23 พฤศจิกายน 2567, 23:38:40
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 249 250 [251] 252 253 ... 681   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: คุย กับ คุณมานพ กลับดี อดีตประธานชมรม ๓ สมัย  (อ่าน 3565434 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 18 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #6250 เมื่อ: 02 มิถุนายน 2555, 12:14:30 »

อ้างถึง
ข้อความของ khesorn mueller เมื่อ 01 มิถุนายน 2555, 21:27:36
พี่สิงห์คะ,
เวียนนาฝนตกคะ อากาศเย็นลง
วันนี้ทั่วทุกโบสถ์เค้าเปิดถึงเที่ยงคืนมีดนตรีในโบสถ์ด้วย
หนิงกะแฟนว่าจะแยกตัวไปชมตอนสี่ทุ่มคะ

พรุ่งนี้หลังทานเช้าเสร็จก็จะcheck outคะ
ขับรถกลับบ้าน 6 ชม.ค่ะ


ps.เค้าให้ใช้แค่ 15 นาทีคะ พิมพ์ช้าไม่ได้
เครื่องมันlock outเฉยคะพี่!

nn.
สวัสดีค่ะ คุณน้องหนุ๋งหนิ๋ง ที่รัก

                         อิจฉา ที่ได้เที่ยวออสเตรีย   พี่สิงห์เพิ่งวางสายคุณสุดสาคร  อดีตผู้ช่วยฑูตอุตสาหกรรมออสเตรีย เพราะยังมีไวน์อิตาลีเหลือหนึ่งขวดสำหรับกลุ่มกอล์ฟ(แต่พี่สิงห์ได้แต่นั่งดู งดของมึนเมา)

                         ออสเตรียน่าที่จะมีแต่ฝน คงไม่หนาวแล้ว เป็นฤดูโตของต้นไม้(เพราะปลูก)  คงจะเขียวขจีตามทุ่งปศุสัตว์

                         เที่ยวให้สนุก  อย่าลืมฟุตบอลยูโร พี่สิงห์ยังไม่รู้ว่าเขาจะแข่งกันเมื่อไรเลย?

                         สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #6251 เมื่อ: 02 มิถุนายน 2555, 12:31:07 »

ดร.เอ็มเบดการ์

ผู้ปลุกมโนธรรมสำนึกของสังคมฮินดู


 

"เกียรติคุณของ ดร.เอ็มเบดการ์ จะต้องถูกจดจำรำลึกถึงต่อไปตราบนานเท่านาน ในฐานะที่ท่านเป็นสัญลักษณ์ของการต่อสู้เพื่อล้มล้างความอยุติธรรมในสังคมฮินดู ดร.เอ็มเบดการ์ ต่อสู้กับสิ่งที่ทุกคนเห็นว่าจำเป็นจะต้องต่อสู้ ดร.เอ็มเบดการ์เป็นผู้ปลุกมโนธรรมสำนึกของสังคมฮินดูให้ฟื้นตื่นขึ้นมาจากความหลับใหล"เยาวหราล เนห์รู อดีตนายกรัฐมนตรีและรัฐบุรุษของอินเดีย

เปือกตมที่บ่มเพาะดอกบัว ในสังคมอินเดียซึ่งประชากรส่วนใหญ่กว่า 80% นับถือศาสนาฮินดูนั้น มีการแบ่งประชาชนออกเป็น 4 วรรณะ คือ
                    1.วรรณะกษัตริย์ ทำหน้าที่ปกครองและเป็นนักรบ
                    2.วรรณะพราหมณ์ ทำหน้าที่ทางศาสนาและเป็นครูบาอาจารย์
                    3.วรรณะแพศย์ ทำหน้าที่ค้าขายและกสิกรรม
                    4.วรรณะศูทร ทำหน้าที่เป็นกรรมกรผู้ใช้แรงงาน

วรรณะทั้ง 4 นี้เรียกว่าเป็นพวก 'สวรรณะ' (คนมีวรรณะ) นับว่ายังมีเกียรติมีฐานะในสังคมอินเดียเหมือนคนปกติทั่วไป อย่างไรก็ตาม นอกจากวรรณะทั้ง 4 นี้แล้ว ยังมีคนอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งพระเจ้าของศาสนาฮินดูไม่ยอมจัดให้สังกัดในวรรณะใด คนทั่วไปจึงเรียกพวกเขาว่าเป็นพวก 'อวรรณะ' (คนนอกวรรณะ) คนอวรรณะเหล่านี้อาจเรียกว่าเป็นวรรณะที่ 5 ก็ได้ พวกอวรรณะมีชื่อเรียกอยู่หลายชื่อ คือจัณฑาล, หริชน, หินชาติ, ปาริหะ, ปัญจมะ, มาหาร์, อธิศูทร เป็นต้น คนนอกวรรณะเหล่านี้ยังแบ่งออกเป็นกลุ่มย่อยได้อีก คือ

                       1.พวกที่แตะต้องไม่ได้ (Untouchables)
                       2.พวกที่เข้าใกล้ไม่ได้ (Unapproachables)
                       3.พวกที่มองดูไม่ได้ (Unseeables)

พวกนอกวรรณะเหล่านี้มีสถานภาพไม่ต่างอะไรกับทาส หรือสัตว์ดิรัจฉานชนิดหนึ่งในสายตาของคนในวรรณะทั้ง 4 ข้างต้น สำหรับคนนอกวรรณะอย่างพวกเขาแล้ว ไม่มีสิทธิอะไรในทางสังคมนอกจากเกิดมาเพื่อทำหน้าที่เป็น 'ข้าช่วงใช้' หรือ 'แรงงานทาส' ของคนในวรรณะเท่านั้น อาชีพสำหรับพวกเขาก็คือ งานที่เกี่ยวข้องอยู่กับสิ่งสกปรกโสโครกทั้งปวง เช่น กวาดถนน ขนขยะ ล้างท่อ ฟอกหนัง กรรมกร เป็นอาทิ ที่อยู่อาศัยของพวกเขาก็ต้องแยกออกมาต่างหากจากคนในวรรณะ และที่ที่เหมาะสำหรับพวกนอกวรรณะก็คือ ข้างกองขยะ แหล่งชุมชนแออัด หรือย่านคนจนที่อยู่ห่างไกลออกไปจากคนในวรรณะ

พลิกวิกฤติเป็นโอกาส แปรคำปรามาสเป็นพลัง

ดร.เอ็มเบดการ์ (Dr.B.R.Ambedkar)หรือชื่อเต็มของท่าน คือ บาบาสาเหบ พิมเรา รามจิ อัมเบดการ์(Dr. Babasaheb Bhimrao Ramji Ambedkar) ถือกำเนิดมาในครอบครัวของคนจัณฑาลหรืออธิศูทรที่ยากจนข้นแค้นเมื่อวันที่ 14 เมษายน พ.ศ.2434 ณ หมู่บ้านของคนจัณฑาลชื่ออัมพาวดี อำเภอรัตนคีรี รัฐมหาราษฎร์ (บอมเบย์) ประเทศอินเดีย บิดาของท่านชื่อ 'รามจิ สักปาล' (Ramji Sakpal) เคยมีอาชีพเป็นทหารมาก่อน เมื่อปลดประจำการแล้วจึงยึดอาชีพกรรมกรขายแรงงานที่หาเช้ากินค่ำ มารดาของท่านเป็นสตรีในวรรณะจัณฑาลเหมือนกัน ชื่อ 'พิมมาไบ' (Bhimabai) ทั้งสองมีลูกด้วยกันถึง 14 คน เอ็มเบ็ดการ์นับว่าเป็นคนสุดท้อง แต่ต่อมาพี่น้องส่วนใหญ่ก็เสียชีวิตเหลืออยู่ด้วยกันเพียง 5 ชีวิตเท่านั้น

เมื่อยังเล็ก ดร.เอ็มเบดการ์ มีชื่อว่า 'พิม' (Bhim) พออายุ 2 ขวบก็เข้าเรียนที่โรงเรียนประถมแห่งหนึ่งพร้อมกับพี่ชายอีก 2 คน อยู่ต่อมาอีกจนอายุ 4 ขวบมารดาก็มาตายจากไป และนับแต่นี้ไปชีวิตครอบครัวของพิมก็มีแต่ไม่ดีร้ายลงไปทุกที อย่างไรก็ตาม แม้จะเกิดมาท่ามกลางความขัดสนและท่ามกลางสังคมที่อยุติธรรมไปเสียทุกอย่าง แต่พ่อของพิมก็ไม่ท้อยอมทำงานหนักสายตัวแทบขาดเพื่อส่งให้ลูกของตนได้เรียนหนังสือให้สูงที่สุดเท่าที่จะทำได้ ดังนั้น เมื่อพิมเรียนจบชั้นประถมศึกษาแล้วพ่อจึงส่งเสียให้เขาได้เรียนต่อในชั้นมัธยมศึกษาต่อทันที ชีวิตในโรงเรียนมัธยมสำหรับลูกของคนจัณฑาลเป็นชีวิตที่ถูกดูถูกเหยียดหยามไม่ต่างอะไรกับสัตว์ดิรัจฉานตัวหนึ่งเลยทีเดียว ความอาภัพของชนชั้นจัณฑาลที่พิมได้ประสบด้วยตัวเองในระหว่างที่เรียนหนังสืออยู่นั้นมีมากมาย เช่น

                    1.ช่วงปิดเทอมคราวหนึ่ง พิมและพี่ชายได้ชวนกันออกเดินทางไปหาพ่อซึ่งทำงานอยู่อีกหมู่บ้านหนึ่ง ในระหว่างทางพวกเขาได้ว่าจ้างเกวียนคันหนึ่งให้ไปส่ง แต่พอเดินทางไปได้ไม่ไกลนัก คนขับเกวียนก็รู้จากการสนทนาว่าเด็กทั้งสามเป็นลูกคนจัณฑาลชั้นต่ำ เขาจึงไล่เด็กทั้งสามลงจากเกวียนทันที ที่เป็นเช่นนี้เพราะเขาเชื่อว่าคนจัณฑาลจะนำอัปมงคลมาสู่ตัวเขาและเกวียนของเขา พิมและพี่ชายไม่มีทางเลือกต้องลงเดินด้วยเท้าจากหมู่บ้านหนึ่งไปถึงอีกหมู่บ้านหนึ่ง ตลอดทางตั้งแต่บ่ายจนถึงเที่ยงคืนไม่มีอะไรตกถึงท้องพวกเขา เพราะไม่ว่าจะเข้าไปหาน้ำดื่มจากที่ไหน ก็จะถูกไล่ตะเพิดเหมือนเป็นตัวเสนียดจัญไร

                     2.วันหนึ่งพิม ไปตัดผมที่ร้านตัดผมแต่พอนายช่างรู้ว่าเขาเป็นลูกคนจัณฑาลก็ไล่ตะเพิดเขาออกจากร้านพร้อมทั้งยังบริภาษตามหลังออกมาอีกว่า "เขายินดีตัดผมให้กับคนทุกคน หรือยินดีตัดขนให้กับสัตว์ดิรัจฉาน แต่เขาจะไม่ยอมให้กรรไกรของตัวเองแตะต้องผมของพวกคนจัณฑาลอย่างเด็ดขาด" นับแต่นั้นมาพี่สาวคนหนึ่งของพิมก็เลยกลายเป็นช่างตัดผมประจำตัวของเขาไปโดยอัตโนมัติ

                      3.ที่โรงเรียนพิมจะถูกกำหนดให้นั่งอยู่หลังห้องแยกต่างหากจากเด็กคนอื่น เขาไม่มีสิทธิจะอ่านโคลง กลอนภาษาสันสกฤตเหมือนเพื่อนร่วมชั้นคนอื่นๆ เพราะภาษาสันสกฤตเป็นภาษาที่สงวนไว้สำหรับชนชั้นสูงอย่างวรรณะพราหมณ์เท่านั้น ครูประจำชั้นจะไม่ยอมแตะต้องสมุด หนังสือ หรือแม้แต่เดินเฉียดกรายมาใกล้พิมเป็นอันขาด เพราะเขาเชื่อว่าพิมเป็นตัวอัปรีย์จัญไรที่ใครเข้าใกล้แล้วจะมีมลทิน ขณะที่อยู่ในโรงเรียนนั้นหากเกิดกระหายน้ำขึ้นมาพิมไม่มีสิทธิจะไปตักน้ำดื่มด้วยตัวเอง เพราะพวกเขาเกรงว่าพิมจะไปทำบ่อน้ำเป็นอัปมงคล ด้วยเหตุนี้ หากทนกระหายไม่ได้จริงๆ พิมจึงต้องเป็นฝ่ายขอร้องให้เพื่อนคนใดคนหนึ่งที่มีใจอารีไปตักน้ำมาให้ แล้วให้เขาค่อยๆ รินน้ำลงใส่ปากตัวเองอย่างระมัดระวัง ทั้งนี้ เพื่อมิให้อวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งของพิมไปถูกภาชนะใส่น้ำ หรือไปสัมผัสกับผู้ที่มีเมตตาที่มารินน้ำใส่ปากให้เขา

ที่โรงเรียนครูทุกคนล้วนสังกัดวรรณะพราหมณ์ ไม่ว่าพิมจะเดินเฉียดกรายไปทางไหน ฝูงชนจะแตกออกเป็นทางและจากนั้นเสียงสาปแช่งก่นด่าเยาะเย้ยถ่มถุยก็จะตามมา จนดูเหมือนกับว่าพิมเป็นสิ่งสกปรกที่เขาโยนขึ้นมาจากท่อข้างถนนก็มิปาน ตลอดเวลาที่ศึกษาอยู่ในโรงเรียนมัธยมพิมรู้สึกเหมือนอยู่ในนรก และเพราะต้องทนอยู่ท่ามกลางสภาพสังคมอันเต็มไปด้วยความเหลื่อมล้ำและอยุติธรรมในทุกเรื่องเช่นนี้เอง พิมจึงเตือนตนเองอยู่เสมอว่า
"สักวันหนึ่งเราจะต้องถีบตัวเองให้สูงขึ้นไปเพื่อให้พ้นจากภาวะอันต่ำต้อยนี้ให้ได้ และการที่จะทำเช่นนั้นได้ มีวิธีเดียวเท่านั้น คือจะต้องตั้งใจเรียนให้ถึงที่สุด เพราะด้วย 'การศึกษา' เพียงอย่างเดียวเท่านั้นที่จะทำให้คนจัณฑาลได้รับการยอมรับ"

จากปณิธานที่ก่อรูปขึ้นในใจ อันนี้เอง ส่งผลให้พิมกลายเป็นเด็กเรียนดีที่สอบได้คะแนนสูงสุดในทุกวิชาในทุกภาคการศึกษา อย่างไรก็ตาม ใช่ว่าโลกจะแล้งไร้ความอยุติธรรมไปเสียหมดก็หาไม่ วันหนึ่งครูของพิมซึ่งเป็นพราหมณ์ก็ได้สังเกตเห็นว่า แม้พิมจะเป็นลูกของคนจัณฑาลชั้นต่ำ แต่เขาก็เป็นเด็กที่ตั้งใจเรียนจนน่ายกย่อง ซ้ำนิสัยใจคอเล่าก็ทรหดอดทน ขยันหมั่นเพียรไม่ระย่อท้อถอย แววตาทอประกายของคนที่มุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวให้เห็นอยู่เสมอ ด้วยความช่างสังเกตจนค้นพบความดีที่ซ่อนอยู่ในตัวของพิม บวกกับความมีมนุษยธรรมในหัวใจ ครูคนนั้นจึงคอยช่วยพิมด้วยการแบ่งอาหารให้เขารับประทานเป็นบางมื้อ แล้วอยู่มาวันหนึ่ง ครูใจพระคนเดียวกันนี้ก็เรียกพิมไปหาแล้วอนุญาตให้เขาใช้นามสกุลของตัวเองแทนนามสกุล 'สักปาล' (ซึ่งเป็นนามสกุลที่ใครได้ยินก็รู้ว่าเป็นชนชั้นจัณฑาล) ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาพิมจึงมีนามสกุลใหม่ว่า 'เอ็มเบ็ดการ์'

พิม สักปาล กลายเป็น พิม เอ็มเบ็ดการ์ ทำให้เขามีมานะพยายามเพิ่มขึ้นเป็นทวีตรีคูณ อุตส่าห์ ตั้งใจเรียนจนในที่สุดก็สำเร็จการศึกษาด้วยผลการเรียนที่ดีเยี่ยมในทุกวิชา โดยเฉพาะภาษาอังกฤษด้วยแล้วคะแนนดูเหมือนจะสูงกว่าวิชาอื่นๆ ด้วยซ้ำไป และด้วยความตั้งใจที่จะพัฒนาตัวเองให้พ้นไปจากขุมนรกของชนชั้นต่ำให้ได้นี่เอง เมื่อจบการศึกษาระดับมัธยมแล้วพิมกับบิดาก็หาทางเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยบอมเบย์จนสำเร็จ

แต่โชคร้ายยังไม่หมดไปจากพิม เอ็มเบ็ดการ์ เพราะแม้ในช่วงแรกที่เขาเข้าเป็นนักศึกษาในมหาวิทยาลัยจะได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี เพราะไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็น 'จัณฑาล' (นามสกุลเอ็มเบ็ดการ์ทำให้ไม่มีใครสงสัยในฐานะอันแท้จริงของเขา) แต่อยู่ต่อมาไม่นานเมื่อความลับนี้ถูกเปิดเผย ความไม่ดีร้ายต่างๆ ก็ประเดประดังเข้าหาพิมอีกเช่นเคย อาจารย์หลายคนไม่ยอมแม้แต่จะมองหน้าเขา เพื่อนร่วมชั้นหลีกห่างจากเขา หรือแม้แต่คนขายน้ำในโรงอาหารก็ไม่ยอมขายน้ำให้เขา แต่นี่ยังพอเป็นเรื่องที่พิมยอมรับได้ แต่เมื่อเหตุการณ์รุนแรงถึงขั้นที่เจ้าของร้านไม่อนุญาตให้พิมเข้าไปซื้ออาหารในร้าน พิมก็เริ่มตระหนักชัดแล้วว่าโลกแทบไม่มีที่ว่างให้คนจัณฑาลอย่างเขาได้หยัดยืนขึ้นมาอย่างสมศักดิ์ศรีในฐานะมนุษย์เลย

ไม่ว่าสถานการณ์จะไม่ดีร้ายอย่างไร แต่หัวใจนักสู้ของพิมก็ยังแกร่งอยู่เสมอ ในระหว่างที่ศึกษาอยู่นี้ บิดาของพิมได้พยายามวิ่งเต้นขอทุนจากองค์กรต่างๆ มาสนับสนุนให้พิมได้เรียนต่อให้สูงที่สุด เพราะเขาก็ตระหนักรู้เช่นเดียวกับลูกชายว่า ด้วยการศึกษาเพียงอย่างเดียวเท่านั้นที่จะทำให้เขาและลูกชายไปพ้นจากสภาพครึ่งคนครึ่งสัตว์เช่นที่เป็นอยู่นี้ได้ แล้ววันหนึ่งพิมก็ได้รับทุนการศึกษาจากมหาราชาแห่งเมืองบาโรด้า ด้วยทุนการศึกษาก้อนนี้ทำให้พิมมีกำลังใจเรียนหนังสือจนในที่สุดก็สำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยบอมเบย์เมื่อปี พ.ศ.2455


สั่งสมภูมิปัญญาก่อนคิดการใหญ่

ช่วงเวลาที่เอ็มเบ็ดการ์ยังเป็นนักศึกษาอยู่นั้น ประเทศอินเดียตกอยู่ในความยึดครองของประเทศอังกฤษ คนอินเดียจึงถูกกดขี่ข่มเหงในแทบจะทุกทาง กลุ่มคนที่รวมตัวกันต่อต้านอังกฤษถูกจับไปฆ่า ทำทารุณกรรมและถูกจับขังคุกอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน พิม เอ็มเบ็ดการ์ ตระหนักถึงปัญหาที่กำลังคุกคามประเทศของตนเหล่านี้เป็นอย่างดี เขาจึงตั้งปณิธานว่า "ในชีวิตนี้เรามีภารกิจที่จะต้องทำอยู่ 2 อย่าง นั่นก็คือ หนึ่ง ทำลายระบบวรรณะ สอง ช่วยให้ประเทศอินเดียเป็นเอกราชจากการยึดครองของอังกฤษ" แต่การที่จะทำให้ภารกิจสองอย่างนี้บรรลุผลได้มีอยู่วิธีเดียวเท่านั้น นั่นก็คือตัวเขาจะต้องเรียนให้สูงที่สุด ไม่เช่นนั้นแล้วก็คงไม่มีเครื่องมือที่จะมาทำงานอันหนักหน่วงและทรงความสำคัญเช่นนั้นได้

หลังสำเร็จการศึกษาชั้นปริญญาตรีแล้ว พิม เอ็มเบ็ดการ์ ก็ได้รับทุนการศึกษาจากมหาราชาแห่งบาโรด้าให้ไปศึกษาต่อยังต่างประเทศ เอ็มเบ็ดการ์ น้อมรับความเมตตานี้ด้วยความซาบซึ้งในหัวใจอย่างสุดจะพรรณนา เขาสำนึกดีว่า หากไม่ได้รับความเมตตาจากมหาราชาพระองค์นี้แล้ว ชีวิตของเขาก็คงไม่มีทางได้ก้าวไปข้างหน้า เอ็มเบ็ดการ์ จึงเตือนตนว่า เมื่อสำเร็จการศึกษาแล้วเขาจะต้องกลับมาทดแทนพระคุณของพระองค์ให้คุ้มค่าอย่างถึงที่สุด

ทันทีที่ได้เดินทางมาศึกษาต่อยังประเทศสหรัฐอเมริกา เอ็มเบ็ดการ์ก็อุทิศตนให้กับการศึกษาทั้งกลางวันกลางคืน เขาอ่านหนังสือไม่ต่ำกว่าวันละ 18 ชั่วโมง ตั้งอกตั้งใจตักตวงความรู้ให้มากที่สุด ภายในเวลาเพียง 2 ปีเขาก็สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโท และปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย แห่งประเทศสหรัฐอเมริกา ระหว่างที่ศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ดร.เอ็มเบดการ์ ไม่เพียงแต่จะศึกษาจากห้องสมุดของมหาวิทยาลัยเท่านั้น เพราะเมื่อมีเวลาว่างท่านจะตระเวนซื้อหนังสือเก่าสะสมไว้ใช้เป็นอาหารสมองให้ตนเองได้ไม่น้อยกว่า 2,000 เล่ม

หลังสำเร็จการศึกษา ดร.เอ็มเบดการ์ เดินทางกลับประเทศอินเดีย และตั้งใจกลับไปทำงานเพื่อทดแทนบุญคุณของมหาราชาแห่งบาโรด้า แต่ทันทีที่ข่าวของท่านแพร่สะพัดออกไป ไม่มีใครสักคนหนึ่งไปรับท่านที่สถานีรถไฟ ไม่มีบ้านพักแห่งไหนในเมืองบาโรด้ายินยอมให้ท่านเข้าไปพัก ซ้ำเมื่อเดินทางมาถึงสำนักงานของมหาราชาผู้เป็นเจ้าของทุน ทุกคนที่อยู่ในสำนักงานก็แสดงท่าทีรังเกียจอย่างไม่ปิดบัง ต่างคนต่างก็ปฏิบัติต่อเขาเหมือนเป็นเสนียดจัญไร เป็นมนุษย์ชั้นสองที่หลุดมาจากชายขอบ หรือป่าชายเลนที่ไหนสักแห่งในโลก และเมื่อ ดร.เอ็มเบดการ์ กลับมาจากที่ทำงานในวันหนึ่งท่านก็พบกับกลุ่มคนจำนวนหนึ่งถือปืนมาล้อมห้องพักที่เช่าไว้ พร้อมทั้งขู่ให้ท่านย้ายออกภายใน 8 ชั่วโมง

ดร.เอ็มเบดการ์ไม่นึกว่าคนเหล่านั้นจะรังเกียจคนจัณฑาล ซึ่งมีการศึกษาระดับปริญญาเอกอย่างเขาถึงเพียงนี้ เมื่อไม่มีทางเลือกท่านก็จำต้องย้ายออกจากหอพักอย่างฉุกละหุก หลังจากพาตัวเองหนีพ้นเคราะห์กรรมมาได้ชนิดเส้นยาแดงผ่าแปดแล้วท่านก็เดินระหกระเหินเรื่อยไป สุดท้ายก็มานั่งร้องไห้อยู่คนเดียวในที่แห่งหนึ่งอย่างน่าสมเพช ดร.เอ็มเบดการ์ เฝ้าถามตัวเองว่า

"สัตว์ดิรัจฉานยังได้รับอนุญาตให้อยู่ในบ้านของคนในวรรณะได้ แล้วนี่ตัวเราเองเป็นคนแท้ๆ แต่ทำไมไม่มีใครให้การต้อนรับขับสู้เราเลย ไปที่ไหนก็ถูกขับไล่ไสส่งยิ่งกว่าสัตว์ เราจะปล่อยให้สภาพเช่นนี้ยังคงอยู่ไปอีกนานสักเท่าไหร่กัน"

เมื่อหมดทางไปในบ้านเกิดเมืองนอน ดร.เอ็มเบดการ์จึงไปสมัครเป็นอาจารย์ในวิทยาลัยแห่งหนึ่งและเก็บหอมรอมริบเงินเดือนไว้ศึกษาต่อ ดร.เอ็มเบดการ์ก็ได้รับการดูถูกดูแคลนจากอาจารย์ในวรรณะอื่นอีกเช่นเคย แต่ท่านไม่ท้อ พยายามหาทางวิ่งเต้นยืมเงินจากเพื่อนได้จำนวนหนึ่งแล้วจึงออกเดินทางไปศึกษาต่อยังประเทศอังกฤษ ใช้เวลาไม่นานนักก็สำเร็จการศึกษาเป็น 'เนติบัณฑิต' อังกฤษ (ปริญญาโท) และยังสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอกอีกถึง 2 สาขาจากมหาวิทยาลัยลอนดอน


ปรับกระบวนทัศน์ พัฒนาสังคม

หลังสำเร็จการศึกษา (ปริญญาตรี, ปริญญาโท และปริญญาเอก จากมหาวิทยาลัยบอมเบย์ อินเดีย, โคลัมเบีย, สหรัฐอเมริกา, มหาวิทยาลัยลอนดอน อังกฤษ, ไม่ต่ำกว่า 7 ปริญญา) ดร.เอ็มเบดการ์ก็ได้กลับมาตั้งหลักปักฐานทำงานอยู่ที่บอมเบย์บ้านเกิดของตนเอง ที่นี่ ดร.เอ็มเบดการ์ได้ตั้งสำนักงานทนายความขึ้นมาเพื่อรับว่าความแทนคนทุกข์ยากในวรรณะชั้นต่ำ พร้อมกันนั้นก็ได้รับเชิญให้เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยอีกหลายแห่ง แสดงว่าสวรรค์เริ่มมีตาขึ้นมาบ้างแล้ว

กลับมาคราวนี้ ดร.เอ็มเบดการ์อุทิศตนทำงานเพื่อสร้างความยุติธรรมให้เกิดขึ้นกับสังคมอย่างเต็มที่ ชั่วเวลาไม่นานนัก ชื่อเสียงของท่านก็โด่งดังไปทั่วอินเดียในฐานะนักปฏิรูปสังคมผู้ต้องการทำลายระบบวรรณะให้หมดไปจากประเทศอินเดีย ผลแห่งความตั้งใจทำงานปฏิรูปสังคมทำให้คนนอกวรรณะต่างยกย่องท่านเสมือนหนึ่งเป็นเทพเจ้าองค์หนึ่งเลยทีเดียว ดร.เอ็มเบดการ์ได้เขียนบทความต่อต้านระบบวรรณะในอินเดียอย่างต่อเนื่อง และบทความทุกเรื่องของท่านคมคายด้วยเหตุผล แหลมคม ด้วยมุมมองของนักกฎหมาย นักรัฐศาสตร์และนักเศรษฐศาสตร์ ผู้เคยผ่านการศึกษาจากมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลกมาแล้ว

จนมีคนเห็นด้วย และเข้าร่วมขบวนการต่อต้านระบบวรรณะในอินเดียเพิ่มขึ้นเป็นเรือนแสนเรือนล้าน กระทั่งวันหนึ่งเมื่อเห็นว่าได้เวลาอันเหมาะสมแล้ว ดร.เอ็มเบดการ์จึงประกาศทำพิธีเผาคัมภีร์ 'มนูธรรมศาสตร์' อันเป็นคัมภีร์สำคัญของศาสนาฮินดูที่กำหนดให้มีระบบวรรณะที่สร้างความเหลื่อมล้ำให้กับคนจำนวนมหาศาลในอินเดีย

ดร.เอ็มเบดการ์เคยให้สัมภาษณ์ถึงเหตุผลของการกระทำในครั้งนี้เอาไว้ต่างกรรมต่างวาระ เช่นครั้งหนึ่งท่านกล่าวต่อหน้าที่ประชุมคนจัณฑาลทั้งหลายว่า "ถ้าพวกท่านต้องการจะมีชีวิตอยู่ในโลกนี้อย่างสมหวัง พวกท่านก็ควรทิ้งศาสนา (ฮินดู) นี้เสีย ศาสนาที่ไม่ยอมรับว่าท่านเป็นมนุษย์เยี่ยงมนุษย์ทั้งหลาย ไม่ยอมแม้จะอนุญาตให้ท่านดื่มน้ำสักหยดเดียวเมื่อท่านกระหาย ไม่ยอมอนุญาตให้ท่านเข้าวัดกราบไหว้สิ่งที่ท่านเคารพ แล้วยังจะสมควรเรียกศาสนานี้ว่าเป็นศาสนาของท่านรึ 'ศาสนานี้กีดกันการศึกษาของท่าน ขัดขวางความเจริญก้าวหน้าของท่าน' ศาสนานี้ต้องการให้คนที่โง่เขลา (Ignorant) ได้โง่เขลาอยู่ต่อไป ให้คนที่ยากจน ได้ยากจนอยู่ต่อไป ข้าพเจ้าไม่ขอเรียกศาสนาเช่นนี้ว่าศาสนา แต่ขอเรียกว่าหลักการแห่งความหายนะ" ในตอนท้ายท่านสรุปว่า

" พระพุทธเจ้าตรัสว่า คนเราไม่ใช่ดีเพราะโคตร ไม่ใช่ดีเพราะตระกูล ไม่ใช่ดีเพราะทรัพย์ แต่จะดีหรือชั่วอยู่ที่การกระทำของบุคคลนั้นๆ"

ขณะที่ทำการต่อสู้เพื่อล้มล้างระบบวรรณะนี้ ดร.เอ็มเบดการ์ยังเสียสละเวลาทำงานด้านการปฏิรูปการศึกษาของคนจัณฑาลและด้านการเมืองควบคู่ไปด้วย ด้านการศึกษาท่านได้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยขึ้นมาถึง 2 แห่งเพื่อให้เป็นมหาวิทยาลัยที่คนจากทุกวรรณะได้มีโอกาสเข้ามารับการศึกษาได้อย่างเสมอภาคกัน มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งชื่อ 'มหาวิทยาลัยสิทธัตถะ' อีกแห่งหนึ่งชื่อ 'มหาวิทยาลัยมิลินทะ'


จากลูกคนจัณฑาลชีวิตพลิกผันเป็นรัฐมนตรี


ด้านการเมืองท่านก่อตั้งพรรคการเมืองชื่อ 'พรรคกรรมกรอิสระ' ดร.เอ็มเบดการ์ทำหน้าที่เป็นปากเสียงให้กับราษฎรจากวรรณะจัณฑาลอย่างดียิ่ง ความเป็นคนจริงที่ต่อสู้เพื่อคนทุกข์คนยากอย่างไม่เห็นแก่อามิสสินจ้าง ทำให้ท่านได้รับเชิญเข้าเป็น 'รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม' เพื่อร่วมกันทำงานกับยอดคนอย่าง เยาวหราล เนห์รู มหาตมะ คานธี เป็นต้น
 
ดร.เอ็มเบดการ์ ร่วมมือกับพรรคคองเกรสของอินเดียต่อสู้กับจักรวรรดิอังกฤษจนในที่สุดอินเดียก็ได้รับเอกราช เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2490 เมื่อได้รับเอกราชแล้วรัฐสภาของอินเดียก็ได้แต่งตั้งให้ ดร.เอ็มเบดการ์รับหน้าที่อันสำคัญที่สุดในชีวิตของตน ซึ่งมีจัณฑาลเพียงหนึ่งในล้านเท่านั้นที่จะได้รับโอกาสอันสำคัญยิ่งยวดเช่นนี้

หน้าที่ดังกล่าวนี้ก็คือ การเป็นประธานร่างรัฐธรรมนูญฉบับแรกของประเทศ แทบไม่น่าเชื่อว่า โอกาสทองที่ ดร.เอ็มเบดการ์ต่อสู้และรอคอยมาทั้งชีวิตจะมาเกยถึงหน้าตักของท่านเร็วถึงเพียงนี้ ดังนั้น โดยไม่รอช้า ดร.เอ็มเบดการ์จึงทำหน้าที่ปลดปล่อยคนอินเดียให้เป็นอิสระจากระบบวรรณะด้วยการเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญอินเดียตอนหนึ่งว่า ไม่ให้ประชาชนอินเดียมีการเลือกปฏิบัติต่อกันและกันด้วยเหตุผลทางวรรณะ และวรรณะจัณฑาลนั้น ก็ให้ยุบทิ้งเสียให้สิ้นซาก
 
ท่านได้ทำการต่อสู้เรื่องสิทธิเสรีภาพและความเสมอภาคของชาวอินเดีย และได้ประกาศตนเป็นพุทธมามกะ และกอบกู้ศาสนาพุทธให้ฟื้นฟูขึ้นมาอีกครั้ง แต่หลังจากประกาศตนเป็นพุทธมามกะ ได้สามเดือนท่านก็เสียชีวิตลง ในวันที่ 6 ธันวาคม พ.ศ.2499 ทิ้งให้พวกวรรณะศูทรต้องโกลาหล เพราะรากฐานที่วางไว้ยังไม่ถึงจุดหมาย ก็ต้องมาขาดผู้นำ เปรียบดั่งเรือที่ขาดหางเสือ



ศาสนาในพุทธในอินเดีย จึงไม่แข็งแรงเท่าใดนักเพราะการขาดผู้นำอย่าง ดร.อัมเบดการ์ไป ปัจจบันชาวพุทธของอินเดีย ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาแบบไม่มีพระสงฆ์เข้ามาเกี่ยวข้องเพราะหาพระสงฆ์ไม่ได้ แต่ก็ถือว่าชาวพุทธที่นี่ รวมตัวกันอย่างเหนียวแน่น และเข้มแข็งพอสมควร

จึงกล่าวได้ว่า ดร.อัมเบดการ์ เป็นบุคคลที่น่าเอาเป็นตัวอย่างเรื่องการต่อสู้ และเป็นผู้มีความเพียรในการศึกษาหาความรู้ และเหนือสิ่งอื่นใด ท่านเป็นผู้ที่ทรงคุณทางพุทธศาสนา ที่สามารถนำพุทธศาสนากลับคืนสู่อินเดียอีกครั้งหนึ่ง
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #6252 เมื่อ: 02 มิถุนายน 2555, 13:16:13 »

ธัมมนิยามสุตตปาฐะ


            อุปปาทา วา ภิกขะเว ตะถาคะตานัง, อะนุปปาทา วา ตะถาคะตานัง,
                   ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย, เพราะเหตุที่พระตถาคตทั้งหลาย,
                       จะบังเกิดขึ้น ก็ตาม, จะไม่บังเกิดขึ้นก็ตาม,


            ฐิตาวะ สา ธาตุ,       ธรรมธาตุนั้น  ย่อมตั้งอยู่แล้วนั่นเทียว,
            ธัมมัฏฐิตะตา,         คือความตั้งอยู่แห่งธรรมดา,
            ธัมมะนิยามะตา,      คือความเป็นกฎตายตัวแห่งธรรมดา,
            สัพเพ สังขารา อะนิจจา-ติ.   ว่า สังขารทั้งหลายทั้งปวงไม่เที่ยง ดังนี้.

            ตัง ตะถาคะโต อะภิสัมพุชฌะติ อะภิสะเมติ,   
                       ตถาคตย่อมรู้พร้อมเฉพาะ ย่อมถึงพร้อมเฉพาะ, ซึ่งธรรมธาตุนั้น,

            อะภิสัมพุชฺฌิตฺวา อะภิสะเมตฺวา,
                        ครั้นรู้พร้อมเฉพาะแล้ว ถึงพร้อมเฉพาะแล้ว,

            อาจิกขะติ เทเสติ,      ย่อมบอก ย่อมแสดง,
            ปัญญะเปติ ปัฏฐะเปติ,                  ย่อมบัญญัติ ย่อมตั้งขึ้นไว้,
            วิวะระติ วิภะชะติ,      ย่อมเปิดเผย ย่อมจำแนกแจกแจง,
            อุตตานีกะโรติ,      ย่อมทำให้เป็นเหมือนการหงายของที่คว่ำ
            สัพเพ สังขารา อนิจจา-ติ.   ว่าสังขารทั้งหลายทั้งปวงไม่เที่ยง ดังนี้.

            อุปปาทา วา ภิกขะเว ตะถาคะตานัง, อะนุปปาทา วา ตะถาคะตานัง,
                         ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย, เพราะเหตุที่พระตถาคตทั้งหลาย,
                                        จะบังเกิดขึ้นก็ตาม, จะไม่บังเกิดขึ้นก็ตาม,


            ฐิตาวะ สา ธาตุ,       ธรรมธาตุนั้น  ย่อมตั้งอยู่แล้วนั่นเทียว,
            ธัมมัฏฐิตะตา,         คือความตั้งอยู่แห่งธรรมดา,
            ธัมมะนิยามะตา,      คือความเป็นกฎตายตัวแห่งธรรมดา,
            สัพเพ สังขารา ทุกขา-ติ.      ว่าสังขารทั้งหลายทั้งปวงเป็นทุกข์ ดังนี้.

            ตัง ตะถาคะโต อะภิสัมพุชฌะติ อะภิสะเมติ,   
                        ตถาคตย่อมรู้พร้อมเฉพาะ ย่อมถึงพร้อมเฉพาะ, ซึ่งธรรมธาตุนั้น,

            อะภิสัมพุชฺฌิตฺวา อะภิสะเมตฺวา,   
                                    ครั้นรู้พร้อมเฉพาะแล้ว ถึงพร้อมเฉพาะแล้ว,

            อาจิกขะติ เทเสติ,      ย่อมบอก ย่อมแสดง,
            ปัญญะเปติ ปัฏฐะเปติ,                 ย่อมบัญญัติ ย่อมตั้งขึ้นไว้,
            วิวะระติ วิภะชะติ,      ย่อมเปิดเผย ย่อมจำแนกแจกแจง,
            อุตตานีกะโรติ,      ย่อมทำให้เป็นเหมือนการหงายของที่คว่ำ
            สัพเพ สังขารา ทุกขา-ติ.                  ว่าสังขารทั้งหลายทั้งปวงเป็นทุกข์ ดังนี้.

            อุปปาทา วา ภิกขะเว ตะถาคะตานัง, อะนุปปาทา วา ตะถาคะตานัง,
                        ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย, เพราะเหตุที่พระตถาคตทั้งหลาย,
                                       จะบังเกิดขึ้นก็ตาม, จะไม่บังเกิดขึ้นก็ตาม,


            ฐิตาวะ สา ธาตุ,       ธรรมธาตุนั้น  ย่อมตั้งอยู่แล้วนั่นเทียว,
            ธัมมัฏฐิตะตา,         คือความตั้งอยู่แห่งธรรมดา,
            ธัมมะนิยามะตา,      คือความเป็นกฎตายตัวแห่งธรรมดา,
            สัพเพ ธัมมา อนัตตา-ติ.      ว่าธรรมทั้งหลายทั้งปวงเป็นอนัตตา ดังนี้.

            ตัง ตะถาคะโต อะภิสัมพุชฌะติ อะภิสะเมติ,   
                        ตถาคตย่อมรู้พร้อมเฉพาะ ย่อมถึงพร้อมเฉพาะ, ซึ่งธรรมธาตุนั้น,

             อะภิสัมพุชฺฌิตฺวา อะภิสะเมตฺวา,   
                       ครั้นรู้พร้อมเฉพาะแล้ว ถึงพร้อมเฉพาะแล้ว,
         
              อาจิกขะติ เทเสติ,      ย่อมบอก ย่อมแสดง,
              ปัญญะเปติ ปัฏฐะเปติ,     ย่อมบัญญัติ ย่อมตั้งขึ้นไว้,
              วิวะระติ วิภะชะติ,      ย่อมเปิดเผย ย่อมจำแนกแจกแจง,
              อุตตานีกะโรติ,      ย่อมทำให้เป็นเหมือนการหงายของที่คว่ำ
              สัพเพ ธัมมา อนัตตา-ติ.   ว่าธรรมทั้งหลายทั้งปวงเป็นอนัตตา ดังนี้.
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #6253 เมื่อ: 02 มิถุนายน 2555, 21:18:15 »


สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน

                               ผมอยู่กรุงเทพฯ แล้วครับวันนี้

                               พรุ่งนี้เช้าเวลา 06:00 น. มีนัดกับพี่วิชัย คุณพอล ตีกอล์ฟกันที่สนามกอล์ฟ President ขาดคุณสุดสาคร  ที่พาพ่อ-แม่ ไปพักผ่อนที่หัวหิน หลังจากที่กลับมาจากอเมริกา-แคนนาดา  ส่วนคุณ John Skinner เสียชีวิตไปแล้ว เลยทำให้เงียบเหงา ครับ

                               เช่นกันพรุ่งนี้เวลา 13:00 น. คุณทรงเกียรติมารับที่บ้าน เพื่อจะไปดูงานตอกเสาเข็มเขื่อนที่หมู่บ้าน ของคุณสุภาณี ที่นครปฐมครับ

                               ตอนเย็นถ้ากลับมาทันคงจะไปนัดคุณสุนทร  รำชิกง โยคะ ที่สวนจตุจักร รถไฟ แต่คงจะไม่ทันแน่นอน

                               ผมเอาเรื่องของ ดร. เอ็มเบดการ์  มาลงให้ทุกท่านได้อ่าน เพราะท่านนอกจากจะเก่งมากแล้ว ท่านมีวิริยะเป็นอย่างมากในการอดทนอดกลั้นต่อสังคมวรรณะของอินเดียที่หาได้ยากยิ่ง และคุณูปการต่อพุทธศาสนา ในอินเดียยุคใหม่ ครับ

                               คืนนี้ขอให้ทุกท่านนอนหลับ ฝันดี สำหรับวันพักผ่อนยาว ครับ

                               ราตรีสวัสดิ์ทุกท่านครับ
      บันทึกการเข้า
suriya2513
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,457

« ตอบ #6254 เมื่อ: 03 มิถุนายน 2555, 00:08:08 »




มีคำถามมาให้ อุบาสกสิงห์ คิดกันเล่นๆครับ
(ผมไม่มีคำเฉลยนะ บอกไว้ก่อน)
กล่าวคือ เรามักพูดกันเป็นชุดว่า เกิด แก่ เจ็บ และตาย
แต่ทำไมในบทสวดมนต์นี้ จึงพูดถึงแต่
การแก่ เจ็บ และตาย ว่าเป็นธรรมดา
ไม่ได้พูดถึง การเกิดเลย เพราะมันไม่ธรรมดาหรือ?
      บันทึกการเข้า

[โบราณคดี]จุดกำเนิดเริ่มต้นของ cmadong.com by : มานพ กลับดี  คลิ๊ก->
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #6255 เมื่อ: 03 มิถุนายน 2555, 20:43:35 »

อภิณหะปัจจะเวกขณ์ 

 
ชะระธัมโมมฺหิ  ชะรัง  อะนะตีโต  (หญิงว่า : ตา),
   เรามีความแก่เป็นธรรมดา จะล่วงพ้นความแก่ไปไม่ได้;

พยาธิธัมโมมฺหิ  พยาธิง  อะนะตีโต  (หญิงว่า : ตา),
   เรามีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา จะล่วงพ้นความเจ็บไข้ไปไม่ได้;

มะระณะธัมโมมฺหิ  มะระณัง  อะนะตีโต  (หญิงว่า : ตา),
   เรามีความตายเป็นธรรมดา จะล่วงพ้นความตายไปไม่ได้;

สัพเพหิ  เม  ปิเยหิ  มะนาเปหิ  นานาภาโว  วินาภาโว.
   เราจักพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งหลาย,

กัมมัสสะโกมฺหิ,         เรามีกรรมเป็นของของตน;

กัมมะทายาโท  (หญิงว่า : ทา).      เราจักต้องเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น;

กัมมะโยนิ,            เรามีกรรมเป็นแดนเกิด;

กัมมะพันธุ,            เรามีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์;

กัมมะปะฏิสะระโณ (หญิงว่า : ณา),   เรามีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย;

ยัง กัมมัง  กะริสสามิ,          เราทำกรรมอันใดไว้;

กัลฺยาณัง  วา  ปาปะกัง  วา,      เป็นกรรมดีก็ตาม เป็นกรรมชั่วก็ตาม;

ตัสสะ ทายาโท (หญิงว่า : ทา)  ภะวิสสามิ.
   เราจักต้องเป็นผู้รับผลแห่งกรรมนั้น

 เอวัง อัมเหหิ อะภิณหัง ปัจจะเวกขิตัพพัง.
   เราทั้งหลายพึงพิจารณาเนือง ๆ อย่างนี้แล.
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #6256 เมื่อ: 03 มิถุนายน 2555, 21:24:12 »



                            ดร.สุริยา  ชอบถามปัญหา เพื่อมาทดสอบภูมิ

                            การทดสอบธรรมด้วยปัญหา  ให้ตอบนั้น มันก็ดีอยู่หรอกครับ ผมขอใช้คำสอนของหลวงพ่อเทียน และท่านเขมานันทะ ที่ว่า "การบรรลุธรรมนั้น ไม่สามารถบรรลุได้ด้วยความคิด  แต่สามารถบรรลุธรรมได้ ด้วยการสร้างความรู้สึกตัวทั่วพร้อม"

                            ถ้าผมจะตอบ  ก็ขอตอบว่า ผมเองไม่ใช้ผู้บรรลุธรรม ผมเองไม่มีอภิญญา ๖ ที่จะมีหูทิพย์ ตาทิพย์ ผมจึงไม่สามารถคาดเดาความคิด หรือความมุ่งหมายคำสอนของพระพุทธองค์ได้ ว่าทำไม ไม่พิจารณาเรื่องการเกิด เช่นเดียวกับการพิจารณาการเจ็บ และการตาย เพราะอวิชชา คือผมไม่รู้ครับ และไม่อยากคาดเดาหาคำตอบด้วย  ทั้งๆ ที่อยากจะตอบ มันจะเป็นการตู่คำสอนของพระพุทธองค์ เพราะอาจจะคาดเดาผิดไปจากพระองค์

                            สู้เรามีศรัทธา พิจารณาตามที่พระพุทธองค์ให้พิจารณา จะได้ประโยชน์สูงสุด เพราะเราพิจารณาแล้วก็ไม่เห็นเสียหายอะไรเลย เป็นการเตือนสติให้รู้ความจริงของธรรมชาติที่ต้องพึงมี พึงเป็น ไม่สามารถหลีกพ้นได้ เพราะทุกข์คนก็ต้องเป็นแบบนั้น เมื่อจิตมันเห็นแบบนั้น มันก็คลายกำหนัดเอง คือไม่วิตกกังวล หรือไม่ทุกข์ทั้งสิ้น เมื่อความแก่ และความตายบังเกิดกับเรา เพราะคนอื่นก็ต้องประสบด้วยกันทั้งนั้น

                            ถ้าจะบังคับให้ตอบตามความเห็นของผม ไม่เกี่ยวกับคำสอนของพระพุทธองค์  การเกิดถึงแม้พระพุทธองค์ สอนว่าการเกิดก็เป็นทุกข์ มันเป็นทุกข์ เพราะว่าก่อนตายเราเป็นทุกข์ว่า ชาติหน้าเราต้องกลับมาเกิด เราจะไปเกิดเป็นอะไร ที่ไหน จะแย่กว่าชาตินี้ไหม? มันก็เกิดความกังวลขึ้นมา เป็นทุกข์ขึ้นมา  ไม่ใช่เป็นทุกข์ขณะเกิด

                            แต่เมื่อมันเกิดมาแล้ว ขณะเกิดเราไม่ได้ทุกมากมายอะไรเลย เพราะจิตมันยังเป็นจิตที่ว่างเปล่า (ปภัสสร) ไม่มีอะไรปรุงแต่งมากมายเลย ยังไม่มีสัญญา ยังไม่มีวิญญาณ ยังไม่มีเวทนา ยังไม่มีสังขาร หรือหากมีก็น้อยมาก ขณะอยู่ในครรภ์มารดาเท่านั้น แต่ภายหลังจากเกิดแล้วมันเป็นเรื่องของความแก่ เพราะการเกิดเป็นอดีตไปแล้ว  จะมีทุกข์บ้างกับการเกิดก็ตอนที่เราโต สะสมเจตสิกมามากพอแล้วคือ ทำไมเราไม่เกิดในครอบครัวที่ร่ำรวยกว่านี้ เพื่อหวังความสะดวกสบายกว่านี้เท่านั้น  ซึ่งมันเปลี่ยนแปลงไม่ได้ เพราะการเกิดมันเลือกเกิดไม่ได้ มันเป็นกรรมเก่าที่เราเคยกระทำเอาไว้ในชาติก่อน  พิจารณาก็ไม่ก่อประโยชน์ เพราะมันเกิดมาแล้ว แก้ไขไม่ได้  ต้องยอมรับชะตากรรมตามนั้น เพราะการเกิดมันไม่เป็นเรื่องธรรมดา เพราะคนอื่นอาจจะเกิดอยู่ในฐานะที่แตกต่างกันได้ตามกรรม  แต่การแก่  การตาย มันเกิดขึ้นกับทุกคน มันเป็นเรื่องธรรมดา  แต่การเกิดมันไม่ธรรมดา ขึ้นอยู่กับกรรมเก่า จึงไม่สมควรพิจารณาประจำ  แต่ถ้าชาติหน้าอยากเกิดในที่ๆ ดีกว่าชาตินี้มีอย่างเดียว คือสร้างแต่กุศลธรรม ตามคำสอนของพระพุทธองค์เท่านั้น

                             ผมก็มีภูมิเพียงนี้ ครับ

                             การแก่  การเจ็บ มันเป็นเรื่องธรรมดา ที่ทุกคนที่เกิดมาต้องเป็นเช่นนั้น หลีกไม่พ้น เมื่อหลีกไม่พ้นทุกคนต้องเป็นเหมือนเรา เราจะไปกังวลกับมันทำไม  เมื่อพิจารณาแล้วเราก็พยายามกระทำแต่กุศลกรรม และดูแลตัวเอง ด้วยความไม่ประมาท

                             การเกิดมันไม่ใช่เรื่องธรรมดา เพราะเราเลือกเกิดไม่ได้  มันเป็นกรรมเก่า พิจารณาไปก็ไม่ก่อประโยชน์ ยังทุกข์เหมือนเดิน กังวลว่าจะไปเกิดที่ไหน  ลูกใคร  จะดีกว่าหรือไม่ เพราะเลือกไม่ได้ จะให้ดีกว่าชาตินี้ก็ต้องกระทำกุศลกรรมให้เกิดขึ้นมากที่สุดเท่านั้น

                             พรุ่งนี้วันวิสาขะบูชา  อย่าลืมระลึกถึงพระพุทธองค์ น้อมนำคำสอนของท่านมาปฏิบัติ จะได้ไม่กังวลเรื่องการเกิด ครับ

                             ราตรีสวัสดิ์ทุกท่านครับ 
      บันทึกการเข้า
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #6257 เมื่อ: 03 มิถุนายน 2555, 22:08:55 »

พี่สิงห์คะ,
หนิงต้องอ่านย้อนหลังมากคะ,
เพิ่งกลับบ้านคะเมื่อวาน
วันนี้จึงพักผ่อน แลขี้เกียจค่า
ฝนก็ตกคะที่โน่น พอดีเลยพี่
เมื่อวานตัดกิ่งเล็มต้นไม้ ได้น้ำคงดี

พี่สิงห์ตอบคำถามสุดท้ายน่าสนใจคะ
ว่าทุกข์เพราะเกิดน่ะไม่มีหรอก...ก็เราเลือกได้ที่ไหน?
พ่อกะแม่เราสิคะ ให้เราเกิด หรือเลือกให้เราเกิด
ท่านทั้งคู่แสดงให้เราเห็นว่าเราเป็นความปิติที่เป็นลูกท่าน
ตรงนี้คะที่เป็น"ทางเลือก"ที่เลือกได้...ถามว่าเราต้องทุกข์
มั้ย?ทุกข์ได้ทุกเรื่ิองแหละคะ ถ้าอยากจะทุกข์!!
ตอนนี้เรา"เลือก"ที่จะมี หรือไม่ให้มีการเกิดแก่ลูกของเราต่อ
ก็เดินตามทางที่พ่อแม่แผ้วทางให้เห็น ก็เดินกันต่อไป
ไม่รู้จะทุกข์ไปทำไมคะ...พ่อแม่ควรทุกข์ ท่านก็มี ทุกข์ของท่าน
พอแล้ว ในหน้าที่ความรับผิดชอบที่มีต่อเรา ตอนนี้เราก็ใช้คืน
ทดแทนให้ลูกต่อ...เป็นอะไรที่ปิติค่ะพี่ ไม่ทุกข์ เพราะเราในฐานะ
พ่อแม่ได้มีส่วนสร้างกำลังของรุ่นต่อไป สืบสานต่อ
ก็ทำหน้าที่กันไปคะ ไม่มีอะไรจะต้องโอดครวญต่อทางเลือกทางนี้!


nn.(multiple choice)
      บันทึกการเข้า


เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #6258 เมื่อ: 04 มิถุนายน 2555, 10:10:29 »

พุทธพาณิชย์อู้ฟู่!! วิสาขะ..วัดรวย เงินสะพัด 6 พันล.!!!
3 มิถุนายน 2555 19:39 น.

 
       วัดครึ่งนึง กรรมการครึ่งนึง...พุทธพาณิชย์เบ่งบานมาช้านาน เป็นเงามืดด้านหนึ่งของพระพุทธศาสนา จึงมีคำถามว่า ศาสนาพุทธนั้น เน้นเรื่องพระธรรมคำสอน ยึดถือปฏิบัติ ไม่ใช่หรือ ทำไมวัด พระสงฆ์ ในสังคมพระพุทธศาสนาของไทย จึงมุ่งแต่การเรี่ยไรเงิน ทรัพย์สิน เพื่อมาสร้างวัตถุ เช่น ศาลา โบสถ์ วิหาร อย่างยิ่งใหญ่เกินตัว
       
       มีการวิเคราะห์พบว่า ในวันพระใหญ่แต่ครั้ง มีเงินสะพัดจากเงินทำบุญถึงครั้งละ 6 พันล้านบาท แต่ขณะที่ปีหนึ่งคนไทย ทำบุญเข้าวัดถึงปีละ 3.5 หมื่นล้านบาท
       
      เศรษฐกิจเงินบุญ
       
       ศาสนาพุทธในเมืองไทยนั้นมีธรรมชาติอยู่อย่างหนึ่งคือดำรงอยู่ด้วยศรัทธาจากพุทธศาสนิกชน และยอมรับว่าการจะดำรงคงอยู่ของพุทธศาสนาในเมืองไทยจำเป็นต้องมีเงินเข้ามาหล่อเลี้ยง ทว่าด้วยศรัทธาของสังคมที่มีรากฐานความเชื่อในพุทธศาสนามาอย่างยาวนาน
       
       การบริจาคเพื่อช่วยเหลือผู้คนนั้นแขวนเกี่ยวอยู่กับความเชื่อเรื่องบุญกรรมก็ทำให้ประเทศไทยถึงขั้นติดอันดับหนึ่งเรื่องใจบุญที่สุดในโลกมาแล้ว จากการเปิดเผยของมูลนิธิช่วยเหลือการกุศลแชริตี เอด ฟาวน์เดชั่น (ซีเอเอฟ) แห่งสหราชอาณาจักรโดยคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ต่อประชากรพบว่าคนไทยร้อยละ85 บริจาคเงินเป็นประจำ
       
      เกียรติอนันท์ ล้วนแก้ว ผู้อำนวยการศูนย์วิจัย มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ เปิดเผยถึงข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติพบว่า คนไทยทำบุญเฉลี่ย 250 บาทต่อเดือนต่อครัวเรือน ทำให้เห็นได้ว่าตลาดการทำบุญนั้นมีมูลค่าถึง 5 หมื่นล้านบาทต่อปี โดยมีทั้งบริจาคเข้าวัดและบริจากเพื่อการกุศลอื่นๆด้วย และคิดรวมถึงการบริจาคเป็นสิ่งของ
       
       “ผมคิดว่าทำบุญเข้าวัดก็ไม่ต่ำกว่า3หมื่น 5 พันล้านบาทต่อปี โดยในวันพระใหญ่แต่ละวันผมคิดว่าน่าจะมีเงินไหลเวียนไม่ต่ำกว่า 6พันล้านบาท ซึ่งการที่เงินไหลเวียนระดับนี้ เรากำลังพูดถึงธุรกิจที่มีมูลค่ามหาศาลที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของศาสนาพุทธเป็นหลัก”
       
       ในมุมด้านการตลาดนั้น ความศรัทธาต่อวัดคือส่วนหนึ่งที่จะทำให้ผู้คนแห่แหนกันไปร่วมทำบุญบริจาค ซึ่งผู้อำนวยการศูนย์วิจัยดังกล่าว มองว่า คนไทยจะบริจาคเงินเกิดจากความเชื่อเรื่องบุญที่จะได้รับผลตอบแทน ได้ขึ้นสวรรค์ ได้พบประสบสิ่งดี ดังนั้นการทำบุญกับวัดที่ดีน่าเลื่อมไส หรือกับพระที่ประพฤติตนให้เป็นที่ศรัทธาจึงเป็นสิ่งที่ชาวพุทธยึดถือปฏิบัติกัน
       
       “เหมือนคนจะมองว่าการบริจาคให้พระนั้น ความบริสุทธิ์ของพระจะมีผลต่อปริมาณบุญที่จะได้รับกลับมา แต่เราไม่มีเครื่องวัดความบริสุทธิ์ของพระ เพราะฉะนั้นจึงยึดเอาชื่อเสียงมาเป็นเกณฑ์ พระเกจิอาจารย์ดังๆ ทำบุญกับท่านรับพรจากท่านก็น่าจะมีโอกาสประสบความสำเร็จในชีวิตมากกว่า
       
      “เพราะฉะนั้นถึงแม้เงินจะไหลเวียนสูงถึง 35พันล้าน แต่จริงๆ กระจุกอยู่ในวัดใหญ่มากกว่าวัดเล็กๆ เราจึงเห็นวัดบางวัดต้องปิดตัวไป หรือต้องอยู่กันแบบสภาพทรุดโทรม บางวัดศาลามูลค่า 50-60 ล้านได้ แต่ว่าบางวัดแค่ศาลายังไม่มีเลย”
       
       ความศรัทธาของชาวพุทธนอกจากศรัทธาในตัวพระเป็นรายบุคคล ซึ่งอาจเกิดจากการที่ลูกศิษย์บางคนเคารพนับถือแล้วได้โชคได้ดี จึงนำไปเล่าลือกลายเป็นชื่อเสียงของท่าน พุทธศาสนิกชนก็ยังศรัทธาในวัดใหญ่ๆที่มีชื่อเสียงด้านความดีของพระในวัด ซึ่งเกียรติอนันท์เห็นว่า วัดเหล่านี้เปรียบเสมือนแบรนด์ที่มีความแข็งแรงอยู่แล้ว ขณะที่วัดเล็กๆก็ลำบากในการดำรงไว้ซึ่งพุทธศาสนา
       
       “การทำบุญของคนไทยนั้นไม่ได้ทำบุญจนเกินตัว ก็จะรู้จักประมาณตนอยู่ในระดับนึงอยู่แล้ว ซึ่งก็จะเป็นการทำบุญเพื่อผ่อนคลายจากความตึงเครียดจากการทำงาน ผมคิดว่าต่อให้มูลค่าการทำบุญตรงนี้มันโตขึ้นก็ไม่เสียหาย เพราะผลที่ได้รับนั้นมันมากกว่า นั่นคือการที่คนไทยมีสำนึกทางจิตใจที่ดีขึ้น”
       
       ทำบุญให้ถึงแก่น
       
       จากมูลค่าของเงินที่ไหลเวียนอยู่ในการทำบุญของชาวพุทธ ด้านหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้คือการเสาะหาผลประโยชน์จากบุคคลบางกลุ่ม กรณีของพระจัดงานบุญเรี่ยไรจึงเกิดขึ้นบ่อยๆ บางครั้งถึงขั้นนำสวรรค์นำนิพพานมาขาย ในมุมมองของผู้ที่ดำรงอยู่ในแวววงพุทธศาสนาอย่าง หลวงพ่อทอง อาภากโร เจ้าอาวาสวัดสนามใน ให้ข้อคิดว่า ถ้าพูดถึงเรื่องพระแสวงหาผลประโยชน์ก็เห็นจะพูดกันได้ไม่จบ
       
       “หลายครั้งมันเกินความจำเป็น บางวัดสร้างกันจนไม่มีที่ยืนให้กับต้นไม้ มันโฆษณากันเกินไป เดี๋ยวก็สร้างเจดีย์ ศาลา เดี๋ยวก็สร้างอะไรที่ใหญ่ที่สุดในโลก มันกลายเป็นทำให้คนโลภ คนไม่โลภในวัตถุ แต่โลภบุญ เรียกอีกอย่างว่า เมาบุญ จิตใจมันก็ตกต่ำเหมือนกัน”
       
       อย่างไรก็ตามเป็นข้อสังเกตว่า บางทีการทำบุญมากๆในสังคมไทย อาจก่อให้เกิดผลเสียมากกว่า เพราะผลประโยชน์ที่มากขึ้น ทำให้คนที่จิตใจอ่อนแออาจไหลเอนไปตามเงินที่มากองตรงหน้า
       
       “ถ้าฝึกมาไม่ดี จิตใจอ่อนแอเรียกว่าเสียพระเลยนะ กลายเป็นทำให้พระโลภ แล้วพระก็นำให้คนโลภไปอีก บวชซื้อรถ บวชผ่อนบ้าน พระบางรูปทำเป็นธุรกิจเลยนะ พุทธศาสนาในสังคมไทยเป็นเรื่องของรูปแบบมากจนเกินไป”
       
       โดยชาวพุทธในเมืองไทยนั้นการทำบุญ รักษาศีลเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว แต่ยังขาดการปฏิบัติ ในที่นี้ก็คือการมีสติอยู่กับปัจจุบัน การตื่นรู้ในทุกขณะจิตของชีวิต รู้ถึงทุกข์ รู้ถึงเหตุแห่งทุกข์ แล้วถึงลงมือดับทุกข์ด้วยตัวเอง
       
       “คราวนี้เราไม่รู้ คนไม่รู้ไม่เข้าใจ มันก็เดินผิดทิศหลงทาง ไปแก้กรรมบ้าง ไปสะเดาะเคราะห์ ศาสนาพุทธตอนนี้มันติดอยู่ที่พิธีกรรมมากจนเกินไป ถ้ารู้มีสติก็แก้ไขมันดำรงอยู่ในการใช้ชีวิตปกติ”
       
       ในความเห็นของเจ้าอาวาสวัดสนามในมองว่า ทางออกนั้นต้องเริ่มจากคณะสงฑ์ที่ต้องหันมาให้ความสำคัญกับสิ่งที่ควรนั่นคือการมุ่งเน้นที่การปฏิบัติ เพราะอย่างไรเสียพระก็ต้องเป็นฝ่ายนำผู้คนในสังคมให้ไปพบกับหนทางที่ถูกต้อง
       
       “คือถ้าให้คนธรรมดาหันมานำพระ เลิกบริจาค คนธรรมดาก็จะรู้สึกบาป ไปเถียงพระ ดังนั้นพระต้องเป็นฝ่ายนำ”
       
       ในวันพระใหญ่แต่ละวันนั้น หลวงพ่อทอง อาภากโรให้คำแนะนำง่ายๆว่า วันเหล่านี้ถือเป็นหมุดหมายหนึ่งในการริเริ่มในการปฏิบัติธรรม
       
       “ไม่ต้องทำอะไรมาก ไม่ต้องมีวัตถุเยอะแยะ ปฏิบัติก็คือให้เราอยู่กับตัวเอง มีสติ รู้ตัว แค่นี้ก็เป็นการกระทำบุญที่ถูกที่ตรง ไม่ต้องเอาวัตถุมากมายมาสักการะบูชา มันเป็นแค่ส่วนประกอบนิดหน่อย การปฏิบัติบูชาเป็นที่สุด ไม่ต้องมีการบริกรรมคาถา ให้มีสติอยู่กับปัจจุบัน การยืน การนั่ง การนอน การเดิน การพูด การเหยียด การเคลื่อน การไหวยิ่งเป็นบุญสูงเป็นบุญที่สุดเลย ให้เรามีสตินี่แหละ”
       
       
       วิธีทำบุญในวันพระใหญ่
       
       1.ให้ทำบุญกับวัดที่คนไม่ค่อยไปเพื่อกระจายเงินไปยังวัดที่ยังขาดแคลนบ้าง
       2.เลือกวัดที่ดีที่ตอบแทนกลับสู่สังคมด้วย
       3.หากทำไม่ได้ทั้งสองข้อแรก (ไม่มีเวลาพอจะหาวัด) ก็อาจจะไม่ต้องทำบุญเป็นสิ่งของ หรือเงินทอง เพียงแค่ปฏิบัติธรรมด้วยตัวเองก็ถือเป็นบุญที่สูงสุดแล้ว
       
       ภาพประกอบจาก อินเทอร์เน็ต

จาก http://www.manager.co.th/asp-bin/mgrView.asp?NewsID=9550000068116
 
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #6259 เมื่อ: 04 มิถุนายน 2555, 16:48:04 »



ชัยชนะของ Tiger Wood ครั้งนี้ ที่จะทำให้วงการกอล์ฟคึกคักขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง






ชนะในครั้งแรก ในยุโรปของโปร.ไทย ในรายการยูโรเปี้ยนทัวร์

แรงบันดาลใจของ โปร.ธงชัย ในชัยชนะครั้งนี้ คือ

การตอบแทนเพื่อนที่แสนดีที่คอยช่วยเหลือเมื่อธงชัยไปแข่งในยุโรป ที่ต้องเสียชีวิตลง

จากการเล่นโปร.-แอม เมื่อวันพุธที่ผ่านมาด้วยโรคหัวใจวายในสนามกอล์ฟ

ขณะออกรอบกับธงชัย ลูกสาว ในรายการเดียวกันนี้


      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #6260 เมื่อ: 04 มิถุนายน 2555, 17:09:42 »

ทำบุญวิสาขะบูชา ที่วัดพระนอน สิงห์บุรี
















สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน

                               วันนี้ผมออกเดินทางจากบ้านที่ กทม. ตีสี่ไปรับแม่ไปทำบุญวันพระใหญ่ คือวันวิสาขะบูชา  ที่วัดพระนอน ไปถึงวัดเจ็ดโมงตรง ลำบากเหมือนกันเพราะต้องอุ้มแม่ ขึ้น-ลงรถ และขึ้นศาลา ต้องให้แหลนๆ ช่วยกันคนละไม้ละมือ ซึ่งแหลนก็ยินดี ที่เห็นแม่ยังมีสติ ยังคุยกันรู้เรื่องอยู่ ครับ เป็นการเปลี่ยนอิริยาบถของแม่  ไปในตัว  ซึ่งแม่ก็ชอบ แม่สามารถนอนหลับที่บ้านพี่สาวได้ดี ตามที่แม่เคยนอนอยู่เป็นประจำ คือใต้ถุนบ้าน ที่อากาศถ่ายเทเป็นอย่างดี

                               ผมได้กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้ทุกท่านด้วยครับ

                               หลังจากพาแม่ไปที่บ้านพี่สาว ผมได้กลับไปนั่งปฏิบัติธรรมเจริญสติที่หน้าโบสถ์คนเดียว อยู่สองชั่วโมง จึงมารับประทานอาหารกลางวันที่บ้าน และพาแม่กลับสิงห์บุรี และผมกลับ กทม. ครับ

                               สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #6261 เมื่อ: 04 มิถุนายน 2555, 17:17:30 »

 
                            ขอขอบคุณ  คุณเหยงที่นำความจริงมาแจ้งให้ทราบครับ

                             วันนี้ที่วัดพระนอน ชาวบ้านหมู่ ๓ ที่อยู่กลางทุ่งได้มาทำความสะอาดวัดเนื่องในวันวิสาขะบูชา ครับ

                             ที่วัดพระนอน คืนนี้ มีการสวดมนต์ตลอดคืน ที่โบสถ์ ครับ

                             ส่วนการปฏิบัติธรรม นั้น ไม่มีครูสอน ครับ

                             สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #6262 เมื่อ: 04 มิถุนายน 2555, 17:27:15 »

สวัสดีค่ะ คุณน้องหนุ๋งหนิ๋ง ที่รัก

                           ขอบคุณมาก ที่แสดงความคิดเห็นจากจิตของตัวเอง ค่ะ เป็นเรื่องที่ดี

                           คนเกิดนั้นเลือกพ่อ-แม่ ไม่ได้  แต่มันอยู่ที่การเลี้ยงดู ความอบอุ่น จากพ่อ-แม่ ต่างหาก เป็นหลัก มากกว่าความร่ำรวย แต่ถ้าลูกไม่มีความอบอุ่น  ถึงแม้ปัจจัย ๔ ยังมีความสำคัญ แต่คำว่าพอเพียง ก็สุขได้เหมือนกัน

                           เมื่อวานพี่สิงห์ยังบอกคุณทรงเกียรติ-คุณสุภาณี เลยว่า  พี่สิงห์ อยู่อย่างพอเพียง  จะไม่มีใครคบก็ไม่เป็นไร เพราะเราพอใจในสิ่งที่มีอยู่  ถึงแม้จะไม่ร่ำรวยเหมือนพรรคพวกรุ่นเดียวกันก็ตาม  แต่เราก็อยู่ของเราได้  ไม่พึ่งใคร และไม่ทำให้ใครเดือดร้อนเพราะเรา ขออยู่แบบสมถะ  จะห่างไกลเพื่อน ก็รับได้ครับ

                           วันอังคารผมคงไม่ได้ไปประชุมสมาคม เพราะวันพุธ ต้องเดินทางไปสุราษฎร์ธานี boarding 06:30 น. และอยากให้เป็นเรื่องของคนรุ่นใหม่ที่จะรับผิดชอบต่อไป  สำหรับผมมันเป็นอดีตไปแล้ว ครับ 

                           สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #6263 เมื่อ: 04 มิถุนายน 2555, 17:41:02 »


                             วันนี้ได้รับศีล ๘ จากพระ แต่ที่ผ่านมานั้นรับเองที่บ้าน ครับ

                             คืนนี้ขอปฏิบัติธรรม เจริญสติที่บ้านให้มากที่สุด อาจจะทั้งคืน ตามที่หลวงพ่อทอง ท่านได้กล่าวเอาไว้ ที่คุณเหยงเอามาโพสต์ ครับ

                             สวัสดี
      บันทึกการเข้า
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #6264 เมื่อ: 04 มิถุนายน 2555, 18:23:28 »

พี่เหยง,
อ่านบทความที่พี่นำมาลง
หนิงไปเที่ยวชม Klosterฝรั่งมา
ก็ให้รู้สึกเปรียบเทียบคะว่า
ศาสนา,ล้วนต้องอาศัยศรัทธาของมวลชน
อุปถ้มภกทั้งหลาย มีมากให้มาก มีน้อยให้น้อย
ควรที่จะผุดผ่องในความรู้สึกแห่งการ"ให้"
วัดให้คืนชาวบ้าน ชาวบ้านพยุงสนับสนุนวัด
หากไม่เป็นเช่นนั้น...วัดหรือKlosterไหนก็อยู่ไม่ได้!

กษัตริย์Austriaองค์นึง,พระองค์มองว่าบาทหลวง
อิ่มหมีกินดีอ้วนพีอยู่สบายในKlosterอลังการ..
ควรที่จะไม่เอาแต่สวดมนต์สงบสุขทางจิต บนความ
สนับสนุนเลี้ยงดูของชาวบ้านที่ยากจนภายนอก
ไป ไป ออกไปสร้างสรร ทำงานให้เป็นประโยชน์!
scwoop-dee-woop จากKlosterก็แบ่งๆให้กลาย
เป็นโรงเรียนให้ลูกชาวบ้านร้านช่องได้มาเล่าเรียน
กินนอนประจำ...ขาย/ประดิษฐ์อะไรๆที่เป็นความรู้โบราณ
รักษาไว้ บาทหลวงฝรั่งต้องทำงานคะ..
อืม,หนิงก็ว่าเข้าท่าคะ คือการ"ให้"กันและกันที่แท้.
      บันทึกการเข้า


khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #6265 เมื่อ: 04 มิถุนายน 2555, 18:40:11 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 04 มิถุนายน 2555, 17:27:15
สวัสดีค่ะ คุณน้องหนุ๋งหนิ๋ง ที่รัก

                           ขอบคุณมาก ที่แสดงความคิดเห็นจากจิตของตัวเอง ค่ะ เป็นเรื่องที่ดี

                           คนเกิดนั้นเลือกพ่อ-แม่ ไม่ได้  แต่มันอยู่ที่การเลี้ยงดู ความอบอุ่น จากพ่อ-แม่ ต่างหาก เป็นหลัก มากกว่าความร่ำรวย แต่ถ้าลูกไม่มีความอบอุ่น  ถึงแม้ปัจจัย ๔ ยังมีความสำคัญ แต่คำว่าพอเพียง ก็สุขได้เหมือนกัน

                           เมื่อวานพี่สิงห์ยังบอกคุณทรงเกียรติ-คุณสุภาณี เลยว่า  พี่สิงห์ อยู่อย่างพอเพียง  จะไม่มีใครคบก็ไม่เป็นไร เพราะเราพอใจในสิ่งที่มีอยู่  ถึงแม้จะไม่ร่ำรวยเหมือนพรรคพวกรุ่นเดียวกันก็ตาม  แต่เราก็อยู่ของเราได้  ไม่พึ่งใคร และไม่ทำให้ใครเดือดร้อนเพราะเรา ขออยู่แบบสมถะ  จะห่างไกลเพื่อน ก็รับได้ครับ

                  

                           สวัสดี



พี่สิงห์คะ,
ถ้าพี่สิงห์เขียนความเห็นของตัวเองมากและบ่อย
หนิงนี่แหละคะ จะอ่านด้วยความซาบซึ้ง ด้วยครุ่นคิด
แต่ถ้าเป็นการอ้าง...หนิงข้ามค่ะ!เพราะหาอ่านที่ไหนก็ได้
แต่ความคิดเห็นที่มาจากพี่สิงห์...หาอ่านที่ไหนไม่ได้!
มีที่นี่ที่เดียว...ผิดถูกใครจะแคร์?คนอ่านอย่างหนิงขอบคุณ
คะที่พี่ได้แสดงความรู้สึกนึกคิดต่อสิ่งต่างๆให้เราได้ทราบว่า
พี่สิงห์ยังจับต้องได้คะ!!

เรื่องใครคบไม่คบ,หนิงออกจาสไตล์ฝรั่งคะพี่
ม่ายงั้นหนิงอยู่อาศัยในต่างประเทศด้วยความสุขไม่ได้คะ
ฝรั่งเค้าอยู่ได้ด้วยตัวเค้า ไม่อิง ไม่ขึ้นกะใคร
แต่มองดีๆเค้าให้ความสำคัญกะสัมพันธภาพมากๆ
ไม่ฉาบฉวยฮิๆฮะๆ...แต่รักษายั่งยืนยาวนาน
ระมัดระวังในการปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยการไม่ล่วงละเมิด
หากเค้ารู้สึกถึงความไม่น่านิยมได้รับการปฏิบัติที่
ยังไงคะ...peinlich,übel คนพวกนี้ไม่ลืมคะ จำแม่น
ชีวิตก็แค่นี้คะ พบกัน จากกัน เราสิคะยังอยู่ได้
และอยู่อย่างมีความสุขด้วย...นั่นแหละคะ
ที่หนิงทึ่งในเอกลักษณ์ของพี่ ที่โดดเด่น ไม่ต้องอาศัย
มโหรี และยี่เกมาเป็นหน้าม้า เพื่อจะให้เด่น!!
      บันทึกการเข้า


เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #6266 เมื่อ: 04 มิถุนายน 2555, 21:19:41 »

พี่สิงห์

ดีใจที่ได้เห็นคุณแม่ไปร่วมงานบุญกับลูก หลาน เหลน และคนรอบข้างอย่างมีความสุขครับ
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #6267 เมื่อ: 04 มิถุนายน 2555, 21:26:02 »

หนุงหนิง

อีกบทความเป็นบทบรรณาธิการของ ไทยโพสต์
เชื่อว่า หลายๆคนเริ่มรู้สึกแล้วว่า เราอยู่ในพิธีการเฉลิมฉลองเท่านั้น
หาได้ปฎิบัติตามธรรมะ อันเป็นคำสั่งสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ !!


ร่วมเฉลิมฉลองปีพุทธชยันตี ด้วยการลงมือกระทำ ตามพระธรรมคำสั่งสอน
บทบรรณาธิการ    4 June 2555 - 00:00

       วิสาขบูชา ปีพุทธศักราช 2555 พิเศษกว่าทุกปีที่ผ่านมา เนื่องจากเป็นปีพุทธชยันตี 2,600 ปี หรือการตรัสรู้ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระศาสดาแห่งพุทธศาสนามายาวนานถึง 2,600 ปี เราจึงได้เห็นการเฉลิมฉลองจัดงานอย่างยิ่งใหญ่ต่อเนื่องตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา ทั้งในประเทศไทยและประเทศต่างๆ ทั่วโลกที่มีผู้นับถือศาสนาพุทธพำนักอาศัยอยู่ แม้กระทั่งองค์การสหประชาชาติก็ร่วมรณรงค์เฉลิมฉลอง เพราะตั้งแต่วันที่ 25 ธันวาคม 2542 ที่ประชุมสมัชชาสหประชาชาติได้มีมติเห็นชอบ ประกาศให้วันวิสาขบูชาเป็นวันสำคัญสากลของโลกอีกวันหนึ่ง ทั้งนี้ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่า

      “ทรงเป็นมหาบุรุษผู้ให้ความเมตตาต่อหมู่มวลมนุษย์ทั้งหลายในโลก จะเห็นได้จากการยกเลิกแบ่งชนชั้นวรรณะ ซึ่งเท่ากับเป็นการเลิกทาสโดยไม่มีการเสียเลือดเสียเนื้อ นอกจากนี้พระองค์ยังทรงเป็นนักอนุรักษ์สัตว์ป่าอีกด้วย กล่าวคือทรงสอนให้ ไม่ฆ่าสัตว์ ให้รู้จักช่วยเหลือสัตว์ เหตุผลสำคัญอีกประการหนึ่งคือ พระองค์ทรงเปิดโอกาสให้ทุกศาสนา สามารถเข้ามาศึกษาพุทธศาสนา เพื่อพิสูจน์หาข้อเท็จจริงได้โดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนมานับถือศาสนาพุทธ และทรงสั่งสอนทุกคนโดยใช้ปัญญาธิคุณ ด้วยพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ที่มีต่อชาวโลก” 

      พุทธศาสนิกชนในประเทศไทยอาจจะร่วมเฉลิมฉลองพุทธชยันตี หรือวันวิสาขบูชา ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 5 ตามความตั้งใจ  ตามเจตนาการตั้งจิตอธิษฐาน ตามแต่อัตภาพ ตลอดจนตามแต่จริตของแต่ละคน เพราะมีการจัดงานหลากหลายรูปแบบให้เลือก อันเป็นสื่อสะท้อน หรือเป็นการแสดงสัญลักษณ์ถึงความเคารพและศรัทธาต่อองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ตรัสรู้ และเผยแผ่พระธรรมคำสั่งสอนมาเป็นเวลานานถึง 2,600 ปี แต่น่าตั้งข้อสังเกตว่า นอกจากการเฉลิมฉลองเชิงสัญลักษณ์ดังกล่าวแล้ว พุทธศาสนิกชนมากน้อยเพียงใด จะประจักษ์ และตระหนักเข้าใจแก่นแท้ที่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปรารถนาให้ทุกคนได้เข้าถึงและเข้าใจมาจวบจนวันนี้กว่าสองพันปี

      ข้อสงสัยนี้ไม่เกี่ยวกับประเด็นวิพากษ์วิจารณ์ถึงรูปแบบของการเฉลิมฉลองพุทธชยันตี จนชาวบ้านเดือดร้อนไปทั่วกับภาวะจราจรที่ติดขัดเมื่อเร็วๆ นี้ แต่มองข้ามความจริงมิได้ว่า สังคมไทยก้าวข้ามสาระสำคัญของวันวิสาขบูชาเกินกว่าที่ท่องจำตั้งแต่เด็กๆ ไว้ว่า เป็นวันประสูติ ตรัสรู้ และเสด็จดับขันธปรินิพพานของพระพุทธเจ้าหรือไม่ และอย่างไร จะปฏิเสธได้เต็มปากหรือเปล่าว่า นอกจากวันวิสาขบูชาเป็นวันหยุดราชการประจำปี เป็นวันพระใหญ่ที่ศาสนิกชนจะไปทำบุญใส่บาตร และพยายามงดเว้นการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต หรือรักษาศีลห้า รวมทั้งการปฏิบัติธรรม บำเพ็ญภาวนาแล้ว ในชีวิตประจำวันหลังจากวันสำคัญทางศาสนาดังกล่าวแล้ว ส่วนใหญ่ก็ยังคงดำรงชีวิตตามอำเภอใจ สุดโต่งด้านใดด้านหนึ่ง และน้อยนักจะเดินสายกลางตามหลักพระธรรมคำสั่งสอนอันเป็นหัวใจของพุทธศาสนา

      การเฉลิมฉลองพุทธชยันตี 2,600 ปี ไม่ควรหยุดอยู่แค่งานพิธีเชิงสัญลักษณ์ แต่เป็นโอกาสที่ทุกคนที่สนใจหรือแม้แต่สงสัยในพุทธศาสนาจะได้หาความรู้อย่างจริงจัง เข้าให้ถึง เพื่อทำความเข้าใจว่า เหตุใดพระพุทธเจ้าจึงเป็นสัตบุรุษ หรือองค์ศาสดาผู้ยิ่งใหญ่สืบต่อมาจนทุกวันนี้ พุทธศาสนิกชนสมควรต้องตระหนักรู้ว่า พระพุทธเจ้าตรัสรู้หนทางการแก้ปัญหาทุกข์ที่ยั่งยืนให้ตรงกับเหตุ ด้วยเหตุผลและปัญญาและการกระทำที่พึ่งตนเองที่เรียกว่า "อริยสัจ 4" คือ 1.กำหนดทุกข์ปัญหาให้ถูกต้องตามเป็นจริง 2.สมุทัย...หาสาเหตุของการเกิดทุกข์ให้ถูกต้องตามเป็นจริง 3.นิโรธ ..พิจารณาเหตุผลถึงการจะทำให้ทุกข์นั้นหมดไป 4.มรรค ..กำหนดหนทางปฏิบัติด้วยการพึ่งตนเอง และทรงชี้หนทางสายกลางของการสร้างสุขที่ถูกต้องด้วยตนเอง อริยมรรคมีองค์ 8 ซึ่งก็คือ ศีล สมาธิ และปัญญา

      ร่วมเฉลิมฉลองพุทธชยันตีปีที่ 2,600 ด้วยการลงมือประพฤติปฏิบัติ นำพระธรรมคำสั่งสอน หรือสิ่งที่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ ไปประยุกต์ใช้กับชีวิตตนเอง น่าจะเป็นการเข้าถึงเข้าใจในแก่นแท้ที่พระพุทธเจ้าทรงปรารถนาอยากเห็นพุทธศาสนิกชนเดินตาม โดยเฉพาะในสถานการณ์ปัจจุบันที่สังคมมีแต่ความขัดแย้งทางความคิด มีปัจจัยก่อให้เกิดความทุกข์ และความระแวงสงสัย เพราะความซับซ้อนของกลุ่มผู้มีอำนาจและอิทธิพลทางการเมือง ตลอดจนการมีวาระซ่อนเร้นอิงผลประโยชน์ส่วนตนมากมายโดยใช้ปัญญาอย่างขาดสติและขาดจริยธรรมนั้น ยิ่งเป็นโอกาสที่ต้องช่วยกันกระตุ้นเตือนถึงการใช้หลักคำสอนของพระพุทธเจ้าหาทางออกหรือบทสรุปก่อนที่จะคิดตัดสินใจเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง 
 
      ในฐานะสื่อมวลชนที่เป็นผู้สะท้อนถึงความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในสังคมไทยแล้ว เห็นว่า สื่อสาธารณะมากมายในยุคเทคโนโลยีไร้พรมแดนนี้ การรู้จักนำหลักคำสอนเกี่ยวกับ "กาลามสูตร" ของพระพุทธเจ้า มาเพื่อเป็นที่ปรึกษาส่วนตัว หรือเป็นทางออกของการแก้ปัญหาในประเด็นต่างๆ นั้น เป็นสิ่งที่พุทธศาสนิกชนพึงศึกษาและลงมือปฏิบัติที่สุด เพราะกาลามสูตร เป็นธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่ชนเผ่ากาละมะ แห่งวรรณะกษัตริย์ ที่ชื่อเกสปุตติยสูตร ไม่ให้เชื่องมงายไร้เหตุผลตามหลัก 10 ข้อ อันได้แก่
1.อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการฟังตามกันมา (มา อนุสฺสเวน)
2.อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการถือสืบๆ กันมา (มา ปรมฺปราย)
3.อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการเล่าลือ (มา อิติกิราย)
4.อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการอ้างตำรา หรือคัมภีร์ (มา ปิฏกสมฺปทาเนน)
5.อย่าปลงใจเชื่อ เพราะตรรก (มา ตกฺกเหตุ)
6. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะอนุมาน (มา นยเหตุ)
7.อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการคิดตรองตามแนวเหตุผล (มา อาการปริวิตกฺเกน)
8.อย่าปลงใจเชื่อ เพราะเข้าได้กับทฤษฎีที่พินิจไว้แล้ว (มา ทิฏฐินิชฺฌานกฺขนฺติยา)
9.อย่าปลงใจเชื่อ เพราะมองเห็นรูปลักษณะน่าจะเป็นไปได้ (มา ภพฺพรูปตาย) และ
10.อย่าปลงใจเชื่อ เพราะนับถือว่า ท่านสมณะนี้เป็นครูของเรา (มา สมโณ โน ครูติ)

      ไม่ง่ายแต่ก็ไม่ยาก หากพุทธศาสนิกชนจะลุกขึ้นฉลองพุทธชยันตีให้เพิ่มมากกว่าการเฉลิมฉลองตามพิธีกรรมอันเป็นเชิงสัญลักษณ์ โดยเฉพาะในการลงมือกระทำหรือเดินตามรอยพระธรรมคำสั่งสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทั้งนี้เชื่อได้ว่า หากสังคมไทยเข้าถึงเข้าใจในแก่นแท้หัวใจของคำสั่งสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า และนำมาปฏิบัติแล้ว ปัญหาปรองดองจอมปลอมที่กำลังสร้างความปั่นป่วนและวิกฤติรอบใหม่ให้กับประเทศชาติบ้านเมือง ทุกคนจะสามารถจะแยกแยะผิดชอบชั่วดีได้ไม่มากก็น้อย และที่สำคัญสังคมไทยจะไม่ถูกหลอกให้เชื่อว่า นี่คือประชาธิปไตยและเพื่อคนไทยอย่างแน่นอน.


http://www.thaipost.net/news/040612/57733
      บันทึกการเข้า
pusadee sitthiphong
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: พาณิชยศาสตร์และการบัญชี
กระทู้: 4,689

« ตอบ #6268 เมื่อ: 04 มิถุนายน 2555, 21:44:00 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 04 มิถุนายน 2555, 17:09:42
ทำบุญวิสาขะบูชา ที่วัดพระนอน สิงห์บุรี



ดูท่าทางคุณแม่ยิ้มมีความสุขที่ได้ไปทำบุญ ยินดีกับพี่สิงห์ด้วยค่ะ
      บันทึกการเข้า

pom shi 2516
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #6269 เมื่อ: 05 มิถุนายน 2555, 07:55:29 »

สวัสดีครับ คุณเหยง

                           สิ่งที่นำมาเสนอนั้น มันเป็นความจริงทั้งสิ้นครับ

                           ที่จริงคนทางฝ่ายปกครอบ คือ รัฐบาล ฝ่ายค้าน  สส. และ สว. พึงตระหนักโน้มนำคำสอน ของพระพุทธองค์มาปฏิบัติเพียงแค่มีศีล ๕ เท่านั้น ประเทศไทยก้เป็นสุข

                            แต่อนิจจา มันตรงกันข้ามกับพุทธศาสนาทั้งสิ้นสำหรับ สส. และรัฐบาล มีแต่นักการพนัน เอาเปรียบสังคม คอรับชั่น ผลประโยชน์ แทบจะไม่มีคนดีเลย เปรียบเหมือน พระอรหันต์มีน้อยนัก สส. เมืองไทย เป็นคนดี อยู่ในศีล ๕ ไม่มีเลย

                            ทำอย่างไรจะรณรงค์ให้รัฐฐาล สส. นับถือศีล ๕ แต่ก็เท่านั้นแหละ เพราะคนพวกนี้เขาเห็นตรงกันข้ามกับเราทั้งสิ้น ไม่รู้ถูกผิด มีแต่ผลประโยชน์ใส่ตัวสถานเดียว  อยากที่จะเปลี่ยนแปลงเสียแล้วเมืองไทย

                            ผมขอใช้คำว่า สส. รัฐฐาล  ฝ่ายค้าน ไม่ได้นับถือพุทธศาสนา เป็นแต่เพียงมีชื่ออยู่ในสำมะโนครัวว่านับถือศาสนาพุทธ ครับ

                            สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #6270 เมื่อ: 05 มิถุนายน 2555, 07:57:29 »

สวัสดีค่ะ คุณน้องป้อม ที่รัก

                             ขอบคุณมากค่ะ

                             สงสัยไปเที่ยวเมืองจีน มาอีกแล้ว ไปถูกเขาหรอก อีกแล้ว

                             สวัสดีค่ะ
      บันทึกการเข้า
เอมอร 2515
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu 2515
คณะ: รัฐศาสตร์(นิติศาสตร์)
กระทู้: 4,562

« ตอบ #6271 เมื่อ: 05 มิถุนายน 2555, 08:00:21 »

สวัสดี ตอนเช้า ที่สดใส
หลังจากทำบุญใหญ่ค่ะ  พี่สิงห์
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #6272 เมื่อ: 05 มิถุนายน 2555, 08:03:11 »

สวัสดีค่ะ คุณน้องหนุ๋งหนิ๋ง ที่รัก

                                  สังคมฝรั่งตามที่เธอเขียนมานั้น  จริงๆ มันก็เหมือนกับสังคมชาวพุทธที่พระพุทธองค์ทรงสอนนั่นแหละ คือสำรวมกายวาจา ใจ ให้เป็นปกติ  ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน อยู่อย่างสงบ เคารพสิทธิของกันและกัน  พึ่งตนเอง มันเป็นสิ่งที่สมควรกระทำเป็นอย่างยิ่ง เพราะจะทำให้สังคมเป็นสุข  ผู้รู้ทั้งหลายเขาก็คิดแบบนั้น

                                   เพียงแต่สังคมไทยเพิ่มวัฒนธรรม เขาไปเท่านั้น จึงดูแตกต่างจากฝรั่ง

                                   แต่สังคมไทยปัจจุบัน มันเป็นลูกผสมไปหมดแล้ว  จึงหาแก่นแท้จริงไม่ได้ ครับ

                                  สวัสดีค่ะ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #6273 เมื่อ: 05 มิถุนายน 2555, 08:06:23 »

อ้างถึง
ข้อความของ เอมอร 2515 เมื่อ 05 มิถุนายน 2555, 08:00:21
สวัสดี ตอนเช้า ที่สดใส
หลังจากทำบุญใหญ่ค่ะ  พี่สิงห์

สวัสดีค่ะ คุณน้องเอมอร ที่รัก

                                กำลังคิดถึงอยู่พอดีเลย  เธอไปทำบุญที่ไหนมาบ้าง วันวิสาขะบูชา ที่ผ่านมา

                                พี่สิงห์ปล่อยโอกาสให้หลุดลอยไป กับสายลม เพราะจิตมันกลัวมากๆ  แต่ก็ได้ประสบการณ์ เอาไว้แก้ปัญหาได้ใหม่แบบยั่งยืน  ต้องผ่านจุดนั้นให้ได้ ครับ

                                สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #6274 เมื่อ: 05 มิถุนายน 2555, 08:26:00 »


                             ปัจจุบันนี้สังคมไทย สังคมทั่วโลก  ยังยึดติดอยู่กับวัตถุ คือ ต้องร่ำรวย  มีความเป็นอยู่ที่ดี  มีหน้าตาในสังคม ที่ดูว่าเป็นคนมีสตางค์  เพราะยังยึดมั่นในปัจจัย ๔  ที่ไม่รู้จักพอ  เมื่อคนคิดอย่างนี้ จึงมีแต่ความชิงดีชิงเด่นแก่งแย่ง ไม่รู้จบ  จึงเห็นแก่ตัวมากขึ้น ไม่แคร์ว่าอะไรผิด ถูก ขอให้ได้มาก็แล้วกันเพื่องสนองตัวเองเป็นถูกหมด  มันจึงเป็นสังคมที่ไม่หน้าอยู่เลย เห็นแก่ตัว

                             สำหรับคนที่รู้จักพอนั้น  จะถูกสังคมลงโทษ  ด้วยสายตา ต่างๆ นาๆ เช่น ไม่รู้จักทำมาหากินให้ร่ำรวย เป็นต้น  ถ้าใครทำใจได้ ยึดมั่นในคำสอนของพระพุทธองค์ ก็อยู่อย่างเป็นสุข  ถ้าใครทำใจไม่ได้ ก็ต้องทำตัวออกห่างจากสังคมนั้น เพื่อป้องกันความยุ่งยากที่จะตามมาครับ

                             การอยู่แบบพอเพียงในสังคมไทยปัจจุบันนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย  อยู่อยากครับ  มีแต่คนถามทำไม่ ไม่ร่ำรวยแบบเพื่อนรุ่นเดียวกัน ที่เขาจบวิศวฯ  คงขี้เกียจ......อีกมาก

                             ชีวิตของคน ๆ หนึ่งที่เป็นผู้ให้  เป็นมนุษย์เงินเดือน ไม่เอาเปรียบสังคม  นั้น มันไม่ร่ำรวยหรอกครับ  และก็อยู่ยาก ด้วย ท่านที่ยังยึดติดกับปัจจัย ๔ อยู่มาก อย่าคิดแบบผมเลยครับ จะมีแต่ทุกข์

                            สวัสดี
      บันทึกการเข้า
  หน้า: 1 ... 249 250 [251] 252 253 ... 681   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

สมาคมนิสิตเก่าหอพักนิสิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มวลสมาชิกสมาคม คณาจารย์ และนิสิตเก่าทุกคน ขอน้อมเกล้าถวายความอาลัย  พระผู้เสด็จสู่สวรรคาลัย ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ <;))))><