23 พฤศจิกายน 2567, 15:11:02
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 186 187 [188] 189 190 ... 681   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: คุย กับ คุณมานพ กลับดี อดีตประธานชมรม ๓ สมัย  (อ่าน 3559376 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 43 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #4675 เมื่อ: 16 ธันวาคม 2554, 20:41:04 »

พี่สิงห์

กระชายช่วยขับขับเหงื่อ ขับน้ำปัสสาวะ ลดความดันโลหิต ลดอาการเป็นนิ่ว
คนไทยแต่ก่อน กินกระชายผ่านอาหารหลัก "ขนมจีนน้ำยา" ซึ่งมีกระชายเป็นเครื่องแกงหลัก

เครื่องปั่นอย่างดี แต่ราคาค่อนข้างสูงไปด้วยนั้น คงต้องใช้บริการของพี่อี๊ด-สุภานี แห่งร้าน วีรสุ ครับ
      บันทึกการเข้า
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #4676 เมื่อ: 16 ธันวาคม 2554, 21:19:58 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 16 ธันวาคม 2554, 20:36:40
สวัสดีค่ะ คุณน้องหนุ๋งหนิ๋ง ที่รัก

            - ลืมตอบไป ทะเบียนบ้านพี่สิงห์ อยู่ กทม.

            - ไปอินเดีย ไปเส้นทางเดิมทั้งหมด แต่สะดวกกว่า ในหลายประการ ตกลงไปวันที่ ๒๐-๒๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ คราวนี้ คงสามารถให้เวลาปฏิบัติธรรมกับตัวเอง ได้มากขึ้นในทุกพุทธสถาน ไม่ต้องเดินตาม หรือถ่ายรูปอีกแล้ว ครับ

            - สำหรับวิธีดูแลสมองนั้น พี่สิงห์ทำไปได้เกือบหมด ยกเว้นหัวเราะน้อยไป กับเป็นคนไม่โน๊ตอะไรเลย ชอบที่จะจำมากกว่าเพราะเป็นคนจำแม่น แต่สิ่งไหนไม่ควรจำลืมหมดเลย เช่น เพลงลืมหมดแล้ว เป็นต้น

            - วันนี้นครศรีธรรมราช ฝนตกทั้งวันแต่ไม่แรง ไม่เห็นดวงตะวันเลย

            - และวันนี้ได้ช่วย ดร.กุศล เรื่องจะเอากระดูกพ่อไปบรรจุใต้ฐานพระพุทธรูปที่อยู่ระเบียงรอบพระธาตุ และบูรณะพระพุทธรูป โดยเอาเงินที่เพื่อนฝูงทำบุญไปทำที่วัดพระมหาธาตุนครศรีธรรมราช  บังเอิญรู้จักกับผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์ ที่ดูแลวัดพระมหาธาตุ ท่านได้แนะนำกับ ดร.กุศล ไปแล้ว ทำให้ ดร.กุศล ไม่ต้อเดินทางไปติดต่อกับเจ้าอาวาสที่นครศรีธรรมราช

               ราตรีสวัสดิ์ค่ะ


พี่สิงห์,
ชื่อเพลงเหรอคะ?
      บันทึกการเข้า


khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #4677 เมื่อ: 16 ธันวาคม 2554, 21:27:39 »


http://www.pleng.com/song.php?song_id=013102


เพราะจังคะ.
รุ่น30ปีที่แล้วแน่เลยคะ
      บันทึกการเข้า


khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #4678 เมื่อ: 16 ธันวาคม 2554, 21:37:08 »

พี่สิงห์ง่ะ
ตั้งกะ 1975
เดี๋ยว,ขอหนิงวิ่งออกไป"บู๊วววว..."
ข้างนอกแป๊บ
..
..
sheเบลอ ตาปรือ กลับมาแปะ
ให้พี่สิงห์...

อ๊ากกกกก



<a href="http://www.youtube.com/v/x-CogYQjuHk?version=3&amp;amp;hl=en_GB" target="_blank">http://www.youtube.com/v/x-CogYQjuHk?version=3&amp;amp;hl=en_GB</a>
http://youtu.be/x-CogYQjuHk
      บันทึกการเข้า


khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #4679 เมื่อ: 16 ธันวาคม 2554, 21:48:20 »

เจอะแล้วคะ!
ลืมเหม็ดแล้ว..
ดอกไม้ป่า
30ปีเศษแน่ๆ
ถึงว่า..หนิงถึงลืมเกลี้ยง!


ภาพหาไม่ทัน,แฮพอ็องออหน้าที่แล้วมาก่อน
เพราะเกี่ยวกะอะไรลืมๆนี่ล่ะ พี่สิงห์ขราาา




<a href="http://www.4shared.com/embed/510737211/f83242a9" target="_blank">http://www.4shared.com/embed/510737211/f83242a9</a>

      บันทึกการเข้า


Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #4680 เมื่อ: 17 ธันวาคม 2554, 07:55:49 »

อ้างถึง
ข้อความของ khesorn mueller เมื่อ 16 ธันวาคม 2554, 21:19:58
อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 16 ธันวาคม 2554, 20:36:40
สวัสดีค่ะ คุณน้องหนุ๋งหนิ๋ง ที่รัก

            - ลืมตอบไป ทะเบียนบ้านพี่สิงห์ อยู่ กทม.

            - ไปอินเดีย ไปเส้นทางเดิมทั้งหมด แต่สะดวกกว่า ในหลายประการ ตกลงไปวันที่ ๒๐-๒๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ คราวนี้ คงสามารถให้เวลาปฏิบัติธรรมกับตัวเอง ได้มากขึ้นในทุกพุทธสถาน ไม่ต้องเดินตาม หรือถ่ายรูปอีกแล้ว ครับ

            - สำหรับวิธีดูแลสมองนั้น พี่สิงห์ทำไปได้เกือบหมด ยกเว้นหัวเราะน้อยไป กับเป็นคนไม่โน๊ตอะไรเลย ชอบที่จะจำมากกว่าเพราะเป็นคนจำแม่น แต่สิ่งไหนไม่ควรจำลืมหมดเลย เช่น เพลงลืมหมดแล้ว เป็นต้น

            - วันนี้นครศรีธรรมราช ฝนตกทั้งวันแต่ไม่แรง ไม่เห็นดวงตะวันเลย

            - และวันนี้ได้ช่วย ดร.กุศล เรื่องจะเอากระดูกพ่อไปบรรจุใต้ฐานพระพุทธรูปที่อยู่ระเบียงรอบพระธาตุ และบูรณะพระพุทธรูป โดยเอาเงินที่เพื่อนฝูงทำบุญไปทำที่วัดพระมหาธาตุนครศรีธรรมราช  บังเอิญรู้จักกับผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์ ที่ดูแลวัดพระมหาธาตุ ท่านได้แนะนำกับ ดร.กุศล ไปแล้ว ทำให้ ดร.กุศล ไม่ต้อเดินทางไปติดต่อกับเจ้าอาวาสที่นครศรีธรรมราช

               ราตรีสวัสดิ์ค่ะ


พี่สิงห์,
ชื่อเพลงเหรอคะ?


สวัสดียามเช้าค่ะ คุณน้องหนุ๋งหนิ๋ง ที่รัก

                      เพลงลืมหมดแล้ว หมายความว่า ณ ปัจจุบัน ชื่อเพลง เนื้อร้อง ทำนอง มีคนให้พี่สิงห์ ร้องเพลง พี่สิงห์ จำชื่อเพลงยังไม่ได้เลย เพราะลืมมันไปหมดแล้ว จึงขอไม่ร้องเพลงจะดีกว่าครับ ขออยู่กับอิริยาบถหลัก-ย่อย ที่กระทำอยู่นี่ละ โดยไม่คิดนอกกาย ใจ ที่ตั้งใจจะกระทำผ่านอิริยาบถ ครับ

                      ผิด-ถูก ไม่รู้ แต่มันไม่คิดมาก ไม่กังวล ไม่หวัง มันก็ไม่เดือดร้อน เพราะใจเราไม่คิด มันก็ไม่ทุกข์ ขออยู่อย่างนี้ละ ครับ

                      เช้านี้ระหว่างรับประทานอาหารเช้า ทางโรงแรมจะเปิดแต่เพลงครีสมาส เลยนึกขึ้นได้มันใกล้วันคริสมาสแล้ว

                      เนื่องในวาระแห่งวันคริสมาสจะมาถึงนี้ พี่สิงห์ ขออวยพรให้เธอและครอบครัว มีแต่ความสุข ปราศจากทุกข์ โรค ภัย ทั้งปวง ขอให้สมปราถนาในทุกสิ่งที่ควร

                      สวัสดีค่ะ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #4681 เมื่อ: 17 ธันวาคม 2554, 08:03:45 »

อ้างถึง
ข้อความของ เหยง 16 เมื่อ 16 ธันวาคม 2554, 20:41:04
พี่สิงห์

กระชายช่วยขับขับเหงื่อ ขับน้ำปัสสาวะ ลดความดันโลหิต ลดอาการเป็นนิ่ว
คนไทยแต่ก่อน กินกระชายผ่านอาหารหลัก "ขนมจีนน้ำยา" ซึ่งมีกระชายเป็นเครื่องแกงหลัก

เครื่องปั่นอย่างดี แต่ราคาค่อนข้างสูงไปด้วยนั้น คงต้องใช้บริการของพี่อี๊ด-สุภานี แห่งร้าน วีรสุ ครับ


สวัสดีครับ คุณเหยง

              มันก็ยังแพงอยู่ดีครับ ราคาร่วมหมื่นบาท ขอรับประทานเป็นครั้งคราว อาทิตย์ละสองวันดีกว่า คือเวลาไปทำงานที่นครศรีธรรมราช ก็ซื้อกระชายไปให้พนักงานห้องอาหารเขาปั่นใส่แก้วเอามารับประทานเวลาออกกำลังกายเสร็จ เป็นการไม่รับประทานทุกวัน ซ้ำๆ ดีกว่า เหมือนกับโยเกิตผสมน้ำผึ้ง นมสด และมะนาว จะดื่มเฉพาะวันที่ไปตีกอล์ฟยามเช้ามืดแทนอาหารเช้า เป็นการไม่จำเจ

              ขอบคุณมากที่แนะนำ

              สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #4682 เมื่อ: 17 ธันวาคม 2554, 11:59:37 »

รู้ประวัติพุทธสาวก ภิกษุณี อรหันต์ เอตทัคคะ

ลำดับที่ ๕

พระนันทาเถรี

เอตทัคคะในฝ่ายผู้แพ่งด้วยฌาน


               พระนันทาเถรี เป็นธิดาของพระเจ้าสุทโธทนะกับพระนางมหาปชาบดีโคตมี เป็นกนิษฐภคินีของเจ้าชายนันทะ พระนามเดิมว่า “นันทา” แต่เพราะนางมีพระสิริโฉมงดงามยิ่งนัก น่าทัศนา น่ารัก น่าเลื่อมใส พระประยูรญาติจึงพากันเรียกว่า “รูปนันทา” บ้าง“อภิรูปนันทา” บ้าง “ชนปทกัลยาณี” บ้างเมื่อเจ้าชายสิทธัตถะ ผู้นับเนื่องเป็นพระเชษฐาของนาง เสด็จออกบรรพชา ได้ตรัสรู้เป็นพระสัพพัญญูพุทธเจ้าแล้ว เสด็จมาโปรดพระประยุรญาติ ณ พระนครกบิลพัสดุ์ เทศนาสั่งสอนให้ได้บรรลุมรรคผลตามวาสนาบารมี ทรงนำพาศากยกุมารทั้งหลายมีพระนันทะ พระราหุล และพระภัททิยะ เป็นต้น ออกบรรพชา

                ครั้นกาลต่อมา พระเจ้าสุทโธทนะมหาราชพุทธบิดา เสด็จเข้าสู่พระนิพพานแล้ว พระนางมหาปชาบดีโคตรมี พระมารดา และพระนางยโสธราพิมพาพระมารดาของพระราหุล ต่างก็พาสากิยกุมารีออกบวชในพระพุทธศาสนาด้วยกันทั้งสิ้น นางจึงมีพระดำรัสว่า “เหลือแต่เราเพียงผู้เดียว ประหนึ่งไร้ญาติขาดมิตร จะมีประโยชน์อะไรกับการดำรงชีวิตในฆราวาสวิสัย สมควรที่เราจะไปบวชตามพระประยูรญาติผู้ใหญ่ของเราจะประเสริฐกว่า”

          • เพราะรักญาติจึงออกบวช

                เมื่อพระนางมีพระดำริดังนี้แล้ว จึงจัดเตรียมผ้ากาสาวพัสตร์ เสด็จไปสู่สำนักพระมหาปชาบดีโคตมีเถรี กราบแทบเท้ากล่าวขอบรรพชาอุปสมบทพระเถรี ก็โปรดให้บรรพชาตามปรารถนา แต่การบวชของพระนางนันทานั้นมิใช่บวชด้วยความศรัทธา แต่อาศัยความรักในหมู่ญาติจึงออกบวชครั้นบวชแล้ว พระรูปนันทาเถรีได้กราบว่า พระพุทธองค์ทรงตำหนิติเตียนเรื่องรูปกาย จึงไม่กล้าไปเฝ้าพระศาสดา เพื่อรับพระโอวาท เมื่อถึงวาระที่ตนจะต้องไปรับโอวาทก็สั่งให้ภิกษุณีรูปอื่นไปรับแทน พระบรมศาสดาทรงทราบว่าพระนางหลงมัวเมาในพระสิริโฉมของตนเอง จึงตรัสรับสั่งว่า:-

               “ต่อแต่นี้ ภิกษุณีทั้งหลาย ต้องมารับโอวาทด้วยตนเอง จะส่งภิกษุณีรูปอื่นมารับแทนไม่ได้”

                ตั้งแต่นั้น พระรูปนันทาเถรี ไม่มีทางอื่นที่จะหลีกเลี่ยงไปได้ จึงจำเป็นและจำใจไปรับประโอวาท ทั้ง ๆ ที่ไม่ปรารถนา ไปเฝ้าพระบรมศาสดาพร้อมกับภิกษุณีทั้งหลาย แต่มิกล้าแม้กระทั่งจะนั่งอยู่แถวหน้า จึงนั่งหลบอยู่ด้านหลัง พระพุทธองค์ ทรงเนรมิตรูปหญิงสาววัยรุ่นคนหนึ่งให้มีรูปสิริโฉมสวยงามสุดที่จะหาหญิงใดในปฐพีมาเปรียบได้ ให้หญิงนั้นดูประหนึ่งว่าถือพัดวีชนีถวายงานพัดอยู่เบื้องหลังของพระพุทธองค์ และให้สามารถมองเห็นเฉพาะพระพุทธองค์กับพระรูปนันทาเถรีเท่านั้น

                พระรูปนันทาเถรี ได้เห็นหญิงรูปเนรมิตนั้นแล้วก็คิดว่า เราหลงผิดคิดมัวเมาอยู่ในรูปโฉมของตนเองโดยใช่เหตุ จึงมิกล้ามาเฝ้าพระพุทธองค์ หญิงคนนี้มีความสนิมสนมอยู่ในสำนักพระบรมศาสดา รูปโฉมของเรานั้นเทียบไม่ได้ส่วนเสี้ยวที่ ๑๖ ของหญิงนี้เลย ดูนางช่างงามยิ่งนัก ผมก็สวย หน้าผากก็สวย หน้าตาก็สวย ทุกสิ่งทุกอย่างช่างสวยงามพร้อมทั้งหมด

          • พอเบื่อหน่อยก็ได้สำเร็จ

              เมื่อพระรูปนันทาเถรี กำลังเพลิดเพลินชื่นชมโฉมของรูปหญิงเนรมิตอยู่นั้น พระพุทธองค์ทรงอธิษฐานให้รูปหญิงนั้นปรากฏอยู่ในวัยต่าง ๆ ตั้งแต่เป็นหญิงวัยรุ่น เป็นหญิงสาววัยมีลูกหนึ่งคน มีลูก ๒ คน จนถึงวัยกลางคน วัยชราและวัยแก่หง่อม ผมหงอก ฟันหัก หลังค่อม และล้มตายลงในขณะนั้น ร่างกายมีหมู่หนอนมาชอนไชเจาะกินเหลือแต่โครงกระดูก พระพุทธองค์ทรงทราบว่าพระรูปนันทาเถรี เกิดความสังเวชสลดจิตเบื่อหน่ายในรูปกายที่ตนยึดถือแล้วจึงตรัสว่า:-
 
              “ดูก่อนนันทา เธอจงดูอัตภาพร่างกายอันเป็นเมืองแห่งกระดูกนี้ (อฏฺฐีนํนครํ) อันกระสับกระส่าย ไม่สะอาด อันบูดเน่านี้เถิด เธอจงอบรมจิตให้แน่วแน่มั่นคง มีอารมณ์เดียวในอสุภกรรมฐาน จงถอนมานะละทิฏฐิให้ได้แล้วจิตใจของเธอก็จะสงบ จงดูว่ารูปนี้เป็นฉันใด รูปของเธอก็เป็นฉันนั้น รูปของเธอเป็นฉันใดรูปนี้ก็เป็นฉันนั้น รูปอันมีกลิ่นเหม็นบูดเน่านี้ ย่อมเป็นที่เพลิดเพลินอย่างยิ่งของผู้โง่เขลาทั้งหลาย”

               พระรูปนันทาเถรี ส่งกระแสจิตไปตามพระพุทธดำรัส เมื่อจบลงก็สิ้นกิเลสอาสวะ บรรลุพระอรหัตผลเป็นพระอเสขบุคคลในพระพุทธศาสนา ปรากฏว่าเมื่อพระนางสำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้วเป็นผู้มีความชำนาญพิเศษในการเพ่งด้วยฌาน

               ด้วยเหตุนี้ พระบรมศาสดาจึงทรงยกย่องเธอไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะ เป็นผู้เลิศกว่า ภิกษุณีทั้งหลายในฝ่าย ผู้แพ่งด้วยฌาน หรือ ผู้ทรงฌาน

        •   ฌาน การเพ่งอารมณ์จนใจแน่วแน่เป็นอัปปนาสมาธิ มี ๔ คือ

                    ๑. ปฐมฌาน ฌานที่ ๑ มีองค์ ๕ คือ วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา
                    ๒. ทุติยฌาน ฌานที่ ๒ มีองค์ ๓ ปีติ สุข เอกัคคตา
                    ๓. ตติยฌาน ฌานที่ ๓ มีองค์ ๒ คือ สุข เอกัคคตา
                    ๔. จตุถฌาน ฌานที่ ๔ มีองค์ ๒ คือ อุเบกขา เอกัคคตา
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #4683 เมื่อ: 17 ธันวาคม 2554, 13:25:25 »

สืบเนื่องจาก การไปร่วมงานเผาศพ คุณพ่อของ ดร.กุศล ที่ผ่านมา

                 ผมได้มีโอกาสนั่งคุยกับคุณรุ่งศักดิ์ ผมถามว่าการปฏิบัติธรรมไปถึงไหนแล้ว คุณรุ่งศักดิ์  ไม่ตอบได้แต่ยิ้มๆ และคุณรุ่งศักดิ์  ได้อุตส่าห์มีเมตตาต่อผม ได้เตือนผมว่า การอ่านหนังสือปฏิบัติธรรมมากๆ นั้นจะเป็นผลเสียกับการปฏิบัติธรรม เพราะเราจะคอยดู หวังผลที่เกิดขึ้นกับตัวเรา ว่าตรงกับหนังสือหรือไม่  จะทำให้การปฏิบัติธรรม นั้นไม่ก้าวหน้า  ผมก็ยอมรับว่ามันจริงเป็นดังนั้น แต่สำหรับผมนั้น เป็นคนไม่ชอบอ่านหนังสือมาแต่ต้น อ่านหนึ่งสือได้ไม่ถึงหนึ่งในสี่ของ ดร.สุริยา เลย หรือพูดง่ายๆ ไม่อ่านหนังสือเลย

                  และหนังสือที่อ่านเอาจริง จังระยะหลังมีเพียง พระไตรปิฎก ฉบับประชาชน  พุทธธรรม เท่านั้น ซึ่งหนังสือทั้งสองเล่ม ไม่มีวิธีการปฏิบัติธรรม ทั้งสิ้นเป็นเรื่องของพระสูตร และการอธิบายพระสูตร มันเป็นความรู้ มันจะไม่เหมือนกับการปฏิบัติธรรม ในความเห็นผมมันเป็นเครื่องมื หรือตัวช่วย ส่งเสริมในการปฏิบัติธรรม มากกว่า

                  การที่คุณรุ่งศักดิ์ เห็นผมชอบเขียนนั้น แท้จริงมาจากความคิดที่เกิดขึ้นกับผมเป็นส่วนใหญ่ ผมเองเป็นคนชอบคิด ชอบทำ ไม่ชอบอ่าน การอ่านมีเพียงช่วงระยะแรกที่ อาจารย์ถาวร  เอาหนังสือของหลวงพ่อเทียน  มาให้จึงอ่านหมดทุกเล่ม และได้ข้อสรุป คือ ทุกเล่มเหมือนกันหมด คือท่านสอนให้อยู่กับการรู้สึกตัวให้มากๆ ความไม่รู้คืออวิชชา มันจะหายไปเอง มันก็เป็นจริงตามนั้น  มีตอนหลัง ดร.สุริยา  เอาหนังสือของท่านเขมานันทะ มาให้ก็อ่านจบ ได้ความรู้ดีๆ ในเรื่องของการปฏิบัติเป็นการทบทวนตัวเอง ที่เหลือก็เป็นข้อธรรมะของหลวงปู่ดู่ เท่านั้น

                  ในแต่ละวัน ที่จะต้องหาเรื่องมาเขียนลงในเวบนั้น อยากมาก ผมจะใช้ว่าวิธี วันนี้ปฏิบัติธรรม จิตมันคิดเรื่องอะไร ก็จะนำเรื่องนั้นมาเขียน คือเวลาปฏิบัติธรรม นั้นไม่ใช่เพียง 5-10 นาที ผมมีเวลาปฏิบัติธรรม สองชั่วโมง และตลอดวัน การที่จะไปบังคับให้จิตมันหยุดคิดนั้น เป็นไปไม่ได้ เพราะจิตคนมันไม่อยู่สุก ชอบคิด แต่ผมจะรู้ตัว เวลาจิตมันคิดนอกกาย-ใจ ที่กระทำ ผมจะตัดทิ้ง ไม่คิดต่อ แต่จะคิดต่อเมื่อ สิ่งที่แวบขึ้นมานั้น เป็นข้อธรรมะในพระสูตร ก็จะปล่อยให้มันคิด ให้เป็นไปในหลักโพชฌงค์ ๗ ข้อ "ธัมมวิจยะ" แต่ต้องรู้สึกตัวว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ ไม่ใช่ปล่อยใจลอยให้มันคิด เป็นการตั้งใจคิด มันจะเป็นภวังค์ เป็นอารมณ์เดียว ปัญญามันจะเกิด คือเราได้ความรู้ขึ้นมา ความรู้อันนี้มันจำแม่น ไม่เหมือนความรู้ที่ได้จากการอ่านมันจะลืมเป็นส่วนใหญ่

                   ดังนั้น มันจึงมีเรื่องเขียนไปวันหนึ่งๆ ครับ วันไหนจิตมันไม่คิด การปฏิบัติธรรม ก็มีเพียงการรู้สึกตัว อยู่ที่การกระทำ มีแต่ความสงบ เป็นปีติ ชั่วครู่ เป็นครั้งๆ ไปเท่านั้น ไม่เกิดความรู้อะไรเลย ได้แต่ดูจิตตัวเองไปเท่านั้น ก็จะไม่มีเรื่องเขียน ก็ต้องไปหาเอาในพระสูตร ที่คิดว่ามีประโยชน์ หรือประวัติพุทธสาวก มาให้พวกเราได้อ่าน ได้ศึกษากัน เพราะอย่างน้อยเราจะได้ทราบว่า ท่านใช้ธรรมข้อใดจึงตรัสรู้เป็นพระอรหันต์

                   หนังสืออีกเล่มที่ผมจะอ่าน คือของศาล กระทรวงยุติธรรม อ่านแล้วเอามาเตือนตัวเองดี จะทำให้เรามีวิริยะ ขึ้นเวลาเบื่อการปฏิบัติธรรม ผมเองยึดหลักที่พระพุทธองค์ทรงสอนพระอุบาลี ตอนที่พระอุบาลีเรียนวิธีกรรมฐานจากพระพุทธองค์แล้วต้องการปลีกวิเวก ไปปฏิบัติธรรม พระพุทธองค์ทรงห้ามพระอุบาลีว่า อย่าเลยขอให้อยู่ศึกษาธรรมวินัยในสำนักนี้แหละ ก็สามารถบรรลุเป็นพระอรหันต์ได้  สุดท้ายพระอุบาลีก็เชื่ออยู่ศึกษาธรรมวินัย จนได้เป็นเอตทัคคะทางด้านพระวินัย และยังสามารถบรรลุเป็นพระอรหันต์ได้

                    ผมเองไม่ได้หวังถึงขนาดนั้น พระสูตรที่ศึกษานั้น มันเป็นความรู้ที่สามารถเอามาดำรงชีวิตของเรา เอามาทำงานของเราได้ เป็นอย่างดีไม่ล้าสมัยเลยเพราะมันเป็นความจริงทั้งนั้น ใช้ได้ทุกยุคทุกสมัย และยังเตือนตัวเอง และเอาไปสอนท่านอื่นๆได้อีกด้วย

                    ส่วนการปฏิบัติธรรมนั้น มันคนละเรื่องกับสิ่งที่อ่านเลย การปฏิบัติธรรม มันเป็นอารมณ์ที่เกิดขึ้นกับจิต กายของเรา ที่เราจะต้องพิจารณาดู ด้วยสติ ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับจิตของเรา เราจะต้องไม่ตกเป็นทาษของความคิดเรา คือโมหะ ต้องแยกให้เป็น เราเท่านั้นที่จะสามารถรู้ด้วยตัวของเราเอง เท่านั้น ว่าเราปฏิบัติถูกต้องตรงกับที่พระพุทธองค์ทรงสอนหรือไม่  การอ่านหนังสือช่วยอะไรไม่ได้เลยทั้งสิ้น ได้แต่ความรู้เอามาเตือนตนเองให้ปฏิบัติ กาย วาจา ใจ ให้สำรวมอยู่เป็นนิจ เป็นเครื่องมือตัวช่วยในการปฏิบัติธรรม เราจะรู้ด้วยตัวของเราเองเท่านั้น

                     อย่างเมื่อคืน หรือเมื่อเช้ามืดก็ดี หรือขณะเดินบนสายพานห้องฟิตเนสของโรงแรมก็ดี  ผมต้องรู้ตัวว่าเดินอยู่บนเครื่องจักร แต่ในขณะเดียวกัน จะให้รู้สึกตัวเฉยๆ เวลาเดินตั้งหนึ่งชั่วโมง มันเป็นไปไม่ได้ ถึงแม้เขาเปิดเพลงให้ฟัง ผมก็ไม่ได้ยินเพลงทั้งสิ้น เพราะไม่ได้เอาจิตไปฟัง จิตมันอยู่ที่เท้าก้าวไปทีละก้าวให้รู้สึกตัวไม่ให้พลาด ขณะเดียวกัน จิตมันก็คิดแวบปล่อยให้มันคิด เรื่อง "อนัตตา - อัตตา" ที่พระพรหมคุณาภรณื อธิบาย ผมก็เอามาเป็นอารมณ์ในการปฏิบัติธรรม ทบทวนมันก็เป็นจริงตามนั้น เช่น พระพุทธองค์ทรงสอนว่า "ธรรม ทังหลาย เป็นอนัตตา" ธรรมในที่นี้ คือสภาวะสิีงที่พึงมีพึงเป็นที่เกิดขึ้นรอบๆตัวเรานั้น สามารถแบ่งธรรม หรือสภาวะธรรม ได้เป็นสองกรณี คือ ธรรมนั้นเกิดจากสังขาร คืสังขตะธรรม ที่ปรุงแต่งขึ้นด้าวยมีเหตุ-ปัจจัย เป็นหลัก ไม่ได้เกิดขึ้นเอง และสองคือ ธรรมนั้น เกิดจากสิ่งที่พึงมีพึงเป็นที่ไม่ได้มีสาเหตุมาจาก เหตุ-ปัจจัย แต่มันพึงมีพึงเป็นของมันเอง คือเป็น อสังขตะธรรม ไม่มีการปรุงแต่ง เช่น วิสังขาร หรือนิพพาน นั่นเอง และมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ

                      เดี๋ยวนี้ศรัพท์บางคำในภาษาบาลี ผมสามารถอ่านแล้วเข้าใจได้เลย ไม่ต้องแปร และสามารถอ่านบาลีได้พอสมควร จึงสามารถอ่านหนังสือ กรณีธรรมกายได้ รู้เรื่อง เป็นหนังสือที่อ่านอยาก ถ้าไม่มีพื้นฐานที่มีศรัทธาต่อศาสนาพุทธ และรู้หลักคำสอนในพระสูตรของพระพุทธองค์อย่างเข้าใจ เพราะเนื้อหาในหนังสือเข้าใจอยากมาก ครับ

                      ผมอ่านไปครึ่งเล่มสามารถเข้าใจ อนัตตา-อัตตา ได้ดีทีเดียว วัดพระธรรมกายพยายามจะให้เราเข้าใจเป็นแบบศาสนาพราหมณ์ หรือฮินดูที่มีมาก่อนหน้าพระพุทธศาสนา  พราหมณ์นั้นคือว่าทุกสิ่งที่พึงมีพึงเป็นคือธรรมทั้งหลายนั้นเป็น อัตตา และเมื่อจบชีวิตลงก็เป็นอัตตาไปอยู่กับพรหม  แต่พระพุทธองค์ ทรงสอนตรงข้ามกับพราหมณ์เลยว่า ธรรมทั้งหลายเป็น อนัตตา ไม่ควรยึดว่าสิ่งที่พึงมีพึงเป็นนั้นมีตัวมีตน จะตรงข้ามกันเลยกับพราหมณ์ หรือฮินดู ดังนั้นพระพุทธองค์ทรงสอนว่า ขันธ์ ๕ อายตนะ ๑๒ นั้น เป็นอนัตตา ดังนั้น นิพพานไม่ต้องพูดถึง เป็นอนัตตา เพราะดับทุกสิ่งหมดแล้ว(กิเลส) เมื่อตายไปแล้วจะไปเฝ้าพระพุทะธเจ้าได้ตามที่วัดธรรมกายอ้างในเรื่องของการทำบุญนั้น ว่านิพพานเป็นอัตตา มันเป็นการตู่พระพุทธองค์โดยแท้ มันเป็นแบบพราหมณ์หรือฮินดู (ผมชักนอกเรื่องไปแล้ว เป็นโมหะ)

                       สวัสดีครับ

                      
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #4684 เมื่อ: 17 ธันวาคม 2554, 13:36:06 »

                
                 วันนี้คุณนิจ เจ้าหน้าที่จัดทัวร์ไปอินเดีย ได้โทรศัพท์มาบอกว่า

                 ตกลง ผมกับ ดร.กุศล ได้ไปอินเดียในวันที่ ๘-๑๗ กุมภาพันธ์

                 ดังนั้น ในวันที่ ๑๔ ที่ตรงกับวันเกิดผม ผมจะได้สวดธรรมจักรกัปปวัตนสูตร นั่งปฏิบัติธรรม ที่สารนาถ สถานที่พระพุทธองค์ทรงแสดงปฐมเทศนา และกลางคืน ได้ไปปฏิบัติธรรมที่ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ตลอดคืน นับว่าเป็นโอกาสที่ดี สำหรับผม ครั้งหนึ่ง ในปี ๒๕๕๕ ครับ

                 นอกจากนี้ได้ตกลงใจแล้วว่า วันที่ ๒๖ - ๓๐ ธันวาคม จะไปปฏิบัติธรรม ที่วัดป่าสุคะโต เพื่อชำระจิตใจให้ดีขึ้น ก่อนปีใหม่ ครับ

                  สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #4685 เมื่อ: 17 ธันวาคม 2554, 14:13:28 »

กทม.คาด 22 ธ.ค.นี้ น้ำแห้งทั้งเมือง เตรียมทำหนังสือถึงศปภ.ลดระดับประตูระบายน้ำ

วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม 2011 เวลา 16:22 น.



                (16 ธ.ค. 54) เวลา 14.00 น. ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ลงพื้นที่ตรวจสถานการณ์น้ำท่วมขังและการแก้ไขปัญหาในชุมชนหมู่บ้านธารแก้ว ซอยสุขาภิบาลบางระมาด 1 เขตทวีวัฒนา ซึ่งบริเวณถนนท้ายหมู่บ้านดังกล่าวยังมีน้ำท่วมขังประมาณ 5-10 ซม. เนื่องจากเป็นหมู่บ้านเก่าและพื้นที่ต่ำมาก โดยกทม. ได้นำเครื่องสูบน้ำช่วยเร่งระบายน้ำภายในหมู่บ้านลงสู่คลองบางพรมและคลองบางน้อย คาดว่าจะแล้วเสร็จภายใน 2 วัน
 
                ผู้ว่าฯกทม. กล่าวว่า ในพื้นที่กรุงเทพฯ ยังมีน้ำท่วมขังภายในหมู่บ้านและชุมชน ประมาณ 20 กว่าแห่ง ซึ่งจากการประเมินสถานการณ์น้ำในพื้นที่ต่างๆ คาดว่าจะสามารถระบายน้ำออกจากพื้นที่ดังกล่าวทั้งหมดประมาณวันที่ 20 ธ.ค. หรืออย่างช้าที่สุดภายในวันที่ 22 ธ.ค. 54 ทั้งนี้ในบางชุมชนจำเป็นต้องปล่อยให้น้ำแห้งตามธรรมชาติ เช่น ชุมชนจินดาบำรุงพัฒนา และชุมชนผู้ใหญ่ชม เขตคันนายาว เนื่องจากลักษณะพื้นที่ต่ำกว่าระดับคลองทำให้ไม่สามารถระบายน้ำสู่คลองได้ ส่วนน้ำในทุ่งซึ่งไม่มีบ้านเรือนของประชาชนตั้งอยู่จะปล่อยให้น้ำแห้งตามธรรมชาติเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตามขณะนี้นับได้ว่าพื้นที่กรุงเทพฯ น้ำแห้งและเข้าสู่สภาวะปกติแล้วถึงร้อยละ 90 พร้อมกันนี้ ตนเองยังได้สั่งการให้ทุกสำนักงานเขตเร่งลอกท่อระบายน้ำในพื้นที่ที่เคยถูกน้ำท่วม เพื่อป้องกันการอุดตันของท่อระบายน้ำและเปิดทางน้ำไหลสะดวกยิ่งขึ้น หากเป็นพื้นที่ของเอกชนหรือที่ส่วนบุคคลให้ประสานเจ้าของพื้นที่ในการดำเนินการทันที
 
                ทั้งนี้ ผู้ว่าฯกทม. กล่าวถึงกรณีการลดระดับประตูระบายน้ำ ซึ่งกทม.จะทำหนังสือถึงศปภ.เพื่อขอลดระดับประตูระบายน้ำคลองพระยาสุเรนทร์ คลองซอย คลองควาย และคลองขุนศรีบุรีรักษ์ ให้เหลือ 50 ซม. ภายหลังจากสถานการณ์น้ำเข้าสู่ภาวะปกติ โดยเบื้องต้นได้มีการประสานด้วยวาจาไปยัง ดร.อานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา แล้ว และมีความเห็นให้สามารถลดระดับประตูระบายน้ำดังกล่าวได้
 
                นอกจากนี้ ผู้ว่าฯกทม. ยังได้เดินทางไปยังหมู่บ้านร่วมเกื้อ ซอยทวีวัฒนา 25 พร้อมระบุว่าสาเหตุที่ยังมีน้ำขังบริเวณท้ายซอยเนื่องจากเป็นพื้นที่รอยต่อเป็นพื้นที่แก้มลิง กทม.จึงแก้ปัญหาด้วยการนำกระสอบทรายมาบล็อกแล้วสูบน้ำออกลงคลองเนินทราย จากนั้น ได้เดินทางไปตรวจติดตามพื้นที่เขตทวีวัฒนา บริเวณหมู่บ้านทิพย์มณฑล ถ.บรมราชชนี 64 และหมู่บ้านกรีนนีซชาเลย์   ถ.บรมราชนนี 62/2 ด้วย

                                                                                     ------------------

กทม. เดินหน้าระบายน้ำในพื้นที่ลุ่มต่ำที่เหลือ 30 กว่าชุมชนใน 4 เขต

วันพฤหัสบดีที่ 15 ธันวาคม 2011 เวลา 17:57 น. กองประชาสัมพันธ์ กทม.


               (15 ธ.ค. 54) เวลา 13.00 น. : ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยม ให้กำลังใจ พร้อมมอบถุงอุปกรณ์ทำความสะอาดบ้านแก่ผู้ประสบอุทกภัยในชุมชนจินดาบำรุงพัฒนา ซ.คู้บอน 13 และชุมชนผู้ใหญ่ชม ซ.คู้บอน 19 เขตคันนายาว หมู่บ้าน ตชด. และหมู่บ้านจินดาทาวน์ ซ.คู้บอน 27 เขตบางเขน ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวยังมีน้ำท่วมขังอยู่เนื่องจากเป็นพื้นที่ลุ่มต่ำและไม่มีระบบระบายน้ำในชุมชน




                ผมเองนึกว่าน้ำแห้งหมดแล้วใน กทม. ที่ไหนได้ยังมีประชาชนชาว กทม. บางส่วนเดือดร้อนจากน้ำท้วมอยู่ ขอเป็นกำลังใจให้ก็แล้วกันครับ ที่โรงแรมทวินโลตัส ผมเห็นรถของผู้สื่อข่าว TV มาจอดคอยทำข่าวน้ำท้วมกันอยู่ ครับ

                วันนี้ผมเดินทาง กลับ กทม. Boarding 15:55 น. ครับ

                สวัสดี
      บันทึกการเข้า
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #4686 เมื่อ: 17 ธันวาคม 2554, 20:25:16 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 17 ธันวาคม 2554, 07:55:49
สวัสดียามเช้าค่ะ คุณน้องหนุ๋งหนิ๋ง ที่รัก

                      เพลงลืมหมดแล้ว หมายความว่า ณ ปัจจุบัน ชื่อเพลง เนื้อร้อง ทำนอง มีคนให้พี่สิงห์ ร้องเพลง พี่สิงห์ จำชื่อเพลงยังไม่ได้เลย เพราะลืมมันไปหมดแล้ว จึงขอไม่ร้องเพลงจะดีกว่าครับ ขออยู่กับอิริยาบถหลัก-ย่อย ที่กระทำอยู่นี่ละ โดยไม่คิดนอกกาย ใจ ที่ตั้งใจจะกระทำผ่านอิริยาบถ ครับ

                      ผิด-ถูก ไม่รู้ แต่มันไม่คิดมาก ไม่กังวล ไม่หวัง มันก็ไม่เดือดร้อน เพราะใจเราไม่คิด มันก็ไม่ทุกข์ ขออยู่อย่างนี้ละ ครับ

                      เช้านี้ระหว่างรับประทานอาหารเช้า ทางโรงแรมจะเปิดแต่เพลงครีสมาส เลยนึกขึ้นได้มันใกล้วันคริสมาสแล้ว

                      เนื่องในวาระแห่งวันคริสมาสจะมาถึงนี้ พี่สิงห์ ขออวยพรให้เธอและครอบครัว มีแต่ความสุข ปราศจากทุกข์ โรค ภัย ทั้งปวง ขอให้สมปราถนาในทุกสิ่งที่ควร

                      สวัสดีค่ะ



พี่สิงห์คะ,
เข้าใจแล้วคะ.
ยังอุตส่าห์หาเจอพี่คิดดู..เพลงนี้หายากด้วย!
เอ๊ะ,ถ้าพี่ได้ร้อง ไม่ลืมง่ายๆหรอกค่ะ.
ขนาดเพลง..ยังคอยค๊อยคอยข่อยคอยค๊อยคอย
30กว่าปีแล้วหนิงยังร้องตามได้ทันควันทันที
ฮึมฮัมเพลงนี้คะเมื่อวาน...ตลอด....ใครว่าลืม?

ยิ่งพี่สิงห์ความจำดี ลืมไม่ง่ายคะเพราะสมองพี่
คงจัดข้อมูลเข้าเก็บเป็นระเบียบเรียบร้อย..ที่cellไหนสักแห่ง

เอ,หนิงมีคำถามอีกแล้วคะพี่สิงห์!
ว่าระหว่างจำให้ได้กับลืมให้ได้..
อย่างไหนยากกว่ากัน?และอย่างไหน
ต้องใช้ความพยายามมากกว่ากัน?


หนิงและครอบครัวขอขอบพระคุณพี่ต่อคำอวยพร
ขอพี่รับด้วยพร้อมๆพวกเราค่ะ.
      บันทึกการเข้า


khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #4687 เมื่อ: 17 ธันวาคม 2554, 20:31:15 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 17 ธันวาคม 2554, 13:36:06
               
                 วันนี้คุณนิจ เจ้าหน้าที่จัดทัวร์ไปอินเดีย ได้โทรศัพท์มาบอกว่า

                 ตกลง ผมกับ ดร.กุศล ได้ไปอินเดียในวันที่ ๘-๑๗ กุมภาพันธ์

                 ดังนั้น ในวันที่ ๑๔ ที่ตรงกับวันเกิดผม ผมจะได้สวดธรรมจักรกัปปวัตนสูตร นั่งปฏิบัติธรรม ที่สารนาถ สถานที่พระพุทธองค์ทรงแสดงปฐมเทศนา และกลางคืน ได้ไปปฏิบัติธรรมที่ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ตลอดคืน นับว่าเป็นโอกาสที่ดี สำหรับผม ครั้งหนึ่ง ในปี ๒๕๕๕ ครับ

                 นอกจากนี้ได้ตกลงใจแล้วว่า วันที่ ๒๖ - ๓๐ ธันวาคม จะไปปฏิบัติธรรม ที่วัดป่าสุคะโต เพื่อชำระจิตใจให้ดีขึ้น ก่อนปีใหม่ ครับ

                  สวัสดี


พี่สิงห์ไปหลายที่
เจอะผู้คน สถานที่แปลกๆ
อีก20ปี,พี่80...หนิงจะให้พี่เล่า!
ทีนี้ล่ะ,ได้สนุกกันล่ะ
จำได้ไม่ได้..เดี๋ยวรู้
วันเกิดพี่สิงห์ พี่สิงห์ไม่อยู่
ชาวโลกจะvalentineให้ใครล่ะทีนี้?
หนิงจะกินช็อคโกแล็ตฉลองวันเกิดพี่คะ
นิ้วไขว้,สัญญา.
      บันทึกการเข้า


Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #4688 เมื่อ: 17 ธันวาคม 2554, 20:53:20 »


           เอ,หนิงมีคำถามอีกแล้วคะพี่สิงห์!
           ว่าระหว่างจำให้ได้กับลืมให้ได้..
           อย่างไหนยากกว่ากัน?และอย่างไหน
           ต้องใช้ความพยายามมากกว่ากัน?


สวัสดีค่ะ คุณน้องหนุ๋งหนิ๋ง ที่รัก

            - พี่สิงห์ กลับ กทม. เรียบร้อยดีครับวันนี้ ตอนเครื่องบินขึ้นอากาศเปิด

            - ขอตอบตามความเห็นของพี่สิงห์ ครับ

            - การที่เราอยากจะจำอะไรสักอย่างหนึ่งให้จำได้นั้น  ถ้าโดยปกติแล้วเราจะจำค่อนข้างอยากมาก เสมอ เพราะธรรมชาติของจิต-สมอง มันเป็นอย่างนั้น มันไม่อยากจำมากเพราะความจำมันมีจำกัดในสมองคน จำมากยิ่งยุ่งมาก แต่ถ้าเราจะจำอะไรได้ดีนั้น มันต้องมีเหตุเป็นปัจจัยที่สร้างจุดสนใจให้กับจิตของเราเป็นพิเศษและต้องมีสติเป็นสมาธิจึงจะจำได้ และต้องมีเหตุการณ์ประกอบ จะจำได้แม่นเลย เช่น ตอนพี่สิงห์ ถูกรับน้องที่หอหญิง(พี่สิงห์เข้าอยู่หอพักตอนปี ๓) ปรากฏว่าโดนหอหญิงแกล้งให้กินขนมปังทากะปิ คือเป็นสิ่งที่เราไม่ชอบมันจึงจำได้ ฉนั้นข้อสรุปที่เราอยากจะให้จำได้คือ เราต้องชอบ และเราไม่ชอบ เป็นพิเศษ จึงจะจำได้ง่าย

             -  สำหรับการที่เราอยากจะลืมให้ได้นั้นก็เช่นกัน ต้องมีเหตุปัจจัยประกอบ คือชอบกับไม่ชอบ โดยเฉพาะการไม่ชอบไม่ถูกใจนั้นลืมยาก แต่ถ้าเราฝึกจิตของเราบ่อยๆ คือการปฏิบัติธรรมนี่ละ สามารถช่วยได้ ในสิ่งที่เราอยากลืม เพราะจิตมันจะปล่อยวางไม่คิดถึงมันได้ เพราะจิตจะอยู่ ณ ปัจจุบัน ดังที่พระพุทธองค์ทรงสอนอยู่เสมอว่า จิตมนุษย์นั้นสามารถฝึกได้

             - สรุป อยากลืม ยากกว่า อยากจำ ครับ โดยเฉพาะเรื่องที่ฝังใจ อยู่ในจิตใต้สำนึกเป็นอาสวะกิเลส และเราไม่ชอบ หรือพลัดพรากจากสิ่งที่รักอย่างมาก มันลืมอยากครับ  แต่อย่างไรก็ตามเราอาจจะไม่สามารถลืมมันได้ แต่เราสามารถฝึกจิตของเราให้อยู่เหนือมันได้ คือถึงมันไม่ลืมก็ไม่มีผลอะไรกับเราทั้งสิ้น เพราะว่าเราฝึกจิตของเราให้เหนือมันเท่านั้น  ดังพระพุทธองค์ทรงเตือนอยู่เสมอว่า ให้พึงระวังจิตของตนเองหรืออัตตาให้ดี เพราะมันจะนำทุกข์มาให้ พระองค์ถึงสอนว่า ต้องคิดว่า ขันธ์ ๕ (รูป-นาม) อายตนะ ๑๒ และธรรมทั้งหลายนั้นเป็น อนัตตา  รวมทั้งนิพพานเป็นอนัตตา ทั้งสิ้น ถ้าเราสามารถระวังอัตตาตัวเองได้ เราก็จะไม่หลงไปกับจิตตนเองในการก่อทุกข์โดยที่ไม่มีสติไปควบคุมครับ

              - บ้านเธอหิมะ ตกหรือยัง ครับ

                สวัสดีค่ะ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #4689 เมื่อ: 17 ธันวาคม 2554, 20:58:10 »

                คุณน้องหนุ๋งหนิ๋ง อย่าลืมเด็ดขาด วันที่ ๑๗ มกราคม เป็นวันเกิดผู้ยิ่งใหญ่แห่ง CMADONG.COM  ท่านหนึ่งที่จะมีอายุครบแซยิด ๖๐ ปี หน้าที่พวกเราชาวเวบ จะจัดฉลองให้ยิ่งใหญ่ สักครั้งหนึ่งในปีหน้าครับ เดาเอาเองว่าเป็นวันเกิดใคร

                 สวัสดี
      บันทึกการเข้า
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #4690 เมื่อ: 17 ธันวาคม 2554, 21:11:04 »

วันเกิดท่านพี่ทองอู่
อุ๊ย,ไม่ไช่คะ
เพราะท่านมากกว่า80

60 เหรอคะ?
พี่ป๋องจะ60แล้วเหรอคะ?
หนิงยังจำเป็น40
ว็ายยยย,อ่าร้าย น้อยกว่าหนิงอีก
ทะลึ่ง.
      บันทึกการเข้า


khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #4691 เมื่อ: 17 ธันวาคม 2554, 21:23:09 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 17 ธันวาคม 2554, 20:53:20

          สวัสดีค่ะ คุณน้องหนุ๋งหนิ๋ง ที่รัก

            - พี่สิงห์ กลับ กทม. เรียบร้อยดีครับวันนี้ ตอนเครื่องบินขึ้นอากาศเปิด

            - ขอตอบตามความเห็นของพี่สิงห์ ครับ

            - การที่เราอยากจะจำอะไรสักอย่างหนึ่งให้จำได้นั้น  ถ้าโดยปกติแล้วเราจะจำค่อนข้างอยากมาก เสมอ เพราะธรรมชาติของจิต-สมอง มันเป็นอย่างนั้น มันไม่อยากจำมากเพราะความจำมันมีจำกัดในสมองคน จำมากยิ่งยุ่งมาก แต่ถ้าเราจะจำอะไรได้ดีนั้น มันต้องมีเหตุเป็นปัจจัยที่สร้างจุดสนใจให้กับจิตของเราเป็นพิเศษและต้องมีสติเป็นสมาธิจึงจะจำได้ และต้องมีเหตุการณ์ประกอบ จะจำได้แม่นเลย เช่น ตอนพี่สิงห์ ถูกรับน้องที่หอหญิง(พี่สิงห์เข้าอยู่หอพักตอนปี ๓) ปรากฏว่าโดนหอหญิงแกล้งให้กินขนมปังทากะปิ คือเป็นสิ่งที่เราไม่ชอบมันจึงจำได้ ฉนั้นข้อสรุปที่เราอยากจะให้จำได้คือ เราต้องชอบ และเราไม่ชอบ เป็นพิเศษ จึงจะจำได้ง่าย

             -  สำหรับการที่เราอยากจะลืมให้ได้นั้นก็เช่นกัน ต้องมีเหตุปัจจัยประกอบ คือชอบกับไม่ชอบ โดยเฉพาะการไม่ชอบไม่ถูกใจนั้นลืมยาก แต่ถ้าเราฝึกจิตของเราบ่อยๆ คือการปฏิบัติธรรมนี่ละ สามารถช่วยได้ ในสิ่งที่เราอยากลืม เพราะจิตมันจะปล่อยวางไม่คิดถึงมันได้ เพราะจิตจะอยู่ ณ ปัจจุบัน ดังที่พระพุทธองค์ทรงสอนอยู่เสมอว่า จิตมนุษย์นั้นสามารถฝึกได้

             - สรุป อยากลืม ยากกว่า อยากจำ ครับ โดยเฉพาะเรื่องที่ฝังใจ อยู่ในจิตใต้สำนึกเป็นอาสวะกิเลส และเราไม่ชอบ หรือพลัดพรากจากสิ่งที่รักอย่างมาก มันลืมอยากครับ  แต่อย่างไรก็ตามเราอาจจะไม่สามารถลืมมันได้ แต่เราสามารถฝึกจิตของเราให้อยู่เหนือมันได้ คือถึงมันไม่ลืมก็ไม่มีผลอะไรกับเราทั้งสิ้น เพราะว่าเราฝึกจิตของเราให้เหนือมันเท่านั้น  ดังพระพุทธองค์ทรงเตือนอยู่เสมอว่า ให้พึงระวังจิตของตนเองหรืออัตตาให้ดี เพราะมันจะนำทุกข์มาให้ พระองค์ถึงสอนว่า ต้องคิดว่า ขันธ์ ๕ (รูป-นาม) อายตนะ ๑๒ และธรรมทั้งหลายนั้นเป็น อนัตตา  รวมทั้งนิพพานเป็นอนัตตา ทั้งสิ้น ถ้าเราสามารถระวังอัตตาตัวเองได้ เราก็จะไม่หลงไปกับจิตตนเองในการก่อทุกข์โดยที่ไม่มีสติไปควบคุมครับ

              - บ้านเธอหิมะ ตกหรือยัง ครับ

                สวัสดีค่ะ


หนิงขบคิดนะคะนี่.
ใครนะ ใจร้ายทากะปิกะขนมปังให้พี่กิน?
ทำไมไม่ทากะมะม่วงเปรี้ยว??


พี่สิงห์,แล้วถ้าสมองและความทรงจำเรา
จะประหยัดที่ ประหยัดพลังงาน ด้วยการ
connectทั้งเรื่องดีและไม่ดีเข้าด้วยกัน..
ก่อนเก็บทีเดียว หลังย่อยและwork outแล้ว
จะดีกว่ามั้ยคะ?
เพราะหนิงคิดว่าในเรื่องดีมีความไม่ดีแอบอยู่
เท่าๆกะเรื่องไม่ดีที่มักพ่วงมาด้วยเรื่องดี..
คล้ายหนังที่ต่อเนื่อง?

ม่ายงั้น,มีภาพ/กลิ่นกะปิ แต่ไม่รู้ว่าใคร-ทำอะไร-ที่ไหน
-ทำไม-เมื่อไหร่ หรือ มีภาพผู้คนที่พี่รัก แต่ความเกี่ยวข้อง
ก่อน-หลัง-ปัจจุบัน-อนาคต ถูกตัดขาด??
      บันทึกการเข้า


khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #4692 เมื่อ: 17 ธันวาคม 2554, 21:27:35 »

วันนี้บางเขตตอนเหนือของเยอรมันีจะมีหิมะตกคะ
แถบบ้านหนิง"อาจจะ"คะพี่
พายุ"Joachim"ผ่านแถบที่หนิงอยู่ไปได้อย่างหวุดหวิด
แต่เขตอื่นเสียหายไม่น้อยคะพี่สิงห์
วันนี้และอีก2-3 วันข้างหน้าจะหนาวคะและอาจมีหิมะ.
      บันทึกการเข้า


suriya2513
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,457

« ตอบ #4693 เมื่อ: 17 ธันวาคม 2554, 21:36:59 »

แหมคนยิ่งจะ ลด ละ เลิก ความเป็น อัตตาตัวตนอยู่
อุบาสกสิงห์น่าจะให้การสนับสนุน
ปล่อยมันผ่านไปเงียบๆ ไม่ดีกว่าหรือครับ
      บันทึกการเข้า

[โบราณคดี]จุดกำเนิดเริ่มต้นของ cmadong.com by : มานพ กลับดี  คลิ๊ก->
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #4694 เมื่อ: 17 ธันวาคม 2554, 21:47:34 »

งั้นจะกัดช็อคโกแล็ต
Happy Birthday toooo youuuu
2 งานคะ
17 มกรา+14 กุมภา
แล้วไปลดน้ำหนัก 11 มีนา.

ฮืมมมม คิดแล้วอยากคะ
      บันทึกการเข้า


Khun28
Full Member
**


ดูกายเห็นจิต ดูคิดเห็นธรรม
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: RCU2528
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์
กระทู้: 784

« ตอบ #4695 เมื่อ: 18 ธันวาคม 2554, 07:49:11 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 17 ธันวาคม 2554, 13:36:06
               
                 วันนี้คุณนิจ เจ้าหน้าที่จัดทัวร์ไปอินเดีย ได้โทรศัพท์มาบอกว่า

                 ตกลง ผมกับ ดร.กุศล ได้ไปอินเดียในวันที่ ๘-๑๗ กุมภาพันธ์

                 ดังนั้น ในวันที่ ๑๔ ที่ตรงกับวันเกิดผม ผมจะได้สวดธรรมจักรกัปปวัตนสูตร นั่งปฏิบัติธรรม ที่สารนาถ สถานที่พระพุทธองค์ทรงแสดงปฐมเทศนา และกลางคืน ได้ไปปฏิบัติธรรมที่ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ตลอดคืน นับว่าเป็นโอกาสที่ดี สำหรับผม ครั้งหนึ่ง ในปี ๒๕๕๕ ครับ

                 นอกจากนี้ได้ตกลงใจแล้วว่า วันที่ ๒๖ - ๓๐ ธันวาคม จะไปปฏิบัติธรรม ที่วัดป่าสุคะโต เพื่อชำระจิตใจให้ดีขึ้น ก่อนปีใหม่ ครับ

                  สวัสดี


ขออนุโมทนาด้วยครับพี่สิงห์

      บันทึกการเข้า
Khun28
Full Member
**


ดูกายเห็นจิต ดูคิดเห็นธรรม
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: RCU2528
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์
กระทู้: 784

« ตอบ #4696 เมื่อ: 18 ธันวาคม 2554, 08:45:43 »

ขออนุญาติพี่สิงห์

ฝาก Link เกี่ยวกับธรรมะ ให้พี่หนิงครับ   

http://www.fungdham.com/index.html

ช่วงที่ไปอยู่จีน ผมก็ได้เว็บนี้ ในการ download เสียงธรรมะ มาฟังก่อนนอนครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #4697 เมื่อ: 18 ธันวาคม 2554, 19:23:03 »

อ้างถึง
ข้อความของ khesorn mueller เมื่อ 17 ธันวาคม 2554, 21:23:09
อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 17 ธันวาคม 2554, 20:53:20

          สวัสดีค่ะ คุณน้องหนุ๋งหนิ๋ง ที่รัก

            - พี่สิงห์ กลับ กทม. เรียบร้อยดีครับวันนี้ ตอนเครื่องบินขึ้นอากาศเปิด

            - ขอตอบตามความเห็นของพี่สิงห์ ครับ

            - การที่เราอยากจะจำอะไรสักอย่างหนึ่งให้จำได้นั้น  ถ้าโดยปกติแล้วเราจะจำค่อนข้างอยากมาก เสมอ เพราะธรรมชาติของจิต-สมอง มันเป็นอย่างนั้น มันไม่อยากจำมากเพราะความจำมันมีจำกัดในสมองคน จำมากยิ่งยุ่งมาก แต่ถ้าเราจะจำอะไรได้ดีนั้น มันต้องมีเหตุเป็นปัจจัยที่สร้างจุดสนใจให้กับจิตของเราเป็นพิเศษและต้องมีสติเป็นสมาธิจึงจะจำได้ และต้องมีเหตุการณ์ประกอบ จะจำได้แม่นเลย เช่น ตอนพี่สิงห์ ถูกรับน้องที่หอหญิง(พี่สิงห์เข้าอยู่หอพักตอนปี ๓) ปรากฏว่าโดนหอหญิงแกล้งให้กินขนมปังทากะปิ คือเป็นสิ่งที่เราไม่ชอบมันจึงจำได้ ฉนั้นข้อสรุปที่เราอยากจะให้จำได้คือ เราต้องชอบ และเราไม่ชอบ เป็นพิเศษ จึงจะจำได้ง่าย

             -  สำหรับการที่เราอยากจะลืมให้ได้นั้นก็เช่นกัน ต้องมีเหตุปัจจัยประกอบ คือชอบกับไม่ชอบ โดยเฉพาะการไม่ชอบไม่ถูกใจนั้นลืมยาก แต่ถ้าเราฝึกจิตของเราบ่อยๆ คือการปฏิบัติธรรมนี่ละ สามารถช่วยได้ ในสิ่งที่เราอยากลืม เพราะจิตมันจะปล่อยวางไม่คิดถึงมันได้ เพราะจิตจะอยู่ ณ ปัจจุบัน ดังที่พระพุทธองค์ทรงสอนอยู่เสมอว่า จิตมนุษย์นั้นสามารถฝึกได้

             - สรุป อยากลืม ยากกว่า อยากจำ ครับ โดยเฉพาะเรื่องที่ฝังใจ อยู่ในจิตใต้สำนึกเป็นอาสวะกิเลส และเราไม่ชอบ หรือพลัดพรากจากสิ่งที่รักอย่างมาก มันลืมอยากครับ  แต่อย่างไรก็ตามเราอาจจะไม่สามารถลืมมันได้ แต่เราสามารถฝึกจิตของเราให้อยู่เหนือมันได้ คือถึงมันไม่ลืมก็ไม่มีผลอะไรกับเราทั้งสิ้น เพราะว่าเราฝึกจิตของเราให้เหนือมันเท่านั้น  ดังพระพุทธองค์ทรงเตือนอยู่เสมอว่า ให้พึงระวังจิตของตนเองหรืออัตตาให้ดี เพราะมันจะนำทุกข์มาให้ พระองค์ถึงสอนว่า ต้องคิดว่า ขันธ์ ๕ (รูป-นาม) อายตนะ ๑๒ และธรรมทั้งหลายนั้นเป็น อนัตตา  รวมทั้งนิพพานเป็นอนัตตา ทั้งสิ้น ถ้าเราสามารถระวังอัตตาตัวเองได้ เราก็จะไม่หลงไปกับจิตตนเองในการก่อทุกข์โดยที่ไม่มีสติไปควบคุมครับ

              - บ้านเธอหิมะ ตกหรือยัง ครับ

                สวัสดีค่ะ


หนิงขบคิดนะคะนี่.
ใครนะ ใจร้ายทากะปิกะขนมปังให้พี่กิน?
ทำไมไม่ทากะมะม่วงเปรี้ยว??


พี่สิงห์,แล้วถ้าสมองและความทรงจำเรา
จะประหยัดที่ ประหยัดพลังงาน ด้วยการ
connectทั้งเรื่องดีและไม่ดีเข้าด้วยกัน..
ก่อนเก็บทีเดียว หลังย่อยและwork outแล้ว
จะดีกว่ามั้ยคะ?
เพราะหนิงคิดว่าในเรื่องดีมีความไม่ดีแอบอยู่
เท่าๆกะเรื่องไม่ดีที่มักพ่วงมาด้วยเรื่องดี..
คล้ายหนังที่ต่อเนื่อง?

ม่ายงั้น,มีภาพ/กลิ่นกะปิ แต่ไม่รู้ว่าใคร-ทำอะไร-ที่ไหน
-ทำไม-เมื่อไหร่ หรือ มีภาพผู้คนที่พี่รัก แต่ความเกี่ยวข้อง
ก่อน-หลัง-ปัจจุบัน-อนาคต ถูกตัดขาด??


สวัสดีค่ะ คุณน้องหนุ๋งหนิ๋ง ที่รัก

            ถ้าเราสามารถสั่งสมองของเราให้เก็บข้อมูลได้แบบนั้น มันก็เป็น "อัตตา" ซิจะ แต่เนื่องจากเราไม่สามารถมีอำนาจสั่งการเหนือร่างกายของเราได้เลยทั้งรูป เวทนา สัญญา  สังขาร วิญญาณ หรือสั่งการเมื่อตาเห็นรูป หูได้ยิน จมูกได้ดมกลิ่น  ลิ้นได้ลิ้มรส กายได้สัมผัส ปล่อยจิตให้คิด ซึ่งจะเห็นว่าเราสั่งการไม่ได้เลยในสิ่งที่กล่าวมานั้น

             ดังนั้น พระพุทธองค์จึงทรงสอนเราว่า รูป-นาม อายตนะ ๑๒ ธรรมทั้งหลาย ล้วนเป็น "อนัตตา"  ดังนั้นเธอจึงไม่สามารถสั่งสมองเธอในการจำ รวมรวมจำแต่สิ่งดีๆ หรือให้ลืม เธอสั่งมันไม่ได้ทั้งนั้น เพราะมันเป็น อนัตตา แต่เธอสามารถเอาชนะจิตเธอให้อยู่เหนือมันได้ ด้วยการปฏิบัติธรรม ครับ

             สวัสดีค่ะ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #4698 เมื่อ: 18 ธันวาคม 2554, 19:26:54 »

อ้างถึง
ข้อความของ suriya2513 เมื่อ 17 ธันวาคม 2554, 21:36:59
แหมคนยิ่งจะ ลด ละ เลิก ความเป็น อัตตาตัวตนอยู่
อุบาสกสิงห์น่าจะให้การสนับสนุน
ปล่อยมันผ่านไปเงียบๆ ไม่ดีกว่าหรือครับ

             
               คุณน้องหนุ๋งหนิ๋ง และชาวซีมะโด่งที่รักทุกท่าน ตกลงเรารู้แล้วว่าวันที่ ๑๗ มกราคม เป็นวันเกิดของใครที่จะมีอายุ ครบ ๖๐ ปี มีสิทธิขึ้นทะเบียนเพื่อของรับเงินสงเคราะห์ผู้สูงอายุ จากรัฐบาล

               ดังนั้น เขียนแปีะข้างฝาเอาไว้ จะต้องจัดงานชุมนุมชาวเวบแล้วครับวันนั้น ส่วนจะเป็นที่ไหน ว่ากันอีกทีหนึ่ง

               สวัสดี
      บันทึกการเข้า
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #4699 เมื่อ: 18 ธันวาคม 2554, 19:38:50 »

อ้างถึง
ข้อความของ Khun28 เมื่อ 18 ธันวาคม 2554, 08:45:43
ขออนุญาติพี่สิงห์

ฝาก Link เกี่ยวกับธรรมะ ให้พี่หนิงครับ   
http://www.fungdham.com/index.html

ช่วงที่ไปอยู่จีน ผมก็ได้เว็บนี้ ในการ download เสียงธรรมะ มาฟังก่อนนอนครับ




For me??
Pour moi??
Für mich??

ให้พี่เหรอคะ?
โอ,ขอบคุณคะ.
ได้แบ่งๆกัน ได้บุญนะคะนี่!
      บันทึกการเข้า


  หน้า: 1 ... 186 187 [188] 189 190 ... 681   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

ทำไมหอพักนิสิตจุฬาจึงเป็นดินแดนมหัศจรรย์            " ไม่ได้เป็นแค่หอให้นอนพัก  แต่เป็นบ้านอบอุ่นรักให้อาศัย  ไม่เป็นแค่ที่ซุกหัวยามหลบภัย  แต่สร้างใจให้เข้มแข็งแกร่งการงาน"  <))))><