11 พฤศจิกายน 2567, 08:14:23
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 126 127 [128] 129 130 ... 681   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: คุย กับ คุณมานพ กลับดี อดีตประธานชมรม ๓ สมัย  (อ่าน 3530591 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 3 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #3175 เมื่อ: 23 กันยายน 2554, 05:30:51 »

อ้างถึง
ข้อความของ Kaimook เมื่อ 22 กันยายน 2554, 21:14:42
อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 22 กันยายน 2554, 20:11:27
สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง และแขกผู้มีเกียรติ ที่รักทุกท่าน

                       ค่ำนี้ผมอยู่ที่โรงแรม ทีแรกตั้งใจว่าออกกำลังกาย ไปโลตัส ไปซื้อกระชาย(มาทำน้ำกระชาย) น้ำผึ้ง มะนาว  โยเกิต รับประทานอาหารเย็นที่โรงแรม เสร็จ ตั้งใจจะไปเดินเที่ยวที่วัดพระธาตุ เพื่อชมงานสารทเดือนสิบ พนักงานโรงแรมบอกว่าอย่าไปเลยกลางคืนอันตราย และคนแยะมาก รถติด  ผมเลยเห็นด้วย  พรุ่งนี้บ่ายๆ จะไปเดินชมและนำภาพมาให้ดูด้วยครับ

                       ดังนั้นค่ำนี้ลองมาฟังเสียงบ่นจาก "ตับ" เราบ้างครับ  พิจารณาดูด้วยปัญญา นะครับ

                        ราตรีสวัสดิ์ทุกท่านครับ



ตับ

...ดูแลฉันด้วย

ยา ทุกอย่างมาจาก สารเคมี

ตับเป็นแผลเป็นง่าย เมื่อเป็นแล้ว เป็นอย่างถาวรเสียด้วย

***... การกินยาเกินความจำเป็น เป็นนิสัย ไม่ ดี


หวัดดี...ฉันคือ ตับ ของคุณ ให้ฉันเล่าให้คุณฟังว่า ฉันรักคุณมากเท่าใด   9  ข้อ

                        1. ฉับสะสมธาตุเหล็กสำรองรวมทั้งวิตามิน และ แร่ธาตุ ต่างๆ ที่คุณต้องการ หากไม่มีฉัน คุณก็จะไม่มีเรี่ยวแรงที่อยู่ต่อไป

                        2.  ฉันผลิตน้ำย่อย สำหรับย่อยอาหารให้คุณ  หากไม่มีฉัน คุณก็สูญเสียอาหาร จนไม่มีอะไรเหลืออยู่
 
                        3.  ฉันทำหน้าที่ล้างพิษของพวกสารเคมีที่คุณมอบให้ฉัน ไม่ว่าจะเป็น แอลกอฮอล์ เบียร์ ไวน์ ยาต่างๆ(ที่มีและไม่มีใบสั่งของแพทย์) รวมทั้งบรรดาสิ่งผิดกฏหมายทั้งหลาย หากไม่มีฉันแล้ว นิสัยไม่ดีของคุณ ก็จะฆ่าคุณไปแล้ว

                        4.  ฉันเก็บพลังงานเหมือนแบตเตอรี่ โดยสะสมน้ำตาล(คาร์โบไฮเดรท , กลูโคส และ ไขมัน) ไว้ให้คุณเมื่อคุณต้องการมัน  หากไม่มีฉัน ระดับน้ำตาลในเลือดของคุณจะลดลงต่ำมาก จนทำให้คุณล้มพับไป

                        5. ฉันสร้างเลือดให้ระบบต่างๆ ของคุณ ก่อนที่คุณจะเกิดเสียอีก หากไม่มีฉันแล้ว  ก็คงจะไม่มีคุณอยู่ที่นี่

                        6.  ฉันผลิตโปรทีนใหม่ที่ร่างกายของคุณต้องการเพื่อการมี สุขภาพดีและเจริญเติบโต หากไม่มีฉันแล้ว  คุณก็จะไม่เจริญเติบโตอย่างที่ควร

                        7.  ฉันกลั่นกรองสารพิษจากอากาศ ไอเสียรถยนต์ และสารเคมี ที่คุณหายใจเข้าไป หากไม่มีฉันแล้ว  คุณก็จะเหมือนถูกวางยาพิษโดยมลภาวะเหล่านั้น
 
                        8.  ฉันผลิตสารทำให้เลือดแข็งตัว ถ้าคุณบังเอิญไปโดนอะไรบาด  หากไม่มีฉันแล้ว คุณจะต้องตายเพราะเลือดไหลไม่หยุด

                        9. ฉันคอยต่อสู้ ป้องกันไม่ให้เชื้อโรคต่างๆ โจมตีคุณ ไม่ว่าจะเชื้อหวัด หรือ ไข้หวัดใหญ่ อะไรก็ตาม ฉันจะน็อคมันให้ตายหมด หรือ ไม่ก็ทำให้มันอ่อนแรงลง หากไม่มีฉันแล้ว คุณก็เหมือนเป้านิ่ง รอให้สารพัดโรคโจมตี

 

ดูซิว่า ฉันรักคุณแค่ไหน....

แล้วคุณล่ะ รักฉันบ้างไหม ?

ขอให้ฉันบอกวิธีง่ายๆ ที่จะ รัก ฉัน , ตับ ของคุณ



                      อย่ากดฉันให้ต้องจมลงในน้ำเบียร์ แอลกอฮอล์ หรือ ไวน์ เลย สำหรับบางคนแล้ว เพียงแก้วเดียว ก็ทำให้ฉันเป็นแผลเป็นไปตลอดชีวิต
 
                        ระวังบรรดา " ยา " ทั้งหลาย ยาทุกอย่างมาจากสารเคมี และเมื่อคุณเอามันมนผสมกันเข้า โดยไม่มีคำแนะนำจากแพทย์ มันก็กลายเป็นยาพิษที่สามารถทำลายฉันได้อย่างดีทีเดียวละ ฉันเป็นแผลเป็นง่าย เมื่อเป็นแล้ว เป็นอย่างถาวรเสียด้วย บางครั้งยาก็เป็นสิ่งจำเป็น แต่ การกินยาเกินความจำ เป็น เป็นนิสัยไม่ดี บรรดาสารเคมีเหล่านั้น สามารถทำลายตับได้
 
                        จงระวังบรรดากระป๋องสเปรย์ทั้งหลาย จำไว้ว่า ฉันจะต้องล้างพิษทุกอย่างที่คุณหายใจเอาเข้าไปด้วย ดังนั้นเวลาคุณทำความสะอาดอะไรด้วยพวกสเปรย์  ต้องให้มีอากาศถ่ายเทได้สะดวก หรือสวมหน้ากากด้วย อันตรายเพิ่มเป็นสองเท่า สำหรับพวกสเปรย์ฆ่าแมลง ฆ่าเชื้อรา สี และสารเคมี  ระวังว่าคุณหายใจเอาอะไรเข้าไป ระวังว่าอะไรโดนผิวหนังคุณด้วย ยาฆ่าแมลงที่คุณฉีดต้นไม้ พุ่มไม้นั้น สามารถผ่านผิวหนังของคุณเข้ามาโจมตีฉันได้ด้วย ป้องกันผิวหนังของคุณโดยการสวมถุงมือ ใส่เสื้อแขนยาว หมวก หน้ากากทุกครั้ง ที่คุณฉีดยาฆ่าแมลง

คำเตือน

                        ฉันไม่สามารถ และ ไม่บอกคุณด้วยว่าฉันประสพกับปัญหา  จนกระทั่งเกือบจะถึงวาระสุดท้ายของทั้งฉันและคุณเสียแล้ว  จงจำไว้ว่า ฉันไม่ใช่ประเภทขี้บ่น  ให้ฉันทำงานหนักเกินไปโดยอัด ยา แอลกอฮล์ และ บรรดาอาหารขยะสามารถทำร้ายฉันได้!

                        นี่อาจเป็นการเตือนครั้งเดียวที่คุณจะได้รับ โปรดฟังคำแนะนำฟรี พาฉันไปให้คุณหมอตรวจ การตรวจเลือด สามารถบอกปัญหาบางอย่างได้ ถ้าฉันยังอ่อนนุ่ม และไม่เป็นตะปุ่มตะป่ำ แสดงว่าฉันยังดีอยู่  ถ้าคุณหมอสงสัย  การอัลตร้าเซาวนด์ หรือ ซีที แสกน ช่วยได้

                         อายุของฉัน กับอายุของคุณ ขึ้นอยู่กับว่า คุณดูแลฉันดีแค่ไหน

                         คราวนี้คุณรู้แล้วละซี ว่าฉันรักคุณแค่ไหน  ได้โปรดดูแลฉันหน่อยด้วยความรักและผูกพัน  จาก เพื่อนร่วมชีวิตผู้สงบเงียบ และคู่รักนิรันดร ของคุณ “ตับ”

ขอบคุณค่ะพี่สิงห์


อรุณสวัสดิ์ค่ะ คุณน้องไข่มุก ที่รัก

                      ขอบคุณมากค่ะ

                      สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #3176 เมื่อ: 23 กันยายน 2554, 05:48:29 »

รู้ประวัติ พุทธสาวก อรหันต์ เอตทัคคะ

ลำดับที่ ๒๐

พระลกุณฏกภัททิยะเถระ

เอตทัคคะในทางผู้พูดเสียงไพเราะ

                       พระลกุณฏกภัททิยะ เกิดในตระกูลมหาเศรษฐี ในกรุงสาวัตถี มีชื่อเดิมว่า “ภัททิยะ” เมื่อเจริญวัยอายุมากขึ้นแต่ร่างกายของท่านไม่เจริญเติบโตตามอายุยังคงมีร่างกายเล็กต่ำเตี้ยเหมือนเด็กวัย ๑๐ ขวบ ชนทั่วไปเมื่อจะเรียกชื่อท่านก็จะเพิ่มคำว่า “ลกุณฏกะ” ซึ่งหมายถึง ต่ำเตี้ย ไว้ข้างหน้า ชื่อของท่านด้วย จึงเป็นที่รู้กันโดยทั่วไปว่า ท่านภัททิยะเตี้ย หรือ ท่านภัททิยะแคระ

                       •   คนแคระก็บวชได้

                       ในโอกาสที่พระผู้มีพระภาคเสด็จมาประทับ ณ พระเชตะวันมหาวิหาร หมู่อุบาสกอุบาสิกา ชาวเมืองสาวัตถุ ทราบข่าวการเสด็จมาของพระพุทธองค์ ต่างก็ถือดอกไม้และของหอมเครื่องสักการะทั้งหลาย ไปเข้าเฝ้าเพื่อฟังพระธรรมเทศนา ลกุณฏกภัททิยะ ก็ได้ติดตามไปร่วมฟังธรรมด้วย เมื่อพระพุทธองค์แสดงพระธรรมเทศนาจบลงแล้ว ท่านก็เกิดศรัทธาอย่างแรงกล้าปรารถนาที่จะบวชในพระพุทธศาสนา เมื่ออุบาสกอุบาสิกา พากันกลับเคหสถานของตน แล้วได้เข้าไปกราบทูลขอบรรพชาอุปสมบท พระพุทธองค์ประทานให้ตามความประสงค์
                       พระลกุณฏกภัททิยะ ครั้นได้อุปสมบทแล้ว ได้เรียนพระกรรมฐานในสำนักของพระบรมศาสดาแล้ว กราบทูลขอปลีกตัวออกไปจากหมู่คณะไปอยู่ในที่อันสงบสงัดปฏิบัติความเพียร ไม่นานนักก็ได้บรรลุโสดาปัตติผล เป็นพระอริยบุคคลชั้นต้นคือพระโสดาบัน ซึ่งจะต้องเพียรศึกษาปฏิบัติให้ได้บรรลุมรรคผลชั้นสูงขึ้นอีก เพราะความที่ท่านมีรูปร่างเล็กและเตี้ย จึงเป็นที่ชวนหัวเราะแก่ผู้พบเห็น วันหนึ่ง หญิงแพศยานั่งรถมากับพราหมณ์หนุ่มคนหนึ่ง เพื่อไปเที่ยวชมมหรสพ นางผ่านมาเห็นพระเถระแล้วคงจะเห็นว่าท่านตัวเล็ก ทั้ง ๆ ที่ดูลักษณะน่าจะมีอายุมาก นางจึงหัวเราะลั่นจนมองเห็นฟันในปาก พระเถระเห็นฟันของหญิงแพศยานั้นแล้ว ถือเอานิมิตนั้นเป็นอารมณ์พิจารณาว่าเห็นของปฏิกูล สกปรก น่าเกลียด จนได้สำเร็จเป็นพระอนาคามี และต่อมาท่านได้ฟังธรรมกถา อันเป็นโอวาทจากพระสารีบุตรเถระ จิตก็หลุดพ้นจากกิเลสาสวะ สำเร็จเป็นพระอรหันต์

                        • ถูกล้อเลียนว่าเป็นสามเณร

                        พระลกุณฏกภัททิยะ นั้น เพราะความท่านเป็นผู้มีรูปร่างเล็กและเตี้ยเหมือนสามเณร จึงเป็นเหตุให้พระหนุ่มสามเณรน้อยทั้งหลายที่เป็นปุถุชน ชอบล้อเลียนท่านด้วยความคึกคะนอง ชอบหยอกล้อท่านเล่นด้วยการจับศีรษะบ้าง ดึงหูบ้าง จับจมูกบ้าง แล้วพูดหยอกล้อท่านว่า:- “แนะสามเณรน้อย ไม่อยากสึกหรือ ยังชอบใจประพฤติพรหมจรรย์อยู่อีกหรือ ?” และครั้งหนึ่งมีภิกษุประมาณ ๓๐ รูป มาจากถิ่นอื่น เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาค ได้เดินสวนทางกับ พระลกุณฏกภัททิยะ ซึ่งท่านเพิ่งมาเข้าเฝ้าพระพุทธองค์แล้วก็กลับไป พระพุทธองค์ ตรัสถามภิกษุเหล่านั้นว่า:-
“ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอเห็นพระเถระรูปหนึ่งเดินสวนทางไปหรือไม่ ?”
“ไม่เห็น พระเจ้าข้า” “พวกเธอเห็น มิใช่หรือ ?” “เห็นแต่สามเณรองค์เล็ก ๆ เดินสวนทางไป พระเจ้าข้า”
“ภิกษุทั้งหลาย นั่นแหละ คือพระเถระ” “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ รูปร่างของท่านเล็กเหลือเกิน พระเจ้าข้า”
“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ตถาคตไม่เรียกบุคคลว่า “เถระ” เพราะความเป็นคนแก่ มีผมบนศีรษะหงอก และเพียงสักแต่ว่านั่งบนอาสนะพระเถระเท่านั้น ท่านเหล่านั้น ตถาคตเรียกว่า “พระแก่เปล่า”
 
                        ส่วนท่านที่มีสัจจะ คืออริยสัจ ๔ มีธรรมะ มีความสำรวม รู้จักข่มใจ ไม่เบียดเบียนผู้อื่น และมีปัญญา ท่านเหล่านี้ ตถาคตเรียกว่า “เถระ”

                        • ได้รับยกย่องว่าพูดเสียงไพเราะ

                        พระลกุณฏกภัททิยะ แม้จะมีร่างกายที่ไม่ปกติและไม่เหมือนกับภิกษุอื่น ๆ อันเป็นหตุให้ท่านถูกล้อเลียนด้วยวิธีต่าง ๆ แต่ท่านก็ไม่เคยโกรธเคืองเลย เพราะท่านเป็นพระอรหันต์ขีณาสพ ไม่มีกิเลสาสวะ แล้ว นอกจากนี้ท่านยังมีความสามารถพิเศษ คือปกติท่านแสดงธรรมสั่งสอนพุทธศาสนิกชนและเจรจาประกอบด้วยถ้อยคำและน้ำเสียงอันไพเราะ เป็นที่เสนาะโสตแก่ผู้ฟังทั้งหลาย อันเป็นเหตุนำมาซึ่งความเลื่อมใส
                        ด้วยเหตุนี้ พระผู้มีพระภาค จึงทรงยกย่องท่านในตำแหน่ง เอตทัคคะเป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายในทาง ผู้พูดเสียงไพเราะท่านพระลกุณฏกภัททิยะ ดำรงอายุสังขาร ช่วยกิจการพระศาสนาอยู่พอสมควรแก่กาลเวลาแล้วก็ดับขันธปรินิพพาน

      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #3177 เมื่อ: 23 กันยายน 2554, 07:59:50 »

สวัสดี ท่านขุน มณีวรรณ  ท่านผู้สนใจการปฏิบัติธรรม ทุกท่าน

                      พี่สิงห์ขอขยายความ ตามที่หลวงพ่อเทียน ท่านบอกว่า การปฏิบัติธรรมนั้น  ถ้าเป็นสมถะกรรมฐาน จะได้แต่ความสงบอย่างเดียว  ดังนั้น ท่านบอกว่าการปฏิบัติธรรมนั้น ต้องปล่อยให้จิตมันคิด แต่ขอให้คอยดูความคิด สำหรับหลวงพ่อเทียน นั้นในขณะนั้นท่านไม่รู้หนังสือ พี่สิงห์เข้าใจว่า ท่านไม่ทราบโภชณงค์ ๗ ด้วยซ้ำว่า ขณะปฏิบัติธรรมนั้น ต้องมี "ธัมวิจยะ" เพื่อให้จิตมันนิ่ง คือบังคับให้มันคิด  ไม่ใช่ปล่อยให้มันคิดของมันไปเอง  เพราะท่านไม่รู้เรื่องนี้ แต่ท่านรู้ด้วยตัวเองว่า ขณะที่ท่านเคลื่อนไหวมือ หรือเดินจงกรมนั้น ท่านปล่อยให้จิตมันคิดอย่างมีสติ โดยท่านคอยดูความคิดนั้น  ท่านคิดสิ่งใดขณะนั้น ท่านคิดเกี่ยวกับกาย-ใจ ของท่านเป็นส่วนใหญ่  ดังที่พระอานนท์ ได้เปรียบเอาไว้ว่า "แม่ไก่ฟักไข่ เมื่อถึงจุดๆหนึ่งความสมดุลย์ก็เกิดขึ้น ลูกไก่ฟักเป็นตัวแล้วเจาะไข่ออกมาได้เอง" ฉันใดก็ฉันนั้น ขณะที่หลวงพ่อเทียนท่าน กำลังดูความคิดอยู่นั้น  ท่านก็มีอารมณ์เป็นหนึ่งเดียวกับจิต(สมาธิ)เกิดความสมดุลย์ทางธรรมชาติ ท่านจึงเห็นความคิด ว่าคนเรานั้นก่อนที่จะคิดออกมาได้นั้น สามารถเห็นกระบวนการของการเกิดเริ่มต้นคิด ก่อนที่จะคิด เมื่อเห็นมันก่อนที่จะคิด ก็สามารถวินิจฉัยด้วยปัญญาว่า สิ่งที่เราจะคิด และกระทำตามความคิดนั้น มันก่อสุข ก่อทุกข์ ให้กับตัวเอง เมื่อมันจะก่อทุกข์ ก็หยุดเสียตั้งแต่เริ่มต้นคิด เมื่อหยุดความคิดได้ จิตมันก็ไม่คิด  จิตมันรอให้เราสั่งอย่างเดียว ไม่ใช่กระทำตามที่มันคิด เมื่อหลวงพ่อเทียนท่านเห็นความคิดแล้ว  ต่อไปท่านจึงเห็นรูป-นาม ต่างๆ ตามมาเป็นขั้นตอนอีกมาก ด้วย "ตาใน" หรือ "ตาปัญญา" ที่มีอยู่แล้วในคนทุกคน นั่นแล

                       สวัสดีครับ


เรียน ดร.สุริยา

                        บอก ดร.หน่อย  ด้วยว่า พี่สิงห์ถือวิสาสะ เอาหนังสือไป Copy แจกให้กับเพื่อนฝูง ลูกน้องตัวเอง และคนที่พี่สิงห์เป็นห่วงเรื่องสุขภาพ ไปหลายสิบเล่มแล้ว  เมื่อทุกคนได้อ่านต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เพิ่งรู้วิธีดูแลสุขภาพ  นึกไม่ถึง เพราะทุกคนปฏิบัติผิดหมดมาแต่ต้น คือเข้าใจผิดนั่นเอง
                        ขอบคุณมาก
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #3178 เมื่อ: 23 กันยายน 2554, 19:55:58 »


สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน

                      ค่ำนี้พี่สิงห์มีเรื่องมารายงานให้ทราบคือ

                      สถานะการน้ำท้วมที่สิงห์บุรี ระดับน้ำลดลงไปประมาณ ๒๐ เซนติเมตร สาเหตุจาก ถนน  ประตูระบายน้ำพัง ทำให้น้ำบางส่วนลงทุ่งนา และมีการผันน้ำลงทุ่งตะวันตก และตะวันออก บางส่วนเพื่อป้องกันน้ำไม่ให้ท้วมกรุงเทพฯ จริงๆ ควรจะปล่อยลงทุ่งได้มากกว่านี้แต่ต้องให้กระจาย นาข้าวจะไม่เสียหาย แต่ปัจจุบันน้ำข้ามถนนเป็นแห่งๆ นาข้าวตำแหน่งนั้นจึงเสียหาย เพราะบังคับไม่ได้

                      พี่สาวบอกว่าไม่ต้องเป็นห่วง มีคนมาแจกน้ำเกือบทุกวัน  ทนได้ แต่นอกเขตเทศบาลสิงห์บุรีตอนนี้มีปัญหาน้ำประปาท่อแตกเสียหาย ไม่มีน้ำใช้กันแล้วครับ  สงสัยผมต้องบอก คุณวิเศษ ผู้ว่าการประปาส่วนภูมิภาค เพื่อนผมให้ช่วยจัดการให้เสียแล้วครับ

                      ข่าวร้ายที่ทุกท่านได้ทราบกันคือ อาทิตย์หน้าฝนตกหนัก โดยเฉพาะกรุงเทพฯ ต้องระวังกันแล้วครับ พื้นที่รอบนอก เช่นหนองจอก มีนบุรี  ลาดกระบังน้ำท้วมแน่ๆ ครับ

                      มาถึงข่าวดีกันบ้าง ตามรูปข้างบน วันนี้ผมลองกินใบมะรุม กับต้มยำปลากระพงน้ำลึก ใบมะรุมกินง่าย มีรสมันนิดๆ อร่อย รับประทานไม่อยากครับ กินง่ายกว่ากินใบมะยมเสียอีก ไม่มีกลิ่นเลย ครับ ไม่เชื่อขอเชิญทุกท่านไปหาใบมะรุมมากินเป็นเครื่องเคียง รับรองอร่อย ได้คุณค่า ครับ

                      งานสารทเดือนสิบ ตกลงผมยังไม่ได้ไปชมเลยครับ เพราะงานมาก เอาไว้อาทิตย์หน้าก็แล้วกัน แต่ดูแล้วเงียบๆ ครับปีนี้ นครศรีธรรมราช ฝนตกน้อยมากครับ ถือว่าไม่ตกได้ครับ

                      ราตรีสวัสดิ์ทุกท่านครับ คืนนี้
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #3179 เมื่อ: 23 กันยายน 2554, 20:06:13 »

10 อันดับ วิธีถนอม กระดูกสันหลัง


อันดับที่ 10 การนอนขดตัว/นอนตัวเอียง

                        ท่านอนหงายเป็นท่านอนที่ถูกต้องที่สุด ควรนอนให้ศีรษะอยู่ในแนวระนาบ หมอนหนุนศีรษะต้องไม่แข็งหรือนิ่มเกินไป ควรมีหมอนรองใต้เข่าเพื่อลดความแอ่นของกระดูกสันหลังช่วงล่าง หากจำเป็นต้องนอนตะแคง ให้หาหมอนข้างก่ายโดยก่ายให้ขาทั้งหมดอยู่บนหมอนข้าง เพื่อรักษาแนวกระดูกให้อยู่ในแนวตรง

อันดับที่ 9 การหิ้วของหนักด้วยนิ้วบ่อยๆ

                        การหิ้วของหนักด้วยนิ้วบ่อยๆ จะมีผลทำให้มีพังผืดยึดตามข้อนิ้วมือ

อันดับที่ 8  การสะพายกระเป๋าหนักข้างเดียว

                       ไม่ควรสะพายกระเป๋าข้างใดข้างหนึ่งต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน ควรเปลี่ยนเป็นการถือกระเป๋า โดยใช้ร่าง กาย ทั้ง 2 ข้างให้เท่าๆ กัน อย่าใช้แค่ข้างใดข้างหนึ่งตลอด เพราะจะทำให้ต้องทำงานหนักอยู่เพียงซีกเดียว ส่งผลให้กระดูกสันหลังคดได้

อันดับที่ 7  การใส่ส้นสูงเกิน 1 นิ้วครึ่ง

                        จะทำให้แนวกระดูกสันหลังช่วงล่างแอ่นมากกว่าปกติ ซึ่งจะนำมาสู่อาการปวดหลัง

อันดับที่ 6  การยืนแอ่นพุง/หลังค่อม

                        ควรยืนหลังตรง แขม่วท้องเล็กน้อย เพื่อเป็นการรักษาแนวกระดูกช่วงล่างไม่ให้แอ่นและทำให้ไม่ปวดหลัง

อันดับที่ 5  การยืนพักขาลงน้ำหนักด้วยขาข้างเดียว
 
                        การยืนที่ถูกต้องควรลงน้ำหนักที่ขาทั้ง 2 ข้างเท่าๆกัน โดยยืนให้ขากว้างเท่าสะโพกจะทำให้เกิดความสมดุลของโครงสร้างร่างกาย

อันดับที่ 4  การนั่งเบาะเก้าอี้ไม่เต็มก้น

                        ทำให้กล้ามเนื้อหลังต้องทำงานหนัก เพราะฐานในการรับน้ำหนักตัวแคบ

อันดับที่ 3 การนั่งหลังงอ

                       การนั่งหลังงอ หลังค่อม เช่น การอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ติดต่อกันนานๆ เป็นชั่วโมง จะทำให้กล้ามเนื้อเกร็งค้าง เกิดการคั่งของกรดแลกติค มีอาการเมื่อยล้า ปวด และมีปัญหาเรื่องกระดูกผิดรูปตามมา

อันดับที่ 2 การนั่งกอดอก

                       ทำให้หลังช่วงบน สะบัก และหัวไหล่ ถูกยืดยาวออก หลังช่วงบนค่อมและงุ้มไปด้านหน้า ทำให้กระดูกคอยื่นไปด้านหน้า มีผลต่อเส้นประสาทที่ไปเลี้ยงแขน อาจทำให้มืออ่อนแรง หรือชาได้

อันดับที่ 1 การนั่งไขว่ห้าง

                       จะทำให้น้ำหนักตัวลงที่ก้นข้างใดข้างหนึ่ง เป็นผลให้กระดูกคด
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #3180 เมื่อ: 23 กันยายน 2554, 20:34:51 »

รู้ประวัติ พุทธสาวก อรหันต์ เอตทัคคะ

ลำดับที่ ๒๑

พระทัพพมัลลบุตรเถระ

เอตทัคคะในทางผู้จัดเสนาสนะ

                         พระทัพพมัลลบุตร เป็นพระราชโอรสของพระเจ้ามัลลราช ในอนุปิยนิคม แคว้นมัลละมีพระนามเดิมว่า “ทัพพราชกุมาร” แต่เนื่องจากว่าเป็นพระราชโอรสของพระเจ้ามัลลราช จึงนิยมเรียกกันว่า “ทัพพมัลลบุตร”

                        • ประสูติบนเชิงตะกอน

                        เหตุที่ท่านได้ชื่อว่า ทัพพะ ซึ่งแปลว่า ไม้ นั้นก็เพราะว่าในขณะที่พระมารดาของท่านตั้งครรภ์ใกล้จะประสูตร แต่ก็สวรรคตเสียก่อน บรรดาพระประยูรญาตจึงนำศพไปเผาบนเชิงตะกอน เมื่อไฟกำลังเผาไหม้ร่างของพระนางอยู่นั้นท้องได้แตกออก ทารกในครรภ์ได้ลอยมาตกลงบนกองไม้ใกล้ ๆ เชิงตะกอนนั้น และไม่ได้รับอันตรายใด ๆ เลย พวกเจ้าหน้าที่ได้อุ้มทารกนั้นมามอบให้พระอัยยิกา (ยาย) อาศัยเหตุการณ์นั้นจึงตั้งชื่อท่านว่า “ทัพพะ”

                       • โกนผมเสร็จก็บรรลุอรหันต์

                        ขณะที่พระบรมศาสดา ประทับอยู่ ณ อนุปิยนิคม แคว้นมัลละแห่งนั้นพร้อมด้วยภิกษุพุทธสาวก ขณะนั้น ทัพพราชกุมาร มีพระชนมายุได้ ๗ พรรษาพระอัยยิกาได้พาไปเฝ้าพระบรมศาสดาเพื่อฟังธรรม พร้อมกับชาวเมืองทั้งหลาย ทัพพราชกุมารได้ทอดพระเนตรเห็นพระผู้มีพระภาค เกิดศรัทธาเลื่อมใสน้อมพระทัยไปในการออกบวช ได้กราบทูลลาพระอัยยิกา เพื่อขอบวชในพระพุทธศาสนา ซึ่งพระอัยยิกาก็อนุโมทนาและรีบพามาสู่สำนักพระบรมศาสดา ท่านได้ทราบถวายบังคมแล้วกราบทูลขอบรรพชา พระพุทธองค์ทรงมอบให้ภิกษุรูปหนึ่งเป็นพระอุปัชฌาย์บวชให้
พระภิกษุผู้เป็นพระอุปัชฌาย์ ได้สอนตจปัญจกกรรมฐานแก่ ทัพพราชกุมารแล้ว ในขณะที่กำลังทำการโกนผมอยู่นั้น ทัพพราชกุมาร ได้พิจารณากรรมฐานที่เรียนมา คือ ผม ขน เล็บ ฟัน และหนัง โดยลำดับ เมื่อจรดมีดโกนครั้งที่ ๑ ได้บรรลุโสดาปัตติผล จรดมีดโกนครั้งที่ ๒ ได้บรรลุสกทาคามิผล จรดมีดโกนครั้งที่ ๓ ได้บรรลุอนาคามิผล และเมื่อการโกนผมสิ้นสุดลง ท่านได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ พร้อมด้วยปฏิสัมมภิทา ๔ และอภิญญา ๖

                        • ขอรับภารกิจของสงฆ์

                        ท่านได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ ตั้งแต่อายุเพียง ๗ ขวบ ต่อมาท่านได้ตามเสด็จพระผู้มีพระภาคไปจำพรรษาที่กรุราชคฤห์ แควนมคธ ขณะที่ท่านนั่งพักผ่อนอยู่เพียงตามลำพัง ความคิดอย่างหนึ่งเกิดขึ้นแก่ท่านว่า “เราอยู่จบพรหมจรรย์ สิ้นกิเลสแล้ว สมควรที่จะช่วยรับภารกิจของสงฆ์ ทำประโยชน์แก่ส่วนรวมบ้าง” ดังนั้น เมื่อท่านมีโอกาสจึงเข้าเฝ้ากราบทูลความคิดของตนแก่พระบรมศาสดา พระพุทธองค์ตรัสอนุโมทนาสาธุการแก่ท่านแล้วทรงประกาศให้สงฆ์สมมติให้ท่านรับหน้าที่เป็น ภัตตุทเทสก์ คือมีหน้าที่แจกจ่ายภัตรี จัดพระภิกษุไปฉันในที่มีผู้นิมนต์ไว้ และเป็น เสนาสนคาหาปกะ คือ มีหน้าที่จัดเสนาสนะแจกจ่ายแก่พระภิกษุผู้มาจากต่างถิ่น ให้ได้พักอาศัยตามความเหมาะสม ท่านได้ทำหน้าที่นั้น ๆ ด้วยดีเสมอมา ต่อมาพระพุทธองค์ทรงพิจารณาเห็นว่าท่านมีอายุยังน้อยนัก แต่มารับภาระอันหนักซึ่งควรจะเป็นหน้าที่ของพระภิกษุมากกว่า ดังนั้น เพื่อให้ท่านปฏิบัติหน้าที่นี้ได้อย่างสะดวกพระพุทธองค์จึงทรงบวชให้ด้วยการยกท่านจากการเป็นสามเณรขึ้นเป็นพระภิกษุในวันนั้น ด้วยพระดำรัสว่า “อชฺชโต ปฏฺฐาย ภิกฺขุ โหหิ” ซึ่งแปลว่า เธอจงเป็นภิกษุตั้งแต่วันนี้ไป การบวชด้วยวิธีนี้เรียกว่า “ทายัชชอุปสัมปทา” แปลว่า การรับเข้าหมู่โดยความเป็นทายาท ทั้งนี้เพราะพระพุทธองค์ทรงพิจารณาเห็นว่า ท่านมีคุณสมบัติสมควรที่จะเป็นพระภิกษุเพราะเป็นพระอรหันต์ และปฏิบัติหน้าที่เทียบเท่าพระ (ในพระพุทธศาสนามีสามเณรที่ได้รับการบวชด้วยวิธีนี้ ๓ รูป คือ สามเณรสุมนะ, สามเณรโสปากะ และสามเณรทัพพะ)

                        พระทัพพมัลลบุตร ได้ปฏิบัติหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมายจากพระพุทธองค์ อย่างสมบูรณ์และเรียบร้อยด้วยดีทุกประการ กล่าวคือ:- ในด้านการจัดพระไปฉันในที่นิมนต์ (ภัตตุทเทสก์) ท่านจะคำนึงถึงวัยวุฒิและคุณวุฒิของพระที่จะร่วมไปด้วยกัน ทั้งพิจารณาถึงความรู้จักคุ้นเคยกับทายก อีกทั้งให้พระหมุนเวียนผลัดเปลี่ยนกันไปตามวาระ และตามความเหมาะสมด้วย ในด้านการจัดเสนะสนะ (เสนาสนคาหาปกะ) ท่านจัดให้พระภิกษุผู้มีอุปนิสัย ความถนัด ความคิดเห็น และความรู้ที่คล้ายคลึงกันพักอยู่ด้วยกัน เพื่อมิให้เกิดความขัดแย้งกัน นอกจากนี้ยังจัดเสนาสนะให้ตามความประสงค์ของ ผู้มาพัก เช่น ต้องการพักในถ้ำหรือในกุฎี เป็นต้น ถ้าเป็นเวลาค่ำคืนท่านจะเข้าเตโชสมาบัติอธิษฐานให้ปลายนิ้วของท่าน เป็นดุจแท่งเทียนส่องสว่าง นำทางพระอาคันตุกะไปสู่ที่พัก พร้อมทั้งแนะนำสถานที่อำนวยความสะดวกต่าง ๆ กัน พระอาคันตุกะควรทราบ

                        • ถูกภิกษุณีกล่าวหาว่าข่มขืน

                        สมัยหนึ่ง มีพระบวชใหม่สองรูป ชื่อ “พระเมตติยะ กับพระภุมมชกะ” เป็นผู้มีบุญวาสนาน้อย เมื่อได้อาหารหรือเสนาสนะก็มักจะได้แต่ของชั้นเลวเสมอ วันหนึ่ง พระทัพพมัลลบุตร จัดให้ท่านไปฉันที่บ้านคหบดีผู้มีปกติถวายแต่ของชั้นดีแก่ภิกษุทั้งหลาย แต่วันนั้นคหบดี ทราบว่าท่านทั้งสองมา จึงสั่งให้สาวใช้จัดอาหารชั้นเลวถวายท่าน คือทำอาหารด้วยปลายข้าวและน้ำผักดอง เสนาสนะก็จัดให้นั่งที่ซุ้มประตู มิให้เข้ามาในบ้าน ทำให้ท่านทั้งสองขัดเคืองใจ แล้วคิดว่า ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะพระทัพพมัลลบุตร กลั่นแกล้ง วันหนึ่งมีนางภิกษุณีชื่อเมตติยามาหาท่าน จึงเล่าเรื่องความทุกข์ให้ฟังแล้วขอร้องให้นางกล่าวหาพระทัพพมัลลบุตร ว่าข่มขืนนาง เมื่อตกลงกันเป็นที่เรียบร้อยแล้วนำความกราบทูลพระผู้มีพระภาค ขอให้ลงโทษพระเถระด้วยการให้ลาสิกขาออกไป

                         พระผู้มีพระภาค รับสั่งให้ประชุมสงฆ์แล้วตรัสถามพระเถระว่า “ดูก่อนทัพพะ เธอจำได้ไหมว่าได้ทำตามที่ภิกษุณีนี่กล่าวหา ?” “ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ตั้งแต่ข้าพระพุทธเจ้าเกิดมายังไม่รู้จักการเสพเมถุน แม้แต่ในความฝันเลย จึงไม่จำต้องกล่าวถึงตอนตื่นอยู่ พระเจ้าข้า” พระพุทธองค์สดับแล้ว จึงรับสั่งให้ภิกษุทั้งหลายสึกนางภิกษุณีเมตติยา นั้น แต่พระเมตติยะกับพระภุมมชกะกราบทูลและสารภาพว่าทั้งหมดเป็นแผนการของตนทั้ง ๒ รูป พระผู้มีพระภาค ทรงปรารภเหตุนั้นจึงทรงบัญญัติสิกขาบทว่า “ภิกษุโกรธเคืองภิกษุอื่นแล้วแกล้งโจทก์ด้วยอาบัติปาราชิกไม่มีมูล ต้องอาบัติสังฆาทิเสส”

                       • ได้ยกย่องทางจัดเสนาสนะ

                       ท่านปฏิบัติหน้าที่ของท่านด้วยความเรียบร้อยด้วยดีทุกประการ เป็นที่พอใจและยอมรับของพระภิกษุสงฆ์ทั่วไป แม้แต่ทายกทายิกา ก็ได้รับความพอใจโดยทั่วกัน ด้วยเหตุนี้ท่านจึงได้รับยกย่องจากพระบรมศาสดาในตำแหน่งเอตทัคคะ เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย ในทาง ผู้จัดเสนาสนะ

                       ท่านพระทัพพมัลลบุตรเถระ นิพพานที่เมืองราชคฤห์ โดยก่อนที่จะนิพพาน ท่านได้ แสดงฤทธิ์เหาะขึ้นไปในอากาศ ทำสมาธิเข้าสมาบัติ เมื่อออกจากสมาบัติก็นิพพาน เตโชธาตุก็พลันเกิดขึ้นเผาสรีระของท่านจนไม่เหลือเศษแม้แต่เถ้าถ่าน ณ ท่ามกลางอากาศนั้น อันเป็นไปตามความประสงค์ของท่าน
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #3181 เมื่อ: 24 กันยายน 2554, 10:03:23 »

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน

                      วันนี้ผมมีข่าวที่จะมารายงานให้ทุกท่านได้ทราบ คือ

                      ระดับน้ำที่สิงห์บุรีลดลงไปประมาณ ๒๐ ซม. เป็นผลมาจากประตูระบายน้ำที่พังไปตามธรรมชาติที่ระดับน้ำมันสูงเกินไป แต่ไปปิดกั้นมันไว้ แรงดันน้ำที่เกิดขึ้น จึงทำให้พังน้ำเลยกระจายลงทุ่งนา  และอีกประการหนึ่งถนนก็ดี  คันดินที่ทางกรมชลประทานได้ใช้ระขุดตักดินมาถมถนนนั้น แช่น้ำอยู่นานๆ ประกอบกับระดับน้ำสูง ดินไม่สามารถรับได้ ผลคือ ถนน คันกั้นน้ำ พัง เป็นช่วงๆ ทำให้น้ำทะลักเข้านาข้าวทั้งสองฝั่ง เป็นผลให้ระดับน้ำลดลง  ประกอบกับทางกรมชลประทานไม่แน่ใจ  คิดว่าน้ำจะท้วมกรุงเทพนแน่ๆ  ตัวเองต้องได้รับผลนั้น จึงรีบระบายน้ำลงทุ่งทั้งสองฝั่งสุพรรณบุรี  บางปะกง  ผลคือ มีพื้นที่น้ำท้วมเพิ่มขึ้นอีกมากมาย กระจายเป็นวงกว้าง ซึ่งจริงๆ ควรจะค่อยๆระบายออกไปก่อนหน้านี้  แต่ก็ไม่ทำ

                       บ้านพี่สาวนั้นระดับน้ำลดลงเหลือเสมอพื้นชั้นสอง พออยู่ได้  มีคนไปแจกน้ำดื่มทุกวัน เพราะประปาเสียหายหมดหยุดผลิต  ไม่เดือดร้อนมากเพราะชินเสียแล้ว  ทำอะไรไม่ได้ทั้งนั้น เพราะถนนถูกตัดขาด ไม่สามารถไปเยี่ยมได้ ต้องใช้เรือเครื่องยนต์ไปจากถนนสายเอเซีย

                       ส่วนบ้านน้องสาวที่สิงห์บุรี นั้น ระบบประปาเสียหายผลิตน้ำประปาไม่ได้  จึงต้องใช้น้ำอย่างประหยัด หรือไม่ก็อาบน้ำที่ท้วมแทน  มีแต่แม่เท่านั้นที่สบาย เพราะอยู่โรงพยาบาล  มีคนช่วยดูแลหลายคน หลานๆ ญาติห่างๆ ก็เป็นพยาบาลอยู่ที่นั่นด้วย

                       ข่าวร้ายคือ อาทิตย์หน้าน้ำ ฝนตกภาคกลาง และกรุงเทพฯ จะตกมาก ดังนั้นพื้นที่รอบนอก เช่น มีนบุรี  หนองจอก  ลาดกระบัง น้ำท้วมแน่ๆ ครับ  บ้านไหนชั้นเดียว ระวังย้ายปรั๊กไฟ  ได้แล้ว ครับ




                        ข่าวดี คือ กลางวันที่ผ่านมา ตามรูป ผมได้ทดลองรับประทานใบมะรุมสด เป็นเครื่องเคียงกับต้มยำปลากระพงน้ำลึก  อร่อยมากครับ ใบมะรุมสด ไม่เฝื่อน  ไม่ขม  ไม่มีกลิ่น มีรสมันนิดๆ รับประทานสดๆ ได้สบายมากครับ ทุกท่านลองไปหามารับประทานดูได้ครับ

                        วันนี้ผมกลับกรุงเทพฯ Boarding 15:55 น. ครับ

                        สวัสดีครับ  เช้านี้ ทำจิตให้ผ่องใส่ ด้วยการมีสติสร้างความรู้สึกตัวเอาไว้  จะไม่หลงอยู่ในความคิดตัวเองครับ
                       
      บันทึกการเข้า
suriya2513
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,457

« ตอบ #3182 เมื่อ: 24 กันยายน 2554, 17:22:30 »

อีกหกวัน ผู้ว่าฯวิเศษ เกษียณแล้วครับ คงไปซ่อมท่อประปาให้ท่านไม่ทันแล้วขรับ
      บันทึกการเข้า

[โบราณคดี]จุดกำเนิดเริ่มต้นของ cmadong.com by : มานพ กลับดี  คลิ๊ก->
เริง2520
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 6,341

« ตอบ #3183 เมื่อ: 24 กันยายน 2554, 18:10:28 »

พี่ต็อกชวลิต  ธูปตาก้อง รองผู้ว่านนทบุรี อญู่ในตำแหน่งถึงวันที่ 30 กย.นี้เช่นกัน
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #3184 เมื่อ: 24 กันยายน 2554, 21:08:37 »

ขอบคุณ คุณน้องเริง และ ดร.สุริยา  ที่เข้ามาทักทายกัน ครับ

ชีวิตที่โดดเดี่ยวมันก็เป็นเช่นนี้ ถ้าเราไม่หลงอยู่ในความคิดตัวเอง  มันก็ไม่มีอะไรทั้งสิ้น

แต่มนุษย์นั้น ติดหรือหลงอยู่ในความคิดตัวเอง จนแยกไม่ออกจากกัน

ผลคือเต็มไปด้วยความอยาก หรือยึดมั่นถือมั่นในตัวกูทั้งสิ้น

นี่ละจิตของมนุษย์  แต่ถ้ามีความรู้สึกตัว หรือมีสติ ก็พอจะแยกแยะออกได้ จิตมนุษย์

ราตรีสวัสดิ์ทุกท่านครับราตรีนี้
      บันทึกการเข้า
suriya2513
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,457

« ตอบ #3185 เมื่อ: 24 กันยายน 2554, 21:20:13 »

อ้างถึง
ข้อความของ เริง2520 เมื่อ 24 กันยายน 2554, 18:10:28
พี่ต็อกชวลิต  ธูปตาก้อง รองผู้ว่านนทบุรี อญู่ในตำแหน่งถึงวันที่ 30 กย.นี้เช่นกัน
ไปกันอย่างก๊ะ ใบไม้ร่วงเลย CU2513
      บันทึกการเข้า

[โบราณคดี]จุดกำเนิดเริ่มต้นของ cmadong.com by : มานพ กลับดี  คลิ๊ก->
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #3186 เมื่อ: 25 กันยายน 2554, 20:02:47 »

อ้างถึง
ข้อความของ suriya2513 เมื่อ 24 กันยายน 2554, 21:20:13
อ้างถึง
ข้อความของ เริง2520 เมื่อ 24 กันยายน 2554, 18:10:28
พี่ต็อกชวลิต  ธูปตาก้อง รองผู้ว่านนทบุรี อญู่ในตำแหน่งถึงวันที่ 30 กย.นี้เช่นกัน
ไปกันอย่างก๊ะ ใบไม้ร่วงเลย CU2513
                          แน่นอนครับ และนับต่อแต่นี้ไปอีกห้าปี ก็จะเริ่มไปแบบใบไม้ร่วงจริงๆ ละ คือข่าวคราวที่เพื่อนฝูงจะต้องตายจากกัน ทีละคนไปเรื่อยๆ จนกว่าจะหมดรุ่น คือเริ่มต้น ๖๕ หรือ ๗๐ ปีขึ้นไป ครับ

                 เกิดเป็นมนุษย์มันก็หนีไม่พ้น เกิด แก่ เจ็บ ตาย และการแก่งแย่ง ยื้อยุด ชิงดีชิงเด่น อยากรวย อยากได้ในสิ่งที่ตนปราถนา หรือรัก หรือชอบ ซึ่งเป็นตัวก่อทุกข์ทั้งนั้น ที่ทำให้จิตมัวหมองและยึดติดคือชอบ ติดอกติดใจในสิ่งที่เคยได้รับ และอยากได้ใหม่เสมอ ไม่มีสิ้นสุด จนกว่าจะตาย

                 เวลาเกิดก็มีแต่ตัว  เวลาตายก็มีแต่ตัว  แต่ในระหว่างทางนั้น เพราะความอยากต่างๆ หรือกิเลส อย่างเดียว ทำให้มนุษย์ก่อทุกข์ให้กับตัวเอง จนจิตเศร้าหมอง ติดใจ อยากได้อีก จนไม่สามารถที่จะละจากทุกข์นั้นได้ในเมื่อต้องตายจากไป คือ ตอนเกิดจิตเป็นประภัสสร  แต่ตอนก่อนตายจิตมีแต่ทุกข์  ไม่สามารถจะกลับมาเป็นจิตประภัสสรได้

                  ทำไมเราไม่หาทางพ้นทุกข์ให้กับตัวเองเสียแต่เนินๆ อย่ามัวรออะไรอยู่เลย เราสามารถหาทางพ้นทุกข์  ยังทำงาน  ยังดูแลครอบครัว  ยังช่วยงานสังคมได้ และการปฏิบัติธรรม จะเป็นตัวเสริมให้เราประสพความสำเร็จในชีวิตได้ ครับ  อย่าไปมองในภาพลักษณ์ที่ผิดๆ ตามความเข้าใจของเราที่เห็นคือ ผู้ปฏิบัติธรรมส่วนใหญ่หนีปัญหาครอบครัว เช่นผัวมีเมียน้อย หรือพลัดพรากจากคนที่เรารัก หรือผิดหวังต่างๆ นาๆ จึงเข้าหาวัด หวังพึ่งวัด

                  เราลองเข้าหาวัดหรือทำที่บ้านอย่างคนมีสติซิครับ  ปฏิบัติธรรมโดยที่เราไม่มีปัญหาใดๆ เลยดูซิครับ (มีคนถามผมเสมอคำถามนี้ ว่าผมผิดหวังอะไรมาในชีวิต จึงปฏิบัติธรรม ผมตอบแบบยึดอกทันที ไม่มีผิดหวังอะไรทั้งสิ้น ผมต้องการหาทางทำที่สุดแห่งทุกข์ให้พบ ในเมื่อผมมีโอกาสเกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว และได้รู้และเข้าใจหลักคำสอนของศาสนาพุทธอย่างแท้จริงแล้ว)

                   แต่ท่านอย่าลืม ธรรมะแห่งการตรัสรู้ธรรมคือ ต้องมีศรัทธา มีความเพียร และปัญญา ครับ เพราะการปฏิบัติธรรมนั้น จิตมันไม่ต้องการที่จะพ้นทุกข์  การที่จะเอาชนะจิตตนเองได้นั้นมันอยากมากๆๆๆๆๆๆ ครับ จะมีพญามาร มาร  มาผจญทุกวัน จนทำให้ท่านเบื่อหน่าย แต่ท่านต้องมีศรัทธา เชื่อมั่น อดทน  และปัญญา ท่านก็จะสามารถเอาชนะจิตท่านได้ ในทุกๆเรื่องที่พญามาร มาร มาราวีเราได้ครับ แต่จะให้ถึงทางพ้นถึงนั้น มันอีกไกลมาก  แต่ผลของมันทำให้ชีวิตเราดีขึ้น รู้จักปล่อยวาง  ไม่ยึดติดกับสิ่งที่เคยได้รับ ความทุกข์ที่เคยมี มันหดหายไปมาก  รู้จักอยู่แบบพอเพียงไม่ก่อทุกข์ให้ใคร เพียงแค่นี้ก็ปีติแล้วครับ

                  ราตรีสวัสดิ์ครับค่ำนี้

                
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #3187 เมื่อ: 25 กันยายน 2554, 20:43:01 »

รู้ประวัติ พุทธสาวก  อรหันต์

ลำดับที่ ๒๒

พระพากุลเถระ

เอตทัคคะในทางผู้ไม่มีโรคาพยาธิ


                        พระพากุละ เกิดในวรรณะแพศย์ ตระกูลคหบดี ในเมืองโกสัมพี ที่ได้ชื่อว่า “พากุละ”  เพราะชีวิตของท่านเจริญเติบโตในตระกูลเศรษฐี ๒ ตระกูล (พา = สอง, กุละ = ตระกูล) ประวัติของท่านมีดังต่อไปนี้:-

                        • คลอดจากท้องคนเข้าไปอยู่ในท้องปลา

                        เมื่อท่านคลอดออกจากครรภ์ของมารดาได้ ๕ วัน บิดามารดา รวมทั้งวงศาคณาญาติได้จัดพิธีมงคลโกนผมไฟและตั้งชื่อให้ท่าน และมีความเชื่อกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษว่า ถ้านำเด็กที่เกิดใหม่ไปอาบน้ำในแม่น้ำคงคา แล้วจะทำให้เป็นคนไม่มีโรคเบียดเบียนและมีอายุยืนยาว พี่เลี้ยงนางนมทั้งหลายจึงได้นำท่านไปอาบน้ำในแม่น้ำคงคา ซึ่งนับถือกันว่าเป็นแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์เพื่อความเป็นสิริมงคลตามความเชื่อนั้น ขณะที่พี่เลี้ยงกำลังอาบน้ำให้ท่านอยู่นั้น มีปลาใหญ่ตัวหนึ่งแหวกว่ายมาตามกระแสน้ำเมื่อมันเห็นท่านแล้วคิดว่าเป็นก้อนเนื้อ จึงฮุบท่านไปเป็นอาหารแล้วกลืนลงท้อง อาจเป็นเพราะท่านมีบุญญานุภาพมาก แม้จะถูกอยู่ในท้องของปลาก็มิได้รับความทุกข์ร้อนแต่ประการใด เป็นเสมือนว่านอนอยู่ในสถานที่อันสุขสบาย ส่วนปลานั้นก็ไม่สามารถจะย่อยอาหารชิ้นนั้นได้ จึงมีอาการเร่าร้อนทุรนทุราย กระเสือกกระสนแหวกว่ายไปตามกระแสน้ำ จนถูกชาวประมงจับได้และขาดใจตายในเวลาต่อมา เนื่องจากเป็นปลาตัวใหญ่ ชาวประมงจึงพร้อมใจกันนำออกเร่ขายเพื่อนำเงินมาแบ่งกัน ชาวประมงเหล่านั้น ช่วยกันนำปลาออกเร่ขายทั้งในหมู่บ้านและในตลาด ก็ไม่มีใครสามารถจะจ่ายเงินเป็นค่าซื้อปลาได้ขณะนั้น ภริยาเศรษฐีในเมืองพาราณสีผ่านมาพบ จึงได้ซื้อปลานั้นไว้ด้วยหวังจะนำไปแจกจ่ายให้แก่บริวาร และเมื่อให้จัดการชำแหละท้องปลาแล้วสิ่งที่ปรากฏแก่สายตาของทุกคนก็คือ เด็กทารกที่ยังมีชีวิตอยู่ ทุกคนเมื่อหายตกตะลึงแล้วก็อุ้มเด็กออกจากท้องปลา ชำระร่างกายให้สะอาดแล้ว เด็กทารกนั้นเป็นผู้มีผิวพรรณผ่องใสน่ารัก ภริยาเศรษฐีดีใจสุดประมาณ เพราะตนเองก็ยังไม่มีบุตร จึงพูดขึ้นด้วยเสียงอันดังในท่ามกลางฝูงชนว่า “เราได้บุตรแล้ว ๆ” และได้รับเลี้ยงทารกนั้นเป็นอย่างดีประดุจบุตรแท้ ๆ ในอุทรของตนเอง

                         • ลูกใครกันแน่

                         ข่าวการที่เศรษฐีในเมืองพาราณสีได้เด็กจากท้องปลา แพร่สะพัดไปทั่วอย่างรวดเร็วฝ่ายมารดาบิดาที่แท้จริงของเด็กนั้นอยู่ที่เมืองโกสัมพี ได้ทราบข่าวนั้นแล้ว จึงรีบเดินทางมาพบเศรษฐีเมืองพาราณสีทันที ได้สอบถามเรื่องราวโดยตลอดแล้ว จึงกล่าวว่า “นั่นคือบุตรของเรา” พร้อมกับชี้แจงแสดงหลักฐานเล่าเรื่องราวความเป็นมาโดยละเอียด แล้วเจรจาขอเด็กนั้นคืน ฝ่ายเศรษฐีเมืองพาราณสี แม้จะทราบความจริงนั้นแล้วก็ไม่ยอมให้คืน เพราะถือว่าตนก็ได้มาด้วยความชอบธรรม อีกทั้งมีความรักความผูกพันในตัวเด็ก ซึ่งเปรียบเสมือนลูกที่แท้จริงของตน ทั้งสองฝ่ายไม่สามารถตกลงกันได้จึงพากันไปกราบทูลพระเจ้าพาราณสีเพื่อให้ทรงช่วยตัดสินคดีความให้

                        พระเจ้าพาราณสี ได้ทรงสอบสวนทวนความ ทราบเรื่องโดยตลอดแล้ว ทรงพิจารณาวินิจฉัยให้ความเป็นธรรมแก่ทั้งสองฝ่าย ด้วยการตัดสินให้ทั้งสองตระกูลมีสิทธิ์ในตัวเด็กทารกนั้นเท่าเทียมกัน ให้ทั้งสองฝ่ายผลัดกันเลี้ยงดู สุดแต่จะตกลงกำหนดระยะเวลาตามความพอใจของทั้งสองฝ่าย ด้วยเหตุนี้ ท่านจึงได้นามว่า “พากุละ” แปลว่า คน ๒ ตระกูล เพราะท่านเจริญเติบโตในตระกูลเศรษฐีทั้งสองตระกูลละครึ่งปี ท่านมีชีวิตที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขตามวิถีชีวิตฆราวาส ด้วยความอุปถัมภ์บำรุงของตระกูลทั้งสองนั้น จวบจนอายุถึง ๘๐ ปี

                        • เข้ามาบวชในพระพุทธศาสนา

                        สมัยหนึ่ง เมื่อพระบรมศาสดาเสด็จอุบัติขึ้นในโลก ได้ตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ เที่ยวประกาศหลักธรรมคำสั่งสอน ให้ประชาชนได้บรรลุมรรคผล ตามอำนาจวาสนาบารมีของตน ๆ เสด็จมาถึงยังเมือสาวัตถุ พากุละพร้อมด้วยบริวาร ได้มีโอกาสเข้าเฝ้าและรับฟังพระธรรมเทศนาเกิดศรัทธาเลื่อมใส ตั้งใจอุทิศชีวิตเพื่อพระพุทธศาสนา จึงกราบทูลของบรรพชาอุปสมบท พระพุทธองค์ประทานให้ตามประสงค์ และประทานพระโอวาทอันเป็นแนวทางแห่งการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน จากนั้นท่านได้ปลีกตัวไปสู่สถานที่อันสงบสงัด เหมาะแก่การบำเพ็ญเพียร ท่านอุตสาห์ทำความเพียรอยู่ ๗ วัน ก็ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์

                        • ได้รับยกย่องว่าเป็นผู้ไม่มีโรคาพาธ

                        เมื่อท่านได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว ท่านได้ช่วยแบ่งเบาภาระทางพระพุทธศาสนาในการอบรมสั่งสอนพุทธบริษัท และท่านเป็นผู้ปฏิบัติเคร่งครัดในธุดงค์ ข้อ “เนสัชชิกธุดงค์” คือ การสมาทานธุดงค์ด้วยการอยู่ในอิริยาบท ๓ คือ ยืน เดิน และนั่งเท่านั้น ไม่นอน และข้อ “อรัญญิกธุดงค์” คือ การสมาทานธุดงค์ด้วยการอยู่ป่าเป็นวัตร ดังจะเห็นได้ว่า ตั้งแต่ท่านบวชมานั้น ท่านไม่เคยจำพรรษาในบ้านเลย นอกจากนี้ท่านยังเป็นผู้ที่ไม่มีโรคเบียดเบียน ไม่เคยให้หมอรักษาพยาบาล ไม่เคยฉันแม้แต่ผลสมออันเป็นยาสมุนไพรแม้แต่เพียงผลเดียว เพราะว่าท่านไม่มีโรคใด ๆ เลยนั่นเอง ทั้งนี้เป็นเพราะด้วยอานิสงส์แห่งการสร้างเว็จกุฎี (ส้วม) แลการถวายยาเป็นทานแก่พระสงฆ์ เหตุการณ์ที่แสดงว่าท่านเป็นผู้อายุยืนยาวนั้น ได้มีเรื่องกล่าวไว้ใน กุลัตเถรัจฉริยัพภูตสูตรแห่งคัมภีร์มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ ว่า.....ครั้งหนึ่ง เมื่อพระพากุลเถระ พักอาศัยยู่ที่เวฬุวันมหาวิหารเมืองราชคฤห์ ขณะนั้น มีอเจลกะท่านหนึ่ง ชื่อว่า กัสสปะ (อเจลกะ คือ นักบวชประเภทหนึ่งที่ไม่สวมเสื้อผ้า ซึ่งเรียกว่า ชีเปลือย) ซึ่งเป็นเพื่อนเก่าของท่าน เมื่อสมัยที่ยังเป็นคฤหัสถ์ ได้มาเยี่ยมเยือนและได้สนทนาไต่ถามพระเถระว่า “ท่านพากุละ ท่านบวชมาได้กี่ปีแล้ว” “กัสสปะ อาตมาบวชมาได้ ๘๐ ปีแล้ว” “ท่านพากุละ ตลอดระยะเวลา ๘๐ ปี ที่ท่านบวชมานั้น ท่านมีความเกี่ยวข้องกับโลกิยธรรมกี่ครั้ง” “ท่านกัสสปะ อันที่จริงท่านควรถามอาตมาว่า ตลอดระยะเวลา ๘๐ ปีนั้น กามสัญญา คือ ความใฝ่ใจในทางกามารมณ์เกิดขึ้นแก่ท่านกี่หนแล้ว กัสสปะ ตั้งแต่อาตมาบวชมาได้ ๘๐ ปี แล้วนี้ อาตมามีความรู้สึกว่า กามสัญญาที่ว่านั้นไม่เกิดขึ้นแก่อาตมาเลย” อเจลกกัสสปะ ได้ฟังคำของพระเถระแล้วกล่าวว่า “เรื่องนี้ น่าอัศจรรย์ จริง ๆ” และได้สนทนาไต่ถามในข้อธรรมต่าง ๆ จากพระเถระ จนหมดสิ้นข้อสงสัยแล้ว ในที่สุดก็เกิดศรัทธา ขอบวชในพระพุทธศาสนา และได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์อีกรูปหนึ่งด้วยความที่ท่าน เป็นผู้ไม่มีโรคภัยเบียดเบียนเป็นเหตุให้ท่านมีอายุยืนยาวดังกล่าวมานี้  พระบรมศาสดาจึงทรงยกย่องท่านในตำแหน่งเอตทัคคะ เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายในทางผู้ไม่มีโรคาพาธ

                        ท่านพระพากุลเถระ ดำรงอายุสังขารสมควรแก่กาลแล้ว ในวันที่ท่านจะนิพพานนั้น ท่านนั่งอยู่ในท่ามกลางประชุมสงฆ์ ได้อธิษฐานว่า “ขออย่าให้สรีระของข้าพเจ้าเป็นภาระแก่หมู่ภิกษุสงฆ์เลย” ดังนี้แล้วท่านก็เข้าเตโชกสิณ ปรินิพพานในท่ามกลางหมู่สงฆ์นั้น พลันเปลวเพลิงก็เกิดขึ้นเผาสรีระของท่านจนเหลือแต่อัฐิธาตุ ซึ่งมีสีและสัณฐานดังดอกมะลิตูม
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #3188 เมื่อ: 25 กันยายน 2554, 21:07:03 »

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง และผู้มีเกียรติ ที่รักทุกท่าน

                       อย่าลืมหาเวลา หากรรมวิธีที่สำหรับท่าน เพราะมีความจำเป็นที่ท่านต้องออกกำลังกาย  เพื่อชิวิตที่ห่างไกลโรค  การออกกำลังกายนั้น มีความจำเป็นสำหรับชีวิตเราครับ  การทำงานหนักนั้นไม่ใช่การออกกำลังกายที่แท้จริง  การออกกำลังกายนั้นต้องออกกำลังกายให้ต่อเนื่องมากกว่า ๓๐ นาที ให้มีเหงื่อ และหัวใจเต้น = 170 - อายุ ปัจจุบัน  และต้องออกกำลังอย่างน้อยอาทิตย์ละ ๓ วัน   ถ้าท่านทำได้ต่อเนื่องสักหนึ่งเดือน ท่านจะเห็นความเปลี่ยนแปลงในตัวท่าน ทั้งกาย-ใจ   ไม่เชื่อลองทดลองดู ว่าจริงหรือไม่ตามที่ผมบอกเอาไว้

                       เมื่อเช้าอาจารย์เผ่า  ได้โทรศัพท์มาถามข่าวคราว น้ำท้วมวัดพระนอน ผมได้รายงานให้ทราบแล้ว และได้คุยกันถึงเรื่องการจัดงานครบรอบที่ ๗ ให้กับพี่ทองอู่  จักรสิงห์  ซึ่งทางลูกสาวพี่ทองอู่ได้โทรศัพท์ไปหาอาจารย์เผ่า  ตกลงผมเสนอไปทางอาจารย์เผ่าว่า ถ้าเป็นไปได้ให้จัดที่เรือนไทย และให้นิสิตนำดนตรีไทยมาแสดงด้วย จะเป็นเหตุให้พี่ทองอู่  ไม่สามารถจะปฏิเสธได้  และอาจารย์เผ่า  จะไปคุยกับพี่ตัน เพื่อเอาเป็นข้ออ้างให้พี่ทองอู่ อยากที่จะปฏิเสธ  ได้ผลอย่างไร? คงทราบเร็วๆนี้ และผมจะปรึกษากับทางท่านประธานชมรมฯ คุณวัฒนา ด้วย แลจะะแจ้งให้ทุกท่านทราบ  ถ้าเรือนไทยไม่ว่าง คงต้องเป็นร้าน "กุหลาบ" ครับ วันอาทิตย์ที่ ๙ ตุลาคม ศกนี้อย่าลืม กาในปฏิทินไว้ด้วยครับ

                       สวัสดี
      บันทึกการเข้า
suriya2513
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,457

« ตอบ #3189 เมื่อ: 26 กันยายน 2554, 00:37:51 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 25 กันยายน 2554, 21:07:03
สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง และผู้มีเกียรติ ที่รักทุกท่าน

                       อย่าลืมหาเวลา หากรรมวิธีที่สำหรับท่าน เพราะมีความจำเป็นที่ท่านต้องออกกำลังกาย  เพื่อชิวิตที่ห่างไกลโรค  การออกกำลังกายนั้น มีความจำเป็นสำหรับชีวิตเราครับ  การทำงานหนักนั้นไม่ใช่การออกกำลังกายที่แท้จริง  การออกกำลังกายนั้นต้องออกกำลังกายให้ต่อเนื่องมากกว่า ๓๐ นาที ให้มีเหงื่อ และหัวใจเต้น = 170 - อายุ ปัจจุบัน  และต้องออกกำลังอย่างน้อยอาทิตย์ละ ๓ วัน   ถ้าท่านทำได้ต่อเนื่องสักหนึ่งเดือน ท่านจะเห็นความเปลี่ยนแปลงในตัวท่าน ทั้งกาย-ใจ   ไม่เชื่อลองทดลองดู ว่าจริงหรือไม่ตามที่ผมบอกเอาไว้

                       เมื่อเช้าอาจารย์เผ่า  ได้โทรศัพท์มาถามข่าวคราว น้ำท้วมวัดพระนอน ผมได้รายงานให้ทราบแล้ว และได้คุยกันถึงเรื่องการจัดงานครบรอบที่ ๗ ให้กับพี่ทองอู่  จักรสิงห์  ซึ่งทางลูกสาวพี่ทองอู่ได้โทรศัพท์ไปหาอาจารย์เผ่า  ตกลงผมเสนอไปทางอาจารย์เผ่าว่า ถ้าเป็นไปได้ให้จัดที่เรือนไทย และให้นิสิตนำดนตรีไทยมาแสดงด้วย จะเป็นเหตุให้พี่ทองอู่  ไม่สามารถจะปฏิเสธได้  และอาจารย์เผ่า  จะไปคุยกับพี่ตัน เพื่อเอาเป็นข้ออ้างให้พี่ทองอู่ อยากที่จะปฏิเสธ  ได้ผลอย่างไร? คงทราบเร็วๆนี้ และผมจะปรึกษากับทางท่านประธานชมรมฯ คุณวัฒนา ด้วย แลจะะแจ้งให้ทุกท่านทราบ  ถ้าเรือนไทยไม่ว่าง คงต้องเป็นร้าน "กุหลาบ" ครับ วันอาทิตย์ที่ ๙ กันยายน ศกนี้อย่าลืม กาในปฏิทินไว้ด้วยครับ

                       สวัสดี

อาทิตย์ที่ 9 กันยายน ปีหน้าเหรอครับ...ผู้สื่อข่าวบันเทิงอย่างผม ตกข่าวไปได้ไง ปีนี้มันเลยไปแล้วนี่นา
      บันทึกการเข้า

[โบราณคดี]จุดกำเนิดเริ่มต้นของ cmadong.com by : มานพ กลับดี  คลิ๊ก->
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #3190 เมื่อ: 26 กันยายน 2554, 07:24:29 »

ต้องขอ อภัยด้วยครับ ขาดความรอบครอบ ขาดสติ ลืมเปิดปฏิทินที่บันทึกเอาไว้

วันอาทิตย์ที่ ๙  ตุลาคม วันเกิด พี่ทองอู่  จักรสิงห์  อายุครบ ๗ รอบ ๘๔ ปี ครับ

ผมขอเรียนเชิญ ชาวซีมะโด่ง ทุกท่าน  ร่วมแสดง มุทิตาจิต กับ พี่ทองอู่  จักรสิงห์  ด้วยครับ

สำหรับสถานที่  เวลา  กำหนดการ  จะแจ้งให้ทราบภายหลัง ครับ

ขอบพระคุณมาก


และ อย่าลืม วันเกิดครบ ๖ รอบ ๖๐ ปี ผู้สื่อข่าวบันเทิง

วันอังคารที่ ๑๗ มกราคม ๒๕๕๕

ร้าน"กุหลาบ" เวลา ๑๘:๐๐ น. มีคาราโอเกะ


      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #3191 เมื่อ: 26 กันยายน 2554, 08:23:33 »

ชามะรุม


                       ชาใบมะรุมนั้น  สำหรับผู้ที่ติดกับรสชาด คงจะดื่มอยากสักนิด คือมันจะมีรสขื่นๆ ไม่ชวนดื่ม (อาจจะเป็นเพราะใบมะรุมตากแดดไม่แห้งมาก คือยังมีสีสดเขียวแต่ใบแห่งกรอบ จึงมีรสเฝื่อน ขื่น ครับ)ท่านต้องอย่ายึดติดในรส ต้องเติมน้ำผึ้งผสมลงไป จึงจะสามารถพอดื่มได้ แต่ถ้าตัดใจได้แบบผม ไม่สนใจในรสชาดดื่มทันทีก็ไม่มีอะไรต้องกังวลทั้งสิ้นครับ ตอนนี้ผมชงดื่มทุกวัน มากกว่าสองแก้วต่อวัน โดยชงแบบใส่กาชงชา  เพราะพนักงานที่ นครศรีธรรมราชทำใบมะรุมตากแห้งใส่กล่องเอามาให้ครับ

                        ตามความเห็นของผม รับประทานใบมะรุมสด เป็นเครื่องเคียง อร่อยกว่า ครับ

                        เอาไว้สถานการณ์้วมหายไปแล้วผมจะไปที่อำเภอโพธิ์ทอง  จังหวัดอ่างทอง ที่นั่นชาวบ้าน ทำสาระพัดผลิตผลจากมะรุม  รวมทั้งชามะรุมขาย เอามาทดลองดูครับ

                        วันนี้ผมกลับบ้านไปหาแม่ที่สิงห์บุรี ครับ

                        สวัสดี
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #3192 เมื่อ: 26 กันยายน 2554, 12:37:29 »

วันที่ 26 ก.ย. กรมอุตุนิยมวิทยา รายงานสภาพอากาศ ประจำวันว่า ลักษณะอากาศทั่วไปเมื่อเวลา 04.00 น. 
ร่องมรสุมพาดผ่านภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เข้าสู่พายุโซนร้อน “ไห่ถาง” บริเวณทะเลจีนใต้ตอนกลาง หรือที่ละติจูด 17.0 องศาเหนือ และ ลองจิจูด 111.7 องศาตะวันออกโดยกำลังเคลื่อนนอกชายฝั่งประเทศเวียดนามอย่างช้าๆ ไปทางทิศตะวันตก ส่วนมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้และอ่าวไทยมีกำลังค่อนข้างแรง ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณภาคตะวันออก และภาคใต้ตอนบน ยังมีฝนตกหนักได้บางพื้นที่ โดยเฉพาะบริเวณจังหวัดระยอง จันทบุรี ตราดและระนอง จึงขอให้ประชาชนที่อาศัยในพื้นที่เสี่ยงภัยตามที่ลาดเชิงเขา ที่ราบลุ่ม และใกล้ทางน้ำไหลผ่าน ระมัดระวังอันตรายจากฝนตกหนักที่จะเกิดขึ้นได้ในระยะนี้
 
พยากรณ์อากาศสำหรับประเทศไทยตั้งแต่เวลา 06.00 วันนี้ ถึง 06.00 วันพรุ่งนี้

ภาคเหนือ  มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 40 ของพื้นที่ และมีลมแรงส่วนมากบริเวณบริเวณจังหวัดตาก สุโขทัย กำแพงเพชร พิษณุโลก พิจิตร และเพชรบูรณ์ อุณหภูมิต่ำสุด 23-25 องศา  อุณหภูมิสูงสุด 32-33 องศา  ลมแปรปรวน ความเร็ว 10-30 กม./ชม. 

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ  มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 60 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่งกับมีลมแรงบริเวณจังหวัดหนองคาย นครพนม มุกดาหาร และอำนาจเจริญ อุณหภูมิต่ำสุด 23-24 องศา อุณหภูมิสูงสุด 31-32 องศา ลมแปรปรวน ความเร็ว 15-30 กม./ชม. 

ภาคกลาง มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 60 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่งกับมีลมแรงบริเวณจังหวัดลพบุรี สระบุรี พระนครศรีอยุธยา และราชบุรี อุณหภูมิต่ำสุด 23-25 องศา อุณหภูมิสูงสุด 32-33 องศา ลมตะวันตก ความเร็ว 15-30 กม./ชม. 

ภาคตะวันออก  มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 60 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่งกับมีลมแรงบริเวณจังหวัดนครนายก ปราจีนบุรี สระแก้ว ระยอง จันทบุรี และตราด  อุณหภูมิต่ำสุด 23-25 องศา อุณหภูมิสูงสุด 28-31 องศา ลมตะวันตก ความเร็ว 20-35 กม./ชม.
ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงประมาณ 3 เมตร 

ภาคใต้ (ฝั่งตะวันออก)  มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 60 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดเพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส  อุณหภูมิต่ำสุด 23-25 องศา อุณหภูมิสูงสุด 31-33 องศา  ลมตะวันตก ความเร็ว 15-35 กม./ชม.ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูง 2-3 เมตร 

ภาคใต้ (ฝั่งตะวันตก)  มีฝนฟ้าคะนองเกือบทั่วไป ร้อยละ 70 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่งส่วนมากบริเวณจังหวัดระนอง พังงา ภูเก็ต และสตูล อุณหภูมิต่ำสุด 23-24 องศา อุณหภูมิสูงสุด 30-32 องศา ลมตะวันตก ความเร็ว 20-35 กม./ชม.ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงประมาณ 3 เมตร 

กรุงเทพมหานครและปริมณฑล มีฝนฟ้าคะนองกระจายร้อยละ 60 ของพื้นที่ และมีลมแรง อุณหภูมิต่ำสุด 25-26 องศา อุณหภูมิสูงสุด 31-32 องศา ลมตะวันตก ความเร็ว 15-35 กม./ชม. 
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #3193 เมื่อ: 26 กันยายน 2554, 19:44:04 »

อย่านิ่งนอนใจน้ำอาจจะท้วม "กรุงเทพฯ"

                       วันนี้ผมได้เดินทางไปเยี่ยมแม่ที่โรงพยาบาลสิงห์บุรี และถือโอกาส ตรวจดูระดับน้ำที่สิงห์บุรีด้วยครับ

                       สถานการณ์น้ำท้วมที่สิงห์บุรี ยังวิกฤตหนัก คือระดับน้ำอยู่ที่ 3.00 ม.เหนือระดับพื้นดินเป็นอย่างน้อย แต่ลดลงจากสัปดาห์ที่แล้วประมาณ 20-30 cm. เป็นผลมาจาก ประตูระบายน้ำฝั่งตะวันออกที่พังมานานสาม-สี่สัปดาห์ ทำให้น้ำทะลักเข้าไปเต็มทุ่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยาจนระดับน้ำใกล้เคียงกัน ดังนั้นทุ่งตะวันออกจะเห็นเป็นทะเลน้ำจืดเป็นวงกว้าง

                       ส่วนทุ่งตะวันตกนั้น เนื่องจากถนนพังเป็นจุดๆ น้ำก็ทะลักลงทุ่ง เป็นวงกว้างเช่นเดียวกัน  ด้วยสองสาเหตุจึงทำให้ระดับน้ำลดลงจากเดิม 20-30 cm.  แต่ปริมาณน้ำจากเขื่อนชัยนาทที่ระบายออกยังเท่าเดิม ครับ

                       และที่ข่าวร้ายสำหรับชาวกรุงเทพฯ มหานคร คือ ทางกรมชลประทานไม่สามารถที่จะระบายน้ำไปทางตะวันออกสู่แม่น้ำบางประกงได้ เนื่องจากชาวบ้านทางคลองรังสิตประท้วงไม่ยอมให้เปิดประตูน้ำที่พระอินทร์ และรังสิต เพราะกลัวน้ำท้วมบ้าน

                       ในขณะเดียวกันทางทุ่งตะวันตกก็ไม่สามารถระบายน้ำลงสู่แม่น้ำน้อย สุพรรณบุรีได้ เพราะคุณบรรหาร  ศิลปอาชา ท่านสั่งตายห้ามระบายน้ำไปสุพรรณเด็ดขาดปีนี้ เพราะท่านรับปากชาวบ้านเอาไว้ และท่านดูแลกระทรวงเกษตรอยู่จึงมีอำนาจเหนือ กรมชลประทานที่ควบคุมการระบายน้ำเขื่อนเจ้าพระยา

                        เมื่อเป็นดังนี้ น้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาจะไปทางไหนล่ะ ครับ  พื้นที่รับน้ำเดิมคือทางมีนบุรี ลาดกระบัง และหนองงูเห่า เมื่อปิดประตูน้ำทางรังสิต น้ำก็มาไม่ได้ และตอนนี้เหลือเพียงคลองแสนแสบ กทม.ก็ปิดอีก เท่ากับน้ำเหนือถูกกักอยู่ในลำน้ำเจ้าพระยาตามเดิม  ดังนั้นอยุธยา อ่างทอง สิงห์บุรี ต้องรับกรรม และกรมชลประทานคงต้องทำลายคันดินตามถนนเพื่อให้น้ำท้วมทุ่งให้มากกว่านี้ เพื่อป้องกันน้ำไม่ให้ท้วมกรุงเทพฯ ซึ่งเหลืออยู่ทางเดียวเท่านั้น  งามหน้าละซีทีนี้ จะทำอย่างไรดี พระสยามเทวาธิราช  ลูกช้างไม่รู้จะบนบานอย่างไรแล้วครับ  ช่วยชี้แนะให้ด้วย

                        คลองลัดโพธิก็เป็นคลองเล็กๆ ระบายน้ำตรงสู่ปากอ่าว ไม่เพียงพอหรอกครับ และทำได้เพียงตอนน้ำลงเท่านั้น

                        ท่านผู้ว่า กทม. ท่านก็ไปเมืองจีน คน กทม. ก็ยังอยู่เฉยๆ อยู่ไม่นึกถึงภัยใกล้ตัวกันเลย  เกิดทำนบ กทม. พัง เพราะระดับน้ำสูงเกินไป จะซ่อมอย่างไร ได้เตรียมการณ์อย่างดีแล้วหรือยัง  ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นนะครับ ปีนี้  เพราะน้ำเหนือเขื่อนเจ้าพระยายังสูงมากๆ และเขื่อนไม่มีที่ระบายน้ำไปไหนได้แล้ว เหลือเพียงระบายทางแม่น้ำเจ้าพระยาแห่งเดียวเท่านั้น เวลานี้

                        ผมก็ได้บอกกล่าวเพียงแค่นี้  ตามที่ได้รับทราบมา ครับ

                         สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #3194 เมื่อ: 26 กันยายน 2554, 20:56:51 »

รู้ประวัติ พุทธสาวก อรหันต์ เอตทัคคะ

ลำดับที่ ๒๓

พระวักกลิเถระ

เอตทัคคะในทางศรัทธาวิมุตติ


                      พระวักกลิ เกิดในตระกูลพราหมณ์ ในเมืองสาวัตถุ ได้ศึกษาศิลปะวิทยา จบไตรเพทตามความนิยมของลัทธิพราหมณ์

                       • บวชเพราะอยากชมพระรูปโฉม

                       สมัยหนึ่ง เมื่อพระบรมศาสดาเสด็จสู่พระนครสาวัตถีพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์วักกลิมาณพนั้น เป็นผู้มีอุปนิสัยหนักไปในทางราคจริตรักสวยรักงาม พอได้เห็นพระรูปโฉมอันสง่างาม ผิวพรรณผ่องใส พระอิริยาบถก็เหมาะสมไปทุกท่วงท่า จึงเกิดศรัทธาเลื่อมใสและรักใคร่ไม่รู้จักเบื่อหน่าย ในการดูพระวรกาย พยายามวนเวียนมาเฝ้าดูอยู่เป็นนิตย์ ผลที่สุดก็เกิดความคิดว่า “ถ้าเราบวชก็จะได้ตามดูพระวรกายของพระพุทธองค์ ได้อย่างใกล้ชิดและตลอดเวลา” เมื่อคิดดังนี้แล้ว จึงเข้าไปกราบทูลขอบรรพชาอุปสมบทในพระพุทธศาสนา และพระบรมศาสดาก็ประทานให้สมประสงค์

                       เมื่อท่านบวชแล้วก็มิได้ใส่ใจในการที่จะศึกษาพระธรรมวินัย ไม่มีการสาธยายท่องบ่น ไม่บำเพ็ญเพียรพระกรรมฐาน ทุกวันเวลามีแต่มัวเมาเฝ้าดูพระรูปโฉมของพระพุทธองค์มิได้ละเว้น พระพุทธองค์เองก็มิได้รับสั่งว่ากล่าวแต่ประการใด ในเบื้องต้น ครั้นกาลเวลาผ่านไป พระองค์ตรัสเตือนให้พระวักกลิ เลิกละการเที่ยวติดตามดูร่างกายอันจะเน่าเปื่อยนั้นเสีย และทรงชี้ทางให้ท่านกลับมาใส่ใจบำเพ็ญสมณธรรมด้วยพระดำรัสว่า:- “ดูก่อนพระวักกลิ ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเชื่อว่าเห็นเรา ผู้ใดเห็นเรา ผู้นั้นชื่อว่าเห็นธรรม” พระวักกลิ แม้ว่าพระพุทธองค์จะตรัสเตือนอย่างนั้นแล้ว ท่านก็ยังปฏิบัติเช่นเดิม พระผู้มีพระภาคจึงมีพระดำริว่า:- “ภิกษุนี้ ถ้าไม่ได้รับความสลดใจเสียบ้าง ก็จะไม่ได้บรรลุมรรคผลอะไรเลย”

                       • ถูกขับไล่ไปโดดเขาตาย

                       ครั้นมีพระดำริอย่างนี้แล้ว เมื่อใกล้จะถึงวันเข้าพรรษา พระองค์ได้เสด็จไปสู่พระนครราชคฤห์โดยมีพระวักกลิ ยังคงติดตามดูพระองค์อยู่ตลอดเวลา จึงตรัสเรียกให้พระวักกลิ เข้ามาเฝ้า และตรัสประณามขับไล่เธอออกไปเสียจากสำนักของพระองค์ด้วยพระดำรัสว่า:- “อเปหิ วกฺกลิ : ดูก่อนวักกลิ เธอจงออกไปจากสำนักของเรา” พระวักกลิ เมื่อได้ฟังพระดำรัสนั้นแล้ว ไม่ทันจะตั้งสติได้ คิดอะไรไม่ออก จึงเกิดความน้อยใจและเสียใจเป็นอย่างมาก คิดว่าพระบรมศาสดาคงจะไม่เมตตาทักทายปราศรัยกับเราอีกแล้ว เราก็คงจะไม่ได้เห็นพระวรกายรูปโฉมของพระพุทธองค์อีกแล้ว เราจะมีชีวิตอยู่ต่อไปทำไม จึงออกจากพระเวฬุวันมหาวิหาร หมายใจว่าจะไปกระโดดภูเขาคิชฌกุฏ เพื่อฆ่าตัวตาย พระบรมศาสดา เมื่อตรัสขับไล่เธอไปแล้ว ก็ทรงติดตามดูวารจิตและการกระทำของเธอก็จะตายแน่นอน จึงแสดงพระองค์ปรากฏให้เธอเห็นพร้อมทั้งตรัสเรียกชื่อว่า “วักกลิ” แล้วตรัสปลอบใจด้วยธรรมกถา พระวักกลิ ก็เกิดปีติปราโมทย์รื่นเริงบันเทิงใจ จึงรีบมาเข้าเฝ้าพระบรมศาสดาโดยทางอากาศพิจารณาพระโอวาทที่ตรัสสอน ข่มปีติลงได้แล้ว ก็ได้บรรลุพระอรหัตผลพร้อมทั้งปฏิสัมภิทาบนอากาศนั้น แล้วลงมากราบถวายบังคมพระบรมศาสดา

                        ด้วยความที่ท่านเป็นผู้มีศรัทธาอย่างแรงกล้า อาศัยศรัทธาเป็นสื่อนำ จนสามารถได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ได้ พระบรมศาสดาจึงทรงยกย่องท่านในตำแหน่งเอตทัคคะ เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย ในทาง ศรัทธาวิมุตติ คือ ผู้หลุดพ้นจากกิเลสด้วยศรัทธา
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #3195 เมื่อ: 26 กันยายน 2554, 23:16:33 »

ภาคอิสาน จะจมน้ำเช่นปีที่แล้วหรือไม่ ? คงต้องจับตาดูในวันที่ 27ก.ย. นี้
 

กรมอุตุนิยมวิทยา  ออกประกาศเตือนภัย "พายุหมุนเขตร้อน “ไห่ถาง”"  ฉบับที่ 2 ลงวันที่ 26 กันยายน 2554 เมื่อเวลา 15.00 น. วันนี้ (26 ก.ย. 54) พายุโซนร้อน “ไห่ถาง” (Haitang) บริเวณทะเลจีนใต้ตอนกลาง มีศูนย์กลางอยู่ห่างประมาณ 310 กิโลเมตรทางตะวันออกของเมืองดานัง ประเทศเวียดนาม หรือที่ละติจูด 16.6 องศาเหนือ ลองจิจูด 110.5 องศาตะวันออก มีความเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลางประมาณ 65 กิโลเมตรต่อชั่วโมง กำลังเคลื่อนตัวทางทิศตะวันตกอย่างช้าๆ คาดว่า พายุนี้จะเคลื่อนขึ้นฝั่งบริเวณเมืองดานัง ประเทศเวียดนามในคืนนี้ (26 ก.ย. 54) จากนั้นจะอ่อนกำลังลงเป็นลำดับ และจะเคลื่อนเข้าสู่ประเทศลาวและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยในวันที่ 27 กันยายน 2554

ลักษณะเช่นนี้ ทำให้มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยมีกำลังแรงขึ้น  ทำให้บริเวณด้านตะวันออกและตอนล่างของ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และภาคใต้ฝั่งตะวันตกมีฝนตกเป็นบริเวณกว้างและมีฝนตกหนักหลายพื้นที่ กับมีลมแรง จึงขอให้ประชาชนที่อาศัยในพื้นที่เสี่ยงภัยตามที่ลาดเชิงเขา ที่ราบลุ่ม และใกล้ทางน้ำไหลผ่าน ระมัดระวังอันตรายจากน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากที่อาจเกิดขึ้น ดังนี้

วันที่ 26 กันยายน 2554 ในบริเวณจังหวัดมุกดาหาร ยโสธร อำนาจเจริญ อุบลราชธานี ระยอง จันทบุรี ตราด ระนอง พังงา ภูเก็ต กระบี่ ตรัง และสตูล

วันที่ 27-28 กันยายน 2554 ในบริเวณจังหวัดนครพนม ขอนแก่น ชัยภูมิ กาฬสินธุ์ มหาสารคาม ร้อยเอ็ด มุกดาหาร ยโสธร อำนาจเจริญ นครราชสีมา บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ อุบลราชธานี ระยอง จันทบุรี ตราด ระนอง พังงา ภูเก็ต กระบี่ ตรัง และสตูล

สำหรับคลื่นลมในทะเลอันดามันและอ่าวไทยตอนบนจะมีกำลังแรง โดยมีคลื่นสูง 2-3 เมตร ชาวเรือควรเพิ่มความระมัดระวังในการเดินเรือ และเรือเล็กควรงดออกจากฝั่งในช่วงวันที่ 26- 29 กันยายน 2554

ประกาศ ณ วันที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2554
ออกประกาศ เวลา 15.30 น
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #3196 เมื่อ: 27 กันยายน 2554, 13:04:10 »

ดร.สุริยา ช่วยด้วย !  น้ำท้วมกรุงเทพฯ แน่ๆ


           - ถ้าอัตราการไหลของน้ำผ่านอำเภอบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา มากกว่า 3,500 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที น้ำท้วมกรุงเทพฯ เป็นการยืนยันตัวเลขจากอธิบดีกรมชลประทาน

           - ตอนนี้เขื่อนเจ้าพระยาปล่อยน้ำออกจากเขื่อนประมาณ 3,700 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที บัดนี้ชาวบ้านที่จังหวัดนครสวรรค์ได้รวมตัวประท้วงจะปิดสะพานเดชาติวงศ์ ถ้ากรมชลประทานไม่ระบายน้ำออกจากเขื่อนเจ้าพระยาให้มากกว่านี้ เพราะระดับน้ำที่นครสวรรค์สูงขึ้นทุกวัน  ส่วนกรมชลประทานระบายน้ำออกจากเขื่อนมากว่าที่กำหนดไม่ได้ เพราะน้ำจะท้วมสิงห์บุรี อ่างทอง อยุธยา ปทุมธานี นนทบุรี มากกว่านี้ และที่สำคัญน้ำจะท้วมกรุงเทพฯ แน่นอน

           - ขณะเดียวกัน กรมชลประทานก็ไม่สามารถระบายน้ำลงฝั่งตะวันตก คือสุพรรณบุรีได้ เพราะคุณบรรหาร  ศิลปอาชา ยึดกุญแจประตูระบายน้ำเอาไว้(ฟังจากวิทยุ) เพราะกลัวเสียคะแนนเสียงถ้าน้ำท้วมสุพรรณบุรี อธิบดีกรมชลประทานถูกปลดแน่นอน (กรมชลประทานจะระบายออกทางนี้ทุกปี ที่ผ่านมาเพื่อป้องกันน้ำท้วมกรุงเทพฯ)

           - ขณะเดียวกัน ชาวรังสิตฝั่งตะวันออกก็ไม่ยอมให้ กรมชลประทานระบายน้ำไปทางนครนายก ลงแม่น้ำบางปะกง โดยให้เหตุผล กลัวน้ำท้วมบ้านเพราะมีหมู่บ้านอยู่แยะ จึงห้ามเปิดประตูระบายน้ำที่พระอินทร์ และคลองรังสิต (กรมชลประทานจะระบายน้ำทางนี้ทุกปีที่ผ่านมา เพื่อป้องกันน้ำท้วมกรุงเทพฯ)

           - พื้นที่รับน้ำฝั่งตะวันออกของกรุงเทพฯ คือมีนบุรี หนองจอก  ลาดกระบัง ที่เคยรับน้ำ ถ้าประตูระบายน้ำรังสิตปิด ก็ไม่สามารถระบายน้ำมาไว้ในพื้นที่นี้ได้ นอกจากมาทางคลองแสนแสบ

           - เหลือคลองบางกอกน้อย  คลองภาษีเจริญ ให้กทม.ระบายน้ำออก ไม่ให้ท้วมกรุงเทพฯ ชั้นใน ดังนั้นกรุงเทพฯชั้นนอกน้ำท้วมแน่ ฝั่งธนบุรี

           - ตกอยู่ในสถานการณ์หนัก คือ อธิบดีกรมชลประทาน จะเอาอย่างไร  ระบายน้ำไปทางไหน ชาวบ้านก็ประท้วงปิดถนน  ไม่ระบายน้ำออกจากเขื่อน ชาวบ้านก็ประท้วงปิดถนน  ดีไม่ดี ทั้งอธิบดีกรมชลประทาน  และรัฐบาล มีหวังโดนประชาชนไล่ออก  ฐานทำให้น้ำท้วมกรุงเทพฯ เขตเศรษฐกิจของประเทศ

            - ผมแอบแนะนำท่านอธิบดีกรมชลประทาน  ให้ติดสินบนชาวบ้านที่น้ำท้วม หรือทำเองแบบไม่รู้ไม่ชี้ ทำลายถนนคันกั้นน้ำ จากอ่างทอง สิงห์บุรี ชัยนาท ทั้งสองฝั่ง แบบแอบทำว่าดินมันรับน้ำไม่ไหว จึงพัง หรือด้วยข้ออ้างชาวบ้านที่ถูกน้ำท้วมทนไม่ไหว จึงต้องทำลายคันดิน  ผลคือน้ำจำนวนมหาศาลจะทะลักทั้งสองฝั่งของทุ่งภาคกลาง  ระดับน้ำจะลดลง และน้ำจะไม่ท้วมกรุงเทพฯ(เพราะจะไปทางสุพรรณบุรี และแม่น้ำบางปะกงได้บางส่วน)  ใครก็เอาผิดท่านอธิบดีกรมชลประทานไม่ได้ เพราะมันเป็นธรรมชาติ ที่บังคับไม่ได้เพราะไม่มีประตูระบายน้ำ ดังเช่นประตูระบายน้ำต่างๆ ที่พังลง ประชาชนก็ไม่ว่ากัน เพราะน้ำมันทำให้พัง กรรมจริงๆ ครับท่านอธิบดีกรมชลประทาน  ท่านสามารถทำได้ดีกว่านี้เมื่อหนึ่งเดือนที่แล้ว ท่านก็ไม่ทำ ผลมันจึงเป็นแบบนี้ ทุกข์ชัด ๆ

             - ดังนั้นระวังน้ำท้วมกรุงเทพฯ แน่ เพราะในหลวงท่าน เรียกนายกรัฐมนตรีไปสั่งการด่วน เพราะท่านคงทราบผลที่จะตามมาครับ

                สวัสดี
      บันทึกการเข้า
suriya2513
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,457

« ตอบ #3197 เมื่อ: 27 กันยายน 2554, 16:17:01 »

จริงๆ เลยเชียวอาจารย์มานพเนี่ย สมัยเรียนเกรดวิชาไฮดรอลิค ก็ไม่เห็นจะได้ A แต่ขยันมาสอนอธิบดีกรมชลฯ ซะจริง
คนที่ชอบทำอย่างนี้สำนวนไทยเขาเรียกว่าพวก "สอนสังฆราชให้อ่านบาลี สอนจรเข้ให้ว่ายน้ำ"
      บันทึกการเข้า

[โบราณคดี]จุดกำเนิดเริ่มต้นของ cmadong.com by : มานพ กลับดี  คลิ๊ก->
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #3198 เมื่อ: 27 กันยายน 2554, 18:21:06 »

อ้างถึง
ข้อความของ suriya2513 เมื่อ 27 กันยายน 2554, 16:17:01
จริงๆ เลยเชียวอาจารย์มานพเนี่ย สมัยเรียนเกรดวิชาไฮดรอลิค ก็ไม่เห็นจะได้ A แต่ขยันมาสอนอธิบดีกรมชลฯ ซะจริง
คนที่ชอบทำอย่างนี้สำนวนไทยเขาเรียกว่าพวก "สอนสังฆราชให้อ่านบาลี สอนจรเข้ให้ว่ายน้ำ"

ก็จรเข้มันว่ายน้ำไม่เป็น เพราะมันมึนหัว มีแต่ทุกข์

วิชาไฮดรอลิค เขาไม่ได้เรียนเรื่องน้ำท้วม การแก้ปัญหาน้ำท้วม เขาเรียนแรงดันของน้ำ การออกแบบเขื่อน

ท่านอธิบดีกรมชลประทาน  ท่านรัฐมนตรี  ท่านนายกรัฐมนตรี  บ้านท่านไม่เคยน้ำท้วม  ไม่เคยปลูกข้าว ไม่เคยเจอของจริงมาก่อนแบบผม

ตั้งแต่จำความได้ ผมก็เจอน้ำท้วมทุกปี  ปีไหนน้ำไม่ท้วมปีนั้น อดอยาก อดดูการแข่งเรือยาว หน้าทอดกฐิน  นอกจากนี้ก็อยู่กับทุ่งนา เห็นพฤติกรรมการปลูกข้าวให้เข้ากับธรรมชาติคือระดับน้ำสูง ต่ำ  ปลูกข้าวหนีน้ำในที่ลุ่ม(เมล็ดสั้น) ผมช่วยแม่แบกกระสอบข้าว ช่วยเกี่ยวข้าว นวดข้าว ไปรับข้าวจากกลางทุ่งนามาสีที่โรงสี และที่ชอบมากที่สุดคือ เวลาเขานวดข้าว  สมัยนั้นมันหนาวมาก  ผมไม่มีเสื้อกันหนาวใส่เพราะพ่อ-แม่ไม่มีเงินซื้อ ต้องอาศัยไปนอนที่ลานนวดข้าว เขาจะใช้ฟางทำเป็นเพิง กันหนาวได้สบายมาก ครับ

ดูข่าวทางทีวี มีแต่ชาวบ้านทะเลาะกัน อีกฝ่ายให้รื้อ อีกฝ่ายไม่ให้รื้อ และจะเป็นอย่างนี้ไปโดยตลอดครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #3199 เมื่อ: 27 กันยายน 2554, 18:41:38 »

ข่าวเศร้า เย็นนี้

ฝนตกหนักภาคเหนือ ภาคกลาง อิสาน ตะวันออก

เขื่อนเจ้าพระยาระบายน้ำ 3,600 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที

ปริมาณน้ำที่ผ่านบางไทร 3,060 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที

ที่เหลืออีก 540  ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที กระจายไปตามพื้นที่ต่ำ คือพื้นที่น้ำท้วม

อย่าลืมถ้าปริมาณน้ำผ่านที่บางไทร 3,500 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที น้ำท้วมกรุงเทพฯ แน่นอน

ตอนนี้ กทม. เปิดประตูระบายน้ำทุกประตู ใน กทม. คือคลองพระขโนง ทวีวัฒนา แสนแสบ บางกอกน้อย บางกอกใหญ่

เพราะหวังพึ่งจังหวัดใกล้เคียง คือปทุมธานี  นนทบุรี อยุธยา  สุพรรณบุรี นครนายกไม่ได้ เพราะประชาชนไม่เล่นด้วย  ต้องพึ่งตัวเอง

ดังนั้น บ้านที่อยู่ริมคลองดังกล่าว ระวังน้ำท้วมด้วยครับ และแน่นอน หนองจอก  ลาดกระบัง  หนองงูเห่า ระวังน้ำท้วม

เพราะพื้นที่ ที่กล่าวมานั้น เป็นแก้มลิงของ กทม. ครับ
      บันทึกการเข้า
  หน้า: 1 ... 126 127 [128] 129 130 ... 681   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

สมาคมนิสิตเก่าหอพักนิสิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มวลสมาชิกสมาคม คณาจารย์ และนิสิตเก่าทุกคน ขอน้อมเกล้าถวายความอาลัย  พระผู้เสด็จสู่สวรรคาลัย ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ <;))))><