมาะแก่งานเจริญวิปัสสนา ครับ

                       ถือเสียว่าจะไปทำบุญมาก  น้อย ไม่สำคัญ  ทำบุญมากแต่จิตเป็นอกุศล ก็ไม่ก่อประโยชน์อะไรทั้งสิ้น  ไม่ทำเสียดีกว่าครับ

                       ขออนุโมทนา

                       สวัสดี


...สาธุค่ะ...พี่สิงห์...

...ตู่ก็พยายามสร้างบารมีทุกวันค่ะ...ทั้งคนทั้งสัตว์...

...ถ้าใครมาเห็นชีวิตจริงๆ...อาจจะคิดว่าบ้า...

...ข้อ 1...ไม่ฆ่าสัตว์...ไม่จริงๆค่ะทั้งยุงทั้งมด...เวลามดมาตอมอะไรก็ตาม...ต้องหยิบออกเป็นตัวๆเลยค่ะ...

...เพราะตู่เคยเห็นคนที่จำเป็นต้องฆ่าสัตว์เล็กๆ...เวลาใกล้ตายต้องนอนเจ็บร้องครวญคราง...เห็นมาหลายคนแล้วค่ะ...

...ข้อ 2...สอนลูกตลอดค่ะ...อย่าเอาเงินใครแม้แต่บาทเดียว...ไม่ว่าจะเดือดร้อนแค่ไหน...

...ตู่กับหมอแม้แต่ไปซื้อของตามห้างหรือที่ไหนก็ตาม...เวลาคนขายคิดเงินผิดทอนเงินเกิน...จะคืนเค้าทุกครั้งไปค่ะ...

...ข้อ 3...รับไม่ได้จริงๆเวลาเห็นผู้ชายมีเมียน้อย...และเกลียดเมียน้อยทุกคนค่ะ...

...ข้อ 4...บางครั้งเราต้องโกหกเพราะความจำเป็นจริงๆ...เพราะบางทีความจริงก็ไม่เป็นประโยชน์สำหรับบางคน...เรียกว่าโกหกสีขาวมั้ง...

...แต่ถ้าสำหรับเรื่องทั่วๆไป...หากจับได้ว่าใครโกหกเราหรือชอบแทงข้างหลัง...ก็จะอยู่ห่างๆและต่อไปก็เลิกคบค่ะ...

...ข้อ 5...ทั้งตู่และหมอแพ้แอลกอฮอล...แต่บางครั้งทดลองจิบเฉยๆค่ะ...อย่างไวน์บางขวดที่แพงมากๆอยากรู้ว่ามันอร่อยยังไง...

...ถือหลักทำดี...ไม่ทำชั่ว...และทำใจให้ผ่องใส...

...จากนั้นก็สร้างบารมีเพิ่มโดยการสวดมนต์ทุกวัน...

...เวลาตู่ไปเที่ยวหรือทำอะไรก็ตาม...จะสวดมนต์ในใจไปด้วยค่ะ...

...และถ้ามีเวลาเหลือ...แต่ส่วนมากจะไม่ค่อยได้ทำค่ะ...พยายามอยู่คือการนั่งสมาธิ...

...แต่เวลานอน...จับลมหายใจตลอด...ครูบาอาจารย์บอกให้จับลมจนกว่าจะหลับและให้จำให้ได้...

...ว่าตอนที่หลับไป...ลมหายใจเข้าหรือออก...ไม่รู้เลยค่ะ...แสดงว่าสติยังเผลออยู่ใช่มั้ยคะ...

...พี่สิงห์ทำได้มั้ยคะ...

สวัสดีค่ะ คุณน้องตู่ ที่รัก

                         ขออนุโมทนา  ด้วยความจริงใจ ที่เธอกระทำได้ตามนั้น คือ ถือศีล ๕ เป็นหลัก ประเสริฐนัก

                         คนที่เคยฆ่าสัตว์ เวลาตายมันเป็นเช่นนั้นจริงๆ เช่น คนทำโรงฆ่าสัตว์ เวลาตายร้องแบบวัว ควาย หมู เลย มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ

                         เวลาสวดมนต์  อย่าสวดในใจ  ให้สวด ดัง ๆ ให้เทวดา  ผีบ้าน ผีเรือนได้ฟัง  เพราะเทวดา  ผีบ้าน ผีเรือนได้ฟังมาตั้งแต่สมัยพุทธการ แล้ว และการสวด ดัง ๆ ทำให้เราจำได้ และพิจารณาความหมายไปได้ด้วย

                         บทสวดมนต์ คือพระสูตร ของพระพุทธองค์ ที่ทรงสอนจริงๆ  ส่วนหนังสือธรรมะ นั้นมันเป็นของใหม่ แทรกความคิดเห็นส่วนตัวใส่ไปด้วย  ไม่ใช่ของสมณโคดม ครับ

                          อย่าลืมการปฏิบัติธรรม ส่วนใหญ่เราอยู่กับกิจวัตร การทำงานของเรา  ขอให้มีสติอยู่กับปัจจุบัน  ไม่คิด(ส่งจิตออกนอก) ให้แยก สติ  อารมณ์(สภาวะธรรม) ความคิด ให้ออก และให้รู้อยู่กับมัน คิดก็รู้  มีอารมณ์หวั่นไหวเกิดขึ้นก็รู้  มีความรู้สึกตัวก็รู้ และปล่อยวาง ศึกษามัน ดูมัน เข้าใจมัน  มันก็มีเพียงแค่นี้เอง แล้วเธอจะรู้อะไรดีๆ ด้วยปัญญาเองนั่นแหละ

                          วันนี้ทำจิตให้ขาวรอบครับ

                          สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #6970 เมื่อ: 22 กันยายน 2555, 10:26:28 »

อ้างถึง
ข้อความของ khesorn mueller เมื่อ 21 กันยายน 2555, 19:37:53
อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 21 กันยายน 2555, 07:56:04
สวัสดียามเช้าค่ะ คุณน้องหนุ๋งหนิ๋ง ที่รัก

                          ปัจจุบัน ชาวราชบุรีเขาเลิกทำโอ่งขายกันแล้ว  มันไม่มีคนซื้อ หันไปทำเซอรามิคก็ไปไม่ไหว  ยิ่งคนรุ่นใหม่แล้ว  ไม่ต้องพูดถึง  สิ่งที่เธอเอ่ยมานั้น เขาไม่เคยเห็นเพราะพ่อ-แม่ไม่ได้ทำเป็นตัวอย่างให้ได้ศึกษา  จะกินน้ำหรือ "ซื้อเอา" น้ำฝนไม่รู้จัก  ต้องการกินผักหรือ "ซื้อเอา" เพราะปลูกไม่เป็นและไม่รู้จักด้วย  ปัจจุบันรู้แต่ผักคะน้า เป็นส่วนใหญ่ เพราะในโรงเรียนเขาไม่สอน  พ่อแม่ไม่ได้สอน  แล้วคนรุ่นใหม่เลยไม่รู้เรื่องใกล้ตัวเลย

                         นี่ละเป็นสาเหตุที่ปัจจุบันอาหารสำเร็จรูป  ข้าวแกงสำเร็จรูป  จึงขายดีเป็นเทน้ำ เทท่า  จริงๆ เพราะมันสะดวกไม่ต้องทำ  ไปซื้อ เอาเข้าไมโครเวบ กินได้เลย  แต่โทษทีมันเป็ฌนอาหารขยะ  ที่กินเข้าไปมากๆ มีแต่โรคยามแก่เฒ่า  แต่คนรุ่นใหม่ไม่รู้ เพราะมันเพิ่งเข้ามาไม่ถึง 5 ปี เอง  ยังไม่มีใครได้รับผลให้เห็น  เอาไว้รอ 20 ปี แล้วจะทราบเอง  แต่ก็สายไปแล้ว

                         ดังนั้น  คนรุ่นใหม่  หาเงินให้ได้มากเข้าไว้  และซื้อกิน  แต่ถ้าไม่มีให้ซื้อ ก็อดตาย ครับ มันเป็นเช่นนี้

                         พี่สิงห์ ก็คิดแบบเธอ  ถ้าไม่ทำงานจริงๆ  จะปลูกบ้านดินหลังเล็ก ๆ เพราะคิดว่าทำได้เอง  ไม่ต้องใช้เงินมาก  หรือปลูกกระต๊อบบ้านไม้เล็กๆ มีนอกชานเอาไว้ดูดาว มีเพียงฝาผนัง ไม่กั้นห้อง เพราะไม่มีสมบัติอะไร เอาเป็นเพียงกันฝน กันลมเท่านั้น  ปลูกผัก ทำสวนครัว  อยู่อย่างพอเพียง เก็บน้ำฝนเอาไว้กิน  มีรถจักรยานหนึ่งคันเอาไว้ไปทำธุระ  ข้าวก็หุงกิน  อยู่ได้แล้วครับ ถึงแม้จะไม่มีรายได้  แต่ก็ไม่มีรายจ่ายมาก  มันก็อยู่ได้อีก 20 ปี สะบายมาก โดยที่ไม่ต้องพึ่งใครเลย  ใครอยากปฏิบัติธรรม  ก็จะสอนให้  อยู่เพื่อรอวันจากไปเท่านั้น  โลกนี้ไม่มีอะไรที่น่าสนใจ  ที่จะต้องอยู่  อยู่นานมีแต่ทุกข์ ครับ

                      ยกเว้นถ้าตัดสินใจบวช  ก็ต้องพึ่งชาวบ้าน แล้วละ แต่ก็จะตอบแทนด้วยการสอน "ธรรมะ และการดูแลสุขภาพ" ให้ชาวบ้านอยู่อย่างสุข  สับายพอสมควร

                          สวัสดี
   

พี่สิงห์ที่เคารพ,
ส่วนประกอบอื่นๆ factorอื่นๆอีกหลายอย่างคะ
ที่เข้ามาเป็นส่วนสำคัญ..การเลือกจะใช้ชีวิต

หากยังต้องสร้าง ต้องหา ต้องเก็บ ต้องออม
อะไรที่จะไปให้ถึงจุดนี้ได้ แต่ละคนก็หาทางที่จะไป.
เวลาคะ,ที่ผ่านไปรวดเร็วยิ่งว่าใจซะอีก
อยากenjoy,อยากslow down มันก็ทำไม่ง่าย
เพราะกระแสรอบๆมันเร็วจนกลัวไม่ทันเค้า..

ความสะดวกสบายที่เราจะหาให้ชีวิตได้
ควรมีเราคะเป็นผู้กำหนด...กำหนดขอบเขต
กำหนดความเร็ว เพื่อเราเองคะ,จะได้ดื่มด่ำ
กับสภาวะ,momentนั้นๆได้...

ชีวิตที่เร่งรีบ พี่สิงห์คงหมายถึงชีวิตในกรุงเทพ?
ที่หมดเปลืองเวลาไปมากมาย กี่เปอเซนต์ของ
แต่ละวันกับการอยู่บนถนน?การจะไปจากA เพื่อให้ถึง B
...เวลาที่เท่ากัน 24 ชั่วโมง
จะอยู่ จะใช้ชีวิตมุมไหนของโลก ก็หนีfactนี้ไปไม่ได้...

ทีนี้,เมื่อ"เงิน"คือส่วนประกอบสำคัญ ที่ทำให้เราได้ใช้ชีวิต
ในแบบที่เราต้องการ การ"หา"เงินจึงต้องรีบกระทำ
ในช่วงชีวิตนี้...จากไหนนะคะ ช่วงเวลาทำงาน?
อายุ 22-23 ทำงานกันไปจนเกษียณ 58-59-60 ถือว่าเต็มขีด,
รวดเร็วคะ..เช้า-เย็น เช้า-เย็น เช้า-เย็น...เผลออีกที หว่ายยย
จะหมดเวลาทำงานแล้ว....มองย้อนกลับ,มีอะไรเป็น"Balance"
ในช่วงที่ผ่านมาบ้าง? มีเงิน? มีบ้าน? มีรถ? มีคู่ชีวิต?
มีสังคม? มีเพื่อน? มีสุขภาพ? มีงานอดิเรก?

รอตรวจสอบกันตอนเลิกทำงาน? รึต้องตรวจสอบเป็นระยะๆ?
ว่าทุกอย่างที่ถูกตั้งเป็น"เป้าหมาย"เมื่อเริ่มต้นชีวิตน่ะ
ทำได้ ไปได้ถึงมั้ย? เพราะชีวิต,มีอะไรมากมายเกิดขึ้นได้
ไม่แน่ไม่นอน ...ได้หยุดตั้งสติ,เพื่อตรวจสอบเป้าหมายกันมั้ย?
รึชีวิตที่เป็นroutineมาแต่อ้อนแต่ออก...มีให้เดินก็เดิน?
..
..
ไม่สะดุดเลย?
..
..
ไม่เชื่อหรอกพี่!

ตรงนี้คะพี่ ที่หนิงคิดว่าคือตอนสำคัญที่spiritual
ควรได้เข้ามามีบทบาท...ให้มองย้อนเข้าไปตรวจสอบ
ตรวจจิต เพื่อลดเกียร์ของชีวิตลงจากความเร่งรีบ
ร้อนรน เพื่อได้ปล่อยวาง เพื่อได้สงบ เพื่อมองตัวเอง..

แต่ชีวิตยังคงดำเนินต่อไปนี่พี่
ไม่จำเป็นต้องมองbalanceนี้ในด้านทุกข์
ด้านเดียว...ถามตัวเอง,ให้แจงมาสิคะ
ว่าชีวิตจนถึงวันนี้มีช่วง มีmomentแห่งความสุข
เมื่อไหร่?ยังไง? กะใคร? ที่ไหน?
เพราะชีวิตที่ได้ใช้อย่าง intensive จะเป็นชีวิต
ที่ติดตรึงในความทรงจำ...ให้พูด ให้เล่า
ก็เล่าไม่หมดค่ะ.


สวัสดีค่ะ คุณน้องหนุ๋งหนิ๋ง ที่รัก

                                  สิ่งที่เธอเขียนนั้นมันก็เป็นความจริงๆ ตามนั้น

                                  แต่ปัญหาคือ คนที่เริ่มทำงานใหม่ๆ มันคิดไม่ได้  ไม่ได้วางแผนชีวิต  คิดไปวันหนึ่งๆ แก้ปัญหาชีวิตวันหนึ่งๆ เพราะมีเงินก็จำเป็นต้องใช้จ่าย  จะมารู้อีกทีก็ค่อนชีวิต หรือหมดวัยทำงานแล้วแบบพี่สิงห์

                                   ส่วนเรื่องดูกาย ดูใจ  นั้นไม่ต้องพูดถึง  ลืมไปเลย เพราะต้องการหาเงิน  สร้างชีวิต  สร้างอนาคต ครับ

                                   การย้อนกลับไปมองในอดีต นั้น ถ้าเราเอาไปเป็นบทเรียนก็มีประโยชน์ 

                                    แต่ถ้าเอาเป็นเพียงเล่าสู่กันฟัง ก็ไม่ก่อประโยชน์ทั้งสิ้น  ถึงจะสุขใจ เพราะจิตมันชอบ มันจะไม่ปล่อยวาง  ยังหลงตัวเอง ยึดมั่นถือมั่นอยู่  ไม่ดีเลย  ควรจะอยู่กับปัจจุบัน ด้วยการสร้างความรู้สึกตัว  คืออยู่กับ "รู้" และ "หลง"

                                   ขอตัวประชุมก่อนครับ

                                   ขอบคุณมาก

                                   สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #6971 เมื่อ: 22 กันยายน 2555, 12:17:07 »

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง และแขกผู้มาเยือน ที่รัก

                              วันเสาร์-อาทิตย์ ทุกท่านมีเวลา ผมอยากให้ทุกท่านได้อ่านธรรม ที่พระพุทธองค์ทรงสอน เพื่อทำจิตให้อ่อนเหมาะแก่การเรียนรู้เพิ่มเติมในธรรมที่สูงขึ้นไป กับชาวบ้านทั่วๆ ไปในสมัยพุทธกาล หรือในปัจจุบันก็ยังใช้ได้อยู่ครับ

                              ลองพิจารณาดูครับ

                              สวัสดี





อนุปุพพิกถา 5

ทานกถา กล่าวถึงทาน
สีลกถา กล่าวถึงศีล
สัคคกถา กล่าวถึงสวรรค์
กามาทีนวกถา กล่าวถึงโทษแห่งกาม
เนกขัมมานิสังสกถา กล่าวอานิสงส์แห่งการออกจากกาม


________________________________________

                    อนุปุพพิกถานั้น เป็นธรรมเทศนาที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงเพื่อฟอกอัธยาศัยของบุคคล ผู้ฟังให้มีความประณีตขึ้นไปโดยลำดับ ถ้าหากว่าผู้ฟังสามารถที่จะชำระกิเลสของตนให้เบาบางลงได้ ตามที่ทรงแสดงแล้ว ต่อไปก็จะแสดงอริยสัจ ๔ ธรรมะทั้ง ๙ ข้อนี้ จึงเรียกว่า พหุลานุศาสนี คือพระธรรมที่พระองค์แสดงมากที่สุด เนื่องจากเป็นการค่อย ๆ ขัดเขลาจิตใจของผู้ฟังไปโดยลำดับ แต่เวลาแสดงจริง ๆ นั้น ไม่จำเป็นแสดงครบหมดทั้ง ๕ ข้อ ผู้ฟังสามารถจะเรียนรู้ประพฤติปฏิบัติได้ในระดับใด ก็จะทรงแสดงไปในระดับนั้น
                    ประการแรก ก็จะทรงแสดงประโยชน์ของการให้ เพื่อขจัดความตระหนี่ ความเห็นแก่ตัวของบุคคลให้เจือจางลงไป บังเกิดมีน้ำใจเผื่อแผ่ เอื้อเฟื้อต่อบุคคลอื่นจนถึงกับพร้อมที่จะเสียสละและบริจาคทาน จากนั้นก็จะทรงแสดงศีล เพื่อให้บุคคลตระหนักที่จะควบคุมกาย วาจาของตนให้ประพฤติเรียบร้อย ไม่สร้างความเดือดร้อนให้แก่ตนและผู้อื่น ไม่ทำตนให้เป็นพิษเป็นภัยต่อหมู่คณะที่ตนเป็นสมาชิกอยู่ จนถึงพร้อมที่จะยอมรับนับถือบุคคลอื่น และทำตนให้เป็นประโยชน์ เป็นศักดิ์ศรีแก่หมู่คณะ จากนั้นก็จะแสดงผลดีงามที่เกิดขึ้นจากการให้ทานและการรักษาศีลที่บุคคลจะพึงประสบ ทั้งในปัจจุบันและในภายภาคหน้า คือการอุบัติบังเกิดในสวรรค์ และเมื่อบุคคลเห็นชื่นชมเพลิดเพลินกับความสุขในสวรรค์ อัธยาศัยของบุคคลนั้นสามารถที่จะเรียนรู้ปฏิบัติสูงขึ้นไป
                     พระองค์ก็จะแสดงถึงโทษแห่งกาม คือการที่ใจของบุคคลไปกำหนดรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ น่าใคร่ น่าปรารถนา น่าพอใจ วัตถุกามเหล่านั้น จะเป็นของมนุษย์หรือของทิพย์ก็ตาม ก็ล้วนแล้วแต่เป็นของที่มีโทษ ก่อให้เกิดความหมกมุ่น ยึดติด ผ่อนคลายได้ยากสลัดได้ยาก จิตใจจะกำหนัดเพลิดเพลินอยู่ในอารมณ์เหล่านั้น แต่เมื่อบุคคลมีความเบื่อหน่ายในกามก็จะแสดงเนกขัมมานิสงส์คือ อานิสงส์แห่งการออกจากกาม นี่เป็นหลักที่ทรงแสดงไปตามลำดับดังนี้.
                      เพื่อจะให้ทราบอรรถาธิบายในอนุปุพพิกถา ซึ่งตามปกติแล้ว ในพระไตรปิฎก จะไม่ให้รายละเอียดไว้โดยตรง เวลาแสดงอนุปุพพิกถาจะบอกแต่ชื่อไว้เท่านั้น รายละเอียดจึงอยู่ในพระสูตรอื่น ๆ ที่แสดงถึงเรื่องของทานหรือเรื่องของศีล โทษแห่งกาม เป็นต้น

1.ทานกถา  

                     กถาว่าด้วยทาน คือการให้ ท่านแสดงว่า ทานนี้นี้เป็นต้นเค้าแห่งความสุขทั้งหลาย เป็นมูลแห่งสมบัติทั้งหลาย เป็นที่ตั้งแห่งโภคะทั้งปวง เป็นที่ต้านภัย เป็นคตินำไปข้างหน้าของบุคคลที่ยังประพฤติลุ่ม ๆ ดอน ๆ อยู่ ทานเป็นที่พำนักพักพิงอาศัย ที่ยึดเหนี่ยวอันเสมอเหมือนทานไม่มีทั้งในโลกนี้และในโลกอื่น ดุจสีหบัลลังก์ อันล้วนแล้วด้วยรัตนะ เป็นที่พำนักอาศัย ดุจเชือกผูกห้อยไว้เป็นเครื่องยึดเหนี่ยว ทานเป็นดุจทาส เพราะเป็นเครื่องกั้นทุกข์เป็นดุจเกราะของผู้กล้าหาญในสงคราม เป็นเครื่องทำให้อุ่นใจ เป็นดุจเมืองที่ตกแต่งไว้ดีแล้วเพราะเป็นที่ป้องกัน เป็นดุจดอกปทุม เพราะไม่เปื้อนมลทิน คือความตระหนี่เป็นดุจอสรพิษเพราะความตระหนี่เป็นต้น ไม่อาจเข้าใกล้ เป็นดุจราชสีห์ สมมติว่าเป็นมงคลยิ่งและเป็นดุจพญาม้าวลาหกเพราะพาให้ถึงภูมิอันเกษม ทานนี้เป็นมรรคาที่เราตถาคตได้ดำเนินมาแล้ว เป็นเชื้อวงศ์ของเราโดยแท้ เมื่อเราเป็นพระโพธิสัตว์ สร้างบารมีอยู่บำเพ็ญมหายัญเป็นอันมาก ทานนี้ย่อมให้สวรรค์สมบัติจนถึงอภิสัมมาสัมโพธิญาณ เมื่อบุคคลทำทานได้ จึงอาจสมาทานศีลได้ ในขณะเดียวกันก็ทรงแสดงอานิสงส์ของทานอย่างที่ทรงแสดงไว้ในทานานิสงสสูตรว่า
                     1) ผู้ให้ทาน ย่อมเป็นที่รักที่ชอบใจของชนหมู่มาก
                     2) สัปบุรุษ ผู้สงบ ย่อมคบหาผู้ให้ทาน
                     3) เกียรติคุณของผู้ให้ทาน ย่อมขจรไป
                     4) ผู้ให้ทานย่อมไม่เหินห่างจากธรรมของคฤหัสถ์
                     5) ผู้ให้ทานเมื่อล่วงลับไป ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ และเมื่อทรงแสดงทานไป ตามสมควรแล้ว อัธยาศัยของบุคคลพร้อมที่จะปฏิบัติธรรมเบื้องสูงขึ้นไปก็จะแสดงในเรื่องศีล

2.สีลกถา

                     คือกถาที่ว่าด้วยคุณของศีล การรักษากาย วาจา ให้เรียบร้อย ไม่มีโทษ เช่น ทรงแสดงว่า ชื่อว่าศีลนี้เป็นที่พำนัก เป็นที่อาศัยที่ต้านภัย เป็นที่ยึดเหนี่ยว ต้านทาน เป็นที่หลบภัย เป็นคติที่เป็นไปในเบื้องหน้า ศีลเป็นเชื้อวงศ์ของเราตถาคต ได้บำเพ็ญศีลบารมีในภพนั้น ๆ เป็นอเนกอนันต์ ศีลเป็นที่อาศัย เป็นที่ตั้งแห่งสมบัติทั้งหลาย ทั้งในโลกนี้และโลกอื่น ไม่มีที่พำนักอาศัยอื่นเสมอเหมือน เครื่องอลังการก็ดี ดอกไม้ก็ดี เครื่องประทินผิวก็ดีที่เสมอเหมือนเครื่องอลังการคือศีล ดอกไม้คือศีล เครื่องประทินคือศีล หามีไม่ แท้จริง ชาวเทวโลกย่อมนิยมบูชาท่านผู้ประกอบด้วยศีลอลังการ ทัดดอกศีลโกสุมลูบไล้ประทินคือศีลเสมอไม่รู้เบื่อ และอย่างที่ทรงแสดงว่า ศีลเป็นอาภรณ์อย่างประเสริฐ ศีลเป็นอาวุธอย่างยอดเยี่ยม ศีลเป็นเกราะอย่างมหัศจรรย์ ศีลอันเป็นกำลังหาที่เปรียบมิได้ เป็นต้น เมื่อบุคคลอาศัยศีลนี้แล้ว ก็ย่อมจะได้สวรรค์ อย่างที่ทรงแสดงอานิสงส์ของศีลไว้ในมหาปรินิพพานสูตรว่า
                     1) ผู้มีศีลย่อมได้โภคสมบัติ
                     2) เกียรติคุณอันงามของผู้มีศีล ย่อมขจรไป
                     3) ผู้มีศีลเมื่อเข้าไปในสมาคมใด ย่อมองอาจ กล้าหาญ ไม่ครั่นคร้านขามเกรง ไม่เก้อเขินในสมาคมนั้น
                     4) ผู้มีศีล เมื่อจะตาย ก็ไม่หลงตาย คือมีสติตาย หรือตายอย่างมีสติ
                     5) ผู้มีศีล เมื่อตายไปแล้ว ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์
                     ศีลจะประณีตมากน้อยแค่ไหนเพียงไร ย่อมขึ้นอยู่กับว่า ท่านรักษาศีลได้ดี ได้มากน้อยแค่ไหนเพียงไรเหมือนกัน เช่น ทรงแสดงคุณของสวรรค์ว่า อันสวรรค์นี้เป็นที่น่าใคร่ น่าพอใจในสวรรค์นั้น มีการเล่นเป็นเนืองนิตย์ สมบัติทั้งหลายก็เกิดมีอยู่แล้วไม่ได้ขาด เหล่าเทพชั้นจาตุมหาราชิกา ได้เสวยทิพยสุขสมบัติอยู่นานถึง ๙ ล้านปี เหล่าเทพชั้นดาวดึงส์เสวยสุขด้วยทิพยสมบัติอยู่นานถึง ๓ โกฏิ ๖ ล้านปี และท่านยังได้บอกว่า ถึงพระพุทธเจ้าทั้งหลายจะพรรณาสวรรค์สมบัติ ก็เหลือพระโอษฐ์ที่จะพรรณาให้สิ้นสุด ดังพระพุทธดำรัสที่ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราจะพึงกล่าวเรื่องสวรรค์ได้โดยอเนกปริยาย มีนัยต่างๆ

3.สัคคกถา

                     คือ สวรรค์ แปลว่า อารมณ์เลิศ ซึ่งอาจหมายถึงสภาพชีวิตของบุคคลที่มีความสุขกายสบายใจ ไม่เดือดร้อนในการเป็นอยู่ หมายถึง การมีคุณธรรมภายในใจของบุคคลผู้นั้น เช่น มีหิริ มีโอตตัปปะอยู่ภายในใจ ชื่อว่าเป็นเทวดา บางทีก็หมายถึงสภาพจิตที่มีความเพลิดเพลิน สนุกสนานอยู่ในอารมณ์ต่าง ๆ ที่มุ่งหมายจริง ๆ นั้น หมายถึง ปรโลก คือโลกที่บุคคลจะไปอุบัติบังเกิดด้วยผลแห่งกุศลกรรมที่เขาได้กระทำเอาไว้.

4.กามาทีนวกถา

                     กถาว่าด้วยโทษแห่งกามทั้งหลาย เมื่อพระพุทธเจ้าทรงประโลมใจผู้ฟังด้วยเรื่องสวรรค์ จนเกิดความเพลิดเพลินยินดีสนุกสนานและปรารถนาที่จะเสพสุข ก็ทรงชี้ให้เห็นว่า สวรรค์นั้นเป็นกามสุข แม้จะมีรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ที่น่าใคร่ น่าปรารถนา น่าพอใจ หรือเป็นทิพย์ก็ตาม แต่ว่าที่แท้จริงแล้วก็มากไปด้วยเวร มากไปด้วยภัย ทิพยสุขเหล่านั้น ก็มีการแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไป แม้สวรรค์เองก็เป็นอนิจจังไม่เที่ยงแท้ยั่งยืน ไม่ควรจะไปหลงนิยมยินดี และทรงชี้ให้เห็นโทษของกามไว้ด้วยวิธีต่าง ๆ เช่น อุปมาเหมือนหัวฝีที่กลัดหนองบ้าง อุปมาเหมือนการถือคบเพลิงทวนลมบ้าง อุปมาเหมือนศีรษะอสรพิษ เมื่อบุคคลเข้าไปเกี่ยวข้องก็ต้องระมัดระวังอันตรายที่เกิดขึ้นแก่ตน เปรียบเหมือนกับชิ้นเนื้อนาบไฟ เปรียบเหมือนกับผลไม้ซึ่งเป็นที่ต้องการของสัตว์ทั้งหลายด้วย และก็เปลี่ยนแปลงไปเร็วเป็นต้น

5.เนกขัมมานิสงส์
                            
                      คืออานิสงส์แห่งการออกจากกามว่าเป็นที่ปลอดเวรปลอดภัย ยุติเวรภัยด้วยประการต่าง ๆ มีความสงบมีความโปร่งเบา มีความเป็นอิสระ ไม่ไปเกี่ยวเกาะผูกพันกับกามคุณทั้งหลายมากเกินไป แต่ในขณะเดียวกัน ก็ทรงแสดงประเภทของเนกขัมมะคือการออกซึ่งแปลว่าการออกจากกาม หรือ การออกเพื่อคุณอันใหญ่นั้น คนในโลกนี้ก็มีอยู่ ๔ ประเภทคือ
                      1) กายก็ไม่ออก ใจก็ไม่ออก หมายถึงคนที่มัวเมาหมกมุ่นอยู่กับเรื่องของกามทั้งหลาย
                      2) กายออก แต่ว่าไม่ออก หมายถึงคนที่ออกบวชเป็นนักบวชประเภทใดประเภทหนึ่งแล้ว แต่ว่าใจก็ยังหมกมุ่นวุ่นวายครุ่นคิดอยู่กับเรื่องของกามทั้งหลาย
                      3) ใจออก แต่กายไม่ออก หมายถึงคนที่แท้จะอยู่ในบ้านในเรือน แต่ว่าจิตใจไม่เกี่ยวเกาะห่วงใยอาลัย โหยหาถึงกาม จิตใจของบุคคลนั้นก็เป็นอิสระจากกามทั้งหลาย กามไม่สามารถจะโยกคลอนสร้างความหวั่นไหวให้เกิดขึ้นภายในจิตใจของท่านได้ แม้จะอยู่ในบ้านในเรือนก็ตามแต่ว่าจุดประสงค์ในพระพุทธศาสนานั้น ก็เน้นไปที่เป้าหมายสูงสุด
                      4) ออกทั้งทางกายและใจ คือกายตนเองก็ออกไปจากการเกี่ยวเกาะกับวัตถุกามทั้งหลาย จิตใจก็จะไม่หมกมุ่นคิดห่วงใยอาลัยหาอยู่กับวัตถุกามนั้นอีกต่อไป ท่านที่จะออกจากกามได้ทั้งกายและใจเช่นนี้จำต้องอาศัยการปฏิบัติจนเกิดความรู้ความเข้าใจรู้แจ้งเห็นจริงตามหลักของอริยสัจทั้ง ๔ ประการ จากนั้นก็จะทรงแสดงอริยสัจ ๔ ประการเป็นลำดับไป.
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #6972 เมื่อ: 22 กันยายน 2555, 13:45:52 »

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง และแขกผู้มาเยือน ที่รักทุกท่่าน

                               ใครมีศรัทธามาก  จะลองถือศีล ๘  ทุกวันพระ ดูก็ได้ครับ

                               ศีล ๘ นั้นเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก แต่ท่านห้ามรับประทานน้ำปานะ เช่น น้ำผลไม้  นม  น้ำอัดลม เวลาเย็น นะครับ เพราะมันจะทำให้ท่านอ้วน  ท่านดูพระเป็นตัวอย่าง ฉัน ๒ มื้อ แต่พระส่วนใหญ่เป็นโรคอ้วน  เบาหวาน และหลอดเลือด

                               ศีล ๘ ถ้าท่านสามารถรักษาได้  จะทำให้ท่านสามารถชนะจิตใจท่านได้ คลายความต้องการลงได้มากครับ

                               ลองดูนะครับ

                               สวัสดี








      บันทึกการเข้า
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #6973 เมื่อ: 22 กันยายน 2555, 22:00:08 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 22 กันยายน 2555, 10:26:28
สวัสดีค่ะ คุณน้องหนุ๋งหนิ๋ง ที่รัก

                                  สิ่งที่เธอเขียนนั้นมันก็เป็นความจริงๆ ตามนั้น

                                  แต่ปัญหาคือ คนที่เริ่มทำงานใหม่ๆ มันคิดไม่ได้  ไม่ได้วางแผนชีวิต  คิดไปวันหนึ่งๆ แก้ปัญหาชีวิตวันหนึ่งๆ เพราะมีเงินก็จำเป็นต้องใช้จ่าย  จะมารู้อีกทีก็ค่อนชีวิต หรือหมดวัยทำงานแล้วแบบพี่สิงห์

                                   ส่วนเรื่องดูกาย ดูใจ  นั้นไม่ต้องพูดถึง  ลืมไปเลย เพราะต้องการหาเงิน  สร้างชีวิต  สร้างอนาคต ครับ

                                   การย้อนกลับไปมองในอดีต นั้น ถ้าเราเอาไปเป็นบทเรียนก็มีประโยชน์ 

                                    แต่ถ้าเอาเป็นเพียงเล่าสู่กันฟัง ก็ไม่ก่อประโยชน์ทั้งสิ้น  ถึงจะสุขใจ เพราะจิตมันชอบ มันจะไม่ปล่อยวาง  ยังหลงตัวเอง ยึดมั่นถือมั่นอยู่  ไม่ดีเลย  ควรจะอยู่กับปัจจุบัน ด้วยการสร้างความรู้สึกตัว  คืออยู่กับ "รู้" และ "หลง"

                                   ขอตัวประชุมก่อนครับ

                                   ขอบคุณมาก

                                   สวัสดี


พี่สิงห์ที่เคารพ
พี่สิงห์ประชุมเสร็จรึยัง?
วันนี้วันเสาร์เขาให้ทำแค่ครึ่งวัน!
อีกครึ่งให้เสพสุขค่ะ...
ชดเชยที่ทำงานมาเหนื่อยตลอดอาทิตย์.
ยิ่งพรุ่งนี้,วันอาทิตย์ ยิ่งห้ามทำงาน!!
กวาดถนนแกรกๆหน้าบ้านก็ไม่ได้..ไม่ดีคะ.
วันอาทิตย์เค้าตื่นเก้าโมง แต่งตัวไปโบสถ์
กลับบ้าน...มาพักผ่อนอ่านหนังสือ นั่งผึ่งแดด
ขี้เกียจสุดๆ เค้าเรียก rumhängenคือ schillen
เติมพลังงานคะ เพื่ออีก5-6วันข้างหน้า.


ช่วงที่แล้ว,มีการเสียชีวิตของเพื่อนรัฐศาสตร์ในรุ่น
ทำให้มีการforward mailแจ้งข่าว แจ้งงานกัน
พอมีใครตอบ คนอื่นก็ได้อ่านได้ทราบด้วย..
มีเพื่อนรัฐศาสตร์ชาวหอคนนึง,เค้าขาดหายจากการ
ติดต่อรับทราบของคนอื่นๆไปเลย ไม่ได้ข่าว,
เค้าเล่าคร่าวๆมาสั้นๆมากคะพี่สิงห์ แต่หนิงเห็นภาพค่ะ
เค้าบอกว่าตั้งแต่จบมา ก็ได้งาน เจอะคู่ครอง
แต่งงาน มีลูก สร้างบ้าน ผ่อนรถ...ชีวิตก็เข้าสู่วัฏจักร
ที่เหมือนๆชาวหอที่เป็นคนต่างจังหวัดที่ต้องเริ่มต้น
ใหม่หมด...ผ่อนบ้าน ผ่อนรถ มีเมีย มีลูก ชีวิตเค้า
เช้ามืดออกจากบ้าน เย็นย่ำกลับถึงบ้าน..เป็นmonotone
ที่กระทำไปโดยไม่ต้องคิด ไม่ต้องวางแผน...routine
ผ่านไปเร็วมากเค้าบอก...เผลออีกที อ้าวเพื่อนคนนั้นตาย
เพื่อนคนนี้ตาย...ตรงนี้คะ,ที่ทำให้เค้าได้ตั้งสติ!! ตั้งสติ
เพื่อมองย้อนคืนตัวเอง โอ,ชีวิตบีบแคบลงมาเหลือแต่ที่ทำงาน
กะที่บ้านคะ...ไม่มีเวลาเหลือจริงๆสำหรับเพื่อน สังคม
งานอดิเรก สิ่งที่อยากทำ อย่าว่าแต่การพักผ่อน เพราะจะนับ
การขับรถข้ามเมืองจากบ้านไปทำงานว่าได้พัก...ไม่ได้!
ตรงนี้คือstress คือความวุ่นวายเร่งรีบร้อนรน ..

พี่สิงห์,เพื่อนคนอื่นๆก็ใช่จะมีภาพอื่นคะ
ยังต้องขวนขวายเร่งรีบก่อร่างสร้างตัว
หวังแต่ว่า,พวกเค้าได้ระมัดระวังกะตัวเอง
ดูแลรักษาตัวเอง เพิ่มวัย เพิ่มประสบการณ์
ด้วยการมีชีวิตที่แข็งแรงทั้งกาย-จิต..
เพราะพอถึงเวลาหยุดทำงาน...เช็คbalance
กันแล้ว..ขอตัวเลขเป็นบวกคะ ไม่ใช่ติดลบ!
เป็นคนวัยเกษียณที่จิตใจ สมอง ปลอดโปร่ง
มองโลกด้วยสายตาของเด็ก!!มีพื้นฐานชีวิต
ที่อย่างน้อยเค้าเอาตัวรอดได้ ยิ่งไม่ต้องพึ่งพิง
ใครทางเศรษฐกิจได้...โหพี่,แค่นี้ก็บุญล้ำมหาศาลคะ
อย่าพักต้องคิดไปไกลว่าต้องรวยล้ำกินอีกสิบชาติก็...ไม่หมด
เพราะไม่ทุกคนจะทำอย่างนั้นได้...แค่ว่าสมองยัง fit
สุขภาพยัง top มีสังคม มีคนให้เราคุย ให้เราเจอะ
ไม่รู้พวกเค้ามองภาพนี้ไว้รึปล่าว!

ไม่ใช่เฉพาะอดีตคะพี่
อนาคตตัวเองต้องมีภาพให้ได้ด้วยคะ
ไม่งั้นวันนี้จะลดความหมายลงไปโขคะ.
      บันทึกการเข้า


khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #6974 เมื่อ: 22 กันยายน 2555, 22:28:34 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 22 กันยายน 2555, 13:45:52
สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง และแขกผู้มาเยือน ที่รักทุกท่่าน

                               ใครมีศรัทธามาก  จะลองถือศีล ๘  ทุกวันพระ ดูก็ได้ครับ

                               ศีล ๘ นั้นเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก แต่ท่านห้ามรับประทานน้ำปานะ เช่น น้ำผลไม้  นม  น้ำอัดลม เวลาเย็น นะครับ เพราะมันจะทำให้ท่านอ้วน  ท่านดูพระเป็นตัวอย่าง ฉัน ๒ มื้อ แต่พระส่วนใหญ่เป็นโรคอ้วน  เบาหวาน และหลอดเลือด

                               ศีล ๘ ถ้าท่านสามารถรักษาได้  จะทำให้ท่านสามารถชนะจิตใจท่านได้ คลายความต้องการลงได้มากครับ

                               ลองดูนะครับ

                               สวัสดี







พี่สิงห์ที่เคารพ,
ศีล ๕ ก็ว่าคลุมเคลือปฏิบัติยากแล้ว
พี่ยังอัดศีล๘ ลงมา...ให้ญาติโยมแถวนี้
อุบเงียบ...ไม่กล้ารับตรงๆ พ้ม,ทำได้ไม่หมด
หนู๊,ทำไม่ได้ ....อ่ะนะ พี่สิงห์,จาหาใครจริงใจ
ปากว่า มือถึงเหมือนน้องหนิ๊งได้...เป็นไม่มี.

ไหนคะ,พี่ว่าอะไร?
ทุกวันพระเหรอคะ?
ไหนใครว่า วันพระไม่ได้มีหนเดียว...อ๊ากกกกก
ต้องอดกัน 4 ครั้งต่อเดือน? oh,no...too much!

แต่พี่ล่อสาวๆทรงอวบอั๋นไขมันแพล็มๆว่าศีล๘
ลดน้ำหนักได้...หนิงเลยต้องหวนมาเพ่งอีกรอบ
ดื่มน้ำปะปาไงพี่ถูกสุดๆแถมไม่อ้วนไม่มีน้ำตาล!

พระที่เป็นโรคอ้วน เบาหวาน หลอดเลือด คงเพราะ
ไม่ได้ออกกำลังคะ!! เออพี่สิงห์,พระเล่นกีฬาได้มั้ยคะ?
ไม่ใช่กวาดลานวัดนะคะ อันนั้นไม่นับ!! กีฬาตะกร้อ
แบด วิ่งเปี้ยว โหนเถาวัลย์ วิ่งผลัด หรือลงคลองว่ายน้ำ?


เอาล่ะ,เข้าเรื่องศีล๘คะ
ข้อ๑ ,ข้อ๒ หนูกรุ้มกริ่มหวานคอแร้ง ง่ายอะไรเช่นนี้
พอข้อ๓ หนูเริ่มเหล่...ชักจะไม่ไว้ใจ อะไรจามาห้าม!
ข้อ๔ sheเริ่มมีสายตาเจ้าเล่ห์ ข้อ๕ ยอมคะ 4ครั้งนะ? เอื๊อก!
..
..

ข้อ๖ สมองว่องไว นับนิ้วระวิง กินมื้อสุดท้าย12.00น.
เข้านอน 24.00 น หรือดึกกว่า...12-13 ชม.ท้องว่าง
หิวไส้กิ่ว ทรมาน ไม่นับที่ไปออกกำลังเมื่อกลางวันมาอีก
เอ,เข้านอนแต่หัวค่ำทุ่มสองทุ่มดูจะrealistic แต่ไม่ใช่สำหรับ
คนนอนดึก!!

ข้อ๗ โอย, no song?no dance? no film? no entertain?
ไม่ให้ทาน้ำหอม ห้ามลูบครีมโลชั่น ทาsunblockก็ไม่ได้??

ข้อ๘ ห้ามนอนบนที่นอน...บนเตียง บนฟูกที่หลับมาจะ6,900คืน
ให้ตื่นมาสดชื่น สมองผ่องใสทุกวัน??

ไม่คะ!
4ครั้งก็ยากคะ
พี่ท่าน.
      บันทึกการเข้า


  หน้า: 1 ... 277 278 [279] 280 281 ... 681   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

ทำไมหอพักนิสิตจุฬาจึงเป็นดินแดนมหัศจรรย์            " ไม่ได้เป็นแค่หอให้นอนพัก  แต่เป็นบ้านอบอุ่นรักให้อาศัย  ไม่เป็นแค่ที่ซุกหัวยามหลบภัย  แต่สร้างใจให้เข้มแข็งแกร่งการงาน"  <))))><