27 พฤศจิกายน 2567, 07:42:08
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 253 254 [255] 256 257 ... 681   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: คุย กับ คุณมานพ กลับดี อดีตประธานชมรม ๓ สมัย  (อ่าน 3583522 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 4 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #6350 เมื่อ: 13 มิถุนายน 2555, 05:00:37 »

อ้างถึง
ข้อความของ จ๋า 15 เมื่อ 12 มิถุนายน 2555, 22:43:24

คุณแม่พี่สิงห์ admit เป็นคนไข้ของพี่วิทิต ที่ รพ.สิงห์บุรีหรือคะ  

คุณพ่อของจ๋าทั้งที่ท่านปฏิบัติธรรมมานาน
แต่ภาวะเสื่อมของสังขารต้องใช้เครื่องช่วยหายใจก็ก่อทุกข์ทรมานสาหัส
ขนาดท่านอยู่ ICU หมอบอกว่าไม่รู้สึกตัว แต่เราสัมผัสได้ว่าจิตภายในของท่านยังรับรู้
ถึงจิตจะละความกลัวได้ แต่เวลาที่เจ็บปวดจิตอาจจะฟุ้งไปจับจุดที่เกิดความทรมานได้
เลยใช้วิธีเปิดซีดีธรรมะให้ฟังตลอดเวลาจนท่านละสังขารไปเองเลยค่ะ
ขนาดเราไม่ต้องเฝ้าตลอด 24 ชั่วโมง ยังเครียดมากๆเลยค่ะ

นี่คุณแม่พี่สิงห์ ท่านยังตอบสนองได้ คนดูแลจะต้องอยู่ด้วยตลอดนี่
ทั้งเศร้าเสียใจทั้งเหนื่อยทั้งเครียด เห็นใจมากๆเลยค่ะ




สวัสดีค่ะ คุณน้องจ๋า ที่รัก

                          คุณหมอวิทิต  บรรจง  เป็นลูกเขยแม่ครับ  ดูแลแม่ยิ่งกว่าลูกตัวเองอีก  ใครย้ายแม่ไปไหนไม่ได้เลย ดูแลแม่มาไม่ต่ำกว่า ๒๕ ปี ครับ

                          ส่วนผมเลี้ยงลูกคุณหมอวิทิตตั้งแต่อยู่บดินทร์เดชา จน Pat จบหมอจุฬาฯ และขณะนี้ก็ดูแลแพรว เรียนต่อโท ปฐมวัยย์ครุศาสตร์  จุฬาฯ

                          พี่สิงห์เข้าใจว่าคุณหมอวิทิต  คงไม่เอาแม่ไปโรงพยาบาลอีกแล้ว เพราะที่โรงพยาบาลติดเชื้อง่าย  แม่ไม่มีโรคประจำตัวมาก  นอกจากขาดสารอาหาร  กระเพาะไม่ทำงาน และบาดแผลกดทับ เท่านั้น

                           พี่สิงห์  ก็เปิด ธรรมะบรรยาย จนเครื่องพังไปแล้ว  คราวหน้าต้องเอาวิทยุ CD ไปเปลี่ยนให้ใหม่ครับ

                          ขอบคุณมาก

                          สวัสดียามเช้าครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #6351 เมื่อ: 13 มิถุนายน 2555, 07:24:30 »

แม้ความตายก็เป็นทุกข์

                              ทุกข์ คือ ทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ ได้แก่ความไม่สะบายกาย(รูป) และความไม่สะบายใจ(นาม)

                              คนเรานั้นเมื่อถึงจุดที่ความรับรู้จะหมดสิ้น(วิญญาณ) หรือระยะสุดท้าย จิตมันจะกังวลว่าเมื่อการตายจะมาถึง เราจะขาดการรับรู้ไปอย่างไร มันทุกข์มากไหม ? และเมื่อจากโลกนี้ไปแล้ว  จะไปเกิดไหม? ถ้าเกิดเป็นมนุษย์ จะดีกว่าเดิมไหม? จะเกิดไปในภพที่ต่ำกว่า  จะไปตกนรก หรือขึ้นสวรรค์ จะกังวลไปต่างๆ นาๆ ถ้าการรับรู้ยังมีอยู่ ก่อนตาย   ถ้าปล่อยวางไม่เป็น หรือปลงไม่ตก  จิตมันจะปรุ่งแต่ง  เกิดความกลัว

                               ส่วนการตายจริงๆ นั้น ขอเดาเอาเพราะว่าผมก็ยังไม่ประสบด้วยตนเอง  จิตมันคงหมดความรับรู้ไปเองเฉยๆ เมื่อรูปมันหมดกำลังแล้วจากการป่วยหรือระบบที่สำคัญของร่างกายหยุดทำงาน ความรับรู้ก็หมดสิ้น ดังนั้น ความตายวาระสุดท้ายจริงๆ นั้นไม่ได้ทุกข์เลยทั้งสิ้น การรับรู้มันหมดไปเอง  จิตก็ไม่ได้ดิ้นรนทั้งสิ้น เพราะอารมณ์มันหมด  หยุดการปรุงแต่ง  ความตายมันจึงไม่น่ากลัวทั้งสิ้น แต่ก่อนตายที่ยังรับรู้อยู่นี่สิ  จิตมันจะทุกข์กังวลอย่างมาก จิตเกิดการปรุงแต่ง  ความกลัวจึงเข้ามาแทนที่  จึงทำให้แม้ความตายก็เป็นทุกข์

                                ถ้าผู้ตายเคยปฏิบัติธรรม มีสติอยู่การตายมันก็เป็นเรื่องธรรมดาที่ขาดความรู้สึกไปเอง

                                ทำอย่างไรจะให้ผู้ตายจากไปด้วยความสงบ ปล่อยวาง !

                                ง่ายๆ ก็คือ ให้ผู้จะตายนั้นวางจิตให้ถูกที่  ให้คิดถึงความดีที่เคยกระทำ  ให้นึกถึงบุญที่เราเคยกระทำ  ไม่มีอะไรที่ต้องกังวล  หมดภาระแล้ว หยุดการปรุงแต่ง ด้วยการภาวนา หรือสร้างความรู้สึกตัวอยู่กับลมหายใจเข้า-ออก ให้จิตเป็นปกติ จนเกิดภวังค์ขาดการรับรู้ไปเอง  จิบมันก็จะหมดความรู้สึกไปเองแบบปกติ

                                 พูดง่าย แต่ผู้ที่จะจากไปนั้นจะทำได้ไหมหนอ? เพราะยังมีปัจจัยของการเจ็บป่วยเข้ามาแทรก  ยกเว้นจิตยกระดับเหนือเวทนาที่เกิดขึ้นทั้งหมด จิตอยู่กับการรู้สึกตัว ณ ปัจจุบัน ที่ลมหายใจเข้า-ออก เกิดภวังค์หมดการรับรู้ไปเอง   

                                 ทำอย่างไรดี !

                                 ทางที่ดีที่สุดเมื่อเรายังมีชีวิตที่เป็นปกติอยู่ ต้องหัดวางจิตของเรา หรือพิจารณาความตายอยู่เป็นนิจ  คอยฝึกจิตก่อนตายหรือแกล้งตายอยู่เป็นนิจ  น่าที่จะช่วยได้เมื่อความตายมาถึง  อย่าไปคิดว่าแช่งตัวเองเลย  เราฝึกเพื่อให้จิตมันชิน  จนเป็นนิสัยดีกว่าแยะ

                                  เช้านี้อาการแม่ปกติเหมือนเมื่อวาน เพียงแต่มีสะเลดออกมามาก  คนดูแลต้องคอยเช็ดออก  เมื่อคืนแม่ไม่ลืมตาเลย เพราะแรงมีน้อยลืมตาไม่ขึ้น  ยังรับรู้  รับอาหารได้เป็นปกติ

                                   ผมก้เขียนของผมไปเรื่อย เพราะจิตมันคิดขึ้นมาขณะนั่งเจริญสติ ยามเช้ามืด เพื่อเตือนตัวเอง

                                   สวัสดีครับ

                                 
      บันทึกการเข้า
เอมอร 2515
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu 2515
คณะ: รัฐศาสตร์(นิติศาสตร์)
กระทู้: 4,562

« ตอบ #6352 เมื่อ: 13 มิถุนายน 2555, 07:45:45 »

พี่สิงห์เขียนว่าเตือนตัวเอง
 เตือนคนที่เข้ามาอ่านด้วยค่ะ  
หมั่นเตือนเช่นนี้ ขอบคุณค่ะ
      บันทึกการเข้า
pusadee sitthiphong
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: พาณิชยศาสตร์และการบัญชี
กระทู้: 4,689

« ตอบ #6353 เมื่อ: 13 มิถุนายน 2555, 09:16:02 »

ตอนคุณแม่ป้อมน้ำตาลขึ้นถึงขั้นช็อคเมื่อปีที่แล้ว ท่าทางคุณแม่ไม่สบายเลยกระสับกระส่ายตลอดเวลา เราคิดว่าคุณแม่คงเจ็บปวดทรมาณมาก เมื่อคุณแม่ค่อยยังชั่วมีสติขึ้นมาแล้ว ป้อมเคยถามว่าเป็นอย่างไรบ้าง เจ็บมากไหม คุณแม่บอกว่าไม่เจ็บไม่ปวดไม่รู้เรื่องอะไรเลย เล่าให้พี่สิงห์ฟังเผื่อจะได้หายกังวลไปบ้างนะคะ บางทีคุณแม่อาจเป็นแบบนี้ก็ได้ค่ะ
      บันทึกการเข้า

pom shi 2516
จ๋า 15
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: เภสัชศาสตร์
กระทู้: 17

« ตอบ #6354 เมื่อ: 13 มิถุนายน 2555, 10:04:15 »


สวัสดีค่ะ พี่สิงห์ 
คนใกล้ๆกันนี่เอง ทั้งแม่ทั้งพ่อก็เป็นคนไข้ของพี่วิทิตทั้งคู่ค่ะ

จากประสบการณ์ของตัวเองค่ะ
เวลาที่ลมหายใจเริ่มหยุด จิตยังไม่หยุดแต่จะวิ่งมารับรู้ทั้งสิ่งดีสิ่งไม่ดีที่บันทึกไว้ในจิต (ในชีวิตจริงบางสิ่งลืมไปแล้วด้วยซ้ำ)
บังคับไม่ได้ ทีนี้สิ่งสำคัญคืออัตราเร็วช้าต่างกันแล้วเมื่อถึงเวลาที่หยุดการรับรู้จริงจิตจะหยุดจับที่ไหน
ตรงนี้เองค่ะที่จะต้องฝึกให้บันทึกสิ่งดีไว้ทุกขณะจิต
อากาศรออยู่ที่ปลายจมูกจะหายใจเข้า อากาศที่อัดแน่นอยู่ในปอดจะหายใจออก ก็ยังทำไม่ได้ ทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีอะไรนำติดไปได้เลย ต้องทิ้งไว้ทั้งสิ้น
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #6355 เมื่อ: 13 มิถุนายน 2555, 20:09:39 »

อ้างถึง
ข้อความของ เอมอร 2515 เมื่อ 13 มิถุนายน 2555, 07:45:45
พี่สิงห์เขียนว่าเตือนตัวเอง
 เตือนคนที่เข้ามาอ่านด้วยค่ะ   
หมั่นเตือนเช่นนี้ ขอบคุณค่ะ

สวัสดีค่ะ คุณน้องเอมอร ที่รัก

                                จริงๆ พี่สิงห์ จิตสงบๆ นั้นได้ทบทวนสิ่งที่พึงทบทวน  แต่บางครั้งลืมเขียนลงให้ทราบ เพราะมีเรื่องที่คิดว่าดีกว่า  ทั้งๆที่ก็มีประโยชน์มากเหมือนกัน

                                 มันก็วนไปวนมานี่ละ เพราะพระพุทธองค์ท่านก็บอกว่าพระองค์สอนอยู่เรื่องเดียวคือ "ทุกข์"

                                 จิตคนเรานั้นมันก็คิดแต่จะหาในสิ่งที่ตนเองรับ ชอบ พอใจ  อยากได้อีกเสมอๆ

                                 สิ่งไหนไม่รัก ไม่ชอบ จิตมันก็ไม่อยากประสบอีก  จิตคนมันก็เป็นอย่างนี้

                                 ดังนั้น อารมณ์ของคนที่เกิดจากการปรุงแต่งนั้น มีทั้งดี และไม่ไดี และเดาไม่ได้ด้วย เพราะคนคิดไม่เหมือนกัน  ถ้าสามารถหยุดการปรุงแต่งได้ มันก็ไม่ทุกข์ เพราะคนทุกข์เพราะคิด

                                 สิ่งที่จะหยุดคิดได้ ก็คือการสร้างความรู้สึกตัว หรือสตินั่นเอง เพราะจิตมันทำสองอย่างพร้อมกันไม่ได้  ต้องล่อมันให้หยุดด้วยการรู้สึกตัวให้มากเข้าไว้  จนจิตมันยอมจำนนแสดงตนที่แท้จริงออกมา

                                 สวัสดีค่ะ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #6356 เมื่อ: 13 มิถุนายน 2555, 20:14:26 »

อ้างถึง
ข้อความของ pusadee sitthiphong เมื่อ 13 มิถุนายน 2555, 09:16:02
ตอนคุณแม่ป้อมน้ำตาลขึ้นถึงขั้นช็อคเมื่อปีที่แล้ว ท่าทางคุณแม่ไม่สบายเลยกระสับกระส่ายตลอดเวลา เราคิดว่าคุณแม่คงเจ็บปวดทรมาณมาก เมื่อคุณแม่ค่อยยังชั่วมีสติขึ้นมาแล้ว ป้อมเคยถามว่าเป็นอย่างไรบ้าง เจ็บมากไหม คุณแม่บอกว่าไม่เจ็บไม่ปวดไม่รู้เรื่องอะไรเลย เล่าให้พี่สิงห์ฟังเผื่อจะได้หายกังวลไปบ้างนะคะ บางทีคุณแม่อาจเป็นแบบนี้ก็ได้ค่ะ

สวัสดีค่ะ คุณน้องป้อม ที่รัก

                             มันก็จริงของเธอ และคุณแม่เธอ เพราะเราคิดไปเอง  ทั้งๆที่คนป่วยเองคิดไปอีกอย่างหนึ่ง

                              ตอนนี้แม่ไม่มีแรงที่จะพูด บางครั้งอยากพูดแต่หาคำตอบไม่เจอสักที่ก็จะทำเสียงแบบอยากพูด ร้องขึ้นมา เหมือนพี่สิงห์บางครั้งอยากจะพูดเรื่องนี้ แต่มันลืมจำไม่ได้จริงๆ ได้แต่อ่ำๆอึ่งๆ อยู่ในความคิด

                              แต่อาการเจ็บของแม่ เราสามารถสังเกตุจากสีหน้าได้  โดยเแพาะแผลกดทับ ครับ

                              แต่แปลกตอนค่ำ แม่สามารถสวดอิติปิโส  แผ่เมตตา กับน้องสาวได้ สามารถต่อคำกันได้ ครับ

                              สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #6357 เมื่อ: 13 มิถุนายน 2555, 20:19:42 »

อ้างถึง
ข้อความของ จ๋า 15 เมื่อ 13 มิถุนายน 2555, 10:04:15

สวัสดีค่ะ พี่สิงห์ 
คนใกล้ๆกันนี่เอง ทั้งแม่ทั้งพ่อก็เป็นคนไข้ของพี่วิทิตทั้งคู่ค่ะ

จากประสบการณ์ของตัวเองค่ะ
เวลาที่ลมหายใจเริ่มหยุด จิตยังไม่หยุดแต่จะวิ่งมารับรู้ทั้งสิ่งดีสิ่งไม่ดีที่บันทึกไว้ในจิต (ในชีวิตจริงบางสิ่งลืมไปแล้วด้วยซ้ำ)
บังคับไม่ได้ ทีนี้สิ่งสำคัญคืออัตราเร็วช้าต่างกันแล้วเมื่อถึงเวลาที่หยุดการรับรู้จริงจิตจะหยุดจับที่ไหน
ตรงนี้เองค่ะที่จะต้องฝึกให้บันทึกสิ่งดีไว้ทุกขณะจิต
อากาศรออยู่ที่ปลายจมูกจะหายใจเข้า อากาศที่อัดแน่นอยู่ในปอดจะหายใจออก ก็ยังทำไม่ได้ ทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีอะไรนำติดไปได้เลย ต้องทิ้งไว้ทั้งสิ้น


สวัสดีค่ะ คุณน้องจ๋า ที่รัก

                           คุณหมอวิทิต  ถึงแม้จะไม่ได้จบทางอายุรศาสตร์ แต่คนไข้ส่วนใหญ่ของคุณหมอนั้น เป็นคนแก่เสียส่วนมาก และใช้ประสบการณ์ที่เคยรักษาเอามาใช้  และรักษษได้ถูกต้องด้วย เพราะคุณหมอ ศึกษาเอง

                           แต่ปัจจุบันทางโรงพยาบาลไม่ให้ตรวจ OPD แล้ว ให้ไปทำงานชุมชน และบริหาร

                           คุณหมอกำลังคิดจะเกษียรก่อนกำหนด เพื่อเอาตำแหน่งของตัวเองนั้น ให้คุณหมอ Pat ได้ย้ายมาอยู่โรงพยาบาลสิงห์บุรี  เพื่อเอาไว้ดูแลคนแก่ แทนครับ

                           สวัสดีค่ะ
     
                     
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #6358 เมื่อ: 13 มิถุนายน 2555, 20:31:22 »













(หลานชายคนนี้ ตอนเรียนปริญญาตรีที่คณะบัญชี จุฬาฯ พี่สิงห์ เป็นคนส่งเงินให้เรียน ครับ

แต่ตอนเรียนต่อปริญญาโทที่สถาบันศศินทร์เขาขอทุนเรียน)











สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน

                              พี่สิงห์ กลับมากรุงเทพฯแล้วครับ พรุ่งนี้จะกลับไปเยี่ยมแม่ และค้างคืนเพื่อเฝ้าแม่ ที่โรงพยาบาลสิงห์บุรี

                              วันนี้คุณหมอพีร์  บรรจง  ได้ไปเยี่ยมยายที่บ้านตอนเย็นภายหลังจากกลับจากทำงานที่โรงพยาบาลค่ายบางระจัน เห็นระดับเกลือแร่ของยายลดลงมาก  จากการที่ไม่มีแรงเพราะรับอาหารทางสายยางได้น้อย  คุณหมอพีร์  เลยตัดสินใจนำยายส่งโรงพยาบาลสิงห์บุรีทันที เพื่อเจาะเลือดหาปริมาณเกลือแร่  ก็ดีครับเพราะผมตัดสินใจไม่ได้  เพราะไม่รู้  ไปโรงพยาบาล  ยังมีตัวช่วย เพราะคุณๆพยาบาลชั้น ๓ ตึก ๘๐ ปี ดีกับแม่มากทุกคนเลย และยินดีต้อนรับเสมอ  ถ้าไม่ติดขัดเรื่องกลัวคนนินทา  จะให้แม่อยู่ประจำเลย  จนกว่าจะจากไป

                              เรารู้ว่าจะไม่ดีขึ้น  แต่โดยรวม แม่จะสบายขึ้นมาก และคนดูแลเองก็จะสบายขึ้น เพราะมีพยาบาลมาดูแลเรื่องการทำแผลแทน  อย่างอื่นเราคงไม่ทำอะไร เพราะแม่ไม่ได้เป็นอะไร ไม่ต้องให้อ๊อกซิเจน อยู่ที่การทำงานของกระเพาะอาหารเท่านั้น

                              สำหรับพี่สิงห์ ไม่ได้วิตกกังวล  หรือปรุงแต่งใดๆ เลยเกี่ยวกับแม่ เพราะปล่อยวางได้ที่จะไม่คิดเรื่องนี้ ยกเว้นเล่าสู่กันฟัง เพื่อให้เป็นประสบการณ์ เท่านั้น และเป็นหลักในการที่จะต้องตัดสินใจ  จากน้องสาว

                              ความพลัดพรากจากสิ่งที่รักเป็นทุกข์  แต่มันก็เกิดกับคนทุกคนไม่ละเว้น มันจึงเป็นเรื่องธรรมดา

                              ราตรีสวัสดิ์ทุกท่านครับ
      บันทึกการเข้า
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #6359 เมื่อ: 13 มิถุนายน 2555, 21:01:08 »

พี่สิงห์ครับ เมื่อช่วงเดือนมีนา-เมษาปีก่อน แม่ผมป่วยหนัก จนเรา 5 พี่น้องลงความเห็นว่า ถ้าท่านหยุดหายใจ เราจะใช้เครื่องช่วยสัก 1 ครั้งหากไม่ไหวจะปล่อยให้ท่านทิ้งร่าง ปรากฎว่าหลังจากสงกรานต์(ปี่ที่แล้ว) ท่านกลับดีวัน ดีคืน จากนอนอย่างเดียวมาเป็นลุกนั่งและเดินได้ จนเดินแทบไม่หยุดในปัจจุบัน (ชอบไปลุยน้ำดูพื้นที่ตอนน้ำท่วมด้วย จนต้องจับส่งไปอยู่กับลูกสะใภ้ในต่างจังหวัด) ผมว่ากำลังใจเป็นเรื่องสำคัญที่สุด และเป็นส่วนสำคัญในการช่วยให้คนไข้ฟื้นตัว ยาและกระบวนการรักษาที่ว่าสำคัญ ยังสู้คนไข้กำลังใจดีไม่ได้  แต่ทั้งมวลหาอาจชนะความเสื่อมของสังขารไม่
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #6360 เมื่อ: 13 มิถุนายน 2555, 21:15:29 »

อ้างถึง
ข้อความของ พธู ๒๕๒๔ เมื่อ 13 มิถุนายน 2555, 21:01:08
พี่สิงห์ครับ เมื่อช่วงเดือนมีนา-เมษาปีก่อน แม่ผมป่วยหนัก จนเรา 5 พี่น้องลงความเห็นว่า ถ้าท่านหยุดหายใจ เราจะใช้เครื่องช่วยสัก 1 ครั้งหากไม่ไหวจะปล่อยให้ท่านทิ้งร่าง ปรากฎว่าหลังจากสงกรานต์(ปี่ที่แล้ว) ท่านกลับดีวัน ดีคืน จากนอนอย่างเดียวมาเป็นลุกนั่งและเดินได้ จนเดินแทบไม่หยุดในปัจจุบัน (ชอบไปลุยน้ำดูพื้นที่ตอนน้ำท่วมด้วย จนต้องจับส่งไปอยู่กับลูกสะใภ้ในต่างจังหวัด) ผมว่ากำลังใจเป็นเรื่องสำคัญที่สุด และเป็นส่วนสำคัญในการช่วยให้คนไข้ฟื้นตัว ยาและกระบวนการรักษาที่ว่าสำคัญ ยังสู้คนไข้กำลังใจดีไม่ได้  แต่ทั้งมวลหาอาจชนะความเสื่อมของสังขารไม่

สวัสดีครับ คุณพธู ๒๕๒๔

                                มันก็จริงอย่างที่บอกครับ

                                แต่กระเพาะมันชักไม่ทำงาน เพราะทำงานมามากเกินพอแล้ว

                                รูปมันก้ไม่ไหว  เพราะไม่มีอาหารไปหล่อเลี้ยง หรือมีน้อย  ตอนนี้กำลังใช้ของเก่าอยู่เกือบหมดแล้ว

                                ความจริง  ต้องเป็นความจริง  หนีไม่พ้น ครับ

                                ขอให้จากไปด้วยความสบาย เท่านั้น เป็นพอ คงไม่ช่วยอะไรทั้งสิ้น

                                ขอบคุณมาก

                                สวัสดี
      บันทึกการเข้า
nawvarat
มือใหม่หัดเมาท์
*


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 12

« ตอบ #6361 เมื่อ: 13 มิถุนายน 2555, 22:30:29 »

พี่สิงห์คะ

  คุณแม่พี่สิงห์ ได้รับ ความรัก และ เอาใจใส่จาก ลูกๆหลานๆ อย่างดี เมื่อได้รับการรักษาจากสาเหตุเกลือแร่ต่ำ อาการน่าจะดีขึ้นเรื่อยๆคะ

เนาว์ 15
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #6362 เมื่อ: 14 มิถุนายน 2555, 04:49:09 »

อ้างถึง
ข้อความของ nawvarat เมื่อ 13 มิถุนายน 2555, 22:30:29
พี่สิงห์คะ

  คุณแม่พี่สิงห์ ได้รับ ความรัก และ เอาใจใส่จาก ลูกๆหลานๆ อย่างดี เมื่อได้รับการรักษาจากสาเหตุเกลือแร่ต่ำ อาการน่าจะดีขึ้นเรื่อยๆคะ

เนาว์ 15

สวัสดียามเช้าค่ะ คุณน้องเนาวรัตน์ ที่รัก

                      ปัญหามันอยู่ที่กระเพาะอาหาร รับอาหารทางสายยางได้น้อยลงๆ คือมันจะไม่ทำงานแล้ว เราก็ไม่สามารถให้เกลือแร่ที่ขาดไปได้  ความจริงมันเป็นเช่นนี้

                     ขอบคุณ และสวัสดีค่ะ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #6363 เมื่อ: 14 มิถุนายน 2555, 07:31:00 »

สวัสดียามเช้า ครับ ชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน

                        ต้องขอขอบพระคุณ  คุณมิ้งค์ เป็นอย่างมาก ที่ได้โทรศัพท์มาหาพี่สิงห์ เมื่อสองสามนาที่นี้บอกว่า พี่สิงห์  ยังไม่ต้องไปสอน 5 ส. และการออกกำลังกายแบบโยคะและชิกง ที่โรงงานเลื่อนออกไปก่อนก็ได้ ให้ไปเยี่ยมคุณแม่ที่โรงพยาบาลสิงห์บุรีก่อน  เดิมทีตั้งใจว่าสายๆ  จะโทรศัพท์ไปขอกคุณมิ้งค์อยู่เหมือนกัน  แต่ก็ลืมครับ ขอบคุณจริงๆ ครับคุณมิ้งค์

                        เมื่อสักครู่ได้ใครครวญดูแล้ว  สำหรับผลฟุตบอลนั้น คนที่เข้ามาในกระทู้นี้เขาอาจจะไม่อยากทราบ หรือทราบแล้วก็ได้ เขาอยากทราบเรื่องอื่นมากกว่า  จึงขอบอกเลยว่า ถ้าไม่มีอะไรเขียนก้จะเอาผลฟุตบอลมาบอกให้ทราบ เพื่อให้ตัวเองไม่ตกกระแสเท่านั้นเอง ไม่มีอะไรอื่นจากนี้

                        เมื่อเช้าใส่บาตรพระ ตรงจุดที่บ้านผมนี่ ๔ บ้าน ครับ  พี่โสไปเชียงใหม่ แต่มีสาวสวย(หุ่น  ผิวพรรณ  การแต่งกายแบบดารา  ผมไม่รู้จัก)มาใส่บาตรแทน และใสแยะมากด้วย คงเป็นเพราะนานๆ มาทีจึงกลัวไม่ได้บุญ  จึงเตรียมของมามาก  ก็ดีครับ ทำแล้วสบายใจ  สุขใจ  ทำไปเถอะครับ  แต่เธอยังยึดหลักเดิม คือนุ่งกางเกงขาสั้นมากแบบพวกดารา เพราะเธอขาสวย หุ่นดี  ผิวดี ครับ 

                        ดร.สุริยา  คงจะค่อนขอดเอา มันปฏิบัติธรรมอะไรของมันวะ!

                        ผมเองเป็นคนช่างสังเกตุ ครับ  แต่ก็ไม่ลืม พิจารณาว่ารูปมันไม่เที่ยง มองเพียงให้รู้ ผ่านไปเท่านั้น  ที่เอามาบอกนี่ก็เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ เท่านั้นเอง

                        สายๆ รถหายติดแล้ว ไปสิงห์บุรีเพื่อไปอยู่กับแม่ที่โรงพยาบาล ครับ

                        สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #6364 เมื่อ: 14 มิถุนายน 2555, 07:46:16 »


                             เมื่อเช้ามืดขณะเดินจงกรมออกกำลังกายหน้าบ้าน จิตมันเลือกธรรมะ มาพิจารณาสามเรื่องด้วยกัน คือ

                              ๑. แก่นของศาสนาพุทธที่พระพุทธองค์ทรงสอน  พระพุทธองค์ทรงสอนให้รู้จักทุกข์  สาเหตุแห่งการเกิดทุกข์  วิธีการแก้ปัญหาเรื่องทุกข์ และแนวทางปฏิบัติให้พ้นทุกข์  พระองค์ให้กำหนดรู้  แต่อย่าไปแบกทุกข์หรือเข้าไปเป็นทุกข์

                              ๒. พระพุทธองค์เมื่อสอนให้เรารู้จักทุกข์และวิธีปฏิบัติแล้ว พระองค์ยังทรงสอนให้เราพิจารณาเพื่อให้จิตปล่อยวางคือ ทุกข์นั้นเราไม่สามารถหลีกพ้นได้เพราเราเกิด  แก่  เจ็บ ตาย เศร้าโศก วิตกกังวล คร่ำครวญ รำพัน  เสียดาย มันก็ต้องประสบแน่นอนหลีกหนีไม่พ้น เป็นเช่นนี้ทุกคน  วิธีคิดที่จะให้จิตมันปล่อยวางได้ก็คือ ต้องคิดว่าทุกข์นั้น ทุกคนต้องประสบทุกคน จึงเป็นเรื่องธรรมดา  เมื่อมันเป็นเรื่องธรรมดาต้องเกิด  เราอย่าไปยึดมั่นถือมั่น อะไรที่เราต้องการ ต้องมี ต้องเป็น  ต้องได้เลย เพราะสิ่งนั้นมันจะนำทุกข์มาให้ไม่มากก็น้อย  วิธีการที่จะละความยึดมั่นถือมั่นในจติก็คือ ต้องคิดว่าทุกข์สิ่งที่เกิดขึ้นนั้น เราไม่มีอำนาจเหนือมัน  บังคับสั่งการ ควบคุมไม่ได้  อะไรที่เราควบคุมไม่ได้  ต้องคิดว่ามันไม่มีตัวไม่มีตน เมื่อคิดว่ามันไม่มีตัวมีตนแล้ว  ความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนของเรา  ก็จะค่อยๆหมดสิ้นไปเอง

                               ๓. นอกจากนี่พระพุทะองค์ยังสอนเรื่องหลักกาลามสูตร คืออะไรที่ก่อประโยชน์ ต่อตนเอง  สังคม ที่จะอยู่ด้วยกันอย่างสงบ สุข เป็นจริงที่ทุกคนยอมรับก็ทำกันไป  แต่สิ่งไหนที่กระทำแล้ว เกิดวิวาท  สังคมแตกแยก  ไม่สงบสุข  ก็อย่าไปกระทำมัน  หรืออะไรที่จะก่อทุกข์ก็อย่าไปอยากรู้อยากเห็นมันเลย

                                  จะขยายความภายหลังครับ

                                  ขอให้ทุกท่านทำจิตให้ผ่องใสเช้านี้ครับ  จะห่างไกลโรคและทุกข์

                                  สวัสดี
      บันทึกการเข้า
ทราย 16
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,838

« ตอบ #6365 เมื่อ: 14 มิถุนายน 2555, 07:56:34 »

ดูรูปครอบครัวแล้วมีความสุขค่ะพี่สิงห์
 รักนะ รักนะ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #6366 เมื่อ: 14 มิถุนายน 2555, 20:21:37 »

อ้างถึง
ข้อความของ ทราย 16 เมื่อ 14 มิถุนายน 2555, 07:56:34
ดูรูปครอบครัวแล้วมีความสุขค่ะพี่สิงห์
 รักนะ รักนะ

สวัสดีค่ะ คุณน้องทราย ที่รัก

                              ขอบคุณมากค่ะ

                              สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #6367 เมื่อ: 14 มิถุนายน 2555, 20:49:02 »




สวัสดียามค่ำครับ ชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน

                             พี่สิงห์ กลับมาอยู่กรุงเทพฯ แล้ว  เพราะวันศุกร์ ต้องไปทำงานที่นครศรีธรรมราช

                             วันนี้พี่สิงห์ ไปเฝ้าแม่เกือบทั้งวัน ผลัดกับคนที่ดูแลประจำให้เขาได้พักผ่อน ไปทำธุระส่วนตัวบ้าง

                             เวลาแม่หลับ ผมไม่รู้จะทำอะไรก็นั่งเจริญสติ สลับกับการเดินจงกรม ยกเอาแม่เป็นจุดพิจารณาว่าสังขารทั้งหลายไม่เที่ยง  สังขารทั้งหลายเป็นทุกข์ ธรรมทั้งหลยเป็นอนัตตา เรามีความแก่เป็นธรรมดา เรามีความเจ็บเป็นธรรมดา เรามีความตายเป็นธรรมดา เราหนีสิ่งเหล่านี้ไม่พ้น ไม่ช้าก็เร็วต้องประสบ   เวลาแม่ตื่นก็เปิด CD หลวงพ่อไพศาล   วิสาโล  ให้แม่ฟัง  และพยายามพูดคุยกับแม่

                             แม่มาอยู่โรงพยาบาล คุณหมอวิทิต ก็ให้น้ำเกลือ เพื่อสร้างความชุ่มชื้นที่ขาดหายไป  แม่ก็หายซึมขึ้นพอมีแรง และพยาบาลมาเจาะเลือดเพื่อจะตรวจดูว่า ขาดแร่ธาตุ  สารอาหารตัวไหน  ก็จะได้จัดอาหารเหลวได้ถูกต้อง แต่ปัญหามันอยู่ที่แม่รับอาหารทางสายยางได้น้อยลงเท่านั้น  อย่างอื่นไม่มีอะไรต้องรักษาเพราะดีหมด แผลกดทับก็ไม่เลวลง ไม่มีหนอง แผลจะแห้ง แต่ไม่หายก็รักษา ทายา ทำแผลกันไป

                             เวลาพยาบาลมาเจาะเลือดนี่ซิลำบากมากเพราะเส้นเลือดมันไม่มี  ต้องย้ายที่หลายครั้ง พอเจาะเสร็จก็ห้อเลือดช้ำเขียวทันที  นี่คือสิ่งที่น้องสาว-หมอวิทิต ไม่อยากกระทำเลย เพราะแม่จะเจ็บ  สำหรับผม แม่เจ็บอย่างนี้ดี เพราะแสดงว่าท่านยังรับรู้ได้ดี

                             แม่ยังมีความรู้สึก  รู้ตัว  สวดมนต์ได้  โต้ตอบกับพยาบาลได้  แล้วเราจะปล่อยให้จากไปได้อย่างไร !

                             ไหนๆ ผมก็ไปเฝ้าแม่ที่โรงพยาบาลสิงห์บุรี  อังคารหน้า น้องสาวเลยให้ไปช่วยสอนผู้สูงอายุ ที่เคยรับราชการที่มารับการอบรม เพื่อให้กลับไปเป็นผู้นำชุมชน  ตามนโยบายของผู้ว่าราชการจังหวัดสิงห์บุรี  จะมีการอบรมเรื่องการดูแลสุขภาพ  พี่สิงห์ จะไปสอนเรื่อง อยู่อย่างไรให้ไร้โรค สอนรำชิกง และโยคะ  แต่จะแถมท้าย ให้คนแก่อยู่อย่างมีประโยชน์ คือ ช่วยกันสอนเยาวชนม์ให้มีระเบียบ มีความรับผิดชอบ รักประเพณีไทยโบราณ แทรกเข้าไปด้วยครับ

                             ขอบคุณทุกๆ ท่านที่เป็นห่วงแม่ ครับ

                             ราตรีสวัสดิ์ทุกท่านครับคืนนี้
      บันทึกการเข้า
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #6368 เมื่อ: 15 มิถุนายน 2555, 02:38:24 »

พี่สิงห์คะ,
หนิงดูรูปท่านแล้ว..
หนิงเห็นภาพอะไรตั้งเยอะแน่ะคะ
เพราะพี่สิงห์ให้โอกาสพวกเราที่นี่
ได้ทราบเกร็ดชีวิตของพี่ในวัยเด็ก
บ่อยๆที่พี่สิงห์เล่าถึงคุณพ่อหรือคุณแม่พี่
ภาพเหล่านั้นผุดขึ้นมาในห้วงคิดค่ะ
หนิงมองท่านวันนี้ ควบคู่ไปกับภาพสมัยท่านยังสาว
ที่เลี้ยงดูพี่สิงห์มา...ภาพพี่ในชุดนักเรียนประถมที่
ไม่สวมรองเท้า?รับรางวัลอะไรสักอย่าง..พี่สิงห์
เป็นลูกที่ท่านภาคภูมิใจคะ เพราะภาพพี่ที่มีในห้วงจิตท่าน
ก็ไม่ใช่วันนี้,แต่เป็นเด็กชายตัวเล็กๆ
น่ารักและเรียนเก่งมาก!
ไม่มีภาพอื่นหรอกคะ.


น้องปภัสสร
แห่งตังกวน!
      บันทึกการเข้า


Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #6369 เมื่อ: 15 มิถุนายน 2555, 11:21:40 »




สวัสดีค่ะ คุณน้องหนุ่งหนิ่ง ที่รัก

                                  สมัยที่พี่สิงห์เรียนหนังสือที่โรงเรียนวัดพระนอน ชั้นประถมปีที่ ๑ - ๗ พี่สิงห์เป็น รุ่นแรกที่โรงเรียนเปิดชั้นประถมปีที่ ๕ - ๗ เพราะไม่ต้องการให้เด็กนักเรียนเดินทางไกล เพราะสมัยนั้นไฟฟ้า  ไม่มี  รถจักรยาน ยังมีน้อย เพราะแพง มียี่ห้อราเล่ และแฮมเบอร์ก เท่านั้น

                                  เนื่องจากเป็นรุ่นแรก อาคารเรียนจึงไม่มี ต้องเรียนบนพื้นดิน คือหลังคาสังกะสี และเอาสังกะสีมาล้อมเป็นห้องเรียน โต๊ะวางบนดิน สำหรับชั้น ป. ๕ - ๗ จนจบการศึกษา โดยพ่อและชาวบ้านเป็นคนทำ

                                   โรงเรียนหลังเก่า และใหม่ ศาลา  โบสถ์ที่วัด พ่อเป็นช่างในการสร้างร่วมกับชาวบ้าน เพราะพ่อเคยเห็นที่กรุงเทพฯ

                                   เช้าเดินไปเรียน แต่เวลาเย็นเดินกลับบ้าน ต้องเดินเรียงแถวกลับบ้าน เป็นสายๆ ไป  กลางวันเดินกลับมากินข้าวที่บ้าน  แม่ไม่มีเงินให้ไปโรงเรียนเลย เพราะต้องเก็บเงินทุกบาทส่งพี่สาวและพี่ชายเรียนที่กรุงเทพฯ

                                    ดูหนังขายยาไม่ต้องพูดถึง เพราะพ่อ-แม่ พี่สิงห์ ถือศีล ๘ วันพระ และท่านไม่ดูหนัง ดูลิเก เลยทั้งสิ้น  กับข้าวแต่ละวันก็ไม่ซื้อเพราะพ่อปลูกผักเอาไว้กินและเหลือขาย ขนาดยาสูบสำหรับสูบและสีฟันกินหมาก พ่อก็ปลูกเอง  จึงไม่รู้จะเอาเงินไปซื้ออะไร  นอกจากอุปกรณ์ดำรงค์ชีพที่จำเป็นเท่านั้น  นอกนั้นแม่เก็บเงินส่งลูกเรียนเพราะท่านให้ความสำคัญของการศึกษา เป็นสมบัติสิ่งเดียวที่จะให้ลูกได้เพราะท่านไม่มีที่นาทำกิน  ดีที่ว่าท่านเดินทางส่งกรวดมาขายกรุงเทพฯ  จึงเห็นความสำคัญของการศึกษา

                                   สมัยนั้น อินทร์บุรี - สิงห์บุรี ติดต่อกันได้ทางน้ำคือแม่น้ำเจ้าพระยา มีเรือโดยสาร สองชั้นเป็นสีเลือดหมู และเรือหางยาว  ทางรถจักรยาน ต้องขี่เลาะริมแม่น้ำเจ้าพระยาไป ๑๖ กิโลเมตร  บ้านพี่สิงห์ไม่ได้อยู่ตัวอำเภอ ต้องเดินด้วยเท้าไปตลาด ๔ กิโลเมตร  พ่อจึงนานๆ ไปที  พ่อไปตลาดพี่สิงห์จึงจะได้กินบะหมีแห้ง เพราะพ่อจะซื้อมา เป็นของวิเศษมากสำหรับพี่สิงห์  นอกนั้นแม่ทำขนมเองทั้งสิ้นตามฤดูกาล

                                   ทั้งตำบล ที่หมู ๑ ๒ ๓ มีบ้านพี่สิงห์ บ้านเดียว ที่ลูกได้เรียนหนังสือ  นอกนั้นจบ ชั้นประถม ๔ ทำนาทั้งหมด

                                   ถึงไม่มีความเจริญ  แต่เต็มไปด้วยความสุข บ้านพี่สิงห์มีสามระดับ เพราะสร้างไม่พร้อมกัน คือครัว นอกชานภายใน นอกชานกลางแจ้ง นอนดูดาวตอนกลางคืน และห้องสำหรับเก็บของ ส่วนใหญ่นอนนอกชานที่มีหลังคา ใช้มุ้งกาง ลมพัดเย็นสบาย  สองทุ่มนอน คือจบข่าวภายในประเทศของวิทยุประเทศไทย

                                    ผลไม้ตามฤดูกาลมีหมด เพราะพ่อปลูก เกือบ ป . ๗ แล้วจำได้ว่าพี่สาวซื้อขนมปังมาให้กิน อร่อยมากในสมัยนั้น แต่สมัยนี้ธรรมดา  ทุเรียนได้กินปีละครั้ง หนึ่งลูกเพราะหายาก ต้องทำเป็นข้าวเหนียวทุเรียน  จึงจะกินกันได้ทั้งครอบครัวและเอาไปทำบุญด้วย  มังคุดไม่ต้องพูดถึง เป็นสิ่งหายากมากในสมัยนั้น พอๆ กับทุเรียน

                                    ผลไม้ก็มี ฝรั่ง  มะละกอ  มะม่วง  มะปรางค์  ลูกจันทร์  สัปรด  มะเฟือง  ทับทิม  แค่นี้จริงๆ ครับ

                                    หน้าหนาวก็หนาวจริงๆ ตั้งแต่เดือนตุลาคม ถึงกุมพาพันธ์  โรงเรียนจะปิดหน้าดำนา  หน้าเกี่ยวข้าว และหยุดวันโกน วันพระ ครับ

                                    สวัสดีค่ะ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #6370 เมื่อ: 15 มิถุนายน 2555, 11:49:39 »


                             ทั้งตำบลทับยา มาเรียนชั้นประถมปีที่ ๕-๗ เพียงเท่านี้ และ เท่านี้ไปเรียนต่อ ม.ศ. ๑-๓ ที่โรงเรียนอินทร์บุรี วัดโบสถ์ เพียง ๕ คน เท่านั้น และมีจบปริญญาตรีเพียงผมคนเดียว นอกนั้นอยู่บ้านทำนา ทั้งหมดครับ

                             พ่อ-แม่ ในสมัยนั้น บ้านใครมีที่นา  จึงไม่นิยมให้ลูกเรียนหนังสือ และไม่มีเงินส่งเรียน  คนไหนที่ไม่ได้เรียนหนังสือ ก็ช่วยพ่อแม่ทำนา เพราะงานก็ไม่มีทำเหมือนสมัยนี้

                             งานวัดปีละครั้งถึงจะมีหนัง ลิเก  แต่หนังขายยาจะมีเฉพาะหน้าน้ำ ที่เรือสามารถวิ่งในแม่น้ำเจ้าพระยาได้เท่านั้น

                             โรงเรียนอินทร์บุรี สร้างในสมัยพี่ชายคนโต เป็นหลังคามุงจาก ไม่มีกั้นห้อง เรียนกับพื้นดิน พ่อเป็นคนสร้างให้ท่านเจ้าคุณ

                             พี่สาวคนโตไม่ได้เรียนหนังสือ เพราะไม่มีโรงเรียน  ในฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาตะวันตก ครับ

                             อดีตมีแต่ความสุขใจ  แต่ในกระเป๋าไม่มีเงิน แต่บ้านมีข้าวกิน  อิ่มท้องก็ดีแล้วครับ  ยังมีคนที่แย่กว่าเรา

                             สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #6371 เมื่อ: 15 มิถุนายน 2555, 11:56:07 »


                              สำหรับแม่ อาการนับวันต่อวัน คงสภาพเดิม 

                              วันนี้คุณหมอวิทิต คงเปลี่ยนสูตรอาหารเหลว ใส่เกลือแร่ที่หายไป

                              ปกติทางผู้ดูแลแม่  จะใส่น้ำผึ้งลงไปด้วย ผมจะซื้อน้ำผึ้งไปจากร้านเขาค้อทะเลภู ของคุณสนธิ์ ประจำให้แม่มาหลายปีเต็มที แล้วเป็นน้ำผึ้งป่า ที่ไว้ใจได้ว่าไม่ผสม และสะอาด ครับ

                              เสาร์-อาทิตย แพรว จะกลับบ้านไปดูแลยาย แทนผม ครับ

                              บ่ายนี้ผมเดินทางไปนครศรีธรรมราช Boarding 12:15 น. ตอนเย็น 18:30-19:30 น. มีสอนโยคะ ที่โรงเรียนทวินโลตัส ชั้นสาม เป็นทางเลือกของผู้ที่ต้องการออกกำลังกาย  ปกติ สอนเสร็จผมจะนั่งคุย สอนให้รู้เรื่องการกิน พอให้เหงื่อแห้ง ครับ

                              สวัสดีครับ
      บันทึกการเข้า
เอมอร 2515
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu 2515
คณะ: รัฐศาสตร์(นิติศาสตร์)
กระทู้: 4,562

« ตอบ #6372 เมื่อ: 15 มิถุนายน 2555, 11:59:37 »

สวัสดี ตอนเที่ยงค่ะพี่สิงห์
 ทานกลางวันแล้วหรือยังคะ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #6373 เมื่อ: 15 มิถุนายน 2555, 12:14:46 »

อ้างถึง
ข้อความของ เอมอร 2515 เมื่อ 15 มิถุนายน 2555, 11:59:37
สวัสดี ตอนเที่ยงค่ะพี่สิงห์
 ทานกลางวันแล้วหรือยังคะ

สวัสดีค่ะ คุณน้อมเอมอร ที่รัก

                               กำลังรับประทานครับ เป็นกับข้าวที่เหลือจากเมื่อวานที่ซื้อมาจากตลาดลุงเพิ่ม ใชไมโครเวบอุ่นให้ร้อนทั้งกับและข้าว คือแกงคั่วผักบุ้งใสหมูสามชั้น และผัดหัวไชโป้กับไข่ ครับ พี่สิงห์รับประทานกับแพรว ที่บ้าน แต่ไม่พร้อมกัน แพรวกินเป็นอาหารเช้า  ที่เหลือพี่สิงห์กินเรียบเป็นอาหารกลางวัน และล้างถ้วย ชามเก็บเรียบร้อยแล้วครับ

                                เธอกินข้าว หรือยัง ?

                                สวัสดีค่ะ
      บันทึกการเข้า
เอมอร 2515
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu 2515
คณะ: รัฐศาสตร์(นิติศาสตร์)
กระทู้: 4,562

« ตอบ #6374 เมื่อ: 15 มิถุนายน 2555, 12:45:24 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 15 มิถุนายน 2555, 12:14:46
อ้างถึง
ข้อความของ เอมอร 2515 เมื่อ 15 มิถุนายน 2555, 11:59:37
สวัสดี ตอนเที่ยงค่ะพี่สิงห์
 ทานกลางวันแล้วหรือยังคะ

สวัสดีค่ะ คุณน้อมเอมอร ที่รัก

                               กำลังรับประทานครับ เป็นกับข้าวที่เหลือจากเมื่อวานที่ซื้อมาจากตลาดลุงเพิ่ม ใชไมโครเวบอุ่นให้ร้อนทั้งกับและข้าว คือแกงคั่วผักบุ้งใสหมูสามชั้น และผัดหัวไชโป้กับไข่ ครับ พี่สิงห์รับประทานกับแพรว ที่บ้าน แต่ไม่พร้อมกัน แพรวกินเป็นอาหารเช้า  ที่เหลือพี่สิงห์กินเรียบเป็นอาหารกลางวัน และล้างถ้วย ชามเก็บเรียบร้อยแล้วครับ

                                เธอกินข้าว หรือยัง ?

                                สวัสดีค่ะ


กำลังทำงานไปทานข้าวไป
วันนี้ ทานวุ้นเส้นผัดไทค่ะ
ไม่ถูกสุขภาพใช่ไหมคะ
 แต่ต้องหาเวลาแบบนี้
 จึงเข้ามาทักทายพี่ น้องได้ ก่อน เวลางาน
 เที่ยง ค่ะ พี่สิงห์
 คิดถึงทุกคน
 จึงเข้ามาทักนิดหน่อยก็ยังดีค่ะ
      บันทึกการเข้า
  หน้า: 1 ... 253 254 [255] 256 257 ... 681   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

สมาคมนิสิตเก่าหอพักนิสิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มวลสมาชิกสมาคม คณาจารย์ และนิสิตเก่าทุกคน ขอน้อมเกล้าถวายความอาลัย  พระผู้เสด็จสู่สวรรคาลัย ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ <;))))><