24 พฤศจิกายน 2567, 00:44:01
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 272 273 [274] 275 276 ... 681   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: คุย กับ คุณมานพ กลับดี อดีตประธานชมรม ๓ สมัย  (อ่าน 3566018 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 21 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #6825 เมื่อ: 01 กันยายน 2555, 10:33:10 »



หลวงพ่อคำเขียน    สุวณฺโณ

วัดป่าสุคะโต


สวัสดีค่ะ คุณน้องตู่ และชาวซีมะโด่ง - แขกผู้มาเยือน ที่รักทุกท่าน

                              พระพุทธองค์ ทรงสอนว่า การอดทดอดกลั้น ต่อสิ่งที่ไม่รัก  ไม่ชอบ  ไม่ปราถนา นั่นละเป็นยอดคนละ  การที่เราจะต้องเจอกับคนพวกนี้ และเราก็รู้เรื่อง  พฤติกรรมของจิตมนุษย์ ดี  มีทางเดียว คือ เราต้องอดทน  ด้วยการสร้างความรู้สึกตัว  ไม่ยินดียินร้าย ในสิ่งที่ได้ยิน  หนีออกห่างได้ก็กระทำ เพราะไม่มีประโยชน์ที่จะไปต่อกรด้วย  ถ้าหนีไม่ออกก็ อดกลั้นเอาไว้  อุเบกขาเอาไว้ ถือเสียว่าเราเอาชนะใจตนเองก็แล้วกัน

                               ทุกวันนี้พี่สิงห์ ก็เจอแบบนี้ประจำ อย่างเมื่อวานก็ไม่มีคนซื้อข้าวให้กิน  ก็ได้แต่ปลง  ไม่ได้โกรธ  ถือว่าเราก็ผิดเองที่ไม่ได้ไปสั่ง และเอาสตางค์ให้เขาไปซื้อมาให้  หวังว่าเขาเคยปฏิบัติมา คงมีข้าวกิน  แต่จิตคนอื่นเขาไม่คิดแบบเรา แต่เขาไม่ทำเมื่อวานก็เลยอดกินข้าวกลางวัน  ไม่ว่าใครทั้งสิ้น มันก็ไม่ก่อประโยชน์  มันก็ดีได้ศึกษาจิตคนไปในตัว ถ้าจะว่าก็ว่าตัวเราเองดีกว่า  ทีหลังเราก็วางแผนใหม่  อย่างวันนี้เป็นวันพระ ถือศีล ๘  ถ้าอดกินข้าวกลางวันอีกจะเดือดร้อนหนัก ก็เลยเอาสตางค์ไปให้ฝ่ายจัดซื้อ ช่วยไปซื้อ ใบเหลียงผัดไข่ มาให้อาจารย์ด้วย เพราะพี่สิงห์เอาน้ำพริกแมงดานรก มาด้วยและพนักงานคนหนึ่งเอาข้าวกล้องมาให้เพราะพี่สิงห์บังคับให้เขาหุงข้าวกล้องให้พ่อเขากิน เพื่อรักษาโรคหลอดเลือดและหัวใจ  พี่สิงห์เลยได้อานิสสงไปด้วย

                                ไม่มีใครหลีกหนีในสิ่งที่เราไม่ชอบและต้องประสบอยู่ทุกวันได้  เพราะจิตมนุษย์มันเป็นอย่างนั้น  แต่เราก็วางจิตของเราให้ถูกที่  ถูกจังหวะ  มีความอดทนอดกลั้นได้  เราควบคุมอารมณ์  ตัวเราได้  แต่เราไม่สามารถสั่งคนอื่นได้  ก็ระวังตัวเราไว้ก็แล้วกัน  ยกเว้นมันไม่ไหวจริงๆ ก็กระทำแบบเธอนั่นละ  มันก็ไม่ผิด มันเป็นสิทธิของเรา

                                  หรืออย่างพี่สิงห์  อยู่บ้านไม่มีความสุขเลย เพราะเพื่อนบ้านที่มาเปิดอู่เปิดวิทยุดัง(วิทยุเสื่อแดง) ตอนเย็นกินเหล้า  ส่งเสียงดัง  จนดึกทุกวัน  จนเราอยู่ไม่ไหว  พี่สิงห์ก็ต้องทน  ถือว่าพวกเขาเป็นมารมาผจญ  เอาชนะจิตตนเองให้ได้  เราไปไหนก็ไม่ได้  บางครั้งมันก็ทำใจไม่คิดได้  ปล่อยวางได้ แต่จิตคนมันก็จิตคน  ยังต้องรับรู้อยู่ดี คือ รู้ กับหลง มันก็ทุกข์ เท่านั้น  ก็พยายามทนต่อไป  ถ้าแพรวเรียนจบเมื่อไร  ก็คงขายบ้าน ไปอยู่ต่างจังหวัด หาสถานที่ ที่มันสงบ  ดีกว่า

                                  ทุกวันนี้ถ้าไม่ห่วงแพรวที่เรียนหนังสืออยู่ หรือกลัวขโมยขึ้นบ้าน  ก็ไม่อยากอยู่บ้าน  อยากจะไปปฏิบัติธรรมตามวัด  แต่มันก็คงได้แต่ความสงบชั่วคราวเท่านั้น  เลยทนอยู่บ้านเอาชนะจิตเราให้ได้  เพื่อว่าจะได้พ้นทุกข์ที่แท้จริง  ถาวร ครับ

                                  ขอประชุมก่อนครับ

                                  สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #6826 เมื่อ: 01 กันยายน 2555, 13:00:25 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 30 สิงหาคม 2555, 06:30:30
อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 29 สิงหาคม 2555, 06:24:07
รู้ซื่อ ๆ

สวัสดียามเช้าครับ ชาวซีมะโด่ง และแขกผู้มาเยือน ที่รักทุกท่าน

                            เช้านี้สวดมนต์ทำวัตรเช้า  หุงข้าวใส่บาตร นั่งเจริญสติเรียบร้อยแล้ว รอเวลาเพื่ออาบน้ำและเดินไปซื้อกับข้าวที่ตลาดหลังการบินไทยเพื่อใส่บาตรพระเช้าที่หน้าบ้าน รับประทานอาหารและออกเดินทางไปสิงห์บุรีไปเยื่ยมแม่ที่โรงพยาบาลสิงห์บุรี ครับ

                            มีเวลาเลยขอนำ "การรู้ซื่อๆ" ที่หลวงพ่อคำเขียน  ท่านบัญญัติขึ้นมาเอาไว้สำหรับสอนญาติโยมผู้ปฏิบัติธรรม  แต่อยู่ในความหมายที่ผมเข้าใจเอามาฝากทุกท่าน ครับ

                            ไม่ให้หลง  คือไม่ให้หลงอยู่ในความคิดตนเอง  หรือไม่ให้หลงกระทำตามความอยาก  ความปราถนา ความเคยชินของตนเอง  ด้วยการมีความรู้สึกตัว  เพราะเมื่อมีความรู้สึกตัว  ความหลงมันก็ดับไปของมันเอง เพราะความรู้สึกตัวก็ดี  ความหลงก็ดี  ความคิดก็ดี มันไม่มีตัวตน  มันเกิดขึ้น  คงอยู่สักพัก แล้วก็ดับไป เป็นธรรมชาติของมันเอง  เมื่อเราไม่หลงอยู่ในความคิด  ปัญญาญาณย่อมเกิดขึ้นเอง  คือสิ่งดีๆ ที่เป็นกุศล  ที่วิญญูชนม์พึงกระทำจะเกิดขึ้น มีความยับยั้งชั่งใจ รู้ว่าสิ่งไหนควร สิ่งไหนไม่ควร และที่สำคัญคือ มันไม่คิด (ส่งจิตออกนอก ตามที่หลวงปู่ดุลย์  อตุโล ท่านสอน) เมื่อไม่คิดก็ไม่มีความวิตกกังวลในอนาคตที่ยังมาไม่ถึง หรือไม่คร่ำครวญรำพันในสิ่งที่ผ่านมาแล้ว  มันก็ไม่ทุกข์ ครับ

                             เมื่อก่อนพอใครพูดว่า "หลง" ก็จะคิดไปว่า คือการลืมตัว เพราะความแก่  ชราเป็นส่วนใหญ่ เพราะเราจะเห็นคนชรา ย่อมหลงทาง  ลืมสิ่งของ  ลืมแม้กระทั่งกินข้าว  ทั้งๆที่เพิ่งกินข้าว เป็นส่วนใหญ่  คนทั่วไปจึงคิดแบบนั้น นั่นละความหลงของคนโดยทั่วไป

                            จริงๆ แล้ว ความหลงคือ หลงอยู่ในความคิดตัวเอง  ขณะเดียวกัน ความคิดอันนั้นก็เผลอคิด  ไม่อยู่กับกาย-ใจตนเอง  จึงเรียกว่าไม่มีสติ-สตางค์ ที่ผู้ใหญ่ชอบพูดว่า สำหรับคนที่ทำอะไรไม่เป็น ขวางหูขวางตา  ก็คือคนหลงอยู่แต่ในความคิด  ไม่มีความรู้สึกตัวเลยว่า ณ เวลานั้น เขาผู้นั้นกายกำลังอยู่ในอิริยาบถไหน  หรือกำลังกระทำอะไร  เพราะมัวแต่ให้ใจไปคิดเรื่องอื่นๆ อยู่ ที่ไม่ใช่เรื่องที่กระทำ ณ ขณะนั้น  นี่ละความหลงอยู่ในความคิด  ที่จะนำความไม่สบายกาย ความไม่สบายใจ มาให้  ซึ่งก็คือความทุกข์นั่นเอง

                            เมื่อเราหลงอยู่ในความคิด เราจะทำอะไรด้วยใจที่เลื่อนลอย เม่อลอย พลั้งเผลอ ไม่รู้ตัว  ขาดสติ-สัมปชัญญะ จะทำสิ่งนั้นไม่สำเร็จ และอาจเกิดอุบัติเหตุ  แต่ผู้หลงนั้นคิดว่า ดี  ตนชอบ และมีความสุข  นั่นละเป็นธรรมชาติของจิตที่มันชอบละ

                            ขออนุญาติไปอาบน้ำ  ซื้อกับข้าวก่อนครับ

                            สวัสดี

                          


สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง และแขกผู้มาเยือนที่รักทุกท่าน

                              เช้านี้พอมีเวลา เพราะหุงข้าวเสร็จแล้ว  รับประทานอาหารเช้าเสร็จแล้วเป็นกับข้าวที่เหลือจากเมื่อวานคือ แตงกวาผัดไข่ น้ำพริกนรกและข้าวนก  ตอนนี้กำลังอุ่นปลาตะเพียนต้มเค็ม เพื่อจัดใส่ถุงใส่บาตรพระเช้านี้ และเอาให้พี่โส ข้างบ้านไปรับประทาน ด้วยครับ ต้องรอถึงเจ็ดโมงเช้าพระท่านจึงจะมารับบิณฑบาตร

                             "รู้ซื่อ ๆ "

                              ท่านรู้แล้วนะครับ ความหลง ก็คือ ตัวเราหลงคิด อยู่ในความคิด โดยเผลอใจ  ไม่รู้เนื้อ  ไม่รู้ตัว   ไม่มีสติหรือความรู้สึกตัวว่า ณ ขณะนั้นเรากำลังทำ หรือคิดอะไรอยู่แบบตั้งใจคิด

                             ถ้ากายเคลื่อนไหว  ใจรู้สึกตัว หรือ ปล่อยใจคิด แต่กายก็รู้สึกตัว นั้น ถือว่าไม่หลง

                             การรู้ซื่อ ๆ คือ การรู้สึกตัวธรรมดา ๆ นี่ละไม่มีอะไรเลย  รู้ว่ากายของเรากำลังอยู่ในอิริยาบถหลัก คือ ยืน เดิน นั่ง นอน หรือ กายอยู่ในอิริยาบถย่อย คือ หายใจ คู้แขน  เหยียกดแขน  ก้ม  เงย  งอศอก  หยิบสิ่งของ  ทำกิจวัตรส่วนตัว หรือทำงาน ก็มีความรู้สึกตัวว่ากำลังกระทำสิ่งนั้นอยู่ หรือเมื่ทบทางอายตนะก็รู้สึกรับรู้ได้ คือกายก็รู้ และใจก็รู้ว่ากำลังทำอะไร  นั่นละการรู้ซื่อๆ  และเราจะพบว่าขณะที่เรารู้ซื่อๆ นั้น จิตมันไม่คิด  ไม่เพ่ง  ไม่จ้อง  ไม่เผลอ  ไม่เกิดภวังค์  ไม่ลืมตัว

                             นอกจากนี้เราจะเห็นว่า เราจะรู้ซื่อๆ แช่อยู่ในอารมณ์นั้น นานๆ ก็ไม่ได้ พอมีอะไรมากระทบทางตา  หู  จมูก  ลิ้น  กาย  ใจ ก็หลงไปรับรู้  และเราก็ยังสามารถกลับมาอยู่กับการรู้ซื่อๆ ที่กาย และใจ ของเราอีก สลับสับเปลี่ยนอยู่อย่างนี้  นั่นละเป็นสิ่งอันประเสริฐ  เพราะความรู้ซื่อๆ ก็ดี  ความคิดก็ดี  ความรู้สึกก็ดี มันเป็นไปตามกฏไตรลักษณ์ คือ ไม่เที่ยง ทนอยู่ไม่ได้  เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา มันจะตั้งอยู่  และดับไปเป็นธรรมดา คือการปฏิบัติธรรมตามหลักสติปัฏฐาน ๔ ละ คือการพิจารณากายในกาย เวทนาในเวทนา   จิตในจิต  และธรรมในธรรม เพียงแต่ท่านสังเกตดูสิ่งที่เกิดขึ้นกับกาย  อารมณ์เกิดขึ้นกับใจ  ไปด้วยขณะที่ท่านรู้ซื่อๆ ท่านจะค้นพบด้วยตัวท่านเอง  สักวันหนึ่ง  เหมือนที่ผมประสบมาแล้ว  ท่านจะรู้ด้วยตัวของท่านเอง

                         อย่าลืมการแช่อยู่ในอารมณ์เดียว เป็นการเพ่ง เราจะไปรู้ในอารมณ์สมมติบัญญัติ  นั้นไม่ใช่ทาง

                        ปลาต้มเค็ม ผมเดือดได้ที่พอดี  ต้องขออนุญาติ  ไปตักใส่ถุงก่อนครับ

                        เช้านี้ผมขอลาไปก่อนเพราะต้องเดินทางไปบรรยายให้วิศวกรของกรมทางหลวงแผ่นดิน ฟังในการทำคานสะพาน และเดินทางต่อไปนครศรีธรรมราช ครับ

                         สวัสดียามเช้าครับ


สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง แขกผู้มาเยี่ยมเยียน ที่รักทุกท่าน

                              วันนี้เป็นวันพระ ขึ้น ๑๕ ค่ำ พระจันทร์เต็มดวง ครับ

                               ผมขอย้ำนะครับ ว่าการปฏิบัติธรรม นั้น ในขั้นต้น ท่านต้องแยก "หลง" กับ "รู้ซื่อ ๆ" ตามที่ผมได้กล่าวมาแล้วนั้น ให้ออก  ถ้าแยกไม่ออก ท่านก็มาผิดทางแล้วครับ  เมื่อแยกออกแล้ว ท่านก็เอาตัวรู้ซื่อๆ นั้นมาระลึกอยู่ที่กาย-ใจ  คอยสังเกตุสิ่งที่เกิดขึ้นกับกาย-ใจของท่าน แล้วท่านจะทราบความจริงแห่งกาย-ใจของท่าน  ท่านจะทราบหรือเห็นด้วยอารมณ์ ในรูป-นาม ในสิ่งที่ท่านไม่เคยเห็นมาก่อน  ทราบว่าตัวทุกข์ที่แท้จริงนั้นมันก็คือตัวรูป-นาม และรูป-นามนั้นมันก็เป็นไปตามกฏไตรลักษณ์ ทั้งสิ้นคือเกิดขึ้น  ตั้งอยู่  ดับไปเป็นธรรมชาติของมันเอง  ท่านไม่มีอำนาจเหนือมัน  บังคับมันไม่ได้ เพราะมันไม่มีตัวตนที่แท้จริง แล้วจิตท่านจะตื่น เป็นจิตของ ผู้รู้ คือมีความระลึกได้เป็นส่วนใหญ่ที่กาย-ใจ เป็นปัจจุบัน แล้วท่านจะรู้เท่าทันความคิดของท่าน  รู้เท่าทันทุกข์  รู้ว่าทุกข์ที่เกิดขึ้นนั้นมีเหตุ-ปัจจัยทั้งสิ้น เมื่อเราดับที่เหตุได้ ปัจจัยจะไม่มี ท่านจะอยู่ในสังคมได้อย่างสงบ  เป็นไปตามธรรมชาติ เพราะท่านจะรู้ความจริงเกี่ยวกับรูป-นาม ว่ามันเป็นเช่นนี้เอง  จิตท่านจะคลายไปเอง  ความยึดมั่นถือมั่นจะจางลง  จิตจะเป็นจิตกุศลมากขึ้น ตามลำดับ ครับ

                             สวัสดีครับ










      บันทึกการเข้า
KUSON
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,125

« ตอบ #6827 เมื่อ: 02 กันยายน 2555, 10:16:13 »

lสวัสดีครับพี่สิงห์และชาวหอทุกท่าน
ขณะนี้ผมอยู่ที่ออสเตรียขณะนี้เวลาตีห้า  ได้นำลูกศิษย์ไปสัมมนาที่่มหาวิทยาลัยเวียนนา ออสเตรียได้ห้าวันแล้ว
เช้าวันนี้ผมจะเดินทางไปเยอร์มันที่เมืองมิวนิค
มะรืนนี้ไปสวิส
และต่อไปฝรั่งเศษเป็นจุดสุดท้าย
จะกลับถึงเมืองไทยวันที่แปดกันยายนนี้ครับ
เมื่อวานผมทิ้งลูกศิษย์ไว้ที่มหาวิทยาลัยแล้วเดินทางไปวังมิราเบลเพื่อเยี่ยมสถานที่ถ่ายภาพยนตร์เดอะซาวออฟมิวซิก
ขณะนี้มีความสุขมากเพราะงานประชุมจบแล้ว  เหลือแต่การศึกษาดูงานครับ



      บันทึกการเข้า
pusadee sitthiphong
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: พาณิชยศาสตร์และการบัญชี
กระทู้: 4,689

« ตอบ #6828 เมื่อ: 02 กันยายน 2555, 11:02:20 »

พี่กุศลอย่าลืมเอารูปกับเรื่องเล่ามาฝากพวกเรานะคะ
      บันทึกการเข้า

pom shi 2516
suriya2513
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,457

« ตอบ #6829 เมื่อ: 02 กันยายน 2555, 11:51:39 »

อ้างถึง
ข้อความของ pusadee sitthiphong เมื่อ 02 กันยายน 2555, 11:02:20
พี่กุศลอย่าลืมเอารูปกับเรื่องเล่ามาฝากพวกเรานะคะ
อาจเป็นไปได้ แต่ค่อนข้างหวังยากนะครับ น้องป้อม
      บันทึกการเข้า

[โบราณคดี]จุดกำเนิดเริ่มต้นของ cmadong.com by : มานพ กลับดี  คลิ๊ก->
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #6830 เมื่อ: 02 กันยายน 2555, 20:32:36 »

อ้างถึง
ข้อความของ KUSON เมื่อ 02 กันยายน 2555, 10:16:13
lสวัสดีครับพี่สิงห์และชาวหอทุกท่าน
ขณะนี้ผมอยู่ที่ออสเตรียขณะนี้เวลาตีห้า  ได้นำลูกศิษย์ไปสัมมนาที่่มหาวิทยาลัยเวียนนา ออสเตรียได้ห้าวันแล้ว
เช้าวันนี้ผมจะเดินทางไปเยอร์มันที่เมืองมิวนิค
มะรืนนี้ไปสวิส
และต่อไปฝรั่งเศษเป็นจุดสุดท้าย
จะกลับถึงเมืองไทยวันที่แปดกันยายนนี้ครับ
เมื่อวานผมทิ้งลูกศิษย์ไว้ที่มหาวิทยาลัยแล้วเดินทางไปวังมิราเบลเพื่อเยี่ยมสถานที่ถ่ายภาพยนตร์เดอะซาวออฟมิวซิก
ขณะนี้มีความสุขมากเพราะงานประชุมจบแล้ว  เหลือแต่การศึกษาดูงานครับ





ไปเที่ยวชัด ๆ เอาการดูงานเป็นข้ออ้างในการขอเบิกเงินมหาวิทยาลัย  ระวัง ศีล ๕ จะรักษาไม่ได้

ถึงอย่างไร ก็ขอให้เที่ยวให้สนุก ก็แล้วกัน  ระวังสุขภาพด้วย

สวัสดี
       
     
           
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #6831 เมื่อ: 02 กันยายน 2555, 20:35:03 »

อ้างถึง
ข้อความของ suriya2513 เมื่อ 02 กันยายน 2555, 11:51:39
อ้างถึง
ข้อความของ pusadee sitthiphong เมื่อ 02 กันยายน 2555, 11:02:20
พี่กุศลอย่าลืมเอารูปกับเรื่องเล่ามาฝากพวกเรานะคะ
อาจเป็นไปได้ แต่ค่อนข้างหวังยากนะครับ น้องป้อม

มาดูกันว่า  การเขียนแบบประชดประชันของ ดร.สุริยา  จะได้ผลหรือไม่ !

แต่ผมว่าได้ผล  เพราะ ดร.กุศล  ก็ชอบเขียนเหมือนกัน

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #6832 เมื่อ: 02 กันยายน 2555, 20:59:29 »

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง และแขกผู้มาเยือน ที่รักทุกท่าน

                               อย่าลืมนะครับ อุปาทานขันธ์ ๕ พระพุทธองค์ทรงสอนไว้ว่า เป็นตัวทุกข์ เราต้องเห็นและเข้าใจหลักการนี้ด้วย วิปัสสนาปัญญา นะครับ เมื่อท่านเข้าใจแล้ว ท่านจะพบว่า มันไม่ใช่ตัวตนของท่านเลย เพราะรูป-นาม มันเป็นอนัตตา คือเราบังคับ หรือมีอำนาจเหนือมันไม่ได้  ดังนั้น ตัวตนของเรานั้น เราถือว่าไม่มี มันจึงไม่มีทุกข์แต่ประการใด

                                ตัวทุกข์ ก็คือ รูป-นาม พระพุทธองค์ท่านสอนให้เราทราบถึงอริยสัจ ๔ เพื่อให้รู้เท่าทันทุกข์ ว่าทุกข์มีอะไรบ้าง สาเหตุแห่งการเกิดทุกข์  วิธีที่จะกำจัดทุกข์ และแนวทางปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์

                                วิธีที่จะพ้นทุกข์ถาวรนั้น เราต้องให้จิตของเรามันคลายออกมาเอง  เราไม่สามารถพ้นทุกข์จากการคิดหรือบังคับ  แต่จะพ้นทุกข์ได้จากการระลึกได้ถึงกาย-ใจ ณ ปัจจุบัน ให้เป็นสมาธิ เพราะขณะจิตอยู่ที่การระลึกได้ที่กาย-ใจนั้น เราจะพบความจริง คือ จิตไม่ได้คิด  การคิดมีแต่ทุกข์

                                บรรดาคำสอนของพระพุทธองค์ นั้น ก็คือสอนให้เราทราบกฏไตรลักษณ์ เป็นส่วนใหญ่ เพราะนั่นคือ หัวใจของศาสนาพุทธที่แท้จริง  ที่จะทำให้จิตของเราไม่ยึดมั่นถือมั่นในตัวตน เพราะมันไม่มี  มีแต่รูปกับนาม ที่เป็นไปตามกฏไตรลักษณ์เท่านั้น

                                วิธีปฏิบัติธรรม ที่ดีที่สุด คือ ท่านต้อง "หลง - แล้วรู้ซื่อๆ " ให้มากๆ ให้รู้ซื่อ ๆ มากกว่าหลง(ทาสของความคิด) แล้วท่านจะทราบได้เอง ว่าเราสามารถอยู่กับการรู้ซื่อๆ ได้เอง

                                 ตัวอย่าง วันนี้ผมไปตีกอล์ฟ กับคุณหมอและเพื่อนสามท่าน เขาคุยกันสนุก เฮฮามาก  จนกลัวว่า ผมจะเล่นกอล์ฟไม่ได้  ผมก็บอกคุณหมอไปว่า ผมไม่รู้ว่าคุณหมอคุยกันเรื่องอะไรเลยทั้งสิ้น  ผมมีสติอยู่กับการเดิน และตีกอล์ฟ  ไม่ได้ฟัง  ไม่ได้คิดเลย  พยายามให้รู้อยู่กับกาย-ใจ ตนเอง และมันก็เป็นของมันเอง  ผมปฏิบัติธรรม  คุรหมอไม่ต้องกังวลทั้งสิ้น  คุณหมอก็บอกว่า หลวงพ่อปราโมช  ท่านก็อยู่อย่างนี้ ไม่ได้นั่งสมาธิ หรือเดินจงกรมเลย  นอกจากท่านจะพักจิตเท่านั้น  มันก็เป็นความจริงครับ

                                เมื่อเรา รู้ซื่อๆ และรู้หลง(ในความคิด) แล้ว เราก็ไม่จำเป็นต้องเดินจงกรม หรือนั่งสมาธิ เราก็สามารถทำกิจวัตร ทำงาน และปฏิบัติธรรมของเราได้  มันจะเป็นโดยอัตโนมัติครับ  ท่านสามารถทราบด้วยตัวของท่านเอง  ไม่เชื่อลองดูก็ได้ครับ

                                 ราตรีสวัสดิ์ทุกท่าน




      บันทึกการเข้า
too_ploenpit
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2514
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 7,778

เว็บไซต์
« ตอบ #6833 เมื่อ: 03 กันยายน 2555, 08:33:08 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 01 กันยายน 2555, 10:33:10


หลวงพ่อคำเขียน    สุวณฺโณ

วัดป่าสุคะโต


สวัสดีค่ะ คุณน้องตู่ และชาวซีมะโด่ง - แขกผู้มาเยือน ที่รักทุกท่าน

                              พระพุทธองค์ ทรงสอนว่า การอดทดอดกลั้น ต่อสิ่งที่ไม่รัก  ไม่ชอบ  ไม่ปราถนา นั่นละเป็นยอดคนละ  การที่เราจะต้องเจอกับคนพวกนี้ และเราก็รู้เรื่อง  พฤติกรรมของจิตมนุษย์ ดี  มีทางเดียว คือ เราต้องอดทน  ด้วยการสร้างความรู้สึกตัว  ไม่ยินดียินร้าย ในสิ่งที่ได้ยิน  หนีออกห่างได้ก็กระทำ เพราะไม่มีประโยชน์ที่จะไปต่อกรด้วย  ถ้าหนีไม่ออกก็ อดกลั้นเอาไว้  อุเบกขาเอาไว้ ถือเสียว่าเราเอาชนะใจตนเองก็แล้วกัน

                               ทุกวันนี้พี่สิงห์ ก็เจอแบบนี้ประจำ อย่างเมื่อวานก็ไม่มีคนซื้อข้าวให้กิน  ก็ได้แต่ปลง  ไม่ได้โกรธ  ถือว่าเราก็ผิดเองที่ไม่ได้ไปสั่ง และเอาสตางค์ให้เขาไปซื้อมาให้  หวังว่าเขาเคยปฏิบัติมา คงมีข้าวกิน  แต่จิตคนอื่นเขาไม่คิดแบบเรา แต่เขาไม่ทำเมื่อวานก็เลยอดกินข้าวกลางวัน  ไม่ว่าใครทั้งสิ้น มันก็ไม่ก่อประโยชน์  มันก็ดีได้ศึกษาจิตคนไปในตัว ถ้าจะว่าก็ว่าตัวเราเองดีกว่า  ทีหลังเราก็วางแผนใหม่  อย่างวันนี้เป็นวันพระ ถือศีล ๘  ถ้าอดกินข้าวกลางวันอีกจะเดือดร้อนหนัก ก็เลยเอาสตางค์ไปให้ฝ่ายจัดซื้อ ช่วยไปซื้อ ใบเหลียงผัดไข่ มาให้อาจารย์ด้วย เพราะพี่สิงห์เอาน้ำพริกแมงดานรก มาด้วยและพนักงานคนหนึ่งเอาข้าวกล้องมาให้เพราะพี่สิงห์บังคับให้เขาหุงข้าวกล้องให้พ่อเขากิน เพื่อรักษาโรคหลอดเลือดและหัวใจ  พี่สิงห์เลยได้อานิสสงไปด้วย

                                ไม่มีใครหลีกหนีในสิ่งที่เราไม่ชอบและต้องประสบอยู่ทุกวันได้  เพราะจิตมนุษย์มันเป็นอย่างนั้น  แต่เราก็วางจิตของเราให้ถูกที่  ถูกจังหวะ  มีความอดทนอดกลั้นได้  เราควบคุมอารมณ์  ตัวเราได้  แต่เราไม่สามารถสั่งคนอื่นได้  ก็ระวังตัวเราไว้ก็แล้วกัน  ยกเว้นมันไม่ไหวจริงๆ ก็กระทำแบบเธอนั่นละ  มันก็ไม่ผิด มันเป็นสิทธิของเรา

                                  หรืออย่างพี่สิงห์  อยู่บ้านไม่มีความสุขเลย เพราะเพื่อนบ้านที่มาเปิดอู่เปิดวิทยุดัง(วิทยุเสื่อแดง) ตอนเย็นกินเหล้า  ส่งเสียงดัง  จนดึกทุกวัน  จนเราอยู่ไม่ไหว  พี่สิงห์ก็ต้องทน  ถือว่าพวกเขาเป็นมารมาผจญ  เอาชนะจิตตนเองให้ได้  เราไปไหนก็ไม่ได้  บางครั้งมันก็ทำใจไม่คิดได้  ปล่อยวางได้ แต่จิตคนมันก็จิตคน  ยังต้องรับรู้อยู่ดี คือ รู้ กับหลง มันก็ทุกข์ เท่านั้น  ก็พยายามทนต่อไป  ถ้าแพรวเรียนจบเมื่อไร  ก็คงขายบ้าน ไปอยู่ต่างจังหวัด หาสถานที่ ที่มันสงบ  ดีกว่า

                                  ทุกวันนี้ถ้าไม่ห่วงแพรวที่เรียนหนังสืออยู่ หรือกลัวขโมยขึ้นบ้าน  ก็ไม่อยากอยู่บ้าน  อยากจะไปปฏิบัติธรรมตามวัด  แต่มันก็คงได้แต่ความสงบชั่วคราวเท่านั้น  เลยทนอยู่บ้านเอาชนะจิตเราให้ได้  เพื่อว่าจะได้พ้นทุกข์ที่แท้จริง  ถาวร ครับ

                                  ขอประชุมก่อนครับ

                                  สวัสดี


...สวัสดีค่ะ...พี่สิงห์...

...การดำเนินชีวิตของพี่สิงห์ถ้าจะเทียบกับคนอื่นๆแล้วถือว่าได้กำไรเยอะ...

...คือเราไม่ประมาทกับชีวิตที่เกษียณแล้วโดยมีหลักประกันให้กับตัวเองไม่ต้องเป็นภาระกับใคร...

...พร้อมทั้งหาเวลาว่างเพื่อเก็บสมบัติภายในไว้ล่วงหน้า...

...พระพุทธเจ้าให้นึกถึงความตายทุกวัน...ถ้าตลอดเวลายิ่งดี...ไม่ได้แช่งตัวเอง...

...แต่ไม่มีใครรู้ว่าจะไปเมื่อไหร่...ถ้าเราเตรียมตัวไว้พร้อมแล้ว...

...จะได้ไม่เสียดายภายหลังว่า...ยังไม่ได้เตรียมอะไรไว้เลย...

...พี่ชายหมอ...พี่เสริฐที่เสียไปตั้งแต่อายุไม่มากประมาณ 40 โดยโรคมะเร็งที่ตับอ่อน...

...ตอนนอนป่วยที่เตียง...เหมือนจะรู้ล่วงหน้าว่าคงไม่รอดแล้ว...

...แกได้เขียนโน๊ตให้หมอแผ่นนึงเหมือนกับเป็นการลา...

...บอกว่า...ยังมีอะไรดีๆอีกเยอะในชีวิตนี้ที่น่าทำแต่ยังไม่ได้ทำ...

...เสียดายที่มันหมดเวลาเสียแล้ว...

...เพียงแต่พี่เค้าไม่ได้บอกว่าสิ่งนั้นคืออะไร...

...และคนฟังก็คงไม่กล้าถามเพราะบรรยากาศตอนนั้นก็คงจะหดหู่และสลดใจเกินกว่าที่จะถามค่ะ...
      บันทึกการเข้า

i love pink, you are pink = i love you
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #6834 เมื่อ: 03 กันยายน 2555, 21:40:48 »

...สวัสดีค่ะ...พี่สิงห์...

...การดำเนินชีวิตของพี่สิงห์ถ้าจะเทียบกับคนอื่นๆแล้วถือว่าได้กำไรเยอะ...

...คือเราไม่ประมาทกับชีวิตที่เกษียณแล้วโดยมีหลักประกันให้กับตัวเองไม่ต้องเป็นภาระกับใคร...

...พร้อมทั้งหาเวลาว่างเพื่อเก็บสมบัติภายในไว้ล่วงหน้า...

...พระพุทธเจ้าให้นึกถึงความตายทุกวัน...ถ้าตลอดเวลายิ่งดี...ไม่ได้แช่งตัวเอง...

...แต่ไม่มีใครรู้ว่าจะไปเมื่อไหร่...ถ้าเราเตรียมตัวไว้พร้อมแล้ว...

...จะได้ไม่เสียดายภายหลังว่า...ยังไม่ได้เตรียมอะไรไว้เลย...

...พี่ชายหมอ...พี่เสริฐที่เสียไปตั้งแต่อายุไม่มากประมาณ 40 โดยโรคมะเร็งที่ตับอ่อน...

...ตอนนอนป่วยที่เตียง...เหมือนจะรู้ล่วงหน้าว่าคงไม่รอดแล้ว...

...แกได้เขียนโน๊ตให้หมอแผ่นนึงเหมือนกับเป็นการลา...

...บอกว่า...ยังมีอะไรดีๆอีกเยอะในชีวิตนี้ที่น่าทำแต่ยังไม่ได้ทำ...

...เสียดายที่มันหมดเวลาเสียแล้ว...

...เพียงแต่พี่เค้าไม่ได้บอกว่าสิ่งนั้นคืออะไร...

...และคนฟังก็คงไม่กล้าถามเพราะบรรยากาศตอนนั้นก็คงจะหดหู่และสลดใจเกินกว่าที่จะถามค่ะ...
[/quote]

สวัสดีค่ะ คุณน้องตู่ และชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน

                             สิ่งที่พี่ประเสริฐบอกนั้น คงจะเป็นทางพ้นทุกข์ถาวรของพระพุทธองค์  เพราะพี่ประเสริฐ เท่าที่พี่สิงห์เห็นนั้น ยังไม่ได้ปฏิบัติตามที่พระพุทธองค์ทรงสอน  เสียเวลาไปกับจิตตนเองที่ยังอยากกระทำ.....

                             สำหรับพี่สิงห์ นั้น จะตายเมื่อไรก็ได้  ไม่มีอะไรต้องห่วง  ไม่มีอะไรต้องกระทำ  อยู่เพื่อรอความตายจะมาถึงเท่านั้น  ความอยากในทางโลกที่บุคคลควรจะมี  จะเป็น มันลดน้อยลงไปมาก  เกียรติยศ  ชื่อ  เสียง ก็ไม่อยากได้  เหลือ อย่างเดียวคือปัจจัย ๔ ที่จะต้องดำรงรูป-นาม ตนเอง ด้วยความไม่ประมาท แต่ก็ถึงทางสองแพร่ง

                              คือ อยู่อย่างนี้ หรือ บวช ถ้าบวชมันก็เป็นความต้องการของเรา เท่ากับไปบังคับจิตเกินไป  ไม่บวชมันก็ลำบากเหมือนกัน เพราะยังมีเพื่อนฝูงที่เขาบอกว่า  ยังจะต้องอนุเคราะห์พวกเขาอยู่ในสิ่งที่เราเชี่ยวชาญ  มันก็เลยเกิดความรังเรใจ  ถึงทางสองแพร่ง ที่ตัดสินใจยาก

                              ทุกวันนี้จะทำอะไร ก็เกิดจากบุคคลอื่นทั้งนั้น ที่ตัดสินใจแทนเรา ที่เราต้องกระทำตาม  มันทำให้เราหลงไปติดกับความคิดในการแก้ไข หรือทำงานไป  ไม่ได้อยู่กับกาย-ใจ ตนเอง

                               ถ้าเรามีสติ หรือมีการระลึกอยู่ที่กาย-ใจ ของเรา ณ ปัจจุบัน  เราจะทราบ  ได้เรียนรู้อารมณ์ปรมัติที่เกิดกับจิตของเรา  มากขึ้นๆ  จนเมื่อเราต้องประสบกับอารมณ์นั้น เราจะรู้เท่าทันมัน  ไม่หลงกระทำตามมัน  เพราะรู้เท่าทันมันได้ ว่าจะเกิดอะไรต่อไป เช่นอารมณ์โกรธ เป็นต้น

                               อย่าลืม การปฏิบัติธรรมนั้น ต้องระลึกได้ที่กาย-ใจ ด้วยความรู้สึกตัวเท่านั้น อารมณ์ใดๆ เกิดขึ้นก็รู้  ไม่ได้เกิดจากการคิด เพราะการคิดเป็นสมมติบัญญัติ  แต่ปรมัตถ์บัญญัติจะรู้ด้วยการรู้สึกตัว มันต่างกัน  ต้องสังเกตเอาเอง และรู้ด้วยวิปัสสนาปัญญา  บางครั้งมันอธิบายยาก  ต้องเฝ้าดูกาย-ใจ ตนเองแล้วจะทราบได้

                               พระพุทธองค์ ทรงสอนเสมอ ต้องรู้เท่าทันจิตตนเอง  นั่นละจะพบทางแห่งการพ้นทุกข์

                               ทุกวันนี้พี่สิงห์ ก็เอาสิ่งที่รู้มาใช้กับตนเอง

                               วันก่อนไปสอนหนังสือ มีคนถามว่า ในเมื่อปฏิบัติธรรม จะเอาอะไรไปใช้ในการทำงาน หรือบริหารงานให้สำเร็จได้ ?  พี่สิงห์ ก็ตอบว่า ธรรมของพระพุทธองค์นั้น สอนคนให้อยู่ในสังคมอย่างสงบ และประสบความสำเร็จในการทำงาน  โดยเฉพาะหลักธรรม โพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการนั้น ใครนำไปใช้ในการทำงานประสบความสำเร็จแน่นอน และนอกจากนี้การปฏิบัติธรรม  ยังได้ทราบพฤติกรรมของจิตคน  เมื่อเรารู้ความจริงอันนี้แล้ว เท่ากับว่าเราสามารถรู้เท่าทันจิต เราก็จะอยู่ได้อย่างสงบ และประสบความสำเร็จได้  เพราะชีวิตคนมันก็มีเท่านี้เอง

                                ราตรีสวัสดิ์ทุกท่านครับ
               
         

 
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #6835 เมื่อ: 04 กันยายน 2555, 06:31:34 »

สวัสดียามเช้าครับ ชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน

                            ผมกำลังจะออกไปซื้ออาหารมาใส่บาตรพระตอนเช้าครับ มีเวลาจึงแวะมาคุยกับทุกท่านในเช้าวันนี้ ครับ

                            อย่าลืม ภทยหลังจาดสวดมนต์ทำวัตรเช้า-เย็น  จะฉบับย่อ หรือเต็ม ได้ทั้งนั้น และอย่าลืมแผ่เมตตา นะครับ อานิสสงของการแผ่เมตตานั้น เอา ณ ปัจจุบัน ก็คือ  เราจะมีจิตใจเป็นผู้ให้  มีจิตเป็นกุศล  ถ้าแผ่เมตตาก่อนนอนจะทำให้เรานอนแบบไร้ความกังวล  ไม่ฝันร้าย ครับ

                             วันนี้ผมจะเดินทางไปเยี่ยมแม่ที่บ้านสิงห์บุรี  เนื่องจากอาคาร ๘๐ ปี ของโรงพยาบาลสิงห์บุรี ที่แม่รักษาตัวอยู่ จะทาสีใหม่  คุณหมอวิทิต  เลยพาแม่กลับบ้านไปรักษากันต่อที่บ้าน คือแผลกดทับ  ถ้าอาการไม่ดีค่อยนำกลับมายังโรงพยาบาลกันใหม่  มันก็เป็นอย่างนี้ครับ

                             ร่างกายคนเรานั้น ย่อมแก่ หมดสภาพ  ร่วงโรยไป เป็นของธรรมดา  ทุกคนต้องประสบทั้งนั้นไม่ช้าก็เร็ว

                             เมื่อรู้ความจริงอันนี้แล้ว  เราควรอยู่อย่างไม่ประมาท ครับ เอาเวลากลับมาดูแลกาย-ใจ ของเราบ้าง  เมื่อท่านกลับมาดูตัวเองแล้ว ท่านจะพบว่าร่างกาย-ใจ ของท่านมันจะบอกท่านเอง ว่าจะต้องทำอะไรกับร่างกาย-ใจ บ้าง

                              เช้านี้ทำจิตให้ขาวรอบครับ

                              สวัสดี




                               ขอทำความเข้าใจกับทุกท่านนะครับ

                               สิ่งที่ผมเขียนนี้ ผมจะเขียนเพื่อเตือนตัวเองเป็นหลัก และ

                               ผมจะเขียน ตามที่ได้ "รู้" เกิดขึ้นจากการพิจารณากาย-จิต ตนเอง เป็นหลัก

                               ถ้าจะนำบทความจากพระอาจารย์อื่นๆ ก็จะเรียนให้ทราบ และ

                               จะอ้างคำสอนของพระพุทธองค์  ในพระสุตันปิฎก จากพระไตรปิฎก เป็นหลัก ซึ่งผมจำเอาไว้มาก

                               ส่วนพระอภิธรรม นั้น ผมไม่ได้เรียน  ไม่ได้อ่านเลย  ยังนึกเสียดายอยู่รศ.ประกายแก้ว  คุณวัฒนา  บังคับให้ผมไปเรียน แล้วผมไม่ได้ไป  เพราะถ้ารู้พระอภิธรรมแล้ว เราสามารถเอามาตรวจสอบตัวเราเอง ในอารมณ์ปรมัติ ต่างๆ ได้ ถูกต้องยิ่งขึ้น

                               แต่ก็ไม่ได้เสียดายอะไรเลย เพราะถ้ารู้พระอภิธรรม แล้วเราไม่ได้ปฏิบัติให้มันรู้ตามนั้น ก็เป็นเพียงโวหารของสมมติบัญญัติที่เอามาคุย เท่านั้น  สู้แบบเรารู้ของเราจริงๆ แต่ไม่ทราบชื่อเสียยังจะดีกว่า ตามที่บรรดาเกจิอาจารย์อย่าง หลวงปู่มั่น  หลวงปู่ดุลย์ หลวงพ่อเทียน  ท่านสอนเอาไว้ว่า  ความรู้ต่าง ๆ ในพระไตรปิฎก นั้นเก็บเอาไว้ได้เลย  ถ้าจะปฏิบัติธรรม  ไม่จำเป็นต้องทราบ เพราะ ทั้งหมดนั้น มันอยู่ที่กาย-ใจ ของเราทั้งนั้น เพียงแต่มันเป็นภาณษาสมมติ ที่เราไม่รู้จัก แต่เราก็รับรู้ได้ทางอารมณ์ ที่มันเกิดขึ้น จริงๆ

                               นอกจากนี้ ผมยังมีผู้รู้ อย่าง ดร.สุริยา  คุณรุ่งศักดิ์  อาจารย์ถาวร  ท่านขุน ๒๘ และท่านผู้รู้ทั้งหลายที่แวะมาเยี่ยมเยือน  คอยตรวจสอบ ในสิ่งที่ผมเขียน ว่าผิด-ถูกได้ สามารถท้วงติง หรือชี้ว่าสิ่งที่เขียนนั้นผิด ไปจากพุทธศาสนา ของสมณโคดม ได้

                                ผมขอนอกเรื่องนิดหนึ่งเกี่ยวกับทางโลก

                                ที่มีผู้ถามผมว่า ในเมื่อปฏิบัติธรรม แล้วจะประสบความสำเร็จในทางบริหารงานได้อย่างไร ?  ผมได้ตอบไปแล้วบางส่วน  แต่หัวใจจริงๆ ยังไม่ได้ตอบ ก็ขอมาเพิ่มตรงนี้ครับ

                                อย่าลืมการที่เราจะประสบความสำเร็จในการบริหารงานได้นั้น เราต้องยอมรับความจริงว่า วิชาบริหารทั้งหมดนั้น เขาเอามาบริหารอะไร ? ก็เอามาบริหาร "คน"  ให้ "คน" สามารถทำงานได้สำเร็จ ในต้นทุนที่ต่ำ มีคุณภาพ ในเวลาที่รวดเร็วหรือเหมาะสมแก่งาน

                                ในทางการปฏิบัติธรรมเรา "รู้" กาย-ใจ ของตนเอง  รู้พฤติกรรมของจิตคน  เราก็สามารถนำความรู้อันนี้มาทำงาน เราสามารถใช้คน มาทำงานให้เราได้ โดยไม่บกพร่องได้ เพราะเรารู้เท่าทันจิต คนโดยทั่วไปว่ามันจะต้องเป็นไปตามนั้น เพราะธรรมชาติของจิตคนมันเป็นเช่นนั้น

                                ประกอบกับคำสอนของพระพุทธองค์ ที่สอนคนให้ทำกุศล  ละบาป และประสบความสำเร็จในการกระทำ มีวิริยา และอุเบกขาเป็นหลัก  หรืออาจจะพูดได้ว่า วิชาการบริหารงานนั้น ลอกเรียนแบบคำสอนของพระพุทธองค์มาทั้งสิ้นก็ว่าได้ เพียงแต่มาดัดแปลง แก้ไขทางสมมติบัญญัติ ให้เข้ากับยุค-สมัย และแต่ละภาษาเท่านั้น  ไม่ได้มีอะไรใหม่เลย จริงๆ

                                ท่านลองพิจารณาด้วย โยนิโสมนสิการดู "ถ้าคนอยู่ในศิล ๕  มีสติ-สัมปชัญญะ ใช้ปัญญา  มีความวิริยะ มีพรหมวิหาร ๔ อิทธบาท ๔ และทิศ ๖ อยู่ในจิตเท่านั้น เพียงพอต่อการทำงานให้สำเร็จได้แล้ว  ไม่จำเป็นต้องใช้ "โพธิปักขิยะธรรม ๓๗ ประการเลย"

                                สวัสดี
      บันทึกการเข้า
too_ploenpit
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2514
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 7,778

เว็บไซต์
« ตอบ #6836 เมื่อ: 04 กันยายน 2555, 14:05:32 »


...สวัสดีค่ะ...พี่สิงห์...

...วันนี้ยังไม่มีอะไรคุยค่ะ...

...แต่ได้เข้าไปอ่านธรรมะของนักเขียนท่านหนึ่งแล้วชอบใจมากๆค่ะ...

http://www.star4life.com/forum/index.php?topic=229.0
      บันทึกการเข้า

i love pink, you are pink = i love you
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #6837 เมื่อ: 04 กันยายน 2555, 20:34:49 »

เตรียมตายอย่างโสดาบัน


หลังจากฝึกมองสภาพจิตของตนเองเมื่อให้ทานและรักษาศีล ตลอดจนเขยิบขึ้นมารักษาสัตย์และฝึกเป็นคนดูแทนการเป็นผู้เล่นได้ระยะหนึ่ง คุณจะพบว่าตนเองกำลังหันหลังให้กับเกมกรรมอย่างช้าๆ คุณยังทำดีอยู่ แต่ความดีนั้นไม่ได้เป็นไปเพื่อต่อเกม ทว่าเป็นไปเพื่อหยุดเกม


คุณยังเสวยสุขในกามอยู่ แต่จะมีภาคหนึ่งที่ตระหนักว่านั่นไม่ใช่ความสุขอันเลิศลอยสักแค่ไหน คุณยังโกรธได้ แต่จะหายเร็วและไม่เห็นประโยชน์กับการผูกใจเจ็บนานๆ คุณยังหลงผิดหลงพลาดอยู่ แต่จะไม่มีเมฆหมอกใดมาห่อหุ้มจิตให้มืดทึบเกินกว่าจะรู้สึกตัวได้ในภายหลัง ทั้งนี้เพราะผู้ตั้งจิตให้อยู่ในทิศทางทำคะแนนบวก มีจุดหมายปลายทางแน่ชัดว่าเป็นไปเพื่อหยุดเล่นเกมแล้วนั้น จะมีอนุสติอย่างหนึ่ง เหมือนใจบอกตัวเองว่าต้องบ่ายหน้าหนีจากศูนย์กลางแรงดึงดูด ไม่ใช่ปล่อยทอดหุ่นให้ถูกดูดกลับไปเต็มตัวเหมือนเคยๆ


ตามกฎของเกมกรรม ผู้เที่ยงที่จะออกจากเกมกรรมได้นั้น อย่างน้อยจะต้องเห็น ‘ความว่างจากเกม’ เสียก่อน จึงประกันว่าไม่หลงทางออกจากเกมแน่ รู้วิธีออกจากเกมอย่างถูกต้องแน่


ความว่างจากเกมก็คือความว่างจากกฎแห่งกรรมวิบาก ว่างจากสภาพอันถูกปรุงแต่งขึ้นด้วยกรรม ไม่มีการประชุมกันของธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม อากาศ ไม่มีกระทั่งสภาพการรับรู้อันเกิดจากตากระทบรูป หูกระทบเสียง


ความว่างจากการตกแต่งด้วยกรรมวิบาก ก็คือความว่างจากความไม่แน่นอน ว่างจากอันตราย ว่างจากความเปียกปอนด้วยบาป กล่าวอีกนัยหนึ่ง ความว่างจากการตกแต่งด้วยกรรมวิบาก ก็คือความเที่ยงแท้แน่นอน คือความปลอดภัยถาวร คือบกอันแห้งสนิทจากบาป ตลอดจนมีความวิเศษอยู่เหนือบุญ


ความว่างอันเป็นที่สุดของรสดังกล่าวนี้ จะสมมุติชื่อเรียกอย่างไรก็ได้ ถ้าสำหรับคนพุทธแล้ว ความว่างนี้เรียกว่า ‘นิพพาน’ ผู้ที่เห็นนิพพานได้เป็นครั้งแรกเรียกว่า ‘โสดาบัน’


การเป็นโสดาบันนั้น ก็คือการเป็นผู้ปรับจิตปรับใจให้พร้อมจะเข้าสู่ภาวะโพล่งเฉียบพลันเห็นนิพพาน และวิธีที่จะปรับจิตปรับใจดังกล่าว ก็คือการให้ทาน ถือศีล และเปลี่ยนตนเองจากผู้เล่นเป็นคนดู ดังที่แสดงมาตามลำดับ


หลังจากเห็นนิพพานแล้ว คุณจะไม่คิดอีกเลยว่ามีตัวตนถาวรอยู่ที่ไหน ถึงแม้คุณจะยังหลงโลภ หลงโกรธ และหลงรู้สึกว่ามีตัวคุณอยู่เดี๋ยวนี้ แต่ก็จะไม่หลงเห็นผิดว่าส่วนใดส่วนหนึ่งของกายเป็นตัวคุณ เพราะเห็นชัดว่ามันเป็นแค่การประชุมรวมของธาตุ ๔


และคุณจะไม่เห็นกระทั่งจิตใจตัวเองเป็นตัวคุณ เพราะเห็นชัดว่าอารมณ์ ความรู้สึกนึกคิด และแม้กระทั่งการรับรู้ต่างๆ มาด้วยเหตุอย่างใดอย่างหนึ่ง แล้วต้องดับลงเป็นธรรมดา พูดง่ายๆว่าสภาพธรรมอันประกอบกับจิตของคุณทั้งหลายล้วนแปรปรวนไปเรื่อยๆ เป็นสภาพที่ไม่ซ้ำกับสภาพเดิมสักชุด


เมื่อเป็นอิสระจากการปิดบังของกายใจ จิตคุณจึงโพล่งทะลุออกไปเห็นอะไรอีกอย่างหนึ่งที่อยู่นอกขอบเขตของกายใจ เป็นธรรมชาติบริสุทธิ์อันแตกต่างจากทุกสิ่งที่คุณเคยรับรู้ และเมื่อเห็นนิพพาน คุณเห็นด้วยสติ เห็นด้วยจิตที่ทรงอุเบกขา ไม่ได้เห็นด้วยอาการหลงเข้าข้างตัวเอง ไม่ได้กำลังยืนอยู่ข้างกิเลส ไม่ถูกครอบงำด้วยโมหะ ดังนั้นจึงไม่สงสัยอีกเลยว่านิพพานมีจริงไหม และด้วยวิธีอย่างไรจึงสามารถเห็นนิพพานได้


เมื่อเห็นแบบประจักษ์ คุณจึงไม่สงสัยด้วยว่าคนอื่นเห็นได้อย่างคุณไหม ที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใด คือใครเป็นผู้นำวิธีเห็นนิพพานมาเปิดเผย คนนั้นย่อมเป็นผู้มีพระคุณสูงสุด ได้แก่พระศาสดาของพุทธ ซึ่งองค์ปัจจุบันคือสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า ‘โคดม’


เมื่อเป็นโสดาบันบุคคล คุณจะยังอยู่กับลูกเมียได้เหมือนชาวบ้านชาวเรือนอื่นๆ คุณยังดูหนังฟังเพลงได้ คุณยังไม่ต้องเลิกคบกับเพื่อนเก่า คุณทำทุกอย่างได้ตามปกติ สิ่งที่ผิดไปคือคุณจะไม่ยืนอยู่ข้างบาปอันเกิดจากการผิดศีลอีกเลยจนชั่วชีวิต ซึ่งนั่นก็หมายถึงการปิดอบายตลอดกาล เนื่องจากไม่มีเหตุสมควรให้ต้องตกต่ำลงไปรับโทษในกำเนิดนรก กำเนิดเดรัจฉาน และกำเนิดเปรตอีกแล้ว


หากยังไม่ใช่โสดาบันบุคคล ก็ยังมีความไม่แน่นอน ไม่ว่าจะทำบุญสั่งสมคะแนนบวกมาแค่ไหนก็ตาม เพราะปุถุชนยังมีความประมาทได้ ถูกโมหะครอบงำได้ตลอดเวลา


การเป็นโสดาบันไม่ใช่ประกันได้เฉพาะแค่ชาติหน้า ชาติถัดๆไปจนถึงนิพพาน คุณก็จะไม่ต้องพลาดลงต่ำกว่าความเป็นมนุษย์อีกแล้ว คือต่ำที่สุดแค่มนุษย์ สูงที่สุดแค่พรหม พ้นจากนั้นคือถึงนิพพานอันปราศจากการข้องเกี่ยวกับภพน้อยใหญ่ทั้งหลาย


หากคุณไม่อยากเชื่อว่าตัวเองจะทำได้ ยังไม่มีกำลังใจแก่กล้าพอจะตั้งสติดูกายใจโดยความเป็นของไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวตน ก็มีทางลัดง่ายๆอีกทางหนึ่ง คือเตรียมตัวตายอย่างโสดาบัน


วิธีเตรียมตัวนั้น ไม่ใช่ระหว่างมีชีวิตคุณไม่ต้องทำอะไรเลย อย่างน้อยก็ต้องให้ทานรักษาศีลถึงระดับที่จิตใจเปิดกว้างสบายและปลอดโปร่งสะอาดสะอ้านระดับหนึ่ง จากนั้นเชื่อมั่นศรัทธาในพระพุทธเจ้าว่าพระองค์รู้จักนิพพานจริง ทราบทางไปนิพพานจริง คุณยึดศาสดาองค์เดียวเป็นสรณะ ไม่หวังมีที่พึ่งอื่นอีก


คุณควรสำรวจอยู่เรื่อยๆ ว่าถ้าให้ตายตอนนี้ จิตจะคิดห่วงหน้าพะวงหลังถึงอะไรบ้าง ก็ฝึกพิจารณาเสีย ว่าสิ่งเหล่านั้นไม่เที่ยง มีอันต้องเสื่อมสลายไปแม้ขณะที่คุณยังไม่เลิกหวงแหนอยู่นั่นเอง ฝึกหยอดความคิดสะสมความปล่อยวางวันละเล็กวันละน้อย อย่าดูถูกการได้คิดเล็กๆน้อยๆ เพราะเมื่อสั่งสมมากแล้ว การได้คิดจะกลายเป็นการ 'คิดได้' แบบตกผลึกเต็มภูมิ


เมื่อปล่อยวางเล็กๆน้อยๆได้ ก็เขยิบขึ้นมาปล่อยวางอย่างใหญ่ขึ้นอีกหน่อย อาศัยหลักความจริงที่ว่าถ้าจะเป็นพระโสดาบัน ต้องเห็นกายใจนี้โดยความเป็นของไม่เที่ยง ไม่น่ายึดมั่นถือมั่น เราก็ค่อยๆฝึกดูความจริงวันละนิด เช่น เมื่อนอนเหยียดกายยาวก่อนหลับ ให้สมมุติว่านั่นเป็นนาทีสุดท้ายของชีวิต พอจะตายจริงก็ต้องทอดนอนอย่างนี้ และเตรียมเผชิญภาวะลมหายใจขาดสูญไปจากกายเช่นนี้


การสมมุติเช่นนั้นถ้าทำครั้งสองครั้งจะเหมือนจินตนาการเล่น ไม่เกิดผลอะไร แต่ถ้าทำสม่ำเสมอ ก็จะเป็นการซักซ้อมอารมณ์ก่อนตายได้จริงๆ คือเมื่อมาถึงนาทีสุดท้ายของชีวิต จะเหมือนคุณคุ้นเคยและพร้อมเผชิญหน้ากับทุกสิ่งตามที่ได้ซักซ้อมไว้แล้ว


ธรรมดาลมหายใจมีทั้งเข้าออกและขาดหายอยู่ตลอดเวลา เวลาจะตายก็เพียงเข้าออกครั้งสุดท้ายแล้วไม่มีการเข้าอีกเลยชั่วนิรันดร์ ขอให้ถือความจริงนั้นแหละเป็นเครื่องพิจารณา ทุกคืนคุณดูลมหายใจเตรียมตัวตายครั้งเดียวพอ คือมีสติลากลมหายใจเข้า แล้วเห็นตามจริงว่าเราไม่ใช่เจ้าของลมหายใจเข้า เราบังคับให้มีแต่ลมหายใจเข้าไม่ได้ เรารักษาลมหายใจเข้าไว้ตลอดไปไม่ได้


จากนั้นมีสติระบายลมหายใจออก แล้วเห็นตามจริงว่าเราไม่ใช่เจ้าของลมหายใจออก เราบังคับให้มีแต่ลมหายใจออกไม่ได้ เรารักษาลมหายใจออกไว้ตลอดไปไม่ได้


เอาแค่นั้นพอแล้ว เห็นลมหายใจ เห็นความจริงของลมหายใจ ทุกคืนขอเพียงชั่วขณะเดียวที่คุณเกิดความรู้สึกว่างจากตัวตน ความว่างชนิดนั้นจะขยายชัดขึ้นเรื่อยๆ เป็นอิสระจากความเกาะเกี่ยวมากขึ้นเรื่อยๆ กลายเป็นเชื้อเพลิงสำหรับขับเคลื่อนไปสู่ความตายอย่างโสดาบันได้เต็มพิกัด หากคุณมีเวลาเหลืออีก ๑๐ ปีเพื่อเตรียมตัวตายด้วยวิธีดูลมหายใจคืนละหนึ่งครั้งก่อนนอน คุณจะสะสมความว่างจากตัวตนได้ ๓,๖๕๐ ครั้ง ซึ่งก็ทรงพลังพอใช้แล้ว


ที่เป็นเช่นนี้ เพราะความว่างจากอัตตาในนาทีที่จิตกำลังจะเปลี่ยนภพนั้นมีผลสำคัญใหญ่หลวง ภาวะก่อนตายจะเป็นตัวช่วยให้รู้สึกชัดอยู่แล้วว่าเดี๋ยวต้องไปแน่ ไม่มีอะไรให้มือนี้กำได้อีก ความเด็ดเดี่ยวเฉพาะหน้าจึงเกิดขึ้น เมื่อปราศจากความห่วงหน้าพะวงหลัง แถมไม่รู้สึกว่าลมหายใจที่กำลังจะขาดจากกายเป็นสมบัติของเรา จิตก็มีสิทธิ์สงบรวมลงถึงฌานด้วยอาการปล่อยวางได้ในช่วงสั้นๆ ตรงนั้นแหละที่ภาวะแบบโสดาบันจะปรากฏ คือคุณจะเห็นนิพพานอันปราศจากนิมิต ปราศจากรูปรอยใดๆ หมดจากภาวะรับรู้เช่นนั้นก็จะตระหนักว่าประตูอบายปิดสนิทเด็ดขาดแล้ว มีแต่ความสว่างโพลงทั่วตลอดแล้ว


เงื่อนไขของเกมกรรมมีอยู่นิดเดียว เพื่อจะเป็นโสดาบันได้นั้น ชาตินี้คุณห้ามฆ่าพ่อแม่ ห้ามฆ่าพระอรหันต์ แล้วถ้าคุณเป็นพระก็ห้ามทำให้สงฆ์ในวัดแตกกัน เพราะบาปหนักเหล่านี้จะจำกัดสิทธิ์ไม่ให้จิตเข้าถึงความผนึกแน่นเป็นฌานก่อนตาย ซึ่งเท่ากับปิดกั้นไม่ให้มีทางเห็นนิพพานไปด้วย


จาก มีชีวิตที่คิดไม่ถึง โดย ดังตฤณ
ที่มา http://dungtrin.com/meecheewit/mobile/09.htm
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #6838 เมื่อ: 04 กันยายน 2555, 20:45:10 »

สวัสดี ดร.สุริยา  และชาวซีมะโด่งที่รักทุกท่าน

                             วันนี้แม่อาการไม่ดีเลย เพราะปกติ แม่จะขาดธาตุเหล็กและโบรมีน พอดีจำเป็นจะต้องย้ายออกจากโรงพยาบาลมาอยู่บ้านชั่วคราว เพราะอาคาร ๘๐ ปี จะต้องซ่อมทาสีใหม่  ทางโรงพยาบาลจึงจำเป็นต้องหยุดการใช้งาน

                              ก่อนกลับพยาบาลได้ฉีดธาตุเหล็กและโบรมีนให้แม่  แต่ฉีดยาทางแขนซ้าย ซึ่งเคลื่อนไหวไม่ได้ และเส้นเลือดตีบ  ผลที่ตามมาคือ กล้ามเนื้อแม่ช้ำ เป็นสีม่วง บวม แม่คงเจ็บเพราะสีหน้าไม่ดีเลย  แต่แม่ไม่แสดงอาการออกมา คนดูแลจึงให้ยาแก้ปวด และเอาไข่ต้มห่อด้วยผ้า นวดเบาๆเพื่อให้หายอักเสบ ลดการบวมของกล้ามเนื้อ ตามที่พยาบาลแนะนำมา

                              ถ้าอาคารทาสีเสร็จ  แม่คงจะต้องกลับเข้าไปอยู่โรงพยาบาลใหม่ เพราะอยู่ที่นั่น แม่ดูดีกว่าอยู่บ้าน

                              เมื่อก่อนผมถามแม่ว่าจะอยู่อีกกี่ปี  แม่จะตอบว่าสองปีเสมอ  แต่คราวนี้แม่ตอบว่าอยู่แค่ปีเดียวเท่านั้น  ดังนั้น ปีนี้ก็เหลือเวลาอีก เพียง ๔ เดือน เท่านั้น  ร่างกายแม่แทบจะไม่เหลืออะไรมากนัก มันช้ำไปหมดเพราะความชราของสังขาร เหลือแต่หนังหุ้มกระดูกนิดเดียว

                              สังขารมันไม่เที่ยง  มันก็ต้องเป็นอย่างนี้  เราต้องจำเอาไว้เป็นบทเรียน  ต้องอยู่แบบไม่ประมาท

                              ก็แจ้งให้ทราบ

                               ราตรีสวัสดิ์ ทุกท่านครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #6839 เมื่อ: 05 กันยายน 2555, 07:48:32 »

สวัสดีครับ ดร.สุริยา และชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน

                            ผมลืมไปหนึ่งเรื่อง แม่บอกว่า "อยู่เพื่อใช้กรรม"

                            น้องสาวและผมได้ถามแม่ว่า "แม่ทำไม? อยู่นานจริง" แม่ตอบทันทีว่า "อยู่เพื่อใช้กรรม"  แต่แม่ไม่ยอมบอกว่า ใช้กรรมอะไร  แม่เคยก่อกรรมอะไรไว้ เพราะเท่าที่เห็นไม่มี  แม่ไม่เคยฆ่าสัตว์  แม่เป็นคนขี้เหนี๋ยวไม่ใช้จ่ายเลย  แม่อยู่วัดทุกวันพระ ถือศีล ๘  แต่มีสิ่งหนึ่งที่แม่กระทำคือ แม่เลี้ยงหมู โดยนำปลาย รำข้าวที่หกๆ ในโรงสีมาเลี้ยงหมู ประมาณหนึ่งถือสองครอก ประมาณ ๒๐ ตัว เพราะเงินที่ได้จากการเลี้ยงหมูนี่ละ ที่ส่งลูกชายเรียนหมอศิริราชจนจบ เมื่อลูกชายจบหมอแล้วแม่ก็เลิกเลี้ยงหมู เท่ากับเลี้ยงเขาแล้วเอาเขาส่งให้พ่อค้าหมูไปฆ่า  อาจจะเป็นกรรมตัวนี้ก็ได้

                              ผมเอง ตั้งแต่เล็กเรียน ป.๗- ม.ศ. ๓ ก็ชอบเลี้ยงปลากัด เวลาไปหาผักบุ้งตามท้องนามาเลี้ยงหมู ก็จะล้วงปลากัดที่อาศัยอยู่ตามรูปู กลางทุ่งนาที่เป็นหนองน้ำ เป็นแหล่งปลากัด ที่น้ำเกือบแห้ง จะล้วงแล้วเอาใส่กาน้ำที่เอาไปกิน มาประจำ ใส่ขวดเลี้ยงแต่ต้องแอบๆ เพราะจะโดนแม่-พ่อ ว่าบาปไม่ให้เลี้ยง  ดังนั้นผลกรรม คือ ผมจะเจ็นกราม ขากรรไกร ปวด อักเสบ และเจ็บหลังประจำเป็นผลมาจากการเลี้ยงปลากัด เอามากัดกัน และการยิงนกด้วยหนังสติก   ก็ต้องชดใช้กรรมกันไปในชาตินี้ไม่มีจบสิ้น  

                             ขณะนี้ก็อ้าปากกว้างไม่ได้ อยุู่ๆ มันก็เป็นขึ้นมายังหาสาเหตุไม่พบ ขากรรไกรเคลื่อน  ย่าเคยนวดรักษามาให้เพราะกลัวว่าจะเป็นโรคปากเบี้ยว ย่าก็ไม่อยู่แล้ว ไม่รู้จะให้ใครนวด อ้าปากกว้างไม่ได้ เคี้ยวของแข็งๆ ไม่ได้  สะโพกด้านซ้ายก็เจ็บเส้นเอ็นอักเสบ  เมื่อวานเลยตัดสินใจเข้าไปให้นักกายภาพบำบัด นวดด้วยอุลตร้าซาว ไฟฟ้า ที่สนามไดร์ฟกอล์ฟออลสตาร์ ผลคือ เจ็บหนักกว่าเดิม เสียเงินไป ๑๐๐๐ บาท

                             วันที่ ๖ - ๙ กันยายน ผมต้องไป ฮานอย เวียตนามเหนือ ไปเป็นเพื่อนพี่พงษ์ศักดิ์  ตีกอล์ฟ ไปกัน สามสิบกว่าคน โดยการบินไทย  ไม่ได้จ้างทัวร์ ไปกันเอง  โดยมีคุณผลิณเมศวร์ พาไป และให้ทาง SCG ฮานอย ช่วยเรื่องหาไกด์ท้องถิ่น และรถ พักที่โรงแรมฟอร์จูน่า และโรงแรมนามเขื่อง

                               ถ้าใครต้องการติดต่อผมกรุณาโทรศัพท์ ที่เบอร์ +841634103851 ครับ

                               วันนี้หุงข้าวนก  ถั่วผัดพริกขิง แคนตาลูป น้ำสิงห์  ใส่บาตรพระที่หน้าบ้านครับ

                               สวัสดี


      บันทึกการเข้า
too_ploenpit
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2514
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 7,778

เว็บไซต์
« ตอบ #6840 เมื่อ: 05 กันยายน 2555, 09:39:14 »


...สวัสดีค่ะ...พี่สิงห์...

...ชดใช้กรรมไปในชาตินี้บ้างก็ดีนะคะ...

...เผื่อเกิดชาติหน้า...กรรมจะได้ติดตัวน้อยหน่อย...

...เลี้ยงสัตว์เพื่อให้เขาเอาไปฆ่า...เป็นหนึ่งในบาปที่ไม่ได้เลี้ยงชีวิตตามมรรค 8...

...คือไม่ใช่สัมมาอาชีวะ...

...เมื่อก่อนนี้พี่สาวตู่เค้าก็มีอาชีพเลี้ยงไก่ค่ะ...ทำฟาร์มไก่...

...พอสามเดือนที...ก็ส่งขายทีนึง...รายได้ดีมาก...

...แต่ครอบครัวอยู่ไม่สุข...อยู่ๆสามีก็ไปอยู่กับเมียน้อย...

...ตู่เลยบอกให้เค้าเลิกเลี้ยงไก่ค่ะ...แต่ชีวิตก็ยังลุ่มๆดอนๆเพราะต้องชดใช้กรรม...

...ก็ยังดีไม่งั้นจะบาปหนักกว่านี้...ตอนนี้ก็ได้เงินบำนาญจากสามีบ้าง...ลูกส่งเสียบ้างค่ะ...
      บันทึกการเข้า

i love pink, you are pink = i love you
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #6841 เมื่อ: 05 กันยายน 2555, 20:08:58 »

อ้างถึง
ข้อความของ too_ploenpit เมื่อ 05 กันยายน 2555, 09:39:14

...สวัสดีค่ะ...พี่สิงห์...

...ชดใช้กรรมไปในชาตินี้บ้างก็ดีนะคะ...

...เผื่อเกิดชาติหน้า...กรรมจะได้ติดตัวน้อยหน่อย...

...เลี้ยงสัตว์เพื่อให้เขาเอาไปฆ่า...เป็นหนึ่งในบาปที่ไม่ได้เลี้ยงชีวิตตามมรรค 8...

...คือไม่ใช่สัมมาอาชีวะ...

...เมื่อก่อนนี้พี่สาวตู่เค้าก็มีอาชีพเลี้ยงไก่ค่ะ...ทำฟาร์มไก่...

...พอสามเดือนที...ก็ส่งขายทีนึง...รายได้ดีมาก...

...แต่ครอบครัวอยู่ไม่สุข...อยู่ๆสามีก็ไปอยู่กับเมียน้อย...

...ตู่เลยบอกให้เค้าเลิกเลี้ยงไก่ค่ะ...แต่ชีวิตก็ยังลุ่มๆดอนๆเพราะต้องชดใช้กรรม...

...ก็ยังดีไม่งั้นจะบาปหนักกว่านี้...ตอนนี้ก็ได้เงินบำนาญจากสามีบ้าง...ลูกส่งเสียบ้างค่ะ...


สวัสดีค่ะ คุณน้องตู่ ที่รัก

                         เพราะ "อวิชชา" คือความไม่รู้ใน อริยสัจ ๔  กฏไตรลักษณ์  ปฏิจจสมุปาบาท และสติปัฏฐาน ๔ คนจึงได้รับทุกข์ และต้องชดใช้กรรมที่ตนเองกระทำไว้ ดังนี้แล

                        แต่ยังดี ที่ยังสำนึกได้  ในชาตินี้ขณะมีชีวิตอยู่  ยอมรับการชดใช้กรรมบางส่วน หรือทั้งหมด  กรรมมันจะได้หมดไป  ไม่เหลือตกค้าง  จะได้สิ้นทุกข์กันเสียที

                         การชดใช้กรรมที่เราก่อ  มันไม่เสียหายอะไรเลย  เมื่อเราทราบความจริงแล้ว  ยอมรับมัน เราก็ไม่ทุกข์ เพราะตัวทุก คือ รูป-นาม  ไม่ใช่ตัวตนของเรา เพราะเราไม่มีตัวตน

                         ราตรีสวัสดิ์ค่ะ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #6842 เมื่อ: 05 กันยายน 2555, 20:21:18 »

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง และแขกผู้มาเยือน ที่รักทุกท่าน

                              พี่สิงห์ ต้องไปหลายวัน ขอฝากกระทู้นี้ให้ทุกท่านได้นำเรื่องดีๆ มานำเสนอเอาไว้ให้ได้ศึกษากัน

                              สำหรับผม ขอฝาก มรรคมีองค์ ๘ เอาไว้ให้ทุกท่านได้ศึกษาแบบ "โยนิโสมนสิการ"  แล้วท่านจะได้ "ดวงตาเห็นธรรม" ในหลักคำสอนของพระพุทธองค์  มันจะติดตัวท่านไป และช่วยให้ท่านรู้เท่าทันจิตตนเอง  รู้เท่าทันทุกข์ และท่านจะอยู่กับทุกข์ แบบไม่ทุกข์ได้  เพราะตัวทุกข์ที่แท้จริง คือ อุปาทานขันธ์ ๕ คือ รูป-นาม  ท่านเพียงมีจิตมาอาศัยรูปอยู่เท่านั้น และจิตท่านก็ไม่มีตัวไม่มีตน  รูปนั้นก็ประกอบไปด้วย ธาตุดิน  น้ำ  ลม  ไฟ  ไม่ใช่ตัวตนของท่าน  ท่านก็จะไม่ทุกข์ทั้งสิ้น เมื่อทราบความจริงดังนี้แล

                               สวัสดีครับ


 


















      บันทึกการเข้า
suriya2513
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,457

« ตอบ #6843 เมื่อ: 05 กันยายน 2555, 22:16:14 »

สรุปว่า มรรคมีองค์ 8 คือการบอกให้คนทำตนให้เป็นคนดีนั่นเอง (มั้ง !?)
      บันทึกการเข้า

[โบราณคดี]จุดกำเนิดเริ่มต้นของ cmadong.com by : มานพ กลับดี  คลิ๊ก->
too_ploenpit
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2514
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 7,778

เว็บไซต์
« ตอบ #6844 เมื่อ: 06 กันยายน 2555, 08:22:54 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 05 กันยายน 2555, 20:08:58
อ้างถึง
ข้อความของ too_ploenpit เมื่อ 05 กันยายน 2555, 09:39:14

...สวัสดีค่ะ...พี่สิงห์...

...ชดใช้กรรมไปในชาตินี้บ้างก็ดีนะคะ...

...เผื่อเกิดชาติหน้า...กรรมจะได้ติดตัวน้อยหน่อย...

...เลี้ยงสัตว์เพื่อให้เขาเอาไปฆ่า...เป็นหนึ่งในบาปที่ไม่ได้เลี้ยงชีวิตตามมรรค 8...

...คือไม่ใช่สัมมาอาชีวะ...

...เมื่อก่อนนี้พี่สาวตู่เค้าก็มีอาชีพเลี้ยงไก่ค่ะ...ทำฟาร์มไก่...

...พอสามเดือนที...ก็ส่งขายทีนึง...รายได้ดีมาก...

...แต่ครอบครัวอยู่ไม่สุข...อยู่ๆสามีก็ไปอยู่กับเมียน้อย...

...ตู่เลยบอกให้เค้าเลิกเลี้ยงไก่ค่ะ...แต่ชีวิตก็ยังลุ่มๆดอนๆเพราะต้องชดใช้กรรม...

...ก็ยังดีไม่งั้นจะบาปหนักกว่านี้...ตอนนี้ก็ได้เงินบำนาญจากสามีบ้าง...ลูกส่งเสียบ้างค่ะ...


สวัสดีค่ะ คุณน้องตู่ ที่รัก

                         เพราะ "อวิชชา" คือความไม่รู้ใน อริยสัจ ๔  กฏไตรลักษณ์  ปฏิจจสมุปาบาท และสติปัฏฐาน ๔ คนจึงได้รับทุกข์ และต้องชดใช้กรรมที่ตนเองกระทำไว้ ดังนี้แล

                        แต่ยังดี ที่ยังสำนึกได้  ในชาตินี้ขณะมีชีวิตอยู่  ยอมรับการชดใช้กรรมบางส่วน หรือทั้งหมด  กรรมมันจะได้หมดไป  ไม่เหลือตกค้าง  จะได้สิ้นทุกข์กันเสียที

                         การชดใช้กรรมที่เราก่อ  มันไม่เสียหายอะไรเลย  เมื่อเราทราบความจริงแล้ว  ยอมรับมัน เราก็ไม่ทุกข์ เพราะตัวทุก คือ รูป-นาม  ไม่ใช่ตัวตนของเรา เพราะเราไม่มีตัวตน

                         ราตรีสวัสดิ์ค่ะ


...สวัสดีค่ะ...พี่สิงห์...พี่ป๋อง...

...สมัยเด็กๆตู่ก็ได้เคยทำบาปโดยไม่รู้เหมือนกันค่ะ...

...เช่น...จับตั๊กแตนมาต่อยมวยกัน...จับปลาจับปูมาใส่ในกระป๋องแล้วทิ้งไว้จนมันตาย...

...จับแมลงทับ...เต่าทองมาดูเล่นเพราะสวยงามแล้วมันก็เฉามือตายในที่สุด...

...อาจเป็นเพราะเวลาเราเล่น...เราอยู่ห่างจากผู้ใหญ่ไม่มีใครคอยสอน...คอยบอก...

...เราเลยทำบาปโดยไม่ได้ตั้งใจค่ะ...

...แต่พอโตขึ้นมาหน่อยนึง...เราก็พอจะเรียนรู้ด้วยตัวเราเองได้...

...จำได้ว่าเคยขอชีวิตปลาที่พ่อเค้าจับได้...เกิดความเมตตาขึ้นมาในขณะนั้นว่าไม่น่าจะไปเบียดเบียนเค้า...

...ไม่ได้เห็นดีด้วย...แต่บางครั้งชีวิตเราก็จำเป็นต้องดำเนินไปตามแบบที่ผู้ใหญ่กำหนดไว้...

...หรืออาจเป็นกรรมที่ผูกพันกันไว้ในอดีตทำให้เราต้องมาอยู่ในสภาพเช่นนั้น...

...พอได้มาอ่านหนังสือธรรมะแล้วถึงได้เข้าใจความเป็นมาเป็นไปที่เกิดขึ้น...

...ตู่ว่าสมควรอย่างยิ่งเลยที่พ่อแม่ควรจะพาลูกเข้าวัดตั้งแต่ยังเด็กๆ...

...หรือให้เด็กๆได้มีโอกาสฟังธรรมตั้งแต่ยังพอรู้เรื่องได้...

...ชีวิตจะได้บริสุทธิ์สะอาดตั้งแต่วัยเยาว์และไม่เผลอทำกรรมตั้งแต่ยังเด็กๆค่ะ...
      บันทึกการเข้า

i love pink, you are pink = i love you
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #6845 เมื่อ: 10 กันยายน 2555, 07:37:54 »

อ้างถึง
ข้อความของ suriya2513 เมื่อ 05 กันยายน 2555, 22:16:14
สรุปว่า มรรคมีองค์ 8 คือการบอกให้คนทำตนให้เป็นคนดีนั่นเอง (มั้ง !?)

นอกจากจะทำให้คนเป็นคนดีแล้ว  ยังทำให้สังคมมนุษย์สงบสุข  สันติ และพ้นทุกข์ถาวรสำหรับมนุษย์บางคน(น้อยนัก)

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #6846 เมื่อ: 10 กันยายน 2555, 07:43:40 »

อ้างถึง
ข้อความของ too_ploenpit เมื่อ 06 กันยายน 2555, 08:22:54
อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 05 กันยายน 2555, 20:08:58
อ้างถึง
ข้อความของ too_ploenpit เมื่อ 05 กันยายน 2555, 09:39:14

...สวัสดีค่ะ...พี่สิงห์...

...ชดใช้กรรมไปในชาตินี้บ้างก็ดีนะคะ...

...เผื่อเกิดชาติหน้า...กรรมจะได้ติดตัวน้อยหน่อย...

...เลี้ยงสัตว์เพื่อให้เขาเอาไปฆ่า...เป็นหนึ่งในบาปที่ไม่ได้เลี้ยงชีวิตตามมรรค 8...

...คือไม่ใช่สัมมาอาชีวะ...

...เมื่อก่อนนี้พี่สาวตู่เค้าก็มีอาชีพเลี้ยงไก่ค่ะ...ทำฟาร์มไก่...

...พอสามเดือนที...ก็ส่งขายทีนึง...รายได้ดีมาก...

...แต่ครอบครัวอยู่ไม่สุข...อยู่ๆสามีก็ไปอยู่กับเมียน้อย...

...ตู่เลยบอกให้เค้าเลิกเลี้ยงไก่ค่ะ...แต่ชีวิตก็ยังลุ่มๆดอนๆเพราะต้องชดใช้กรรม...

...ก็ยังดีไม่งั้นจะบาปหนักกว่านี้...ตอนนี้ก็ได้เงินบำนาญจากสามีบ้าง...ลูกส่งเสียบ้างค่ะ...


สวัสดีค่ะ คุณน้องตู่ ที่รัก

                         เพราะ "อวิชชา" คือความไม่รู้ใน อริยสัจ ๔  กฏไตรลักษณ์  ปฏิจจสมุปาบาท และสติปัฏฐาน ๔ คนจึงได้รับทุกข์ และต้องชดใช้กรรมที่ตนเองกระทำไว้ ดังนี้แล

                        แต่ยังดี ที่ยังสำนึกได้  ในชาตินี้ขณะมีชีวิตอยู่  ยอมรับการชดใช้กรรมบางส่วน หรือทั้งหมด  กรรมมันจะได้หมดไป  ไม่เหลือตกค้าง  จะได้สิ้นทุกข์กันเสียที

                         การชดใช้กรรมที่เราก่อ  มันไม่เสียหายอะไรเลย  เมื่อเราทราบความจริงแล้ว  ยอมรับมัน เราก็ไม่ทุกข์ เพราะตัวทุก คือ รูป-นาม  ไม่ใช่ตัวตนของเรา เพราะเราไม่มีตัวตน

                         ราตรีสวัสดิ์ค่ะ


...สวัสดีค่ะ...พี่สิงห์...พี่ป๋อง...

...สมัยเด็กๆตู่ก็ได้เคยทำบาปโดยไม่รู้เหมือนกันค่ะ...

...เช่น...จับตั๊กแตนมาต่อยมวยกัน...จับปลาจับปูมาใส่ในกระป๋องแล้วทิ้งไว้จนมันตาย...

...จับแมลงทับ...เต่าทองมาดูเล่นเพราะสวยงามแล้วมันก็เฉามือตายในที่สุด...

...อาจเป็นเพราะเวลาเราเล่น...เราอยู่ห่างจากผู้ใหญ่ไม่มีใครคอยสอน...คอยบอก...

...เราเลยทำบาปโดยไม่ได้ตั้งใจค่ะ...

...แต่พอโตขึ้นมาหน่อยนึง...เราก็พอจะเรียนรู้ด้วยตัวเราเองได้...

...จำได้ว่าเคยขอชีวิตปลาที่พ่อเค้าจับได้...เกิดความเมตตาขึ้นมาในขณะนั้นว่าไม่น่าจะไปเบียดเบียนเค้า...

...ไม่ได้เห็นดีด้วย...แต่บางครั้งชีวิตเราก็จำเป็นต้องดำเนินไปตามแบบที่ผู้ใหญ่กำหนดไว้...

...หรืออาจเป็นกรรมที่ผูกพันกันไว้ในอดีตทำให้เราต้องมาอยู่ในสภาพเช่นนั้น...

...พอได้มาอ่านหนังสือธรรมะแล้วถึงได้เข้าใจความเป็นมาเป็นไปที่เกิดขึ้น...

...ตู่ว่าสมควรอย่างยิ่งเลยที่พ่อแม่ควรจะพาลูกเข้าวัดตั้งแต่ยังเด็กๆ...

...หรือให้เด็กๆได้มีโอกาสฟังธรรมตั้งแต่ยังพอรู้เรื่องได้...

...ชีวิตจะได้บริสุทธิ์สะอาดตั้งแต่วัยเยาว์และไม่เผลอทำกรรมตั้งแต่ยังเด็กๆค่ะ...


สวัสดีค่ะ คุณน้องตู่ ที่รัก

                         นั่นละเป็นหนทางปฏิบัติที่พ่อ-แม่ควรกระทำอย่างยิ่งต่อบุตร-ธิดา ที่ตนรัก

                         พี่สิงห์ แนะนำเสมอกับบุคคลที่เรามีความปราถนาดีต่อเขา คือแนะนำให้เขาพา บุตร-ธิดา ได้ใส่บาตรพระ ตอนเช้า เพื่อว่าเขาจะได้มีจิตใจเป็นผู้ให้  มีเมตตา  ไม่อิจฉา ริษยา หรืออยากได้ขอผู้อื่น นี่ละพื้นฐานของมนุษย์ อย่างหนึ่ง ที่มีความจำเป็น  ต้องสอนและกระทำในสิ่งที่เป็นกุศล (ไม่ใช่ ดร.กุศล) เขาจะได้ซึมทราบสิ่งดีๆ ไปเอง ครับ

                         สวัสดีค่ะ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #6847 เมื่อ: 10 กันยายน 2555, 07:57:58 »


"ความพลัดพราก จากสิ่งที่เป็นที่รัก เป็นทุกข์"



สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง และแขกผุ้มาเยือน ที่รักทกุท่าน

                            เมื่อคืนผมกลับมาถึงสนามบินสุวรรณภูมิ 22:18 น. เปิดโทรศัพท์ดู (อยู่เวียตนามไม่ได้เิปด เพราะกลัวเสียสตางค์) ก้ได้รับข้อความจากน้องสาว  จึงได้โทรศัพท์ ไปถามคนดูแลแม่ ก็ได้รับว่า "ต้องนำยายกลับเข้ามาอยู่โรงพยาบาลสิงห์บุรี อีกครั้ง อยู่ห้องที่ ๔ ตึก ๙๔ ปี หลวงพ่อ"

                            หลังจากนั้น น้องสาวได้โทรศัพท์มาบอกว่า ให้นำเสื้อผ้าไปด้วย แม่มีอาการหัวใจอ่อนหล้ามาก หายใจแผ่วเบา  มีน้ำท้วมปอด เป็นไข้  ขณะนี้ได้ให้เพียงอ๊อกซิเยนครอบจมูกเพื่อช่วยหายใจเท่านั้น  อย่างอื่นๆ ไม่ทำอะไรเลย

                            เช้านี้ผมภายหลังจากใส่บาตรพระตอนเช้า (ใส่เรียบร้อยแล้ว  ซักผ้าแล้ว) กำลังเตรียมตัวไปสิงห์บุรี ครับ

                            แม่เปรียบเสมือนผลไม้ที่สุกหง่อมคาต้น พร้อมจะหล่นจากต้องทุกวินาที เพราะสังขาร ร่างกาย มันหมดสภาพแล้ว ท่านอาจจะยังรอผมอยู่เท่านั้น ก็เป็นไปได้  เพราะนี่จะเป็นครั้งที่ ๔ แล้ว และมีสัญญาณเตือนจริงๆ เสียที คือน้ำท้วมปอด  หายใจติดขัด และมีไข้ติดเชื้อ จากน้ำท้วมปอด  คงไม่มีทางแล้วละ

                             เกิด  แก่  เจ็บตาย และพลัดพรากจากสิ่งที่รัก เป็นทุกข์ ที่มนุษย์ทุกคนหลีกหนีไม่พ้น  จะช้า หรือเร็วเท่านั้น มันเป็นเรื่องธรรมดา ที่จะต้องเกิดขึ้นกับมนุษย์ ไม่ละเว้น

                             สวัสดีครับ






      บันทึกการเข้า
too_ploenpit
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2514
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 7,778

เว็บไซต์
« ตอบ #6848 เมื่อ: 10 กันยายน 2555, 10:34:16 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 10 กันยายน 2555, 07:43:40
อ้างถึง
ข้อความของ too_ploenpit เมื่อ 06 กันยายน 2555, 08:22:54
อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 05 กันยายน 2555, 20:08:58
อ้างถึง
ข้อความของ too_ploenpit เมื่อ 05 กันยายน 2555, 09:39:14

...สวัสดีค่ะ...พี่สิงห์...

...ชดใช้กรรมไปในชาตินี้บ้างก็ดีนะคะ...

...เผื่อเกิดชาติหน้า...กรรมจะได้ติดตัวน้อยหน่อย...

...เลี้ยงสัตว์เพื่อให้เขาเอาไปฆ่า...เป็นหนึ่งในบาปที่ไม่ได้เลี้ยงชีวิตตามมรรค 8...

...คือไม่ใช่สัมมาอาชีวะ...

...เมื่อก่อนนี้พี่สาวตู่เค้าก็มีอาชีพเลี้ยงไก่ค่ะ...ทำฟาร์มไก่...

...พอสามเดือนที...ก็ส่งขายทีนึง...รายได้ดีมาก...

...แต่ครอบครัวอยู่ไม่สุข...อยู่ๆสามีก็ไปอยู่กับเมียน้อย...

...ตู่เลยบอกให้เค้าเลิกเลี้ยงไก่ค่ะ...แต่ชีวิตก็ยังลุ่มๆดอนๆเพราะต้องชดใช้กรรม...

...ก็ยังดีไม่งั้นจะบาปหนักกว่านี้...ตอนนี้ก็ได้เงินบำนาญจากสามีบ้าง...ลูกส่งเสียบ้างค่ะ...


สวัสดีค่ะ คุณน้องตู่ ที่รัก

                         เพราะ "อวิชชา" คือความไม่รู้ใน อริยสัจ ๔  กฏไตรลักษณ์  ปฏิจจสมุปาบาท และสติปัฏฐาน ๔ คนจึงได้รับทุกข์ และต้องชดใช้กรรมที่ตนเองกระทำไว้ ดังนี้แล

                        แต่ยังดี ที่ยังสำนึกได้  ในชาตินี้ขณะมีชีวิตอยู่  ยอมรับการชดใช้กรรมบางส่วน หรือทั้งหมด  กรรมมันจะได้หมดไป  ไม่เหลือตกค้าง  จะได้สิ้นทุกข์กันเสียที

                         การชดใช้กรรมที่เราก่อ  มันไม่เสียหายอะไรเลย  เมื่อเราทราบความจริงแล้ว  ยอมรับมัน เราก็ไม่ทุกข์ เพราะตัวทุก คือ รูป-นาม  ไม่ใช่ตัวตนของเรา เพราะเราไม่มีตัวตน

                         ราตรีสวัสดิ์ค่ะ


...สวัสดีค่ะ...พี่สิงห์...พี่ป๋อง...

...สมัยเด็กๆตู่ก็ได้เคยทำบาปโดยไม่รู้เหมือนกันค่ะ...

...เช่น...จับตั๊กแตนมาต่อยมวยกัน...จับปลาจับปูมาใส่ในกระป๋องแล้วทิ้งไว้จนมันตาย...

...จับแมลงทับ...เต่าทองมาดูเล่นเพราะสวยงามแล้วมันก็เฉามือตายในที่สุด...

...อาจเป็นเพราะเวลาเราเล่น...เราอยู่ห่างจากผู้ใหญ่ไม่มีใครคอยสอน...คอยบอก...

...เราเลยทำบาปโดยไม่ได้ตั้งใจค่ะ...

...แต่พอโตขึ้นมาหน่อยนึง...เราก็พอจะเรียนรู้ด้วยตัวเราเองได้...

...จำได้ว่าเคยขอชีวิตปลาที่พ่อเค้าจับได้...เกิดความเมตตาขึ้นมาในขณะนั้นว่าไม่น่าจะไปเบียดเบียนเค้า...

...ไม่ได้เห็นดีด้วย...แต่บางครั้งชีวิตเราก็จำเป็นต้องดำเนินไปตามแบบที่ผู้ใหญ่กำหนดไว้...

...หรืออาจเป็นกรรมที่ผูกพันกันไว้ในอดีตทำให้เราต้องมาอยู่ในสภาพเช่นนั้น...

...พอได้มาอ่านหนังสือธรรมะแล้วถึงได้เข้าใจความเป็นมาเป็นไปที่เกิดขึ้น...

...ตู่ว่าสมควรอย่างยิ่งเลยที่พ่อแม่ควรจะพาลูกเข้าวัดตั้งแต่ยังเด็กๆ...

...หรือให้เด็กๆได้มีโอกาสฟังธรรมตั้งแต่ยังพอรู้เรื่องได้...

...ชีวิตจะได้บริสุทธิ์สะอาดตั้งแต่วัยเยาว์และไม่เผลอทำกรรมตั้งแต่ยังเด็กๆค่ะ...


สวัสดีค่ะ คุณน้องตู่ ที่รัก

                         นั่นละเป็นหนทางปฏิบัติที่พ่อ-แม่ควรกระทำอย่างยิ่งต่อบุตร-ธิดา ที่ตนรัก

                         พี่สิงห์ แนะนำเสมอกับบุคคลที่เรามีความปราถนาดีต่อเขา คือแนะนำให้เขาพา บุตร-ธิดา ได้ใส่บาตรพระ ตอนเช้า เพื่อว่าเขาจะได้มีจิตใจเป็นผู้ให้  มีเมตตา  ไม่อิจฉา ริษยา หรืออยากได้ขอผู้อื่น นี่ละพื้นฐานของมนุษย์ อย่างหนึ่ง ที่มีความจำเป็น  ต้องสอนและกระทำในสิ่งที่เป็นกุศล (ไม่ใช่ ดร.กุศล) เขาจะได้ซึมทราบสิ่งดีๆ ไปเอง ครับ

                         สวัสดีค่ะ


...สวัสดีค่ะ...พี่สิงห์...

...ชีวิตในวัยเด็ก...ถึงแม้ได้ทำกรรมบางอย่างไปโดยไม่รู้เรื่อง...

...แต่ก็มีบางช่วงที่ได้ทำบุญโดยไม่รู้เรื่องอีกเหมือนกันค่ะ...

...อย่างวันนักขัตฤกษ์...ที่สำคัญๆ...คุณพ่อคุณแม่ก็ได้ทำกับข้าวใส่ปิ่นโตแล้วพาตู่ไปทำบุญพร้อมๆกับเพื่อนๆบ้านในสนามบิน...

...ตอนวัยรุ่น...คุณป้าจะเตรียมอาหารให้ใส่บาตรทุกเช้าค่ะ...เรามีหน้าที่ไปนั่งรอพระท่านมาบิณฑบาตร...

...ซึ่งเราไม่รู้หรอกว่ามันได้บุญมากขนาดไหน...แถวๆสนามบินไม่มีวัดด้วยค่ะ...

...มีแต่สำนักสงฆ์เล็กๆ...เรียกได้ว่าตู่ได้สะสมบุญมาตั้งแต่เด็กๆด้วยค่ะ...

...แล้วสิ่งที่เราได้อธิษฐานไว้มันก็ได้ทุกอย่างสมปรารถนาเลยค่ะไม่น่าเชื่อจริงๆ...



      บันทึกการเข้า

i love pink, you are pink = i love you
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #6849 เมื่อ: 10 กันยายน 2555, 17:37:31 »

พี่สิงห์กลับจากเวียตนามรึยังคะ?
มีรูปมาฝากที่นี่รึปล่าว?




พี่กุศลคงกลับถึงเมืองไทยแล้ว!
หนิงหมุนเข้าเบอร์พี่ช่วงพี่อยู่ออสเตรียคะ
หรืออยู่มิวนิคแหละ...พี่นำโทรศัพท์ไทย
ไปด้วยรึปล่าวคะ?


nn.
      บันทึกการเข้า


  หน้า: 1 ... 272 273 [274] 275 276 ... 681   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

ทำไมหอพักนิสิตจุฬาจึงเป็นดินแดนมหัศจรรย์            " ไม่ได้เป็นแค่หอให้นอนพัก  แต่เป็นบ้านอบอุ่นรักให้อาศัย  ไม่เป็นแค่ที่ซุกหัวยามหลบภัย  แต่สร้างใจให้เข้มแข็งแกร่งการงาน"  <))))><