23 พฤศจิกายน 2567, 14:20:48
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 254 255 [256] 257 258 ... 681   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: คุย กับ คุณมานพ กลับดี อดีตประธานชมรม ๓ สมัย  (อ่าน 3558973 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 34 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #6375 เมื่อ: 15 มิถุนายน 2555, 20:16:58 »

สวัสดีค่ะ คุณน้องเอมอร ที่รัก

                                จะให้กินข้าวถูกสุขลักษณะทุกมื้อนั้น มันอยากครับ ต้องมีคนทำให้  สำหรับพี่สิงห์ ถ้ามีทางเลือก ก็จะรับประทานเพื่อสุขภาพ  แต่ถ้าไม่มีทางเลือก ก็ตามท้องตลาดที่มี แต่เลือกเท่าที่จะสามารถเลือกได้

                                 แต่สิ่งที่สำคัญคือ รับประทานในปริมาณพอดีกับความต้องการของร่างกาย อย่้าซ้ำกันบ่อยๆ เป็นไปได้ให้ครบ 5 หมู่ และที่สำคัญคือ กินแล้วห้ามนอน และกินให้ตรงเวลาด้วย แนะนำให้เดินจงกรม หลังรับประทานอาหารเสร็จ  จะช่วยย่อย ครับ

                                 ที่สำคัญมาก คือต้องออกกำลังกายครับ

                                 สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #6376 เมื่อ: 15 มิถุนายน 2555, 20:22:39 »

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน

                               พี่สิงห์ อยู่นครศรีธรรมราช  ฝนไม่ตก  อากาศดี  ลมแรงบนเทอเรสชั้นสามของโรงแรมสถานที่ออกกำลังกายของพี่สิงห์  รู้สึกว่าวันนี้ทางโรงแรมไม่คึกคัก เงียบเหงา  คนมาออกกำลังกายกันน้อย และคนมาพักน้อย  แต่เครื่องบินที่บินมานครศรีธรรมราช เต็มทุกเที่ยวบิน ครับ

                               เมื่อเย็นที่ผ่านมาพี่สิงห์ ได้ไปรำชิกง  โยคะ และอบซาวน่า มาครับ

                               พักนี้สมองไม่ค่อยทำงาน ครับ 

                               ราตรีสวัสดิ์ทุกท่านครับ ค่ำนี้
      บันทึกการเข้า
suriya2513
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,457

« ตอบ #6377 เมื่อ: 16 มิถุนายน 2555, 11:07:05 »

      บันทึกการเข้า

[โบราณคดี]จุดกำเนิดเริ่มต้นของ cmadong.com by : มานพ กลับดี  คลิ๊ก->
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #6378 เมื่อ: 16 มิถุนายน 2555, 13:31:07 »



                      ขอขอบคุณ ดร.สุริยา  ที่นำคำสอนของหลวงพ่อชา  มาตักเตือนผม

                      ทุกครั้งที่ผม เกิดจิตใจอ่อนแอ  ท้อถอย ในการปฏิบัติ  ผมจะนึกถึง โพธิปักขิยะธรรม ๓๗ ประการ โดยเฉพาะ ลำดับของการสร้างจิตให้เกิดวิริยะ คือ
                      
                       อิทธบาท ๔ ซึ่งประกอบด้วย ฉันทะ  วิริยะ  จิตตะ  วิมังสา
 
                       อินทรีย์ ๕ ซึ่งประกอบด้วย ศรัทธา วิริยะ สติ  สมาธิ ปัญญา

                       พละ ๕ ซึ่งประกอบไปด้วย ศรัทธา  วิริยะ  สติ  สมาธิ  ปัญญา

                       เมื่อใช้พลังที่จะเอาชนะจิต ทั้ง ๓ องค์ธรรมที่กล่าวมาไม่อยู่ก็จะพิจารณา

                       โพชฌงค์ ๗ ซึ่งประกอบไปด้วย สติ  ธัมมะวิจยะ วิริยะ  ปีติ  ปัสสัทธิ สมาธิ  อุเบกขา

                        พอถึงโพชฌงค์ ๗ ก็จะสามารถชนะใจตนเองได้ เพราะจะผ่อนคลายโดยใช้ ธัมมะวิจยะ มาให้จิตมันได้พิจารณา

                        การเอาชนะใจตนเองนั้น ไม่ง่ายเลย  บางครั้งจิตมันบอกว่า เราทำไปทำไม? เสียเวลาเปล่า  ไปไม่ถึงไหน มีแต่จนลง(สตางค์) ไม่คุ้มค่าที่เกิดมาเป็นมนุษย์ และเรียนจบวิศวฯ เลย มันควรจะเอาเวลาไปทำอย่างอื่นให้กระเป๋ามีสตางค์เมื่อล้วงลงไปทุกครั้ง  มีความเป็นอยู่ที่ดีกว่านี้ !

                         เมื่อจิตมันแสดงตนออกมาอย่างนี้ เราก็ต้องใช้ปัญญา เอามาชนะมัน จนสามารถทำให้จิตคลายลง เพราะเรากลับมาถามตัวเองว่า ความสุขที่แท้จริงคืออะไร ?

                         ความสุขที่แท้จริง คือการที่จิตมันไม่ปรุงแต่งอะไรเลย เมื่อเกิดความรับรู้(วิญญาณ)ที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย และไม่ปล่อยใจ นึกคิด

                          ทุกวันนี้เราทุกข์ เพราะคิด(ปรุงแต่ง เกิดอารมณ์)

                          ความสุขที่แท้จริงนั้น คือความสุขที่เกิดจากการปล่อยวาง ไม่ยึดมั่นอะไรเลย ปล่อยให้เป็นเรื่องของธรรมชาติ  ถ้าเราสามารถปล่อยวางได้จริงๆ ชีวิตก็ไม่มีความหมายแล้ว  ไม่มีอะไรต้องกระทำอีกแล้ว เพียงรอความตายที่จะมาถึงเท่านั้น

                          ในเมื่อยังไม่บรรลุอะไรเลย  การอยู่อย่างสมถะ  พอเพียง  ก็สามารถเอาชนะจิตตนเองได้บางส่วน สามารถมีความสุขได้เช่นกัน เพราะมันจะตัดสิ่งที่ยึดมั่นถือมั่นไปได้แยะ  หน้าหนาขึ้น  ไม่กลัว หรือละอายต่อความจนทั้งสิ้น เพราะเราก็ไม่ได้ไปทำให้ใครเดือดร้อนทั้งสิ้น

                           ความจริงที่ปรากฏ ที่เราสามารถสัมผัสได้ รับรู้ได้ ก็คือ ถ้าเรามีความรู้สึกตัว  เราจะไม่คิด  ไม่มีเงื่อนเวลาเข้ามาเกี่ยวข้อง  จิตมันจะว่างๆ มันจะเป็นสมาธิอยู่อย่างนั้น  มันก็สุข  สงบดีที่มันไม่ปรุงแต่ง  แต่มันอยู่ไม่ถาวรเท่านั้น

                            สิ่งที่จะทำให้มันอยู่ถาวร เพิ่มขึ้น คือ เราต้องปฏิบัติตัวเอง ให้มีคุณสมบัติของผู้บรรลุธรรม คือ สัมมัปปทาน ๔ คือทำกุศลที่ยังไม่เกิด ให้เกิดขึ้น  ละอกุศลที่ยังไม่เกิด ไม่ให้เกิดขึ้น ทำอกุศลที่เกิดขึ้นแล้วให้หมดไป ทำกุศลที่เกิดขึ้นแล้ว ให้ยิ่งๆ ขึ้นไป  หรือพูดง่ายๆ คือ ต้องรักษาศีล ๕ หรือ ๘ ให้มั่นคง นั่นเอง คือเอาชนะจิตตนเองให้ได้ รักษากาย  วาจา  ใจ ให้เป็นปกติ ต่อเนื่องตลอดไปนั่นเอง

                            สวัสดี
      บันทึกการเข้า
suriya2513
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,457

« ตอบ #6379 เมื่อ: 16 มิถุนายน 2555, 13:39:59 »

สาธุ
      บันทึกการเข้า

[โบราณคดี]จุดกำเนิดเริ่มต้นของ cmadong.com by : มานพ กลับดี  คลิ๊ก->
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #6380 เมื่อ: 16 มิถุนายน 2555, 13:51:29 »

สูตรอันประกาศบนมหาบัลลังก์

แห่ง "ธรรมรถ"

หมวดที่ 1

ชีวประวัติที่ท่านเล่าเอง

****************


                           ครั้งหนึ่ง เมื่อพระสังฆปริณายกองค์นี้ ได้มาที่วัดเปาลัม ข้าหลวงไว่ แห่งเมืองชิวเจา กับข้าราชการอีกหลายคน ได้พากันไปที่วัดนั้น เพื่อขอให้ท่านกล่าวธรรมกถาแก่ประชาชนทั่วไป ณ ห้องโถง.แห่งวิหารไทฟัน ในนครกวางตุ้ง.

                           ในไม่ช้า มีผู้มาประชุมฟัง ณ โรงธรรมสภานั้น คือข้าหลวงไว่แห่งชิวเจา, พวกข้าราชการและนักศึกษาฝ่ายขงจื้อ อย่างละประมาณ 30 คน, ภิกษุ, ภิกษุณี นักพรตแห่งลัทธิเต๋า และคฤหัสถ์ทั่วไป รวมเบ็ดเสร็จประมาณหนึ่งพันคน.

                            ครั้นพระสังฆปริณายก ได้ขึ้นนั่งบนอาสนะเรียบร้อยแล้ว ที่ประชุมได้ทำการเคารพ. และอาราธนาขอให้ท่านแสดงธรรมว่าด้วยหลักสำคัญแห่งพุทธศาสนา. ในอันดับนั้น ท่านสาธุคุณองค์นั้น ได้เริ่มแสดงมีข้อความดังต่อไปนี้-

                            ท่านผู้คงแก่เรียนทั้งหลาย จิตเดิมแท้ (Essence of Mind) ของเราซึ่งเป็นเมล็ดพืชหรือแก่นของการตรัสรู้นั้น เป็นของบริสุทธิ์ตามธรรมชาติ (Pure by nature) และต้องอาศัย จิตเดิมแท้ นี้เท่านั้น มนุษย์เราจึงจะเข้าถึงความเป็นพุทธะได้โดยตรงๆ อาตมาจะเล่าให้ฟังถึงประวัติของอาตมาเองบางตอน และเล่าถึงข้อที่ว่า อาตมาได้รับคำสอนอันเร้นลับ แห่งนิกายธยาน(เซ็น) มาด้วยอาการอย่างไร

                             บิดาของอาตมาเป็นชาวเมืองฟันยาง ถูกถอดจากตำแหน่งราชการ ถูกเนรเทศไปอยู่อย่างราษฎรสามัญที่ซุนเจาในมณฑลกวางตุ้ง. อาตมาโชคร้ายโดยที่บิดาได้ถึงแก่กรรมเสียแต่ในขณะที่อาตมายังเล็กอยู่เหลือเกิน และทิ้งมารดาไว้ในสภาพที่ยากจนทนทุกข์ เราสองคนจึงย้ายไปอยู่ทางกวางเจา และอยู่ที่นั้นด้วยความทุกข์ยากเรื่อยมา.

                             วันหนึ่ง อาตมากำลังนำฟืนไปขายอยู่ที่ตลาดเพราะเจ้าจำนำคนหนึ่งเขาสั่งให้นำไปขายให้เขาถึงร้าน เมื่อส่งของและรับเงินเสร็จแล้ว อาตมาก็ออกจากร้าน ได้พบชายคนหนึ่งกำลังบริกรรมสูตร ๆ หนึ่งอยู่แถวหน้าร้านนั้นเอง พอได้ยินข้อความแห่งสูตรนั้นเท่านั้น ใจของอาตมาก็ลุกโพลงสว่างไสวในพุทธธรรม อาตมาจึงถามชื่อคัมภีร์ที่เขากำลังสวดอยู่ ก็ได้ความจากชายคนนั้นว่า พระสูตรนั้นชื่อ วัชรสูตร (วชฺรจฺเฉทิกสูตร หรือพระสูตรอันว่าด้วยเพชรสำหรับตัด) อาตมาจึงไล่เรียงต่อไปว่า เขามาจากไหน ทำไมเขาจึงจำเพาะมาท่องบ่นแต่พระสูตรนี้. ชายคนนั้นตอบว่าเขามาจากวัดตุงซั่น ตำบลวองมุย เมืองคีเจา เจ้าอาวาสในขณะนี้มีนามว่าหวางยั่น(ฮ่งยิ้ม) เป็นพระสังฆปริณายก แห่งนิกายเซ็น องค์ที่ 5 มีศิษย์รับการสั่งสอนอยู่ประมาณพันคน เมื่อเขาไหว้พระสังฆปริณายกที่วัดนั้น เขาได้ฟังเทศน์หลายครั้งเกี่ยวกับพระสูตรๆนี้ เขาเล่าต่อไปว่า ท่านสาธุคุณองค์นั้นเคยรบเร้าทั้งคฤหัสถ์และบรรพชิตอยู่เสมอ ให้พากันบริกรรมพระสูตรๆนี้ เผื่อว่าเมื่อเขาพากันบริกรรมอยู่ เขาจะสามารถเห็น จิตเดิมแท้ ของตนเอง และจะเข้าถึงความเป็นพุทธะได้โดยตรงๆ เพราะเหตุนั้นคงเป็นด้วยกุศลที่อาตมาได้ทำไว้แต่ชาติก่อนๆ จึงเป็นเหตุให้อาตมาได้ทราบเรื่องราวเหล่านี้ และอาตมายังได้รับเงินอีก 10 ตำลึงจากชายผู้อารีคนหนึ่งให้มาเพื่อมอบให้มารดาไว้ใช้สอย ในระหว่างที่อาตมาไม่อยู่ ทั้งเขาเองเป็นผู้แนะนำให้อาตมารีบไปยังตำบลวองมุย เพื่อพบพระสังฆปริณายกองค์นั้น เมื่อได้จัดแจงให้มีคนช่วยดูแลมารดาเสร็จแล้ว อาตมาก็ได้ออกเดินทางไปยังวองมุย และถึงที่นั้นได้ในชั่วเวลาไม่ถึงสามสิบวัน

                            ครั้นถึงตำบลวองมุยแล้ว อาตมาได้ไปนมัสการพระสังฆปริณายก ท่านถามว่ามาจากไหน และต้องประสงค์อะไร อาตมาได้ตอบว่า "กระผมเป็นคนพื้นเมืองซุนเจา แห่งมณฑลกวางตุ้ง เดินทางมาแสนไกลเพื่อทำสักการะเคารพแด่หลวงพ่อท่าน และกระผมไม่ต้องการอะไร นอกจากธรรมชาติแห่งความเป็นพุทธะ (Buddha-nature) อย่างเดียวเท่านั้น"

                            ท่านถามอาตมาว่า "เป็นชาวกวางตุ้งหรือ? เป็นคนป่าคนเยิงแล้วเธอจะหวังเป็นพุทธะได้อย่างไรกัน?"

                            อาตมาได้เรียนตอบท่านว่า "แม้ว่าจะมีคนชาวเหนือและคนชาวใต้ก็จริง แต่ทิศเหนือและทิศใต้นั้น หาได้ทำให้ความเป็นพุทธะซึ่งมีอยู่ในคนนั้นๆ แตกต่างกันได้ไม่. คนป่าคนเยิงจะแตกต่างจากหลวงพ่อ ก็แต่ในทางร่างกายเท่านั้น, แต่ไม่มีความผิดแปลกแตกต่างกันในส่วนธรรมชาติของความเป็นพุทธะของเราทั้งหลาย" แต่เผอิญมีศิษย์ของท่านเข้ามาหลายคน ท่านจึงหยุดชะงัก และสั่งให้อาตมาไปสมทบทำงานกับคนงานหมู่หนึ่ง
อาตมากล่าวขึ้นว่า "กระผมกราบเรียนหลวงพ่อว่า "วิปัสสนาปัญญาเกิดขึ้นในใจของกระผมเสมอๆ เมื่อผู้ใดผู้หนึ่งไม่ได้มีจิตเลื่อนลอยไปจาก จิตเดิมแท้ ของตนแล้ว ก็ควรจะเรียกเขาผู้นั้นว่า "ผู้เป็นเนื้อนาบุญของโลก" เหมือนกัน กระผมจึงไม่ทราบว่างานอะไร ที่หลวงพ่อให้ผมกระทำ?"

                             พระสังฆปริณายกได้มีบัญชาว่า "เจ้าคนป่านี้เฉลียวฉลาดเกินตัวไปเสียแล้ว จงไปที่โรงนั่น แล้วอย่าพูดอะไรอีกเลย" อาตมาจึงถอยหลีกไปทางลานข้างหลัง มีคนวัดที่ไม่ใช่บรรพชิตคนหนึ่ง มาบอกให้ผ่าฟืน และตำข้าว ต่อมาไม่น้อยกว่าแปดเดือน วันหนึ่งพระสังฆปริณายกได้พบอาตมา และท่านกล่าวว่า "ฉันทราบดีว่า ความรู้ในพุทธธรรมของเธอนั้นมั่นคงดีมาก แต่ฉันต้องหลีกไม่พูดกับเธอ มิฉะนั้นจะมีคนทุศีลบางคนทำอันตรายเธอ, เธอเข้าใจไหม?" อาตมาตอบว่า "ขอรับหลวงพ่อ กระผมเข้าใจ เพื่อไม่ให้ใครสังเกตเห็นกระผมในข้อนี้ กระผมก็ไม่กล้าเข้าไปใกล้ๆห้องของหลวงพ่อ"

                             อยู่มาวันหนึ่ง พระสังฆปริณายกเรียกประชุมบรรดาศิษย์ทั้งหมด แล้วประกาศว่า "ปัญหาแห่งการเวียนเกิดไม่มีที่สิ้นสุด เป็นปัญหาเฉพาะหน้าเวลานี้ วันแล้ววันเล่า แทนที่จะพยายามเปลื้องตัวเองออกมาเสียจากทะเลแห่งการเกิดตายอันขื่นขม ดูเหมือนว่าพวกเธอกลับหมกหมุ่นอยู่แต่ในบุญกุศลชนิดที่ถูกตัณหาลูบคลำเสียแล้ว อย่างเดียวเท่านั้น (กล่าวคือบุญกุศลที่เป็นเหตุให้เกิดใหม่) ถ้า จิตเดิมแท้ ของพวกเธอยังมืดมัวอยู่ บุญกุศลทั้งหลายก็ยังจะไม่เป็นประโยชน์อะไรเลย จงตั้งหน้าค้นหาปรัชญา (ปัญญา) ในใจของเธอเอง แล้วเขียนโศลก(คาถา) มาให้เราโศลกหนึ่ง ว่าด้วยเรื่อง จิตเดิมแท้ ผู้ใดเข้าใจได้ถูกต้องว่า จิตเดิมแท้นั้นเป็นอย่างไร ผู้นั้นจะได้รับมอบผ้ากาสาวพัสตร์ (อันเป็นเครื่องหมายตำแหน่งพระสังฆปริณายก) พร้อมทั้งธรรมะ(อันเป็นคำสอนเร้นลับของนิกายธยาน) และฉันจะสถาปนาผู้นั้นเป็นสังฆปริณายกองค์ที่หก (แห่งนิกายนี้) จงไปโดยเร็วอย่ารีรอในการเขียนโศลก การมัวตรึกตรองไม่จำเป็น และไม่มีประโยชน์อะไร ผู้ที่รู้แจ้งชัดในจิตเดิมแท้ จะพูดได้ทันทีที่มีใครมาชวนพูดด้วยเรื่องนั้น และมันจะไม่ละไปจากคลองแห่งญาณจักษุของเขา แม้ว่าเขาจะกำลังรบพุ่งชุลมุนอยู่กลางสนามรบก็ตามที"

                              เมื่อได้รับคำสั่งดังนั้น ศิษย์อื่นๆ (เว้นแต่ชินเชาหัวหน้าศิษย์)พากันถอยออกไปและกล่าวแก่กันและกันว่า "ไม่มีประโยชน์อะไรสำหรับคนชั้นพวกเราๆที่จะไปตั้งสมาธิเพ่งจิตเขียนโศลก ถวายหลวงพ่อ เพราะว่าตำแหน่งสังฆปริณายกนั้น ใครๆ ก็เห็นว่าจะไม่พ้นมือท่านชินเชา ผู้เป็นหัวหน้าศิษย์ไปได้. เมื่อเราเขียนใช้ไม่ได้ มันก็เป็นการลงแรงเสียเปล่า" เมื่อได้ปรับทุกข์กันดังนี้แล้ว ศิษย์เหล่านั้นทุกคนได้พากันเลิกล้มความตั้งใจในการเขียน และว่าแก่กันว่า "เราจะไปทำให้มันเหนื่อยทำไม? ต่อไปนี้ เราคอยติดตามหัวหน้าของเรา คือ ชินเชา เท่านั้นก็พอแล้ว ไม่ว่าเขาจะไปข้างไหน เราจะตามเขาในฐานะเป็นผู้นำ"

                              ในขณะเดียวกันนั้น ชินเชา ผู้เป็นเชฏฐอันเตวาสิก ก็หยั่งทราบความเรื่องนี้ได้ด้วยตนเอง, เขารำพึงว่า "เมื่อพิจารณารดูถึงข้อที่ว่า เราเป็นครูสั่งสอนเขาอยู่ คงไม่มีใครเข้ามาเป็นคู่แข่งขันในการเขียนโศลกกับเรา แต่เป็นครูสั่งสอนเขาอยู่เราจะเขียนโศลกถวายพระสังฆปริณายกดีหรือไม่ ถ้าเราไม่เขียน พระสังฆปริณายกจะทราบได้อย่างไรว่า ความรู้ของเราลึกซึ้งหรือผิวเผินเพียงไหน ถ้าวัตถุประสงค์ในการเขียนของเราในครั้งนี้ ได้แก่ความหวังจะได้รับธรรมจากพระสังฆปริณายก ก็แปลว่าเจตนาของเราบริสุทธิ์ แต่ถ้าเราเขียนเพราะอยากได้ตำแหน่งสังฆปริณายก นั่นแปลว่ามันเป็นความมีเจตนาชั่ว ในกรณีดังกล่าวจิตของเราก็เป็นจิตที่ข้องอยู่ในโลก และการกระทำของเราก็คือ การปล้นยื้อแย่งบัลลังก์อันศักดิ์สิทธิ์ของพระสังฆปริณายก แต่ถ้าเราจะไม่เขียนโศลกยื่นท่านเราก็ไม่มีโอกาสจะได้รับทราบธรรมะนั้น. มันช่างยากที่จะตัดสินใจเสียจริงๆ"

                              ที่หน้าหอสำนักของพระสังฆปริณายกนั้น มีช่องทางเดินตลอดสามช่อง ที่ผนังของช่องเหล่านี้ โลชูน จิตรกรเอกแห่งราชสำนักได้เขียนภาพต่างๆ จาก "ลังกาวตารสูตร" แสดงถึงการกลับกลายร่างของผู้ที่เข้าประชุม และเขียนภาพอันแสดงถึงชาติวงศ์ ของพระสังฆปริณายกทั้งห้าองค์ เพื่อเป็นความรู้ของประชาชน และให้ประชาชนได้ทำสักการะบูชา

                              เมื่อชินเชาแต่งโศลกเสร็จแล้ว ได้พยายามที่จะส่งต่อพระสังฆปริณายกตั้งหลายหน แต่เมื่อเดินเข้าไปใกล้จะถึงหอสำนักของพระสังฆปริณายกทีไรหัวใจเต้นเหงื่อกาฬแตกท่วมตัวทุกที. เขาไม่สามารถที่จะแข็งใจเข้าไปส่งได้สำเร็จ ชั่วเวลาเพียง 4 วัน เขาพยายามถึง 13 ครั้ง ในที่สุดเขาก็ตกลงใจว่า "เราจะเขียนมันไว้ที่ฝาผนังช่องทางเดิน ให้พระสังฆปริณายกท่านเห็นเองดีกว่า" ถ้าถูกใจท่าน เราจึงค่อยออกมานมัสการท่าน และเรียนท่านว่าเราเป็นผู้เขียน ถ้าท่านเห็นว่ามันผิดใช้ไม่ได้ ก็แปลว่าเราได้เสียเวลาไปหลายปีในการมาอยู่บนภูเขานี้ และทำให้ชาวบ้านหลงเคารพกราบไหว้เสียเป็นนาน โดยไม่คู่ควรกันเลย และเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็แปลว่าเราไม่ได้ก้าวหน้าในการศึกษาพระธรรมเลยแม้แต่น้อยมิใช่หรือ?" ครั้นถึงเวลาเที่ยงคืนในวันนั้น ชินเชาถือตะเกียงลอบไปเขียนโศลกที่เขาแต่งขึ้นไว้ ที่ผนังช่องทางเดินทางทิศใต้ โดยหวังอยู่ว่า พระสังฆปริณายกจะได้เห็นและหยั่งทราบถึงวิปัสสนาญาณที่เขาได้บรรลุ โศลกนั้นมีว่า:-


" กายของเราคือต้นโพธิ์ (*1)

ใจของเราคือกระจกเงาอันใส

เราเช็ดมันโดยระมัดระวังทุกๆ ชั่วโมง

และไม่ยอมให้ฝุ่นละอองจับ"

                          *1ต้นโพธิ์ในที่นี้ หมายถึงไม้เนื้ออ่อนไม่มีแก่น ได้แก่ไม้ตระกูลมะเดื่อทั่วไป ข้อนี้หมายถึงความไม่มีแก่นสารของร่างกาย และเห็นความสำคัญอยู่ที่ใจ ซึ่งจะต้องคอยรักษาให้สะอาดตามสภาพเดิม อยู่เสมอ ขอเตือนผู้อ่านและผู้ศึกษาให้กำหนดข้อความในตอนนี้ให้ดี เพราะเป็นข้อความที่ชี้ให้เห็นว่า เซ็นไม่เห็นพ้องกับมติที่ว่ามีอาตมัน ซึ่งจะทราบได้เมื่ออ่านต่อไปถึงตอนข้างหน้า ซึ่งปฏิเสธความมีอยู่แห่งกระจก (พุทธทาสผู้แปลไทย)

                           พอเขียนเสร็จ เขาก็รีบกลับไปห้องของเขาทันที โดยไม่มีใครทราบการกระทำของเขา ครั้นไปถึงแล้วเขาก็วิตกต่อไปว่า "พรุ่งนี้ถ้าพระสังฆปริณายกเห็นโศลกของเรา และพอใจ ก็แปลว่าเราพร้อมที่จะได้รับธรรมะอันลึกซึ้งของท่าน แต่ถ้าท่านติว่าใช้ไม่ได้ มันก็แปลว่าเรายังไม่สมควรที่จะได้รับธรรมะอันนั้น เนื่องจากความชั่วที่เราทำไว้แต่ชาติก่อนๆ มาหุ้มห่อใจเราอย่างหนาแน่น มันเป็นการยากเย็นเหลือเกิน ในการที่จะทายว่า พระสังฆปริณายกจะมีความรู้สึกอย่างไรในโศลกอันนั้น" เขาได้คิดทบทวนอยู่เช่นนั้นจนกระทั่งคืนยันรุ่ง นั่งก็ไม่เป็นสุข นอนก็ไม่เป็นสุข

                            แต่พระสังฆปริณายกได้ทราบอยู่ก่อนแล้วว่า ชินเชาผู้นี้ยังไม่ได้ก้าวเข้าไปในประตูแห่งการตรัสรู้ และเขายังไม่ซึมทราบในจิตเดิมแท้

                             รุ่งเช้า พระสังฆปริณายกให้ไปเชิญ นายโลชุน จิตรกรแห่งราชสำนักมาแล้วเดินไปตามช่องทางเดินทางทิศใต้พร้อมกัน เพื่อให้เขียนภาพที่ผนังเหล่านั้น จึงเป็นการประจวบเหมาะที่ทำให้พระสังฆปริณายกได้เห็นโศลกที่ชินเชาเขียนไว้

                             พระสังฆปริณายก ได้กล่าวแก่โลชุนช่างเขียนว่า "เสียใจที่ได้รบกวนท่านให้มาจนถึงนี่ บัดนี้เห็นว่า ผนังเหล่านี้ไม่ต้องเขียนภาพเสียแล้ว เพราะสูตรๆนั้นได้กล่าวไว้ว่า "สรรพสิ่งที่มีรูป หรือมีความปรากฏกิริยาอาการ ย่อมเป็นอนิจจังและเป็นมายา" ฉะนั้น ควรปล่อยโศลกนั้นไว้บนผนังอย่างนั้น เพื่อให้มหาชนได้ศึกษาและท่องบ่น และถ้าเขาปฏิบัติให้เป็นไปตามข้อความที่สอนไว้นั้น เขาก็จะพ้นทุกข์ ไม่ต้องไปเกิดในอบายภูมิ อานิสงส์ที่ผู้ปฏิบัติตามจะพึงได้รับนั้นมีมากนัก"

                              ครั้นกล่าวดังนั้นแล้ว พระสังฆปริณายกได้สั่งให้นำเอาธูปเทียนมาจุดบูชาที่ตรงหน้าโศลกนั้น และสั่งให้ศิษย์ของท่านทุกคนทำความเคารพ แล้วจำเอาไปท่องบ่น เพื่อให้เขาสามารถพิจารณาเห็น จิตเดิมแท้ เมื่อศิษย์เหล่านั้นท่องได้แล้ว ทุกคนพากันออกอุทานว่า "สาธู"

                              ครั้นเวลาเที่ยงคืน พระสังฆปริณายกได้ให้คนไปตามตัวชินเชามาที่หอแล้วถามว่าเขาเป็นผู้เขียนโศลกนั้นใช่หรือไม่ ชินเชาได้ตอบว่า "ใช่ขอรับ กระผมมิได้เห่อเหิมเพื่อตำแหน่งสังฆปริณายก เพียงแต่หวังว่าหลวงพ่อจะกรุณาบอกให้ทราบว่า โศลกนั้นแสดงว่ามีแววแห่งปัญญาอยู่ในนั้นบ้างสักเล็กน้อย หรือหาไม่"

                               พระสังฆปริณายกได้ตอบว่า "โศลกของเจ้าแสดงว่าเจ้ายังไม่ได้รู้แจ้ง จิตเดิมแท้ เจ้ามาถึงประตูแห่งการบรรลุธรรมแล้วเป็นนาน แต่เจ้ายังไม่ได้ก้าวข้ามธรณีประตูเข้าไป การแสวงหาความตรัสรู้อันสูงสุด ด้วยความเข้าใจอย่างของเจ้าที่มีอยู่ในขณะนี้นั้น ยากที่จะสำเร็จได้"

                             "การที่ใครจะบรรลุอนุตรสัมโพธิได้นั้น ผู้นั้นจะต้องสามารถรู้แจ้งด้วยใจเอง ในธรรมชาติแท้ของตนเอง หรือที่เรียกว่า จิตเดิมแท้ อันเป็นสิ่งที่ใครสร้างขึ้นไม่ได้ หรือทำลายให้สูญหายไปก็ไม่ได้ ชั่วเวลาขณะจิตเดียวเท่านั้น ผู้นั้นสามารถเห็นแจ้งจิตเดิมแท้ ได้โดยตลอดกาลทั้งปวง ต่อจากนั้นทุกๆ สิ่งก็จะเป็นอิสระจากการถูกกักขัง กล่าวคือจะเป็น วิมุติหลุดพ้นไป ตถตา (คือความเป็นแต่ที่เป็นอยู่เช่นนั้น ไม่อาจเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นได้, ซึ่งเป็นชื่อของจิตเดิมแท้อีกชื่อหนึ่ง) ปรากฏขึ้นเป็นครั้งเดียวหรือชั่วขณะจิตเดียว ผู้นั้นก็จะเป็นอิสระจากความหลงได้ตลอดกาลไม่มีที่สิ้นสุด ไม่ว่าสถานการณ์รอบข้างจะเป็นเช่นไรใจของผู้นั้น ก็จะยังคงอยู่ในสภาพแห่ง "ความเป็นเช่นนั้น" สถานะเช่นนี้ที่จิตได้ลุถึงนั่นแหละคือตัวสัจจธรรมแท้ ถ้าเจ้าสามารถเห็นสิ่งทั้งปวง โดยลักษณะการเช่นนี้ เจ้าจะได้รู้แจ้งจิตเดิมแท้ ซึ่งเป็นการตรัสรู้อันสูงสุด"

                                 "เจ้าไปเสียก่อน ไปคิดมันอีกสักสองวัน แล้วเขียนโศลกอันใหม่มาให้ฉัน ถ้าโศลกของเจ้าแสดงว่า เจ้าเข้าพ้นประตูไปแล้ว ฉันจะมอบผ้ากาสาวพัสตร์และธรรมะ(แห่งนิกายธยาน) ให้แก่เจ้าสืบทอดไป"

                                  ชินเชา กราบพระสังฆปริณายกแล้วหลีกไป เวลาล่วงเลยมาหลายวันเขาก็ยังจนปัญญา ในการที่จะเขียนโศลกอันใหม่ มันทำให้ใจของเขาหกหัวกลับไม่รู้บนล่างเหมือนคนถูกผีอำ เป็นไข้ทั้งที่ตัวเย็นชืดเหมือนกับที่คนกำลังฝันร้ายจะนั่งหรือเดินอย่างไร ก็ไม่พบอาริยาบทที่ผาสุก.

                                   เวลาล่วงมาอีกสองวัน บังเอิญเด็กหนุ่มคนหนึ่งเดินผ่านมาทางห้อง ที่อาตมาตำข้าวอยู่ เด็กคนนั้น ได้เดินท่องโศลกของชินเชา ที่จำมาจากฝาผนังอย่างดังๆ พอได้ยินโศลกนั้น อาตมาก็ทราบได้ทันทีว่าผู้แต่งโศลกนั้น ยังไม่ใช่ผู้เห็นแจ้งใน จิตเดิมแท้ แม้ว่าในเวลานั้น อาตมายังมิได้รับคำอธิบายอะไรเกี่ยวกับข้อความในโศลกนั้น อาตมาก็ยังเข้าใจในความหมายทั่วๆไปของมันได้เป็นอย่างดี อยู่เองแล้ว

                                   อาตมาถามเด็กนั้นว่า "โศลกอะไรกันนี่?" เด็กเขาตอบว่า "ท่านคนป่าคนเยิง, ท่านไม่ทราบเรื่องโศลกนี้ดอกหรือ? พระสังฆปริณายกได้ประกาศแก่ศิษย์ทั้งหลายว่า ปัญหาเรื่องการเกิดใหม่ไม่รู้สิ้นสุดนั้น เป็นปัญหาเฉพาะหน้าของคนทั้งหลาย, และว่าผู้ใดปรารถนาจะได้รับมอบผ้ากาสาวพัสตร์และธรรมะ จะต้องเขียนโศลกให้ท่านโศลกหนึ่ง และว่าผู้ที่รู้แจ้งจิตเดิมแท้ จะได้รับมอบของเหล่านั้น และจะถูกแต่งตั้งเป็นสังฆปริณายกองค์ที่หก ท่านชินเชาศิษย์อาวุโส ได้เขียนโศลกเรื่อง "ไม่มีรูป" โศลกนี้ไว้ที่ผนัง ทางเดินด้านทิศใต้ และ พระสังฆปริณายกให้สั่งให้พวกเราท่องบ่นโศลกอันนี้ไว้ และท่านยังได้กล่าวไว้ด้วยว่า ผู้ใดเก็บเอาคำสอนนี้ไปปฏิบัติ ผู้นั้นจะได้รับอานิสงส์เป็นอันมาก จะพ้นจากทุกข์แห่งการเกิดในอบายภูมิ"

                                   อาตมาได้บอกแก่เด็กหนุ่มคนนั้นว่า อาตมาก็ปรารถนาที่จะท่องบ่นโศลกนั้นเหมือนกัน เผื่อว่าในภพเบื้องหน้า จะได้พบคำสอนเช่นนั้นอีก อาตมาได้บอกเขาด้วยว่า แม้อาตมาจะได้ตำข้าวอยู่ที่นี่ตั้งแปดเดือนมาแล้ว ก็ไม่เคยเดินผ่านไปแถวช่องทางเดินเหล่านั้นเลย เขาจะต้องนำอาตมาไปถึงที่ที่โศลกนั้นเขียนไว้บนผนัง เพื่อให้อาตมาได้มีโอกาสทำการบูชาโศลกนั้น ด้วยตนเอง

                                   เด็กหนุ่มนั้น นำอาตมาไปยังที่นั่น อาตมาขอร้องให้เขาช่วยอ่านให้ฟังเพราะอาตมาไม่รู้หนังสือ เจ้าหน้าที่เสมียนพนักงานแห่งตำบลกองเจาคนหนึ่งชื่อ จางตัตยุง เผอิญมาอยู่ที่นั้นด้วย ได้ช่วยอ่านให้ฟัง เมื่อเขาอ่านจบ อาตมาได้บอกแก่เขาว่า อาตมาก็ได้แต่งโศลกไว้โศลกหนึ่งเหมือนกัน และขอให้เขาช่วยเขียนให้อาตมาด้วย เขาออกอุทานว่า "พิลึกกึกกือเหลือเกิน ที่ท่านก็มาแต่งโศลกกับเขาได้ด้วย"

                                   อาตมาได้ตอบว่า "ถ้าท่านเป็นผู้ที่เสาะแสวงหาการบรรลุธรรมอันสูงสุดคนหนึ่งกะเขาด้วยละก็, ท่านอย่าดูถูกคนเพิ่งเริ่มต้น ท่านควรจะรู้ไว้ว่า คนที่ถูกจัดเป็นคนชั้นต่ำ ก็อาจมีปฏิภาณสูงได้เหมือนกัน และคนชั้นสูง ก็ปรากฏว่ายังขาดสติปัญญาอยู่บ่อยๆ ถ้าท่านดูถูกคน ก็ชื่อว่า ท่านทำบาปหนัก"

                                    เขากล่าวว่า "ไหนเล่า จงบอกโศลกของท่านมาชี ฉันจะช่วยเขียนให้ท่านแต่อย่าลืมช่วยฉันนะ ขอให้ท่านลุความสำเร็จในธรรมของท่านเถิด"

                                    โศลกของอาตมามีว่า:-


"ไม่มีต้นโพธิ์

ทั้งไม่มีกระจกเงาอันใสสะอาด

เมื่อทุกสิ่งว่างเปล่าแล้ว

ฝุ่นจะลงจับอะไร?"

                             เมื่อเขาเขียนโศลกลงที่ผนังแล้ว ทั้งพวกศิษย์และคนนอกทุกคนที่อยู่ที่นั่น ต่างพากันประหลาดใจอย่างยิ่ง จิตใจเต็มตื้นไปด้วยความชื่นชม เขาพากันกล่าวแก่กันและกันว่า "น่าประหลาดเหลือเกิน ไม่ต้องสงสัยเลย เราไม่ควรตัดสินใครว่าเป็นอย่างไร ด้วยการเอารูปร่างภายนอกเป็นประมาณ มันเป็นไปได้อย่างไรกันหนอ ที่เราพากันใช้สอยโพธิสัตว์ผู้อวตาร ให้ทำงานหนักให้แก่เรา มานานถึงเพียงนี้?"

                              พระสังฆปริณายก เห็นคนเหล่านั้นพากันเต็มตื้น ไปด้วยความอัศจรรย์ใจ ท่านจึงเอารองเท้าลบโศลก อันที่เป็นของอาตมาออกเสีย ถ้าไม่ทำดังนั้น พวกคนที่มักริษยาจะพากันทำร้ายอาตมา พระสังฆปริณายก แสดงความรู้สึกบางอย่างออกมา ซึ่งทำให้คนเหล่านั้นพอใจที่จะคิดว่า แม้ผู้ที่เขียนโศลกอันนี้ก็ยังไม่ใช่เป็นผู้ที่เห็นแจ้ง จิตเดิมแท้ เหมือนกัน

                              วันรุ่งขึ้น พระสังฆปริณายกได้ลอบมาที่โรงตำข้าวอย่างเงียบๆ ครั้นเห็นอาตมาตำข้าวอยู่ด้วยสากหิน ท่านกล่าวแก่อาตมาว่า "ผู้ค้นหาหนทางต้องยอมเสี่ยงชีวิตของตนเพื่อธรรมะ เขาควรทำเช่นนั้นมิใช่หรือ?" แล้วท่านถามอาตมาต่อไปว่า "ข้าวได้ที่แล้วหรือ?" อาตมาตอบท่านว่า ได้ที่นานแล้ว ยังรอคอยอยู่ก็แต่ตะแกรงสำหรับร่อนเท่านั้น" ท่านเคาะครกตำข้าวด้วยไม้เท้า 3 ครั้ง แล้วก็ออกเดินไป

                              อาตมาทราบดีว่าการบอกใบ้เช่นนั้น หมายความว่ากระไร ดังนั้นในเวลาสามยามแห่งคืนนั้น อาตมาจึงไปที่ห้องท่าน ท่านใช้จีวรขึ้นขึงบังมิให้ใครเห็นเราทั้งสองแล้ว ท่านก็ได้อธิบายข้อความอันลึกซึ้งในวัชรสูตร(กิมกังเก็ง) ให้แก่อาตมา เมื่อท่านได้อธิบายมาถึงข้อความที่ว่า "คนเราควรจะใช้จิตของตน ในวิถีทางที่มันจะเป็นอิสระได้จากเครื่องข้องทั้งหลาย"(*2) ทันใดนั้นอาตมาก็ได้บรรลุการตรัสรู้ธรรมโดยสมบูรณ์ และได้เห็นแจ้งชัดว่า "ที่แท้ทุกๆ สิ่งในสากลโลกนี้ก็คือตัว จิตเดิมแท้ นั่นเองมิใช่อื่นไกล"

*2บันทึกของ ออน คณาจารย์แห่งนิกายธยานผู้หนึ่งมีว่า-เป็นอิสระได้จากเครื่องข้องทั้งหลาย นั้น หมายความว่า ไม่ข้องแวะอยู่ในรูปหรือวัตถุ ไม่ข้องแวะอยู่ในเสียง ไม่ข้องแวะอยู่ในความหลง ไม่ข้องแวะอยู่ในการตรัสรู้ ไม่ข้องแวะอยู่ในสิ่งอันเป็นตัวยืนโรง ไม่ข้องแวะอยู่ในสิ่งอันเป็นคุณลักษณะที่อาศัย(อยู่กับตัวที่ยืนโรง) คำว่า "ใช้จิต" นั้น หมายความว่า ให้ "จิตเอก" (กล่าวคือ ตัวจิตร่วมของสากลโลก) ได้ปรากฏตัวมันเองในที่ทุกแห่ง อธิบายว่า เมื่อใดจิตประกอบอยู่ด้วยเมตตา หรือโทสะก็ตาม เมื่อนั้นตัวเมตตาหรือตัวโทสะก็ปรากฏแทนเสีย ส่วนตัว "จิตเดิมแท้" ลับหายไป แต่เมื่อจิตของเราไม่ประกอบอยู่ด้วยอะไรเลย เราก็ย่อมเห็นได้โดยประจักษ์ว่า โลกนี้ทั้งสิบภาค(หรือสิบทิศ) ไม่ใช่อะไรอื่นไกล นอกไปจากความปรากฏของ "จิตเอก" นั้นเท่านั้น

คำอธิบายข้างบนนี้แน่นแฟ้นและตรงจุด นักศึกษาที่เป็นเจ้าตำรานั้น ไม่สามารถให้คำอธิบายที่น่าพอใจเช่นนี้ได้ เพราะเหตุนั้น คณาจารย์ฝ่ายธยาน (รวมทั้งท่าน ออน อาจารย์ฝ่ายธยานมีชื่อของประเทศด้วย ผู้หนึ่ง) จึงอยู่สูงกว่าพวกที่เทศนาสั่งสอน ตามพระไตรปิฎก (ดิปิงเซ่ ผู้แปลเดิม)

                             อาตมาได้ร้องขึ้นในที่เฉพาะหน้าพระสังฆปริณายก ในที่นั้นว่า

 
"แหม! ใครจะไปคิดว่า จิตเดิมแท้ นั้น เป็นของบริสุทธิ์อย่างบริสุทธิ์แท้จริง

ใครจะไปคิดว่า จิตเดิมแท้ นั้น เป็นอิสระไม่อยู่ภายใต้อำนาจ ความต้องเป็นอยู่ หรือภายใต้ความดับสูญ อย่างอิสระแท้จริง

ใครจะไปคิดว่า จิตเดิมแท้ นั้น เป็นสิ่งที่มีความสมบูรณ์อยู่ในตัวมันเอง อย่างสมบูรณ์แท้จริง

ใครจะไปคิดว่า จิตเดิมแท้ นั้น เป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือความเปลี่ยนแปลง อย่างนอกเหนือแท้จริง

ใครจะไปคิดว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่ปรากฏออกมานี้ ไหลเทออกมาจากตัว จิตเดิมแท้"


                         
                              เมื่อพระสังฆปริณายก สังเกตเห็นว่า อาตมาได้เห็นแจ้งแล้วใน จิตเดิมแท้ ท่านได้กล่าวว่า

                               "สำหรับผู้ที่ไม่รู้จักจิตใจของตนเอง ว่าคืออะไร ก็ป่วยการที่ผู้นั้นจะศึกษาพุทธศาสนา ตรงกันข้าม ถ้าผู้ใดรู้จักจิตใจของตนเองว่าเป็นอะไร และเห็นด้วยปัญญาอย่างซึมซับว่า ธรรมชาติแท้ของตนเองคืออะไรด้วยแล้ว ผู้นั้นคือวีรมนุษย์(นายโรงโลก) คือครูของเทวดาและมนุษย์ คือพุทธะ"

                               ดังนั้น, ในฐานะที่ความรู้ย่อมไม่เป็นของบุคคลใดแต่ผู้เดียว ธรรมะอันนั้นจึงถูกมอบตกทอดมายังอาตมาในเที่ยงคืนวันนั้นเอง ผลก็คืออาตมาเป็นทายาทผู้ได้รับมอบทอดช่วง คำสั่งสอนแห่งนิกาย "ฉับพลัน" (sudden school) พร้อมทั้งจีวรและบาตร (อันเป็นเครื่องหมายตำแหน่งสังฆปริณายกแห่งนิกายนี้สืบลงมาตั้งแต่สังฆปริณายกองค์แรก)

                                พระสังฆปริณายกได้กล่าวสืบไปว่า "บัดนี้ ท่านเป็นสังฆปริณายกองค์ที่หก ท่านต้องคุ้มครองตัวของท่านให้ดี จงช่วยมนุษย์ให้มากพอที่จะช่วยได้ จงทำการเผยแพร่คำสอน และสืบอายุคำสอนไว้อย่าให้ขาดตอนลงได้" จงจำโศลกโคลงอันนี้ของเราไว้:-

                                 "สัตว์ที่มีความรู้สึกนึกคิด ซึ่งเราหว่านเมล็ดพืชพันธุ์แห่งการตรัสรู้ ลงในเนื้อนาแห่งความเป็นไปตามอำนาจแห่งเหตุและผลแล้วจะเก็บเกี่ยวผลถึงพุทธภูมิ  วัตถุมิใช่สัตว์ที่มีความรู้สึกนึกคิด เป็นสิ่งว่างเปล่าจากธรรมชาติแห่งพุทธะ ย่อมไม่หว่านและไม่เก็บเกี่ยวเลย"

                                  ท่านได้กล่าวสืบไปว่า "เมื่อสังฆปริณายกนามว่า โพธิธรรมได้มาสู่ประเทศจีนนี้เป็นครั้งแรก ชาวจีนส่วนมากไม่ยอมเชื่อในท่าน ดังนั้น, ผ้ากาสาวพัสตร์นี้ จึงเกิดเป็นธรรมเนียมที่จะต้องมอบต่อๆกันไป จากพระสังฆปริณายกองค์หนึ่งไปยังอีกองค์หนึ่ง ในฐานะเป็นเครื่องหมาย สำหรับธรรมะนั้นเล่า ก็มอบทอดช่วงกันไปตัวต่อตัวโดยทางใจ(จิตถึงจิต) ไม่เกี่ยวกับคัมภีร์และผู้รับมอบนั้น ต้องเป็นผู้ที่เห็นธรรมะนั้นแล้วอย่างแจ่มแจ้ง ด้วยความพยายามของตนเองโดยเฉพาะ นับตั้งแต่อดีตกาลอันกำหนดนับไม่ได้เป็นต้นมา เป็นธรรมเนียมปฏิบัติกันสำหรับพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง ก็จะมอบหัวใจคำสอนของพระองค์ให้แก่ผู้จะสืบอายุพระพุทธศาสนาต่อไป แม้สำหรับพระสังฆปริณายกหัวหน้าแห่งนิกายองค์หนึ่งๆก็เหมือนกัน ย่อมจะมอบคำสอนอันเร้นลับแห่งนิกายนั้นโดยตัวต่อตัว ให้แก่พระสังฆปริณายกที่รองลำดับลงไปโดยความรู้ทางใจ (ไม่เกี่ยวกับตำรา) แต่สำหรับผ้ากาสาวพัสตร์และบาตรนี้อาจเป็นต้นเหตุแห่งการยื้อแย่งเถียงสิทธิกันขึ้นก็ได้ ท่านเป็นคนสุดท้ายที่ได้รับมอบในเวลานี้ ท่านควรมอบมันไปเสียแก่ผู้ที่จะรับสืบต่อจากท่านได้ ชีวิตของท่านกำลังล่อแหลมต่ออันตราย จงเดินทางไปเสียจากที่นี่ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ มิฉะนั้นจะมีคนทำอันตรายท่าน
อาตมาถามท่านว่า ควรจะไปทางไหน ท่านตอบว่า "จงหยุดที่ตำบลเวย แล้วซ่อนตัวอยู่ผู้เดียวที่ตำบลวุย"

                                เมื่อได้รับผ้ากาสาวพัสตร์และบาตรในตอนเที่ยงคืนเสร็จแล้ว อาตมาได้กล่าวกะท่านว่า เนื่องจากตัวเป็นชาวใต้ จะรู้จักเดินทางไปตามภูเขาได้อย่างไรและไม่สามารถเดินไป(เพื่อลงเรือ) ที่ปากแม่น้ำได้ ท่านตอบว่า "อย่าร้อนใจเราจะไปด้วย"

                                 ท่านได้มาเป็นเพื่อนอาตมา จนถึงกิวเกียง, ณ ที่นั้นท่านได้บอกให้อาตมาลงเรือลำหนึ่ง ท่านแจวเรือนั้นด้วยตนเอง อาตมาจึงขอร้องให้ท่านนั่งลงเสีย และอาตมาจะแจวเอง ท่านตอบว่า "มันเป็นสิทธิฝ่ายเราผู้เดียวเท่านั้นในการที่จะพาท่านข้ามไป (ในที่นี้หมายถึงทะเลแห่งการเกิดตาย ซึ่งคนเราจะต้องข้าม ก่อนแต่จะลุถึงฝั่งคือนิพพาน) อาตมาจึงตอบท่านว่า "เมื่อกระผมยังอยู่ภายใต้โมหะ ก็เป็นหน้าที่ที่หลวงพ่อจะต้องพากระผมข้ามไป แต่เมื่อได้บรรลุธรรมเป็นการตรัสรู้แล้ว กระผมก็ควรจะข้ามมันด้วยตนเอง (คำว่า "ข้าม" ทั้งสองแห่งนั้น แม้เขียนเหมือนกัน แต่ความหมายต่างกัน) โดยที่กระผมเกิดที่บ้านนอกชายแดน แม้การพูดจาของกระผมยังแปร่งไม่ถูกต้องในการออกเสียงก็ตามแต่กระผมก็ได้รับเกียรติจากหลวงพ่อ ในการที่ได้รับมอบธรรมะอันนั้นจากหลวงพ่อ ฉะนั้นก็แปลว่ากระผมได้บรรลุธรรมแล้ว มันควรจะเป็นสิทธิของกระผม ในการที่จะพาตัวเองข้ามทะเลแห่งความเกิดตายไปได้ด้วยการที่ตนเห็นแจ้ง จิตเดิมแท้ ของตนเองแล้ว"

                                 "ถูกแล้ว ถูกแล้ว" ท่านรับรอง แล้วท่านกล่าวต่อไปว่า "นับจำเดิมแต่นี้เป็นต้นไป เพราะอาศัยท่านเป็นเหตุ พุทธศาสนา (หมายถึงนิกายธยาน)จะแผ่กว้างขวางไพศาล นับตั้งแต่จากกันวันนี้แล้ว อีกสามปีเราก็จะลาจากโลกนี้ไป ท่านจงเริ่มต้นการจาริกของท่านตั้งแต่บัดนี้เถิด จงลงไปทางใต้ให้เร็วเท่าที่จะเร็วได้ อย่าด่วนทำการเผยแพร่ให้เร็วเกินไป เพราะว่าพุทธธรรมนี้(หมายถึงนิกายธยาน) ไม่เป็นของที่เผยแพร่ได้โดยง่ายเลย

                                  เมื่อได้กล่าวคำอำลาแล้ว อาตมาก็จากท่าน เดินทางลงมาทางทิศใต้ เป็นเวลาประมาณสองเดือน อาตมาก็มาถึงภูเขาไต้ยู้ ณ ที่นี้ อาตมาได้สังเกตเห็นว่ามีคนหลายร้อยคนติดตามรอยอาตมา ด้วยหวังจะยื้อแย่งผ้ากาสาวพัสตร์ และบาตร (เป็นปูชนียวัตถุของพระพุทธเจ้า)
ในจำพวกคนที่ติดตามมานั้น มีภิกษุอยู่ด้วยรูปหนึ่งชื่อไวมิง เมื่อเป็นฆราวาสใช้แซ่สกุลว่า เซ็น และมียศนายทหารเป็นนายพลจัตวา มีกิริยาหยาบคายโทสะฉุนเฉียว ในบรรดาคนที่ติดตามอาตมามานั้น เขาเป็นคนที่สะกดรอยเก่งที่สุด ครั้นเขามาใกล้จวนจะถึงตัวอาตมา อาตมาก็วางผ้ากาสาวพัสตร์กับบาตรลงบนก้อนหิน ประกาศว่า "ผ้านี้ไม่เป็นอะไรอื่น นอกจากจะเป็นเครื่องหมายเท่านั้น จะมีประโยชน์อะไร ในการที่จะยื้อแย่งเอาไปด้วยกำลัง?" (แล้วอาตมาก็หลบไปซ่อนเสีย)

                              ครั้นภิกษุไวมิงมาถึงก้อนหินนั้น เขาพยายามที่จะหยิบมันขึ้น แต่กลับปรากฏว่าเขาไม่สามารถจะทำเช่นนั้นได้ แล้วเขาได้ตะโกนว่า "พ่อน้องชาย พ่อน้องชาย ฉันมาเพื่อหาธรรมะ ไม่ใช่มาเพื่อเอาผ้า" (พึงทราบว่าเวลานี้ พระสังฆปริณายกองค์ที่หกนี้ยังไม่ได้รับการอุปสมบท จึงถูกเรียกว่า พ่อน้องชาย เหมือนที่ฆราวาสเขาเรียกกัน)

                              ต่อจากนั้น อาตมาก็ออกจากที่ซ่อน นั่งลงบนก้อนหินนั้น ภิกษุไวมิงทำความเคารพ แล้วกล่าวว่า "น้องชาย แสดงธรรมแก่ฉันเถิด ช่วยที"

                              อาตมาได้กล่าวกะภิกษุไวมิงว่า "เมื่อความประสงค์แห่งการมาเป็นความประสงค์เพื่อจะฟังธรรมแล้ว ก็จงระงับใจไม่ให้คิดถึงสิ่งใดๆ แล้วทำใจของท่านให้ว่างเปล่า เมื่อนั้นข้าพเจ้าจึงจะสอนท่าน" ครั้นเขาทำดังนั้นชั่วเวลาพอสมควรแล้ว อาตมาได้กล่าวว่า "เมื่อท่านทำในใจไม่คิดทั้งฝ่ายดีและฝ่ายชั่ว(รู้จักสิ่งที่ไม่ดีและไม่ชั่ว) แล้ว ในเวลานั้นเป็นอะไร ท่านที่นับถือ นั่นคือธรรมชาติแท้ของท่าน (ตามตัวหนังสือ เรียนหน้าตาดั้งเดิมของท่าน) มิใช่หรือ?"

                              พอภิกษุไวมิงได้ฟังดังนั้น ท่านก็บรรลุธรรมทันที แต่ท่านได้ถามต่อไปว่า "นอกจากคำสอนและข้อคิดอันเร้นลับ ที่พระสังฆปริณายกท่านมอบต่อๆ กันลงไป หลายชั่วพระสังฆปริณายกมากันแล้วนั้น ยังมีคำสอนเร้นลับอะไรอีกบ้างไหม?" อาตมาตอบว่า "สิ่งที่ข้าพเจ้าจำนำมาสอนให้ท่านได้นั้น ไม่ใช่ข้อเร้นลับอะไร คือถ้าท่านมองย้อนเข้าข้างใน (*3) ท่านจะเห็นสิ่งเร้นลับมีอยู่ในตัวท่านแล้ว"

*3 หลักสำคัญที่สุดในคำสอนของนิกายธยานนั้น คือ "การมองด้านใน" หรือ "การเฝ้าดูแต่ภายใน" หมายถึงการหมุนให้ "แสง"ของตัวเอง ฉายกลับเข้าภายในถ้าจะเปรียบ เราควรจะเปรียบกับตะเกียง คือเราทราบดีว่าแสงของตะเกียงนั้น เมื่อมีโป๊ะครอบอยู่โดยรอบ ก็ย่อมกระท้อนกลับเข้าภายใน พร้อมทั้งรัศมีทั้งหมดไปรวมจุดศูนย์กลางอยู่ที่ดวงไฟผิดกับตะเกียงที่ไม่มีโป๊ะครอบ แสงก็จะพร่าจางหายไปในภายนอก เมื่อเราคอยแต่จะวิพากษ์วิจารณ์ผู้อื่น ซึ่งเป็นสิ่งที่เรามักเคยทำกันจนเคยตัว ก็เป็นการยากที่จะหมุนความคิดนึกให้มาสนใจแต่ตัวเองโดยเฉพาะ เพราะเหตุนั้น จึงเป็นการยากที่จะทราบเรื่องต่างๆ ของตัวเอง โดยลักษณะตรงกันข้าม พวกนิกายธยานหมุนความสนใจส่องกลับเข้าภายในทั้งหมด และส่องระดมลงไปที่ "ธรรมชาติแท้" ของตัวเองซึ่งเรียกกันในระหว่างชนชาวจีนว่า "หน้าตาดั้งเดิม" ของตัวเอง

                                  เพื่อมิให้ผู้อ่านผ่านพ้นความสำคัญตอนนี้ไปเสีย จึงควรบันทึกข้อความนี้ไว้เป็นเครื่องสะกิดใจว่า ในประเทศจีนแห่งเดียวเท่านั้น พุทธบริษัทจำนวนพันๆ ได้บรรลุธรรมถึงขั้นสูงโดยการปฏิบัติตามคำสอนอันฉลาด (ในการลัดทางตรง) ของพระสังฆปริณายกองค์ที่หกนี้ (ดิปิงเซ่ ผู้แปลเดิม)

                                   ภิกษุไวมิงได้กล่าวขึ้นว่า "แม้ฉันจะอยู่ที่วองมุยมานมนาน ฉันก็ไม่ได้เห็นแจ้งตัวธรรมชาติแท้ของจิตฉันเลย บัดนี้รู้สึกขอบคุณเหลือเกินในการชี้ทางของท่าน ฉันรู้สิ่งนั้นชัดแจ้ง เหมือนที่คนดื่มน้ำเขารู้แจ้งชัดว่า น้ำที่เขาดื่มนั้นร้อนหรือเย็นอย่างไร พ่อน้องชายเอ๋ย บัดนี้ท่านเป็นครูของฉันแล้ว"

                                    อาตมาตอบว่า "ถ้าเป็นดังนั้นจริงแล้ว ท่านกับข้าพเจ้า ก็เป็นศิษย์ร่วมอาจารย์เดียวกัน ของพระสังฆปริณายกองค์ที่ห้า ท่านจงคุ้มครองตัวของท่านให้ดีเถิด" เมื่อเขาถามอาตมาว่าต่อจากนี้ไป เขาควรจะไปทางไหน อาตมาก็ตอบแก่เขาว่า ให้เขาหยุดที่ตำบลยีวน แล้วตั้งพำนักอาศัยที่ตำบลม็อง เขาก็ทำความเคารพแล้วจากกันไป"

                                     ต่อมาไม่นาน อาตมาก็ไปถึงตำบลโซกาย, ณ ที่นั้น พวกใจบาปได้ตามจองล้างจองผลาญอาตมาอีก ทำให้อาตมาต้องหลบซ่อนอยู่ที่ซีวุย อันเป็นที่ซึ่งอาตมาได้อาศัยอยู่กับพวกพรานป่าตลอดเวลานานถึง 15 ปี ในบางโอกาส อาตมาก็หาทางสั่งสอนเขาตามที่เขาพอจะเข้าใจได้บ้าง เขาเคยใช้อาตมาให้นั่งเฝ้าข่ายดักจับสัตว์ของเขา, เมื่ออาตมาเห็นสัตว์มาติดที่ข่ายนั้น ก็ปลดปล่อยให้รอดชีวิตไป ในเวลาหุงต้มอาหาร อาตมานำผักมาใส่ลงไปในหม้อที่เขากำลังต้ม หรือแกงเนื้อ บางคนสงสัยก็ถามอาตมา อาตมาตอบให้ฟังว่า แม้เนื้อนั้นแกงรวมกันอยู่กับผัก อาตมาก็จะคัดเลือกรับประทานแต่ผักอย่างเดียวเท่านั้น

                              วันหนึ่ง อาตมารำพึงในใจตนเองว่า อาตมาไม่ควรจะเก็บตัวซ่อนอยู่เช่นนี้ตลอดไป มันถึงเวลาแล้ว ที่อาตมาจะทำการประกาศธรรม ดังนั้นอาตมาจึงออกจากที่นั้น และได้ไปสู่อาวาสฟัดฉิ่นในนครกวางตุ้ง

                               ในขณะนั้น ภิกษุเยนชุง ผู้เป็นธรรมาจารย์มีชื่อเสียงองค์หนึ่ง กำลังเทศนาว่าด้วยมหาปรินิวาณสูตร อยู่ในอาวาสนั้น มันเป็นการบังเอิญในวันนั้น เมื่อธงริ้วกำลังถูกลมพัดสะบัดพริ้วๆ อยู่ในสายลม ภิกษุสองรูปเกิดโต้เถียงกันขึ้นว่าสิ่งที่กำลังไหวสั่นระรัวอยู่นั้น ได้แก่ลม หรือได้แก่ธงนั้นเล่า เมื่อไม่มีทางที่จะตกลงกันได้ อาตมาจึงเสนอข้อตัดสินให้แก่ภิกษุสองรูปนั้นว่า ไม่ใช่ลมหรือธงทั้งสองอย่าง ที่แท้จริง ที่หวั่นไหวจริงๆ นั้น ได้แก่จิตของภิกษุทั้งสองรูปนั้นเองต่างหากที่ประชุมที่กำลังประชุมกันอยู่ในที่นั้น พากันตื่นตะลึง.ในถ้อยคำที่อาตมาได้กล่าวออกไป และภิกษุเยนชุง ได้อาราธนาอาตมาให้ขึ้นนั่งบนอาสนะอันสูงแล้วได้ซักถามปัญหาที่เป็นปมยุ่งต่างๆ ในพระสูตรที่สำคัญๆ หลายพระสูตร

                                เมื่อได้เห็นว่า คำตอบของอาตมาชัดเจนแจ่มแจ้งและมั่งคง และเห็นว่าเป็นคำตอบที่มีอะไรสูงยิ่งไปกว่าความรู้ ที่จะหาได้จากตำราแล้ว ภิกษุเยนชุงได้กล่าวแก่อาตมาว่า "น้องชาย ท่านต้องเป็นบุคคลพิเศษเหนือธรรมดาเป็นแน่ เราได้ฟังข่าวมานานแล้วว่า บุคคลผู้ได้รับมอบผ้ากาสาวพัสตร์ และธรรมะจากพระสังฆปรินายกองค์ที่ห้านั้น บัดนี้ได้เดินทางลงมาทางทิศใต้แล้ว ท่านต้องเป็นบุคคลผู้นั้น เสียแน่แล้ว"

                                อาตมา ได้แสดงกิริยายอมรับโดยอ่อนน้อม ทันใดนั้น ภิกษุเยนชุงได้ทำความเคารพ และขอให้อาตมานำผ้าและบาตร ซึ่งได้รับมอบ ออกมาให้ที่ประชุมดูด้วย แล้วได้ถามอาตมาสืบไปว่า เมื่อสังฆปริณายกองค์ที่ห้ามอบธรรมอันเร้นลับสำหรับสังฆปริณายก ให้แก่อาตมานั้น อาตมาได้รับคำสั่งสอนอะไร อย่างใดบ้าง

                                 อาตมาตอบว่า "นอกจากการคุ้ยเขี่ยด้วยเรื่องการเห็นแจ้งชัดใน จิตเดิมแท้ แล้ว ท่านไม่ได้ให้คำสอนอะไรอีกเลย ท่านไม่ได้เอ่ยถึงแม้แต่เรื่องธยานและวิมุต" ภิกษุเย็นชุงสงสัย จึงถามอาตมาว่า ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น อาตมาตอบว่า เพราะว่ามันจะทำให้เกิดความหมายว่า มีหนทางขึ้นถึงสองทาง ก็ทางในพุทธธรรมนี้ จะมีถึงสองทางไม่ได้ มันมีแต่ทางเดียวเท่านั้น
 
                                 ภิกษุเยนชุง ถามอาตมาต่อไปว่า ที่ว่ามีแต่ทางเดียวนั้นคืออะไร อาตมาตอบว่า "ก็มหาปรินิรวาณสูตรซึ่งท่านนำออกเทศนาอยู่นั่นเอง ย่อมชี้ให้เห็นอยู่แล้วว่า ธรรมชาติแห่งความเป็นพุทธะ(ซึ่งมีอยู่ในคนทุกคน) นั่นแหละคือทางทางเดียว ยกตัวอย่างตอนหนึ่งในพระสูตรนั้นมีว่า พระเจ้าโกโกวตั่ก ซึ่งเป็นโพธิสัตว์องค์หนึ่ง ได้กราบทูลถามพระพุทธเจ้าว่า บุคคลที่ล่วงปาราชิกสี่อย่างก็ดี หรือทำอนันตริยกรรมห้าอย่างก็ดี และพวกอิจฉันติกะ (คือมิจฉาทิฏฐินอกศาสนา) ก็ดี ฯลฯ คนเหล่านี้ จะได้ชื่อว่าถอนรากเหง้าแห่งความดี และทำลาย ธรรมชาติแห่งความเป็นพุทธะ ของตนเองเสียแล้ว โดยสิ้นเชิงหรือหาไม่? พระพุทธเจ้าได้ตรัสตอบว่า รากเหง้าของความดีนั้น มีอยู่สองชนิดคือ ชนิดที่ถาวรตลอดอนันตกาล กับไม่ถาวร(Eternal, and Non-eternal) เพราะเหตุที่ธรรมชาติแห่งความเป็นพุทธะนั้น จะเป็นของถาวรตลอดอนันตการก็ไม่ใช่ จะว่าไม่ถาวรก็ไม่ใช่ เพราะฉะนั้น รากเหง้าแห่งความดีของเขา จึงไม่ถูกถอนขึ้นโดยสิ้นเชิง" ในบัดนี้ก็เป็นที่ปรากฏแล้วว่า พุทธธรรมมิได้มีทางสองทาง ที่ว่าทางฝ่ายดีก็มี ทางฝ่ายชั่วก็มี นั้นจริงอยู่ แต่เพราะเหตุที่ธรรมชาติแห่งความเป็นพุทธะนั้น เป็นของไม่ดีไม่ชั่ว เพราะฉะนั้น พุทธธรรมจึงเป็นที่ปรากฏว่าไม่มีทางถึงสองทาง ตามความคิดของคนธรรมดาทั่วไปนั้นเข้าใจว่า ส่วนย่อยๆของขันธ์และธาตุทั้งหลายนั้น เป็นของที่แบ่งแยกออกได้เป็นสองอย่าง แต่ผู้ที่ได้บรรลุธรรมแล้ว ย่อมเข้าใจว่า สิ่งเหล่านั้นตามธรรมชาติไม่ได้เป็นของคู่เลย พุทธภาวะหรือธรรมชาติแห่งความเป็นพุทธนั้นไม่ใช่เป็นของคู่"
ภิกษุเยนชุง พอใจในคำตอบของอาตมาเป็นอย่างสูง ได้ประนมมือทั้งสองขึ้นเป็นการแสดงความเคารพแล้ว ท่านได้กล่าวแก่อาตมาว่า "คำอธิบายความในพระสูตรที่ข้าพเจ้าเองอธิบายไปแล้วนั้น ไร้มูลค่า เช่นเดียวกับกองขยะมูลฝอยอันระเกะระกะไปหมด ส่วนคำอธิบายของท่านนั้น เต็มไปด้วยคุณค่าเปรียบเหมือนทองคำเนื้อบริสุทธิ์" ครั้นแล้วท่านได้ช่วยจัดการให้อาตมาได้รับการ ประกอบพิธีปลงผม และรับการบรรพชาอุปสมบท เป็นภิกษุในพุทธศาสนา และได้ขอร้องให้อาตมา รับท่านไว้ในฐานะเป็นศิษย์คนหนึ่งด้วย

                             จำเดิมแต่นั้นมา อาตมาก็ได้ทำการเผยแพร่คำสอนแห่งสำนักตุงซั่น (คือ สำนักแห่งพระสังฆปริณายกองค์ที่สี่และองค์ที่ห้า ซึ่งอยู่ในวัดตุงซั่น) ตลอดมาภายใต้ร่มเงาของต้นโพธิ์(*4)

*4 คำว่าต้นโพธิ์ในที่นี้ เข้าใจว่าหมายถึงบารมีของพระพุทธเจ้า หรือมิฉะนั้นก็หมายถึงพุทธภาวะหรือธรรมชาติแห่งพุทธะ ซึ่งถือเป็นของสำคัญเพียงอย่างเดียวในนิกายนี้ (พุทธทาส ผู้แปลไทย)

                              นับตั้งแต่อาตมาได้รับมอบพระธรรมมาจากสำนักตุงซั่นแล้ว อาตมาต้องตกระกำลำบากหลายครั้งหลายหน ชีวิตปริ่มจะออกจากร่างอยู่บ่อยๆ วันนี้อาตมาได้มีเกียรติมาพบกับท่านทั้งหลาย ในที่ประชุมนี้ ทั้งนี้ อาตมาต้องถือว่าเป็นเพราะเราได้เคยติดต่อสัมพันธ์กันมาเป็นอย่างดีแล้วแต่ในกัลป์ก่อนๆ รวมทั้งอานิสงส์แห่งบุญกุศล ที่เราได้สะสมกันไว้ ในการถวายไทยธรรมร่วมกันมาแต่พระพุทธเจ้าหลายพระองค์ในชาติก่อนๆของเรานั่นเอง มิฉะนั้นแล้วไฉนเราจะมีโอกาสได้ยินได้ฟังคำสอนแห่ง "สำนักบรรลุฉับพลัน" อันเป็นรากฐานที่ทำให้เราเข้าใจพระธรรมได้แจ่มแจ้ง ในอนาคตนั้นเล่า

                             คำสอนอันนี้ เป็นคำสอนที่ "ได้มอบสืบทอดต่อๆ กันลงมาจากพระสังฆปริณายกองค์ก่อนๆ หาใช่เป็นคำสอนที่อาตมาประดิษฐ์คิดขึ้นด้วยตนเองไม่ ผู้ที่ปรารถนาจะสดับพระธรรมนั้น ในขั้นแรกควรจะชำระใจของตนให้สะอาด ครั้นได้ฟังแล้ว ก็ควรจะชะล้างความสงสัยของตน ให้เกลี้ยงเกลาไปเฉพาะตนๆ โดยทำนองที่พระมุนีทั้งหลายในกาลก่อนได้เคยกระทำกันมา จงทุกคนเถิด"

                             ครั้นจบพระธรรมเทศนา ผู้ฟังพากันปลาบปลื้มด้วยปีติ ทำความเคารพแล้วลาไป
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #6381 เมื่อ: 16 มิถุนายน 2555, 21:13:13 »

"ไม่มีต้นโพธิ์

ทั้งไม่มีกระจกเงาอันใสสะอาด

เมื่อทุกสิ่งว่างเปล่าแล้ว

ฝุ่นจะลงจับอะไร?"

                           จิตเดิมแท้เป็นจิตที่ว่างเปล่า หรือจิตปภัสสร ดังนั้น ถ้าเราไม่ไปยึดมั่นถือมั่น หรือยึดถือตัวกู  ของกู หรือไปยึดมั่นถือมั่นในอุปาทานขันธ์ ๕ เสียแล้ว เราก็ไม่จำเป็นที่จะต้องไปคอยเช็ดถูกระจกมันเลย มันไม่มีกระจกที่จะให้ฝุ่นมาเกาะ

                           แต่ทุกวันนี้เราไปยึดมั่นว่าในอุปาทานขันธ์ ๕ ไปคิดว่ามีตัวกู ของกู อยู่ มันจึงมีกระจกและมีฝุ่นมาเกาะ เลยต้องหมั่นเช็ดกระจกให้สะอาด หรือคอยชำระจิตใจตนเองอยู่นั่นไง 

                           กิเลสเมื่อมันมาเกาะเสียแล้ว มันเอาออกอยาก ทางที่ดี อย่าไปมีกระจกมันเสียเลย คืออย่าไปคิดว่ามันมีตัวตน  อย่าไปยึดมั่นถือมั่น  ปล่อยวางมันไปด้วยอุเบกขา สำรวมกาย  วาจา  ใจ ให้เป็นปกติเอาไว้

                           อย่าลืม ธรรมทั้งหลายล้วนเป็นอนัตตา

                           หลักคิดของท่านเว่ยลางนั้น ท่านให้คิดตรงกันข้ามเสมอ เช่น มีดำ ก็ต้องมีขาว  มีดีก็ต้องมีชั่ว นั่นคือคำสั่งสอนสุดท้ายของท่าน

                          ราตรีสวัสดิ์ทุกท่านครับค่ำนี้
      บันทึกการเข้า
pusadee sitthiphong
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: พาณิชยศาสตร์และการบัญชี
กระทู้: 4,689

« ตอบ #6382 เมื่อ: 16 มิถุนายน 2555, 22:44:01 »

ราตรีสวัสดิ์ค่ะ วันนี้พี่สิงห์พิมพ์ยาวจริงๆ
      บันทึกการเข้า

pom shi 2516
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #6383 เมื่อ: 17 มิถุนายน 2555, 20:29:37 »

อ้างถึง
ข้อความของ pusadee sitthiphong เมื่อ 16 มิถุนายน 2555, 22:44:01
ราตรีสวัสดิ์ค่ะ วันนี้พี่สิงห์พิมพ์ยาวจริงๆ

สวัสดี่ะ คุณน้องป้อม ที่รัก

                           พอดีมันเป็นสิ่งที่ดีมาก เพื่อทบทวนตัวเอง และให้ผู้อื่นได้ทบทวนด้วย เพราะนี่คือกุญแจดอกเอก ของฝ่ายมหายาน ซึ่งมีเป้าหมายตรงกัน คือ การทำที่สุดแห่งทุกข์ให้เกิดขึ้น

                           เพราะการปฏิบัติธรรมนั้น จิตมันไม่อยากทำ เราจึงต้องหาตัวช่วยมากระตุ้นให้เกิดวิริยะ ต่อไปครับ

                           ราตรีสวัสดิ์ค่ะ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #6384 เมื่อ: 17 มิถุนายน 2555, 20:43:19 »

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน

                               วันนี้พี่สิงห์ อยู่กรุงเทพฯ รับเลยถือโอกาสทำความสะอาดบ้าน

                               อาการของแม่นั้น แพรวบอกว่า ตอนนี้แผลกดทับของยายเกิดอาการอัดเสบขึ้นมา ติดเชื้อและมีหนอง ด้วย เป็นข่าวที่ไม่ดีเลย เพราะมันทรมารครับ ขนาดผมเองนั่งปฏิบัติธรรมนานๆ เนื้อช้ำจนเจ็บก้นไปหมด ต้องไปหาที่รองนั่งมีนุ่นหนาๆ มานั่งแล้ว เพราะกลัวจะเป็นแผลกดทับขึ้นมาจะยุ่งกันใหญ่ เพราะกว่าจะหายต้องใช้เวลา

                               วันจันทร์ - อังคาร - พุธ คงอยู่ที่โรงพยาบาลสิงห์บุรี ครับ เพื่อเปลี่ยนให้คนดูแลได้พักบ้าง

                               ราตรีสวัสดิ์ทุกท่านครับค่ำคืนนี้
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #6385 เมื่อ: 18 มิถุนายน 2555, 08:03:43 »

วันนี้เป็นวันพระ แรม ๑๔ ค่ำ เดือน ๗



สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน

                              วันนี้เป็นวันพระ แรม ๑๔ ค่ำ เดือน ๗ เป็นวันที่พวกเราชาวพุทธ ควรที่จะมาระลึกถึงองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยการเข้าวัดฟังธรรม คำสอนของพระองค์ หรือปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์ แล้วแต่กรณีและความเหมาะสม

                              วันนี้ผมใส่บาตรพระที่หน้าบ้าน

                              ท้ายซอยบ้านผมวันนี้ใส่บาตรด้วยกัน ๒ จุด ใกล้ๆ บ้านผมมี ๔ ครอบครัว และตรงหน้าบ้านผมวันนี้มี ๔ ครอบครัว เช่นกัน ตามที่ผมเคยบอกไปแล้ว ว่ามีสาวหุ่นดี รูปร่างหน้าตาดี มาใส่บาตรด้วย กุศลแรง เธอจะเอาข้าวของมาใส่บาตรพระครบ และปริมาณมาก  จากการแต่งตัวที่ระยะแรก ดูไม่เหมาะสม  แต่ภายหลังจากใส่บาตรเพิ่มขึ้น คงคิดได้เอง  รู้ว่าอะไรควรไม่ควร ผลของการให้ทาน มันจะสอนจิตเอง วันนี้เธอนุ่งกางเกงขายาว  ใส่เสื้อแขนยาว ครับ

                                ตามธรรมเนียมภายหลังจากรับพรพระ พวกเราที่ใส่บาตรพระ จะสวัสดิ์ดีแก่กัน โมทนาบุญแก่กัน เป็นการแสดงความมุฑิตาจิตต่อกัน หรือเพื่อฝึกละความยึดมั่นในตนเอง(ทิฏฐิ)ให้คลายลง  แต่สาวคนนั้น ยังเขิน และทำอะไรไม่เป็นเพราะไม่รู้ ยังไม่มีการแสดงมุฑิตา โมทนาบุญต่อกัน แต่พวกเราก็สวัสดีเธอและกล่าวโมทนาบุญแก่เธอ เป็นปกติ  ไม่เป็นไร เดี๋ยวจิตที่ได้ทำกุศลในการใส่บาตรพระยามเช้า มันจะสอนเธอเองให้รู้ ครับ

                               เป็นธรรมเนียม เมื่อเป็นวันพระ พระท่านไม่มาเทศน์โปรดญาติโยมในเวบ  ผมในฐานะอุบาสกที่ ดร.สุริยา  ตั้งให้ก็ขอปฏิบัติหน้าที่แทนพระก็แล้วกัน  ตามที่จิตมันให้พิจารณา คือคิดขึ้นมา ครับ


สติ - สัมปชัญญะ

                               สติ แปลว่า การระลึกได้ ในทางธรรม หมายถึงการระลึกได้ในการกระทำทางกุศลกรรม(ขโมยก็ระลึกได้เวลาไปหยิบสิ่งของ ของคนอื่น) ให้ระลึกได้จากอิริยาบถของร่างกายในการเคลื่อนไหวด้วยอวัยยวะของร่างกาย คือ อิริยาบถหลัก การยืน เดิน  นั่ง นอน อิริยาบถย่อยได้แก่ การหายใจเข้า-ออก ยืด-คู้แขน ก้ม ย่อ กิน ถ่าย และการทำงาน คือไม่ปล่อยให้ใจมันคิดล่องลอยไปตามอารมณ์จากอายตนะ ๖ นั่นเอง เพราะการปล่อยให้ใจล่องลอยไปนั้น มันเป็นการกระทำที่เป็นทาสของความคิด หรืออยู่ในโมหะ ที่จิตมันชอบ ที่จิตเราเคยชินทำมาตั้งแต่เกิด จนแยกแยะไม่ออก  แต่ถ้าเรามีการระลึกได้ เราจะแยกสติ-จิต ของเราได้

                               สัมปชัญญะ แปลว่า ความรู้ตัว ในทางธรรมนั้น หมายถึงการรู้ตัวในทางกุศลธรรม เราต้องรู้ตัวว่าเรากำลังจะกระทำอะไร ถ้าเรารู้ตัวของเราอยู่ด้วยการฝึกอยู่สม่ำเสมอ เราจะรู้ตัวด้วยปัญญา ว่าอะไรสมควร ไม่สมควรที่จะกระทำ มันจะเกิดปัญญา ให้เราพิจารณาใคร่ครวญว่าสมควรกระทำตามที่ท่านผู้รู้ทั้งหลายเห็นว่าสมควรกระทำ แล้วเราค่อยกระทำ  ความผิดพลาดก็ไม่เกิดขึ้น มีแต่วามสำเร็จ สงบ ปราศจากศัตรู และกระทำด้วยความยินดี

                               สติ-สัมปชัญญะ จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับเราที่เป็นมนุษย์อันประเสริฐ  ให้พยายามฝึกเอาไว้ หรือกำหนดเอาใว้ในใจเสมอให้เป็นนิสัย เราก็จะอยู่ในสังคมได้อย่างสงบสุขตามอัตภาพของเรา

                                โบราณถึงเตือนคนที่กำลังโกรธ  กำลังโลภ กำลังกระทำความชั่ว ให้มีสติ-สัมปชัญญะเข้าไว้ เพราะโบราณเชื่อว่า ถ้ามีสติ-สัมปชัญญะ คนคนนั้นจะรู้ตัวว่าอะไรควร ไม่ควร  คนที่กระทำชั่ว กระทำผิดนั้น เพราะขาดสติ-สัมปชัญญะ คือปล่อยให้ตัวเองหลงอยู่ในควาคิดตัวเอง ที่อยากได้ อยากมี อยากเป็น จนลืมตัว กระทำในสิ่งที่ไม่สมควรกระทำต่างๆ เกิดขึ้น เช่น กล่าววาจาไม่เหมาะสม ลักขโมย ฆ่าคน-สัตว์เดรฉาน พรากลูกเมียคนอื่น เป็นต้น มาคิดได้ก็เมื่อสายเสียแล้วคือ กระทำผิดไปแล้ว

                                 ในสมัยพุทธกาล มีพราหมณ์มาถามพระพุทธองค์ว่า "ข้าแต่สมณโคดม วันหนึ่งๆ ท่านอยู่ในโลกุตระธรรมอันใด" พระพุทธองค์ทรงตอบว่า พรหมณ์เอย วันหนึ่งๆ เราอยู่กับการยืน เดิน นั่ง นอน

                                  พราหมร์ตอบว่า ชาวบ้านเขาก็ ยืน เดิน นั่ง นอน กันทุกคน

                                  พระพุทธองค์ตอบว่า การยืน เดิน นั่ง นอน ของเรานั้นไม่เหมือนชาวบ้าน เรายืน เดิน นั่ง นอน โดยปราศจากกิเลส(ใจไม่ปรุงแต่งใดๆเลย) ทั้งสิ้น

                                  พวกเราชาวพุทธที่ยังเป็นชาวบ้าน เพียงแต่กระทำตามที่พระพุทธองค์สั่งสอน คือให้มีสติ-สัมปชัญยะ อยู่กับการยืน เดิน นั่ง นอน ณ ปัจจุบัน เข้าไว้ เพราะการมีสติ-สัมปชัญญะ มันจะทำให้เราไม่หลงอยู่ในโมหะ  นอกจะไม่หลงแล้ว ปัญญาดีๆ ย่อมเกิดขึ้นเสมอ จิตจะว่างเปล่าเพราะไม่คิด ถ้าทำให้ติดต่อกันต่อเนื่อง สักวัน "จิตเดิมแท้ที่มีกันทุกคน มันจะแสดงตนออกมาเอง" นั่นละคือที่สุดแห่งทุกข์

                                  เอวังด้วยประการฉะนี้ ขอความสุข  ความเจริญ  จงมีแก่ท่าน ทั่วทุกคน เทอญ

                                  สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #6386 เมื่อ: 18 มิถุนายน 2555, 08:15:55 »

ครึ่งแรกเบียร์เจ๊าโคนม-ดัตช์เสมอฝอยทอง

วันจันทร์ที่ 18 มิถุนายน 2555 เวลา 03:00 น.




                           ศึกฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป หรือ ยูโร2012 รอบสุดท้ายที่โปแลนด์ และยูเครน เมื่อวันอาทิตย์ที่ 18 มิ.ย. ในกลุ่มบีนัดสุดท้าย ลงสนาม 2 คู่พร้อมกันเสมอ 1-1 ทั้ง 2 คู่ในครึ่งแรก
 
                           วันนี้ (18 มิ.ย.) ศึกฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป หรือ ยูโร2012 รอบสุดท้ายที่โปแลนด์ และยูเครน เมื่อวันอาทิตย์ที่ 18 มิ.ย. ในกลุ่มบี นัดสุดท้าย ลงสนาม 2 คู่พร้อมกัน "อินทรีเหล็ก" เยอรมนี พบกับ "โคนม" เดนมาร์ก ที่สนามอารีนา ลวีฟ เมืองลวีฟ ประเทศยูเครน ผลงานใน 2 นัดแรกของเยอรมนี ชนะ โปรตุเกส 1-0 ชนะ ฮอลแลนด์ 2-1 มี 6 คะแนน ส่วน เดนมาร์ก ชนะ ฮอลแลนด์ 1-0 แพ้ โปรตุเกส 2-3 มี 3 คะแนน

                           แมตช์นี้ เยอรมนี ได้ประตูขึ้นนำไปก่อนจากฝีเท้าของ ลูคัส โพดอลสกี ในนาทีที่ 19 เดนมาร์ก ตามตีเสมอได้ในนาที 24 จาก ไมเคิล โครห์น-เดห์ลี เป็นประตูที่ 2 ของเขาในศึกยูโร2012 ครบ 45 นาทีแรก ยังเสมอกัน 1-1

                            ด้านเกมอีกหนึ่งคู่ "อัศวินสีส้ม" ฮอลแลนด์ พบกับ "ฝอยทอง" โปรตุเกส ที่สนามเมตาลิสต์ สเตเดี้ยม เมืองคาร์คีฟ ประเทศยูเครน ผลงานใน 2 นัดแรกของฮอลแลนด์ แพ้ เดนมาร์ก 0-1 แพ้ เยอรมนี 1-2 ยังไม่มีแต้ม ขณะที่ โปรตุเกส แพ้ เยอรมนี 0-1 ชนะ เดนมาร์ก 3-2 มี 3 คะแนน

                            ฮอลแลนด์ ได้ประตูขึ้นนำไปก่อนจาก ราฟาเอล ฟาน เดอร์ ฟาร์ต ในนาทีที่ 11 โปรตุเกส ไล่ตีเจ๊าได้จาก คริสเตียโน โรนัลโด ในนาที 28 หมดครึ่งแรกเสมอกัน 1-1
      บันทึกการเข้า
Khun28
Full Member
**


ดูกายเห็นจิต ดูคิดเห็นธรรม
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: RCU2528
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์
กระทู้: 784

« ตอบ #6387 เมื่อ: 18 มิถุนายน 2555, 12:06:25 »

สวัสดีครับพีสิงห์
         วันเสาร์ที่ผ่านมา ผมได้ไปทำบุญที่่วัดปลายนา  พระอาจารย์โกศิล ได้ให้วารสารเฉพาะกิจมา 2 เล่ม  ผมจะส่งให้พี่ หนึ่งเล่ม ผมรบกวนขอที่อยุ่พี่สิงห์ด้วยครับ

   หน่าปกวารสารครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #6388 เมื่อ: 18 มิถุนายน 2555, 19:56:55 »

สวัสดีครับ ท่านขุน

                              ขอบพระคุณมากครับ และพี่สิงห์ขอแผนที่วัดปลายนาด้วย ครับ

                              บ้านเลขที่ ๑๙๐ ซอยวิภาวดี-รังสิต ๒๒ ถนนวิภาวดี-รังสิต

                              แขวงจอมพล  เขตจตุจักร

                               กทม. ๑๐๙๐๐

                               ขอวามกรุณาอย่าลงทะเบียนครับ ส่งแบบธรรมดา ถึงแน่นอน เพราะไม่มีใครอยู่บ้านครับ

                               สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #6389 เมื่อ: 18 มิถุนายน 2555, 20:00:15 »








                               แช้มป์ U.S. Open สมศักดิ์ศรี สมควรจะได้  ไม่ใช่ No Name ครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #6390 เมื่อ: 18 มิถุนายน 2555, 20:20:32 »


สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน

                               วันนี้พี่สิงห์ ไปเฝ้าแม่มาครับ แม่รู้สึกตัว  ลืมตา  สามารถพูดโต้ตอบได้  อาการโดยรวมแย่ลง คือ

                                ๑. แผลกดทับที่เข้าใจว่าแห้งไม่มีหนองนั้น ความจริงหนองมันซ่อนอยู่ข้างใน เราไม่รู้  คุณหมอวิทิต น้องสาวกลัวแม่ทนไม่ได้  จึงไม่ทำอะไรกับมัน  แต่เนื่องจากแม่ไข้ขึ้นสูงไม่รู้สาเหตุ พยาบาลจึงมาดูที่แผลกดทับ ปรากฏว่ามีหนอง คนดูแลจึงบอกให้พยาบาลเอาหนองออก ปรากฏว่า หนองเน่าได้ประมาณครึ่งแก้ว แผลลึกมาก ตอนนี้แม่ไม่มีไข้แล้ว  นี่คงเป็นสาเหตุที่แม่ซึมมาตลอด ครับ

                                 ๒. แม่ขาดสารอาหารคือโบรมีน และเกลือ  จึงทำให้ตัวบวม สาเหตุเพราะอาหารเหลวที่ให้แม่นั้น มันไม่ย่อย ได้ปริมาณเหลือแร่ไปใช้งานน้อย เกลือแร่ที่ใส่ไปมันไม่สามารถซึมผ่านกระเพาะได้  จึงขาดสารอาหาร  เราก็ทำอะไรไม่ได้ กระเพาะอาหารมันไม่ทำงาน

                                 ผมประเมินกับน้องสาวแล้ว  แม่คงอยู่อย่างเก่งหนึ่งเดือน  ถ้าติดเชื้อในกระแสโลหิตจากบาดแผลก็ ๒ อาทิตย์ นี่คือความจริง ที่จะต้องเกิดขึ้น  วันนี้แม่มีสติ ผมถามแม่ว่า แม่กลัวตายไหม?  แม่บอกไม่กลัว ผมบอกให้แม่พิจารณาเอาไว้ เรามีความเจ็บป่วย เป็นธรรมดา  เรามีความตายเป็นธรรมดา คนอื่นเขาก็เป็นอย่างเรา หนีไม่พ้น  ทุกคนต้องตายไม่ช้าก็เร็ว ไม่ยกเว้น  ผมถามว่าแม่เข้าใจไหม? แม่บอกว่าเข้าใจ

                                 ผมบอกแม่ว่า คอยมีสติ ภาวนา พุทธ - โธ เข้าไว้เวลาจะตายจากไป  จิตจะได้สงบไม่กังวลใดๆ แม่เข้าใจไหม ? แม่บอกว่าเข้าใจ  แต่แม่ก็ลืมเพราะสมองมันมีน้อง จำไม่ได้

                                  แม่เน้นกับผมว่าเอากลับบ้าน  ผมก็ตอบแม่จริงๆ ไปว่า  บ้านของเรานั้นไม่มีแล้ว แม่รื้อทิ้งไปตั้งนานแล้วตั้งแต่พ่อตาย  มีแต่บ้านลูกสาวแม่  คุณหมอวิทิต  บอกว่าให้แม่ตายที่นี่ละ นี่คือบ้านของแม่  แม่ก็นิ่ง

                                 สิ่งที่แม่อยากกลับบ้านนั้น มันเป็นเรื่องของจิตใต้สำนึก ที่สมองมันจำเอาไว้เวลาไม่รู้ตัวก็จะแสดงออกมา ทุกครั้งที่เจอผม

                                 วันนี้ผมเปิด CD ของหลวงพ่อชาให้แม่ฟัง จนแม่หลับสนิท

                                 ขระแม่นอนหลับผมก็นั่งอ่านหนังสือของคุณหมอกำพล  พันธ์ชนะ  อดีตผู้อำนวยการโรงพยาบาลสิงห์บุรี  ปัจจุบันที่ไปปลูกบ้านอยู่ที่วัดป่าสุะโต  มีประโยชน์ครับ แล้วจะเอามาเล่าให้ทราบ

                                 ราตรีสวัสดิ์ทุกท่านครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #6391 เมื่อ: 19 มิถุนายน 2555, 07:39:37 »

"กระทิง-อัซซูรี"ลิ่ว8ทีม,"โครแอต-ไอริช"ร่วง

วันอังคารที่ 19 มิถุนายน 2555 เวลา 04:11 น.









                        "กระทิงดุ-อัซซูรี" ควงแขนคว้าชัย ลิ่วรอบ 8 ทีมสุดท้าย ส่วน "ตาหมากรุก" จูงมือ "ยักษ์เขียว" ตกรอบแรก ศึกยูโร2012

                          ศึกฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป หรือ ยูโร2012 เมื่อวันจันทร์ที่ 18 มิ.ย. ในกลุ่ม C นัดสุดท้าย ลงสนามแข่งขันพร้อมกัน 2 คู่

                          "กระทิงดุ" สเปน พบกับ "ตาหมากรุก" โครเอเชีย ที่สนามอารีนา กดานส์ค เมืองกดานส์ค ประเทศโปแลนด์ สำหรับผลงานใน 2 นัดแรกของสเปน เสมอ อิตาลี 1-1, ชนะ ไอร์แลนด์ 4-0 มี 4 คะแนน ส่วน โครเอเชีย ชนะ ไอร์แลนด์ 3-1, เสมอ อิตาลี 1-1 มี 4 คะแนน

                           เกมนัดนี้มีประตูเกิดขึ้นแค่ลูกเดียวในช่วงท้ายเกม นาที 88 จากฝีเท้าของ เฆซุส นาบาส ปีกตัวสำรองของ "กระทิงดุ" ทำให้ สเปน เฉือนหวิว โครเอเชีย 1-0 เก็บเพิ่มเป็น 7 คะแนน เข้ารอบต่อไปในฐานะแชมป์ของกลุ่ม C

                            ด้านเกมอีกหนึ่งคู่ "อัซซูรี" อิตาลี พบกับ "ยักษ์เขียว" ไอร์แลนด์ ที่สนามมูนิชิปัล สเตเดี้ยม เมืองพอซนัน ประเทศโปแลนด์ ผลงานใน 2 นัดแรกของอิตาลี เสมอ สเปน 1-1, เสมอ โครเอเชีย 1-1 มี 2 คะแนน แมตช์นี้ต้องพยายามเก็บชัยชนะให้ได้ เพื่อโอกาสในการผ่านเข้าสู่รอบต่อไป ทาง ไอร์แลนด์ แพ้ โครเอเชีย 1-3, แพ้ สเปน 0-4 ยังไม่มีแต้ม ตกรอบแน่นอนแล้ว แค่ลงสนามให้ครบตามโปรแกรมเท่านั้น

                             รูปเกมเป็น อิตาลี ที่ครองบอลเปิดเกมรุกได้มากกว่าชัดเจน แต่หาจังหวะจบสกอร์ได้ไม่มากนัก ทว่า นาที 35 ทีมจากแดนมะกะโรนีก็ได้ประตูขึ้นนำ จากลูกเตะมุม อันโตนิโอ คาสซาโน กองหน้าร่างเล็ก กระโดดโหม่งบอลเข้าไป แม้ เดเมียน ดัฟฟ์ จะเตะเคลียร์ออกมาได้ แต่ลูกลอยข้ามเส้นประตูเข้าไปแล้ว นาที 89 "ยักษ์เขียว" ต้องเหลือตัวผู้เล่นแค่สิบคน เมื่อ คีธ แอนดรูว์ส ถูกใบเหลืองแดงไล่ออกจากสนาม ทำให้เขาเป็นผู้เล่นคนแรกที่ถูกไล่ออกในศึกยูโรครั้งนี้ จากนั้นในนาทีสุดท้าย อิตาลี มาได้ประตูที่ 2 ตอกย้ำชัยชนะจากการยิงอันสุดสวยของตัวสำรอง มาริโอ บาโลเตลลี กองหน้าจอมเกรียน หมดเวลาการแข่งขัน อิตาลี ชนะ ไอร์แลนด์ 2-0 เก็บเพิ่มเป็น 5 คะแนน ผ่านเข้ารอบต่อไปในฐานะอันดับ 2 ของกลุ่ม C

                               สรุปผลคะแนนในกลุ่ม C สเปน มี 7 คะแนน เข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายในฐานะแชมป์กลุ่ม, อิตาลี มี 5 คะแนน เข้ารอบในฐานะอันดับ 2 ของกลุ่ม ขณะที่ โครเอเชีย มี 4 คะแนน ควงแขน ไอร์แลนด์ ที่ไม่มีคะแนน ตกรอบแรก
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #6392 เมื่อ: 19 มิถุนายน 2555, 07:57:35 »

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน

                             เช้าวันนี้พี่สิงห์ หุงข้าวใส่บาตรพระที่หน้าบ้าน ซึ่งเป็นกิจวัตรประจำวันที่อยู่ที่บ้าน ควบคู่ไปกับการเจริญสติเช้ามืด ออกกำลังกายเดินจงกรม ครับ

                              วันนี้พี่สิงห์ ต้องขับรถไปสระบุรี เพื่อไปประชุมที่ PSTC ทั้งวันครับ

                              สำหรับธรรมะ เช้าวันนี้ ขอให้ทุกท่านพิจารณาประจำวัน ทุกวัน ครับ

                             ในการทำกิจวัตรประจำวัน  ในการทำงานนั้น เราย่อมประสบในสิ่งที่ไม่รัก ไม่ชอบ ประจำ เพราะเราไม่ได้อยู่คนเดียว เรายังอยู่ในสังคม  ทำอย่างไร? เราจะมีความสุข  สนุกในการทำงาน ก็อยู่ที่การระวังตัวเองครับ

                             เราบังคับคนรอบตัวให้ทำอย่างเราไม่ได้ คือทำอย่างที่เรารัก เราชอบ

                             แต่เรา สามารถบังคับตัวเราเองได้ คือ การใช้ "ขันติ" ความอดทนอดกลั้น ในสิ่งที่เราประสบ ทั้งชอบ และไม่ชอบ ด้วยการสำรวมกาย วาจา ใจ ให้เป็นปกติทุกครั้งเมื่อตาเห็นรูป(คน สิ่งของ  สิ่งที่ไม่ชอบใจ) หูได้ยินเสียง  จมูกได้ดมกลิ่น  ลิ้นได้ลิ้มรส  กายได้สัมผัส และประการสำคัญ ไม่ปล่อยให้ใจนึกคิด ให้ใจมาอยู่ที่การกระทำจากอวัยวะของร่างกาย ให้มีความรู้สึก ณ ปัจจุบัน เข้าไว้ เพียงแค่นี้ครับ

                             ถ้าท่านคอยระวังกาย  วาจา  ใจ  ของท่านให้เป็นปกติ  การปล่อยวางมันจะเกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ

                             อย่าลืมเราฝึกจิตของเรา เพื่ออยู่ในสังคมได้เป็นสุข  แต่เราไม่สามารถมีอำนาจ(บังคับบัญชา)เหนือจิตของเราได้ เพราะธรรมชาติมันเป็นอย่างนั้น แต่ถ้าเราคอยฝึกสร้างความรู้สึกตัวสม่ำเสมอ เราจะมีสติ มีปัญญาเกิดขึ้น สามารถแยกแยะอะไรควร ไม่ควรกระทำได้   คือไม่กระทำตามที่จิตมันต้องการ

                             ไม่ต้องสนใจคนรอบกาน  สนใจ ระวังแต่ตัวเราเท่านั้น ครับ

                             สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Khun28
Full Member
**


ดูกายเห็นจิต ดูคิดเห็นธรรม
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: RCU2528
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์
กระทู้: 784

« ตอบ #6393 เมื่อ: 19 มิถุนายน 2555, 20:20:09 »

เอา Link หนังสือธรรมะ หลวงปู่เทียนมาฝากครับ

http://www.jitsabuy.com/index.php?option=com_phocadownload&view=category&id=3%3A2011-04-25-23-37-36&Itemid=275
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #6394 เมื่อ: 20 มิถุนายน 2555, 19:59:18 »

อ้างถึง
ข้อความของ Khun28 เมื่อ 19 มิถุนายน 2555, 20:20:09
เอา Link หนังสือธรรมะ หลวงปู่เทียนมาฝากครับ

http://www.jitsabuy.com/index.php?option=com_phocadownload&view=category&id=3%3A2011-04-25-23-37-36&Itemid=275

                      ขอบคุณมากครับ ท่านขุน

                       สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #6395 เมื่อ: 20 มิถุนายน 2555, 20:29:26 »


สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน

                              วันนี้บ่ายผมไปอยู่กับแม่ หลังจากเสร็จงานที่สระบุรี เพราะเมื่อคืนค้างที่โรงงาน PSTC สระบุรี

                              ปรากฏว่า พี่หมอกิตติศักดิ์  อดีตรองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ฝ่ายบริหาร มาเยี่ยมแม่ตามที่ผมได้สั่งหลายชายเอาไว้ 

                              วันนี้แม่มีสติ สามารถคุยและจำพี่หมอได้ดี  แม่สามารถร้องเพลงกล่อมลูกได้สองเพลง สนุกสนาน แม่มีความสุขที่ได้พบลูกชายคนนี้ เป็นครั้งที่สาม ตั้งแต่ปีใหม่ ครั้งแรกคือทำบุญให้พ่อ ครั้งที่สองสงกรานต์ และครั้งนี้ครับ  ถึงอย่างไรก็ดีกว่าไม่มาครับ

                               ตอนนี้พยาบาล พยายามเล็มแผลแม่เพื่อเอาเนื้อที่เสียออก แต่ไม่เอาออกมากเพราะกลัวแม่ทนไม่ไหว  ผมกับพี่เหมอ  บอกว่าออกเอาไปเถอะ แม่ไม่เป็นไรหรอก แผลจะได้ไม่อักเสบ  ตอนนี้พยาบาลยัดผ้าก๊อตในแผลแม่สามแผ่นเพื่อซับหนองและทำให้แผลแห้ง ครับ

                                คุณดิเรก ให้เทปพระสวดอิติปิโส ๑๐๘ จบ มาและพระสวดเพราะด้วย ผมเลยเปิดให้แม่ฟัง และแม่ก็สวดตามจนเหนื่อย หลับไป ครับ

                                ตอนนี้พี่สิงห์ กลับมากรุงเทพฯ แล้วครับ

                                ราตรีสวัสดิ์ทุกท่านครับ
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #6396 เมื่อ: 20 มิถุนายน 2555, 20:32:22 »

เป็นงง !! กับคำให้สัมภาษณ์ของ รมต.
ไม่ทราบว่า แม่น้ำ 4 สาขามารวมกันที่นครสวรรค์


ค้นพบนครสวรรค์เป็นหัวใจการป้องกันน้ำท่วม
วันพุธที่ 20 มิถุนายน 2555 เวลา 16:11 น.

                       

 “ปลอด”คุยจีน เตรียมส่งชุดทำงานบริหารน้ำมาให้คำปรึกษา ค้นพบนครสวรรค์เป็นหัวใจการป้องกันน้ำท่วม เป็นพื้นที่ของแม่น้ำปิง วัง ยม น่าน ที่ไหลมารวมกัน ไม่ใช่ชัยนาทอย่างที่เคยเข้าใจ ย้ำต้องคุมต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำให้ได้  วันนี้ ( 20 มิ.ย.) นายปลอดประสพ สุรัสวดี รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ให้สัมภาษณ์ภายหลังการหารือร่วมกับคณะผู้เชี่ยวชาญ กระทรวงทรัพยากรน้ำ สาธารณรัฐประชาชนจีน ว่า รัฐบาลจีนได้ส่งทีมงานชุดนี้มาให้คำปรึกษากับไทย ซึ่งชุดนี้ถือเป็นชุดที่เก่งที่สุดของจีนในเรื่องน้ำ มีบุคลากรที่เชี่ยวชาญ 50 คน แต่เขาส่งมาช่วยไทย 25 คน โดยเสนอรายงานมา 3 เรื่องใหญ่ คือ การบริหารจัดการป้องกันน้ำท่วม การทำงานของหน่วยราชการในสายตาของเขา และการก่อสร้าง ซึ่งในรายงานทั้งหมดมี 12 ประเด็นย่อยเช่น การวิเคราะห์ข้อมูล การบริหารจัดการน้ำ การระบายน้ำ แก้มลิง การทำฟลัดเวย์หรือเจ้าพระยา 2 การสร้างเขื่อน การป้องกันพื้นที่สำคัญ

นายปลอดประสพ กล่าวต่อว่า สำหรับทีมนี้จะมาดูในเรื่องลุ่มน้ำเจ้าพระยา และจะมีอีกทีมมาดูในลุ่มน้ำภาคอีสานและใต้ จากการมาทำพื้นที่ของเขามีเรื่องที่น่าตกใจคือเดิมเราคิดว่า จ.ชัยนาทเป็นพื้นที่สำคัญในการป้องกันน้ำท่วม เพราะเรามองด้านชลประทาน แต่เขากลับบอกว่าไม่ใช่ พื้นที่ จ.นครสวรรค์ต่างหากที่เป็นหัวใจและเป็นพื้นที่ควบคุมป้องกันน้ำท่วม เนื่องจากเป็นพื้นที่ของแม่น้ำปิง วัง ยม น่าน ที่ไหลมารวมกัน แต่เรากลับมองข้ามสิ่งเหล่านี้ ถ้าเราคุมจุดนี้ได้เราก็คุมน้ำท่วมได้  นอกจากนี้เขายังพูดถึงกระทรวงน้ำ โดยบอกว่าเรามีหน่วยงานด้านน้ำเยอะแต่ต่างคนต่างทำควรให้อยู่ภายใต้องค์กรเดียว ซึ่งเรื่องนี้เราก็คิดเหมือนกัน

เมื่อถามว่าจีนเสนอสร้างเขื่อนหรือไม่ นายปลอดประสพ กล่าว่า ในรายงานคงมีแต่ตนยังไม่ได้อ่าน อย่างไรก็ตามสำหรับการคุมน้ำนั้น เราต้องคุม 3ส่วนให้ได้ คือตอนบนมีเขื่อนเพื่อกักเก็บน้ำ ตอนกลางมีแก้มลิงเพื่อชะลอน้ำ และตอนปลายต้องมีคลองเพื่อระบายน้ำ ทั้งนี้ตนจะรายงานผลการหารือให้ครม.รับทราบในอังคารหน้า และวันศุกร์ตนจะไปประชุมเรื่องเขื่อนแก่งเสือเต้นว่า ถ้าเราไม่สร้างเขื่อนแก่งเสือเต้นเราจะทำอย่างไร จะบริหารน้ำอย่างไร และพื้นที่ระหว่างจังหวัดที่เชื่อมต่อกันจะดูแลน้ำที่ไหลผ่านอย่างไร ตนเชื่อว่าการสร้างเขื่อนเราทำไปคู่กับการปลูกป่าได้ เพราะไม่มีเขื่อนไหนดีทั้งหมด หรือเขื่อนไหนไม่ดีทั้งหมด และตนมั่นใจว่าปีนี้น้ำคงไม่ท่วมหนักแน่นอน อย่าไรก็ตามตนอยากจะฝากว่ากรณีที่เราร่วมมือกับจีนทำไมไม่เป็นเรื่องแต่พอไปร่วมทำงานกับสหรัฐฯเป็นเรื่องเป็นราว ไม่รู้ว่าฝ่ายค้านเล่นเกมมากเกินไปหรือไม่ และเรื่องนี้ไม่เห็นมาบอกว่าต้องเข้าสภาตามม. 190 เลย ฝ่ายค้านก็มัวแต่หาเรื่องไปวันๆ.

http://www.dailynews.co.th/thailand/120748
 
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #6397 เมื่อ: 21 มิถุนายน 2555, 07:43:47 »

สวัสดีครับ คุณเหยง

                            ผมเองเวลาไปให้คำปรึกษาทางด้านคอนกรีต  คอนกรีตอัดแรง หรือการก่อสร้าง ตามต่างจังหวัด ต่างประเทศ  สิ่งที่ผมต้องนำติดตัวไปเพื่อให้ตัวเองแก้ปัญหาเขาได้  ช่วยเหลือเขาได้ อย่างน้อย ต้องมี ๓ ประการ คือ

                            ๑. มีความรู้ทางด้านวิชาการ  หลักการ ที่แน่น ที่จะอธิบายเชิงวิชาการได้  ไม่ใช่บอกว่ามันต้องทำอย่างนี้ !

                            ๒. ผมนำประสพการณ์ การผ่านงาน การแก้ปัญหาที่เคยเกิดขึ้นกับเรา และสิ่งที่เราเคยทำมากับมือเท่านั้น ไปบอก ไปอธิบายเขา ในสิ่งที่มันเป็นความจริง ตามธรรมทั้งสิ้น สิ่งไหนที่ไปลักจำมาก็จะบอกตรงๆ ว่าไปเห็นมา สิ่งไหนทำไม่ได้ก็บอกไม่ได้ อยู่กับความจริง

                            ๓. พยายามสังเกตในสิ่งที่เราไปประสบในโรงงานเขา ประเทศเขา แม้กระทั้งวิธีชีวิตคน เพราะสิ่งเหล่านี้จะทำให้เราทราบสาเหตุได้  จะแก้ปัญหาได้ แและที่สำคัญต้องคิดอยู่เสมอว่า  คนที่อยู่ในพื้นที่นั้น ที่ทำงานประจำทุกวันนั้น  ย่อมทราบสาเหตุดี  แต่มันอาจติดปัญหาอุปสรรคบางประการที่เกินอำนาจหน้าที่ ไม่มีโอกาส หรือเพราะไม่รู้จริงๆ เท่านั้น  อย่าไปเหมารวมว่าเขาไม่รู้  ไม่มีความสามารถพอเด็ดขาด

                               ปัญหาที่คุณเหยง ว่ามานั้น ผมเองคาดว่าผู้เชี่ยวชาญชาวจีนนั้น มานั้นดีที่มาช่วยเหลือ แต่วิธีการแก้ปัญหาจะทำได้หรือไม่ ผมยังสงสัย เพราะเขาไม่รู้ปัญหาแท้จริงแบบเราคนไทยที่อยู่ในพื้นที่หรอก ไปถามชาวนาในพื้นที่เขายังทราบเลย แต่เพราะเขาทำอะไรไม่ได้  ทำไม่ถูกใจผู้มีอำนาจทั้งรัฐบาลและข้าราชการบางกลุ่มบางคน ที่มีอำนาจ มันจึงทำไม่ได้

                                ผมเองยังเชื่อว่า เอาแคผมนี่ละ กับผู้เชี่ยวชาญชาวจีนของคุณประสพ  ใครจะรู้ปัยหา และแก้ไขได้จริง เพียงแต่คนอย่างผมไม่มีโอกาส ที่จะไปให้ข้อมูลเสนอแนะข้อเท็จจริงเท่านั้น เพราะผมเป็นใครไม่รู้ มีมีตำแหน่ง  ไม่มีเงิน ขาดความเชื่อถือไปหมด

                                ไม่เชื่อดูผลที่ออกมา มันจะเป้นเพียงเศษกระดาษแผ่นเล้กๆเท่านั้น เพื่อหาเสียงไปวันหนึ่งๆ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงทั้งสิ้น  

                                รัฐบาลชุดนี้ผลาญเงินภาษีประชาชน ในการป้องกันน้ำท้วยไปแล้ว ๓-๔ แสนล้านบาท ถามจริงๆ ณ เวลานี้เราได้อะไรขึ้นมาบ้าง ที่เป็นจริงเป็นจัง พอที่จะไว้ไจได้ในการป้องกันน้ำท้วม คำตอบคือ ไม่มีอะไรเลยทั้งสิ้น  ความจริง ก็คือ ความจริง มีผลงานออกมานิดเดียวเท่านั้น คือการลอกคูคลองตามข่าว กับเงิน ๓-๔ แสนล้านที่ใช้ไปแล้ว

                                ยิ่งสร้างเขื่อน  สร้างถนนสูงป้องกันน้ำท้วม เท่าใด กรุงเทพฯ และพื้นที่นา ยิ่งจมน้ำมากเท่านั้น

                                ไม่ทำอะไรเลย ปล่อยให้น้ำกระจายเต็มทุ่งได้อิสสระ ไม่เสียเงิน น้ำท้วมนิดเดียว ท้วมไม่นาน ยังจะดีเสียกว่าอีก ปล่อยเป็นธรรมชาติดีที่สุด  ที่มันเคยเกิดขึ้นมาในอดีต ไม่เห็นจะเสียหายอะไรเลย

                                 ทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นเรื่องของการปรุงแต่ง  คาดเดาไปทั้งสิ้น คิดไปเองทั้งหมด

                                สาธุ รัฐบาลชุดนี้เก่งจริงๆ เราประชาชนคนไทยขอสนับสนุนล้าน % !

                                สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #6398 เมื่อ: 21 มิถุนายน 2555, 08:12:19 »

อยู่อย่างไร? ไม่ให้ทุกข์เรื่องสุขภาพ

                           ขณะเดินจงกรมรอพระมาบิณฑบาตร หน้าบ้าน จิตมันคิดขึ้นมาเรื่อง ความกังวลไปในอนาคตเกี่ยวกับเงินในการรักษาพยาบาลยามแก่เฒ่า ว่าเราจะมีเงินหรือไม่

                            เมื่อก่อนผมวิตกกังวลมากว่า เราจะมีเงินเอาไว้รักษาตัวเองยามแก่เฒ่า ได้ไหม เพราะเราไม่ได้ทำงานแล้ว และไม่มีเงินเก็บเพียงพอ เป็นกังวลมาก

                             แต่ปัจจุบัน ผมไม่กังวลทั้งสิ้น เพราะผมสามารถรักษาฟรีตามสิทธิของคนไทย และผมรู้สาเหตุของการเจ็บป่วยที่แท้จริงแล้วว่า มาจากอะไร และจะกระทำอย่างไรไม่ให้เป็นโรคเรื้อรังที่เราต้องประสบ เท่านั้น

                             ผมพยายามมี "ขันติ" อดทนอดกลั้นที่จะต้องกระทำในเชิงป้องกัน สร้างศรัทธา อยู่ในศีล มีวิริยะ  มีสติ  เป็นสมาธิ และใช้ปัญญา ให้เกิดขึ้นกับตัวเอง ไม่ย่อนหยานในเรื่องการออกกำลังกาย  พักผ่อนให้เพียงพอ นอนแต่หัวค่ำ ดูแลเรื่องอาหารการกิน และทำจิตให้ขาวรอบ

                              ถึงแม้ผมจะไม่มีเงินในการรักษาตัวเอง  แต่ผมก็สามารถป้องกันไม่ให้มันเจ็บป่วยโรคเรื้อรังได้  ให้เจ็บป่วยตามโรคแก่ชราธรรมดา ที่มันต้องเป็นเท่านั้น ซึ่งบัตรทองสามารถช่วยได้

                              ปัจจุบันผมจึงไม่ห่วงเรื่องเงินในการรักษาพยาบาลตอนแก่เฒ่าเลย เพราะผมจะป้องกันสุดฤทธิ์ ไม่ให้เป็น  ด้วยการมีขันติในการกิน  การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ  การนอนแต่หัวค่ำหลับให้เพียงพอ  และการเจริญสติ อยู่เป็นนิจ นั่นคือเรื่องสำคัญที่สุดสำหรับผมที่ต้องกระทำประจำวัน

                              ผมขอยกข้อเขียนของนายแพทย์กำพล  พันธ์ชนะ อดีตผู้อำนวยการโรงพยาบาลสิงห์บุรี  ลูกศิษย์หลวงพ่อเทียน มานำเสนอให้ทุกท่านได้พิจารณา ครับ

                              "อาหาร"  มีคำกล่าวที่ว่า "คุณเป็น  อย่างที่คุณกิน" หรือ "คนเรานี้  ขุดหลุมฝังศพด้วยปากตัวเอง" การรู้จักประมาณในการบริโภค  กินแต่พออยู่ได้  รู้จักเป้าหมายหรือคุณค่าแท้ของอาหาร และการเลือกที่จะกินอย่างผู้มีปัญญานั้น  เป็นทั้งการป้องกันและรักษาโรคทางกายไปด้วยในตัว

                               อาหารที่แท้ก็คือ ยาป้องกันโรค ขณะเดียวกันก็เป็นยารักษาโรคไปด้วย  คือเป็นทั้งยาบำรุงและยารักษา  แต่ถ้าเรากินไม่เป็น  ไม่เลือกกินหรือกินไม่เลือก  อาหารจะเป็นยาบำเรอและยาพิษในที่สุด  อาหารยิ่งกินมาก  อวัยวะต้องทำงานมาก  การลดการกิน หรือการหยุดกินอาหารซะบ้าง  เป็นบางมื้อบางวัน  เป็นการเปิดโอกาสให้ร่างกายได้พักและซ่อมแซมรักษาอย่างดี

                              ขอเชิญทุกท่าน "โยนิโสมนสิการ" ครับ

                              สวัสดียามเช้าครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #6399 เมื่อ: 21 มิถุนายน 2555, 08:29:56 »

หลวงพ่อเทียนสอนเจริญสติตราบจนลมหายใจสุดท้าย


                            พระมหาบัวทอง พุทธโฆสโก แห่งทับมิ่งขวัญ อำเภอเมือง จังหวัดเลย ได้บันทึกเหตุการณ์ ในวันแห่งการ "ล่วง" ของพระอาจารย์(หลวงพ่อเทียน) ไว้ค่อนข้างละเอียด

                            นั่นก็คือ เหตุการณ์ในวันอังคารที่ 13 กันยายน 2531 อันตรงกับวันขึ้น 3 ค่ำ เดือน สิบ ปีมะโรง ในทางจันทรคติ มีรายละเอียดดังนี้คือ

                            เวลา 16.00 น. ท่านได้พูดกับหลานชายคือ "โยมพ่ออุ่น" ว่า "ให้เตรียมตัวได้แล้ว" เณรก็วิ่งไปบอกอาตมาว่า หลวงพ่อเป็นหนัก ให้เตรียมตัวกันได้แล้ว

                            ในวันนั้น มีศิษย์อาวุโสเพียง 2 รูปเท่านั้น คือ "หลวงพ่อบุญธรรม" และ"อาจารย์สมหมาย" จากแก้งคร้อ อาตมากับท่านทั้ง 2 พร้อมด้วยพระเณรในวัดทั้งหมด 21 รูป ญาติโยมผู้หญิง 25 คน ผู้ชาย 9 คน แม่ชี 4 ชี พราหมณ์ 2 รวมทั้งหมดประมาณ 60 คน

                            อาตมามาถึงดูนาฬิกาเป็นเวลา 17.20 น. หลวงพ่อยังยกมือได้อยู่ตามปกติ อาตมาลองเอามือแตะดูที่ขาท่าน ปรากฎว่าเย็นขึ้นไปถึงบั้นเอวแล้ว มีลมเดินอยู่ตั้งแต่ช่วงท้องขึ้นไป

                            พอถึงเวลา 17.24 น. หลวงพ่อก็ยกมือไปไว้ที่สะดือได้ ท่านเอามือขวาทับมือซ้ายไว้ แล้วก็เลื่อนมือซ้ายไปไว้ที่หน้าอก เอามือซ้ายออกไปวางไว้ข้าง ๆ ส่วนมือขวาเลื่อนลงไปไว้ที่สะดือ แล้วจึงเอามือซ้ายไปทับมือขวาไว้อีก เลื่อนมือซ้ายออกไปวางไว้ข้าง ๆ อีกครั้งหนึ่ง
ท่านทำจังหวะมาถึงตอนนี้ อาตมาดูนาฬิกาเป็นเวลา 17.30 น.มือขวาของท่านยังอยู่ที่สะดือตามเดิม เพราะมือขวานี้หนักมากจริง ๆ ยกยากเนื่องจากแขนบวมมาก หลวงพ่อท่านก็ยังพยายามยกขึ้นลงได้อยู่ ตอนนี้จึงเลื่อนมือซ้ายไปทับมือขวา แล้วเลื่อนมือขวาขึ้นไปที่หน้าอกส่วนมือซ้ายก็เลื่อนตามไปเหมือนเดิม เลื่อนมือทั้งสองข้างออกไปข้าง ๆ เอามือขวาไปไว้ที่สะดือ ส่วนมือซ้ายยังวางอยู่ข้างลำตัวในท่านนอนหงาย ต่อจากนั้นท่านก็ลืมตาดูทุกคนที่อยู่ข้าง ๆ ท่าน

                             เวลา 17.40 น. หลวงพ่อยกมือซ้ายไปไว้ที่หน้าอก แล้วเลื่อนลงไปไว้ที่สะดือในลักษณะเดียวกันกับมือขวา เลื่อนขึ้น ๆ ลง ๆ ได้ตามปกติ

                             เมื่อเวลา 17.42 น. ท่านก็วางมือซ้ายและมือขวาไว้ข้างลำตัว ท่อนแขนขนานกับลำตัว แล้วท่านก็ลืมตาดูผู้ที่เฝ้าอยู่รอบ ๆ ท่านเป็นครั้งที่สาม อาตมาดูเวลาได้ 17.45 น. พอดีคุณยุ่นมาจากกรุงเทพฯ ทันเวลาที่หลวงพ่อได้ทำวิธีตายให้ทุก ๆ คนได้เห็นพร้อมกันหมด

                             ต่อจากนั้นท่านก็ยกมือขึ้นไปประกบกันไว้ที่หน้าอกแล้วก็เลื่อนลงมาไว้ที่สะดือ แล้วท่านก็คู้ขาขวามาชันเข่าไว้ สักครู่ก็เหยียดลงไป เปลี่ยนเป็นขาซ้ายบ้าง คู้เข่ามาชันไว้ถึงสองครั้งสลับกัน พร้อมกับลือมตาดูผู้คนที่มาเฝ้าดูอาการของท่าน ขณะนั้นเป็นเวลา 17.50 น.

                             ครั้นถึงเวลา 17.55น. ท่านก็ยกมือซ้ายขึ้นไปไว้ที่สะดือแล้วเลื่อนออกไปวางไว้ข้าง ๆ

                             จนถึง เวลา 18.00 น. ท่านก็เอามือซ้ายขึ้นไปทับมือขวาในท่าสงบ

                             เมื่อเวลา 18.05น.ท่านก็เลื่อนมือซ้ายห่างมือขวาเล็กน้อยเหนือสะดือ

                             จนถึงเวลา 18.14 น. จึงเลื่อนมือไปกุมกันไว้ที่หน้าอกแล้วเลื่อนลงมาที่สะดือ แล้วท่านก็ลืมตากว้าง มือยังอยู่ที่เดิม เคลื่อนไปเคลื่อนมาเหมือนเราทำจังหวะธรรมดานี้เอง

                             พอถึงเวลา 18.15 น.ท่านก็เลื่อนมือทั้งสองข้างลงวางไว้ข้างลำตัวทอดแขนตามปกติ พร้อมกับหมดลมหายใจไปพร้อมกันอย่างสงบเย็นจริง ๆ

                             คัดจากหนังสือ เทียนธรรม.. โดยนามกาย สำนักพิมพ์ มติชน 2542
      บันทึกการเข้า
  หน้า: 1 ... 254 255 [256] 257 258 ... 681   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

สมาคมนิสิตเก่าหอพักนิสิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มวลสมาชิกสมาคม คณาจารย์ และนิสิตเก่าทุกคน ขอน้อมเกล้าถวายความอาลัย  พระผู้เสด็จสู่สวรรคาลัย ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ <;))))><