Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์
รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644
|
|
« ตอบ #3275 เมื่อ: 03 ตุลาคม 2554, 08:17:41 » |
|
รู้ประวัติ พุทธสาวก อรหันต์ เอตทัคคะ
ลำดับที่ ๒๖
พระเรวตขทิรวนิยเถระ
เอตทัคคะในทางผู้อยู่ป่า พระเรวตขทิรวนิยะ เป็นบุตรของพราหมณ์ชื่อวังคันตะ มารดาชื่อนางสารี ในหมู่บ้านตำบลนาลันทา แคว้นมคธ ซึ่งบิดาของท่านเป็นนายบ้านหรือหัวหน้าหมู่บ้านนั้น อันตั้งอยู่ใน ท่านเป็นน้องชายอีกคนสุดท้องของพระสารีบุตรเถระ เดิมชื่อว่า เรวัตะ • ๗ ขวบ ได้แต่งงาน
เมื่อท่านอยู่ในวัยเด็ก อายุประมาณ ๗-๘ ขวบเท่านั้น บิดามารดาของท่านได้ปรึกษากันว่า:- “บุตรธิดาของเราออกบวชไปแล้ว ๖ คน ยังเหลือเรวตะเพียงคนเดียว ถ้าเรวตะ ออกบวชอีก ก็จะไม่มีผู้ใดสืบทอดวงศ์ตระกูล เราควรผูกมัดเราวตะ ไว้ด้วยการให้มีภรรยา รับผิดชอบต่อครอบครัวเสียแต่ในวัยเด็กนี้จะดีกว่า ถ้าปล่อยไว้อาจถูกพระสงฆ์พุทธสาวกพาไปบวชอีก" เมื่อปรึกษาและมีความเห็นชอบตรงกันแล้ว จึงจัดการสู่ขอนางกุมาริกาผู้มีฐานะชาติตระกูลเสมอกันแล้วกำหนดวันวิวาหมงคล ครั้นเตรียมการทุกอย่างพร้อมสรรพ และถึงกำหนดนัดวันวิวาห์แล้ว ขณะทำพิธีแต่งงาน ญาติมิตรต่างทยอยกันเข้าหลั่งน้ำ และกล่าวคำอวยพรคู่บ่าวสาวตามประเพณีนั้น มีญาติผู้ใหญ่ของฝ่ายเจ้าสาว เป็นคุณยายอายุประมาณ ๑๒๐ ปี กล่าวคำอวยพรให้เจ้าบ่ายเจ้าสาวปรองดองครองรักกันยาวนานมีอายุยืนยาวเหมือนคุณยายนี้
รวตะได้ฟังคำอวยพร และเห็นคุณยายร่างกายแก่หง่อม หลังค่อมโกง ผิวตกกระ งก ๆ เงิ่น ๆ หากความงามอันเป็นที่เจริญจิตเจริญใจมิได้เลย แล้วหวนคิดเปรียบเทียบกับเจ้าสาวของตนซึ่งจะมีสภาพร่างกายเหมือนคุณยายนี้ จึงเกิดความเบื่อหน่ายขึ้นมาทันที และเริ่มคุ่นคิดหาวิธีเพื่อหลีกหนีชีวิตครอบครัวฆราวาส และมองเห็นว่าวิธีเดียวที่จะพ้นได้ ก็คือต้องออกบวชเหมือนพี่ ๆ จึงจะพ้นได้
• หนีเมียบวช
ดังนั้น ขณะที่ท่านนั่งอยู่บนยานพาหนะเดินทางไปสู่เรือนหอนั้น ท่านได้แสดงอาการว่าท้องเสียขอตัวเพื่อลงไปถ่ายท้องในป่าข้างทาง ครั้งแรก ๆ บิดามารดาได้สั่งให้คนคอยติดตามดูเพราะกลัวว่าจะหนี เรวตะ เห็นว่ามีคนคอยติดตามดูอยู่จึงกลับมาด้วยดี บิดามารดาและคนคอยติดตามก็ชื่อว่าคงจะท้องเสียจริง ๆ จึงเลิกติดตามเรวตะ จึงได้โอกาสหนีไปได้สำเร็จและได้พบสำนักพระภิกษุผู้อยู่ในป่า จึงเข้าขอบรรพชาในสำนักของท่าน ส่วนพระภิกษุรูปนั้นพอทราบว่าเป็นน้องชายของพระสารีบุตรเถระ ก็รับจัดการบวชให้ทันที โดยไม่ต้องขออนุญาตบิดามารดาก่อน เพราะพระสารีบุตรเถระได้สั่งไว้ว่า “ถ้าพบน้องชายของเราให้บวชได้ทันที” เนื่องจากถ้าไปขออนุญาตบิดามารดาก็จะไม่ได้บวช เพราะบิดามารดาของท่านเป็นมิจฉาทิฏฐิ
พระสารีบุตรเถระได้ทราบข่าวว่า เรวตะน้องชายบวชแล้ว คิดจะไปเยี่ยมจึงกราบทูลลา พระผู้มีพระภาค ถึง ๒ ครั้ง พระพุทธองค์ตรัสห้ามยับยั้งไว้ ส่วนสามเณรเรวตะคิดว่า ถ้าอยู่ในสำนักของพระอุปัชฌาย์นี้ต่อไป บรรดาญาติ ๆ ทั้งหลาย อาจจะตามมาพบและนำตัวเรากลับไปก็ได้ จึงเรียนกรรมฐานจากพระอุปัชฌาย์นั้นแล้ว ได้ลาไปบำเพ็ญวิปัสสนากรรมฐานในป่าไม้ตะเคียน (ขทิรวนิยะ) ระยะทางไกลออกไปประมาณ ๓๐ โยชน์ ปฏิบัติอยู่ 3 เดือน ก็ได้บรรลุพระอรหัตผล พร้อมด้วยปฏิสัมภิทาทั้งหลาย เป็นพระอรหันต์ในพรรษานั้น เพราะท่านอยู่ในป่าไม้ตะเคียนเป็นเวลานานจึงได้นามใหม่ว่า “พระเรวตขทิรวนิยเถระ”
• พระพุทธองค์เสด็จเยี่ยม
เมื่อออกพรรษาปวารณาแล้ว พระสารีบุตรเถระกราบทูลลาพระบรมศาสดาเพื่อไปเยี่ยมพระรวตะ อีกครั้ง พระบรมศาสดารับสั่งว่าจะเสด็จไปด้วย และรับสั่งให้แจ้งแก่ภิกษุทั้งหลายประมาณ ๕๐๐ รูปเตรียมเดินทางไปด้วยกันเมื่อพระบรมศาสดาพร้อมด้วยหมู่ภิกษุบริวารเสด็จดำเนินมาถึงทาง ๒ แพร่ง พระอานนท์เถระกราบทูลว่า:- “ข้าแต่พระผู้มีพระภาร ทางไปสำนักของพระเรวตะ นั้น ทางนี้เป็นทางอ้อมประมาณ ๖๐ โยชน์ เป็นที่อยู่ของมนุษย์สะดวกแก่การภิกขาจาร ส่วนอีกทางหนึ่งเป็นทางตรงประมาณ๓๐ โยชน์ แต่เป็นถิ่นที่อยู่ของอมนุษย์ พระภิกษุสงฆ์จะลำบากด้วยภิกขาจาร พระเจ้าข้า” พระผู้มีพระภาค ตรัสถามพระอานนท์เถระว่า:- “อานนท์ พระสีวลีมากับพวกเราหรือเปล่า ?” “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระสีวลีมาด้วยพระเจ้าข้า” “อานนท์ ถ้าอย่างนั้น ก็จงไปทางตรงนั่นแหละ” การที่พระพุทธองค์ทรงรับสั่งอย่างนั้น ก็เพราะพระองค์ทรงทราบว่า เทวดาทั้งหลายในระหว่างหนทางนั้น จะพากันจัดที่พักและอาหารบิณฑบาตถวายพระสีวลี ผู้เป็นที่เคารพนับถือของพวกตน บรรดาพระภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธองค์เป็นประมุขก็จะไม่ลำบากด้วยภิกขาจาร และสถานที่พัก ด้วยอาศัยบุญของพระสีวลีนั้น เมื่อพระบรมศาสดาพร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์บริวารเหล่านั้นเสด็จมาใกล้จะถึงแล้ว พระเรวตะแสดงฤทธิ์เนรมิตป่าเป็นพระคันธกุฎี สำหรับพระผู้มีพระภาค และเนรมิตสถานที่จงกรมพร้อมด้วยสถานที่พักกลางคืนและกลางวันเพื่อความสะดวกและผาสุกแก่ภิกษุทั้งหลาย ที่ตามเสด็จมาด้วยอีกอย่างละ ๕๐๐ แห่ง แล้วออกไปถวายการต้อนรับนำเสด็จเข้าสู่พระคันธกุฏี พระพุทธองค์ประทับอยู่ ณ ที่นั้นพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ เป็นเวลา ๑ เดือน จึงเสด็จกลับเมื่อพระผู้มีพระภาคเสด็จกลับแล้ว พระเรวตเถระจึงคลายฤทธิ์ สถานที่นั้นก็กลับกลายเป็นสภาพป่าไม้ตะเคียนตามเดิม
• พระหลวงตานินทาพระเรวตะ
ในขณะที่พระพุทธองค์พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์พักที่ป่าไม้ตะเคียนนั้น มีพระชรา ๒ รูป ร่วมคณะอยู่ด้วย ท่านทั้งสองนั่งสนทนากันว่า “พระเรวตะ ทำการก่อสร้างอารามยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้ จะมีเวลาบำเพ็ญสมณธรรมได้อย่างไร แม้แต่พระเชตะวันกับพระเวฬุวันก็ยังสู้อารามนี้ไม่ได้ พระผู้มีพระภาคคงจะเห็นแก่หน้าว่าเป็นน้องชายของพระสารีบุตรอัครสาวกจึงเสด็จมาเยี่ยม” พระผู้มีพระภาคทรงทราบวารจิตของพระชราทั้ง ๒ รูป นั้นด้วย และทรงดำริว่า “ถ้าอยู่นานก็จะเป็นการรบกวนพระเรวตะ เพราะปกติพระภิกษุผู้อยู่ป่าย่อมต้องการความสงบ” ดังนั้นด้วย จึงเสด็จกลับ พร้อมกันนั้นได้ทรงอธิษฐานให้พระหลวงตาทั้ง ๒ รูป ลืมของใช้ส่วนตัวไว้ เมื่อตามเสด็จออกมาพ้นเขตอารามแล้ว พระพุทธองค์จึงคลายฤทธิ์อธิษฐาน พระภิกษุชราทั้ง ๒ รูป พอนึกขึ้นได้ว่าลืมของไว้จึงพากันรีบกลับไปเอาแต่ทว่าคราวนี้ สภาพหนทางและกุฏีที่พักอาศัยหายไปทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนแปลงสภาพเป็นป่าไปหมด พบของตนแขวนอยู่ที่ต้นตะเคียนบ้าง อยู่บนตอตะเคียนบ้าง สร้างความประหลาดใจแก่หลวงตาทั้งสองเป็นอย่างยิ่ง
ด้วยเหตุนี้ที่พระเรวตเถระอยู่ในป่าไม้ตะเคียนเป็นเวลานาน ท่านได้รับยกย่องจากพระบรมศาสดาในตำแหน่งเอตทัคคะเป็นผู้เลิกกว่าภิกษุทั้งหลาย ในทาง ผู้อยู่ป่า ท่านดำรงอายุสังขาร ช่วยกิจการพระศาสนาสมควรแก่กาลเวลาแล้ว ก็ดับขันธปรินิพพาน
|
|
|
|
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์
รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644
|
|
« ตอบ #3276 เมื่อ: 03 ตุลาคม 2554, 08:22:10 » |
|
เรียนเชิญ ชาวซีมะโด่ง ทุกท่าน ร่วมงานแสดงมุทิตาจิตต์
แด่
พี่ทองอู่ จักรสิงห์
เนื่องในวันเกิด อายุครบ ๗ รอบ ๘๔ ปี
ณ.ภัตตาคารกุหลาบ ถนนพหลโยธิน ซอยอารีย์ เวลา ๑๘:๐๐ น.
ในวันอาทิตย์ที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๕๔
ชาวซีมะโด่งร่วมกันเป็นเจ้าภาพครับ
ขอบพระคุณมาก
|
|
|
|
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์
รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644
|
|
« ตอบ #3277 เมื่อ: 03 ตุลาคม 2554, 09:31:25 » |
|
สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง และผุ้มีเกียรติ ที่รักทุกท่าน ที่ผ่านมาหาความรู้ ครับ
วันนี้ผมอยู่บ้าน พอมีเวลา ไม่ได้กลับไปเยี่ยมแม่ที่สิงห์บุรี เพราะว่าจะไปเฝ้าแม่แทน คุณประเสริฐ ที่ดูแลแม่อยู่ เนื่องจากคุณประเสริฐต้องไปจัดการโอนที่ รับมรดกจากแม่ หนึ่งวันที่อุทัยธานี ในวันพฤหัสบดี ซึ่งน้องสาวได้จัดรถเอาไว้ให้แล้ว ผมจึงต้องไปเฝ้าแม่ที่โรงพยาบาลแทน หนึ่งวัน ครับ
วันนี้ผมอยู่บ้านพอมีเวลา จึงอยากขอขยายความของ "กฏไตรลักษณ์" ในอีกความหมายหนึ่ง เพื่อให้ทุกท่านได้พิจารณา ด้วยปัญญาของท่านครับ
สวัสดีกฏไตรลักษณ์ จากพระพุทธดำรัส ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย !
"สังขาร ทั้งหลาย เป็นอนิจจัง สังขาร ทั้งหลาย เป็นทุกข์ ธรรม ทั้งหลาย เป็นอนัตตา"
"สังขาร ทั้งหลาย เป็นอนิจจัง" เพื่อทุกท่านได้เข้าใจชัดเจนขึ้น จึงขออธิบายในอีกความหมายหนึ่ง ดังนี้ "สังขาร" ในที่นี้ให้หมายถึง ความคิดปรุงแต่ง หรือสิ่งที่จิตของเรามันคิดขึ้นมา ซึ่งจะเห็นว่าจิตของคนเรานั้น จะไม่อยู่เฉยๆ เลยในทุกวินาที จะมีการคิดอยู่ตลอดเวลา คิดในสิ่งที่เป็นอดีต ที่ผ่านพ้นไปแล้วเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งส่วนใหญ่จะมีอารมณ์เสียดาย กับสิ่งนั้น เมื่อตัวเองชอบ และไม่อยากให้เกิดขึ้นในสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบ นอกจากนี้จะคิดไปในอนาคตที่ยังมาไม่ถึง ซึ่งส่วนใหญ่จะกังวลในสิ่งนั้น และชอบในสิ่งนั้น(ที่จะเกิดขึ้น หรืออยากให้เกิดขึ้น) นอกจากนี้จิตมันยังคิดในปัจจุบันในสิ่งที่ เห็นรูปจากตา ได้ยินเสียงทางหู ได้ดมกลิ่นทางจมูก ได้ลิ้มรสทางลิ้น และได้สัมผัสทางร่างกาย จิตมันจะคิดแต่สิ่งเหล่านี้ตลอดเวลาครับ ข้อสังเกตุ ถ้าเราเป็นนักปฏิบัติธรรม คอยเจริญสติอยู่เสมอ เราจะสามารถดู หรือรู้ความคิดจากสิ่งที่จิตมันคิดนี้ได้ แต่ถ้าใครปฏิบัติมากๆ ก็สามารถเห็นความคิดของตนเอง คือเห็นกระบวนการคิดก่อนที่จิตมันจะคิดได้ ความคิดที่จิตมันคิดขึ้นมาตลอดเวลานั้น เมื่อจิตมันคิดขึ้นมาแล้ว จะมีการคิดต่อเนื่อง และจิตมันจะสั่งให้รูป-นาม(รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) กระทำตามความคิดนั้น ถ้าเรามีความรู้สึกตัวอยู่ตลอดเวลา หรือมีสติ ไม่หลงอยู่ในความคิดของตัวเอง เราจะรู้ว่า ความคิดต่างๆ ที่จิตมันคิดอยู่ตลอดเวลานั้น ถ้าเรามีสติ เป็นอุเบกขา ไม่ให้รูป-นาม ของเรากระทำตาม เพียงแต่อยู่เฉยๆ ความคิดที่จิตมันคิดขึ้นมานั้น มันจะคงอยู่ให้เราคิดพักหนึ่ง ถ้าเราไม่คิดต่อ ความคิดนั้นก็จะดับ หรือหายไปเอง ความคิดของจิตคนเรานั้นมันเป็นธรรมชาติ อย่างนี้ คือสรุป ความคิดของมนุษย์ที่คิดขึ้นมานั้น ถ้าเราวางเฉย ไม่คิดต่อ มันก็จะหายไปเองเป็นธรรมชาติ นั่นแล
ขอเพียงให้มีสติและรู้ว่าสิ่งที่จิตมันคิดนั้น เมื่อมันไม่ก่อประโยชน์ ก็จงอยู่เฉยๆ แล้วความคิดนั้นก็จะหายไปเอง เราเพียงมีสติ ระวังจิตอย่าคิดต่อ(ไม่ตกอยู่ในความคิดของตนเองโดยไม่รู้ตัว)เท่านั้นเอง นี่ละ "สังขาร ทั้งหลาย เป็นอนิจจัง" "อนิจจัง" คือ ความไม่เที่ยงแท้ คือไม่สามารถดำรงค์อยู่ หรือคงอยู่ได้ ย่อมเสื่อมสลาย หรือดับไปเป็นธรรมดา
ความคิดของคนเรานั้น จึงเป็นอนิจจังเสมอ เมื่อคิดขึ้นมา มันก็ดับของมันไปเอง ยกเว้นท่านไปคิดปรุงแต่งมันต่อ(ตกอยู่ในความคิดตนเอง) มันจึงก่อ "ทุกข์" ให้กับท่านตามมา
"สังขาร ทั้งหลาย เป็นทุกข์"
"ทุกข์" คือสิ่งทนอยู่ได้อยาก หรือสร้างความไม่สบายกาย ความไม่สบายใจให้กับเราได้ เป็นสิ่งที่ทุกคนไม่มีใครชอบ
ความคิดของคนเรานั้น มีทั้งคิดในสิ่งที่เป็นประโยชน์ และคิดในสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ ต่อตัวเรา แม้แต่สิ่งที่เป็นประโยชน์กับตัวเรา ถ้าเรากระทำตามความคิดนั้น กว่าจะได้สิ่งนั้นมาก็ยังก่อทุกข์ คือความไม่สบายกาย ความไม่สบายใจกับเราเสมอ ยิ่งคิดในสิ่งที่ไม่ก่อประโยชน์ไม่ต้องพูดถึงมีแต่ทุกข์เสมอ
ดังนั้น ความคิดปรุงแต่งต่างๆ จึงเป็นทุกข์เสมอ ขอให้เราจำความหมายนี้เอาไว้ให้ดี เราไม่ควรปล่อยให้จิตมันคิดของมันเอง และหลงไปกระทำตามมัน ขอให้เรามีความรู้สึกตัวเสมอ มันจะคิดน้อยหลง หรือไม่คิดเลย(จิตมันรอให้สั่งให้มันคิด) แบบพระอรหันต์ ปกติจิตมนุษย์นั้นถ้ามีอิริยาบถต่างๆ เป็นตัวล่อและเรารู้สึกตัวได้ จิตมันจะไม่คิด ไม่เชื่อท่านลองกระทำดูท่านจะรู้เอง
อย่าลืม "คนเราทุกข์เพราะความคิด ถ้าไม่คิดก็ไม่ทุกข์" จะทำให้จิตไม่คิดได้นั้น ต้องมีความรู้สึกตัว คือมีสติในอิริยาบถ หรือถ้าจะคิดเราต้องตั้งใจคิดในสิ่งที่เป็นประโยชน์เท่านั้นครับ
"ธรรม ทั้งหลาย เป็นอนัตตา"
"ธรรม" ในที่นี้เพื่อให้เข้าใจชัดเจนยิ่งขึ้น ให้หมายถึง ขันธ์ ๕ คือ รูป(ร่างกาย) เวทนา(สิ่งที่ได้รับรู้ หรือผลลัพธ์) สัญญา(ความจำได้หมายรู้) สังขาร(ความคิดปรุงแต่ง) และวิญญาณ(สิ่งที่สัมผัสได้ หรือรู้ได้ทางอายตนะ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ)
"อนัตตา" คือ ไม่มีตัวไม่มีตน คือให้เข้าใจว่า ขันธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ นั้นมันไม่มีตัวมีตน เมื่อคิดว่ามันไม่มีตัวไม่มีตน ความยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ ๕ มันจะไม่บังเกิดขึ้น ความอยาก(ตัณหา) ต่างๆ มันก็จะไม่บังเกิดขึ้นกับจิต เมื่อไม่เกิดขึ้นเราก็จะคลายกำหนัด และมีจิตอยู่เหนือขันธ์ ๕ ได้ แต่เพราะเราไปยึดมั่นขันธ์ ๕ ว่ามันเป็น "อัตตา" คือมีตัวมีตัน ต้องดำรงค์คงอยู่ จึงมีแต่ตัณหา และตามมาด้วยทุกข์ ทั้งสิ้น
อนึ่ง ดร.สุริยา อาจจะแย้งว่า ไม่ให้ยึดติดในรูปแล้ว จะอยู่อย่างไร? เราก็ตายซิไม่ต้องทำอะไรกัน มันไม่ใช่อย่างนั้น จิตของเราไม่มีตัวไม่มีตน จิตหรือความคิดนั้น จริงๆมันไม่มีตัวไม่มีตนของมันเองอยู่แล้ว แต่จิตคนนั้นมันมาอาศัยรูป คือร่างกายที่เราสมมติว่าเป็นมนุษย์ มันต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ถ้าขาดจากกันมันอยู่ไม่ได้ทั้งคู่ คือตาย ดังนั้น เราต้องบำรุงทั้งจิต และร่างกายให้สมดุลย์กันไปทั้งคู่ ตามอัตภาพอย่างพอเพียงเท่านั้นพอ ก็เป็นสุขได้ทั้งรูปและจิต
เมื่อเกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว ซึ่งอยากมาก และเรมีโอกาสนับถือศาสนาพุทธด้วย จึงเป็นสิ่งที่ประเสริฐสุด ที่เราจะทำให้จิตของเราได้มีโอกาสหลุดพ้น ไม่ต้องเที่ยวเวียนว่าย ตาย - เกิด อยู่ในวัฏสงสารอีก เป็นจิตเร่ร่อนไปหารูปอาศัยใหม่อยู่ล่ำไป เราควรทำจิตของเราให้หลุดพ้นจากอาสวะกิเลส ได้ ด้วยการ "ตั้งสติปัฏฐาน ๔" นั่นแล
เอวังด้วยประการฉะนี้
|
|
|
|
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์
รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644
|
|
« ตอบ #3278 เมื่อ: 03 ตุลาคม 2554, 12:37:51 » |
|
กฏไตรลักษณ์ จากพระพุทธดำรัส ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย !
"สังขาร ทั้งหลาย เป็นอนิจจัง สังขาร ทั้งหลาย เป็นทุกข์ ธรรม ทั้งหลาย เป็นอนัตตา"
"สังขาร ทั้งหลาย เป็นอนิจจัง"
ในกรณีที่คำว่า "สังขาร" ในภาษาที่คนเรารู้ความหมายจากสมมติบัญญัติทั่วๆ ไป คือ หมายถึง ร่างกาย ของคนเรานั้น เราก็สามารถนำหลักพระพุทธดำรัสนี้มาอธิบายความหมายของมันได้ เพื่อให้เกิดการปลงสังเวช ไม่สนองความอยาก แก่นักปฏิบัติธรรม หรือบุคคลทั่วไปได้ ร่ายกายของคนเรานั้น เมื่ออยู่ในวัยย์เจริญพันธุ์ อวัยวะสมบูรณ์ทุกส่วน พร้อมที่จะสืบพันธุ์ได้ตามกฏธรรมชาตินั้น จะเป็นร่างกายที่สวยงาม น่าสัมผัส น่าเสพ น่ารักใคร่ น่าได้อยากมาครอบครอง เป็นที่ปราถนาทั้งชายและหญิง ไม่ยกเว้น ถ้าใครหลงงมงายปล่อยให้จิตนึกคิด และจิตบังคับให้รูปต้องกระทำตามที่ต้องการของจิต ก็จะก่อทุกข์มหาศาล ในอดีตที่ผ่านมาการทะเราะเบาะแว่งส่วนตน และชาติที่เกิดจากการแย่ง สตรีกันนั้นก่อสงคราม ก่อให้เกิดความทุกข์อย่างมหันต์ จนมีคำโบราณกล่าวเป็นสิ่งเตือนใจไว้ให้เราคิดเสมอ
"ความรักนั้น เกิดขึ้นกับผู้ใดแล้ว มันจะลืมทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นอุปสรรคหมด เพียงขอให้ได้ในสิ่งที่ตนเองปราถนา จะไปก่อกรรมทำเข็ญอย่างไรก็ได้ทั้งนั้น หรือความรักจักนำทุกข์มาให้ ถ้าความปราถนาที่ได้มานั้นผิดทำนองคลองธรรม"
จะเห็นว่าความปราถนาของคนในเรื่องความรักทางกามารมณ์นั้นมันยิ่งใหญ่จริงๆ แม้สัตว์เดรฉานก็ไม่ยกเว้น
ความปราถนาทางกามารมณ์ หรือราคะนั้น ยิ่งใหญ่เสียจนมนุษย์ลืมไปว่า ร่างกายมนุษย์ที่เราปราถนา ที่เราเห็นว่าสวยงามนั้น แท้ที่จริงแล้ว ร่างกายนั้นเป็น "อนิจจัง" คือไม่สามารถคงสภาพความสวยงามนั้นอยู่ได้ ไม่ช้าไม่นานก็ ชรา เหี่ยวย่น เป็นลิงแก่ ที่ไม่มีค่าที่จะชวนมอง ตามที่พระพุทธองค์ได้เนรมิตสภาพของหญิงสวยที่ว่าสวยงามน่ารักน่าใคร่นั้น ให้พระอนุรุธเถระ ได้เห็น จนทำให้พระอนุรุธกำหนดเป็นกรรมฐานในการปฏิบัติธรรมจนสำเร็จเป็นพระอรหันต์ และมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ
ดังนั้นเราอย่าไปยึดมั่นกับความสวย ความงามของเรือนร่างกันอยู่เลย ความสวยที่แท้จริง หรือความหล่อที่แท้จริงของบุรุษนั้น คือ จิตใจ และการปฏิบัติตนต่างหากที่ควรเลือกเป็นประการสำคัญ
แต่สำหรับนักปฏิบัติธรรมแล้ว ถ้าจิตมันทำให้ราคะกำเริบ ท่านต้องอย่าไปคิดปรุงแต่งตามเป็นดีที่สุด คือตัดไปแต่ต้นลม แต่ถ้าท่านตัดไฟไม่ได้ ให้คิดเสียว่า หยิงสาวนั้นก็คือลิงแก่ ชายหนุ่มนั้นก็คือลิงแก่ ดังที่พระพุทธองค์ท่านทรงสอนให้พระอนุรุธเถระ ได้คิดได้เห็นจนปลงอนิจจังได้ ไปราคะก็จะหายไป
สรุป ร่างกายคนเรานั้น ไม่สามารถที่จะดำรงค์ความเป็นหนุ่ม เป็นสาวเอาไว้ได้ ย่อมเสื่อสลายไปตามธรรมชาติ ตามกาลเวลา ครับ
"สังขาร ทั้งหลาย เป็นทุกข์"
พระพุทธองค์ท่านก็ทรงสอนไว้ในเบื่องตันแห่งทุกข์นั้นว่า คนเรานั้น ความเกิดก็เป็นทุกข์ ความแก่ก็เป็นทุกข์ และมันก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ เพราะร่ายกายเรามันต้องแก่ลงทุกคน พอแก่แล้ว ยังมีทิฏฐิอีกต่างหาก ในขระเดียวกัน ความอยากก็ไม่ลดลง ผลคือมันก่อให้แต่ความทุกข์ โดยเฉพาะถ้าปล่อยให้ร่างกายเสื่อมสลายลงเณ้จขาดการเอาใจใส่เรื่องอาหาร การพักผ่อน และขาดการออกกำลังกายด้วยแล้ว ยิ่งไปใหญ่เลย ถ้าไม่มีใครดูแล มันก็เปรียบเหมือนหมาแก่ ๆ กลางถนน ครับ
"ธรรม ทั้งหลาย เป็นอนัตตา"
ธรรมในที่นี้ ก็คือ สังขารหรือร่างกายคนเรานั้น จงมีความคิดว่ามันไม่มีตัวมีตนที่แท้จริง มันเป็นเพียงร่างๆ หนึ่งที่จิตมันมาศัยอยู่ชั่วคราวในภพมนุษย์นี้ เท่านั้น ยังต้องดำรงค์จิตของตนเองต่อไปในภพอื่นๆ อีก เมื่อคิดได้เช่นนี้ จะทำให้ท่านไม่ไปหลงติด หรือยึดมั่นกับร่างกายที่เรา ปราถนาจะได้มาตครอบครองนั้น ทำให้เกิดการเบื่อหน่าย คลายกำหนัดได้ ดังเช่น พระเรวัตตะที่ถูกบังคับให้แต่งงาน แต่ท่านก็ไม่ปราถนามัน
เมื่อเรารู้อย่างนี้ เราจะต้องไปยึดติดกับร่ายกายที่ หล่อ สวยอยู่ทำไมกันครับ มีมาอย่างไร ก็จงพอใจอย่างนั้น จิตที่ผ่องใส ต่างหากที่เป็นของจิรังยั่งยืนที่แท้จริง ที่เราควรไคว่คว้าให้ถึงครับ
ในทำนองเดียวกัน ถ้า "สังขาร" หมายถึงวัตถุ สิ่งของรอบตัวเรา ทั้งเกียรติยศ ชื่อเสียง ทั้งหมด มันก็ไม่ยั่งยืนทั้งนั้น ล้วนก่อทุกข์มาให้เราเพราะเราต้องไคว่คว้าไปเอามันมาครอบครองให้ได้ล้วนเป็นตัวก่อทุกข์ เมื่อรู้ว่ามันจะก่อทุกข์ให้ เราอย่าไปปราถนามันเลยครับ คืออย่าไปอยากมีอยากเป็นมันเลยครับ จงพอใจตามอัตภาพดีกว่า อยู่อย่างพอเพียง แต่จิตมีสติ ไม่คิดอะไรเลย คือไม่ทุกข์ครับ
"สังขาร ทั้งหลาย เป็นอนิจจัง สังขาร ทั้งหลาย เป็นทุกข์ ธรรม ทั้งหลาย เป็นอนัตตา"
สรุป ร่างกายก็ดี ความคิดคนเราก็ดี สิ่งทั้งหลายรอบๆ ตัวเราก็ดี เกียรติยศ หรือสังคหะวัตถุ ๑๐ ก็ดี ล้วนไม่สามารถยืนยงอยู่ชั่วนาตาปีได้ ย่อมจะเสื่อม สลายลงได้ไม่เวลาใดก็เวลาหนึ่ง มันเป็นธรรมชาติอย่างนี้ เมื่อรู้ว่ามันเป็นอย่างนี้ จงระลึกไว้เสมอว่า ความอยากได้ ความอยากมี ความอยากเป็น ล้วนนำสิ่งที่ไม่สบายกาย ไม่สบายใจ คือทุกข์มาให้ทั้งนั้น เมื่อเรารู้ว่ามันจะก่อทุกข์ให้กับเรา เราจะต้องมีความคิด ไม่อยากมี ไม่อยากได้ ไม่อยากเป็น คือคิดเสียว่ามันไม่มีตัวมีตน เมื่อมันไม่มีตัวไม่มีตน เราจะไปอยากอะไรอีกล่ะ เพราะไม่เห็นมันเสียแล้ว เราก็จะคลายความกำหนัด หมดทุกข์เสียได้ คือ ไม่อยากเอา ไม่อยากมี ไม่อยากเป็น ดังนั้นแล
เอวังด้วยประการฉะนี้ แล
|
|
|
|
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์
รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644
|
|
« ตอบ #3279 เมื่อ: 03 ตุลาคม 2554, 20:32:41 » |
|
น้ำท้วมกรุงเทพฯ ! เมื่ออาทิตย์ที่แล้วผมยังมั่นใจว่าน้ำจะไม่ท้วมกรุงเทพฯ แต่บัดนี้น้ำท้วมกรุงเทพฯ แล้วบางพื้นที่โดยเฉพาะชาวบางกอกน้อย บางกอกใหญ่ ที่คลองทั้งสองไม่มีประตูระบายน้ำ และคันกั้นน้ำของ กทม. และพื้นที่รอบนอกเพราะ กทม.ไม่มีทางเลี่ยงต้องระบายน้ำลงฝั่งมันบุรี หนองจอก ลาดกระบัง อีกทางเพื่อไม่ให้น้ำล้นคันกั้นน้ำที่แม่น้ำเจ้าพระยา
ที่ผมว่าน้ำจะท้วมกรุงเทพฯนั้น เพราะวันนี้ผมดู TV เกือบทุกช่องที่ไปทำข่าวที่กระทรวงเกษตรฯ จะเห็นคุณบรรหาร นั่งเป็นประทานที่ประชุมอยู่หัวโต๊ะ โดยมีท่านรัฐมนตรี นั่งข้างๆ นั่นหมายความว่า คุณบรรหารจะไม่อนุญาติให้ท่านอธิบดีกรมชลประทานปล่อยน้ำไปทางจังหวัดสุพรรณบุรีในปริมาณมากไม่ได้ ปล่อยได้แต่ปล่อยน้อยๆ ให้ท้วมพอที่จะประกาศเป็นเขตภัยพิบัติได้เท่านั้นจะได้ใช้งบน้ำท้วมได้ แต่อย่าให้ท้วมสูง แต่ขณะนี้ยังไม่ประสบปัญหาน้ำท้วมดังเช่นทุกปีที่ผ่านมาสำหรับสุพรรณบุรี เพราะห้ามเปิดประตูระบายน้ำไปสุพรรณบุรี จน สส. พรรคเพื่อไทย ออกมาโวยพรรคพํฒนาชาติไทย ของคุณบรรหาร ที่ไม่ยอมให้ปล่อยน้ำไปทางสุพรรณบุรีเพื่อลงทะเลอีกทางหนึ่ง
ปกติการระบายน้ำจากเขื่อนเจ้าพระยานั้น จะระบายไปทางทุ่งตะวันตกเพื่อลงทะเลอีกทางหนึ่งคือไปทางแม่น้ำน้อย แม่น้ำสุพรรณบุรี และแม่น้ำท่าจีน โดยปากประตูระบายน้ำจะอยู่ที่ข้างวัดมะขามเฒ่า ของหลวงปู่ศุข ซึ่งวันนี้ประตูระบายน้ำเปิดพอเป็นพิธีเท่านั้น พวกเราจึงเห็นสภาพวัดมะขามเฒ่า น้ำท้วมสูงเข้าโบสถ์หมดแล้วเพราะระบายน้ำไปทางสุพรรณบุรีได้จำนวนจำกัด โดยทางกฎหมายคุณบรรหารไม่สามารถไปนั่งบัญชาการได้เพราะติดโทษทางการเมือง ๕ ปี แต่เพื่อชาวสุพรรณบุรี ท่านจึงต้องทำแบบนั้น ดังนั้นน้ำท้วมกรุงเทพฯ แน่นอนครับ เพราะกรมชลประทานไม่สามารถทำงานตามหลักปฏิบัติได้ และที่สำคัญทุ่งตะวันตกของสิงห์บุรี ในที่สุดจะเป็นไผ่ใบสุดท้วยที่กรมชลประทานต้องเปิดประตูเอาน้ำไปเก็บไว้ในทุ่งเป็นแก้มลิงชั่วคราวแน่นอน เพราะเป็นพื้นที่สุดท้ายแล้ว ผมก็ได้แต่ภาวนาให้ชาวนาเกี่ยวข้าวให้ทัน เท่านั้นครับ สำหรับข้าวที่พอเกี่ยวได้ แต่ที่ยังเพิ่งตั้งรวง มิดน้ำแน่นอน และนานด้วยครับ
คุณเหยง ผมต้องเสียใจและขอเตือนให้รีบเสริมกระสอบทรายให้สูงขึ้นอีก อย่างน้อย ๕๐ cm. และเสริมฐานให้แข็งแรงด้วย และน้ำจะท้วมนานเกินสามเดือน เพราะกรมชลประทานปล่อยน้ำไปสุพรรณบุรีได้น้อย ปล่อยทางเขื่อนเจ้าพระยามากก็ไม่ได้ น้ำจะท้วมกรุงเทพฯชั้นในเขตเศรษฐกิจ แล้วน้ำเหนือมาสมทบอีกละลอก ปล่อยก็ไม่ได้ ดังนั้น นครสวรรค์ ชัยนาท อุทัยธานี เหนือเขื่อนเจ้าพระยา ระดับน้ำไม่มีลด มีแต่สูงขึ้นๆ ไปเรื่อยๆ ครับ อย่าลืมจดไว้ข้างฝา สามเดือน นี่ก็ผ่านไปแล้วหนึ่งเดือนกว่าไปแล้ว ครับ
คุณเหยงผมอยากเห็นภาพสปินเวย์ ทางระบายน้ำล้นของเขื่อนชัยนาทฝั่งตะวันออกครับ เดาว่าคงล้นทะลักน่าดูเพราะน้ำไม่มีทางไปแล้ว ดังนั้นทุ่งตะวันออกน้ำจะท้วมเสริมจากทางระบายน้ำล้นของเขื่อนชัยนาท แบบขั้นบันได มาจนถึงลพบุรีีอีกแน่ๆ ดีไม่ดีถ้าฝนตกหนัก ทางสายเอเซียที่ว่าสูงแล้ว มีหวังท้วมแน่ๆ เพราะน้ำไม่รู้จะไปไหนแล้วตอนนี้ต้องอาสัยล้นจากถนนเท่านั้นครับถึงจะไม่มีใครบ่น
ถ้าผมเป็นเจ้ากรมแผนที่ทหาร ผมจะสั่งให้ถ่ายภาพทางอากาศเอาไว้จะได้รู้ระดับน้ำท้วม นำเอามาแก้ไขปัญหาระยะยาวได้ครับ คุณเหยง หรือ ดร.สุริยา ช่วยสั่งการให้ที ครับ
อีกข่าวผมเห็นท่าน ผบ.ทบ. สั่งเพิ่มกำลังพลอีกสองร้อยนายไปถมหินเพื่อปิดประตูน้ำบางโฉมศรี แทนกรมชลประทานที่ทางนายกรัฐมนตรีสั่ง ท่านไม่เฉลียวใจเลยหรือไร? ว่าการที่ท่านปิดประตูระบายน้ำบางโฉมศรีนั้น น้ำไม่มีที่ไปแล้ว น้ำจะไปไหนครับ นี่ละเป็นสาเหตุที่สองหรือสาเหตุหลักที่จะทำให้น้ำท้วมกรุงเทพฯ ๑๐๐ % ครับ
ขอให้จำไว้ท่านนายกเป็นคนสั่งปิดประตูระบายน้ำบางโฉมศรี ที่จะทำให้น้ำท้วมกรุงเทพฯ
ราตรีสวัสดิ์ทุกท่านครับ เตรียบตัวรับสถานการณ์น้ำท้วมกรุงเทพฯได้แล้วครับพวกเราชาวซีมะโด่ง ที่รัก
|
|
|
|
suriya2513
|
|
« ตอบ #3280 เมื่อ: 03 ตุลาคม 2554, 20:50:47 » |
|
ถ้าผมเป็นเจ้ากรมแผนที่ทหาร ผมจะสั่งให้ถ่ายภาพทางอากาศเอาไว้จะได้รู้ระดับน้ำท้วม นำเอามาแก้ไขปัญหาระยะยาวได้ครับ คุณเหยง หรือ ดร.สุริยา ช่วยสั่งการให้ที ครับ มานพเปรย
ถ่ายทำไว้แล้วครับ แต่ลืมไปไม่รู้ว่าตั้งชื่อไฟล์ไว้ว่าชื่ออะไร ก็ท่านเจ้ากรมฯ สั่งหลายงานเหลือเกินนี่ครับ ป๋องตอบ
|
[โบราณคดี]จุดกำเนิดเริ่มต้นของ cmadong.com by : มานพ กลับดี คลิ๊ก->
|
|
|
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์
รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644
|
|
« ตอบ #3281 เมื่อ: 03 ตุลาคม 2554, 20:57:56 » |
|
แล้วตกลงผมจะมีภาพถ่ายทางอากาศ แสดงระดับ พื้นที่ บริเวณน้ำท้วม ไว่ศึกษา แก้ปัญหาน้ำท้วม ไหมเนี่ย?
|
|
|
|
เหยง 16
|
|
« ตอบ #3282 เมื่อ: 03 ตุลาคม 2554, 22:38:43 » |
|
ข้อมูลของเทศบาลนครนครสวรรค์วันนี้
น้ำไหลผ่านนครสวรรค์ 4,398 ลบ.เมตร/วินาที VS เมื่อวานนี้ที่ 4,362 ลบ.เมตร/วินาที ระดับน้ำในวันนี้เพิ่มขึ้น 3 ซ.ม.
|
|
|
|
เหยง 16
|
|
« ตอบ #3283 เมื่อ: 03 ตุลาคม 2554, 23:16:42 » |
|
ทิศทางของ Nalgae ซึ่งวกลงใต้ และน่าจะเข้าไทยที่มุกดาหาร ในวันที่ 7 ตค.นี้
|
|
|
|
suriya2513
|
|
« ตอบ #3284 เมื่อ: 04 ตุลาคม 2554, 02:21:53 » |
|
ทำหนังสือไปขอจากอธิบดีกรมชลฯ ท่านต้องมี เจื้อป๋มเต๊อะ
|
[โบราณคดี]จุดกำเนิดเริ่มต้นของ cmadong.com by : มานพ กลับดี คลิ๊ก->
|
|
|
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์
รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644
|
|
« ตอบ #3285 เมื่อ: 04 ตุลาคม 2554, 09:10:25 » |
|
สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง และแขกผู้มีเกียรติ ที่รักทุกท่านครับ
วันนี้อากาศที่ กทม. ไม่ดี ขมุกขมัว ฝนตกพรำๆ ไม่เห็นแสงพระอาทิตย์ อากาศแบบนี้นี่ละโรคไข้หวัดจะมาเยือน ออกนอกบ้านอย่าลืมนำร่มไปด้วย สวมเสื้อหนาๆ ให้ร่างกายอบอุ่นเข้าไว้ เวลานอนให้สวมถุงเท้า อย่าประมาท ท่านอาจจะไม่สบายได้ง่ายๆ ขอให้ระวังดูแลสุขภาพของท่านด้วยครับ คาถาวันนี้ "ขี้แต่เช้าตรู่ กินข้าวมื้อเช้า งดผัดน้ำมัน ออกกำลังกาย และอย่านอนดึก" ครับ
เช้านี้เป็นอีกวันที่ผมอยู่บ้าน ไม่ได้มีนัดที่ไหน ไม่ได้ไปเล่นกอล์ฟตอนเช้า เพราะฝนตกแบบนี้โอกาส เป็นหวัดเกิดขึ้นได้ จึงอยู่บ้านดีกว่า หมู่นี้จิตมันเร่งมาก คือ ตีสองไปแล้วตื่นประจำ จิตมันให้ปฏิบัติธรรม ก็พยายามทำครับ ตื่นขึ้นมาก็ระลึกเสมอว่าต้องสร้างความรู้สึกตัว คือมีสติ ไม่ปล่อยจิตคิดไปไหน หลับก็ให้หลับ ตื่นก็สร้างความรู้สึกตัว ต่อสู้กันแบบนี้ ตอนนี้บรรดามารที่มาผจญก็คือ สิ่งที่ในอดีตเราชอบกระทำตามความคิดเรา คือการคิด มันจึงมาล่อให้คิดและก็ชนะเสียด้วย กว่าจะรู้ตัวก็คิดไปไกลโขแล้ว ไม่เป็นไร ดังที่พระอานนท์ท่านเปรียบเทียบไว้ เรื่องของแม่ไก่กับการฟักไข่ เมื่อถึงเวลาจุดสมดุลย์พอดีลุกไก่ก็เจาะไข่ออกมาเองฉันใดก็ฉันนั้น การปฏิบัติธรรม ต้องหมั่นกระทำอยู่เสมอเป็นนิจ ถึงจุดสมดุลย์มันก็รู้ธรรมขึ้นมาเอง ดังนั้น จึงต้องใช้ความเพียร ความอดทน และปัญญา ในขณะเดียวกันการปฏิบัติตนให้พร้อมด้วย กาย วาจา ใจ ก็เป็นสิ่งสำคัญที่จะย้อมจิตใจให้อยู่ใน ศีล สมาธิ ปัญญา สามารถคลายความกำหนัด หรือไม่ยินดีในอายตนะ ได้ คือ ลดความอยากลงไปได้มาก ลอความชอบลงไปได้มาก ลดความยึดมั่นถือมั่นในความคิดตัวเองลงไปได้มาก ทำให้จิตผ่องใสขึ้นครับ
ดังนั้นวันนี้ผมขอนำเรื่อง "อายตนะ" มาบอกกล่าวให้ทุกท่านได้ทบทวนดูนะครับ สวัสดี"อายตนะ ๖" ข้อเตือนใจสำหรับนักปฏิบัติธรรม และปุถุชนม์ทั่วไปควรคำนึงถึงเพื่อสร้างจิตให้ผ่องใสอยู่ตลอดเวลา ครับ
พาหิยะ ได้พยายามกราบทูลอ้อนวอนถึง ๓ ครั้ง พระบรมศาสดา จึงทรงแสดงพระธรรมเทศให้ฟัง โดยตรัสสอนให้สำรวมอินทรีย์ คือ "เมื่อเห็นรูปก็สักแต่ว่าเห็น ได้ยินเสียงก็สักแต่ว่าได้ยิน ได้กลิ่นก็สักแต่ว่าได้กลิ่น ลิ้มรสก็สักแต่ว่าลิ้มรส และสัมผัสสักแต่ว่าสัมผัส เท่านั้น อย่ายินดียินร้ายในสิ่งเหล่านั้น และหมั่นสำเหนียกศึกษาในไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา อยู่เป็นนิตย์ " พาหิยะ ส่งกระแสจิตไปตามกระแสพระธรรมเทศนา ก็ได้บรรลุพระอรหัตผลในทันที พุทธองค์ทรงสรรเสริญว่า เป็นเอตทัคคะทางด้านตรัสรู้เร็ว
จิตของคนเรานั้นสามารถที่จะรับรู้หรือสัมผัสได้(วิญญาณ)ในสิ่งต่างภายนอกกายเรา ต้องสัมผัสผ่านทางอวัยวะที่ภาษาทางบาลีเรียกว่า อายตนะ ๖ หรืออายตนะภายใน ๖ เมื่อสัมผัสหรือรับรู้แล้วสัญญา(ความจำได้หมายรู้จึงเกิดขึ้นตามที่สมมติบัญญัติ(คือสิ่งที่เราตั้งชื่อเรียกให้เป็นที่เข้าใจกันคือเรียกชื่อ)ไว้ในสมอง) ทำให้เราจำได้ ชอบ ติดใจ ไม่ชอบ ตามมา ถ้าชอบก็อยากได้อีกโดยสม่ำเสมอ ถ้าไม่ชอบก็ไม่อยากพบอยากเจอ เมื่อชอบก็เกิดการยึดมั่นถือมั่น ตามความคิดของตน ตามมาจิตคนมันเป็นอย่างนี้
อายตนะ ๖ หรืออายตนะภายใน ๖ ประกอบไปด้วย ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
อายตนะภายนอก ๖ ประกอบด้วย รูป เสียง กลิ่น รส ความรู้สึกได้ทางกาย(สัมผัส) ความรู้สึกได้ทางใจ (นึกคิดได้ทางใจ)
ซึ่งอายตนะภายใน ๖ มันจะจับคู่กับอายตนะภายนอก ๖ คือ ตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง จมูกได้ดมกลิ่น ลิ้นได้ลิ้มรส กายได้สัมผัสกาย ใจได้นึกคิดทางใจ (ใจนึกคิดไปเองและสามารถสัมผัสได้ด้วยความรู้สึกทางใจ)
จะเห็นว่าสิ่งที่ทำให้มนุษย์เกิดตัณหา (ความอยาก) เกิดกิเลส(เครื่องผูกติด หรือเกาะติดในจิตใจ) แล้วทำให้อย่างได้รับอีก คือชอบใจ จนเกิดเป็นความยึดติดไปนั้น คือ อายตนะ นั่นเอง ซึ่งผลของมันที่ตามมาคือ ความอยากได้นี่ละจะก่อทุกข์ให้ภายหลัง ขอยกตัวอย่างง่ายๆ
กายเห็นรูป ชายหนุ่มเห็นหญิงสาวเดินมา เกิดนึกรักนึกชอบอยากจะได้สาวนั้นมาครอบครอง แต่วิธีการที่จะได้มานั้นมันมีแต่ทุกข์ครับ คือลำบากกว่าจะผ่านพ้นอุปสรรคไปได้และสาวเจ้าก็ยินยอมพร้อมใจ ในทางตรงข้ามถ้าสาวเจ้าไม่เล่นด้วย คราวนี้เองก็ทุกข์มหันต์เลยที่จะได้มาครอบครอง ในทางตรงกันข้ามถ้าเห้นรูปแล้วไม่ชอบ ก็ไม่อยากพบอีก มันก็เป็นทุกข์เหมือนกันในวิธีการที่จะไม่ให้พบอีก การเห็นทำให้จิตใจหวั่นไหวได้ คือจิตคิดปรุงแต่งในสิ่งที่เห็น นั้น
หูได้ยินเสียง คนทุกคนย่อมชอบใจในเสียงที่ตนได้ยิน โดยเฉพาะคำพูดที่มีสาระได้ใจความ มีความไพเราะ พูดได้ตรงเวลาตรงประเด็นไม่พร่ำเพรื่อ และไม่อยากฟังคำพูดที่หยาบคายหรือในทางตรงกันข้ามกับที่ไม่ชอบ เสียงเมื่อหูได้ยินย่อมทำให้จิตคิดปรุงแต่งเสมอ
จมูกได้ดมกลิ่น คนทุกคนย่อมชอบใจในกลิ่นที่ตนเองชอบ และในทางตรงกันข้าม ย่อมไม่ชอบใจในกลิ่นที่ตนเองไม่ชอบ มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ เมื่อจมูกได้ดมกลิ่นแล้ว จิตย่อมปรุงแต่งไปต่างๆนาๆ ตามกลิ่นที่ได้ดมนั้น
ลิ้นได้ลิ้มรส (อาหาร และกาม) คนพอได้ลิ้มรสอาหารก็มักติดใจ ชอบใจ อยากได้กินอีกเสมอ และไม่รู้จักความพอดี จึงเป็นที่มาของโรคเรื้อรังต่างๆ ดังเช่นชูชกต้องตายเพราะลิ้นตัวเอง คือกินมากเกินไปจนตัวตายเพราะความชอบความอยาก นั่นเอง การได้ลิ้มรสอาหารที่ตนเองชอบนั้น ทำให้รูปกระทำตามจิตตนเองเสมอจนลืมโทษของอาหารไปเลย ขอให้ได้กินเท่านั้น จะเห็นว่าเมื่อลิ้นได้ลิ้มรสแล้วจิตย่อมปรุงแต่งเสมอ และก่อทุหข์ขึ้นมาภายหลัง
กายได้สัมผัสทางกาย(อวัยวะ) การสัมผัสทางกายโดยเฉพาะทางราคะ มนุษย์มักติดใจอยากได้เสมอ ไม่มีพอ มักมาก ล้วนก่อทุกข์ทั้งสิ้น และเป็นทุกข์ใหญ่หลวงมากด้วย ถึงกับก่อสงครามทีเดียว พระพุทะองค์ท่านทรงเน้นเสมอการสัมผัสทางกายนั้น จิตมันปรุงแต่งทันทีและชอบ ก็ชอบจรังๆ เป็นตัวก่อทุกข์มหันต์ ในทางตรงกันข้ามถ้าไม่ชอบก็ก็ทุกข์มหันต์เหมือนกัน จัดว่าเป็นพญามาร เลยทีเดียว
ใจสัมผัสทางใจ(นึกคิดและรับรู้ได้) คนทุกคนชอบปล่อยใจให้ล่องลอยไปกับความคิดที่ตัวเองชอบ และสัมผัสได้กับความสุขนั้น จริงอยู่คนที่คิดนั้นมันไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน แต่ถ้าเอาแต่คิดอยู่อย่างนั้น ไม่ทำมาหากิน ไม่กินข้าว มันก้ก่อทุกข์ทั้งสิ้น แต่ถ้าปล่อยใจเกินไปยั้งไม่อยู่มันก็บ้าเสียสติไปนั่นเอง การนึกคิดนั้นล้วนก่อทุกข์ทั้งสิ้น
จะเห็นว่าการสัมผัสทางอายตนะ นั้นเป็นประตูแห่งการก่อทุกข์ให้กับเราเลย พระพุทะองค์จึงให้สำรวมอายตนะเอาไว้แล้วจะห่างไกลทุกข์ ดังเช่นที่ทรงสอน พาหิยะว่า
"เมื่อเห็นรูปก็สักแต่ว่าเห็น ได้ยินเสียงก็สักแต่ว่าได้ยิน ได้กลิ่นก็สักแต่ว่าได้กลิ่น ลิ้มรสก็สักแต่ว่าลิ้มรส และสัมผัสสักแต่ว่าสัมผัส เท่านั้น อย่ายินดียินร้ายในสิ่งเหล่านั้น และหมั่นสำเหนียกศึกษาในไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา อยู่เป็นนิตย์ "
ถ้าทุกท่านปฏิบัติได้ดังนี้ จิตจะห่างไกลทุกข์ สามารถพัฒนาให้คลายความกำหนัดได้ และพ้นทุกข์ได้ครับ
เอวังด้วยประการฉะนี้แล
|
|
|
|
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์
รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644
|
|
« ตอบ #3286 เมื่อ: 04 ตุลาคม 2554, 09:32:33 » |
|
อย่าลืมแสดงมุทิตาจิตต์แด่
พี่ทองอู่ จักรสิงห์
พี่ผู้อาวุโสของชมรมฯ
วันอาทิตย์ที่ ๙ ตุลาคม เวลา ๑๘: ๐๐ น. ณ ภัตตาคารกุหลาบ ซอยอารีย์ฯ
|
|
|
|
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์
รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644
|
|
« ตอบ #3287 เมื่อ: 04 ตุลาคม 2554, 11:55:55 » |
|
วันนี้ได้รับข่าวร้าย เรื่องน้ำท้วม ! - เมื่อตอนสาย ๆ คนเหยงได้โทรศัพท์มาหา ว่ากำลังออกไปซื้อน้ำมัน มาใส่เครื่องยนต์สูบน้ำ ตอนนี้เสียเงินค่าน้ำมันวันละประมาณ 5,000 บาท ผมก็เลยแนะนำว่าการสูบน้ำทิ้งนั้นดี แต่อย่าให้แห้ง เอาเพียงแค่เราไม่เดือดร้อนเท่านั้น เพาะถ้าแห้งนอกจากเสียน้ำมันแล้ว อาจจะทำให้แนวรั้วพังได้เพราะแรงดันของน้ำจะต่างกันมาก ไม่ควรกระทำ นอกจากนี้คุณเหยงยังได้รายงานว่าปริมาณน้ำที่ไหลผ่านนครสวรรค์นั้นเพิ่มขึ้นเป็น 5,000 กว่าลูกบาศก์เมตรต่อวินาทีแล้ว เป็นผลให้ระดับน้ำที่นครสวรรค์เพิ่มขึ้นอีก 7 cm. จากเมื่อวานนี้ นี่เป็นสัณญาณอันตราย แล้วครับ
- เฮียเพียวจากนครสวรรค์โทรศัพท์มาคุยด้วย และบอกว่าตอนขับรถกลับนครสวรรค์นั้น ขณะนี้ระดับน้ำบนถนนสายเอเซียนั้นเดิมถนนวิ่งได้สี่เลนน์ ตอนนี้มีน้ำท้วมวิ่งได้เพียงสามเลนน์เท่านั้นบริเวณอินทร์บุรี นี่ก็สัญญาณอันตราย แล้วครับ
สรุป
- แล้วตอนนี้น้ำเหนือเขื่อนเจ้าพระยาสูงขึ้นตลอดเวลาในปริมาณที่มากด้วย ไม่มีลดลงเลย
- ระดับน้ำใต้เขื่อนเจ้าพระยาก็สูงมาก เป็นผลมาจาก ได้ทำการปิดประตูระบายน้ำบางโฉมศรี ทำให้น้ำไม่สามารถระบายไปทางทุ่งตะวันออกได้ กักอยู่แต่ในลำแม่น้ำเจ้าพระยาอย่างเดียว ระดับน้ำจึงสูงขึ้นท้วมสายเอเซียแล้วที่อินทร์บุรี
- ทุ่งสุพรรณบุรีทางระบายน้ำลงทะเลอีกทางหนึ่งของกรมชลประทาน ก็ปล่อยน้ำมากไม่ได้ นี่เป็นนโยบายของคุณบรรหาร ที่จะรักษาคะแนนเสียงชาวสุพรรณบุรีเอาไว้ น้ำจึงไม่มีที่ไปจริงๆ ดังนั้นน้ำจึงพุ่งตรงสู่ กทม. เท่านั้นที่จะลงทะเลเป็นส่วนใหญ่
- พายุลูกใหม่กำลังมา ฝนตกหนักภาคเหนือแน่นอน และเขื่อนต่างๆ ไม่สามารถรับน้ำได้อีกแล้วต้องปล่อยออกสถานเดียว
- เขื่อนป่าสักก็วิกฤต ต้องระบายน้ำออกอย่างเดียว พายุกำลังมา น้ำจะไปไหน พุ่งเข้า กทม. อย่างเดียว
- ช่วงนี้เป็นช่วงข้างขึ้น คือพระจันทร์จะค่อยๆเต็มดวง ผลคือระดับน้ำทะเลจะสูงขึ้น แล้วน้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยาจะไปไหนครับ เพราะลงทะเลไม่ได้เนื่องจากน้ำทะเลหนุน น้ำก็จะอยู่แถวๆ กทม. นนท์บุรี ปทุมธานี - โอกาสมี่ กทม. จะพ้นวิกฤต มองไม่เห็นทางจริง ๆ ซึ่งตอนนี้เขตนอกคันกั้นน้ำ กทม. ก็ท้วมแล้ว
สวัสดี
|
|
|
|
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์
รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644
|
|
« ตอบ #3288 เมื่อ: 04 ตุลาคม 2554, 20:27:24 » |
|
รู้ประวัติ พุทธสาวก อรหันต์ เอตทัคคะ
ลำดับที่
๒๗
พระสุภูติเถระ
เอตทัคคะในทางอรณวิหารและทักขิเณยยบุคคล พระสุภูติ เกิดในวรรณแพศย์ เป็นบุตรของสุมนเศรษฐีผู้เป็นน้องชายของอนาถบิณฑิกเศรษฐี ในนครสาวัตถี ท่านเป็นผู้มีลักษณะดี ผิวพรรณผ่องใสสะอาด สวยงาม จึงได้นามว่า “สุภูติ” ซึ่งถือว่าเป็นมงคลนาม มีความหมายว่า “ผู้เกิดดีแล้ว”
• ออกบวชคราวฉลองพระเชตวัน
เหตุการณ์ที่ชักนำให้ท่านได้เข้ามาบวชในพระพุทธศาสนา ก็เนื่องมาจากอนาถบิณฑิกเศรษฐีผู้เป็นลุง ได้มีโอกาสเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาค ขณะประทับอยู่ ณ ป่าสีตวัน เมื่องราชคฤห์ และได้ฟังพระธรรมเทศนา ได้บรรลุเป็นพระโสดาบันแล้วกราบทูลอาราธนาพระผู้มีพระภาคเพื่อเสด็จกรุงสาวัตถี เมื่อพระผู้มีพระภาคทรงรับอาราธนาแล้ว รีบเดินทางกลับมาสู่กรุงสาวัตถี ได้จัดซื้อที่ดินอันเป็นราชอุทยานของเจ้าชายเชตราชกุมาร ด้วยวิธีนำเงินมาวางเรียงให้เต็มพื้นที่ตามที่ต้องการ ปรากฏว่าอนาถบิณฑิกเศรษฐี ต้องใช้เงินถึง ๒๗ โกฏิ จึงได้พื้นที่พอแก่ความต้องการ จำนวน ๑๘ กรีส (๑ กรีส = ๑๒๕ ศอก) และใช้เงินอีก ๒๗ โกฏิ สร้างพระคันธกุฎีที่ประทับสำหรับพระผู้มีพระภาค และเสนาสนะสำหรับพระสงฆ์สาวก แต่ยังขาดพื้นที่สร้างซุ้มประตูพระอาราม เจ้าชายเชตราชกุมารจึงขอมอบพื้นที่และจัดสร้างให้ โดยขอให้จารึกพระนามของพระองค์ไว้ที่ซุ้มประตูพระอารามนั้น “เชตวัน” ดังนั้น พระอารามนี้จึงได้นามว่า “พระเชตะวันมหาวิหาร” ในวันที่ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี จัดการฉลองพระวิหารเชตะวันนั้นได้กราบอาราธนาพระผู้มีพระภาคพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ มาเสวยและฉันภัตตาหาร สุภูติกุฎุมพี ผู้เป็นหลาน ได้ติดตามไปร่วมพิธีช่วยงานนี้ด้วย ครั้นได้เห็นพระฉัพพรรณรังสี ที่เปล่งออกจากพระวรกายของพระบรมศาสดา สวยงามเรืองรองไปทั่วบริเวณ ทำให้เกิดศรัทธาเลื่อมใส เมื่อการถวายภัตตาหารแด่ พระภิกษุสงฆ์โดยมีพระพุทธองค์เป็นประมุขเสด็จเรียบร้อยแล้ว พระผู้มีพระภาคตรัสพระธรรมกถาอนุโมทนาทาน สุภูติกุฎุมพี ได้ฟังแล้วยิ่งเกิดศรัทธามากขึ้น จึงกราบทูลขออุปสมบทในพระธรรมวินัย ครั้นได้อุปสมบทสมความปรารถนาแล้ว ได้ศึกษาพระวินัยปิฎกและพระอภิธรรมปิฎกจนเชี่ยวชาญ จากนั้นได้เรียนพระกรรมฐานจากพระบรมศาสดา แล้วหลีกออกไปบำเพ็ญสมณธรรม เจริญวิปัสสสนากรรมฐานอยู่ในป่า ไม่นานนักก็ได้บรรลุพระอรหัตผลสิ้นกิเลสอาสวะ เป็นพระอริยบุคคล ชั้นสูงสุดในพระพุทธศาสนา
• พักกลางแจ้งฝนจึงแห้งแล้ง
พระสุภูติเถระ โดยปกติแล้วมักจะเข้าฌานสมาบัติ เพื่อแสวงหาความสุขอันเกิดจากการสิ้นกิเลส ท่านประกอบด้วยคุณสมบัติ ๒ ประการ คือ:-
๑. อรณวิหารธรรม คือ เจริญฌานประกอบด้วยเมตตา หรือเป็นอยู่อย่างไม่มีข้าศึก
๒. ทักขิเณยยบุคคล คือ เป็นผู้ควรรับทักษิณาทาน
เพราะท่านมีปฏิปทานำมาซึ่งความเลื่อมใสแก่ผู้พบเห็น อันเป็นการช่วยเผยแผ่พระพุทธศาสนาทางหนึ่ง แม้แต่พระเจ้าพิมพิสาร เมื่อได้ทรงทราบว่าท่านเป็นผู้มีปกติเข้าฌานที่ประกอบด้วยเมตตาเป็นประจำไม่เว้นแม้แต่ในขณะบิณฑบาตก็ยังแผ่เมตตาให้แก่ผู้ถวายอาหารบิณฑบาตอย่างทั่วถึง ครั้นเมื่อพระเถระจาริกมาถึงแคว้นมคธ พระเจ้าพิมพิสาร จึงได้อาราธนาให้ท่านจำพรรษาที่แคว้นมคธและท่านก็รับอาราธนาตามนั้นแต่เนื่องจากพระเจ้าพิมพิสาร ทรงมีพระราชกิจมาก จึงลืมรับสั่งให้จัดเสนาสนะสถานที่พัก ถวายท่าน ดังนั้น เมื่อท่านมาถึงแล้วจึงไม่มีที่พัก ท่านจึงต้องพักกลางแจ้ง ด้วยอำนาจแห่งคุณของท่าน จึงทำให้ดินฟ้าอากาศปรวนแปร ฝนไม่ตกตามฤดูกาล ชาวไร่ชาวนาปลูกพืชผลไม่ได้ผลผลิต ต้องเดือดร้อนไปทั่ว ความทราบถึงพระเจ้าพิมพิสาร ทรงใคร่ครวญทบทวนแล้วทราบชัดว่า เพราะพระเถระจำพรรษากลางแจ้ง จึงเป็นเหตุให้ฝนแล้งไปทั่ว ดังนั้น จึงทรงรีบแก้ไขด้วยการรับสั่งให้สร้างกุฎีถวายท่านโดยด่วน เมื่อกุฎีสำเร็จแล้ว จึงได้อาราธนาท่านให้เข้าพักอาศัยอยู่จำพรรษาในกุฎีนั้น จากนั้นฝนก็ตกลงมาชาวประชาก็พากันดีใจ ปลูกพืช ผัก ผลไม้ ก็ได้ผลผลิตดีตามต้องการ ความทุกข์ความเดือดร้อนก็หายไป
ด้วยเหตุนี้ พระผู้มีพระภาคจึงทรงยกย่องท่านในตำแหน่งเอตทัคตะเป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย ในทาง อรณวิหาร (เจริญฌานประกอบด้วยเมตตา) และ ทักขิเณยยบุคคล (เป็นผู้ควรรับทักษิณาทาน)
ท่านดำรงอายุสังขาร ช่วยกิจการพระศาสนาสมควรแก่กาลเวลาแล้วก็ดับขันธปรินิพพาน
|
|
|
|
เหยง 16
|
|
« ตอบ #3289 เมื่อ: 04 ตุลาคม 2554, 20:29:40 » |
|
พี่สิงห์
ขอแก้ไขครับ วันนี้น้ำขึ้นอีก 6 ซ.ม. ครับ ปริมาณน้ำไหลผ่านเมืองนครสวรรค์ สูงถึง 4,524 ลบ.เมตร/วิยาที จากเมื่อวานนี้ที่ระดับ 4,398 ลบ.เมตร/วินาที
|
|
|
|
เหยง 16
|
|
« ตอบ #3290 เมื่อ: 04 ตุลาคม 2554, 20:31:48 » |
|
ไต้ฝุ่นนาลแกอ่อนกำลังลงขณะเคลื่อนเข้าเวียดนาม4 ตุลาคม 2554 17:16 น. ซินหัว - ศูนย์พยากรณ์อุตุ-อุทกวิทยาแห่งชาติเวียดนาม (HFC) รายงานว่า พายุไต้ฝุ่นนาลแก อ่อนกำลังลง เนื่องจากปะทะกับมวลอากาศเย็นขณะมุ่งหน้ามาทางเวียดนาม หลังพัดถล่มเกาะลูซอน ของฟิลิปปินส์ ได้รับความเสียหาย HFC ระบุว่า ในเวลาประมาณ 04.00 น.ตามเวลาท้องถิ่นของวันนี้ (4 ต.ค.) พายุไต้ฝุ่นนาลแกที่ตำแหน่งศูนย์กลางพายุอยู่ห่างจากเกาะซี่ชา (Xisha) ทางตะวันตกเฉียงเหนือ ประมาณ 110 กม.และในอีก 24 ชม.คาดว่า พายุจะมุ่งหน้าไปทางตะวันตก ด้วยความเร็ว 10-15 กม.ต่อ ชม.และในเวลาประมาณ 04.00 น.ของวันพุธ (5 ต.ค.) พายุจะอยู่เหนือพื้นที่ชายฝั่งภาคกลางตอนเหนือของเวียดนาม ตั้งแต่จังหวัดกว่างจิ ไปจนถึง จ.กว่างหงาย ห่างจากชายฝั่ง จ.ห่าติ๋งห์ และนครด่าหนัง ทางตะวันออกเฉียงเหนือ ราว 190 กม.ด้วยความแรงลมสูงสุดที่ 88 กม.ต่อ ชม. รายงานจาก HFC ยังระบุอีกว่า ในอีก 24-48 ชม.ต่อมา พายุจะเคลื่อนไปทางตะวันตก-ตะวันตกเฉียงใต้ ด้วยความเร็ว 10 กม.ต่อ ชม.และค่อยๆ อ่อนกำลังลงเป็นดีเปรสชั่น และในเวลาประมาณ 04.00 น.ตามเวลาท้องถิ่น ของวันพฤหัสบดี (6 ต.ค.) ศูนย์กลางพายุจะอยู่เหนือ จ.ห่าติ๋งห์ และ จ.กว่างจิ ที่มีความเร็วลม 61 กม.ต่อ ชม. อย่างไรก็ตาม อิทธิพลของพายุทำให้น่านน้ำทางเหนือของทะเลจีนใต้มีกระแสลมพัดแรง ในทะเลมีคลื่นสูง และคาดว่า จะมีฝนตกอย่างหนักในหลายจังหวัดภาคกลางของเวียดนาม คณะกรรมการกลางควบคุมพายุและน้ำท่วม ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยชายฝั่งเข้าช่วยเหลือเรือและประชาชนเคลื่อนย้ายไปอยู่ในที่ปลอดภัย และทางการท้องถิ่นเตรียมความพร้อมก่อนไต้ฝุ่นเข้าใกล้ฝั่ง
พิมพ์จาก http://www.manager.co.th/asp-bin/mgrView.asp?NewsID=9540000126308
|
|
|
|
เหยง 16
|
|
« ตอบ #3291 เมื่อ: 04 ตุลาคม 2554, 20:34:43 » |
|
ทิศทางของ Nalgae วันนี้ คาดว่า วันที่ 6 บ่ายๆ ก่อนค่ำ คงถึงมุกดาหาร
|
|
|
|
เหยง 16
|
|
« ตอบ #3292 เมื่อ: 05 ตุลาคม 2554, 08:08:19 » |
|
ข่าวร้ายที่ซ้ำเติมสถานการณ์น้ำท่วม สำนักพยากรณ์อากาศ กรมอุตุนิยมวิทยา กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ประกาศเตือนภัย พายุนาลแก ฉบับที่ 6 ลงวันที่ 5 ต.ค. 2554 เมื่อเวลา 05.30 น. ระบุว่า เมื่อเวลา 04.00 น. วันนี้พายุโซนร้อน “นาลแก” บริเวณอ่าวตังเกี๋ย ได้อ่อนกำลังลงเป็นพายุดีเปรสชันแล้ว โดยมีศูนย์กลางอยู่ห่างประมาณ 200 กิโลเมตร ทางทิศตะวันออกของเมืองวิญ ประเทศเวียดนาม หรือที่ ละติจูด 18.5 องศาเหนือ ลองจิจูด 108.0 องศาตะวันออก มีความเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลางประมาณ 55 กิโลเมตรต่อชั่วโมง พายุนี้กำลังเคลื่อนตัวทางทิศตะวันตก ด้วยความเร็วประมาณ 10 กิโลเมตรต่อชั่วโมง คาดว่าจะเคลื่อนขึ้นฝั่งประเทศเวียดนามตอนบนในวันนี้ และจะอ่อนกำลังลงเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำในระยะต่อไป อนึ่ง ร่องมรสุมพาดผ่านภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง และภาคตะวันออก ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังค่อนข้างแรงพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย
ลักษณะเช่นนี้ทำให้ทั่วทุกภาคของประเทศไทยมีฝนตกชุกและมีฝนตกหนักบางแห่งในภาคเหนือตอนล่าง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ฝั่งตะวันตก ขอให้ประชาชนระวังอันตรายจากฝนที่ตกหนักในระยะ 1-2 วันนี้ ส่วนคลื่นลมในทะเลอันดามันและอ่าวไทยตอนบนมีกำลังแรง โดยมีคลื่นสูง 2-3 เมตร ขอให้ชาวเรือเพิ่มความระมัดระวังในการเดินเรือ และเรือเล็กควรงดออกจากฝั่งในระยะนี้ไว้ด้วย
|
|
|
|
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์
รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644
|
|
« ตอบ #3293 เมื่อ: 05 ตุลาคม 2554, 12:18:21 » |
|
ทำไม ? น้ำท้วมที่จังหวัดอุทัยธานี ระดับน้ำสูงเกินสามเมตร และ
ทำไม? ระดับน้ำที่จังหวัดนครสวรรค์สูงขึ้นเรื่อย ๆ ไม่หยุด - ตอบแบบไม่ต้องคิดมาก กรมชลประทานยังควบคุมปริมาณน้ำไหลผ่านเขื่อนเจ้าพระยาในระดับเดิม คือไม่เกิน 3,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที บวกลบได้ 10% ซึ่งจะทำให้น้ำไม่ท้วมกรุงเทพฯ และควบคุมอย่างนี้มาหนึ่งเดือนกว่าแล้วในปริมาณคงเดิมตลอดเวลา ไม่ว่าน้ำเหนือเขื่อนจะมามากหรือมาน้อยก็ตาม ถ้ามากก็ปล่อยให้น้ำล้นสปินเวย์ทางตะวันออกไปซึ่งก็ไปอยู่แล้วในปริมาณที่มากด้วยเพราะสังเกตจากระดับน้ำถนนสายเอเซียบางช่วงน้ำเออล้นถนนแล้วเป็นผลมาจากการปล่อยน้ำจากสปินเวย์ฝั่งตะวันออก ไม่ได้ออกจากปลายเขื่อนเจ้าพระยา
- ประตูระบายน้ำฝั่งตะวันตกไม่สามารถปล่อยน้ำออกไปได้ในปริมาณมากๆ เพราะคุณบรรหารสั่งปิด จากปากทาง คือประตูระบายน้ำทศพล ปากแม่น้ำน้อยที่ วัดหลวงปู่ศุข เพื่อไม่ให้น้ำท้วมสุพรรณบุรี ตามที่เคยเป็นมาทุกปี เพราะการระบายออกทางสุพรรณบุรี จะเป็นการระบายน้ำลงทเได้อีกทางหนึ่งเพื่อช่วยแม่น้ำเจ้าพระยา
- เมื่อน้ำปล่อยออกจากเขื่อนจำกัดไปสุพรรรบุรีไม่ได้มากนัก น้ำล้นสปินเวย์ได้บางส่วน นี่เป็นเหตุปัจจัยหลัก ที่ทำให้ระดับน้ำเหนือเขื่อนเจ้าพระยา คือชัยนาทอำเภอเมือง มโนรมภ์ อุทัยธานี นครสวรรค์ มีแต่จะเพิ่มขึ้นทุกวัน ไม่ลงเลย เพราะน้ำจากภาคเหนือก็ลงมาเพิ่มทุกวันเหมือนกัน จะเป็นอย่างนี้ไปอีกสองเดือนครับ
- สิ่งที่เสี่ยงมากตอนนี้คือ (ดร.สุริยา รู้ดี) กรมชลประทานกำลังใช้สัดส่วนความปลอดภัย ( Factor of Safety) ของเขื่อนเจ้าพระยาไปเกือบหมดแล้ว ระวังเขื่อนถูกใช้งานมาเท่ากับอายุผม คือ หกสิบปี จะแน่ใจได้ในระดับไหนว่าจะไม่พัง ! ดังเช่นประตูระบายน้ำบางโฉมศรี
- วันนี้ผมทราบข่าวว่ามีบางจุดของคันกั้นน้ำเทศบาลนครสวรรค์แตก น้ำไหลเข้าเทศบาลได้ ผมดูตามข่าว TV ทางเทศบาลใช้หินคลุกเป็นหลัก หินคลุกนั้นประกอบไปด้วย ดินฝุ่น และหินเม์ดเล็กๆ มันจะดีในระยะแรกๆ แต่พอแช่น้ำนานเกินไปฝุ่นจะไปตามน้ำหรือปล่อยให้น้ำซึมผ่านได้ เป็นผลทำให้น้ำหนักของหินฝุ่นลดลง ทำให้พังได้ ผมเลยโทรศัพท์ไปบอกเฮียเพียวให้ไปบอกเพื่อนฝูงที่เป็นนายกเทศมนตรี ให้เพิ่มหินก้อนใหญ่่ไปที่ฐานให้มากเพราะต้องการน้ำหนักหินไปต้้านกับแรงดันของน้ำ ถ้าจะสร้างคันกั้นน้ำใหม่ ให้ลงหินใหญ่เป็นแกนกลางให้มากแล้วจึงเอาหินคลุกทับอีกทีหนึ่ง จะอยู่ได้นานหน่อย คือ
Moment ที่เกิดจากแรงดันของน้ำที่สูง ต้องน้อยกว่า Moment ที่เกิดจากน้ำหนักของหินที่เป็นตัวถ่วง โดยมีจุดหมุนที่ฐาน คันกั้นน้ำจึงจะไม่พัง แรงดันของน้ำที่มีต่อคันกั้นน้ำ เท่ากับ 1000 คูณด้วย ความสูงของน้ำเป็นเมตร มีหน่วยออกมาเป็น กิโลกรัมต่อตาางเมตรความกว้างของคันกั้นน้ำ
ตัวอย่าง อาจารย์ถาวร โชติชื่น โทรศัพท์มาสอบถามจะใช้น้ำหนักเท่าใดอุดท่อระบายน้ำในบ้านที่มีขนาด 0.25x0.25 เมตร กรณีน้ำท้วมสูง 2.50 m. ดังนั้นแรงดันน้ำ เท่ากับ 1000x2.50 = 2500 กิโลกรัมต่อตารางเมตร น้ำหนักที่กดต้องมากกว่า 2500x0.25x0.25 = 157 กิโลกรัม แรงดันของน้ำจึงจะไม่ดันให้น้ำเข้าบ้านอาจารย์ถาวร ครับ
|
|
|
|
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์
รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644
|
|
« ตอบ #3294 เมื่อ: 05 ตุลาคม 2554, 12:41:42 » |
|
ทำไม ? น้ำท้วมวัดชัยรัตนาราม อยุธยา - หลายวันที่ผ่านมาฝนก็ไม่ได้ตกแถวชัยนาท สิงห์บุรี ลพบุรี อ่างทอง อยุธยามากนัก - น้ำจากเขื่อนเจ้าพระยาก็ไม่ได้ปล่อยมากกว่าที่เคยปล่อย - น้ำจากเขื่อนป่าสักที่เขื่อนพระรามหก ก็ปล่อยเท่าเดิม
แต่ทำไมน้ำท้วมวัดชัยรัตนาราม อยุธยา และระดับน้ำที่อยุธยา ปทุมธานี นนทบุรี กทม. จึงมีระดับน้ำสูงขึ้นมาก จนท้วมเป็นหน้ากลองในทุกพื้นที่ เป็นเพราะเหตุไร ?
ตามที่ผมบอกแล้ว ผมมีความคิดตรงข้ามกับกรมชลประทาน คุณบรรหาร และท่านนายกรัฐมนตรี
ตอนประตูระบายน้ำบางโฉมศรีพัง ผมก็วิงวอนไว้แล้วให้พัง จากการที่ประตูน้ำบางโฉมศรีพัง ระดับน้ำที่สิงห์บุรี หรือใต้เขื่อนชัยนาทลดลงไปประมาณ สามสิบเซนติเมตร
แต่นายกรัฐมนตรีสั่งกรมชลประทาน กรมชลประทานทำไม่ได้และไม่อยากทำ จึงขอร้องให้ทหารช่างทำ ท่าน ผบทบ. อยากทำดีกับท่านนายก รับปากสามารถปิดน้ำที่เขื่อนบางโฉมศรีได้ภายในสิบวัน นี่ก็เลยหกวันมาแล้ว ได้ระดมพลจำนวนมากโถมหินลงไปเป็นคันกั้นน้ำ ซึ่งก็ได้ผลแต่เสียเงินไปมากและไม่คุ้ม ระดับน้ำท้วมลพบุรีลดลง แต่อนิจจา น้ำที่ไหลออกมาจากปลายเขื่อนเจ้าพระยาเท่าเดิมนั้น บางส่วนได้ระบายไปเก็บเป็นแก้มลิงไว้ทุ่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยาผ่านประตูระบายน้ำบ่งโฉมศรี เมื่อไม่มีทางไป มันก็ต้องอยู่ในลำแม่น้ำเจ้าพระยาตามเดิม ผลคือระดับน้ำจากอ่างทอง อยุธยา ปทุมธานี นนทบุรี กทม. จึงเพิ่มขึ้นสูงอย่างรวดเร็ว จนท้วมกันระเนระนาด ดังที่เห็นตาม TV
จำไว้ นายกรัฐมนตรีเป็นคนสั่งการให้ปิดประตูน้ำบางโฉมศรี สามารถปิดได้ แต่ทำให้น้ำท้วมวัดชัยรัตนราม ทำให้โบราณสถานเสียหายหาค่ามิได้ เพราะ เขื่อนคันกั้นน้ำที่ทำไว้เดิมรับน้ำหนักแรงดันน้ำ และน้ำที่มารวดเร็วมาก จากสาเหตุที่ปิดประตูระบายน้ำบางโฉมศรี ครับ
แก้ตรงนั้น ผลก็มาเกิดตรงนี้ ผมเห็นใจกรมชลประทาน ที่ไม่สามารถกระทำการตามหลักการเดิมได้ ขึ้นอยู่กับผู้มีอำนาจ คือฝ่ายรัฐบาล สั่งการ และสั่งการโดยไม่รู้เท่าทันถึงผลที่จะตามมา ดังเช่นน้ำท้วมวัดชัยรัตนารมแหล่งโบราณสถาน ทีกรมศิลปากรคิดว่า สามารถป้องกันได้ ได้เตรียมการไว้อย่างดีแล้ว แต่ยังไม่ดีพอครับ พอชลอน้ำที่ประตูบางโฉมศรีได้ปัป น้ำก็สูงขึ้นทันทีทันใดในแม่น้ำเจ้าพระยา ทั้งๆที่เขื่อนเจ้าพระยา พระรามหกปล่อยน้ำเท่าเดิม น้ำไหลลงทะเลเท่าเดิม แต่น้ำลดลงจากการเข้าทุ่งตะวันออก จึงมาโผล่ที่อยุธยาแบบตั้งตัวไม่ทันตูมเดียวล้นเลย ขอให้ทุกท่านตรองด้วยปัญญา ว่าเป็นดังที่ผมเขียน หรือไม่ ? ทบทวนเวลาเอาเองแล้วจะได้คำตอบดังที่เห็นใน TV ทุกประการ
สวัสดี
|
|
|
|
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์
รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644
|
|
« ตอบ #3295 เมื่อ: 05 ตุลาคม 2554, 12:51:33 » |
|
อย่าลืมครับทุ่งฝั่งตะวันออก ทุ่งฝั่งตะวันตกของลำแม่น้ำเจ้าพระยา
เป็นแก้มลิงธรรมชาติ ที่ช่วยป้องกันไม่ให้น้ำท้วม กทม. มาช้านานแล้ว
บัดนี้น้ำจำนวนมหาศาลถูกกักอยู่แต่ในแม่น้ำเจ้าพระยา โดยที่ไม่ได้ไปอยู่ตามแก้มลิงธรรมชาติ
ผลจะเป็นอย่างไร ขอให้ทุกท่านหลับตานึกภาพดูกันครับ
อย่าแก้ปัญญาน้ำท้วมตามกระแสข่าวทาง TV ที่นำเสนอ
ยังมีพื้นที่น้ำท้วมสูงกว่าที่เห็นมากนัก มาเป็นเดือนกว่าแล้ว ที่เขายังอดทนอยู่ได้
ต้องแก้อย่างถูกหลักการที่แท้จริง โดยมีอิสสละในการตัดสินใจควบคุมน้ำ ครับ
|
|
|
|
เหยง 16
|
|
« ตอบ #3296 เมื่อ: 05 ตุลาคม 2554, 20:48:28 » |
|
ระดับน้ำวันนี้ที่นครสวรรค์ โดยรวมสูงขึ้น 1 ซ.ม. แต่ที่แม่น้ำปิงสูงขึ้นถึง 4 ซ.ม. ส่งผลให้หมู่บ้านหลายแห่งที่ตั้งอยู่ข้างแม่น้ำปิงจมน้ำ ส่วนการไหลของน้ำ อยู่ที่ 4,542 ลบ.เมตร/วินาที เทียบกับเมื่อวานนี้ที่ไหลผ่านในระดับ 4,524 ลบ.เมตร/วินาที สรุปคือ น้ำไหลผ่านเพิ่มขึ้น พร้อมกับทวีความสูงของน้ำที่ท่วมสูงขึ้นเช่นกัน
|
|
|
|
เหยง 16
|
|
« ตอบ #3297 เมื่อ: 05 ตุลาคม 2554, 20:50:24 » |
|
ในขณะที่ Nalgae มีทิศทางเดินเช่นเดิม พรุ่งนี้เย็นๆ ก็มาถึงมุกดาหารของเราแล้วครับ
|
|
|
|
เหยง 16
|
|
« ตอบ #3298 เมื่อ: 05 ตุลาคม 2554, 20:57:30 » |
|
ภาพในมหาสมุทรอินเดีย โดยทางใต้ของประเทศอินเดีย ซึ่งห่างไปหลายพันกิโลเมตร มีหย่อมความกดอากาศอยู่ 1 แห่งครับ ห่างไปทางตะวันตกเฉียงใต้ ซึ่งไม่น่ามีผลกระทบต่อประเทศไทย แต่ภาพแสดงถึงกลุ่มเมฆฝนที่ถูกดูดโดยพายุ นวลแก มาอยู่รอบๆเอเชียอาคเนย์ของเรา และเป็นมูลเหตุที่จะมีฝนตกอย่างหนักในภาคใต้ของไทย ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า
|
|
|
|
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์
รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644
|
|
« ตอบ #3299 เมื่อ: 05 ตุลาคม 2554, 21:01:11 » |
|
รายงานข่าวน้ำท้วม - ปริมาณน้ำที่เขื่อมภูมิพล จังหวัดตาก ตั้งแต่สร้างเขื่อนมา มีปีนี้ที่เห็นน้ำล้นทาง ทางน้ำล้น(สปินเวย์) ที่เจาะเป็นอุโมงค์ผ่านใต้ภูเขาสองช่อง เป็นทางระบายน้ำล้น ที่จะป้องกันไม่ให้เขื่อนพัง เมื่อปริมาณน้ำเกินระดับที่เขื่อนจะรับได้ ไม่มีประตูเปิดปิด ครับ พอน้ำสูงเกินขีดจำกัดมันก็ไหลออกของมันเอง และเอาไปปั่นกระแสไฟฟ้าก็ไม่ได้ ผลของมันคือ น้ำในแม่น้ำปิงตั้งแต่จังหวัดตาก กำแพงเพชร นครสวรรค์ ระดับน้ำจะสูงขึ้น และน้ำท้วมมากขึ้นครับ ผมถึงบอกไปกับคุณเหยง และทางเทศบาลนครสวรรค์ ไปเมื่อวานนี้ ให้เสริมคันกั้นน้ำให้สูงอีก อย่างน้อย ๕๐ เซนติเมตร ครับ ปริมาณน้ำจำนวนนี้พรุ่งนี้เย็นคงถึงนครสวรรค์แล้ว
- เช่นเดียวกับเขื่อนสิริกิตย์ แม่น้ำวัง น้ำก็ระบายออกทาง ทางน้ำล้นของเขื่อนอยู่แล้วขณะนี้
- เช่นเดียวกันที่ท่านเห็นน้ำท้วมแถวปทุมธานี กทม. อยุธยา นั้นเป็นผลมาจากน้ำที่ล้นออกทาง ทางระบายน้ำล้นของเขื่อนป่าสักที่ปล่อยมาอย่างต่อเนื่อง และยังต้องระบายออกอีกนานเป็นเดือน มีผลให้ปริมาณน้ำที่ผ่านบางไทร มีมากกว่า 4,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที เป็นผลให้พื้นที่รอบนอกคันกั้นน้ำ กทม. น้ำท้วมขณะนี้และจะแผ่กว้างขึ้นเรื่อยๆ ครับ
ดังนั้น จะโทษคุณบรรหาร โทษกรมชลประทาน โทษท่านนายก ไม่ได้ทั้งนั้น ถือเสียว่ามันเป็นกรรมเก่าที่เราเคยทำเอาไว้ในชาติที่ผ่านมา ชาตินี้ถ้าเราต้องรับกรรมเรื่องนำท้วมก็ชดใช้กรรมนั้นให้หมดสิ้นไปในชาตินี้ ขอให้มีสติแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไป เตรียมการณ์อะไรได้ก็เตรียมไปเพื่อความไม่ประมาท อย่าไปโกรธเคืองใครทั้งสิ้นครับ ให้อภัยกัน ยังมีคนที่เดือดร้อนมากกว่าเราเยอแยะ ในขณะนี้ พี่สาวผมอยู่คนเดียวน้ำท้วมชั้นสองมาเดือนกว่า ลำบาก ยังอยู่ได้ครับ
สำหรับผมนั้น พยายามเขียน วิเคราะห์น้ำท้วม อย่างใจเป็นกลาง เป็นการมองต่างมุม ผมไม่ไปคิดปรุงแต่งอะไรเลยในสิ่งที่เกิดขึ้น เขียนแล้วก็แล้วกันไปเราแสดงความคิดเห็นไปเขาก็ไม่ทำตามอยู่แล้ว มันไม่มีผลทั้งนั้น เป็นความรู้ เขียนผ่านไป ก็ลืมมันทันทีเพราะเป็นอดีต ผมจึงไม่ทุกข์อะไรเลย ผมก็อยากให้ทุกท่านเป็นแบบผม อย่าไปคิดปรุงแต่งมัน หรือวิตกกังวลในสิ่งที่มาไม่ถึง เราทำอะไรมันไม่ได้ทั้งนั้น เพราะเราไม่ได้เป็นผู้กระทำ เราเป็นผู้ได้รับผลจากการกระทำของคนอื่น และเราก็ว่าเขาไม่ได้ และไม่มีประโยชน์เสียด้วย ถือว่าเป็นกรรมนี่ละดี มันจะได้ยุติที่ตัวเรา ไม่คิดปรุงแต่งให้เกิดทุกข์ ครับ
วันนี้หลายฝ่ายออกมายืนยัน รวมทั้งคุณปราโมทย์ ไม่กลัด อดีตอธิบดีกรมชลประทาน บอกว่ารับรองน้ำไม่ท้วม กทม.ชั้นใน และขณะนี้ร่องความกดอากาศสูง (มวลอากาศเย็น) ได้แผ่ลงมาลงไปถึงอ่าวไทยแล้ว มีผลทำไห้ภาคเหนือ ภาคกลางปริมาณฝนจะหมดไปแล้วครับ
อดทนเข้าไว้นะครับสำหรับท่านที่ถูกน้ำท้วม โชคดีครับ
พรุ่งนี้ผมต้องไปสิงห์บุรีไปอยู่เป็นเพื่อนแม่ที่โรงพยาบาลสิงห์บุรี หนึ่งวัน เพื่อให้คนที่ดูแลแม่ไปโอนที่ดินที่อุทัยธานี ครับ
ราตรีสวัสดิ์ครับ
|
|
|
|
|