23 พฤศจิกายน 2567, 15:44:00
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 266 267 [268] 269 270 ... 681   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: คุย กับ คุณมานพ กลับดี อดีตประธานชมรม ๓ สมัย  (อ่าน 3560163 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 57 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #6675 เมื่อ: 07 สิงหาคม 2555, 20:19:53 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 04 สิงหาคม 2555, 14:00:13

                            ขอบคุณทุกท่าน ที่เป็นห่วงคุณแม่ และคำแนะนำต่างๆ

                             ดีครับ แต่ผมขอให้เป็นหน้าที่ของคุณหมอวิทิต  จะเห็นสมควร

                             และเพื่อไม่ให้ทุกท่านเป็นห่วง  พลอยปรุงแต่ง  คิดไปด้วย เป็นทุกข์เปล่าๆ

                             ผมขอยุติการรายงานเรื่องแม่ดีกว่า ทุกท่านจะได้อยู่อย่างสุข  สบาย  ไม่ปรุงแต่ง

                             ผมตกลงกับน้องสาวมานานแล้ว  ไม่ยื้อ  ไม่ฝืนธรรมชาติ  ทั้งสิ้น

                             สวัสดีครับ


พี่สิงห์ขา,
ทำไมถึงจะต้องเลิกรายงานล่ะคะ?
อะไรที่พี่ทำ,อะไรที่พี่รู้สึก,สิ่งไหนที่พี่คิดเห็น
หนิงคิดว่าพี่น้องที่นี่เค้าติดตามห่วงใยตามพี่ไปด้วย
พวกเค้าห่วงใยผ่านพี่สิงห์ค่ะ เพราะพี่ทำอะไรให้คุณแม่พี่
ในฐานะลูกที่ดี ที่สะท้อนความรู้สึกของทุกคนในฐานะลูก
ที่นี่ได้เป็นอย่างดี ความกังวล ความห่วงใย การนึกเข้าถึง
จิตใจร่างกายของคุณแม่พี่ที่พี่สิงห์รายงานออกมานั้น
เป็นการเข้าถึงเบื้องลึกสุดที่คนเป็นลูกพยายามให้ได้ที่จะ
เข้าถึงผู้เป็นแม่ในสภาพของการเจ็บไข้ได้ป่วยแต่ไม่สามารถ
บอกกล่าวบรรยายความเจ็บทุกข์ระทมของร่างกายตนเองได้

ตรงนี้คะคือความเห็นอกเห็นใจของพี่น้องที่นี่ ที่อ่าน ที่ติดตาม
การรายงานของพี่ แต่ไม่รู้จะช่วยยังไง เค้าๆทำได้ไม่มากไปกว่า
การเฝ้า การอยากทราบ ความคืบหน้า เพราะทั้งหมดทั้งปวง
พวกเค้าห่วงหา ห่วงใยพี่สิงห์คะ พี่รู้สึกดี พวกเค้าก็สุข..
พี่รู้สึกทุกข์เพราะไม่รู้จะทำอะไรดีไปกว่านี้แก่คุณแม่พี่ พี่น้องที่นี่
ก็อยู่ในสภาพเดียวกัน...ในบางสภาวะ,ไม่ใช่จะcommentอะไร
สุ่มสี่สุ่มห้าโดยไม่มีความรู้สึกร่วมได้ การเฝ้าอยู่ข้างๆรู้สึกอยากช่วย
พี่สิงห์ให้ปลอดจากความรู้สึกหนักทับในใจด้วยความเป็นห่วงนี้คะ
คือสิ่งที่หนิงแน่ใจว่าพี่น้องที่นี่มีให้ต่อพี่...เหมือนที่พี่มีให้ต่อพวกเค้า.


แล้วตกลงหนิงจะเข้าจุดได้รึยัง?
ได้คะ!
ที่ว่า...keep going on พี่!
      บันทึกการเข้า


khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #6676 เมื่อ: 07 สิงหาคม 2555, 20:26:46 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 06 สิงหาคม 2555, 19:57:05

                              ขอแสดงความเสียใจกับคุณน้องไข่มุข  ด้วยความจริงใจ

                              ที่ต้องสูญเสียคุณพ่อ  อันเป็นสุดที่รักไปอีกท่านหนึ่ง


                              สวัสดีครับ


พี่อ้อย 24 เหรอคะพี่สิงห์?
โอ,
      บันทึกการเข้า


Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #6677 เมื่อ: 07 สิงหาคม 2555, 20:44:07 »

อ้างถึง
ข้อความของ too_ploenpit เมื่อ 07 สิงหาคม 2555, 08:55:20

...สวัสดีค่ะ...พี่สิงห์...

...เข้ามาตามข่าวของพี่สิงห์ค่ะ...


สวัสดีครับ คุณน้องตู่ และชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน

                           เมื่อค่ำวานนี้ พี่สิงห์ ได้โทรศัพท์ ไปคุยกับแม่  ยังคุยกันรู้เรื่องดี  น้องสาวบอกว่าแม่สบายดี  แต่พอตอนกลางคืน อาหารที่ให้ ก็ไม่สามารถย่อยได้อีก วันนี้ทั้งวันแม่จึงไม่มีอาหารในกระเพาะ เพราะพยาบาลต้องดูดอาหารออก และใส่น้ำเกลือไปล้างกระเพาะอาหารแทน  ไม่สามารถให้น้ำเกลือได้ เพราะเจาะ หาเส้นเลือดไม่เจอและแม่จะเจ็บมากกว่าจะแทงเข็มได้ มันทรมารเกินไปจึงไม่อยากกระทำเลย  แม่จึงไม่มีแรงที่จะขยับอะไรได้  แต่พยาบาลจับชีพจร-หัวใจยังปกติดี

                           วันพุธ ภายหลังจากใส่บาตรพระที่หน้าบ้านแล้ว พี่สิงห์ จึงจะไปอยู่กับแม่ที่โรงพยาบาล

                           คุณหมอวิทิต  ก็กระทำสุดความสามารถแล้ว  ได้สั่งพยาบาลว่าทำอย่างไรก็ได้ที่เห็นสมควร  ตามประสบการณ์ที่เคยดูแลรักษามา  แม่เป็นที่รักของพยาบาลชั้นสาม เพราะดูแลกันมานาน  พูดคุยกันทุกวัน ทุกคน  ย่อมมีความผูกพันธ์อยู่แล้ว  ไม่มีใครอยากให้แม่จากไปเร็วทั้งนั้น แต่มันสุดวิสัย เพราะร่างกายมันอ่อนล้าเต็มทน  แต่แม่ไม่เคยร้องครวญครางเลย  ถึงไม่มีอาหารแม่ก็ยังรับทราบ คือมีสติดี ครับ

                           เมื่อบ่ายได้ถาม ดร.สุริยา  ว่าจะเอาแม่กลับบ้านดีหรือไม่  ดร.สุริยา แนะนำว่าอย่าเอากลับให้อยู่ที่โรงพยาบาลนั่นแหละดีที่สุดแล้ว  ผมก็คงต้องกระทำตามนั้น ครับ

                           ขอบคุณทุกท่านที่เป็นห่วงแม่  แต่อย่าลืม มันเป็นเรื่องของธรรมชาติ  เราฝืนอะไรไม่ได้ทั้งสิ้น  ในเมื่อสังขารมันจะเกือบหมดสภาพแล้ว  นี่คือสัจจธรรมตามกฏไตรลักษณ์ ครับ

                           เรามีความเกิด  แก่  เจ็บ  ตาย และความพลัดพรากจากสิ่งที่เป็นที่รักโดยเฉพาะบิดา-มารดา เป็นเรื่องธรรมดา ที่ทุกคนจะต้องประสบ  ไม่ยกเว้น  เราต้องวางใจของเราให้ถูก  ไม่หลงอยู่ในความคิด(โมหะ) ก็สามารถอยู่ได้

                           สวัสดีครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #6678 เมื่อ: 07 สิงหาคม 2555, 20:45:21 »

อ้างถึง
ข้อความของ khesorn mueller เมื่อ 07 สิงหาคม 2555, 20:26:46
อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 06 สิงหาคม 2555, 19:57:05

                              ขอแสดงความเสียใจกับคุณน้องไข่มุข  ด้วยความจริงใจ

                              ที่ต้องสูญเสียคุณพ่อ  อันเป็นสุดที่รักไปอีกท่านหนึ่ง


                              สวัสดีครับ


พี่อ้อย 24 เหรอคะพี่สิงห์?
โอ,

                        ใช่ค่ะ 
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #6679 เมื่อ: 07 สิงหาคม 2555, 20:50:36 »

สวัสดีค่ะ คุณน้องหนุ๋งหนิ๋ง ที่รัก

                                   ด้วยความเกรงใจ  ไม่อยากให้ใครได้รับทุกข์  เพราะทุกท่านหวังดี  แต่ไม่รู้ความจริงในสิ่งที่เกิดกับแม่  จึงเดา  หาวิธีต่างๆ ซึ่งมันหมดเวลาแล้ว  ทำมาหมดแล้ว  อย่าไปฝืนเลย  ยิ่งคุณหมอวิทิต   ด้วยแล้วเขาหวงและเป็นห่วงแม่มาก  แต่ก็หมดปัญญาจริงๆ จึงต้องยอม ครับ

                                   การรอเป็นเรื่องทรมาร  แต่เราก็ต้องประสบ  สำหรับพี่สิงห์ ยอมรับมันได้ หมด

                                   สวัสดีค่ะ
           
                 
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #6680 เมื่อ: 07 สิงหาคม 2555, 20:59:23 »




                             เมื่อคืนวาน ที่ได้คุยกับแม่ และน้องสาวแล้ว เห็นแม่สบายดี  จึงขอไปแข่งขันกอล์ฟอาชีพ  ตามที่ได้สมัครไว้  คือลงแข่งขันกอล์ฟอาชีพ สำหรับนักกอล์ฟอาชีพ ที่มีอายุเกิน ๖๐ ปีบริบูรณ์  ที่สนามวินเทจ  บางบ่อ มีโปร.เข้าร่วมแข่งขัน ๑๑๐ ท่าน  รอบแรกผ่านไป ๙ หลุม พี่สิงห์ ตีได้ -1 (35 จาก par 36) รอบหลังไดร์ฟตกทรายสองหลุม และขึ้นกรีมตกทรายหนึ่งหลุม  จึงจบด้วยคะแนน 74  คือ ตีเกิน ๒ ที  ติด Top 10 ในรายการนี้  ได้มีชื่ออยู่บน Leaderboard ถือว่าดีที่สุดเท่าที่เคยแข่งขันมา เพราะนักกอล์ฟดังๆ ที่เป็นนักกอล์ฟอาชีพตั้งแต่หนุ่ม  พากันตีไม่ดีหมด อาจจะเป็นเพราะสนามอยาก ลมแรง  กรีนเล้ก หญ้ายาว กรีนเร็วมาก ก็ได้ครับ

                             แต่ภายหลังแข่งขันเสร็จ คนดูแลแม่ก็ได้โทรศัพท์ มารายงาน  ถามความเห็นว่า จะทำอย่างไรกับยายต่อไปดี  เพราะไม่รู้จะทำอะไรได้แล้ว คุณหมอวิทิต   บอกว่าแล้วแต่พยาบาลที่มีความชำนาญก็แล้วกัน
      บันทึกการเข้า
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #6681 เมื่อ: 07 สิงหาคม 2555, 23:26:02 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 07 สิงหาคม 2555, 20:50:36
สวัสดีค่ะ คุณน้องหนุ๋งหนิ๋ง ที่รัก

                                   ด้วยความเกรงใจ  ไม่อยากให้ใครได้รับทุกข์  เพราะทุกท่านหวังดี  แต่ไม่รู้ความจริงในสิ่งที่เกิดกับแม่  จึงเดา  หาวิธีต่างๆ ซึ่งมันหมดเวลาแล้ว  ทำมาหมดแล้ว  อย่าไปฝืนเลย  ยิ่งคุณหมอวิทิต   ด้วยแล้วเขาหวงและเป็นห่วงแม่มาก  แต่ก็หมดปัญญาจริงๆ จึงต้องยอม ครับ

                                   การรอเป็นเรื่องทรมาร  แต่เราก็ต้องประสบ  สำหรับพี่สิงห์ ยอมรับมันได้ หมด

                                   สวัสดีค่ะ
           
                 

พี่สิงห์ขา,
นั่นแหละค่ะที่หนิงกำลังหมายถึง,
ตรงที่,การรับรู้รับทราบของพี่น้องที่นี่
หนิงไม่เชื่อว่าจะโดยตรงต่อคุณแม่พี่
แต่เป็นโดยอ้อมคะ พวกเค้าอยู่ในภาวะ
ที่"ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้"คือเค้าเอาใจช่วย
แม้อยากแสดงความคิดเห็น แต่ก็ไม่ทราบแน่
ว่าจริงๆแล้วอะไรแน่ ก็ได้แต่เกาะขอบจอ
ว่าไปตามที่พี่ว่า...


หนิงเป็นคนไม่ชอบโรงพยาบาลค่ะ
ที่นั่นไม่ใช่ที่แห่งความรื่นรมย์บันเทิงตา/หู/ใจ
สภาพผู้ป่วย คนเยี่ยมที่กังวล/ทุกข์/ครุ่นคิด
ล้วนไม่เอื้อต่อการส่งเสริมกำลังใจ...เวลาเยี่ยมมีก็จริง
แต่นานเท่าไหร่กัน ที่เหลือหลังจากนั้นคือการอยู่คนเดียว
อยู่กะเตียงข้างๆ อยู่กะหมอ/พยาบาล คนไข้ที่ขี้กลัวหน่อย
อาจกลัวผีเพิ่มขึ้นไปอีก!!

โรงพยาบาลจึงเป็นความหวังสุดท้ายที่จะใกล้แพทย์
ใกล้พยาบาล ใกล้ยา ในภาวะฉุกเฉิน อยู่ในความดูแล
ของผู้เชี่ยวชาญ....แต่ถามจริงคะ,ผู้ป่วยทุกราย
จะอยากอยู่ที่นั่นเหรอคะ?เค้าอยากหาย แล้วอยากกลับบ้าน
กันทุกคนคะ...อยู่บ้าน,นอนแบ็บเฉยๆเห็นลูกเห็นหลาน
มีอะไรรอบๆตัวตลอดเวลา...ยังรื่นรมย์กว่าเป็นไหนๆคะ
แม้กายอาจเจ็บอาจป่วยก็เถอะ

พูดเหมือนตาเห็น,ความจริงหนิงก็ไม่เคยเข้าโรงพยาบาล
เพราะเจ็บป่วยที,นอกจากไปคลอด ซึ่งเป็นความสุขคะ
หรือไปเฝ้า ไปเยี่ยม...กระนั้นก็เหมือนเราได้ไปเป็นผู้ป่วยซะเอง.
      บันทึกการเข้า


khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #6682 เมื่อ: 07 สิงหาคม 2555, 23:45:12 »




พี่สิงห์สุดยอดไปเลยคะ!
ขนาดพี่ไม่ได้ไปสนามบ่อย?

คราวหน้า,shootคุณสุรศักดิ์
คุณสมศักดิ์ คุณวัฒนชัย
คุณ...ว๊ายย,ชื่ออะไรไม่รู้ ไม่กล้าอ่าน
คุณ Kadohira คุณนิธินันท์ คุณเจตนา

..เท่านี้,เส้นทางพี่ก็โปร่ง...หุหุหุ
      บันทึกการเข้า


Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #6683 เมื่อ: 08 สิงหาคม 2555, 06:59:48 »

สวัสดียามเช้าค่ะ คุณน้องหนุ๋งหนิ๋ง ที่รัก

                            ที่โรงพยาบาลสิงห์บุรี  มีอะไรๆ ให้ศึกาาแยะสามารถเอามาใช้กับตัวเราได้ เช่น โปสเตอส์เพื่อให้มีความรู้เรื่องสุขภาพ พี่สิงห์ก็เดินอ่านเป็นส่วนใหญ่  อันไหนมีประโยชน์ก็นำมาลงเวบ

                            หนังสือปฏิบัติธรรมดีๆ มีจำนวนมาก พี่สิงห์ ก็อ่านเป็นส่วนใหญ่ จนเกือบหมดทุกเล่ม

                            การได้เห็นคนเจ็บ  ป่วย  ตาย  เป็นสิ่งที่ดีมาก  มันจะทำให้เราสามารถปลงชีวิตได้  ว่าชีวิตมันก็เป็นไปตามอิริยสัจจ ๔ และกฏไตรลักษณ์  ฝืนไม่ได้ทั้งนั้น  อยู่ที่เราเมื่อรู้ความจริงแล้ว  ต้องวางใจตนเองให้ถูกที่ ถูกเวลา  สามารถอยู่กับสิ่งที่เราประสบได้ เพราะรู้เท่าทันจิตตนเอง  ความคิดปรุงแต่งที่มันเกิดขึ้นจากการรับรู้ทางอายตนะ มันก้ดับของมันไปเอง เป็นธรรมชาติ

                            นอกจากนี้อาหารก็ถูก  พอรับประทานได้ และ....... อีกมากครับ

                            ที่สำคัญความอารีย์จาก พยาบาล ชั้น ๓ ตึกแปดสิบปี  ดีมากๆ ครับ

                            สวัสดีครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #6684 เมื่อ: 08 สิงหาคม 2555, 07:30:49 »






                            คุณน้องหนุ๋งหนิ๋ง  การที่จะเอาชนะท่านอธิบดี อัยการ เด่น  ที่เล่นกอล์ฟตั้งแต่เด็ก อดีตทีมชาติไทย อดีตผู้จัดการทีมชาติไทย และ Top 5 มันอยาก

                            การที่จะเอาชนะ โปร.สมศักดิ์  ศรีสง่า  โปร.วัฒนะชัย  คล้ายคลึง  ที่เล่นกอล์ฟมาแต่เด็ก มีอาชีพการเล่นกอล์ฟ จริงๆ มันอยากกว่าเข็นครกขึ้นภูเขาอีก

                            ลองดูรายชื่อ โปร.ต่างๆ ที่เข้าแข่งขัน  ซึ่งคุณสมชาย  เสรีรักษ์  รู้จัก  จะเห็นว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริงๆ ที่จะเอาชนะเขาได้

                           มีอยู่เรื่องหนึ่งอยากเล่าให้รับรู้ ว่า "เวรกรรมมันมีจริง"

                           พี่สิงห์ เล่นกับโปร.ประจวบ  ทรัพย์เจริญ  อดีตนายกสมาคมกอล์ฟฯ ผู้เล่น Top 5 และโปร.นาม  นุชนารถ เล่นไปเจ็ดหลุม พี่สิงห์ และโปร.ประจวบคะแนนเสมอกันที่ -1  โปร.นาม E (อาจจะเป็นผู้นำในขณะนั้น)

                           หลุมที่แปด พี่สิงห์พลาด ตีตกทราย shot 2 ระเบิดทรายขึ้นมาอยู่ที่ระยะ 5 ฟุตเพื่อ safe par โปร.ประจวบ สองไม่ on ชิพไม่ดีออกโบกี้ และสิ่งที่เกิดขึ้น ขณะท่านไปัพทโบกี้ แต่อาจจะ จงใจ หรือไม่ทราบก็ไม่รู้  ท่านอดีต นายากสมาคมฯ เดินย่ำลายในแนวพัทของพี่สิงห์ ย่ำแล้วย่ำอีกสามครั้ง พี่สิงห์  ดูแล้วได้แต่อนาจใจปลงว่า เล่นกันแรงแบบนี้เชียวหรือ ! ท่านอดีตนายกสมาคม ที่จะไม่ให้เราพัทลง

                            พี่สิงห์ เลยตั้งใจพัท ต้องเอาลงให้ได้ และก็ทำได้สามารถ safe par ได้

                            หลุมที่ ๙ พี่สิงห์ ได้ Tee off ก่อน Drive ลูกอยู่กลางแฟเวย์ ท่านอดีตนายกสมาคม Drive ลูกอยู่ในแนวต้นไม้ ปรากฏว่า หาลูกไม่เจอ ทั้งๆ ที่พวกเราทั้งหมดช่วยกันหา ใช้เวลาไปมากกว่า ๑๕ นาที ท่านก็ไม่ยอม(ตามกฏห้ามเกิน ๕ นาที) เพราะท่านรู้ดีว่าคะแนน -1 ในรอบแรกนั้น คือผู้นำ  สุดท้านท่านก็ต้องจำยอม เดินกลับไปตีใหม่ และจบลงที่ +6 หลุมนั้น ส่วนพี่สิงห์ ได้ Par  นี่ละกรรมที่แกล้งเราในหลุม ๘

                             เวรกรรม มีจริงครับ

                             มารยาท ของนักกอล์ฟ อาชีพ ต้องไม่เหยียบแนวทางการพัทของเพื่อนร่วมเล่น เกลี่ยหลุมทราย  ซ่อมรอยลูกตกบนกรีน และแฟร์เวย์ที่ชำรุดเพราะเราตี

                             สำหรับพี่สิงห์ จะเดินอ้อม แนวการพัท เสมอ เดินไกลก็ยอม  ไม่เคยละเลย ทุกครั้งที่เล่นกอล์ฟ จนเป็นนิสัย ธรรมดาเสียแล้ว

                             วันนี้ ใส่บาตรพระที่หน้าบ้านเสร็จแล้ว  กินข้าวเช้าแล้ว  ขอเวลาไปเยี่ยมแม่ที่โรงพยาบาลสิงห์บุรี ทั้งวัน ครับ

                             สวัสดี

  
      บันทึกการเข้า
too_ploenpit
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2514
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 7,778

เว็บไซต์
« ตอบ #6685 เมื่อ: 08 สิงหาคม 2555, 08:42:13 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 07 สิงหาคม 2555, 20:44:07
อ้างถึง
ข้อความของ too_ploenpit เมื่อ 07 สิงหาคม 2555, 08:55:20

...สวัสดีค่ะ...พี่สิงห์...

...เข้ามาตามข่าวของพี่สิงห์ค่ะ...


สวัสดีครับ คุณน้องตู่ และชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน

                           เมื่อค่ำวานนี้ พี่สิงห์ ได้โทรศัพท์ ไปคุยกับแม่  ยังคุยกันรู้เรื่องดี  น้องสาวบอกว่าแม่สบายดี  แต่พอตอนกลางคืน อาหารที่ให้ ก็ไม่สามารถย่อยได้อีก วันนี้ทั้งวันแม่จึงไม่มีอาหารในกระเพาะ เพราะพยาบาลต้องดูดอาหารออก และใส่น้ำเกลือไปล้างกระเพาะอาหารแทน  ไม่สามารถให้น้ำเกลือได้ เพราะเจาะ หาเส้นเลือดไม่เจอและแม่จะเจ็บมากกว่าจะแทงเข็มได้ มันทรมารเกินไปจึงไม่อยากกระทำเลย  แม่จึงไม่มีแรงที่จะขยับอะไรได้  แต่พยาบาลจับชีพจร-หัวใจยังปกติดี

                           วันพุธ ภายหลังจากใส่บาตรพระที่หน้าบ้านแล้ว พี่สิงห์ จึงจะไปอยู่กับแม่ที่โรงพยาบาล

                           คุณหมอวิทิต  ก็กระทำสุดความสามารถแล้ว  ได้สั่งพยาบาลว่าทำอย่างไรก็ได้ที่เห็นสมควร  ตามประสบการณ์ที่เคยดูแลรักษามา  แม่เป็นที่รักของพยาบาลชั้นสาม เพราะดูแลกันมานาน  พูดคุยกันทุกวัน ทุกคน  ย่อมมีความผูกพันธ์อยู่แล้ว  ไม่มีใครอยากให้แม่จากไปเร็วทั้งนั้น แต่มันสุดวิสัย เพราะร่างกายมันอ่อนล้าเต็มทน  แต่แม่ไม่เคยร้องครวญครางเลย  ถึงไม่มีอาหารแม่ก็ยังรับทราบ คือมีสติดี ครับ

                           เมื่อบ่ายได้ถาม ดร.สุริยา  ว่าจะเอาแม่กลับบ้านดีหรือไม่  ดร.สุริยา แนะนำว่าอย่าเอากลับให้อยู่ที่โรงพยาบาลนั่นแหละดีที่สุดแล้ว  ผมก็คงต้องกระทำตามนั้น ครับ

                           ขอบคุณทุกท่านที่เป็นห่วงแม่  แต่อย่าลืม มันเป็นเรื่องของธรรมชาติ  เราฝืนอะไรไม่ได้ทั้งสิ้น  ในเมื่อสังขารมันจะเกือบหมดสภาพแล้ว  นี่คือสัจจธรรมตามกฏไตรลักษณ์ ครับ

                           เรามีความเกิด  แก่  เจ็บ  ตาย และความพลัดพรากจากสิ่งที่เป็นที่รักโดยเฉพาะบิดา-มารดา เป็นเรื่องธรรมดา ที่ทุกคนจะต้องประสบ  ไม่ยกเว้น  เราต้องวางใจของเราให้ถูก  ไม่หลงอยู่ในความคิด(โมหะ) ก็สามารถอยู่ได้

                           สวัสดีครับ



...สวัสดีค่ะพี่สิงห์และสมาชิกทุกท่าน...

...เข้ามาตามข่าวคราวของพี่สิงห์และคุณแม่เสมอๆค่ะ...

...แต่บางทีไม่ได้โพสท์อะไรไว้...กะว่าจะเข้ามาคุยทีหลัง...

...ดีใจค่ะที่คุณแม่พี่สิงห์ท่านยังรับรู้และพูดคุยได้...

...ถ้าเทียบกับคนทั่วๆไปแล้วถือว่าท่านอายุยืนมากๆค่ะ...

...ตู่เพิ่งกลับจากไปบวชชีพราหมณ์มาได้สองวันค่ะ...บวชแค่ 4 วัน...

...แล้วก็เหมือนกับว่าได้ไปหัดนั่งสมาธิใหม่หลังจากที่ทิ้งร้างมานานมาก...

...จริงๆแล้วสมาธิเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ควรกระทำบ่อยๆเป็นกิจวัตร...

...แต่ก็เหมือนกับชาวโลกทั่วไปค่ะที่มีภารกิจเยอะแยะและอ้างโน่นอ้างนี่เลยไม่ได้ปฎิบัตประจำ...

...ได้มีโอกาสคุยกับพระอาจารย์ก็เลยถามปัญหาธรรมดาๆแต่ไม่เคยกล้าถาม...

...ว่าถ้านั่งสมาธิแล้วปวดจะทำยังไง...

...พระอาจารย์บอกก็ให้ทนกับความเจ็บปวดเพราะเวลาคนเราใกล้จะไป...

...จะมีความเจ็บมากกว่านี้เป็นร้อยเท่าทวีคูณ...ซึ่งแล้วแต่บุญและกรรมที่สร้างมาด้วย...

...คือไม่ให้เราหนีทุกข์...โดยการเปลี่ยนอิริยาบถให้หายเมื่อย...

...แต่ให้เราอยู่เหนือทุกข์...คืออยู่เหนือความเจ็บที่เราได้รับค่ะ...

...คุณแม่พี่สิงห์ท่านสร้างบุญมาเยอะ...ท่านก็เลยยังสามารถพูดคุยได้และไม่มีอาการทุรนทุราย...

...ตู่และชาวซีมะโด่งทั้งหลายยังคงเอาใจช่วยพี่สิงห์อยู่เสมอค่ะ...
      บันทึกการเข้า

i love pink, you are pink = i love you
pusadee sitthiphong
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: พาณิชยศาสตร์และการบัญชี
กระทู้: 4,689

« ตอบ #6686 เมื่อ: 08 สิงหาคม 2555, 10:57:27 »

อยากหลับตาย น่าจะสบายที่สุดนะคะพี่ตู่
มาให้กำลังใจพี่สิงห์ค่ะ
ติดตามอ่านข่าวคราวอยู่เสมอนะคะ
ทั้งเรื่องคุณแม่และเรื่องการปฏิบัติต่างๆค่ะ
      บันทึกการเข้า

pom shi 2516
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #6687 เมื่อ: 08 สิงหาคม 2555, 17:04:10 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 08 สิงหาคม 2555, 06:59:48
สวัสดียามเช้าค่ะ คุณน้องหนุ๋งหนิ๋ง ที่รัก

                            ที่โรงพยาบาลสิงห์บุรี  มีอะไรๆ ให้ศึกาาแยะสามารถเอามาใช้กับตัวเราได้ เช่น โปสเตอส์เพื่อให้มีความรู้เรื่องสุขภาพ พี่สิงห์ก็เดินอ่านเป็นส่วนใหญ่  อันไหนมีประโยชน์ก็นำมาลงเวบ

                            หนังสือปฏิบัติธรรมดีๆ มีจำนวนมาก พี่สิงห์ ก็อ่านเป็นส่วนใหญ่ จนเกือบหมดทุกเล่ม

                            การได้เห็นคนเจ็บ  ป่วย  ตาย  เป็นสิ่งที่ดีมาก  มันจะทำให้เราสามารถปลงชีวิตได้  ว่าชีวิตมันก็เป็นไปตามอิริยสัจจ ๔ และกฏไตรลักษณ์  ฝืนไม่ได้ทั้งนั้น  อยู่ที่เราเมื่อรู้ความจริงแล้ว  ต้องวางใจตนเองให้ถูกที่ ถูกเวลา  สามารถอยู่กับสิ่งที่เราประสบได้ เพราะรู้เท่าทันจิตตนเอง  ความคิดปรุงแต่งที่มันเกิดขึ้นจากการรับรู้ทางอายตนะ มันก้ดับของมันไปเอง เป็นธรรมชาติ

                            นอกจากนี้อาหารก็ถูก  พอรับประทานได้ และ....... อีกมากครับ

                            ที่สำคัญความอารีย์จาก พยาบาล ชั้น ๓ ตึกแปดสิบปี  ดีมากๆ ครับ

                            สวัสดีครับ



พี่สิงห์ขา,
น่ากลัวคะ การได้เห็นการเจ็บ ป่วย หรือการต้องประสบ
กับการตายของคนใกล้ชิด มีสัมพันธ์ มีความรู้สึกกับเรา.
เพราะความใกล้ ไกลตรงนี้ มีความรู้สึกเข้าไปร่วมด้วย
ความรู้สึกของการเจ็บแทนเค้า อยากให้เค้าหาย อยากช่วยเค้า
อยากให้การเจ็บการป่วยหาย เป็นสิ่งที่กดทับหนักอึ้งที่
ไม่ง่ายค่ะที่จะทำเป็นไม่มีอะไร หรือตัดภาพออกจากใจ

หนิงคิดว่าจะผู้ป่วยหรือคนเยี่ยม/เฝ้า รู้สึกไม่ต่างกันตรงที่
สิ่งที่ลึกๆผู้ป่วยเค้ารู้สึก มีคนเยี่ยม/เฝ้ามาให้ มาแบ่งความรู้สึกนี้กับเค้า..
จิตตรงนี้คะหากเข้มแข็งกำลังใจดี น่าจะบรรเทากายที่
ต้องต่อสู้กับโรคาหรือความเสื่อมถอย...ไม่มากก็น้อย.

หนิงกำลังพูดถึง"ชั่วขณะ"คะ ไม่ได้ยาวไกลไประยะยาว
เพราะโรคภัย การเจ็บไข้ได้ป่วยมีหลายขั้น หลายระดับ
แบบเรื้อรัง แบบชั่วขณะความอ่อนแอ หรือแบบร้ายแรง
ความรู้สึก การรับรู้ ของคนรอบๆก็แตกต่างกันตามการคาด
การคะเน แต่ความหวังคะ,ที่มีกันทั้งสองฝ่าย..ว่าชีวิต,
จะหวนคืนสู่ภาวะเก่าก่อนของการปกติ ไม่มีความเจ็บความปวด

แล้วถ้า,ความทุกข์ ทรมานที่บางที..ผู้ป่วยคะ
คือฝ่ายที่ไม่อยากอยู่ในสภาพนั้น เค้าอยากหลุดพ้น
จากความทรมานไร้ทางออก...คนใกล้ชิดรอบๆเอง
ก็รู้สึกได้ แต่ได้แต่รู้สึกนะคะ เพราะบางทีบางเรื่อง
tabuค่ะที่จะพูดออกมาดังๆ หนิงเข้าใจคะว่าสองแง่ตรงนี้
ละเอียดอ่อน โดยเฉพาะสายตาคนที่มีความใกล้ไกลต่างกัน
แต่จะแง่ไหนก็ตามแต่...ความรู้สึกร่วมนี้หากมีได้ มีจริง
จิตของคนที่มีคะคือความเห็นอกเห็นใจที่แท้.

วันนี้พี่สิงห์ไปเยี่ยมท่านแล้ว..
เป็นยังไงบ้างคะ??
      บันทึกการเข้า


khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #6688 เมื่อ: 08 สิงหาคม 2555, 17:13:07 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 08 สิงหาคม 2555, 07:30:49

                            คุณน้องหนุ๋งหนิ๋ง  การที่จะเอาชนะท่านอธิบดี อัยการ เด่น  ที่เล่นกอล์ฟตั้งแต่เด็ก อดีตทีมชาติไทย อดีตผู้จัดการทีมชาติไทย และ Top 5 มันอยาก

                            การที่จะเอาชนะ โปร.สมศักดิ์  ศรีสง่า  โปร.วัฒนะชัย  คล้ายคลึง  ที่เล่นกอล์ฟมาแต่เด็ก มีอาชีพการเล่นกอล์ฟ จริงๆ มันอยากกว่าเข็นครกขึ้นภูเขาอีก

                            ลองดูรายชื่อ โปร.ต่างๆ ที่เข้าแข่งขัน  ซึ่งคุณสมชาย  เสรีรักษ์  รู้จัก  จะเห็นว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริงๆ ที่จะเอาชนะเขาได้

                                                      สวัสดี

  



พี่สิงห์ก็,
ให้หนิงครุ่นคิด ขบเผาะแม้ยังไม่ดังเป๊าะ!
กระนั้น,สองแขนงก็แตกฉานเรียบร้อย...
1.พี่อยาก
2.มันยาก
..
..
      บันทึกการเข้า


khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #6689 เมื่อ: 08 สิงหาคม 2555, 17:39:18 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 08 สิงหาคม 2555, 07:30:49
คุณน้องหนุ๋งหนิ๋ง  

                           มีอยู่เรื่องหนึ่งอยากเล่าให้รับรู้ ว่า "เวรกรรมมันมีจริง"

                           พี่สิงห์ เล่นกับโปร.ประจวบ  ทรัพย์เจริญ  อดีตนายกสมาคมกอล์ฟฯ ผู้เล่น Top 5 และโปร.นาม  นุชนารถ เล่นไปเจ็ดหลุม พี่สิงห์ และโปร.ประจวบคะแนนเสมอกันที่ -1  โปร.นาม E (อาจจะเป็นผู้นำในขณะนั้น)

                           หลุมที่แปด พี่สิงห์พลาด ตีตกทราย shot 2 ระเบิดทรายขึ้นมาอยู่ที่ระยะ 5 ฟุตเพื่อ safe par โปร.ประจวบ สองไม่ on ชิพไม่ดีออกโบกี้ และสิ่งที่เกิดขึ้น ขณะท่านไปัพทโบกี้ แต่อาจจะ จงใจ หรือไม่ทราบก็ไม่รู้  ท่านอดีต นายากสมาคมฯ เดินย่ำลายในแนวพัทของพี่สิงห์ ย่ำแล้วย่ำอีกสามครั้ง พี่สิงห์  ดูแล้วได้แต่อนาจใจปลงว่า เล่นกันแรงแบบนี้เชียวหรือ ! ท่านอดีตนายกสมาคม ที่จะไม่ให้เราพัทลง

                            พี่สิงห์ เลยตั้งใจพัท ต้องเอาลงให้ได้ และก็ทำได้สามารถ safe par ได้

                            หลุมที่ ๙ พี่สิงห์ ได้ Tee off ก่อน Drive ลูกอยู่กลางแฟเวย์ ท่านอดีตนายกสมาคม Drive ลูกอยู่ในแนวต้นไม้ ปรากฏว่า หาลูกไม่เจอ ทั้งๆ ที่พวกเราทั้งหมดช่วยกันหา ใช้เวลาไปมากกว่า ๑๕ นาที ท่านก็ไม่ยอม(ตามกฏห้ามเกิน ๕ นาที) เพราะท่านรู้ดีว่าคะแนน -1 ในรอบแรกนั้น คือผู้นำ  สุดท้านท่านก็ต้องจำยอม เดินกลับไปตีใหม่ และจบลงที่ +6 หลุมนั้น ส่วนพี่สิงห์ ได้ Par  นี่ละกรรมที่แกล้งเราในหลุม ๘

                             เวรกรรม มีจริงครับ

                             มารยาท ของนักกอล์ฟ อาชีพ ต้องไม่เหยียบแนวทางการพัทของเพื่อนร่วมเล่น เกลี่ยหลุมทราย  ซ่อมรอยลูกตกบนกรีน และแฟร์เวย์ที่ชำรุดเพราะเราตี

                             สำหรับพี่สิงห์ จะเดินอ้อม แนวการพัท เสมอ เดินไกลก็ยอม  ไม่เคยละเลย ทุกครั้งที่เล่นกอล์ฟ จนเป็นนิสัย ธรรมดาเสียแล้ว

                             วันนี้ ใส่บาตรพระที่หน้าบ้านเสร็จแล้ว  กินข้าวเช้าแล้ว  ขอเวลาไปเยี่ยมแม่ที่โรงพยาบาลสิงห์บุรี ทั้งวัน ครับ

                             สวัสดี

  


พี่สิงห์คะ,
โอย,ตุกติกแบบนี้ ทำเนียนเพื่อประโยชน์ตัวเอง
มีด้วย?? ไม่เว้นแม้ในเกมกีฬา...นอกสนาม,ในบ้าน
ที่ทำงาน คงไม่ต่างกันเท่าไหร่นะคะหนิงว่า..
กีฬาทำให้คนที่เล่นเป็นตัวตนที่แท้ของเค้าคะ!
น่าละอายน่ะพี่ เราถูกกระทำหากฮึดสู้ เอาชนะ
ก็เป็นpush/driveที่ดีต่อเรา แต่หากเราทำอย่างเดียวกะเค้า?
คือแก้แค้น?เราก็ไม่ต่างจากเค้าน่ะพี่!!

หนิงได้แง่คิดอีกแล้วคะพี่ที่ว่าความsmart,ความสปอร์ต
ของคน ไม่ได้อยู่ที่เครื่องทรง หัวโขนใดๆ หรือรูปลักษณ์
ที่มองเห็นได้ภายนอกฉาบๆฉวยๆ...แต่คือคุณลักษณ์
คือcharacterที่คนคนนึงจะฉายแววออกมา...จะทำเนียน
จะทำเป็นเล่น จะทำเป็นแกล้ง เพราะหยอกล้อ หรือสนุก
ไม่ได้เปลี่ยนแปลงความหมายเนื้อแท้ที่เป็นจริงที...ของ
ตัวตนที่แท้ของคน.

กีฬา,มีอะไรในนั้นมากมายคะที่ทำให้คนเล่น"ฝึก"
แฟนหนิงไปเทนนิสทุกพุธกะ 3 หนุ่มวัยปลาย50ต้น60
สังเกตดูๆข้างนอกเวลาไปทัวร์จักรยานกัน..ทั้ง4จะ
คุยเล่นคุยสนุกหยอกล้อน่ารักคะเหมือนหนุ่มวัย18-19
แต่พอเข้าคอร์ต...พี่สิงห์,Schluss mit lustig!เค้าแข่ง
กันจริงๆคะเพื่อเอาชนะ..ด้วยแรงกำลังทั้งหมด..ไม่ย่นย่อ
ไม่ยอมกัน...ผลัดกันแพ้ ผลัดกันชนะ...เล่นกันทุกพุธ
มาเป็นปีๆ ก็ยังเล่นกันคะ เป็นสัมพันธภาพที่ยืนยาว
อาจคนละกรณีกะที่พี่เล่ามา...แต่คล้ายกันที่ว่า,ตอนเล่น
จุดหมายคือชนะค่ะแต่ชนะด้วยการทำอะไรที่ตัวได้ประโยชน์
อีกฝ่ายเสียประโยชน์หรือยุ่งยาก คงไม่มีrelationshipแอบแฝง
..พี่น่าจะท้วง!ท้วงกติกา พี่ออกแม่น เผลอๆแม่นกว่าเค้า!
      บันทึกการเข้า


jamsai
Full Member
**


ฤา.... น้ำเต้าใบน้อยจะถอยจม...
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 416

เว็บไซต์
« ตอบ #6690 เมื่อ: 08 สิงหาคม 2555, 18:20:48 »

มาเยี่ยมค่ะ ด้วยความอยากอนุโมทนา และรู้สึกเหมือนที่น้องหนิงพูด

พระหลายท่านสรุปเหมือนกัน ว่า ขณะจิตสุดท้ายเป็นตัวกำหนดภพภูมิถัดไป
ความสงบของจิตใจท่านจึงสำคัญที่สุด พี่สิงห์ได้เตรียมจิตใจคุณแม่ไว้พร้อมแล้วถึงขั้นไม่มีห่วงว่ามีบ้าน
ให้ถือ รพ. เป็นที่พักสุดท้าย  ถือว่าพี่สิงห์เก่งมากๆ และน่าจะมีอานิสงค์มาก จึงขออนุโมทนาค่ะ

เพื่อนป้าแจ่มเคยเล่าว่า จำสายตาแม่สามีก่อนถูกเอาตัวไป รพ. ได้ติดตา เป็นสายตาโกรธเกรี้ยวและสิ้นหวัง พร้อมๆกับดิ้นทั้งๆที่อ่อนแรง
ก่อนหมดสติ เพราะได้สั่งว่าอย่าเอาท่านไป รพ. อยากขอตายในบ้าน  พออาการหนักไม่มีแรงพูด ลูกๆก็ขาดสติ ตกใจ กลัว นึกแต่ว่าอยากยื้อไว้
 และพี่ๆก็คิดตามชาวบ้านว่าเป็นการดูแลแม่ ปรากฏว่าไปถึง รพ.ไม่นานก็สิ้นใจ นี่คือความไม่เข้าใจธรรมชาติของจิตใจ ตามหลักของพระพุทธศาสนา น่าสงสารท่าน

แต่พี่สิงห์ก้าวข้ามความเข้าใจผิดแบบนี้แล้ว พวกเรา(รวมน้องป้าแจ่ม)เลยได้เรียนรู้ตามพี่ไปด้วย ตอนนี้ก็กำลังฝึกใจ เพราะแม่ของป้าแจ่มก็ 93 ปีแล้ว ลองคิดตามพี่สิงห์ก็ยังไม่สำเร็จ ใจไม่พร้อมเลย

คุณแม่ชีอิ๋ง ให้โจทย์ไว้ว่าคุณแม่ต้องไม่ร้องไห้และมีสติรู้ มีสัมปชัญญะให้พร้อมขณะที่ยายกำลังจะไป จะทำได้มั้ย
คำตอบตอนนี้คือ ยังไม่ได้ค่ะ



      บันทึกการเข้า

ฤา น้ำเต้าใบน้อย จะ..ถอยจม....
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #6691 เมื่อ: 08 สิงหาคม 2555, 20:22:26 »

สวัสดีค่ะ คุณน้องหนุ๋งหนิ๋ง ที่รัก

                             ขอตอบเป็นรายแรกก่อนเพราะตอบง่าย  กฏ มารยาททางกอล์ฟนั้น ทุกคนทราบดี  แต่เพราะหลงอยู่ในโมหะ  จึงแสดงการกระทำออกมาแบบนั้น  ถ้าเราทักท้วง  เขาไม่ผิดกฏ    แต่มันเป็นมารยาทของกอล์ฟที่สำคัญมาก  เขาจะรับไม่ได้กับความอับอายอันนั้น เพราะเขาเป็นถึงอดีตนายกสมาคม  กระทำแบบนี้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน   สู้เราอดทน  นิ่งเสีย  ดีกว่ากันแยะครับ  ไม่มีใครเสียหน้า หรือก่อศัตรู ครับ

                             ถ้าเป็น PGA รับรองทาง TV เอาไปเล่นข่าวแน่นอน  ผลหรือไม่ต้องพูดถึง แทบจะเลิกเล่นกอล์ฟอาชีพไปเลย

                             สวัสดีค่ะ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #6692 เมื่อ: 08 สิงหาคม 2555, 20:38:34 »

อ้างถึง
ข้อความของ too_ploenpit เมื่อ 08 สิงหาคม 2555, 08:42:13
อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 07 สิงหาคม 2555, 20:44:07
อ้างถึง
ข้อความของ too_ploenpit เมื่อ 07 สิงหาคม 2555, 08:55:20

...สวัสดีค่ะ...พี่สิงห์...

...เข้ามาตามข่าวของพี่สิงห์ค่ะ...


สวัสดีครับ คุณน้องตู่ และชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน

                           เมื่อค่ำวานนี้ พี่สิงห์ ได้โทรศัพท์ ไปคุยกับแม่  ยังคุยกันรู้เรื่องดี  น้องสาวบอกว่าแม่สบายดี  แต่พอตอนกลางคืน อาหารที่ให้ ก็ไม่สามารถย่อยได้อีก วันนี้ทั้งวันแม่จึงไม่มีอาหารในกระเพาะ เพราะพยาบาลต้องดูดอาหารออก และใส่น้ำเกลือไปล้างกระเพาะอาหารแทน  ไม่สามารถให้น้ำเกลือได้ เพราะเจาะ หาเส้นเลือดไม่เจอและแม่จะเจ็บมากกว่าจะแทงเข็มได้ มันทรมารเกินไปจึงไม่อยากกระทำเลย  แม่จึงไม่มีแรงที่จะขยับอะไรได้  แต่พยาบาลจับชีพจร-หัวใจยังปกติดี

                           วันพุธ ภายหลังจากใส่บาตรพระที่หน้าบ้านแล้ว พี่สิงห์ จึงจะไปอยู่กับแม่ที่โรงพยาบาล

                           คุณหมอวิทิต  ก็กระทำสุดความสามารถแล้ว  ได้สั่งพยาบาลว่าทำอย่างไรก็ได้ที่เห็นสมควร  ตามประสบการณ์ที่เคยดูแลรักษามา  แม่เป็นที่รักของพยาบาลชั้นสาม เพราะดูแลกันมานาน  พูดคุยกันทุกวัน ทุกคน  ย่อมมีความผูกพันธ์อยู่แล้ว  ไม่มีใครอยากให้แม่จากไปเร็วทั้งนั้น แต่มันสุดวิสัย เพราะร่างกายมันอ่อนล้าเต็มทน  แต่แม่ไม่เคยร้องครวญครางเลย  ถึงไม่มีอาหารแม่ก็ยังรับทราบ คือมีสติดี ครับ

                           เมื่อบ่ายได้ถาม ดร.สุริยา  ว่าจะเอาแม่กลับบ้านดีหรือไม่  ดร.สุริยา แนะนำว่าอย่าเอากลับให้อยู่ที่โรงพยาบาลนั่นแหละดีที่สุดแล้ว  ผมก็คงต้องกระทำตามนั้น ครับ

                           ขอบคุณทุกท่านที่เป็นห่วงแม่  แต่อย่าลืม มันเป็นเรื่องของธรรมชาติ  เราฝืนอะไรไม่ได้ทั้งสิ้น  ในเมื่อสังขารมันจะเกือบหมดสภาพแล้ว  นี่คือสัจจธรรมตามกฏไตรลักษณ์ ครับ

                           เรามีความเกิด  แก่  เจ็บ  ตาย และความพลัดพรากจากสิ่งที่เป็นที่รักโดยเฉพาะบิดา-มารดา เป็นเรื่องธรรมดา ที่ทุกคนจะต้องประสบ  ไม่ยกเว้น  เราต้องวางใจของเราให้ถูก  ไม่หลงอยู่ในความคิด(โมหะ) ก็สามารถอยู่ได้

                           สวัสดีครับ



...สวัสดีค่ะพี่สิงห์และสมาชิกทุกท่าน...

...เข้ามาตามข่าวคราวของพี่สิงห์และคุณแม่เสมอๆค่ะ...

...แต่บางทีไม่ได้โพสท์อะไรไว้...กะว่าจะเข้ามาคุยทีหลัง...

...ดีใจค่ะที่คุณแม่พี่สิงห์ท่านยังรับรู้และพูดคุยได้...

...ถ้าเทียบกับคนทั่วๆไปแล้วถือว่าท่านอายุยืนมากๆค่ะ...

...ตู่เพิ่งกลับจากไปบวชชีพราหมณ์มาได้สองวันค่ะ...บวชแค่ 4 วัน...

...แล้วก็เหมือนกับว่าได้ไปหัดนั่งสมาธิใหม่หลังจากที่ทิ้งร้างมานานมาก...

...จริงๆแล้วสมาธิเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ควรกระทำบ่อยๆเป็นกิจวัตร...

...แต่ก็เหมือนกับชาวโลกทั่วไปค่ะที่มีภารกิจเยอะแยะและอ้างโน่นอ้างนี่เลยไม่ได้ปฎิบัตประจำ...

...ได้มีโอกาสคุยกับพระอาจารย์ก็เลยถามปัญหาธรรมดาๆแต่ไม่เคยกล้าถาม...

...ว่าถ้านั่งสมาธิแล้วปวดจะทำยังไง...

...พระอาจารย์บอกก็ให้ทนกับความเจ็บปวดเพราะเวลาคนเราใกล้จะไป...

...จะมีความเจ็บมากกว่านี้เป็นร้อยเท่าทวีคูณ...ซึ่งแล้วแต่บุญและกรรมที่สร้างมาด้วย...

...คือไม่ให้เราหนีทุกข์...โดยการเปลี่ยนอิริยาบถให้หายเมื่อย...

...แต่ให้เราอยู่เหนือทุกข์...คืออยู่เหนือความเจ็บที่เราได้รับค่ะ...

...คุณแม่พี่สิงห์ท่านสร้างบุญมาเยอะ...ท่านก็เลยยังสามารถพูดคุยได้และไม่มีอาการทุรนทุราย...

...ตู่และชาวซีมะโด่งทั้งหลายยังคงเอาใจช่วยพี่สิงห์อยู่เสมอค่ะ...

สวัสดีค่ะ คุณน้องตู่ ที่รัก

                         พระท่านก็พูดเกินไป  ถ้าทำแบบนั้น กายมันพิการจริงๆ  ก่อนที่จะพ้นทุกข์  คุณหมออุดม  แห่งโรงพยาบาลจอมทอง  เคยบอกพี่สิงห์ว่า  พระที่นั่งสมาธิ  จนแทบพิการทางภาคเหนือ มาให้คุณหมอรักษาเป็นส่วนใหญ่ เพราะไม่รู้เท่าทันทุกข์ ที่แท้จริง  ยังมีโมหะอยู่ในตัว

                          อย่าลืมพระพุทธองค์  ทรงสอนให้รู้จัก  รู้เท่าทันทุกข์  แต่อย่าไปเป็นทุกข์เสียเอง  การทรมารกายเกินไป  ไม่ใช่หนทางพ้นทุกข์แน่ๆ พระพุทธองค์ก็ประสบมาแล้ว  ท่านจึงแนะนำทางสายกลางในการปฏิบัติ

                           เราสามารถนั่งนานๆ ได้  จนเห็นท่ามันจะทุกข์กับกายจริงๆ ไม่ใช่ทุกข์เพราะจิตมันอยากเปลี่ยนอิริยาบถ  ก็สามารถเปลี่ยนได้ เมื่อเวลามันเนิ่นนาน   จนมันเจ็บจริงๆ เปลี่ยนอิริยาบถ นั่นละทางพ้นทุกข์เฉพาะหน้า  ที่เราต้องเรียนรู้ แก้ไข  ด้วยตัวเอง

                           ไม่มีใครรู้จริงเรื่องความเจ็บป่วย  ทรมารก่อนตาย  เพราะคนที่ตายไม่มีใครกลับมาบอกเราเลยสักคนว่า  วินาทีสุดท้ายก่อนตาย  มันเป็นอย่างไร  ทุกข์ขนาดไหน  มีแต่คาดเดาไปต่างๆ นาๆ ทั้งสิ้น (คนที่ตายชั่วคราว  ยังถือว่าไม่ได้ตายจริง  เพราะตายจริงมันฟื้นไม่ได้  ก็มาบอกไม่ได้  เรื่องนี้มีการพิสูจน์มาตั้งแต่สมัยพุทธกาลแล้ว  ก็ไม่พบ เพราะไม่มีผู้ตายมาบอกให้ทราบเลยสักคน)

                            อย่าลืมการปฏิบัติธรรมที่แท้จริง  ไม่ใช่ไปนั่งอยู่ที่วัดเสมอ  เพราะมันเป็นไปยาก  ยกเว้นเราตัดใจไปอยู่แบบนั้น  จริงๆ แล้วเรายังทำงาน  ทำมาหากิน และปฏิบัติธรรมไปด้วยพร้อมกัน  คือให้รู้ตัวเสมอ พิจารณากาย-ใจ  ตลอดเวลา  อย่าหลงอยู่ในความคิด  อย่าปล่อยใจนอกอิริยาบถหลัก-ย่อย เท่านั้น

                            ให้รู้ตัว คือมีสติ-สัมปชัญญะ ทุกขณะ  จะรู้เท่าทันจิตเราได้  จะรู้ได้ตัวของเราเอง  มันก็เหมือนกับการไปนั่งสมาธิปฏิบัติธรรมที่วัด  ถ้าไปที่วัด ไม่มีความรู้สึกตัวที่กาย-ใจ  มันก็มีแต่ความสงบเท่านั้น  ไม่ได้อะไรเลย ครับ

                            ก็ขออนุโมทนา ด้วยที่ยังไปปฏิบัติธรรม อยู่วัด ดีทั้งนั้น

                            สวัสดี
     
               
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #6693 เมื่อ: 08 สิงหาคม 2555, 20:44:52 »

อ้างถึง
ข้อความของ pusadee sitthiphong เมื่อ 08 สิงหาคม 2555, 10:57:27
อยากหลับตาย น่าจะสบายที่สุดนะคะพี่ตู่
มาให้กำลังใจพี่สิงห์ค่ะ
ติดตามอ่านข่าวคราวอยู่เสมอนะคะ
ทั้งเรื่องคุณแม่และเรื่องการปฏิบัติต่างๆค่ะ

สวัสดีค่ะ คุณน้องป้อม ที่รัก

                             ไม่ต้องห่วงเธอมีโอกาส อยู่แล้ว เพราะเธอ มีอาการของการเป็นโรคเบาหวาน แล้วจะตามมาเป็นโรคหัวใจ ช่วงปั่นปลายชีวิต  มันมีโอกาส นอนบนเตียง  ช่วยตัวเองไม่ได้  ต้องเป็นแผลกดทับ

                              ยกเว้นเธออยู่ด้วยความไม่ประมาท ตั้งแต่บัดนี้ คือ ดูแลเรื่องอาหาร  ออกกำลังกาย  นอนหัวค่ำ ฝึกการมีสติ  ทุกอย่างเธอรู้ดี  แต่ทำไม? มันทำไม่ได้!

                              เพราะเธอยังหลงอยู่ในโมหะนั่นเอง

                              อย่าไปกังวลเรื่องความตายมันเลย  มันเป็นเรื่องอนาคต  เราไม่สามารถเลือกได้  เมื่อเวลานั้นมาถึง  แต่เราสามารถเตรียมจิตของเราได้  ถึงแม้เราจะบังคับจิตของเราไม่ได้

                              สวัสดีค่ะ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #6694 เมื่อ: 08 สิงหาคม 2555, 21:03:53 »

อ้างถึง
ข้อความของ jamsai เมื่อ 08 สิงหาคม 2555, 18:20:48
มาเยี่ยมค่ะ ด้วยความอยากอนุโมทนา และรู้สึกเหมือนที่น้องหนิงพูด

พระหลายท่านสรุปเหมือนกัน ว่า ขณะจิตสุดท้ายเป็นตัวกำหนดภพภูมิถัดไป
ความสงบของจิตใจท่านจึงสำคัญที่สุด พี่สิงห์ได้เตรียมจิตใจคุณแม่ไว้พร้อมแล้วถึงขั้นไม่มีห่วงว่ามีบ้าน
ให้ถือ รพ. เป็นที่พักสุดท้าย  ถือว่าพี่สิงห์เก่งมากๆ และน่าจะมีอานิสงค์มาก จึงขออนุโมทนาค่ะ

เพื่อนป้าแจ่มเคยเล่าว่า จำสายตาแม่สามีก่อนถูกเอาตัวไป รพ. ได้ติดตา เป็นสายตาโกรธเกรี้ยวและสิ้นหวัง พร้อมๆกับดิ้นทั้งๆที่อ่อนแรง
ก่อนหมดสติ เพราะได้สั่งว่าอย่าเอาท่านไป รพ. อยากขอตายในบ้าน  พออาการหนักไม่มีแรงพูด ลูกๆก็ขาดสติ ตกใจ กลัว นึกแต่ว่าอยากยื้อไว้
 และพี่ๆก็คิดตามชาวบ้านว่าเป็นการดูแลแม่ ปรากฏว่าไปถึง รพ.ไม่นานก็สิ้นใจ นี่คือความไม่เข้าใจธรรมชาติของจิตใจ ตามหลักของพระพุทธศาสนา น่าสงสารท่าน

แต่พี่สิงห์ก้าวข้ามความเข้าใจผิดแบบนี้แล้ว พวกเรา(รวมน้องป้าแจ่ม)เลยได้เรียนรู้ตามพี่ไปด้วย ตอนนี้ก็กำลังฝึกใจ เพราะแม่ของป้าแจ่มก็ 93 ปีแล้ว ลองคิดตามพี่สิงห์ก็ยังไม่สำเร็จ ใจไม่พร้อมเลย

คุณแม่ชีอิ๋ง ให้โจทย์ไว้ว่าคุณแม่ต้องไม่ร้องไห้และมีสติรู้ มีสัมปชัญญะให้พร้อมขณะที่ยายกำลังจะไป จะทำได้มั้ย
คำตอบตอนนี้คือ ยังไม่ได้ค่ะ





สวัสดีครับ ป้าแจ่ม ที่รัก

                         เนื่องจากป้าแจ่ม  อ่านหนังสือมากไป  มีแต่ความรู้  แต่ยังไม่รู้กาย-ใจ ตนเองที่แท้จริง

                         ยังยึดมั่นในตัวเอง คือมีทิฏฐิ  ไม่เป็นสัมมาทิฏฐิ  ยังหลงอยู่ในโมหะ

                         ทั้งๆ ที่ป้าแจ่ม  มีแม่ชีอิ๋ง   คอยแนะนำอยู่แล้ว

                         ลองปล่อยวางความคิดตัวเองเสียบ้าง  

                          ทำให้มันรู้ออกมาจากภายใน  แล้วจะรู้ด้วยตัวเอง และปล่อยวางได้ แน่นอนครับ

                          วันนี้ได้โอกาส  พี่สิงห์ เลยได้สอนพี่ชาย-พี่สะไภ้ เรื่องกรรม เพื่อให้เขารู้ตัว  มันยังไม่สาย เพราะแม่ยังอยู่  แล้วบุญกุศล  มันจะเกิดขึ้น  ลูกชายคนโตจะกลับมาเอง

                           ถือว่าพี่สิงห์  ท้าก็แล้วกัน  ลองทิ้งอาจารย์เผ่า  ไปอยู่วัดกับลูกสาว  ทำจริงๆ สักสองอาทิตย์ดูครับ  แล้วจะรู้ด้วยตัวเองจริงๆ  ไม่ใช่มีความรู้จากการอ่าน คิด และฟัง ครับ

                           ขอบคุณและสวัสดีครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #6695 เมื่อ: 08 สิงหาคม 2555, 21:35:33 »

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง และแขกผุ้มาเยือน ที่รักทุกท่าน

                              วันนี้คนดูแลแม่ต้องไปทำธุระส่วนตัว  ผมเลยต้องเฝ้าแม่ คนเดียว ท่านไม่นอนเลย  จึงต้องนั่งคุยกับท่านทบทวนสิ่งต่างๆ ให้ท่านทราบและเข้าใจ  ว่าทำไมยังต้องอยู่ที่โรงพยาบาล เพราะจิตแม่ยังไม่อยากจากรูป  ยังมีความสุขอยู่

                              เนื่องจากสองวันที่ผ่านมาแม่ไม่ได้รับอาหารทางสายยางเลย  คุณหมอวิทิต เลยให้พยาบาลให้น้ำเกลือ และให้อาหารเหลวทางสายยางแทน เป็นอาหารที่ทาง NASA ใช้  โดยใช้ถุงให้อาหารของคุณอดิสร  ที่ซื้อให้มา เลยมีสองสายเลย  ทำให้แม่รับรู้  มีแรง

                               ผมทราบสาเหตุแล้วทำไม 4-5 วันแม่ต้องเป็นหนักเพราะอาหารไม่ย่อย  อ๊วก  ทรุดหนัก เป็นเพราะระบบย่อยอาหารไม่ทำงาน ผลคืออาหารที่ให้มันจะบูดอยู่ในกระเพาะ เลยทำให้ต้องอ๊วก เพราะมันออกไม่ได้ทางทวาร มันจึงเป็นพิษ  แต่พอพยาบาลมาดูดเอาอาหารออกทางสายยางโดยใช้สลิงฉีดยาดูดออก และเอาน้ำเกลือไปล้างกระเพาะอาหารและดูดเอาน้ำเกลือออก  แล้วให้อาหารใหม่  แม่ก็จะกลับมาดีขึ้นอย่างเดิม เป็นเช่นนี้  จนคนดูแลแม่สังเกตออก  เลยขออนุญาติทำเอง เวลาแม่อ๊วก เพราะรู้วิธีแล้ว เป็นเพราะอาหารมันบูดเสีย อยู่ในกระเพาะ

                               ขณะที่ผมนั่งเจริญสติ  ให้แม่ดูข้างเตียง  พี่หมอกิตติศักดิ์  ก็เข้ามา เกินความคาดหมายครับที่จะได้พบครับ

                               วันนี้แม่นอนไม่หลับ ตื่นตลอดเวลา เพราะรู้ว่าลูกชายที่เป็นหมอจะมาเยี่ยม พร้อมทั้งภรรยา พ่อตา และพี่ชายภรรยา  มันจึงเป็นวันดีของแม่  แต่แม่ก็จำไม่ได้ เพราะแม่จะจำได้แต่เสีงคนดูแล  น้องสาว  พยาบาล และผมเท่านั้น  นอกนั้นเป็นเสียงไม่คุ้น  ต้องอธิบายกันนาน

                               ผมได้บอกพี่หมอว่า  บางทีแม่รู้แต่เคืองพี่  ที่พี่ไม่ค่อยมา  จึงไม่พูดด้วย  ไม่รู้จัก  ซึ่งพี่ชายสามารถสังเกตได้เอง

                               วันนี้ผมเล่าเรื่องเวรกรรมมีจริง โดยเฉพาะกับผู้ที่ทำกับพ่อ-แม่  ละเลยท่าน  จนพี่หมอ-พี่สะไภ้ สามารถรู้ได้ด้วยตัวเอง ว่าทำไมตัวเองจึงได้รับทุกข์จากลูกชายคนโต  ผมเลยบอกว่าให้พี่หมอมาบ่อยๆ เพราะถ้ามาทางโรงพยาบาลจะเกรงใจ  แม่จะสุขสบายขึ้น เพราะท่านยังอยู่  ยังรับรู้ได้  ยังสามารถตอบแทนท่านได้ ในสิ่งที่เคยละเลย  ท่านอยู่เพื่อรอให้เราดูแลท่านเพื่อให้หมดเวรกรรม  เหมือนอย่างที่ท่านเคยดูแลเรามาอย่างดี  ให้ทุกอย่างเกินกว่าท่านจะให้ได้  ผมก็หวังว่าพี่หมอคงจะเข้าใจได้ ครับ  มันยังไม่สายเกินไป เพราะแม่ยังอยู่ให้ตอบแทน

                               ผมเลยนำภาพ มาฝากทุกท่าน เพราะเป็นวันดี  และรู้สาเหตุที่แท้จริง  และวิธีดูแลท่านเรื่องอาหารไม่ย่อยแล้ว

                               ขอบคุณทุกท่านที่เป็นห่วงครับ

                               พรุ่งนี้ผมก็ จะต้องไปอยู่กับแม่ที่โรงพยาบาลสิงห์บุรี ต่อภายหลังจากใส่บาตรพระที่หน้าบ้านในตอนเช้า

                               ราตรีสวัสดิ์ทุกท่านครับ






กว่าจะเจาะ ใส่น้ำเกลือได้ แขนแม่จะเป็นแบบนี้











วันนี้เป็นวันดี  พี่หมอกิตติศักดิ์ (อดีตรองปลัดกระทรวงสาธารณสุข) กำลังพาแม่สวดมนต์และแผ่เมตตา









พยาบาล หลานสาวของแม่ เอาสลิงดูดอาหารในกระเพาะออกมาดูว่ามีของเก่าตกค้างไหม ก่อนให้อาหารใหม่





พยาบาล ในภาพนั้น คือหลานสาวของแม่  ที่นามสกุลเดียวกันคือ "แสงมณี"  

ทีเพิ่งรู้จักกันว่าเป็นญาติกับแม่แท้ๆ  หลังจากได้ไปสอบถามพ่อ-แม่ตัวเอง แล้ว

จะดีกับแม่มาก  คอยดูแลเป็นอย่างดี  และให้ความช่วยเหลือทุกอย่าง เป็นกันเองในกฏของโรงพยาบาล
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #6696 เมื่อ: 09 สิงหาคม 2555, 06:25:13 »

สิ่งที่ได้จากการสังเกตอาการผิดปกติของแม่



                            สำหรับทุกท่านที่มีคุณพ่อ - คุณแม่ หรือ ญาติผู้ใหญ่ที่จะต้องให้อาหารเหลวทางสายยาง และกระเพาะอาหารไม่ค่อยทำงานควรรับทราบเอาไว้เป็นบทเรียน บ้างนะครับ

                            ผมสังเกตอาการของแม่มาตลอดในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา แม่จะมีอาการอาหารเป็นพิษ คือท้องร่วงประจำเดือน อาทิตย์ และถี่ขึ้นทุกสาม-สี่วัน สาเหตุที่เป็นคือ

                            - กระเพาะอาหารไม่สามารถทำงานได้ปกติ คือย่อยอาหารไม่หมด แสดงว่ากระเพาะอาหารชำรุดใช้การไม่ได้บางส่วน ยิ่งมากขึ้นตาม อาการอาหารเป็นพิษถี่ขึ้น

                            - อาหารย่อยไม่เหมด เหลืออยู่ในกระเพาะอาหาร และจะบูด เสีย จึงมีอาการท้องเสีย อาหารเป็นพิษ และอ๊วกออกทางปาก

                               ปกติคนเรากินอาหารเข้าไป  จะต้องถ่ายออกทางทวารหนัก หรือไม่ก็ออกทางปาก  ถ้าอาหารเป็นพิษ ธรรมชาติเป็นอย่างนั้น  จะมึนหัวหนักมาก เมื่อระบายออกเสียจะโล่ง สบายขึ้นนั่นคือคนปกติ  แต่แม่ช่วยตัวเองไม่ได้  มันจึงเป็นอย่างที่เห็น

                               ถ้าเราสังเกตเห็นเป็นแบบที่กล่าวนี้ ทางแก้ คือ

                             - เอาสลิงฉีดยาดูด  อาหารออกจากกระเพาะให้หมดทางสายยาง และทำความสะอาดกระเพาะอาหารด้วยน้ำเกลือฉีดเข้าทางสายยางให้อาหารแล้วดูดออก  อาการจะเป็นปกติเพราะของเสียถูกกำจัดออกหมดแล้ว

                             - ก่อนให้อาหารใหม่ทุกครั้ง  ต้องเอาสลิงดูดอาหารในกระเพาะมาดูว่ามีอาหารเหลือตกค้างไหม? ถ้ามีต้องดูดทิ้ง เพื่อให้อาหารไม่บูด เมื่อดูดทิ้งแล้ว ก็ให้อาหารใหม่ลงไปได้ อาหารก็จะสด  ไม่บูด ไม่เป็นพิษ ต้องกระทำแบบนี้ทุกครั้งก่อนให้อาหารเหลว  จำไว้ให้ดี  จะแก้ปัญหาได้

                                ผมก็สรุปสั้นๆ แบบนี้   ให้ทุกท่านได้ผ่านตา  จำเอาไปใช้  

                                อย่าลืมเราก็มีโอกาสเป็นแบบนี้ ถ้าอยู่ในความประมาท เรื่องอาหาร  ไม่ออกกำลังกาย  พักผ่อนไม่เพียงพอ และเครียด  ด้วยข้ออ้างต่างๆ นาๆ   จงระวังหนีไม่พ้นแน่นอน

                                นี่คือ ข้อดีของการปฏิบัติธรรม  เราจะมีความสังเกต แยก รูป-นาม-ความรู้สึกออก  สามารถเอามาใช้สังเกตสิ่งต่างๆ รอบตัว เป็นประโยชน์ ได้ครับ

                                สวัสดียามเช้าครับ
      บันทึกการเข้า
too_ploenpit
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2514
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 7,778

เว็บไซต์
« ตอบ #6697 เมื่อ: 09 สิงหาคม 2555, 08:33:26 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 08 สิงหาคม 2555, 20:38:34
อ้างถึง
ข้อความของ too_ploenpit เมื่อ 08 สิงหาคม 2555, 08:42:13
อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 07 สิงหาคม 2555, 20:44:07
อ้างถึง
ข้อความของ too_ploenpit เมื่อ 07 สิงหาคม 2555, 08:55:20

...สวัสดีค่ะ...พี่สิงห์...

...เข้ามาตามข่าวของพี่สิงห์ค่ะ...


สวัสดีครับ คุณน้องตู่ และชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน

                           เมื่อค่ำวานนี้ พี่สิงห์ ได้โทรศัพท์ ไปคุยกับแม่  ยังคุยกันรู้เรื่องดี  น้องสาวบอกว่าแม่สบายดี  แต่พอตอนกลางคืน อาหารที่ให้ ก็ไม่สามารถย่อยได้อีก วันนี้ทั้งวันแม่จึงไม่มีอาหารในกระเพาะ เพราะพยาบาลต้องดูดอาหารออก และใส่น้ำเกลือไปล้างกระเพาะอาหารแทน  ไม่สามารถให้น้ำเกลือได้ เพราะเจาะ หาเส้นเลือดไม่เจอและแม่จะเจ็บมากกว่าจะแทงเข็มได้ มันทรมารเกินไปจึงไม่อยากกระทำเลย  แม่จึงไม่มีแรงที่จะขยับอะไรได้  แต่พยาบาลจับชีพจร-หัวใจยังปกติดี

                           วันพุธ ภายหลังจากใส่บาตรพระที่หน้าบ้านแล้ว พี่สิงห์ จึงจะไปอยู่กับแม่ที่โรงพยาบาล

                           คุณหมอวิทิต  ก็กระทำสุดความสามารถแล้ว  ได้สั่งพยาบาลว่าทำอย่างไรก็ได้ที่เห็นสมควร  ตามประสบการณ์ที่เคยดูแลรักษามา  แม่เป็นที่รักของพยาบาลชั้นสาม เพราะดูแลกันมานาน  พูดคุยกันทุกวัน ทุกคน  ย่อมมีความผูกพันธ์อยู่แล้ว  ไม่มีใครอยากให้แม่จากไปเร็วทั้งนั้น แต่มันสุดวิสัย เพราะร่างกายมันอ่อนล้าเต็มทน  แต่แม่ไม่เคยร้องครวญครางเลย  ถึงไม่มีอาหารแม่ก็ยังรับทราบ คือมีสติดี ครับ

                           เมื่อบ่ายได้ถาม ดร.สุริยา  ว่าจะเอาแม่กลับบ้านดีหรือไม่  ดร.สุริยา แนะนำว่าอย่าเอากลับให้อยู่ที่โรงพยาบาลนั่นแหละดีที่สุดแล้ว  ผมก็คงต้องกระทำตามนั้น ครับ

                           ขอบคุณทุกท่านที่เป็นห่วงแม่  แต่อย่าลืม มันเป็นเรื่องของธรรมชาติ  เราฝืนอะไรไม่ได้ทั้งสิ้น  ในเมื่อสังขารมันจะเกือบหมดสภาพแล้ว  นี่คือสัจจธรรมตามกฏไตรลักษณ์ ครับ

                           เรามีความเกิด  แก่  เจ็บ  ตาย และความพลัดพรากจากสิ่งที่เป็นที่รักโดยเฉพาะบิดา-มารดา เป็นเรื่องธรรมดา ที่ทุกคนจะต้องประสบ  ไม่ยกเว้น  เราต้องวางใจของเราให้ถูก  ไม่หลงอยู่ในความคิด(โมหะ) ก็สามารถอยู่ได้

                           สวัสดีครับ



...สวัสดีค่ะพี่สิงห์และสมาชิกทุกท่าน...

...เข้ามาตามข่าวคราวของพี่สิงห์และคุณแม่เสมอๆค่ะ...

...แต่บางทีไม่ได้โพสท์อะไรไว้...กะว่าจะเข้ามาคุยทีหลัง...

...ดีใจค่ะที่คุณแม่พี่สิงห์ท่านยังรับรู้และพูดคุยได้...

...ถ้าเทียบกับคนทั่วๆไปแล้วถือว่าท่านอายุยืนมากๆค่ะ...

...ตู่เพิ่งกลับจากไปบวชชีพราหมณ์มาได้สองวันค่ะ...บวชแค่ 4 วัน...

...แล้วก็เหมือนกับว่าได้ไปหัดนั่งสมาธิใหม่หลังจากที่ทิ้งร้างมานานมาก...

...จริงๆแล้วสมาธิเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ควรกระทำบ่อยๆเป็นกิจวัตร...

...แต่ก็เหมือนกับชาวโลกทั่วไปค่ะที่มีภารกิจเยอะแยะและอ้างโน่นอ้างนี่เลยไม่ได้ปฎิบัตประจำ...

...ได้มีโอกาสคุยกับพระอาจารย์ก็เลยถามปัญหาธรรมดาๆแต่ไม่เคยกล้าถาม...

...ว่าถ้านั่งสมาธิแล้วปวดจะทำยังไง...

...พระอาจารย์บอกก็ให้ทนกับความเจ็บปวดเพราะเวลาคนเราใกล้จะไป...

...จะมีความเจ็บมากกว่านี้เป็นร้อยเท่าทวีคูณ...ซึ่งแล้วแต่บุญและกรรมที่สร้างมาด้วย...

...คือไม่ให้เราหนีทุกข์...โดยการเปลี่ยนอิริยาบถให้หายเมื่อย...

...แต่ให้เราอยู่เหนือทุกข์...คืออยู่เหนือความเจ็บที่เราได้รับค่ะ...

...คุณแม่พี่สิงห์ท่านสร้างบุญมาเยอะ...ท่านก็เลยยังสามารถพูดคุยได้และไม่มีอาการทุรนทุราย...

...ตู่และชาวซีมะโด่งทั้งหลายยังคงเอาใจช่วยพี่สิงห์อยู่เสมอค่ะ...

สวัสดีค่ะ คุณน้องตู่ ที่รัก

                         พระท่านก็พูดเกินไป  ถ้าทำแบบนั้น กายมันพิการจริงๆ  ก่อนที่จะพ้นทุกข์  คุณหมออุดม  แห่งโรงพยาบาลจอมทอง  เคยบอกพี่สิงห์ว่า  พระที่นั่งสมาธิ  จนแทบพิการทางภาคเหนือ มาให้คุณหมอรักษาเป็นส่วนใหญ่ เพราะไม่รู้เท่าทันทุกข์ ที่แท้จริง  ยังมีโมหะอยู่ในตัว

                          อย่าลืมพระพุทธองค์  ทรงสอนให้รู้จัก  รู้เท่าทันทุกข์  แต่อย่าไปเป็นทุกข์เสียเอง  การทรมารกายเกินไป  ไม่ใช่หนทางพ้นทุกข์แน่ๆ พระพุทธองค์ก็ประสบมาแล้ว  ท่านจึงแนะนำทางสายกลางในการปฏิบัติ

                           เราสามารถนั่งนานๆ ได้  จนเห็นท่ามันจะทุกข์กับกายจริงๆ ไม่ใช่ทุกข์เพราะจิตมันอยากเปลี่ยนอิริยาบถ  ก็สามารถเปลี่ยนได้ เมื่อเวลามันเนิ่นนาน   จนมันเจ็บจริงๆ เปลี่ยนอิริยาบถ นั่นละทางพ้นทุกข์เฉพาะหน้า  ที่เราต้องเรียนรู้ แก้ไข  ด้วยตัวเอง

                           ไม่มีใครรู้จริงเรื่องความเจ็บป่วย  ทรมารก่อนตาย  เพราะคนที่ตายไม่มีใครกลับมาบอกเราเลยสักคนว่า  วินาทีสุดท้ายก่อนตาย  มันเป็นอย่างไร  ทุกข์ขนาดไหน  มีแต่คาดเดาไปต่างๆ นาๆ ทั้งสิ้น (คนที่ตายชั่วคราว  ยังถือว่าไม่ได้ตายจริง  เพราะตายจริงมันฟื้นไม่ได้  ก็มาบอกไม่ได้  เรื่องนี้มีการพิสูจน์มาตั้งแต่สมัยพุทธกาลแล้ว  ก็ไม่พบ เพราะไม่มีผู้ตายมาบอกให้ทราบเลยสักคน)

                            อย่าลืมการปฏิบัติธรรมที่แท้จริง  ไม่ใช่ไปนั่งอยู่ที่วัดเสมอ  เพราะมันเป็นไปยาก  ยกเว้นเราตัดใจไปอยู่แบบนั้น  จริงๆ แล้วเรายังทำงาน  ทำมาหากิน และปฏิบัติธรรมไปด้วยพร้อมกัน  คือให้รู้ตัวเสมอ พิจารณากาย-ใจ  ตลอดเวลา  อย่าหลงอยู่ในความคิด  อย่าปล่อยใจนอกอิริยาบถหลัก-ย่อย เท่านั้น

                            ให้รู้ตัว คือมีสติ-สัมปชัญญะ ทุกขณะ  จะรู้เท่าทันจิตเราได้  จะรู้ได้ตัวของเราเอง  มันก็เหมือนกับการไปนั่งสมาธิปฏิบัติธรรมที่วัด  ถ้าไปที่วัด ไม่มีความรู้สึกตัวที่กาย-ใจ  มันก็มีแต่ความสงบเท่านั้น  ไม่ได้อะไรเลย ครับ

                            ก็ขออนุโมทนา ด้วยที่ยังไปปฏิบัติธรรม อยู่วัด ดีทั้งนั้น

                            สวัสดี
     
               

...สวัสดีค่ะ...พี่สิงห์...

...พระอาจารย์ท่านก็พูดในแง่ของผู้ที่พลีชีพแล้วเพื่อศาสนา...

...จะเป็นจะตายยังไงก็ขอปฎิบัติเพื่อตัดกิเลสให้ได้...

...แบบพระอริยะทั่วไป...

...เอามาเปรียบเทียบไม่ได้กับคนกิเลสหนาๆอย่างเราค่ะ...

...ท่านพูดให้เรามีความพยายาม...

...อยู่ๆคงไม่ได้ไปนั่งถึงห้าหกชั่วโมงแบบท่านค่ะ...

...คงค่อยๆเริ่มไปทีละเล็กละน้อย...ถ้าหักโหมมากก็คงเป็นอันตรายเหมือนกัน...

...ส่วนที่นั่งจนเจ็บป่วย...ตามปกติคนเราตามธรรมชาติคงต้องรู้จักประมาณตนเหมือนกัน...

...และรับรู้ได้ว่าร่างกายได้รับทุกขเวทนาประมาณไหนแล้ว...

...ถ้าเจ็บมากๆ...ไม่น่าจะทนฝืนนั่งไปจนพิการขนาดนั้นค่ะ...

...สำหรับผู้ที่นั่งแบบถวายชีวิตนั้นท่านก็คงหวังนิพพานแน่นอนอยู่แล้ว...

...ตามหนังสือของพระเกจิอาจารย์ส่วนมากท่านเขียนไว้น่ะค่ะ...

...ในสายพระป่าที่ปฎิบัติแบบพุทโธ...เค้าจะวัดชั่วโมงบินกันแบบนี้ค่ะ...

...ส่วนถ้าใครทำไม่ได้...ก็อาจจะต้องเปลี่ยนไปทำแบบอื่น...

...เพราะแบบเก่าอาจไม่ถูกจริต...

...แต่ถ้าพูดกันตามหลักแล้ว...สำหรับผู้ที่ปฎิบัติไม่ได้ผลเพราะว่ามีมารอุปสรรคขัดขวาง...

...เนื่องมาจากผลของบุญและกรรมหรือเจ้ากรรมนายเวรมาให้ผลค่ะ...







      บันทึกการเข้า

i love pink, you are pink = i love you
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #6698 เมื่อ: 09 สิงหาคม 2555, 18:40:27 »

อ้างถึง
ข้อความของ jamsai เมื่อ 08 สิงหาคม 2555, 18:20:48
มาเยี่ยมค่ะ ด้วยความอยากอนุโมทนา และรู้สึกเหมือนที่น้องหนิงพูด

...

เพื่อนป้าแจ่มเคยเล่าว่า จำสายตาแม่สามีก่อนถูกเอาตัวไป รพ. ได้ติดตา เป็นสายตาโกรธเกรี้ยวและสิ้นหวัง พร้อมๆกับดิ้นทั้งๆที่อ่อนแรง ก่อนหมดสติ เพราะได้สั่งว่าอย่าเอาท่านไป รพ. อยากขอตายในบ้าน  พออาการหนักไม่มีแรงพูด ลูกๆก็ขาดสติ ตกใจ กลัว นึกแต่ว่าอยากยื้อไว้  และพี่ๆก็คิดตามชาวบ้านว่าเป็นการดูแลแม่ ปรากฏว่าไปถึง รพ.ไม่นานก็สิ้นใจ นี่คือความไม่เข้าใจธรรมชาติของจิตใจ ตามหลักของพระพุทธศาสนา น่าสงสารท่าน

แต่พี่สิงห์ก้าวข้ามความเข้าใจผิดแบบนี้แล้ว พวกเรา(รวมน้องป้าแจ่ม)เลยได้เรียนรู้ตามพี่ไปด้วย ตอนนี้ก็กำลังฝึกใจ เพราะแม่ของป้าแจ่มก็ 93 ปีแล้ว ลองคิดตามพี่สิงห์ก็ยังไม่สำเร็จ ใจไม่พร้อมเลย

คุณแม่ชีอิ๋ง ให้โจทย์ไว้ว่าคุณแม่ต้องไม่ร้องไห้และมีสติรู้ มีสัมปชัญญะให้พร้อมขณะที่ยายกำลังจะไป จะทำได้มั้ย
คำตอบตอนนี้คือ ยังไม่ได้ค่ะ

สวัสดีคะพี่อจ.แจ่มใส,
ให้ครึกครื้นคะหากมีหลายแง่มุม ทิศทาง ให้ขบคิด
หนิงจำได้ไม่ลืมว่าคุณพ่อหนิง ไม่เคยอยากจะอยู่โรงพยาบาล
แต่ท่านต้องอยู่ ท่านเลี่ยงการขึ้นไปนอนบนเตียงคนไข้!
ให้พี่ชายหนิงนอนแทน...ตัวท่านไปนอนม้าเบาะยาวข้างๆ
พ่ออยากกลับบ้าน แต่ยังกลับไม่ได้..รอผล..เกี่ยวกับหัวใจค่ะ

กลางวันพ่อไม่อยู่ในห้อง ไม่นอน พ่อออกไปนั่งที่ระเบียงตึก
พ่ออ่านหนังสือพิมพ์มาก...ท่านชอบที่จะให้ใครไปเยี่ยมไปคุย
บางทีคุยกะข้างๆห้อง...หนิงรู้สึกได้คะว่าพ่ออยากกลับบ้าน
ไม่ชอบนอนในที่แปลกที่ แปลกกลิ่น(กลิ่นโรงพยาบาลพี่นึกออกนะคะ)
พ่อหนิงตรงๆคะ,ท่านบอกว่าห้องนั้น เตียงนั้น ไม่รู้ใครต่อใคร
มาพัก มานอน มาตายลงกี่คน...พวกเราลูกๆพูดตรงๆกะพ่อได้ค่ะ!!
อภิสิทธิ์นี้ในฐานะลูกสาว หนิงนี่ล่ะพี่ ทำถ้าวกว่าใคร กล้า..
บอกพ่อว่า"พ่อกลัวผีเหรอ?"กี่ปีมาแล้วคะเนี่ย ที่พ่อหนิงคุยกะหนิง
ในลักษณะนั้น...ท่านไม่ว่าอะไรคะ ยิ้มแหะๆ..บางวันให้หนิงทำอะไร
ให้ ให้เล่าให้ฟัง ให้ลงไปร้านข้างล่างไปซื้ออะไรให้
หรือให้อ่านหนังสือพิมพ์ให้พ่อฟังคะ กำลังใจพ่อดีคะ
แต่หัวใจท่านหยุดเต้น ตอนคนเฝ้าก็ไม่อยู่ ท่านขึ้นไปนอนบนเตียง
เตียงคนไข้ที่ท่านเลี่ยงได้เลี่ยงที่จะนอน....หลับอย่างสงบค่ะ..ไปเอง.
      บันทึกการเข้า


khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #6699 เมื่อ: 09 สิงหาคม 2555, 19:02:51 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 08 สิงหาคม 2555, 20:22:26
สวัสดีค่ะ คุณน้องหนุ๋งหนิ๋ง ที่รัก

                             ขอตอบเป็นรายแรกก่อนเพราะตอบง่าย  กฏ มารยาททางกอล์ฟนั้น ทุกคนทราบดี  แต่เพราะหลงอยู่ในโมหะ  จึงแสดงการกระทำออกมาแบบนั้น  ถ้าเราทักท้วง  เขาไม่ผิดกฏ    แต่มันเป็นมารยาทของกอล์ฟที่สำคัญมาก  เขาจะรับไม่ได้กับความอับอายอันนั้น เพราะเขาเป็นถึงอดีตนายกสมาคม  กระทำแบบนี้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน   สู้เราอดทน  นิ่งเสีย  ดีกว่ากันแยะครับ  ไม่มีใครเสียหน้า หรือก่อศัตรู ครับ

                             ถ้าเป็น PGA รับรองทาง TV เอาไปเล่นข่าวแน่นอน  ผลหรือไม่ต้องพูดถึง แทบจะเลิกเล่นกอล์ฟอาชีพไปเลย

                             สวัสดีค่ะ


พี่สิงห์คะ,
กีฬาแบบไทยๆนี่..แบบนี้ทุกที
เล่นในบ้านฮือฮา เพราะไม่ได้มองที่"Leistung"
ความสามารถที่ทำได้ ไปมองหัวโขน มองเปลือก
มองยศฐาบรรดาศักดิ์ นับก่อน ให้อภิสิทธิ์...
เป็นวงจรแห่งความชั่วร้ายที่บดบังคนที่เก่งจริง
ทำจริง ทำได้...ไปแข่งสนามสากลเหรอคะ?
ก็หน้าแหกแตกเสี่ยงๆแถมอายผู้ชมเค้าอีก!

เหมือนกะที่กำลังโปรโมตกีฬาขี่ม้าไงพี่?
คนเก่งจริงอาจมีคะแต่เกรงอกเกรงใจผู้นั่นท่านนี่
สื่อก็ตามเฮกันว่ามหัศจรรย์เก่งยอด...
ด้วยไม่รู้ว่า...กีฬาขี่ม้า,ไม่ใช่คนขี่คะที่มีความสามารถ
ม้า,สัตว์ที่ยากแก่การเข้าใจ การใช้การขี่เค้า..คนต้อง
harmonyกะเค้าในขั้นระดับไหน...ต้องrespectเค้ายังไง
ต้องอยู่กะเค้าใช้เวลามากมายเพื่อศึกษากันและกัน
ใครบอกกัน ว่าขึ้นควบก็จะไปชิงเหรียญล่ะ ง่ายขนาดนั้นจริงง่ะ?

หนิงจะบอกว่ากฏกติกา มีก็ใช้กันไปคะ
อย่าหัวหมอ เลี่ยงได้รอดได้คือเก่ง
กฏจราจรพี่ดูสิคะ...คล้ายๆกัน!
ใครมีมารยาทถูกมองว่าโง่ ว่าไม่ทัน
ใครเลี่ยงใครเร็วกว่าคือคนที่ฮูววแจ่มเจ๋ง

อย่าถึงกะต้องให้ฝรั่งมาสอนกฏเลยคะ!
ในเมื่อเล่นกันเองไม่ได้..ก็ต้องเล่นminigolfคะ
จึงเหมาะเหม๋งกะคนขี้โกง...คิกๆ
      บันทึกการเข้า


  หน้า: 1 ... 266 267 [268] 269 270 ... 681   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

สมาคมนิสิตเก่าหอพักนิสิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มวลสมาชิกสมาคม คณาจารย์ และนิสิตเก่าทุกคน ขอน้อมเกล้าถวายความอาลัย  พระผู้เสด็จสู่สวรรคาลัย ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ <;))))><