23 พฤศจิกายน 2567, 11:11:22
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 200 201 [202] 203 204 ... 681   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: คุย กับ คุณมานพ กลับดี อดีตประธานชมรม ๓ สมัย  (อ่าน 3555868 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 16 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
suriya2513
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,457

« ตอบ #5025 เมื่อ: 14 มกราคม 2555, 12:24:01 »

อ้างถึง
ข้อความของ อ้อย 14 เมื่อ 14 มกราคม 2555, 09:09:55
สวัสดีปีใหม่ค่ะพี่สิงห์...พี่สิงห์เป็นลูกที่ดี ยากที่จะหาหาใครเท่า ขอให้พี่มีความสุขมากๆ และเป็นที่รักของทุกคนอย่างนี้นะคะ... หึหึ
ต้องขอบังคับให้แก้จาก "และเป็นที่รักของทุกคนอย่างนี้นะคะ..." ไปเป็น "และเป็นที่รักของทุกคนอย่างนี้ตลอดไปนะคะ..."
      บันทึกการเข้า

[โบราณคดี]จุดกำเนิดเริ่มต้นของ cmadong.com by : มานพ กลับดี  คลิ๊ก->
Thippy
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 377

« ตอบ #5026 เมื่อ: 14 มกราคม 2555, 12:28:31 »


พี่สิงห์คะ

น้องๆ ที่รักและห่วงใยพี่มีมากมาย  ทุกคนจะเป็นพลังใจให้พี่ พร้อมจะอยู่เคียงข้างพี่เสมอค่ะ

พี่สิงห์รักษาสุขภาพด้วยนะคะ ขอให้หายเร็วๆ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5027 เมื่อ: 14 มกราคม 2555, 14:59:12 »

อ้างถึง
ข้อความของ อ้อย 14 เมื่อ 14 มกราคม 2555, 09:09:55
สวัสดีปีใหม่ค่ะพี่สิงห์...พี่สิงห์เป็นลูกที่ดี ยากที่จะหาหาใครเท่า ขอให้พี่มีความสุขมากๆ และเป็นที่รักของทุกคนอย่างนี้นะคะ... หึหึ

สวัสดีปีใหม่ ๒๕๕๕ ค่ะ คุณน้องอ้อย 14 ที่รัก

                ขอบคุณมากที่ชม  แต่ก็กลัวตัวเองเหมือนกัน เพราะการที่จะแก้อัตตา(สันดาน)ตัวเองนั้น ยากมาก เนื่องจากมันเป็นความเคยชินของจิตที่มันหมักหม๋มมานาน  แต่เป็นสิ่งที่ต้องทำให้ได้ชีวิตนี้จะได้ไม่เป็นหมั๋น ตามที่พระพุทธองค์ ทรงสอนไว้
                สวัสดีค่ะ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5028 เมื่อ: 14 มกราคม 2555, 15:05:02 »

อ้างถึง
ข้อความของ TU14 เมื่อ 14 มกราคม 2555, 09:11:01
เป็นกำลังใจให้พี่สิงห์เสมอค่ะ

สวัสดีค่ะ คุณน้องอรสา ที่รัก

            ขอบคุณมากค่ะ  พี่สิงห์  รับได้เสมอ มีเพียงน้องสาวเท่านั้นที่ ทำใจไม่ได้ และเขาก็เป็นโรคกลัวด้วย เลยไปกันใหญ่เลย  แต่ก็ดีขึ้นเพราะ พี่สิงห์ มานอนที่บ้าน  คงจะต้องมานอนให้มากเพื่อความสบายใจของน้องสาวจะได้หายกังวล ครับ

            เธอระวังสุขภาพด้วยนะ ช่วงนี้โรคหวัดระบาดหนัก เป็นกันทุกหย่อมหญ้า

            สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5029 เมื่อ: 14 มกราคม 2555, 15:09:43 »

อ้างถึง
ข้อความของ ตี้ถาปัด เมื่อ 14 มกราคม 2555, 11:47:30
ขอเป็นกำลังใจให้พี่สิงห์และครอบครัวด้วยครับ

                ขอบคุณมากครับ คุณน้องตี้ถาปัต

                เมื่อกลางวันที่ผ่านมา พี่มรกต  พี่สมจิตต์ พี่เกิด คุณหมอวิทิต  แพรว(หลานสาวเรียนโทครุ ปฐมวัยย์) น้องสาว ได้มีโอกาสรับประทานอาหารร่วมกันในหมู่พี่น้อง กับข้าวมีแกงส้มมะรุม ปลาช่อนแม่ลาทอด สะเดาลวกน้ำปลาหวาน และข้าวหลาม ครับ

                สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5030 เมื่อ: 14 มกราคม 2555, 15:11:45 »

อ้างถึง
ข้อความของ suriya2513 เมื่อ 14 มกราคม 2555, 12:24:01
อ้างถึง
ข้อความของ อ้อย 14 เมื่อ 14 มกราคม 2555, 09:09:55
สวัสดีปีใหม่ค่ะพี่สิงห์...พี่สิงห์เป็นลูกที่ดี ยากที่จะหาหาใครเท่า ขอให้พี่มีความสุขมากๆ และเป็นที่รักของทุกคนอย่างนี้นะคะ... หึหึ
ต้องขอบังคับให้แก้จาก "และเป็นที่รักของทุกคนอย่างนี้นะคะ..." ไปเป็น "และเป็นที่รักของทุกคนอย่างนี้ตลอดไปนะคะ..."
                มันเป็นเพียงสมมติบัญญัติ เท่านั้น บางครั้งอาจจะเข้าใจตรงกัน แต่เขียนไปอีกแบบหนึ่งเท่านั้น
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5031 เมื่อ: 14 มกราคม 2555, 15:15:40 »

อ้างถึง
ข้อความของ Thippy เมื่อ 14 มกราคม 2555, 12:28:31

พี่สิงห์คะ

น้องๆ ที่รักและห่วงใยพี่มีมากมาย  ทุกคนจะเป็นพลังใจให้พี่ พร้อมจะอยู่เคียงข้างพี่เสมอค่ะ

พี่สิงห์รักษาสุขภาพด้วยนะคะ ขอให้หายเร็วๆ

สวัสดีค่ะ คุณน้อง Tippy ที่รัก

            เธออย่าลืม เตรียมสถานที่ สั่งอาหาร ต้องรับ  ไว้ให้พร้อมในวันอังคารที่ ๑๗ มกราคม ศกนี้ ที่ Par 3 พี่สิงห์คงกลับ กทม. วันจันทร์ เพราะวันอังคารเช้า 08:30 น. มีนัดที่คระทันตแพทย์ศาสตร์ จุฬาฯ ใส่ครอบฟัน  รวมแล้วฟันซี่เดียวเกือบปี ครับ

            ขอบคุณเธอมากค่ะ

            สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5032 เมื่อ: 14 มกราคม 2555, 15:23:41 »

                 
                  คุณกิตติมา  ส่งมาให้ผม  ผมเลยเอามาลงให้ศึกษากันครับ
 
                  สวัสดี


วิธีแก้ปากเสีย



(รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ. สมศักดิ์ สืบสงวน)


หลวงพ่อเมตตาสอนวิธีแก้ปากเสีย (วจีกรรม4) โดยให้หลักไว้ดังนี้

              โรคปากเสีย คือ โรคชอบต่อกรรม เมื่อถูกกระทบทางทวารทั้ง 6 (ประตูทั้ง 6 คือ รูป เสียง กลิ่น รส สิ่งที่มากระทบผิวกาย และธรรมารมณ์) เพราะอุเบกขา หรือวางเฉยไม่เป็น เบรกจึงแตกเป็นปกติ มีผลทำให้กรรมบท 10 หมวดวาจา ไม่เต็มสักที (กรรมบท 10 หมวดวาจา 4 มี ไม่พูดโกหก, ไม่พูดคำหยาบ , ไม่พูดส่อเสียดหรือพูดนินทาผู้อื่น และไม่พูดเรื่องไร้สาระไม่เกิดประโยชน์)

วิธีปฏิบัติ แก้โดย

               1) พยายามคิดเสียก่อนจึงค่อยพูด

               2) หรือพยายามคิดอยู่ตลอดเวลาที่ฟังคนอื่นเขาพูด

               3) พยายามดึงจิต อย่าไปไหวตามคำพูดของผู้อื่น (โดยฟังอย่างเดียว ห้ามปรุงแต่งธรรมนั้นๆ)

               4) พยายามฟังแล้วกรองเอาสาระจากคำพูดนั้นๆ ของเขา ว่ามีประโยชน์หรือไม่มีประโยชน์ (ด้วยปัญญา)

               5) เวลาคนอื่นเขาพูด จะยาวจะสั้น ปล่อยเขาพูดให้จบก่อน เราใช้ความคิดฟังไปแล้ว จะรู้ว่า คำพูดนั้นๆ มีสาระหรือไม่มีสาระ ควรพูดหรือไม่ควรพูด หรือ ควรวาง ควรตัด ก็รู้ได้ด้วยความคิด ไม่ใช่ประโยคไหนมากระทบหูแล้ว กูอยากจะพูดก็ว่าไปเรื่อย โดยไร้ความคิดพิจารณา

               6) หากทำตาม 5 ข้อแรกแล้ว คิดอยากพูดบ้างก็ให้พิจารณาว่า พูดแล้วเป็นคุณหรือโทษ มีสาระหรือไม่มีสาระ ยิ่งเป็นสาระธรรมในพระพุทธศาสนายิ่งสำคัญ จะต้องมั่นใจเสียก่อนว่าเป็นความจริง ไม่ผิดศีล-ไม่ผิดพระวินัย ไม่ผิดพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ถ้าไม่ผิดก็พูดได้ สรุปว่าต้อง นิสสัมมะ กรณัง เสยโย หรือใคร่ครวญด้วยปัญญาเสียก่อนจึงค่อยพูด เพราะแม้ว่าจะเป็นจริงแต่พูดแล้วคนฟังไม่เชื่อ-ไม่ศรัทธา ก็ไร้ประโยชน์ที่จะพูด

สมเด็จองค์ปฐม ทรงเมตตาแนะนำต่อ และสั่งสอนต่อ มีความสำคัญโดยย่อดังนี้

                ก) " วาจา เป็นเหตุให้เกิดศัตรู และสร้างศัตรู ผู้รู้พึงกล่าววาจาด้วยความตริตรองเสียก่อน เพื่อประโยชน์ให้แก่ตนเอง แต่ผู้ไร้สติ-สัมปชัญญะขาดปัญญา จักกล่าววาจาให้เกิดโทษแก่ตนเองและผู้อื่นอยู่เนืองๆ เพราะฉนั้นให้รู้สำรวมวาจาให้มากๆ โดยการพิจารณาเสียก่อนจึงพูด ''

                ข) " กำลังใจของคนไม่เท่ากัน จงอย่าไปตำหนิใคร เพราะทำไปหรือตำหนิไปก็รังแต่จักเพิ่มกิเลสขึ้นในจิต และสร้างศัตรูขึ้นแก่จิตของผู้อื่น ดังนั้นจึงควรสงบถ้อยคำไว้เป็นดีที่สุด แม้จักกล่าวว่าด้วยความหวังดีก็ตาม มันก็เป็นเนื่องด้วยกิเลสอยู่ดี"

                ค) “ สังขารุเบกขาญาณ เป็นธรรมเบื้องสูง ของผู้ถึงจุดสุดยอดแห่งมรรคผลนิพพาน " ขอให้พวกเจ้าหมั่นซ้อมหมั่นปฏิบัติเข้าไว้ วางอุเบกขาให้ถูกลักษณะของมัชฌิมาปฏิปทา โดยอาศัยศีลเป็นพื้นฐานที่ตั้งของสมาธิและปัญญา ตัว สังขารุเบกขาญาณก็จักเกิดขึ้นได้ไม่ยาก หมั่นอัตตนา โจทยัตตานัง สอบจิต-สอบกาย-สอบวาจา เข้าไว้ว่า คิดเช่นนี้ ทำเช่นนี้ พูดเช่นนี้ มันผิดหรือถูกในหลักธรรมที่ตถาคตได้สั่งสอนมา พิจารณาให้มาก ๆ ถ้าผิดก็จงอย่าทำเป็นอันขาด ถ้าถูกก็จงรีบทำด้วยความมั่นใจ ขยัน-พากเพียรเข้าไว้ มรรคผลที่ได้จากการกระทำของตนเองนั้นเป็นของแท้ ดีกว่าฟังคนอื่นพูดหรือเล่าว่า เขาทำเช่นนั้นได้ผลเช่นนี้

                ง) มาเถิดเจ้า เข้ามาสู่หลักปฏิบัติธรรม อันเข้าสู่โลกุตรธรรมเบื้องสูงอย่างแท้จริง ตั้งใจไปเลยทิ้งทวนของชีวิตเสี้ยวที่เหลือนี้ให้แก่พระธรรม   ตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป จงหมั่นคุมสติกำหนดรู้กิริยาของกาย-วาจา-ใจให้แน่วแน่มั่นคง อานาปานัสสติกับคำภาวนา อย่าทิ้งเป็นอันขาด ใครจักพูดอะไร ขอให้มีสติฟังให้ดี ๆ พิจารณาเข้าอิงพระธรรมคำสั่งสอน กลั่นกรองหาสาระให้ได้ แล้วเวลาที่จักพูด ก็จงคิดพิจารณาให้ดีว่ามีสาระหรือไม่ ถ้าไม่มีจงอย่าพูด อย่าทำเช่นนั้นเป็นอันขาด "




(หลวงปู่บุดดา)

“ไอ้คนเรานี้มันก็แปลก ชอบเอาลมปากเผากัน เอาไฟกิเลส โมหะ โทสะ ราคะเผากัน เผาตนเอง เผากาย เผาใจตนเองยังไม่พอชอบเผื่อแผ่ไปเผาชาวบ้าน ชาวช่องเขาด้วย เผาจิตเผากายของเขามันสนุกหรืออย่างไร วิสัยชาวโลก ชอบนินทา-สรรเสริญ ไฟร้อน ไฟเย็น ก็เผาได้เผาดี ”
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5033 เมื่อ: 14 มกราคม 2555, 18:24:27 »

คำถามสำหรับ ดร.สุริยา ตอบ  หรือผู้รู้ เช่น ท่านขุน
                   ท่านเขมานันทะ บวชมามากกว่า ๑๕ ปี อยู่กับหลวงพ่อพุทธาตุภิกขุ มานาน และมาอยู่กับหลวงพ่อเทียน  อาจจะพูดได้ว่าใกล้ชิดหลวงพ่อเทียน มากท่านหนึ่ง  ทำไม? ท่านจึงสึกมาอยู่ในเพศฆาราวาส  หรือว่าอยู่อย่างฆาราวาส  สามารถทำอะไรๆ ได้หลายอย่าง มากกว่าอยู่ในรูปของภิกษุ คือคล่องตัวกว่า  แต่ก็สามารถบรรลุธรรมเหมือนกัน อยู่อย่างสงบ  แต่ท่านมีข้อดีคือ ท่านเป็นศิลปินแห่งชาติ หมดกังวลเรื่องค่าใช้จ่าย และปัจจัย ๔  จึงสามารถอยู่อย่างฆาราวาสได้ ไม่ต้องพึ่งชาวบ้าน
     
                   สวัสดี 
      บันทึกการเข้า
เอมอร 2515
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu 2515
คณะ: รัฐศาสตร์(นิติศาสตร์)
กระทู้: 4,562

« ตอบ #5034 เมื่อ: 14 มกราคม 2555, 19:26:03 »

สวัสดีค่ะพี่สิงห์
    ไม่ได้มาเยี่ยมเยียนพี่สิงห์หลายวัน
ได้ทราบวว่าคุณแม่สุขภาพแย่ลง
มาเป็นกำลังใจให้พี่สิงห์อีกคนค่ะ
      บันทึกการเข้า
KUSON
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,125

« ตอบ #5035 เมื่อ: 14 มกราคม 2555, 19:33:21 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 14 มกราคม 2555, 08:05:23
                     
                       แปลกมาก ทุกครั้งที่ผมมาเยี่ยมแม่  อาการของแม่จะดีเสมอ  ถ้าดูแต่ใบหน้าและสติ แล้วจะรู้ได้เลยว่า  สามารถอยู่ได้อีกนาน 
                        สวัสดี

สาธุ  ขออำนาจคุณพระศรีรัตนไตร จงคุ้มครองรักษาคุณแม่อย่าได้เจ็บปวดทรมาน
ขออาการข้างเคียง ตลอดจนโรคภัยอย่าได้แผ้วพาน
และขอให้ท่านได้อยู่เป็นมิ่งขวัญของลูกๆ ตราบนานเท่านาน เทอญ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5036 เมื่อ: 14 มกราคม 2555, 20:19:19 »

อ้างถึง
ข้อความของ เอมอร 2515 เมื่อ 14 มกราคม 2555, 19:26:03
สวัสดีค่ะพี่สิงห์
    ไม่ได้มาเยี่ยมเยียนพี่สิงห์หลายวัน
ได้ทราบวว่าคุณแม่สุขภาพแย่ลง
มาเป็นกำลังใจให้พี่สิงห์อีกคนค่ะ
สวัสดีค่ะ คุณน้องเอมอร ที่รัก

            ณ วันนี้เธอสามารถเข้าไปนอนที่บ้านได้แล้วหรือยัง  พี่สิงห์หวังว่าเธอคงจะสามารถนอนได้แล้วนะ  อะไรๆ ที่มันเสียหายจากน้ำท้วมก็ให้มันไปกับสายน้ำที่แห้งหมดแล้ว ทรัพย์สินนอกกายนั้น สามารถหามาทดแทนได้ใหม่ครับ แต่จิตใจของเราอย่าให้มันหายไปกับสายน้ำ มีสติอยู่เสมอ เราต้องก้าวต่อไปเพราะเธอยังมีครอบครัวที่ต้องรับผิดชอบ  ไม่เหมือนพี่สิงห์ ไม่มีเลย  ความกังวลมันหายไปแยะ และก็ไม่คิดทั้งนั้น

             สวัสดีค่ะ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5037 เมื่อ: 14 มกราคม 2555, 20:40:30 »

อ้างถึง
ข้อความของ KUSON เมื่อ 14 มกราคม 2555, 19:33:21
อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 14 มกราคม 2555, 08:05:23
                     
                       แปลกมาก ทุกครั้งที่ผมมาเยี่ยมแม่  อาการของแม่จะดีเสมอ  ถ้าดูแต่ใบหน้าและสติ แล้วจะรู้ได้เลยว่า  สามารถอยู่ได้อีกนาน 
                        สวัสดี

สาธุ  ขออำนาจคุณพระศรีรัตนไตร จงคุ้มครองรักษาคุณแม่อย่าได้เจ็บปวดทรมาน
ขออาการข้างเคียง ตลอดจนโรคภัยอย่าได้แผ้วพาน
และขอให้ท่านได้อยู่เป็นมิ่งขวัญของลูกๆ ตราบนานเท่านาน เทอญ


             
               คืนนี้พี่ชายใหญ่ พี่มรกต-พี่สมจิต มานอนเป็นเพื่อนอีกครอบครัว  ทำให้อบอุ่นขึ้น ส่วนแม่นั้น วันนี้สติแจ่มใส สามารถนอนหลับได้มากขึ้น แต่คนดูแลตอนเอาแม่ไปอาบน้ำ นั้นพบว่าที่ก้นบวมเพิ่ม เนื่องจากนอนทับเส้นเลือดๆไปเลี้ยงส่วนต่างๆ น้อยลง หรือระบบไตทำงานน้อยลง จึงทำให้มีน้ำเหลือตามกล้ามเนื้อจึงบวม

               วันนี้คุณหมอวิทิต  บอกว่าให้ผมอยู่นอนคอยดูแลแม่สักอาทิตย์หนึ่ง  มันอาจจะเป็นคำตอบสุดท้ายก็ได้ในสายตาหมอที่ดูแล และมีประสบการมามาก  แต่ถ้าดูที่หน้า ดูการมีสติ  จะรู้ได้ว่าคงอยู่อีกนาน แต่ถ้าดูที่ร่างกายแล้ว คงไม่นาน แต่แปลกตรงที่แม่มีสติ แต่ไม่เจ็บแผลเลย ยังเป็นปกติ ทั้งๆ ที่มีแผล ผิวหนังบวมเขียวเพิ่มขึ้นทุกวัน ส่วนล่างค่อยๆเสื่อมลง อยู่ที่การติดเชื้อในกระแสโลหิตอย่างเดียวเท่านั้น จะมาช้าหรือเร็วเท่านั้น

                เพื่อความสะบายใจของน้องสาวที่เขาจะอุ่นใจ  ถ้ามีผมอยู่ด้วย  ผมคงต้องอยู่สิงห์บุรี เฝ้าแม่ต่อไปเรื่อยๆ ยกเว้นวันอังคารเท่านั้น  และวันพุธที่จะถึงพี่สาวที่อยู่อเมริกา  จะบินมา ทำให้พี่-น้องอยู่กันครบหน้าครับ  ยกเว้นพี่หมอ เท่านั้นที่ยังไม่มาเพราะระทมทุกข์อยู่กับลูกชายคนโตที่ตัดพ่อ-ลูกมาหลายปีแล้ว ก็ไม่ว่ากัน  เรื่องอย่างนี้

                 อยู่สิงห์บุรี ไม่มีอะไรทำทั้งสิ้น ทำให้ต้องพึ่งการปฏิบัติธรรม  จะได้ไม่รู้สึกว่าเหงา ว่าไม่มีอะไรทำ เมื่อเย็นที่ผ่านมาก็ไปเดินออกกำลังกายตามริมแม่น้ำเจ้าพระยา สำรวจความเป็นอยู่ของคนริมแม่น้ำครับ  ช่วงนี้สิงห์บุรี มีปลามากจากแม่น้ำเจ้าพระยา เพราะน้ำลดลง ปลาโตเต็มที่แล้ว จึงมีปลาจากแม่น้ำมาขายถึงบ้าน สามารถเลือกได้ว่าจะกินปลาอะไร ที่ไม่ใช่ปลาตัวใหญ่เพราะทางร้านอาหารรับซื้อไม่อั้น เช่นปลาม้า  ปลาตะโกรก เป็นต้น

                เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นเรื่องของธรรมชาติ ที่ต้องประสบไม่ช้าก็เร็ว  ดังนั้นเราต้องอยู่โดยความไม่ประมาท ทั้งรูป-นาม  โดยเฉพาะรูป ต้องระวังเรื่องอาหาร  พักผ่อน  ออกกำลังกาย และจิตผ่องใส  ถ้าประมาทตามใจจิต  จะลำบากตอนแก่ที่มีโรคเรื้อรัง  พึงสังวรเอาไว้ให้ดี

                ราตรีสวัสดิ์ทุกท่านครับ
      บันทึกการเข้า
pusadee sitthiphong
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: พาณิชยศาสตร์และการบัญชี
กระทู้: 4,689

« ตอบ #5038 เมื่อ: 14 มกราคม 2555, 20:48:12 »

อ้างถึง
ข้อความของ KUSON เมื่อ 14 มกราคม 2555, 19:33:21
อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 14 มกราคม 2555, 08:05:23
                     
                       แปลกมาก ทุกครั้งที่ผมมาเยี่ยมแม่  อาการของแม่จะดีเสมอ  ถ้าดูแต่ใบหน้าและสติ แล้วจะรู้ได้เลยว่า  สามารถอยู่ได้อีกนาน 
                        สวัสดี

สาธุ  ขออำนาจคุณพระศรีรัตนไตร จงคุ้มครองรักษาคุณแม่อย่าได้เจ็บปวดทรมาน
ขออาการข้างเคียง ตลอดจนโรคภัยอย่าได้แผ้วพาน
และขอให้ท่านได้อยู่เป็นมิ่งขวัญของลูกๆ ตราบนานเท่านาน เทอญ


งั้นพี่สิงห์ต้องมาเยี่ยมแม่บ่อยขึ้นกว่าที่เคยบ่อย(แปลว่ามาเยี่ยมบ่อยอยู่แล้ว และให้มาเยี่ยมบ่อยกว่านี้อีก แหมเข้าใจยากจริง)
คุณแม่จะได้มีกำลังใจมากขึ้นและมีความสุขที่มีลูกอยู่ใกล้ๆค่ะ
      บันทึกการเข้า

pom shi 2516
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5039 เมื่อ: 15 มกราคม 2555, 10:34:23 »

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน

             เช้าวันนี้ก็เป็นวันที่แม่มีชีวิตอยู่ได้อีกหนึ่งวัน  อาการหนักขึ้น คือ การทำงานของไต และปอดลดลง อาการบวมจากมีน้ำมากในร่างกายจึงเพิ่มขึ้น  แผลกลางหลัง และที่อื่นๆ เขียวมากขึ้น  คงเป็นอย่างที่คุณหมอวิทิต  บอกให้ผมอยู่ดุแลแม่ ๗ วัน คงไม่เกินนั้น หรือแม่อาจจะรอคอยลูกสาวอีกคนหนึ่งที่จะกลับมาจากอเมริกา วันพุธที่จะถึงนี้

              เมื่อเช้าคนดูแลแม่ได้มาบอกว่ายายบวมมกากว่าเมื่อวาน พี่มรกต  พี่สมจิต และผมจึงได้เข้าไปดู  ผมก็ได้พูดให้ทราบ มันก็เป็นอย่างที่เห็น เราทำอะไรไม่ได้ทั้งนั้น เราห้ามความเจ็บ  ความตายไม่ได้ แต่เราสามารถปกป้องตัวเองให้มีโอกาสอย่างนี้น้อยๆ ได้ด้วยการดูแลอาหาร  ออกกำลังการ พักผ่อนกาย-ใจ  อย่าให้เป็นโรคเรื่อรัง เอาแม่เป็นอาจารย์ใหญ่  สอนตัวเอง ว่าสุดท้ายเราก็ต้องตกอยุ่ในสภาวะแบบนี้ เราหนีความเจ็บ  ความตายไม่พ้น มันเป็นธรรมชาติที่ต้องเกิดขึ้นกับมนุษย์ไม่ช้าก้เร็ว

               แม่นอนหลับเพิ่มมากขึ้น ไม่ตาค้างนอนไม่หลับเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ชีพจรอ่อนหล้ามาก ผมไม่รู้ท่านทนเจ็บปวดแผลได้อย่างไร  เพราะไม่แสดงอาการทั้งสิ้น ครับ

              ผมเขียนเพื่อให้ทุกคนได้รับทราบ เอาไว้เป็นครูสอนตัวเราเอง ให้อยู่ด้วยความไม่ประมาท โดยเแพาะเอามาสอนเราเพื่อให้ความอยาก หรือตัณหา มันลดน้อยลง เราจะได้ทุกข์น้อย เอาสิ่งที่เกิดขึ้นกับแม่มาเป็นกำลังใจในการดูแลรูป-นามตัวเอง

              สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5040 เมื่อ: 15 มกราคม 2555, 10:42:07 »

ปัญหานกปากห่าง

                  ตอนนี้ชาวบ้าน ในเขตอำเภอเมืองสิงห์บุรี รวมตัวประท้วงทางการจำนวนกว่าพันคน เพื่อให้ทางราชการจัดการกับนกปากห่างแสนกว่าตัวที่อพยบหนีหนาวมาตั้งแต่น้ำท้วมใหญ่สี่เดือนแล้ว  ชาวบ้านอ้างว่ากลัวจะติดไข้หวัดนก ทั้งๆที่ปศุสัตว์จังหวัด เอาขี้มาตรวจแล้วไม่พบเชื้อ ชาวบ้านยากให้ทางการไล่นกไปให้พ้น

                  แต่ผมมองว่า มันเป็นธรรมชาติ  มันเป็นความสวยงาม ที่มีนกจำนวนมากมาเยือน มันไม่ได้เอาโรคมาไห้ มันมากินซากหอยในนาข้าว มีประโยชน์ต่อชาวนา เพียงแต่จำนวนมันมากเป็นเรือนแสนเท่านั้น ว่าง ๆ ผมจะไปถ่ายภาพมาใช้ชม ตอนนี้ทางเทศบาล  นายก อบจ. ผู้ว่าราชการจังหวัด กำลังหารือกับชาวบ้านที่รวมตัวประท้วงจะให้ทางการไล่นกปากห่างฝูงดังกล่าวอยู่ครับ

                  สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5041 เมื่อ: 15 มกราคม 2555, 10:45:58 »

อ้างถึง
ข้อความของ pusadee sitthiphong เมื่อ 14 มกราคม 2555, 20:48:12
อ้างถึง
ข้อความของ KUSON เมื่อ 14 มกราคม 2555, 19:33:21
อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 14 มกราคม 2555, 08:05:23
                     
                       แปลกมาก ทุกครั้งที่ผมมาเยี่ยมแม่  อาการของแม่จะดีเสมอ  ถ้าดูแต่ใบหน้าและสติ แล้วจะรู้ได้เลยว่า  สามารถอยู่ได้อีกนาน 
                        สวัสดี

สาธุ  ขออำนาจคุณพระศรีรัตนไตร จงคุ้มครองรักษาคุณแม่อย่าได้เจ็บปวดทรมาน
ขออาการข้างเคียง ตลอดจนโรคภัยอย่าได้แผ้วพาน
และขอให้ท่านได้อยู่เป็นมิ่งขวัญของลูกๆ ตราบนานเท่านาน เทอญ


งั้นพี่สิงห์ต้องมาเยี่ยมแม่บ่อยขึ้นกว่าที่เคยบ่อย(แปลว่ามาเยี่ยมบ่อยอยู่แล้ว และให้มาเยี่ยมบ่อยกว่านี้อีก แหมเข้าใจยากจริง)
คุณแม่จะได้มีกำลังใจมากขึ้นและมีความสุขที่มีลูกอยู่ใกล้ๆค่ะ

               
               ขอบคุณมากค่ะ คุณน้องป้อม ที่รัก

               พี่สิงห์ มาอยู่ที่บ้านน้องสาวเลย  อยู่กับแม่  เพื่อเป็นกำลังใจของทุกคน  และชี้ให้เห็นถึงสัจจะธรรม ความจริงในชีวิต ที่เราหนี ความเจ็บ  ความตายไปไม่พ้น  ชี้ให้ทุกข์คนที่ยังอยู่ในความประมาท เอาแม่เป็นอาจารย์ใหญ่

               สวัสดี
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #5042 เมื่อ: 15 มกราคม 2555, 12:51:27 »

พี่สิงห์

ผมขอส่งแรงใจช่วยคุณแม่ของพี่สิงห์ และให้กำลังทุกคนในสถานการณ์ที่ยากกับการทำใจ

และขอให้น้องสาวของพี่กลับมาจากสหรัฐได้ทันเวลาครับ
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #5043 เมื่อ: 15 มกราคม 2555, 12:53:01 »

แนวทางที่กรมชลประทานต้องการให้เกษตรกรปลูกข้าว เพาะปลูกในปี 2555 นี้

ลุ่มเจ้าพระยาเก็บเกี่ยวนาปี 1.5 ล้านไร่
วันพฤหัสบดีที่ 12 มกราคม 2555 เวลา 00:00 น.

 นายฎลงกรณ์  สมตน  ผู้อำนวยการสำนักชลประทานที่ 12  กรมชลประทาน เปิดเผยถึงผลกระทบจากมหาอุทกภัยที่ผ่านมาต่อการปลูกข้าวนาปีในพื้นที่ลุ่มเจ้าพระยาและลุ่มน้ำท่าจีน ในพื้นที่จังหวัดอุทัยธานี  ชัยนาท  สิงห์บุรี  สุพรรณบุรี  อ่างทอง และพระนครศรีอยุธยาบางส่วนว่า ในพื้นที่ดังกล่าวได้มีการทำนาปีประมาณ 2.5 ล้านไร่  แม้จะมีการปลูกข้าวเร็วแล้วกว่าปกติตามที่กรมชลประทานแนะนำแล้วก็ตาม แต่ยังมีข้าวนาปีได้รับความเสียหายจากภาวะน้ำท่วมประมาณร้อยละ 40 หรือประมาณ 1 ล้านไร่ สามารถเก็บเกี่ยวได้ทันประมาณร้อยละ 60 หรือประมาณ 1.5 ล้านไร่

ทั้งนี้เนื่องจากในปีนี้ฝนมาเร็วกว่าปกติอย่างที่ไม่คาดคิดมาก่อน ซึ่งปกติในพื้นที่ทุ่งเจ้าพระยาภาวะน้ำท่วมก็จะเกิดขึ้นในช่วงเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน  แต่ในปีนี้น้ำเริ่มท่วมตั้งแต่ต้นเดือนกันยายนเป็นต้นมา  ซึ่งกรมชลประทานพยายามที่จะชะลอน้ำไม่ให้เข้าพื้นที่นาเพื่อให้เกษตรกรสามารถเก็บเกี่ยวข้าวนาปีให้เสร็จ แต่ด้วยปริมาณน้ำเหนือที่มีมากกว่าปกติถึง 2 เท่า ทำให้ไม่สามารถที่ช่วยพื้นที่ที่ทำนาปีล่าช้าได้ทั้งหมด จึงได้รับความเสียหายดังกล่าว“กรมชลประทานได้รณรงค์ให้เกษตรกรทำนาปีละ 2 ครั้งและให้ทำเร็วขึ้นมาตั้งแต่ปี 2553 แล้ว ซึ่งในปีแรกยังไม่ได้รับความร่วมมือเท่าที่ควรเนื่องจากการประชาสัมพันธ์ยังไม่ทั่วถึง  และปีนี้ซึ่งเป็นปีที่ 2 เกษตรกรให้ความร่วมมือมากขึ้น ตั้งเป้าจะเก็บเกี่ยวให้เสร็จภายในเดือนกันยายน 2554  แต่น้ำกลับมาเร็วกว่าปกติจึงส่งผลกระทบต่อการเก็บเกี่ยวข้าวนาปีส่วนหนึ่ง” นายฎลงกรณ์กล่าว

อย่างไรก็ตามสำหรับการปลูกข้าวนาปรังในฤดู 2554/55 และนาปี 2555 กรมชลประทานได้ขอความร่วมมือจากเกษตรกรในพื้นที่ลุ่มเจ้าพระยาให้ปลูกข้าวเร็วขึ้นมาอีก โดยนาปรังให้เริ่มปลูกตั้งแต่เดือนธันวาคม 2554 เก็บเกี่ยวประมาณเดือนมีนาคม-เมษายน 2555 จากนั้นก็ให้ทำนาปีต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถเก็บเกี่ยวข้าวนาปีได้ไม่เกินเดือนสิงหาคม 2555   ซึ่งกรมชลประทานมีน้ำเพียงพอที่จะจัดสรรให้ในช่วงการทำนาปี แม้ฝนยังไม่ตกก็ตาม ข้าวจะไม่ได้รับความเสียหายอย่างแน่นอน

ผู้อำนวยการสำนักชลประทานที่ 12   กล่าวว่า หลังจากเก็บเกี่ยวข้าวนาปีเสร็จ ให้พักการทำนาทันที รอจนถึงเดือนธันวาคม 2555 ค่อยทำนาปรัง ซึ่งไม่มีแผนการส่งน้ำให้มีการทำนาปรังรอบ 2 อย่างเด็ดขาด นอกจากนี้หากเกิดภาวะน้ำท่วมอีกครั้งเหมือนปีนี้ กรมชลประทานจะผันน้ำลงสู่พื้นที่ชาวนาที่เก็บเกี่ยวแล้ว ซึ่งเป็นการกระจายน้ำเพื่อบรรเทาปัญหาน้ำท่วมหลากที่รุนแรง.


http://www.dailynews.co.th/agriculture/7004
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5044 เมื่อ: 15 มกราคม 2555, 15:02:09 »

                 ผมพิมพ์มาจากหนีงสือ "ธรรมะหลับสบาย" เขียนโดย ว.วชิรเมธี  เพราะอยู่เฉยๆ ไม่มีอะไรทำครับ

รากแก้วของความโกรธ


ปราณ
   ครูขอบใจมากสำหรับจดหมายที่ส่งตรงมาจากลอนดอนตามที่เคยสัญญาเอาไว้  ตอนนี้เมืองไทยของเราอากาศกำลังอยู่ในช่วงปลายฝนต้นหนาวพอดี  ครูเองก็กำลังง่วนอยู่กับการเขียนตำราและนำภาวนาบ้างในบางวัน  ซึ่งเท่าที่ครูลองสังเกตดูสองสามปีมานี้มีคนรุ่นใหม่หันมาสนใจการบำเพ็ญจิตภาวนาเพิ่มขึ้น  เอาไว้วันหลังมีโอกาสเหมาะๆ ครูจะขยายความเรื่องนี้ให้ฟังอีกที

   วันวานมีลูกศิษย์ของครูคนหนึ่งโทรศัพท์ทางไกลมาหาครู  เท่าที่ฟังจากปลายสาย  ครูรู้ว่าเขากำลังทุกข์มาก  ประโยคแรกที่เขาขอร้องกับครูก็คือ  เขาขอให้ครูช่วยทำให้หายโกรธด้วย  เธอเชื่อไหมว่า  คนที่เป็นนายคนไม่น้อยกว่าห้าสิบคนในบรษัทแห่งหนึ่ง  สำเร็จการศึกษามาจากเมืองนอก  บริหารธุรกิจนับร้อยล้าน  แต่ไม่สามารถบริหาร “อารมณ์โกรธ” ของตนเองได้

   คนอย่างนี้ควรจะเรียกว่าประสบความสำเร็จหรือล้มเหลวดี

   อย่างไรก็ตาม  ครูได้เตือนให้เขาสงบจิตใจและฟังครู  เขาทำตามอย่างว่าง่าย  เพราะคบหากับครูมานานแล้ว  ครูบอกให้เขาชูมือของตัวเองขึ้นมาแล้วลองพิจารณาดูว่า  นิ้วแต่ละนิ้วนั้นสั้นยาวเท่ากันหรือเปล่า  ครูบอกเขาว่า  ถ้าเธออยากให้นิ้วโป้งยาวเท่านิ้วกลาง  อยากให้นิ้วนางยาวเท่านิ้วชี้  เธอก็จะทุกข์ทันที  เขาถามว่าทำไม  ครูตอบว่า  เพราะความอยากที่สวนทางกับธรรมชาติของความเป็นจริงเช่นนั้น  ไม่มีวันเป็นจริงขึ้นมาได้เลย

   เมื่อความอยากเดินสวนทางกับความเป็นจริง  มีหรือที่เธอจะไม่ทุกข์

   เธอคงเริ่มสงสัยว่า  แล้วนิ้วทั้งห้าเกี่ยวกับอะไรกับเรื่องนี้  ครูจะขยายความให้ทราบอยู่เดี๋ยวนี้แหละ  เพราะต้นตอแห่งความโกรธของลูกศิษย์ของครูคนนั้นมาจากการที่ลูกน้องของเขาคนหนึ่งทำงานชิ้นสำคัญไม่เสร็จตามเป้าหมายจึงเกิดการ “เทศน์นอกธรรมมาสน์” กันขึ้น

   เมื่อต่างฝ่ายต่างก็แรงเข้าหากันเพราะถือว่าต่างก็มีดีด้วยกันทั้งคู่(อหังการ/ฉันแน่)  สุดท้ายลูกน้องคนนั้นซึ่งเป็นคนสำคัญของบรษัทเป็นฝ่ายหมดความอดทนก่อน  เขาจึงประกาศขอลาออกและให้สัตย์สาบานว่าจะไม่มาเหยียบที่บริษัทนั้นอีก  ซ้ำยังท้าทายด้วยว่า  ถ้าขาดเขาเสียคนหนึ่ง  บริษัทจะไปไม่รอด  เพียงเท่านี้แหละเธอเอ๋ย  ลูกศิษย์ของครูซึ่งเป็นผู้บริหารโกรธจนตัวสั่นที่ถูกท้าทาย  แต่พอลูกน้องเดินลับสายตาออกไปแล้ว  ความเสียใจอย่างลึกซึ้งก็เคลื่อนตัวเข้ามาแทนที่ความโกรธ  คราวนี้ไม่โกรธลูกน้องแล้วแต่เป็นการโกรธตัวเอง  ที่ไม่รู้จักหักห้ามใจตนจนทำให้คนของตัวเองซึ่งคบหาพึ่งพากันมานานต้องมาเลิกร้างห่างเหินกันไปอย่างไม่ไยดี

   เธอลองคิดดูสิว่า  หากเธอเป็นนายคนแล้วเสียลูกน้องมือดีไปแบบกู่ไม่กลับอีกแล้ว  เธอจะโกรธตัวเองไหม  หากเป็นครู  ครูก็คงเสียใจไม่น้อย

   แต่ที่ครูเสียใจไม่ใช่เพราะเสียดายเขา  แต่เสียใจที่ครูปล่อยให้เขากับครูเกิดความบาดหมางระหว่างกันขึ้นมาจนได้

   ครูถือคติว่า  เกิดมาเป็นคนกับเขาชาติหนึ่ง  ไม่ควรโกรธหรือเป็นศัตรูกับใคร  และไม่ควรสร้างเงื่อนไขให้ใครต้องมาเป็นศัตรูกับเรา  คนจีนเขาสอนลูกสอนหลานกันมานานหลายชั่วคนแล้วว่า  “มีมิตร ๕๐๐ คนยังน้อยไป มีศัตรู ๑ คนก็นับว่ามากเกินพอ”

   คนเรากว่าจะคบกัน  เรียนรู้กัน  เชื่อใจกัน  และร่วมมือร่วมใจกันลงหลักปักฐานทำงานอะไรสักอย่างหนึ่งจนเติบโตมาด้วยกัน  ทั้งความสัมพันธ์และความสำเร็จทางธุรกิจ  ต้องใช้เวลาเรียนรู้กันนานเหลือเกิน  แต่แล้ววันหนึ่งขณะที่ทุกอย่างกำลังไปได้ดีก็กลับมาแตกคอกันเอง  กลายเป็นน้ำแยกสายไผ่แยกกอ  เพียงเพราะตกเป็นทาสของความโกรธชั่ววูบเดียว

   เรื่องอย่างนี้เป็นใครก็ต้องเสียใจเป็นธรรมดา  ยิ่งเมื่อเวลาผ่านไปเราได้ค้นพบว่าตนเองเป็นฝ่ายผิด  ความเสียใจซึ่งมันควรจะจบไปแล้วในอดีตก็จะวกกลับมาทำร้ายเราซ้ำแล้วซ้ำอีกไม่รู้กี่ครั้งกี่หน  เพราะเหตุนี้เอง  ครูถึงได้บอกว่า  เกิดมาเป็นคนกับเขาชาติหนึ่งแล้ว  อย่าได้เป็นศัตรูกับใครเขาเลย  เพราะไม่เพียงแต่เราจะต้องเจ็บปวดจากการทำร้ายของศัตรูเท่านั้น  หากเราเองยังจะต้องเจ็บปวดเพราะการทำร้ายตัวเองด้วย  “ความทรงจำอันเลวร้าย”  ที่แทรกตัวอยู่ในจิตใต้สำนึกของเราเองอีกต่างหาก

   ครูบอกเขาว่า  นิ้วทั้งห้าของคนเรานั้นสั้นยาวไม่เท่ากันฉันใด  คนทุกคนต่างก็มีศักยภาพทางสติปัญญาไม่เท่ากันฉันนั้น  ก่อนที่เราจะดุใคร  หรือโกรธใคร  ไม่ว่าจะเป็นลูกน้อง  เพื่อน  คนรัก  หรือลูกศิษย์ของเราก็ตาม  จึงควรถามตัวเองก่อนว่า  เราใช้เขาสอดคล้องกับศักยภาพอันแท้จริงของเขาหรือไม่  เพียงไร  (Put the right man on the right job) หากเราคิดเช่นนี้ทุกครั้งก่อนที่จะดุหรือตำหนิคนอื่น  เราจะพบว่าแท้ที่จริงแล้ว  คนที่ควรตำหนิมากที่สุดก็คือตัวของเรานั่นเอง  เขียนมาถึงตรงนี้ทำให้ครูนึกถึงกวีนิพนธ์บทหนึ่งว่า

      “เมื่อพูดไป เขาไม่รู้ กลับขู่เขา         ว่าโง่เง่า งมเงอะ เซอะนักหนา
      ตัวของตัว ทำไม ไม่โกรธา         ว่าพูดจา ให้เขา ไม่เข้าใจ”
   
เมื่อครูพูดมาถึงตอนนี้  ครูสังเกตเห็นว่าเสียงของคู่สนทนาค่อยแจ่มใสขึ้น  และสุดท้ายเขาก็สามารถหัวเราะเยาะความโง่เขลาของตัวเองได้อย่างอาจหาญ  เขาสัญญากับครูว่า  เหตุการณ์เช่นนี้จะไม่เกิดขึ้นอีก  และครูเองก็ดีใจที่วันรุ่งขึ้นเขาโทรศัพท์มาบอกครูว่า เขา “เคลียร์” ทุกอย่างให้จบลงด้วยดีแล้ว  ครูถามเขาว่าได้อย่างไร

   “ขอโทษครับ  ผมผิดเอง”

   คือคำตอบที่เขาใช้กับลูกน้องคนสำคัญของตัวเอง  และด้วยถ้อยคำง่ายๆ เพียงไม่กี่คำนี้เอง  ฟ้าหลังฝนก็กลับมาสดใสเหมือนเดิม

   ปราณ   เธอคงงงมากซินะ  คำว่า “ขอโทษครับ  ผมผิดเอง”  มีปฏิหาริย์มากถึงเพียงนี้เชียวหรือ

   ตามหลักทางจิตวิทยาเธอคงรู้ดีว่า  มนุษย์ทุกคนล้วนอยากให้คนอื่นมองเห็นตนว่าเป็นคนสำคัญและต่างก็มี “ปม" ด้วยกันทั้งนั้น  มากบ้างน้อยบ้างตามแต่ภูมิหลังของใครของมัน  คนบางคนก็มีปมอยากเด่น  บางคนก็มีปมด้อยที่อยากปกปิด  บางคนก็มีปมที่อยากชดเชยให้กับตัวเอง  แต่ปมทั้งหมดนั้น  พระพุทธเจ้าของเราทรงใช้คำสั้นๆ เรียกมันว่า “ตัวกู” และเรื่อง “ของกู” เท่านั้นเอง

   โดยเฉพาะเรื่อง “ตัวกู” นั้นสำคัญกว่า “ของกู” อีกหลายเท่าตัวทีเดียว เพราะถ้าไม่มี “ตัวกู”  ความรู้สึกว่า “ของกู”  ก็ไม่เกิดตามมา

   ที่ลูกน้องระดับ “มืออาชีพ”  ของเขารีบหายโกรธเจ้านายทันทีหลังจากที่ได้ยินคำว่า “ขอโทษครับ  ผมผิดเอง”  นั้น  ก็เป็นเพราะเขาซึ่งเป็นผู้ฟังอยู่ รู้สึกว่า “ตัวกู” ของเขาไม่ผิด  “ตัวกู” ของเจ้านายต่างหากที่ผิด  เมื่อผลักความรู้สึกผิดออกไปจากอกของตัวเองเสียได้ และมีคนมารับช่วงเป็นเจ้าของความผิดแทน  “ตัวกู” ของเขาก็เป็นไทและพ้นจากความผิด  ส่วนการที่เจ้านายขอให้กลับมาร่วมงานกันอีกครั้งหนึ่งนั้น  ก็เป็นเพราะผู้ฟังรู้สึกว่าตัวกูของเขาได้รับการเชิดชูให้ลอยเด่นขึ้นมา  โดยผู้ที่ยกให้ลอยนั้นเป็นเจ้านายของเขาเสียดาย  เขาจึงยอม

   เรื่องนี้ฟังดูก็เหมือนง่าย  แต่ความจริงมันยากมากทีเดียวที่จะทำให้เป็นจริงในทางปฏิบัติ  เพราะคงจะมีคนที่เป็นนายคนไม่กี่คนเท่านั้น  ที่ยอมลด “ตัวกู”  ของตนเองให้อยู่ต่ำกว่า “ตัวกู” ของลูกน้อง

   ตรงนี้แหละที่ครูถือว่าเป็นเคล็ดลับของการบริหาร “ตัวกู” ละ

   ถ้าเธอเข้าใจเรื่อง “ตัวกู” ทั้งของตนและของคนอื่น  เธอก็ควรจะรู้ว่า  ถ้าเธออยากอยู่กับคนทั้งโลกอย่างมีความสุขก็จงถือคติ
               ๑. อย่าดูหมิ่น “ตัวกู” ของใคร
               ๒. อย่าอวด “ตัวกู” ข่มใคร  เพราะจะทำให้เกิดการปะทะกันระหว่าง “ตัวกู”
               ๓. อย่าขโมย “ตัวกู” ของใครมาเป็น “ตัวกู” ของตัวเอง (อันเดียวกับขโมยลิขสิทธิ์นั่นเอง)
               ๔. อย่ามี “ตัวกู” แทรกอยู่ทุกลมหายใจเข้า-ออก

               คนเราทุกคนรัก “ตัวกู” ยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด  ที่โกรธ  เกลียด  ชิงชังทำลายล้างกันอย่างมโหฬารอยู่ทุกวันนี้  ล้วนมีที่มาจากเจ้า “ตัวกู” นี้ทั้งนั้น เจ้า “ตัวกู”  นี้ถ้าเราไม่เรียนรู้ที่จะกำจัดมัน  บางทีมันก็ขยายตัวจนกลายเป็น “ตัวกู” ระดับประเทศหรือระดับโลก  อย่าง “ตัวกู” ของประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นต้น ซึ่งใครๆ แตะไม่ได้เลย

   “ตัวกู” จึงเป็นรากฐานที่ตั้ง  ที่เกิดของความโกรธทุกระดับชั้น  ตั้งแต่ความโกรธของปัจเจกชนไปจนถึงความโกรธของคนทั้งประเทศและของโลก  ถ้าเราหมด “ตัวกู” ได้เมื่อไร  ก็หมดความโกรธ  หมดปัญหา  และหมดทุกข์  เพราะฉะนั้นพระอรหันต์ผู้หมด “ตัวกู” แล้ว  ท่านถึงไม่เคยต่อล้อต่อเถียง หรือโกรธกับใครเขาทั้งโลกเลยยังไงล่ะ

                                                                                                                ครูเอง


             "ตัวกู" ในที่นี้ตามความคิดเห็นของผมคือ สันดาน หรือ อัตตา หรือเจตสิก ของตนเองที่ปรุงแต่ง  ซึ่งล้วนเป็น "อนัตตา"  ทั้งสิ้น แต่หลงไปว่าเป็น "ตัวกู" เป็น "อัตตา" ไปเสียฉิบ



วิธีปฐมพยาบาลความโกรธ


ปราณ
   ฉบับที่แล้วครูเล่าถึงรากแก้วของความโกรธว่ามาจากการยึดติดถือมั่นในตัวกู  เธออาจรู้สึกว่าเข้าใจยากอยู่สักหน่อย  หรือบางทีเธออาจนึกเอาเถิด  เรื่องนี้เราค่อยอภิปรายไปเรื่อยๆ ก็แล้วกัน  หากเธอไม่เบื่อที่จะอ่านจดหมายของครูเสียก่อน  ครูสัญญาว่าเธอจะหายข้องใจชนิดแจ้งจางปางอย่างแน่นอน

   ไม่กี่วันก่อน  ครูไปบรรยายธรรมะที่ศูนย์สุขภาพแห่งหนึ่ง  เขาขอให้ครูพูดถึงวิธีคลายโกรธอย่างง่ายๆ ที่ไม่ลึกซึ้งมาก  ครูจึงเตรียมเรื่องไปบรรยายสั้นๆ ราวครึ่งชั่วโมง  จากนั้นจึงเป็นการตอบคำถามไขข้อข้องใจ  ครูใช้เวลาครึ่งชั่วโมงอธิบายถึงวิธีง่ายๆ ที่จะใช้สำหรับรับมือกับความโกรธรวมทั้งหมด ๙ วิธีด้วยกัน  ปรากฏว่า เมื่อบรรยายเสร็จแล้ว  ที่ประชุมแสดงความชื่นชมกันพอสมควร  ครูไม่อยากให้สิ่งที่ครูพูดถึงนั้นหายไปในอากาศ  จึงขอคัดมาให้เธออ่านพร้อมจดหมายฉบับนี้ทีเดียว  ลองอ่านดูนะ

    ยามใดก็ตามที่เธอรู้สึกตัวว่า  เริ่มถูกความโกรธเข้าครอบงำแล้ว  ครูขอแนะนำให้เธอปฏิบัติตามกุศโลบายคลายโกรธเบื้องต้น ๙ ประการ  อันเป็นวิธีอภิบาลตัวเองขั้นพื้นฐานก่อนที่จะจัดการกับความโกรธอย่างเป็นระบบอีกทีหนึ่ง นั่นคือ

                ๑. รีบออกมาจากสภาพแวดล้อมที่ทำให้เธอโกรธโดยการเดินออกมาจากคู่กรณีที่ทำให้โกรธ  หรือเดินออกมาเสียจากห้องประชุม  ห้องเจรจา  ห้องสัมมนา  หรือจากโต๊ะรับประทานอาหาร  จากงานเลี้ยง  หรือกล่าวโดยสรุปก็คือ  จงออกมาเสียจากสถานการณ์ที่คุกรุ่นไปด้วยไฟแห่งความโกรธให้เร็วที่สุด

                หลังจากนั้นควรไปหาที่ที่จะทำให้ตัวเองผ่อนคลายและสบายใจ  เช่นเข้าห้องน้ำไปล้างหน้า  อาบน้ำ  ขัดห้องน้ำ  หรือทำงานอย่างอื่นที่จะช่วยให้ผ่อนคลาย  คุยกับพระสงฆ์องค์เจ้าเพื่อให้อารมณ์สงบลง  หรือระบายกับเพื่อนที่รักและไว้ใจได้  ซึ่งจะช่วยให้ความกดดันในจิตใจลดระดับความเข้มข้นลง
หรือไม่เช่นนั้นก็ควรไปเล่นกีฬา  รดน้ำต้นไม้  ฟังเพลงที่เธอโปรด  ดูหนังที่มีดาราซึ่งเธอชื่นชอบ  แต่ไม่ขอแนะนำให้ไปขับรถเล่น  หรือไปเดินทอดน่องตามชายหาดหรือริมฝั่งแม่น้ำอย่างเด็ดขาด  เพราะหากขาดสติขึ้นมา  จะทำให้เกิดโศกนาฏกรรมได้ง่าย  และไม่ควรหันหน้าเข้าหาอบายมุขหรือสุรายาเสพติดอย่างเด็ดขาดเช่นกัน  เพราะจะทำให้ขาดสติและสถานการณ์จะเลวร้ายหนักข้อลงไปยิ่งกว่าเดิม

                ๒. งดการติดต่อ  การพูด  การตกปากรับคำ  การเซ็นสัญญา  การอนุมัติ  และการเกี่ยวข้องกับคนอื่นๆ ทุกคน  จนกว่าจะหายโกรธหรือจนกว่าอารมณ์โกรธเริ่มเย็นลงจนเข้าสู่ภาวะ “รู้เนื้อรู้ตัว” แล้ว  เพราะการกระทำการใดๆก็ตามในระหว่างที่ถูกความโกรธเข้าครอบงำนั้น  จะทำให้ขาดความรอบคอบขาดคุณภาพ  และจะก่อให้เกิดความเสียหายได้อย่างมหาศาลตามมาในภายหลัง

                ๓. อย่าคะนองกาย  โดยการทุบตีทำร้ายตัวเอง  ทำร้ายคนอื่น  ซึ่งเป็นต้นตอแห่งความโกรธ  หรือทุบ  ตี  ต่อย  ทิ้ง  ทำลายสิ่งของที่อยู่ใกล้หรือไกลตัว  ควรกันตัวเองให้ออกมาเสียให้ห่างจากของมีคม  เช่น  มีด  กรรไกร  เข็ม  ปากกา  ไขควง  หรืออาวุธร้าย  เช่น  ปืน  ยาพิษ  เชือก  ยานอนหลับ  ยากล่อมประสาท  ยาฆ่าแมลง  เป็นต้น

                ๔. อย่าคะนองวาจา  โดยการโวยวายใช้ถ้อยคำหยาบคายขึ้นมึงกู หรือด่าว่าคนที่ตนโกรธทั้งโดยตรงคือต่อหน้า  หรือโดยอ้อมเช่นว่าเปรียบเปรย  กระทบกระทั่งมารดาบิดา หรือปมด้อยของฝ่ายที่ทำให้ตนโกรธ  เพราะวิธีนี้จะเป็นการกระตุ้นไฟแห่งความโกรธให้ลุกโชนและจะทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงหนักกว่าเดิมหลายเท่าตัวทั้งสองฝ่าย

                ๕. อย่าคะนองใจ  โดยนึกหาวิธีการท้าทายคนที่ตนโกรธ  หรือรีบตัดสินใจทำการอย่างใดอย่างหนึ่งในขณะที่กำลังถูกความโกรธครอบงำ  เพื่อแสดงอาการประชดคู่กรณี  หรือแสดงท่าทียั่วยวนให้เขาเห็นว่าตนไม่ผิดไม่กลัว  ไม่สะทกสะท้าน  หรือไม่สนใจ  ไม่ให้ความสำคัญ  หรือไม่แม้แต่จะแสดงตัวให้คนอื่นเห็นว่าตนเองไม่โกรธทั้งๆ ที่กำลังโกรธจนหน้าแดง  หูแดง  ตัวสั่น  หัวใจเต้นแรง  หรือกำลังพูดไม่เป็นประโยค

                ๖. อย่าเข้าใกล้คนโง่หรือคนประเภท “นายว่าขี้ข้าพลอย” เป็นอันขาดเพราะเมื่อกำลังโกรธและต้องการที่ปรึกษาซึ่งควรจะมีความรอบครอบ คนประเภทนี้จะเป็นที่ปรึกษาที่ดีให้ไม่ได้  มีแต่จะเออออห่อหมกไปตาม  สุดท้ายอาจลงเอยด้วยการสนับสนุนให้นายหรือคนที่มาปรึกษาทำการที่ร้ายแรงแฝงโทษหนักข้อยิ่งขึ้นไปอีก

                การที่เราโกรธแล้วหันหน้าไปปรึกษาคนโง่นั้น  ก็เหมือนกับคนป่วยหนักแล้วไปขอยาจากหมอเถื่อนมารับประทาน  โอกาสหายย่อมมีน้อย  แต่โอกาสตายเพราะรับประทานยาผิดขนาดนั้นมีมาก  ถ้าจะปรึกษาใครสักคนหนึ่งควรเลือกคนที่ฉลาด  มีสติ  มีวุฒิภาวะพอสมควรไว้ก่อนจะดีที่สุด
                ๗. เตือนตนเองตามหลักที่พระพุทธองค์ตรัสว่า “จงเตือนตน ด้วยตนเอง” หมายความว่า  เมื่อเธอรู้สึกตัวว่ากำลังตกอยู่ในความโกรธ  หากสติยังไม่ขาดผึงลงในทันที  เธอควรมองเข้ามาภายในตัวเองแล้วเริ่มสอนตัวเองว่า “ดูสิเออ  สถานภาพของเธอในตอนนี้เป็นพ่อ  แม่  ครูบาอาจารย์  ผู้ใหญ่  ผู้บริหาร  ประธานกรรมการ  ตัวแทนของประเทศ  สมาคม  มหาวิทยาลัย ฯลฯ เธอมีสถานภาพสำคัญถึงเพียงนี้  แล้วดูเอาเถิด  มาปล่อยให้ตัวเองตกอยู่ในความโกรธเช่นนี้  ช่างน่าละอายเหลือเกิน  นี่ยังดีนะที่ยังพอมีสติ  มิเช่นนั้นแล้ว  หากพลาดพลั้งทำอะไรตามความโกรธมิเสียหายกันไปหมดทั้งครอบครัว  สถาบัน  องค์การ  บรัษัท  ประเทศ ฯลฯ หรือ พอเสียเถิดพ่อคุณแม่คุณ  อย่าให้ความโกรธสนตะพายให้วุ่นวายไปยิ่งกว่านี้เลย”

                ตอนที่ครูบวชเป็นเณรน้อยมีโอกาสไปเรียนวิปัสสนากรรมฐานกับอาจารย์ที่วัดป่าแห่งหนึ่ง  อาจารย์ของครูเคยให้อุบายแก้ความโกรธว่า “ถ้าเธอโกรธขึ้นมาให้เธอลองเอามือลูบศรีษะของเธอดู  เมื่อทำเช่นนั้นแล้ว  จิตสำนึกว่าตัวเธอเองเป็นสมณะซึ่งเป็นเพศภาวะที่ไม่เหมาะสมกับความโกรธจะกลับคืนมา”

                 ครูลองจำเอาวิธีนี้มาใช้  มันทำให้ครูเรียกสติกลับมาได้ทุกครั้งและบรรเทาความโกรธได้ทุกทีเช่นกัน  ถ้าเธอเป็นพ่อ  เป็นแม่  เป็นครูบาอาจารย์  หรืออยู่ในสถานภาพไหนก็ตาม  เธอก็ควรจะใช้วิธีนี้แหละเตือนตัวเอง  “นี่พ่อคุณแม่คุณเอ๋ย  มามัวโกรธอยู่อย่างนี้  เดี๋ยวเจ้านายไล่ออกจะว่าอย่างไร  ทีนี้ละ  จะเอาเงินที่ไหนใช้  จะเอาข้าวสารที่ไหนมากรอกหม้อ...” ถ้าเตือนตัวเองถึงขั้นนี้แล้ว  ยังไม่หายโกรธละก็  ลองข้อต่อไปเลย

               ๘. ควรอาบน้ำชำระกายให้สะอาด  ผ่อนคลาย  แล้วพาตัวเองไปนั่งสวดมนต์อยู่ในที่นอน  หรือไม่ก็ในห้องพระ  หรือไม่ก็เปิดเทปธรรมะฟังเบาๆ และ / หรือเปิดเพลงบรรเลงคลาสสิกฟังเบาๆ ก็ได้  การทำเช่นนี้จะเป็นการเรียกสติที่หายไปกลับคืนมา  เหมือนคนที่คิดจะทำชั่วพอปรายตาเห็นพระที่ห้อยคอตนอยู่  สติก็เตือนให้ถอยห่างออกมาจากความชั่ว ความเสื่อมได้ทันท่วงที

               ๙. อย่าดันทุรังพาตัวเองนั่งสมาธิทั้งๆ ที่กำลังโกรธอย่างแรง  เพราะยิ่งนั่งสมาธิจะยิ่งเครียดจัด  ทั้งนี้เพราะว่าในสภาพอารมณ์ที่ไม่ปกติเช่นนั้น  ถึงพยายามนั่งสมาธิก็ยากที่จะทำให้ใจสงบนิ่งได้  เหมือนรถที่กำลังวิ่งมาโดยเร็วหากคนขับรีบแตะห้ามล้อหรือเบรกอย่างจัง  จะทำให้รถพลิกคว่ำได้ทันที  ซึ่งเป็นอันตรายมากกว่าจะเกิดผลดี

                คนที่โกรธอย่างแรงแล้วพยายามหยุดตัวเองด้วยการบังคับให้ตัวเองนั่งสมาธิมีโอกาสเป็นมากกว่าจะคืนสู่ปกติภาพ

                ครูคิดว่า “บัญญัติ ๙ ประการสำหรับปฐมพยาบาลความโกรธ” ขั้นพื้นฐานเท่าที่ครูนึกได้ในตอนนี้น่าเป็นการเพียงพอที่จะทำให้เธอจัดการกับความโกรธได้อย่างค่อนข้างแน่นอนในระดับหนึ่ง  อย่างน้อยๆ ก็คงไม่ทำให้เธอเต้นไปตามความโกรธอย่างขาดสติได้อย่างแน่นอน

                ฉบับหน้าและฉบับต่อๆ ไป ครูจะเล่าให้เธอฟังว่า เมื่อเราจัดการกับความโกรธในขั้นพื้นฐานได้อยู่หมัดแล้ว  เราจะมีวิธีการอย่างไรอีกที่จะจัดการกับความโกรธให้อันตรธานไปจากใจของเราได้อย่างถาวรตลอดกาล
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5045 เมื่อ: 15 มกราคม 2555, 15:11:02 »

อ้างถึง
ข้อความของ เหยง 16 เมื่อ 15 มกราคม 2555, 12:51:27
พี่สิงห์

ผมขอส่งแรงใจช่วยคุณแม่ของพี่สิงห์ และให้กำลังทุกคนในสถานการณ์ที่ยากกับการทำใจ

และขอให้น้องสาวของพี่กลับมาจากสหรัฐได้ทันเวลาครับ


สวัสดีครับ คุณเหยง

              ขอบคุณมาก ครับ

              เป็นพี่สาวครับ ที่จะมาจากอเมริกา

              เมื่อกลางวันไปหาข้าวกินกับ น้องสาว  คุณหมอวิทิต  และแพรว  น้องสาวบอกว่า แม่คงอยู่ได้ไม่เกินสองวัน  เพราะดูจากอาการแล้ว คงเริ่มติดเชื้อในกระแสโลหิต  แต่แม่ไม่เจ็บอะไรเลย  นอนนิ่งๆ ผิดปกติมาก  คงมีกำลังน้อยเต็มทน แล้ว  บางทีพี่สาวอาจจะมาไม่ทันก็ได้ ครับ

              น้องสาวบอกว่า  ถ้าไม่มีอะไร อยากให้อยู่เป็นเพื่อนกัน  ผมก็บอกว่าผมจะอยู่ต่อไปเรื่อยๆ ยกเว้นเช้าวันอังคารที่มีนัดกับหมอฟันที่ จุฬาฯ อยากทำให้เสร็จๆไป เพราะนานเกือบปีแล้วฟันซี่นี้

              เมื่อสักครู่ผมได้ยินเสียงปืน พลุ  จำนวนมาก  คงเป็นเจ้าหน้าที่ไปไล่นกปากห่าง  เสียดายมากครับ ที่ชาวบ้านไม่คิดในทางกลับกัน  ในเมื่อไม่มีใครป่วยจากไข้หวัดนก  ตรวจขี้นกแล้วก็ไม่พบ  ทำไมไม่โฆษณาให้คนมาดูนก  ประชาชนจะได้มีรายได้จากการจำหน่ายเครื่องดื่ม อาหาร ซื้อของ Otop สิงห์บุรี  ใจร้ายจริงๆ  นกอุตส่าห์หนีหนาวมาพึ่งพา กับไปไล่มันไปเสียนี่ กรรมจริงๆ เพราะนกมาอยู่สี่เดือนแล้ว มันมีลูกๆ เกิดใหม่ที่ยังบินไม่ได้ เท่ากับไปฆ่าลูกนก ครับ

               สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5046 เมื่อ: 15 มกราคม 2555, 15:22:50 »

คุณเหยง

                ผมอ่านแล้วก็รู้ทันทีว่า แท้จริงกรมชลประทาน ทราบข้อเท็จจริงสาเหตุมหาน้ำท้วม ที่ผ่านมาทั้งหมดดี  แต่พูดความจริงไม่ได้  เพราะตัวเองผิดชัดๆ ที่ไปทำตามคุณบรรหาร   ศิลปอาชา  และนักการเมือง เรื่องไม่ระบายน้ำเข้าทุ่งนาทั้งสองฝั่ง

                จึงปิดปากเงียบ ปล่อยเลยตามเลย ให้นักการเมืองว่ากันไป ตัวเองได้แต่หัวเราะเยาะ เพราะรู้ดีว่าน้ำท้วมเพราะสาเหตุอะไร?

                 สวัสดี 
      บันทึกการเข้า
supapon
มือใหม่หัดเมาท์
*

ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 90

« ตอบ #5047 เมื่อ: 15 มกราคม 2555, 16:35:20 »

สวัสดีค่ะ พีี่สิงห์
         มาเป็นกำลังใจด้วยอีกคนค่ะ
เข้าใจว่าพี่และครอบครัวรู้สึกอย่างไร เพราะเพิ่งประสพมาเมื่อ มิย.-ส.ค.ปีที่ผ่านมา
พ่อป่วย และพวกเราก็ต้องนับถอยหลัง ดูความเสื่อมของสังขารมนุษย์ และก็สิ้นใจ
ในที่สุด มีสื่งหนึ่งที่คนแก่เวลาป่วยจะเหมือนกัน คืออยากกลับบ้าน เพื่อนน้องที่
เป็นพยาบาลเขาเรียนปริญญาเอก ทำวิจัยเรื่องคนชราป่วย เขาบอกว่าเป็นอย่างนั้่นจริง ๆ
และสิ่งหนึ่งที่สำคัญคืออยากให้ลูกหลานอยู่ใกล้ ๆ ตลอดเวลา จับมือหรือร่างกายท่านตลอด
แม้ยามหลับ ท่านจะรู้สึกอุ่นใจค่ะ
miew 18.

      บันทึกการเข้า
swsm
Cmadong Member
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
****


@@ ยาหยี @@
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: Rcu2523
คณะ: Comm Arts
กระทู้: 28,369

« ตอบ #5048 เมื่อ: 15 มกราคม 2555, 16:54:48 »

สวัสดีค่ะ  พี่สิงห์ ..      sorry
      บันทึกการเข้า

.. don't play with me, cos I know how to play it too .. may be better than you do ..
wannee
Global Moderator
Cmadong พันธุ์แท้
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: จุฬาฯรุ่นประวัติศาสตร์ 2516
คณะ: ทันตแพทยศาสตร์
กระทู้: 4,806

« ตอบ #5049 เมื่อ: 15 มกราคม 2555, 16:59:47 »


มาติดตามข่าวอาการของคุณแม่พี่สิงห์ค่ะ


การที่คุณแม่ไม่แสดงอาการเจ็บปวด อาจมาจากผิวหนังที่เป็นแผลไม่รับความรู้สึกแล้ว

ถ้าเป็นจริง พี่สิงห์จะได้ไม่ต้องเป็นห่วงหรือเกรงว่าคุณแม่จะเจ็บแผล และต้องอดทนอย่างมากๆ

เราคนเป็นลูกก็อยากให้แม่สบายตัวมากที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ในยามที่แม่เจ็บป่วย
      บันทึกการเข้า

"เสียด" ภาษาจีนฮากกา แปลว่า หิมะ
  หน้า: 1 ... 200 201 [202] 203 204 ... 681   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

สมาคมนิสิตเก่าหอพักนิสิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มวลสมาชิกสมาคม คณาจารย์ และนิสิตเก่าทุกคน ขอน้อมเกล้าถวายความอาลัย  พระผู้เสด็จสู่สวรรคาลัย ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ <;))))><