26 พฤศจิกายน 2567, 20:44:01
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 192 193 [194] 195 196 ... 681   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: คุย กับ คุณมานพ กลับดี อดีตประธานชมรม ๓ สมัย  (อ่าน 3582224 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 13 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #4825 เมื่อ: 28 ธันวาคม 2554, 13:42:24 »

อ้างถึง
ข้อความของ เอมอร 2515 เมื่อ 28 ธันวาคม 2554, 11:09:02
อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 27 ธันวาคม 2554, 21:19:01
อ้างถึง
ข้อความของ เอมอร 2515 เมื่อ 27 ธันวาคม 2554, 16:07:44
สวัสดีปีใหม่ค่ะ พี่สิงห์

สวัสดีปีใหม่ค่ะ คุณน้องเอมอร ที่รัก

                   เธอเข้าบ้าน ได้แล้วหรือยัง และซ้อมบ้านเสร็จแล้วหรือยัง เธอคงเหนื่อยในการเก็บ  กวาด ทำความสะอาด บ้านแน่ๆ  ขนาดพี่สิงห์ยังแย่เลย ต้องทำใจว่าเรากำลังปฏิบัติธรรม  จึงผ่านไปได้ครับ

                   ปีใหม่นี้ พี่สิงห์ของให้เธอมีสุขภาพแข็งแรง สมหวังในทุกสิ่ง มีสติ และปลอดทุกข์ทั้งสิ้น เทอญ

                   สวัสดีค่ะ

ขอบคุณมากค่ะ พี่สิงห์
ได้รับความกรุณาและห่วงใยจากพี่เสมอ
 เข้าทำความสะอาดบ้านแล้วค่ะ แต่ยังเข้าไปอยู่ไม่ได้
ประตู พัง และกรอบประตูยังไม่เข้าที่จึงยังทำประตุใหม่ไม่ได้ค่ะ
 คงต้องรอสักระยะ ค่ะ

สวัสดีค่ะ คุณน้องเอมอร ที่รัก

           บ้านพี่สิงห์ ประตูพังไปสองบาน ต้องรอเหมือนกัน ตอนนี้ช่างทำเสร็จแล้ว อยู่ที่สูงเนินโคราช กำลังรอที่จะให้ช่างมาติด แต่พี่สิงห์คิดว่าติดเองได้ครับ ปีใหม่แล้วเขาคงมาส่งให้พี่สิงห์ จะได้หายห่วงบ้านเสียที

           บ้านพี่สิงห์ น้ำยาล้างบ้าน Micro Nice เอามาแล้ว คงต้องทะยอยทำไปเรื่อยๆ มันคงเสร็จสักวันหนึ่งครับ

           เธออย่าไปคิดอะไรมาก สิ่งดีๆ มีนย่อมบังเกิดขึ้นภายหลังที่พายุได้ผ่านพ้นไปแล้วฉันใด เราเองคงประสพโชคภายหลังพ้นภัยน้ำท้วมไปแล้วได้ฉันนั้นครับ ขอเพียงให้มีสติ  ศรัทธา อย่าท้อถอย หรืออย่ารอคอยสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาช่วย ขอให้กระทำด้วยตัวของเราเอง ก็แล้วกันครับ

            สวัสดีค่ะ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #4826 เมื่อ: 28 ธันวาคม 2554, 14:05:43 »

รู้ประวัติพุทธสาวก ภิกษุณี อรหันต์ เอตทัคคะ

ลำดับที่ ๑๓ ลำดับสุดท้าย ของภิกษุณี

พระสิงคาลมาตาเถรี

เอตทัคคะในฝ่ายผู้พ้นกิเลสด้วยศรัทธา

              พระสิงคาลมาตาเถรี เกิดในตระกูลเศรษฐี ในกรุงราชคฤห์ เดิมมีชื่ออย่างไรไม่ปรากฏ เมื่อเจริญวัยได้แต่งงานกับชายหนุ่มผู้มีชาติตระกูลและทรัพย์เสมอกัน อยู่ครองเรือนจนมีบุตรหนึ่งคน บรรดาหมู่ญาติได้ตั้งชื่อบุตรชายของนางวา “สิงคาลกุมาร” ด้วยเหตุนี้ ชนทั้งหลายจึงเรียกนางว่า “สิงคาลมาตา”

•   สิงคาลกุมารไหว้ทิศ ๖

               สิงคาลกุมาร เมื่อเจริญวัยเติบโตขึ้น เป็นผู้เคร่งครัดในการปฏิบัติไหว้ทิศทั้ง ๖ เป็นประจำทุกวัน คือ

                ๑. ทิศเบื้องหน้า (ทิศตะวันออก)
                ๒. ทิศเบื้องขวาง (ทิศใต้)
                ๓. ทิศเบื้องหลัง (ทิศตะวันตก)
                ๔. ทิศเบื้องซ้าย (ทิศเหนือ)
                ๕. ทิศเบื้องล่าง
                ๖. ทิศเบื้องบน

               วันหนึ่ง พระบรมศาสดาเสด็จออกจากพระวิหารเวฬุวันเข้าไปบิณฑบาตในกรุงราชคฤห์ ได้ทอดพระเนตรเห็นสิงคาละ ผู้ลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ มีผมและเสื้อผ้าเปียก กำลังประคองอัญชลีไว้ทิศทั้ง ๖ อยู่จึงตรัสถามว่า

              “สิงคาละ เพราะเหตุไร เธอจึงลุกขึ้นแต่เช้า ทั้งผมและเสื้อผ้าเปียกชุ่มทำการไหว้ทิศทั้ง ๖ อยู่อย่างนี้

              สิงคาลกุมาร กราบทูลว่า

              “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก่อนที่บิดาของพระพุทธเจ้าจะตายได้สั่งให้ข้าพระองค์ไหว้ทิศทั้ง ๖ เหล่านี้ ข้าพระองค์สักการะ เคารพ นับถือ และบูชาคำสั่งของบิดา จึงทำอย่างนี้พระเจ้าข้า”

              สิงคาละ ตามธรรมเนียมแบบแผนของพระอริยะนั้น เขาไม่ไหว้ทิศ ๖ กัน อย่างนี้ แต่ทิศทั้ง ๖ ของพระอริยะนั้น คือ

              ๑. ทิศเบื้องหน้า ได้แก่ มารดาบิดา
              ๒. ทิศเบื้องขวาง ได้แก่ ครูอาจารย์
              ๓. ทิศเบื้องหลัง ได้แก่ บุตรภรรยา
              ๔. ทิศเบื้องซ้าย ได้แก่ มิตรสหาย
              ๕. ทิศเบื้องล่าง ได้แก่ ทาสกรรมกร
              ๖. ทิศเบื้องบน ได้แก่ สมณพราหมณ์

              ซึ่งกุลบุตรจะต้องบำรุงดูแลรักษาและป้องกันตามสมควรแก่ฐานะ และหน้าที่อย่างถูกต้องเหมาะสม แล้วพระพุทธองค์ได้ตรัสพระคาถาภาษิต ยังสิงคาละให้รื่นเริงบันเทิงใจ เกิดศรัทธาเลื่อมใสประกาศตนเป็นอุบาสกถึงพระรัตนตรัย เป็นสรณะตลอดชีวิต แล้วเสร็จกลับสู่พระเวฬุวัน

           • สิงคาลมาตาออกบวช

               ต่อมา สิงคาลมาตา หลังจากที่สามีได้ถึงแก่กรรมแล้ว และบุตรชายของนางก็เข้าถึงพระรัตนตรัย นางได้ฟังพระธรรมกถาของพระบรมศาสดาแล้วเกิดศรัทธาเลื่อมใสอย่างแรงกล้า จึงเข้าไปกราบทูลขอบรรพชาอุปสมบทในพระพุทธศาสนาต่อพระผู้มีพระภาค พระพุทธองค์ทรงอนุญาตให้ไปบวชในสำนักภิกษุณีสงฆ์

               ครั้นบวชแล้วศรัทธาของนางกลับเพิ่มทวียิ่งขึ้นวันหนึ่ง นางไปยังพระวิหารที่ประทับของพระบรมศาสดาเพื่อฟังธรรม เมื่อเห็นพระพุทธองค์เท่านั้น ยังมิทันที่จะเข้าไปกราบถวายบังคม ได้แต่ยืนเพ่งมองดูพระสิริสมบัติของพระทศพล อยู่ด้วยกำลังศรัทธาอย่างแรงกล้า

               ขณะนั้น พระบรมศาสดาทรงทราบว่านางเป็นผู้ดำรงมั่นในศรัทธา จึงตรัสพระธรรมเทศนาอันเป็นที่ตั้งแห่งความเลื่อมใส แม้นางเองก็อาศัยศรัทธาเป็นที่ตั้ง ส่งจิตไปตามกระแสพระธรรมเทศนา ได้บรรลุพระอรหัตผลในขณะที่ยืนอยู่นั้นใน

                สมัยที่พระพุทธองค์ประทับอยู่ที่พระเชตวัน เมื่อทรงสถาปนาภิกษุณีทั้งหลายในตำแหน่งต่าง ๆ ตามลำดับ ได้ทรงสถาปนา พระสิงคาลมาตาเถรี ในตำแหน่งเอตทัคคะ เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุณีสาวิกาทั้งหลายในฝ่ายศรัทธาวิมุตติ คือ ผู้หลุดพ้นกิเลสด้วยศรัทธา
      บันทึกการเข้า
เอมอร 2515
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu 2515
คณะ: รัฐศาสตร์(นิติศาสตร์)
กระทู้: 4,562

« ตอบ #4827 เมื่อ: 28 ธันวาคม 2554, 14:36:12 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 28 ธันวาคม 2554, 13:42:24
อ้างถึง
ข้อความของ เอมอร 2515 เมื่อ 28 ธันวาคม 2554, 11:09:02
อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 27 ธันวาคม 2554, 21:19:01
อ้างถึง
ข้อความของ เอมอร 2515 เมื่อ 27 ธันวาคม 2554, 16:07:44
สวัสดีปีใหม่ค่ะ พี่สิงห์

สวัสดีปีใหม่ค่ะ คุณน้องเอมอร ที่รัก

                   เธอเข้าบ้าน ได้แล้วหรือยัง และซ้อมบ้านเสร็จแล้วหรือยัง เธอคงเหนื่อยในการเก็บ  กวาด ทำความสะอาด บ้านแน่ๆ  ขนาดพี่สิงห์ยังแย่เลย ต้องทำใจว่าเรากำลังปฏิบัติธรรม  จึงผ่านไปได้ครับ

                   ปีใหม่นี้ พี่สิงห์ของให้เธอมีสุขภาพแข็งแรง สมหวังในทุกสิ่ง มีสติ และปลอดทุกข์ทั้งสิ้น เทอญ

                   สวัสดีค่ะ

ขอบคุณมากค่ะ พี่สิงห์
ได้รับความกรุณาและห่วงใยจากพี่เสมอ
 เข้าทำความสะอาดบ้านแล้วค่ะ แต่ยังเข้าไปอยู่ไม่ได้
ประตู พัง และกรอบประตูยังไม่เข้าที่จึงยังทำประตุใหม่ไม่ได้ค่ะ
 คงต้องรอสักระยะ ค่ะ

สวัสดีค่ะ คุณน้องเอมอร ที่รัก

           บ้านพี่สิงห์ ประตูพังไปสองบาน ต้องรอเหมือนกัน ตอนนี้ช่างทำเสร็จแล้ว อยู่ที่สูงเนินโคราช กำลังรอที่จะให้ช่างมาติด แต่พี่สิงห์คิดว่าติดเองได้ครับ ปีใหม่แล้วเขาคงมาส่งให้พี่สิงห์ จะได้หายห่วงบ้านเสียที

           บ้านพี่สิงห์ น้ำยาล้างบ้าน Micro Nice เอามาแล้ว คงต้องทะยอยทำไปเรื่อยๆ มันคงเสร็จสักวันหนึ่งครับ

           เธออย่าไปคิดอะไรมาก สิ่งดีๆ มีนย่อมบังเกิดขึ้นภายหลังที่พายุได้ผ่านพ้นไปแล้วฉันใด เราเองคงประสพโชคภายหลังพ้นภัยน้ำท้วมไปแล้วได้ฉันนั้นครับ ขอเพียงให้มีสติ  ศรัทธา อย่าท้อถอย หรืออย่ารอคอยสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาช่วย ขอให้กระทำด้วยตัวของเราเอง ก็แล้วกันครับ

            สวัสดีค่ะ

ขอบคุณค่ะ
      บันทึกการเข้า
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #4828 เมื่อ: 28 ธันวาคม 2554, 18:05:54 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 27 ธันวาคม 2554, 21:30:00
สวัสดีค่ะ คุณน้องหนุ๋งหนิ๋ง ที่รัก

                      วันนี้จิตมันไม่คิดอะไรทั้งสิ้น เพราะหลงอยู่ในโมหะตัวเอง ทำตามที่ตัวเองคิดเป็นส่วนใหญ่ ขาดสติไปแยะมากครับ ถือว่าเป็นวันปล่อยผีก็แล้วกันสักวันหนึ่ง พรุ่งนี้ตั้งต้นใหม่

            พรุ่งนี้พี่สิงห์ ต้องเดินทางไปทำงานที่นครศรีธรรมราช Boarding 09:40 น. โดย Nok Air หวังว่าอากาศที่นครศรีธรรมราชคงดีพอที่เครื่องบินจะลงได้ครับ  และตั้งใจว่าจะไปไหว้พระธาตุ และพระพุทธสิหิงค์ ถ้าฝนไม่ตก

             ราตรีสวัสดิ์ค่ะ


พี่สิงห์หนิงยังไม่เข้าใจคะ!
ว่าจิตพี่กำลังมีโมหะ..วางเฉย??
(ignorance)วางเฉยเป็นสิ่งดีนี่พี่?
หากขณะนั้นจิตจะพักต่อเรื่องต่างๆมั่ง.


ค้นอีกทีโมหะยังแปลว่า delusion
หว่าย,แปลว่าจิตคิดภาพมากมาย
จิตบิดเบือนต่อตัวเอง จิตนำไปสู่
ความบ้าบอคอแตก จิตอีกด้านที่
ตั้งตนเป็นคู่แฝดกะจิตจริงของตน
ฮ้ายยยย,นี่หนิงแปลจากenglish-->deutsch
นะคะ( die Irreführung, die Täuschung , der Wahn   
 die Wahnvorstellung )


"ทำตามที่ตัวเองคิดเป็นส่วนใหญ่"อ้าว,ถ้าไม่ทำ
ตามที่พี่คิดแล้วจะทำตามใครคิดคะ?
จะขาดสติได้ยังไง?ในเมื่อได้ทำตามที่คิดถือว่า
มีสติ มีสมาธินี่คะ?

พี่ถึงนครฯรึยังคะ?
      บันทึกการเข้า


Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #4829 เมื่อ: 28 ธันวาคม 2554, 20:07:27 »

สวัสดีค่ะ คุณน้องหนุ๋งหนิ๋ง ที่รัก

                พี่สิงห์ อยู่นครศรีธรรมราช เมื่อมื้อกลางวัน รับประทานติ๋มซำ ที่โรงแรม เสร็จก็ปฏิบัติธรรม อยู่บนห้อง ได้เวลาสี่โมงครึ่งก็เดินจงกรมบนสายพายหนึ่งชั่วโมง เผาผลาญไขมันไป ๔๕๐ แคลลอรี่ ได้ระยะทาง ประมาณ ๖๐๐๐ เมตร หลังจากนั้นไปฝึกโยคะเพื่อคลายกล้ามเนื้อ และจบลงด้วยซาวน่า อาหารมื้อเย็นเป็นส้มตำไทยและสลัดทูน่า ไม่ใส่น้ำสลัด แถมด้วยเค็กวนิลา เพื่อให้เข้าบรรยากาศปีใหม่ ครับ

                 คำว่าจิตตกอยู่ภายใต้โมหะ คือ เราคิด เราทำ ตามจิตตัวเอง ทันทีโดยที่ไม่ได้ไตร่ตรองด้วยสติ อยากคิดอะไรก็คิดตามนั้น(เผลอ) พอมันคิดขึ้นมารูปก็ทำตามสิ่งที่มันคิดทันที โดยไม่รั้งรอ ไม่พิจารณาไตร่ตรองว่าควร หรือไม่ควร โดยยกเหตุผลมาอ้างว่าต้องกระทำ ทั้งๆที่ไม่ควรกระทำ  เป็นสิ่งที่ไม่ดี เราต้องฝึกให้ไม่หลงตัวลืมตน  ไม่กระทำไปตามอัตตาตนเอง ต้องอยู่ด้วยความไม่ประมาท มีสติรู้ตัวว่าเรากำลังทำอะไร อยู่เสมอ

                 วันนี้ได้ลงไปแผนกจัดซื้อของโรงแรม สิ่งแรกที่ถูกถามคือ อาจารย์ปฏิบัติธรรม แล้วเห็นอะไรบ้าง เห็นนรก เห็นสวรรค์ไหม ? ผมบอกว่าไม่เห็นอะไรทั้งนั้นนรก สวรรค์ อาจารย์เห็นแต่ความคิดตัวเอง  พยายามอยู่กับปัจจุบัน ไม่ส่งจิตออกนอก เวลาปฏิบัติธรรม ก็เป็นเอกคัตตาสมาธิ มีปีติ เป็นปัสสัทธิ ผู้ปฏิบัติธรรมสามารถรับรู้ด้วยตนเองได้ ว่าความสุขที่แท้จริงนั้นที่เป็นแบบปัสสัทธินั้น มันเป็นอย่างไร แต่ต้องไม่ไปหลงอยู่กับมัน ต้องมีอุเบกขา คอยดูมัน  การปฏิบัติธรรม ไม่มีอะไรมากกว่านี้ ส่วนท่านที่เห็นนรก สวรรค์นั้น จิตมันคิดไปเองเป็นนิมิต หรือฝันไป สร้างภาพขึ้นเองโดยการนึกตามที่เคยได้ยินได้ฟังมา แล้วก็หลงตัวเองว่าเห็นจริงๆ มันไม่ใช่ทางที่ถูกที่ควรแล้ว เพราะอาจารย์ไม่เห็นอะไรเลย นอกจากความคิดตัวเอง เกิดขึ้น ดับไป เป็นไปตามกฏไตรลักษณ์ เสมอ เพียงขอให้มีอุเบกขา กับปัญญาที่เกิดขึ้นจากจิตมันคิดจากตาปัญญา เท่านั้น แล้วจิตมันก็คลายเอง เบื่อ ไม่ต้องการอะไรมากมายนัก มันก็เท่านี้  ไม่เห็นทุกข์อะไรมากมายเลย  เลยทำให้ทุกคนผิดหวังไปตามๆ กัน ครับ

                  เย็นนี้ฝนไม่ตกครับ เพราะเมื่อเช้า กทม. อุ่นขึ้น แต่พี่สิงห์ ก็ไม่สามารถไปไหว้พระธาตุ และพระพุทธสิหิงค์ได้ เพราะไม่มีรถไปครับ จะนั่งรถมอเตอร์ไซค์ ก็กังวลเพราะรถมันแยะ เอาไว้โอกาสหน้าก็ยังได้

                  ช่วงนี้พยายามปฏิบัติธรรม มากๆ ให้กับตัวเอง เพราะมีอะไรบางอย่างที่พัฒนาดีขึ้นมาก ปีใหม่นี้มีเวลามาก คงจะต้องเร่งความเพียรให้มากขึ้น ด้วยความไม่ประมาท ครับ

                  สวัสดีค่ะ
      บันทึกการเข้า
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #4830 เมื่อ: 28 ธันวาคม 2554, 20:27:12 »

พี่สิงห์ที่เคารพ,
ขอบคุณค่ะที่อธิบายอย่างละเอียด
กำลังดื่มด่ำอิ่มทิพย์ต่อมื้ออาหาร
ที่พี่บรรยายมา แม้จะนึกภาพ-รส
สลัดที่ไม่มีน้ำสลัดยังไม่ออก.

หนิงติดอีกเรื่องนึงคะในสมอง!
อ่านช่วงคริสต์มาสไว้ว่าจะคุยกะพี่
มัวยุ่งๆเลยผ่านเลย เข้ามาอีกเรื่องนี้
ยังติดอยู่ในสมองคะ

ขอหนิงค้นเพื่อqouteก่อน
ยืนยันว่าหนิงอ่านจริง!
      บันทึกการเข้า


Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #4831 เมื่อ: 28 ธันวาคม 2554, 20:38:01 »

กิเลสของคนขัดให้ออกยากกว่าขัดก้นหม้อข้าวหลายเท่านัก !

                 เมื่อเช้าภายหลังจากที่ผมใส่บาตเณร รับประทานอาหารเช้า เสร็จ ก็ได้นำจาน หม้อหุงข้าว มาล้างทำความสะอาด แต่ปรากฏว่า วันนี้ก้นหม้อข้าว มีข้าวติดก้นหม้อจำนวนมาก หนา ทีแรกผมก็ใช้ฝอยขัดก้นหม้อ มันไม่ค่อยออก ถูแล้วถูอีกเป็นพัก จนเกิดความท้อขึ้นในจิต อยากจะเลิกปล่อยไว้แช่น้ำไว้อย่างนั้น เพราะเสียเวลาขัดมากและไม่ออก

                  ทันใดนั้น จิตมันก็คิดแวบขึ้นมาทันทีว่า ข้าวที่ติดอยู่ก้นหม้อ ที่เราว่าขัดเอาออกยากนั้น โดยความเป็นจริงแล้ว กิเลสที่เกาะอยู่ในจิตเรานั้น อยากกว่าข้าวที่ติดก้นหม้อหลายเท่านัก ถ้าเราเลิกไม่ขัดก้นหม้อข้าวแบบนี้ เราจะมีปัญญาเอาชนะกิเลสที่เกาะจิตตัวเองได้อย่างไร พอได้คิดก็เลยพยายามขัด มันจะยาก จะลำบาก ก็ปล่อยมัน ค่อยๆ ทำไป ๆ ในที่สุดมันก็ออกจนหมด และได้คิดขึ้นมาว่า

                  การเจริญสติให้มากไว้นี้ มันก็เหมือนกับการที่เราพยายามขัดเอาข้าวที่ติดก้นหม้อออก ถึงมันจะหนา ติดแน่น แต่ถ้าเรามีความพยายาม ขัดไปเรื่อยๆ มันก็สามารถเอาข้าวที่ติดก้นหม้อออกได้ฉันใด กิเลสที่เกาะติดอยู่กับจิตเรา ที่ทำให้จิตเราเศร้าหมอง หลงอยู่ในความโลภ  ความโกรธ  ความหลง นั้น  ถ้าเราพยายามเจริญสติให้มากๆ เข้าไว้ ไม่ปล่อยจิตออกนอกตัว สักวันกิเลสมันก็จะเบาบางลงๆ จนสามารถเอาออกได้หมดฉันนั้น เราก็จะทุกข์น้อยลง หรือทุกข์หมดไปเลย ทำให้มี "พลวิริยะ" เพิ่มขึ้นในจิต ที่จะสามารถมีความเพียรในการปฏิบัติธรรมมากขึ้น ต่อไป

                  ราตรีสวัสดิ์ทุกท่านครับ
      บันทึกการเข้า
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #4832 เมื่อ: 28 ธันวาคม 2554, 21:04:17 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 23 ธันวาคม 2554, 21:09:06
             
                                  - เมื่อวานผมไปอบซาวน่า ได้ถามคนนครศรีธรรมราช คนหนึ่งเป็นพ่อค้า ผมถามว่าเดี๋ยวนี้ที่นครศรีธรรมราชยังมียิงกันไหม? เขาตอบว่ามี ส่วนใหญ่เป็นเรื่องขัดผลประโยชน์ทางการเมืองท้องถิ่นที่ผิดใจกัน และพวกผู้รับเหมาที่ประมูลตัดหน้าฟันราคากัน ขณะที่เขาฮั้วประมูลกันอยู่ แบบนี้เขายิงทิ้งเพื่อให้หราบจำ ส่วนผมนั้นไม่มีใครรู้จักเพราะไม่เคยแนะนำชื่อทั้งสิ้น คนนครศรีธรรมราชมีดีอยู่อย่างหนึ่ง คือ ถ้าเจอหน้ากันเขาจะยิ้มและจะสวัสดีเสมอ ไม่ว่าจะรู้จักหรือไม่  ยิ่งเคยเห็นหน้าบ่อยๆ ละก็สวัสดีทันทีเลย แต่ทำไมยิงกันง่ายๆก็ไม่รู้ในอดีต มันตรงกันข้ามกับนิสัยที่แสดงออกเลยทั้งสิ้น

                                      ราตรีสวัสดิ์ครับ 



  พี่สิงห์บันทึกไว้เมื่อ 23 ธันวาคมคะ

หนิงจะถามว่าพี่สิงห์ไปทำงานที่นครฯ
นานรึยังคะ?เพราะคนที่ noticeเรื่องนี้
ได้ชัด ส่วนใหญ่เป็นชาวใต้ด้วยกันที่รู้ว่า
ชาวใต้ด้วยกันtickยังไง...
จริงๆแล้วสมัยก่อนมีเรื่องนี้มากคะได้ยินบ่อย
จะเพราะว่าสื่อชอบประโคมเรื่องนี้เพื่อผล
การกระตุ้นให้คนระมัดระวัง หรือกระตุ้นความ
อยากรู้อยากเห็นเรื่องชาวบ้านแบบสดๆเพื่อความ
สะใจว่าคนร้ายนิสัยไม่ดีได้ตายลงหรือคนร้ายยิง
คนดี มองจากคนละมุมมอง แต่ภาพที่เข้าสู่โสตฯ
ที่ผู้รับรับเต็มๆไม่เข้าใจเค้าก็ว่าเค้าร้ายเค้าอำมหิต

หนิงเติบโตมาในบรรยากาศที่รับรู้เพื่อขบคิดต่อ
แต่ไม่ให้กลัวในแง่ที่ว่าอยู่เฉยๆจะมีใครมาทำอะไร
เพราะหากรู้วิถีประชา รู้จักsocial -cultureเค้าจริงๆ
ลงลึกในแนวคิดเค้า..หนิงว่าคนเค้าเผลอๆจะจริงใจ
จริงใจกว่าแบบที่อ้อมมา อ้อมไป เพื่อให้ได้ตามที่
ตัวเค้าต้องการ...ในกรุงเทพแหละพี่มีสายพันธุ์นี้เยอะ!!
ชาวนครฯนี่เป็นเพื่อนตายได้คะ..จริงใจกะเค้า
เค้าจะตอบแทนความจริงใจตอบ..เสมอกันไม่มากไม่น้อย
แต่หากไปคดไปโกงไปทำให้เค้าเจ็บใจ......
อย่านิ่งนอนใจคะ กี่ชาติเค้าก็ไม่ลืม...ไม่ยากที่จะเข้าใจคะ.


สมัยหนิงเป็นเด็ก,ยินข่าวยิงภรรยาป่าไม้
ยิงแม่เพื่อนในชั้นที่เป็นภรรยาอาจารย์...
ได้ยินแล้วอย่าเพิ่งเสียขวัญคะพี่,
ยินต่อจึงทราบว่าออกดอกให้กู้รายวัน
กี่%ต่อเดือน (ใครจะไปคูณ12ต่อปี..เค้าไม่คิด!)
ยึดโฉนดไว้ หมดอายุก็ยึดที่ดินหากส่งดอก
ส่งต้นไม่ทัน....หรือเท้าแชร์นำแชร์ไปออกรถยุโรป
โฉบไปมา ลูกแชร์ที่ส่งกันเลือดตากระเด็นมาทวงเปียร์
ก็bla blaว่าให้ไปฟ้องเอา...



มีเรื่องมากมายที่คนโกงกับคนถูกโกง
เกิดที่อื่นก็โอดครวญกันไปคะ
ที่นั่นเค้าไม่พูดกันมาก!
รักที่จะหัวหมอ...กะคนหัวหมอ
เค้าก็ตาต่อตาฟันต่อฟันกันคะ

คนดีอย่างพี่ เค้าไม่ทำอะไรคะ
เขารู้.
      บันทึกการเข้า


khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #4833 เมื่อ: 28 ธันวาคม 2554, 21:18:37 »

ไม่quoteแล้วคะ!
quoteแล้วยาวมาก
หนิงเปลี่ยนขนาดอักษร/สียาก

จะป้องปากกะพี่สิงห์ว่า:
หนิงหุงข้าวไหม้ประจำ!
ก้นหม้อดำปี๋ นอกหม้อก็ดำ
หนิงมองกิเลสนี้แล้วตั้งสติ:
1.ทิ้งหม้อ 2.ต่อสู้กะหม้อดำ
กิเลสนี้ขัดเกลาได้พี่ขอให้มีtrick
แช่น้ำทิ้งไว้ข้ามคืนหยดน้ำยาล้างจาน
ลงด้วย...เช้ามา พับแขนเสื้อ...งานนี้
ระหว่างกิเลสกะหม้อใบเก่ง ใครดีใครอยู่
Schäberคะคล้ายมีดcutterสำหรับขูดอะไรไหม้
จากเตาCeran...มาขูดๆๆๆๆ...ฝอยขัดหม้อตาม
แผล็บเดียวคะพี่สิงห์ หม้อเอี่ยมสะอาด
ปราศจากกิเลสแลรอยไหม้ ใช้ได้อีกนาน
ตังส์อยู่ครบ.
      บันทึกการเข้า


khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #4834 เมื่อ: 28 ธันวาคม 2554, 21:42:37 »

อ้อ,พี่สิงห์คะ มีอีกเรื่องนึง!
อย่าเอ็ดไปคะ..หนิงปล่อยระเบิด
(เขียนผิด!)ไว้หลายคำที่ GFG
เช่น "ไช่","พรุ" อะไรอีก??
หนิงก็มีคนตรวจปรูฟอีกต่อ
ตรวจเจอทีก็เฮทีว่า...จริงห้าา
ไม่แก้...มีไรแม๊ะ?
พาลจะได้ชกกัน!


แต่จริงๆนะคะสำหรับหนิง
หนิงคิดว่าการอ่าน,การพูด,การฟัง
ไม่ไช่สิ่งที่ปรองดองสบกันสนิท
เหมือนฟันกรามล่าง-บนกะ...การเขียน!

ทำไมหนิงถึงคิดแบบนั้น?
เพราะตอนที่หนิงสอบcertificate..Göthe Institute
พบว่าหนิงผ่านอ่าน-พูด-ฟัง บางส่วน Nullpunktfehler!
คือไม่ผิดเลยทั้ง 2 ครั้งแต่ตกเขียนคะ ตกแล้วตกอีก

นั่นคือทำไมถึงตั้งหน้าตั้งตาเขียนๆๆๆทุกวันในภาษาไทย
คนที่เข้ามาอ่านที่นี่แล้วจับผิดได้แต่ไม่เคยกล้าที่จะเขียน
นั่งหึหึหึอยู่หน้าจอก็ขอให้ยิ้มย่องต่อไป หุหุหุ
เพราะเขียนเอง เขียนจริงถึงจะรู้คะว่าไม่ง่าย!

คนพูดเก่งไม่จำเป็นว่าจะเป็นคนที่เขียนเก่ง
คนที่ฟัง-อ่านเก่ง ก็ไม่จำเป็นต้องพูดน้ำลายแตกฟอง
หรือเขียนได้เป็นไฟแล็บ...
ไม่เชื่อคะ.
      บันทึกการเข้า


Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #4835 เมื่อ: 29 ธันวาคม 2554, 07:50:09 »

สวัสดียามเช้าค่ะ คุณน้องหนุ๋งหนิ๋ง ที่รัก

                พี่สิงห์ มาทำงานที่นครศรีธรรมราชนี่ น่าจะเกือบยี่สิบปี ขาดอีกปี สองปี หรือสามปี นี่ละครับ คนนครจะเป็นคนที่พูดว่าสวัสดี ยิ้มรับ ทักทาย จะรู้จักไม่รู้จัก จะสวัสดีเสมอ ถ้ามองเผินๆ จะรู้ว่า เฟรนลี่ กว่าทุกภาคของประเทศ ในสายตาผม นี่เรื่องจริง   เพราะจะมีคนสวัสดีผมประจำทั้งๆ ที่ไม่เคยรู้จักกันเลย และเป็ยมิตรหมดครับ

                แต่ข้อเสียคือ คุยเก่ง เราจะคุยเรื่องอะไร แม้กระทั่งวิชาการ  การแก้ปัญหาต่างๆ รู้เรื่องหมดชนิดที่เราไม่กล้าโต้แย้ง พูดง่ายๆ อวดเก่ง แต่พอให้ลงมือปฏิบัติแล้ว ทำไม่เป็นเลย สักอย่าง นี่เรื่องจริง

                สำหรับเรื่องความรับผิดชอบในการทำงานนั้น ขึ้นอยู่กับเงินเดือน และความพอใจของเขา ว่าจะทำมากทำน้อย รับผิดชอบมากรับผิดชอบน้อย

                เรื่องเจ้าชูนอกใจสามี ภรรยา มาเป็นอันดับต้นๆ ทั้งสุภาพสตรี และสุภาพบุรุษ เผลอไม่ได้  ดังนั้น อย่างพี่สิงห์ จะไม่ข้องแวะ สาวๆเลย ไม่ว่าจะให้ท่าขนาดไหน เมินหมดไม่มีเยื่อใยเลย เพราะกลัวโดนยิงทิ้งจากการเข้าใจผิด

                ถามคนนครศรีธรรมราช เขาจะบอกว่านครศรีธรรมราชถิ่มเมืองพุทธ เสมอ แต่อนิจจามันเป็นอดีตไปหมดแล้วเพราะ พระที่มีอยู่ปัจจุบัน มาจากต่างถิ่นเป็นส่วนใหญ่  คนหนุ่มปีหนึ่งมีบวชพระนับคนได้ เรื่องอื่นๆ ไม่ต้องพุดถึง

                หลายอย่างก็เป็นอย่างที่เธอเขียนไว้ทั้งสิ้น เป็นตามนั้น

                สำหรับพี่สิงห์ ไม่กลัวอะไรทั้งนั้น เพราะไม่ได้มาเอาผลประโยชน์ มีแต่เป็นผู้ให้ และไม่ไปไหนเลยทั้งสิ้น ครับ

                สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #4836 เมื่อ: 29 ธันวาคม 2554, 08:10:41 »

              สำหรับเรื่องทำความสะอาดขัดข้าวที่ติดก้นหม้อนั้น มันเป็นคติธรรม ที่เกิดขึ้นในจิตขณะนั้น พี่สิงห์ สามารถที่จะปล่อย และทำแบบที่เธอว่ามานั้น ได้ทั้งหมด และก็คิดขึ้นมาด้วย แต่มันแสดงถึงจิตเราไม่มี "วิริยะ" พอเจออุปสรรค ขัดยาก ขัดไม่ออก ต้องใช้เวลานาน  พาลจะเลิกเอาเสียดื้อๆ เท่ากับเราไม่มี "อิทธิบาท ๔" ฉันทะ วิริยะ  จิตตะ และวิมังสา ขาดความอดทน ขาดความเพียร เราจะทำอะไรไม่สำเร็จสักอย่างเลย ยิ่งเปรียบเทียบกับการปฏิบัติธรรมด้วยแล้ว ต้องใช้วิริยะ อย่างมาก อุเบกขาอย่างมาก เราไม่มีทางเอาชนะได้เลย  เมื่อจิตมันคิดอย่างนี้ ความวิริยะ มันก็บังเกิดขึ้นในจิต เราก็สามารถทำงานของเราให้สำเร็จจงได้  มันเป็นคติธรรม ครับ

                อย่างวันนี้ภายหลังจากตักข้าวมาแล้วซึ่งประกอบไปด้วยข้าวต้มกล้อง ผักสดพูนจาน ไข่ดาว หนึ่งฟอง ไส้กรอกและแฮม อย่างอื่นไม่มีเลย เราก็ต้องปลงว่า อาหารสิ่งที่เรารักเราชอบมันไม่มี มันมีเพียงแค่นี้เราก็สามารถกินได้ เรากินเพื่อมีชีวิตอยู่เท่านั้น ปลงได้แปลบเดียว สันดาลเดิมมาทันทีทั้งๆที่ตั้งใจว่าจะค่อยๆเคี้ยว เคี้ยวให้นานๆ ทำความรู้สึกตัวไป ปรากฏว่าจิตตกอยู่ในโมหะ ไม่รู้ตัวกินหมดจานไปเสียแล้ว อย่างนี้เขาเรียกว่าจิตส่งออกนอก เป็นโมหะ มารู้ตัวว่าจิตปรุงแต่งก็หมดจานเสียแล้ว  ก็ได้แต่พูดกับตัวเอง เรานี้บาปเสียแล้ววันนี้ กินข้าวแบบไม่มีสติเอาเลย

                 แต่พอมานึกรู้สึกตัวได้ ก็ปลงสังเวชตัวเองขึ้นมา ความอยากต่าง ๆ มันก็เบาบางลง และได้ตัดสินใจแล้วว่า ถ้าเราเกิดตายไปจริงๆ ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว ตายแล้วก็ให้ ดร.สุริยา เผาเลย ในกรณีที่ผมตายก่อน อย่าปล่อยทิ้งไว้เกิน ๓ วัน เพราะเราเองก็ไม่รู้เรื่องแล้ว ไปไหนก็ไม่รู้ จิตดับแล้ว จะเอารูปของเราทิ้งไว้สร้างความทุกข์ให้ผู้ที่อยู่ทำไม เขาทำบุญให้ จะถึงหรือเปล่าเราก็ไม่รู้  สู้เผาให้หมดไม่ให้เหลือเลย ดีกว่า ความทุกข์ก็ไม่เกิดกับคนที่อยู่  อย่างอื่นเราก็ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว ชีวิตนี้

                  เช้านี้อากาศที่นครศรีธรรมราชดี ฝนไม่ตก มีลมเย็นๆพัดผ่าน ภายหลังจากปฏิบัติธรรมในห้องก็เดินลงไปชั้น ๓ เดินจงกรม ออกกำลังกาย พิจารณาธรรมไป เมื่อเกิดเอกคตาแล้ว และจบลงด้วยการฝึกโยคะ ชั่วโมง กว่าๆ ครับ ได้ทบทวน ญาณต่างๆ เท่าที่มันจะเกิดขึ้นกับเรา

                  สวัสดีครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #4837 เมื่อ: 29 ธันวาคม 2554, 14:18:21 »

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน

              วันนี้ผมเดินทางกลับ กทม. Boarding 16:50 น. ถึง กทม. 18:00 น. โดย Nok Air ครับ

              ช่วงนี้หลายท่านคงเตรียมตัวเดินทางไปพักผ่อนวันหยุดยาวช่วงปีใหม่กันแล้ว

              แต่หลายท่านคงมีความกังวลเรื่องการซ่อมแซมบ้าน ภายหลังมหาน้ำท้วม

              แต่สำหรับผม วันที่ ๑ มกราคม จะพาแม่ไปทำบุญปีใหม่ ที่วัดพระนอน และคงตั้งใจจะถือศีล ๘ ไปเรื่อยๆ พร้อมกับปฏิบัติธรรม ให้มากขึ้นเพื่อตัวเอง สักระยะหนึ่ง ครับ

              วันที่ ๓๑ ธันวาคม วันสิ้นปี  คงไม่ได้ไปไหน เช้าหุงข้าวใส่บาตพระ-เณร ที่บ้าน ไม่มีนัดไปไหนทั้งสิ้น ตั้งใจว่าจะปฏิบัติธรรม - สวดมนต์ทำวัตร ส่งท้ายปีเก่าและต้อนรับปีใหม่ อาจจะเป็นที่ บ้าน กทม. หรือตามวัด แล้วแต่สะดวก แต่ถ้าอยู่ กทม. เวลา 04:30 น. ก็ต้องขับรถไปสิงห์บุรีเพื่อให้สามารถไปทำบุยได้ทัน  แต่ถ้าไปสิงห์บุรี ก็ยังไม่รู้ว่าที่วัดไหนมีกิจกรรมปฏิบัติธรรม-สวดมนต์ข้ามปีบ้าง หรือไม่ก็ไปวัดเลย จะได้ไม่ต้องขับรถเช้า และสามารถปฏิบัติธรรมได้ทั้งคืน แต่ก็ต้องทำใจเพราะอาจจะมีเราคนเดียวที่วัด เป็นการฝึกจิตได้ดีทีเดียวละ เอาเป็นว่าแล้วแต่เหตุการณ์พาไปก้แล้วกัน

               สวัสดีครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #4838 เมื่อ: 29 ธันวาคม 2554, 14:43:30 »


สถานการณ์น้ำในพื้นที่กรุงเทพฯ แห้งแล้วทุกพื้นที่

วันพุธที่ 28 ธันวาคม 2011 เวลา 09:50 น. ศูนย์อำนวยการเฉพาะกิจฯ กทม.


                 สถานการณ์น้ำในพื้นที่กรุงเทพฯ แห้งแล้วทุกพื้นที่ ส่วนปัญหาขยะที่มีจำนวนมากคาดจัดเก็บแล้วเสร็จก่อนปีใหม่ เผย WHO ชื่นชม กทม.ควบคุมสถานการณ์ได้ดีไม่มีการระบาดของโรคติดต่อในช่วงวิกฤตน้ำท่วม

                  ศาลาว่าการกทม. : ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เปิดเผยถึงสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่กรุงเทพฯ ซึ่งเกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงเดือนตุลาคมที่ผ่านมาว่า ขณะนี้กรุงเทพมหานครผ่านพ้น สถานการณ์น้ำท่วม แล้ว โดยได้ให้สำนักงานเขตที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมสำรวจพื้นที่ว่ายังมีน้ำ ท่วมขังอีกหรือไม่ ซึ่งรายงานล่าสุด ทุกพื้นที่น้ำแห้งหมดแล้ว พื้นที่สุดท้าย คือ ที่หมู่บ้านเศรษฐกิจก้าวหน้า เขตบางเขน มีน้ำท่วมขังประมาณ 10 ซม. ได้ให้สำนักการระบายน้ำ สูบน้ำออกขณะนี้แห้งแล้วเมื่อคืนวันที่ 22 ธ.ค.54 สำหรับในบางพื้นที่ที่มีน้ำเอ่อล้นบ้างเนื่องจากเป็นพื้นที่ที่ไม่สามารถ ระบายน้ำได้ จะต้องอาศัยการระบายน้ำตามธรรมชาติ จึงถือได้ว่าสถานการณ์น้ำในกรุงเทพฯ ขณะนี้กลับเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว โอกาสนี้จึงขอขอบคุณ รัฐบาล กระทรวงมหาดไทย จังหวัดต่างๆ รวมทั้งประชาชน อาสาสมัคร ข้าราชการและลูกจ้างกรุงเทพมหานคร ที่ร่วมมือกันทำงานอย่างทุ่มเท เสียสละ ช่วยเหลือ ดูแลการระบายน้ำจนสามารถผ่านวิกฤตมหาอุทกภัยไปได้
 
                 นอกเหนือจากมหาอุทกภัยที่คลี่คลายแล้ว อีกปัญหาที่สำคัญ คือ ขยะซึ่งมีจำนวนมากโดยระหว่างวันที่ 15 ต.ค. – 22 ธ.ค. 54 กทม. ได้เก็บขยะไปแล้ว 644,788 ตัน และเท่าที่ประเมินขณะนี้ยังคงมีขยะตกค้างอีกประมาณ 11,666 ตัน ใน 8 เขต ประกอบด้วย เขตดอนเมือง หลักสี่ บางเขน สายไหม บางแค หนองแขม ทวีวัฒนา และตลิ่งชัน ซึ่งจะต้องจัดเก็บให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 25 ธ.ค. 54 ยกเว้นเขตตลิ่งชันและบางแคจะจัดเก็บให้เสร็จภายในวันนี้(23 ธ.ค.54) และเขตดอนเมืองจะระดมสรรพกำลังเพื่อเร่งจัดเก็บให้หมด ก่อน 25 ธ.ค.54 ในส่วนของเขตหนองแขมซึ่งมีปัญหาในการจัดเก็บขยะในตรอก ซอยเป็นไปอย่างยากลำบากจึงต้องยืดเวลาในการจัดเก็บ ไปถึงวันที่ 28 ธ.ค. 54 อย่างไรก็ตามเกรงว่าอาจมีขยะเพิ่มขึ้นอีกเนื่องจากประชาชนอาจมีการตัดสินใจ ทิ้งขยะที่ได้รับความเสียหาย ที่เกิดจากน้ำท่วมเพิ่มขึ้นอีกในภายหลัง แต่ก็จะเร่งจัดเก็บขยะที่เกิดจากอุทกภัยให้หมดภายในวันที่ 31 ธ.ค. นี้ ในส่วนปัญหาเรื่องของยุงนั้น กทม. ได้ดำเนินการฉีดพ่นยาเป็นประจำทุกวันเพื่อบรรเทาปัญหาดังกล่าวให้ได้มากที่ สุด นอกจากนี้ ได้สั่งการให้ทุกสำนักงานเขตเร่งทำความสะอาด ลอกท่อระบายน้ำ ดูดโคลนเลน เพื่อเตรียมพร้อมในการรับมือสถานการณ์น้ำในปีหน้า โดยจะมีการประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อร่วมกันพิจารณาจุดเสี่ยงที่จำ เป็นต้องเข้าดำเนินการอย่างเร่งด่วน
 
                 ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวด้วยว่าในช่วงที่เกิดอุกทกภัยพบผู้ป่วยจากโรคที่มากับน้ำ อาทิ ตาแดง ฉี่หนู และ ท้องเสียพอสมควร แต่ไม่มีรายงานการเกิดโรคระบาด ในเรื่องดังกล่าวทางองค์การอนามัยโลก ( WHO) ได้ตั้งข้อสังเกตพร้อมชื่นชม ที่กทม. สามารถบริหารจัดการควบคุม ดูแลสถานการณ์ได้เป็นอย่างดีไม่มีการระบาดของโรคในขณะที่ปัญหามหาอุกทกภัย โดยทีม ควบคุมโรค สำนักอนามัย กทม.ได้มีการลงพื้นที่เพื่อแจกจ่ายยาและให้คำแนะนำแก่ประชาชนในการป้องกัน ทั้งก่อนและขณะมีน้ำท่วมอย่างทั่วถึง
 


กทม. จับมือ 4 สถาบันการเงินชั้นนำ เปิดตัวโครงการ “ ยิ้มสู้ กู้ภัยน้ำท่วม” ร่วมเยียวยาคนกรุง

วันจันทร์ที่ 26 ธันวาคม 2011 เวลา 16:42 น. กปส. กทม.



                กทม. เดินหน้าเยียวยาชีวิต ฟื้นฟูเศรษฐกิจคนกรุง ผนึกกำลังสถาบันการเงินชั้นนำ 4 แห่ง เปิดตัวโครงการ “ยิ้มสู้ กู้ภัยน้ำท่วม” ปล่อยเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ ผ่อนชำระนานสูงสุด 30 ปี ช่วยเยียวยาชีวิตและฟื้นฟูเศรษฐกิจคนกรุง

                ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นประธานเปิดงานมหกรรม “ยิ้มสู้ กู้ภัยน้ำท่วม” ซึ่งกรุงเทพมหานครร่วมกับสถาบันการเงินชั้นนำ 4 แห่ง ประกอบด้วย ธนาคารออมสิน ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย ธนาคารอาคารสงเคราะห์ และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร เพื่อให้ความช่วยเหลือด้านการเงินและสินเชื่อแก่ผู้ได้รับผลกระทบจากภัยน้ำ ท่วม โดยมีประชาชนให้ความสนใจ เข้าร่วมโครงการในวันแรก กว่า 1,000 คน

                ม.ร.ว. สุขุมพันธุ์ กล่าวว่า โครงการ “ยิ้มสู้ กู้ภัยน้ำท่วม” จัดขึ้นเพื่อให้การช่วยเหลือเยียวยาประชาชน ผู้ประกอบการรายย่อย รวมทั้งผู้ประกอบกิจการ ธุรกิจการค้า หรือบริการขนาดเล็ก ที่ได้รับความเดือดร้อนจากภัยน้ำท่วม ด้วยสถานการณ์มหาอุทกภัย ที่ผ่านมา พบว่าประชาชนโดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพมหานครได้รับความเสียหายจำนวน 600,000 ครัวเรือน จากทั้งหมด 37 เขต ซึ่งส่งผลกระทบ ไปยังทุกภาคส่วน ประชาชนส่วนใหญ่จึงจำเป็นต้องใช้ทุนทรัพย์ในการฟื้นฟู และมีจำนวนไม่น้อยที่ต้องหันไปกู้ยืมเงินนอกระบบที่มีดอกเบี้ยสูง ซึ่งไม่สามารถชำระหนี้ได้ทันตามเวลาที่กำหนด กรุงเทพมหานคร พร้อมอยู่เคียงข้างผู้ได้รับผลกระทบ จึงได้ประสานความร่วมมือกับสถาบันการเงิน เพื่อเปิดให้บริการสินเชื่อพิเศษแก่ผู้ประสบภัยน้ำท่วมและผู้ที่ได้รับผล กระทบในอัตราดอกเบี้ยต่ำ เพื่อนำไป ซ่อมแซมบ้านและทรัพย์สินที่ได้รับความเสียหาย รวมทั้งนำไปลงทุนทำการค้า ฟื้นฟู หรือสร้างกิจการใหม่ เพื่อสภาพความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น



กทม . ร่วมฟื้นฟูวัดธรรมาสน์นักบุญเปโตร เขตภาษีเจริญหลังน้ำลด

วันจันทร์ที่ 26 ธันวาคม 2011 เวลา 16:42 น. กปส. กทม.



                 พญ.มาลินี สุขเวชชวรกิจ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็น ประธานเปิดกิจกรรมฟื้นฟูด้านวัฒนธรรม จากเหตุการณ์มหาอุทกภัย ซึ่งกรุงเทพมหานคร โดยสำนักวัฒนธรรม กีฬาและการท่องเที่ยว ร่วมกับสำนักงานเขตภาษีเจริญ วัดธรรมาสน์นักบุญเปโตร (วัดบางเชือกหนัง) และประชาชนในพื้นที่ ร่วมกันจัดขึ้น ณ วัดธรรมาสน์นักบุญเปโตร (วัดบางเชือกหนัง) เขตภาษีเจริญ เพื่อฟื้นฟูศาสนสถาน และแหล่งเรียนรู้ด้านวัฒนธรรมที่ได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์มหาอุทกภัย ที่เกิดขึ้นในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2554 เป็นต้นมา

                 สำหรับ การจัดงานฟื้นฟูด้านศิลปวัฒนธรรมจากเหตุการณ์มหาอุทกภัยครั้งนี้ กรุงเทพมหานครกำหนดจัดขึ้นระหว่าง วันที่ 23-26 ธ.ค. 54 ณ ศาสนสถานในพื้นที่กรุงเทพฯ รวม 4 ครั้ง ประกอบด้วย วัดปุรณาวาส เขตทวีวัฒนา เมื่อวันที่ 23 ธ.ค. 54 วัดพรหมรังษี เขตดอนเมือง เมื่อวันที่ 24 ธ.ค. 54 และมัสยิดดารุ๊ลอีบาด๊ะ (คลองสามวา) เขตคลองสามวา ในวันที่ 26 ธ.ค. 54 โดยมีกิจกรรมต่าง อาทิ การฟื้นฟูศาสนสถานการล้างทำความสะอาดศาสนสถาน การปรับปรุงภูมิทัศน์ศาสนสถาน การปลูกไม้ยืนต้น ปลูกไม้ดอกไม้ประดับและปูหญ้าภายในบริเวณศาสนสถาน การออกหน่วยบริการสาธารณสุข การออกหน่วยฝึกอาชีพและให้บริการซ่อมเครื่องยนต์และเครื่องใช้ไฟฟ้า และการเสวนาธรรมในหัวข้อ “ สร้างสุขลดทุกข์ตามหลักศาสนาหลังมหาอุทกภัย ”



      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #4839 เมื่อ: 29 ธันวาคม 2554, 15:44:56 »

สวัสดีปีใหม่ ๒๕๕๕ ครับคุณมิ้ง

                ปีใหม่นี้พี่สิงห์ ขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัย และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย จงบันดาลให้คุณมิ้งและครอบครัวประสพแด่ความสุข  ทำมาค้าขายร่ำรวย มีสุขภาพที่แข็งแรง  มีสติ  ปราศจากทุกข์ทั้งปวง เทอญ

                และเพื่อสุขภาพและครอบครัว ขอให้คุณมิ้งออกกำลังกาย  คุมอาหาร และเลิกเหล้า เพื่อคนที่ท่านรัก ครับ

                สวัสดีครับ

หมายเหตุ

                 ถ้าต้องการไปทำบุญ  ไปกินปลาช้อน ขอให้บอกจะจัดให้ครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #4840 เมื่อ: 29 ธันวาคม 2554, 15:49:12 »

               
                ขณะนี้เวลา 16:00 น. เอง ที่สนามบินนครศรีธรรมราช ปรากฏว่าอากาศปิด ไม่เห็นพระอาทิตย์เลย ฝนตก เมื่อสักครู่สายการบิน 1-2-go ก็ลงกลางสายฝน  ยังไม่รู้ว่า Air Asia and Nok Air จะสามารถลงได้หรือเปล่า ครับ

                ผมต้องทำใจแล้วครับ อากาศแบบนี้

                สวัสดี
      บันทึกการเข้า
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #4841 เมื่อ: 29 ธันวาคม 2554, 18:13:49 »

18.11 น.แล้ว พี่สิงห์ถึงกทม.เรียบร้อยรึยังคะ ?
เดี๋ยวมาคุยคะ ออกไปธุระก่อน
      บันทึกการเข้า


Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #4842 เมื่อ: 29 ธันวาคม 2554, 21:08:04 »

สวัสดีค่ะ คุณน้องหนุ๋งหนิ๋ง และชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน

            พี่สิงห์ ออกจากนครศรีธรรมราช 17:30 น. และมาถึงสนามบินสุวรรณภูมิ 19:00 น.เพราะหาเวลาลงจอดไม่ได้ต้องบินวน  พี่สิงห์ ได้มีโอกาสคุยกับกัปตัน ๆ บอกว่าเป็นอย่างนี้ทุกวัน คือ หาเวลาบินขึ้นยาก หาเวลาบินลงยาก และมีปัญหารถรับส่งจากเครื่องบินมาที่อาคารผู้โดยสารขาเข้า-ขาออก ไม่มีเที่ยวไหนตรงเวลาเลย

            สำหรับสนามบินดอนเมืองนั้น กัปตันบอกว่าเดือนมีนาคมจะเสร็จหรือเปล่า ไม่รู้ คือ ตัวทางวิ่งเครื่องบินไม่เสียหาย แต่ตัวอาคารนั้น ตอนน้ำท้วมทำเป็นศูนย์อพยพชั่วคราว ผลปรากฏว่าประชาชนที่เข้าไปอาศัยได้รื้อเอาสายไฟฟ้าไปขายหมดเกลี้ยงเลย และระบบไฟฟ้าเสียหายหมด ไม่รู้จะไปเอาผิดกับใคร  ต้องรอซ่อมระบบไฟฟ้าใหม่หมด จึงจะสามารถย้ายกลับไปบินดอนเมืองได้  น่าเศร้าจริงๆ

             พรุ่งนี้พี่สิงห์  อยู่บ้านไม่ไปตีกอล์ฟเช้ามืด เพื่อที่จะหุงข้าวใส่บาตพระหน้าบ้านทั้ง ๓๐-๓๑ ธันวาคม เป็นการใส่บาตส่งท้ายปีเก่า และช่วงเช้าถ้ารถไม่ติด จะไปหาที่ปฏิบัติธรรม ส่วนบ่ายนั้น ต้องไปซ้อมกอล์ฟ เพราะวันที่ ๑๐ มกราคม มีการแข่งขันกอล์ฟอาชีพ Super Senior สำหรับโปร.ที่อายุเกิน ๖๐ ปี ส่วน โปร. Senior อายุ ๕๐-๕๙ ปี ขอผ่านไปก่อนครั้งนี้ เพราะซ้อมน้อยสู้หนุ่มๆ ไม่ไหว แข่งขันที่สนามกอล์ฟเขาชะโงก จังหวัดนครนายก ครับ

              ปีใหม่สมาชิกซีมะโด่ง หนีเที่ยวหมด ผมเองก็ไม่รู้จะคุยเรื่องอะไรดีเหมือนกัน

              ราตรีสวัสดิ์ทุกท่าน ครับ 
      บันทึกการเข้า
Khun28
Full Member
**


ดูกายเห็นจิต ดูคิดเห็นธรรม
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: RCU2528
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์
กระทู้: 784

« ตอบ #4843 เมื่อ: 29 ธันวาคม 2554, 22:08:48 »

ผมเข้ามารับความรู้จากพี่สิงห์ทุกวันครับ
      บันทึกการเข้า
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #4844 เมื่อ: 30 ธันวาคม 2554, 00:09:37 »

หนิงก็มาทุกวันคะ
ยังอ่านไม่ทันอีกเยอะพอควร
สงสัยได้เลื่อนไปอ่านต่อปีหน้า 2555ค่า
      บันทึกการเข้า


Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #4845 เมื่อ: 30 ธันวาคม 2554, 08:24:03 »

สวัสดีปีใหม่ครับ พี่ปรีชา

               ปีใหม่นี้ผมขอให้พี่ปรีชา(2510) ประสพแด่ความสุข ปราศจากทุกข์ทั้งปวง เทอญ

               มานพ  กลับดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #4846 เมื่อ: 30 ธันวาคม 2554, 08:42:00 »

อ้างถึง
ข้อความของ Khun28 เมื่อ 29 ธันวาคม 2554, 22:08:48
ผมเข้ามารับความรู้จากพี่สิงห์ทุกวันครับ

สวัสดีปีใหม่ครับ ท่านขุน (มณีวรรณ)

            วันนี้พี่สิงห์ อยู่บ้าน ตั้งใจอยู่หุงข้าวใส่บาตพระ วันนี้หลวงพ่อ วัดลาดพร้าวมารับบิณฑบาต พี่สิงห์ หุงข้าวกล้อง  ผัดกระเพาหมู น้ำดื่มสิงห์ ผักกาดกระป่อง และขนมเค็ก Otop ของนครศรีธรรมราช พร้อมด้วยปัจจัย ๑๐๐ บาท  หลวงพ่อ บอกว่าวันนี้เป็นวันโชคดี ขอให้โยมมีความสุข  ไม่เจ็บ  ไม่จน  ขอให้ร่ำรวย  พี่สิงห์ ก็อุทิศส่วนกุศลให้กับทุกๆท่าน ทุกครั้งที่ใส่บาต ครับ

             ปีใหม่นี้พี่สิงห์ ของให้ท่านขุนและครอบครัวเจริญก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรม มีสติสมบูรณ์เป็นจิตประภัสสร ประสพความสำเร็จในการทำงาน ปราศจากความทุกข์ทั้งปวง เทอญ

             หลังปีใหม่แล้วพี่สิงห์ จะจัดพิมพ์หนังสือสวดมนต์ เพื่อให้เสร็จ และจะให้แม่เอาไปถวายวัดพระนอน(วัดในหมู่บ้านพี่สิงห์) วัดโบสถ์(วัดที่พ่อช่วยท่านเจ้าคุณพระเทพวิสุทธิโมลี สร้างวัด สร้างโรงเรียนอินทร์บุรี สร้างโรงพยาบาลอินทร์บุรี เป็นอุปัชฌาของพี่สิงห์ และเป็นวัดที่เผาศพยาย) และวัดปากแรด(พ่อมีส่วนในการสร้าง เพื่อสร้างวัดให้ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ริมแม่ลาแหล่งปลาช่อนอร่อย เพราะน้องชายพ่อเป็นผู้ใหญ่บ้าน ชาวบ้านไม่มีวัดทำบุญ ถ้าจะเดินมาวัดพระนอน สมัยนั้น มันไกลมาก พ่อเลยไปช่วยน้องชาย สร้างโบสถ์ ศาลา กุฏิ ให้เป็นวัดขึ้นมาโดยเช้าสีข้าว หรือวันไหนไม่มีสีข้าว พ่อก็จะไปช่วยสร้างวัดทุกวันอยู่หลายปี จึงสำเร็จ  และเป็นวัดที่พี่สิงห์บวชเณรให้ลุง และเมื่องปีที่แล้วน้ำท้วมหนัก พี่สิงห์ พี่สาว และน้อง ได้ไปทอดกฐินมาครับ)

               สวัสดี

              พี่สิงห์
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #4847 เมื่อ: 30 ธันวาคม 2554, 09:13:51 »

การสำรวมอินทรีย์-รักษากาย วาจา ใจ = การรักษาศีล = การเริ่มต้นปฏิบัติธรรม
             
                เมื่อเช้าขณะเดินจงกรมอยู่หน้าบ้าน เมื่อจิตเป็นหนึ่งเดียวแล้ว จิตมันก็แวบความคิดเข้ามาเรื่องความสำคัญของการสำรวมอินทรีย์ คือ เห็นสักแต่ว่าเห็น ได้ยินสักแต่ว่าได้ยิน ได้กลิ่นสักแต่ว่าได้กลิ่น ได้ลิ้มรสสักแต่ว่าได้ลิ้มรส ได้สัมผัสสักแต่ว่าได้สัมผัส และไม่ปล่อยใจให้นึกคิดนอกกาย-ใจของเรา ได้ทบทวนอายตนะแต่ละอย่างพิจารณาไป เพื่อให้จิตมีความรู้สึกอุเบกขาปล่อยวาง ถ้าจิตเราปล่อยวางได้ เราก็ไม่ได้ยินดียินร้ายอะไรเลยจากอยาตนะนั้น

                การสำรวมอินทรีย์(ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ) ก็ดี การรักษากาย วาจา ใจ ให้ไปในทางสุจริตก็ดี มันก็คือการรักษาศีล ๕ ที่เป็นศีลสังคม ที่จะทำให้เราสามารถอยู่ในสังคมครอบครัว สังคมรอบข้าง และประเทศชาติได้อย่างสงบสุข ไม่มีศัตรู ไม่มีผู้ปองร้าย มันก็เหมือนเป็นการเริ่มต้นการปฏิบัติธรรม นั่นเองครับ เพราะถ้าการกระทำทางกาย วาจา ใจ ดีเสียอย่าง จิตย่อมหายกังวลทั้งสิ้น

                การประพฤติชอบทางกาย ให้กายสุจริต คือ การละเว้นการกระทำของตัวเรา ได้แก่
                     - ไม่ฆ่าสัตว์
                     - ไม่ทำร้าย หรือเบียดเบียนสัตว์ให้ได้รับทุกข์
                     - ไม่หยิบฉายสิ่งของที่มีเจ้าของ และเขาไม่ได้ให้แก่เรา
                     - ไม่พรากลูก-พรากเมียคนอื่น หรือพรากครอบครัวสัตว์ให้ได้รับทุกข์

                 การประพฤติชอบทางวาจา ให้วาจาสุจริต คือ การละเว้นการพูดของเรา ได้แก่
                     - ไม่พูดปด หรือพูดโกหก
                     - ไม่พูดคำหยาบคาย
                     - ไม่พูดส่อเสียด หรือพูดเพ้อเจ่อ
                     - ไม่พูดให้ก่อวิวาท
                     - และไม่พูดให้ก่อทุกข์

                 การประพฤติชอบทางใจ ให้ใจสุจริต คือ การละเว้นที่จะไม่ปล่อยให้จิตคิดไปในทางอกุศล ได้แก่
                     - ไม่คิดอยากได้ของหรือสิ่งของ ของผู้อื่น คือไม่โลภ
                     - ไม่คิดปองร้ายผู้อื่น
                     - ไม่คิดเบียดเบียนสัตว์ให้ได้รับทุกข์
                     - ไม่คิดไปในทางอกุศลต่าง ๆ
                     - ไม่ปล่อยให้จิตร่องลอยไปโดยไร้จุดหมาย

                 ปีใหม่นี้ ขอให้ทุกท่าน ได้โน้มนำหลักธรรม นี้เอาไปใช้ จะทำให้เราสามารถอยู่ในสังคมได้อย่างสงบสุข ครับ

                 สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #4848 เมื่อ: 30 ธันวาคม 2554, 19:57:33 »

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน

              ผมหวังว่าพวกเราส่วนใหญ่ที่พำนักอยู่ใน กทม. คงจะเดินทางไปพักผ่อน วันหยุดยาวเทศกาลปีใหม่กันนะครับ  ขอให้ทุกท่านเดินทางด้วยความระมัดระวัง อย่าประมาท ขอให้ปลอดภัยทุกท่าน ครับ

              สำหรับผมจะเฝ้า กทม. เองครับ ยกเว้นวันที่ ๑ มกราคม ขอทำหน้าที่เป็นลูกที่ดี พาแม่ไปทำบุญปีใหม่  ฉลองวันเกิดแม่ ครบ ๙๓ ปี ในขณะที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ ที่วัดพระนอน และจะได้โอกาส สอบถามคระกรรมการวัดเรื่องการซ่อมหลังคาวัด ครับแต่โดยรวมชาวบ้านยังแย่กับน้ำท้วมนานมาสามเดือน ยังไม่ฟื้นกันเลยครับ  โดยดูจากชาวบ้านที่มาทำบุญจำนวนลดน้อยลง

              หลายท่านคงมีโอกาสเลี้ยงฉลองส่งท้ายปี ๒๕๕๔ ที่ทุกท่านในภาคกลางต้องผจญน้ำท้วมที่ผ่านมา แต่สำหรับผม วันไหนๆ มันก็เหมือนกัน เพราะไม่มีครอบครัว ไม่มีภาระที่จะต้องพาใครไปรับประทานอาหารนอกบ้าน มันจึงเป็นวันธรรมดาวันหนึ่งเท่านั้น เพราะเดี๋ยวนี้วันหยุดมันเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากทำงานน้อยลง ๆ ไปเรื่อยๆ สักวันคงต้องพิจารณาตัวเอง หยุดการทำงาน  แต่ยังเสียดายองค์ความรู้ที่มีอยู่ ยังสามารถทำงานได้อีกมาก แต่ขออยู่แบบไม่มีทุกข์มากนักดีกว่า จะได้มีเวลาให้กับตัวเองมากขึ้น คือการปฏิบัติธรรม

               ราตรีสวัสดิ์ทุกท่านครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #4849 เมื่อ: 30 ธันวาคม 2554, 20:05:56 »

                
                 ช่วงวันส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ หลายท่านคงมีโอกาศ ปฏิบัติธรรม ผมขอนำวิธีแก้ง่วงของพระพุทธองค์ ที่ทรางสอนพระโมคคัลลานะ ให้คลายง่วงลงได้ มาให้ศึกษา แต่สำหรับผมนั้น อากางง่วงนอน ในการปฏิบัติธรรม มันไม่ค่อยมีเลยครับ จึงสามารถปฏิบัติธรรมได้ทั้งวัน

                 ลองพิจารณาดูครับ  สวัสดี



ทรงแสดงอุบายแก้ง่วงแก่พระโมคคัลลานะ


                  พระมหาโมคคัลลานะ เมื่ออุปสมบทได้ ๗ วัน ได้ไปทำความเพียรอยู่ที่ป่าใกล้บ้านกัลป์ลาวาลมุตตาคาม แขวงมคธ ถูกถีนมิทธารมณ์ คือ ความง่วงเหงาเข้าครอบงำ ไม่สามารถจะทำความเพียรได้ ขณะนั้น พระผู้มีพระภาค ประทับอยู่ ณ สวนเภสกลาวัน ซึ่งเป็นสถานที่ให้เหยื่อแก่เนื้อ ใกล้เมืองสุงสุมารคิรี อันเป็นเมืองหลวงของแคว้นภัคคะ ทรงทราบด้วยพระญาณว่าพระโมคคัลลานะ โงกง่วงอยู่ จึงทรงทำปาฏิหาริย์ให้เห็นปรากฏ ประหนึ่งว่าเสด็จประทับอยู่ตรงหน้า

                  ทรงแสดงอุบายสำหรับระงับความง่วงแก่เธอตามลำดับ ดังนี้:-

                     ๑. โมคคัลลานะ เมื่อเธอมีสัญญาอย่างใดแล้ว เกิดความง่วงขึ้น เธอจงทำไว้ในใจซึ่งสัญญาอย่างนั้นให้มาก จะเป็นเหตุให้ละความง่วงได้

                     ๒. ถ้ายังละไม่ได้ เธอควรตรึกตรองถึงธรรมที่ได้เรียนมาแล้ว ได้ฟังมาแล้วให้มาก จะเป็นเหตุให้ละความง่วงได้

                     ๓. ถ้ายังละไม่ได้ เธอควรสาธยายธรรมที่ได้เรียนได้ฟังมาแล้วให้มากจะเป็นเหตุให้ละความง่วงได้

                     ๔. ถ้ายังละไม่ได้ เธอควรยอนช่วงหูทั้งสองข้าง และลูบตัวด้วยฝ่ายมือจะเป็นเหตุให้ละความง่วงได้

                     ๕. ถ้ายังละไม่ได้ เธอจงลุกขึ้นแล้วลูบนัยน์ตา ลูบหน้าด้วยน้ำเหลียวดูทิศทั้งหลายแหงนดูดาว จะเป็นเหตุให้ละความง่วงได้

                     ๖. ถ้ายังละไม่ได้ เธอควรทำไว้ในใจถึงอาโลกสัญญา ถือ กำหนดความสว่างไว้ในใจเหมือนกัน ทั้งกลางวันและกลางคืน ทำใจให้เปิด ให้สว่าง จะเป็นเหตุให้ละความง่วงได้

                     ๗. ถ้ายังละไม่ได้ เธอควรเดินจงกรมสำรวมอินทรีย์ มีจิตใจไม่คิดไปภายนอก จะเป็นเหตุให้ละความง่วงได้

                     ๘. ถ้ายังละไม่ได้ เธอควรสำเร็จสีหไสยาสน์ นอนตะแคงขวา ซ้อนเท้าให้เลื่อมกัน มีสติสัมปชัญญะ หมายใจว่าจะลุกขึ้นเป็นนิตย์ เมื่อตื่นแล้วควรรีบลุกขึ้นด้วยตั้งใจว่า เราจะไม่ประกอบความสุขในการนอนและการเคลิ้มหลับอีกจะเป็นเหตุให้ละความง่วงได้

                  พระพุทธองค์ ตรัสสอนอุบายเพื่อบรรเทาความง่วงโดยลำดับจนที่สุดถ้ายังไม่หายง่วงก็ให้นอน แต่ให้นอนอย่างมีสติ
      บันทึกการเข้า
  หน้า: 1 ... 192 193 [194] 195 196 ... 681   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

สมาคมนิสิตเก่าหอพักนิสิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มวลสมาชิกสมาคม คณาจารย์ และนิสิตเก่าทุกคน ขอน้อมเกล้าถวายความอาลัย  พระผู้เสด็จสู่สวรรคาลัย ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ <;))))><