23 พฤศจิกายน 2567, 22:58:36
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 125 126 [127] 128 129 ... 681   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: คุย กับ คุณมานพ กลับดี อดีตประธานชมรม ๓ สมัย  (อ่าน 3564979 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 22 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #3150 เมื่อ: 19 กันยายน 2554, 06:14:36 »

อรุณสวัสดิ์ครับ ชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน

                       ข่าวคราวของวันที่ ๑๘  กันยายน ศกนี้ (เมื่อวานที่ผ่านมา)

                       - ผมได้มีโอกาสดูข่าวการรายงานน้ำท้วมของ ช่อง ๔ อสมท. สัมภาษย์ คุณชลิต  อธิบดีกรมชลประทาน สรุป คือ ผู้สื่อข่าวถามว่า ขอให้ท่านยืนยันได้ไหมว่า น้ำจะไม่ท้วมกรุงเทพฯ ท่านไม่ยืนยัน เพียงแต่บอกว่า ขณะนี้ยังรับสถานการณ์ไว้ได้ แต่ขอให้ทางกรุงเทพมหานครเสริมคันกั้นน้ำที่มีอยู่ให้สูงกว่าปีที่น้ำมากที่สุดที่ผ่านมาอีก ๖๐ ซม. และปริมาณน้ำทุกเขื่อนบริเวณภาคเหนือและภาคกลางขณะนี้เต็มถึงระดับที่จะเก็บกักน้ำไว้ได้ คือถ้าน้ำไหลเข้าเขื่อนเท่าใดตอนนี้ ต้องระบายออกเท่านั้น เพราะน้ำเต็มเขื่อนในระดับเฉลี่ย 90% ของความจุแล้ว

                        - ชาวนาอำเภอพรหมบุรี สิงห์บุรี ปิดถนนสายเอเซียขาเข้าประท้วงกรมชลที่คันกั้นน้ำพังทำให้น้ำไหลทะลักเข้าทุ่งนา กลัวว่าข้าวที่ยังไม่ได้เก็บเกี่ยวจะเสียหาย  แต่สำหรับชาวบ้านที่ถูกน้ำท้วมจนไม่มีที่อยู่อาศัยหลับนอนเพราะชั้นสองก็ท้วม พยายามขอให้กรมชลเปิดประตูระบายน้ำเข้าทุ่งนาริมสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา เพื่อให้ระดับน้ำลดลง สามารถอยู่ได้คือมีที่นอน  จะเห็นว่ามีแต่ความขัดแย้งครับ  สำหรับผมเห็นว่าเราต้องหาหนทางให้คนทั้งสองฝ่ายไม่ทะเราะกัน คือเปิดน้ำเข้าทุ่งในระดับที่ควบคุมได้ แต่ข้าวยังไม่จมน้ำ เพื่อว่าระดับน้ำจะได้ลดลง ไม่ใช่อั้นอยู่อย่างนี้ สุดท้ายมันก้พังและควบคุมไม่ได้  และคนยังมีที่นอนบนชั้นสอง สัตว์เลี้ยงมีทีอยู่

                         - วันที่ ๑๙-๒๐ กันยายน น้ำเหนือจะไหลผ่านนครสวรรค์ลงมาอีกจำนวนมาก ขอให้ทุกท่านที่อยู่บริเวณริมแม่น้ำเจ้าพระยา ระวังน้ำท้วมเอาไว้ด้วย

                         - ปลาย-กลางอาทิตย์นี้ จะมีฝนตกหนักอีกระลอกในภาคเหนือ และภาคกลางตอนบน

                        - ประตูระบายน้ำฝั่งตะวันออกของเจ้าพระยาบริเวณ ไทรงาม  บางโฉมศรี พัง น้ำทะลักเข้าทุ่ง อำเภอท่าวุ้ง  ลพบุรี เป็นการระบายน้ำตามธรรมชาติที่ระดับสูงมาก แต่กรมชลประทานยังปิดประตูระบายน้ำ ส่วนฝั่งตะวันตก ถนนสายสิงห์บุรี-ชัยนาท ที่วัดกระดังงาขาด สัญจรไม่ได้ น้ำทะลักท้วมทุ่ง และประตูระบายน้ำอ่างทอง แนวป้องกันพังทะลายลง น้ำไหลทะลักเข้าทุ่ง เป็นอันว่าพระสยามเทวาธิราชศักดิ์สิทธิ์จริง ตามที่ผมภาวนา(ความจริง ธรรมชาติมันเป็นอย่างนั้นเพราะระดับน้ำสูงมาก  ถนนแช่น้ำนานๆ น้ำสามารถซึมผ่านได้ จึงพังทะลายลง) ถ้าสถานการณ์เป็นอย่างนี้ น้ำคงไม่ท้วมกรุงเทพฯ เพราะคันกั้นน้ำชั่วคราวที่ถมอยู่บนถนน มันจะต้องพังทะลายลงไม่ช้าไม่นาน เพราะแช่น้ำนาน ไม่ได้บดอัดให้แน่น น้ำสามารถซึมผ่านดินได้ ประกอบกับระดับน้ำสูงมีแรงดันมาก เมื่อน้ำซึมผ่าน ดินชุ่มไปด้วยน้ำ แรงยึดเกาะของดินจะลดลง คันกั้นน้ำก็จะพังทะลายอยู่ดี น้ำจะเข้าทุ่งนาทั้งสองฝั่งของแม่น้ำเจ้าพระยา น้ำจะไม่ท้วมกรุงเทพฯ  แต่ชาวนาต้องรีบเก็บเกี่ยวในส่วนที่สามารถทำได้ แต่การเก็บเกี่ยวปัจจุบันใช้รถเกี่ยว จึงทำไม่ได้เพราะในนามีน้ำ ต้องเกี่ยวแบบใช้เคียวแทน  ทำดีกว่าไม่ทำอะไรเลย

                         - เมื่อวานผมได้ส่ง SMS ไปตอบคำถามในรายการ "บ้านเขาเมืองเรา" ของ ดร.หรั่ง และ ดร.เอก ทาง FM 99 ถูก ได้รับปากกา เซอรามิค ทำจากจีนกล่องสวยงาม ที่มึจำนวนจำกัดทำเพียง ๑๐๐๐ ชุด ผมได้ชุดที่ ๙๐๑ เป็นเลขสวยครับ และได้พูดคุยกับ ดร.เอก และ ดร.หรั่ง  ขอร้องให้ท่านประชาสัมพันธ์ ระวังน้ำท้วมกรุงเทพฯ เพื่อให้คนกรุงเทพฯตื่นตัว รัฐบาลตื่นตัว ผู้ว่ากรุงเทพฯตื่นตัว  จะได้หาทางป้องกันไม่ให้น้ำท้วม อย่าปล่อยให้กรมชลประทานตัดสินใจคนเดียวครับ

                         - วันนี้ถ้าชาวนาไม่ปิดถนนสายเอเซีย ผมจะกลับบ้านไปเยี่ยมแม่ที่โรงพยาบาลสิงห์บุรี ครับ

                           สวัสดีทุกท่านครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #3151 เมื่อ: 19 กันยายน 2554, 21:02:13 »


สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน

                       วันนี้ผมได้ไปเยี่ยมแม่ที่โรงพยาบาลสิงห์บุรี มาครับ แม่สบายดี

                       ทางโรงพยาบาลมีแผนสำรองได้เตรียมกระสอบทรายทำแนวกั้นน้ำเอาไว้รอบโรงพยาบาล กรณีที่เขื่อนกั้นน้ำของเทศบาลไม่สามารถรับน้ำได้ เพื่อไม่ให้น้ำท้วมโรงพยาบาลครับ เพราะคนไข้แต่ละวันที่โรงพยาบาลสิงห์บุรีนั้นโดยปกติแน่นจริงๆ คุณหมอตรวจทั้งวันกว่าจะหมดที่แผนก OPD ครับ และตอนนี้ต้องย้ายคนไข้จากโรงพยาบาลอินทร์บุรีมาอยู่เกือบทั้งหมด เพราะที่นั่นน้ำท้วมสูงสามเมตรกว่าเลยคันกั้นน้ำของโรงพยาบาลที่ทำเป็นถนนล้อมรอบโรงพยาบาล  ปีนี้น้ำสูงเป็นประวัติการ เพราะกรมชลประทานกักน้ำเอาไว้ในแม่น้ำเจ้าพระยา  ส่วนทุ่งนานั้นยังปลอดภัยไม่มีน้ำ  จะมีเฉพาะจุดที่ถนนพัง หรือประตูระบายบน้ำพังเท่านั้น นอกน้ำแทบจะไม่มีน้ำ  นี่ละเป็นสาเหตุให้ระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาสูงที่สุดตั้งแต่เคยท้วมมา เป็นฝีมือของมนุษย์  ทำให้บ้านเรือนของชาวบ้านริมแม่น้ำเจ้าพระยาไม่มีที่นอน ต้องมากางเต้นนอนตามแนวถนน เพราะชั้นสองก็ท้วม และไม่สามารถจะสร้างบ้านให้สูงกว่านี้ได้ น้ำจะต้องท้วมทุกปี อยู่อย่างนี้ ครับ  ทั้งที่มีหนทางที่ดีกว่านี้ที่สามารถกระทได้ แต่ไม่ทำ เพื่อไม่ให้ตนเองผิด หรือโดนตำหนิ ให้เป็นหน้าที่ของชาวบ้านที่จะจัดการกันเอง  จึงเกิดกรณีพังเขื่อนกั้นน้ำ และปิดถนนสายเอเซีย ที่ผ่านมา

                        สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #3152 เมื่อ: 19 กันยายน 2554, 21:30:18 »



คันกั้นน้ำของเทศบาลสิงห์บุรี









นี่คือแนงคันกั้นน้ำของเทศบาลสิงห์บุรี ทำไว้สูงเกือบสี่เมตรเหนือระดับพื้นดิน  ขณะนี้น้ำท้วมสูง 3.15 เมตร เหนือระดับพื้นดิน



ข้างหน้านี้คือถนนสายสิงห์บุรี-เขื่อนชัยนาท ซึ่งเมื่อปีที่แล้วทำใหม่ยกสูงกว่าเดิม 0.50 m. ขณะนี้ถนนขาด
และมีกองดินบนถนนสูงอีกเกือบสองเมตรตลอดสายเสริมเป็นคันกั้นน้ำ



นี่คือระดับน้ำบนถนนเชิงสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาต้องใช้เกาะกลางเป็นแนวกั้นน้ำและปิดการจราจรไปครึ่งหนึ่ง ตรงสามแยกเข้าตัวเมือง


                        ผมฟังรายการวิทยุท้องถิ่นรายงานน้ำท้วม ระดับอยู่ที่ 3.15 เมตรเหนือระดับพื้นดิน ที่เทศบาลสิงห์บุรี  และวันนี้กับวันพรุ่งนี้เป็นวันที่กรมชลประทานปล่อยน้ำสูงสุดจากเขื่อนเจ้าพระยาเพราะน้ำล้นเขื่อนจึงต้องระบายออกมา  โดยยังไม่ปล่อยลงทุ่งนา และอีกสามวันจะปล่อยลงทุ่งนาแทนเพราะแม่น้ำเจ้าพระยา กรุงเทพฯ รับไม่ไหว น้ำต้องท้วมแน่ๆ

                          แต่เป็นการปล่อยน้ำช้าเกินไป และปล่อยแต่ตันทาง ผลที่ตามมือคือทุ่งนาน้ำท้วมตั้งแต่ชัยนาท เป็นขั้นบันไดลงไปเรื่อยๆ จะเสียหายทั้งหมด  น่าจะปล่อยน้ำเข้าเป็นจุดๆ ตลอดชัยนาท -สิงห์บุรี -อ่างทอง  ถึงแม้ประตูระบายพังหมด แต่ยังพอใช้การได้ และตัดเป็นชองตามแนวดินที่เสริมถนนเป็นช่วงๆ ทั้งสองฝั่ง น้ำจะได้กระจายไปตามทุ่งทั้งสองฝั่ง(แต่กรมชลจะระบายฝั่งตะวันตก  รับรองน้ำท้วมระเนระนาด และระดับน้ำสูงข้าวเสียหายทั้งหมดที่ยังไม่ได้เกี่ยว)และระดับน้ำในทุ่งไม่สูง ข้าวที่ยังไม่เกี่ยวยังสามารถอยู่ได้ แตถ้าปล่อยตั้งแต่ต้นทางฝั่งเดียว น้ำท้วมทุ่งนาทั้งหมด ข้าวเสียหายทั้งหมด  กรรมของชาวนาและชาวบ้านที่อาศัยอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาจริงๆ ครับ

                           ราตรีสวัสดิ์ทุกท่านครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #3153 เมื่อ: 20 กันยายน 2554, 07:55:25 »

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง และผู้สนใจ ที่รักทุกท่าน

                       วันนี้ผมนำประวัติพระมหากัสสปเถระ มาให้ทุกท่านได้ศึกษา ประวัติของท่านน่าสนใจมาก และท่านยังเป็นปรมาจารย์ของพระสงฆ์ฝ่ายมหายาน ด้วยนะครับ 
                       สวัสดี



รู้ประวัติ พุทธสาวก อรหันต์ เอตทัคคะ

ลำดับที่ ๑๘

พระมหากัสสปเถระ

เอตทัคคะในทางผู้ทรงธุดงค์


                        พระมหากัสสปะ เป็นบุตรของกปิลพราหมณ์ ตระกูลกัสสปะในบ้านมหาติฏฐะ แคว้นมคธ ชื่อเดิมของท่านคือ “ปิปผลิ” แต่คนทั่วไปมักเรียกท่านตามวงศ์ตระกูลว่า “กัสสปะ” เมื่อท่านอายุได้ ๒๐ ปี ได้ทำการอาวาหมงคลกับนางภัททกาปิลานี ซึ่งเป็นสาวงาม วัย ๑๖ ปี ธิดาของพราหมณ์ตระกูลโกลิยะ ณ เมืองสาคลนคร แคว้นมคธ

                        • ปิปผลิมาณพถูกแปลงสาร

                        เมื่อปิปผลิมาณพ อายุได้ ๒๐ ปี บิดามารดาได้ปรึกษากันว่าจะหาภรรยาให้แก่บุตรชายจึงได้มอบเงินและทองให้แก่พราหมณ์ ๘ คน เพื่อสืบแสวงหาสาวงานที่มีฐานะเสมอกันพราหมณ์เหล่านั้นเที่ยวสืบแสวงหาไปตามเมืองต่าง ๆ มาจนถึงสาคลนคร ได้พบธิดาของโกลิยพราหมณ์นามว่า “ภัททกาปิลานี” วัย ๑๖ ปี เป็นที่ถูกอกถูกใจยิ่ง จึงสู่ขอกับบิดามารดาของนาง ตกลงแล้วได้มอบสิ่งของเงินและทองหมั้น กำหนดวันอาวาหมงคลแล้วกลับไปแจ้งข่าวสารแก่กปิลพราหมณ์ ปิปผลิมาณพ ได้ทราบข่าวสารนั้นแล้วรู้สึกไม่สบายใจ เพราะตนไม่มีความปรารถนาจะแต่งงาน จึงหลบเข้าไปในห้อง เขียนจดหมายบรรยายความประสงค์ของตนให้นางทราบว่า “ตนไม่ปรารถนาจะแต่งงาน ขอให้นางจงแต่งงานกับชายที่มีชาติตระกูลเสมอกัน และอยู่ครองชีวิตคู่ด้วยความสุขสำราญเถิด ส่วนข้าพเจ้าจะออกบวช” เมื่อเขียนเสร็จแล้ว ก็มอบให้คนใช้สนิทนำไปส่งให้แก่นางภัททกาปิลานีแม้นางภัททกาปิลานีก็มีใจตรงกัน และได้เขียนจดหมายซึ่งมีใจความเหมือนกัน มอบให้คนรับใช้นำไปส่งให้แก่ปิปผลิมาณพ บังเอิญคนถือจดหมายทั้งสองฝ่ายมาพบกันระหว่างทาง ทักทายปราศรัยถามไถ่กิจธุระของกันและกันแล้วนำจดหมายทั้งสองฉบับออกอ่าน ทราบความโดยตลอดแล้วฉีกทำลายทิ้งแล้วเขียนจดหมายขึ้นมาใหม่ บรรยายความรักแก่กันและกันแล้วนำไปส่งให้แก่เจ้านายของตน การอาวาหมงคลระหว่างคนทั้งสองจึงเกิดขึ้น

                        • สภาพชีวิตการครองคู่

                        ภายหลังจากแต่งงานกันแล้ว การครองคู่ของคนทั้งสองนั้นไม่เหมือนสามีภรรยาคู่อื่น ๆ เพราะสักแต่ว่าอยู่ร่วมห้องกันเท่านั้น ต่างก็ไม่มีจิตคิดจะร่วมสังวาสกัน แม้เวลาจะขึ้นเตียงนอนก็ขึ้นกันคนละข้าง มีแจกันดอกไม้ตั้งอยู่ตรงกลางเตียง ตลอดระยะเวลาที่ทั้งสองอยู่ร่วมกันนั้น มิได้สัมผัสถูกต้องกันเลยจึงไม่มีบุตรหรือธิดาสืบสกุล เมื่อบิดามารดาถึงแก่กรรมแล้ว ทรัพย์สมบัติและหน้าที่การงานทุกอย่างจึงเป็นภาระของสองสามีภรรยา และเนื่องจากตระกูลทั้งสองเป็นตระกูลมหาเศรษฐีมีทรัพย์มาก เมื่อรวมสองตระกูลเข้าเป็นตระกูลเดียวกันแล้วทรัพย์สมบัติก็ยิ่งมากมายมหาศาล มีสัตว์เลี้ยงและคนงานจำนวนมาก สองสามีภรรยาต้องบริหารสั่งการทุกอย่างจนกระทั่งวันหนึ่ง ในขณะที่ปิปผลิกำลังตรวจดูทาสและกรรมกรทำงานอยู่ในไร่นา ได้เห็นนกกาจิกกินสัตว์น้อยมีไส้เดือนเป็นต้น ก็รู้สึกสงสารและสลดใจที่สัตว์เหล่านั้นต้องตายเพราะตนเป็นเหตุ ส่วนนางภัททกาปิลานี ก็ให้คนนำเมล็ดถั่วงาออกมาตากที่ลานหน้าบ้าน เห็นหมู่นกกามาจิกกินตัวหนอนและแมลงต่าง ๆ ก็เกิดความสงสารและสลดใจเช่นกัน เมื่อสองสามีภรรยามีโอกาส อยู่กันตามลำพังได้สนทนาถึงเรื่องความในใจของกันและกันแล้ว จากนั้นทั้งสองก็มีความคิดตรงกันว่า “ผู้อยู่ครองเรือน แม้จะไม่ได้ลงมือทำการงานเอง แต่ก็ต้องคอยรับบาปที่ทาสและกรรมกรทำให้” จึงเกิดความเบื่อหน่ายเพศฆราวาสพร้อมใจกันสละทรัพย์สมบัติทั้งหมดให้ญาติและบริวาร ส่วนทั้งสองสามีภรรยาพากันออกบวช จัดหาผ้ากาสาวพัสตร์และบริขารพากันปลงผม แล้วครองผ้ากาสาวพัสตร์ อธิฐานเพศบรรพชิตบวชอุทิศต่อพระอรหันต์ในโลกแล้วเดินร่วมทางกันไป พอถึงทางสองแพร่งจึงแยกทางกัน ปิปผลิไปทางขวา ส่วนนางภัททกาปิลานี ไปทางซ้าย นางเดินทางไปพบสำนักปริพาชกแล้วได้เข้าไปขอบวชในสำนักนั้น เนื่องด้วยขณะนั้น พระผู้มีพระภาคยังมิได้ทรงอนุญาตให้สตรีบวชในพระพุทธศาสนา ต่อเมื่อพระนางปชาบดีโคตรมีได้บวชแล้ว นางจึงได้บรรพชาอุปสมบทในสำนักของพระเถระ ศึกษาพระกรรมฐาน บำเพ็ญวิปัสสนา ก็ได้บรรลุพระอรหัตผล

                        • อุปสมบทด้วยวิธีโอวาท ๓ ข้อ

                        ปิปผลิ เดินทางไปตามลำดับ ได้พบพระผู้มีพระภาคเสด็จประทับที่ภายใต้ร่มไทร ระหว่างกรุงราชคฤห์กับนาลันทา เห็นพุทธจริยาน่าเลื่อมใสแปลกกว่านักบวชอื่น ๆ ที่ตนเคยพบมา ปลงใจเชื่อว่าต้องเป็นพระอรหันต์แน่นอน จึงน้อมกายกราบถวายบังคมแทบพระบาท กราบทูลขออุปสมบทในพระพุทธศาสนาพระพุทธองค์ ประทานการอุปสมบทด้วยวิธีให้รับโอวาท ๓ ข้อ เรียกว่า “โอวาทปฏิคคหณูปสัมปทา”

โอวาท ๓ ข้อนั้นคือ
                        ๑) กัสสปะ เธอพึงศึกษาว่า เราจักตั้งความละอายและความเกรงใจไว้ในภิกษุทั้งที่ เป็นพระเถระผู้เฒ่า ผู้มีพรรษาปานกลาง และทั้งผู้บวชใหม่
                        ๒) กัสสปะ เธอพึงศึกษาว่า เราจักฟังธรรม บทใดบทหนึ่งอันประกอบด้วยกุศลด้วยความตั้งใจฟังโดยเคารพ และพิจารณาจดจำเนื้อความธรรมบทนั้น
                        ๓) กัสสปะ เธอพึงศึกษาว่า เราจะไม่ละสติไปในกาย คือ พิจารณากายเป็นอารมณ์โดยสม่ำเสมอ

                        • ได้รับยกย่องในทางผู้ทรงธุดงค์

                        เมื่อท่านอุปสมบทแล้วทำความเพียรไม่นานก็ได้บรรลุพระอรหัตผล หลังจากอุปสมบทได้ ๘ วัน พุทธบริษัททั้งหลายรู้จักท่านในนาม “พระมหากัสสะ” ท่านได้ช่วยรับภารธุระอบรมสั่งสอนพระภิกษุและพุทธบริษัทอื่น ๆ จนมีภิกษุเป็นบริวารจำนวนมาก

ท่านมีปกติสมาทานธุดงค์ ๓ ประการ อย่างเคร่งครัด คือ:-
                        ๑) ถือการนุ่งห่มบังสุกุลเป็นวัตร
                        ๒) ถือการเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร
                        ๓) ถือการอยู่ป่าเป็นวัตร

                        เพราะการปฏิบัติในธุดงค์คุณทั้ง ๓ ประการนี้อย่างเคร่งครัด พระบรมศาสดาจึงทรงยกย่องท่านในตำแหน่งเอตทัคคะ เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย ในทาง ผู้ทรงธุดงค์ นอกจากนี้ พระบรมศาสดายังทรงยกย่องท่านในทางอื่น ๆ อีกหลายประการ กล่าวคือ:- ครั้งหนึ่ง ท่านติดตามพระพุทธองค์ไปประทับที่ภายใต้ร่มไม้ต้นหนึ่งท่านได้พับผ้า สังฆาฏิของท่านเป็น ๔ ชั้นแล้วปูถวายให้พระพุทธองค์ประทับนั่งพระพุทธองค์ตรัสว่า:- “กัสสปะ ผ้าสังฆาฏิของเธอนุ่มดี” “ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ขอพระองค์ทรงใช้สอยเถิด พระเจ้าข้า” “กัสสปะ แล้วเธอจะใช้อะไรทำสังฆาฏิเล่า ?” “ข้าแต่พระผู้มีพระภาค เมื่อข้าพระองค์ได้รับจากพระองค์ ก็จะใช้เป็นสังฆาฏิ พระเจ้าข้า”

ครั้นแล้ว พระบรมศาสดาได้ประทานผ้าสังฆาฏิของพระองค์ ซึ่งเก่าคร่ำคร่าให้แก่ท่านแล้วทรงยกย่องท่านอีก ๔ ประการคือ:-
                       ๑) กัสสปะ มีธรรมเป็นเครื่องอยู่เสมอด้วยตถาคต เป็นผู้มักน้อยสันโดษภิกษุทั้งหลายควรถือเป็นแบบอย่าง
                       ๒) กัสสปะ เมื่อเธอเข้าไปใกล้ตระกูลแล้ว ชักกายและใจออกห่างประพฤติตนเป็นคนใหม่ ไม่คุ้นเคย ไม่คะนองกาย วาจา และใจ ในสกุลเป็นนิตย์ จิตไม่ข้องอยู่ในสกุลนั้น  ตั้งจิตเป็นกลางว่า “ผู้ใคร่ลาภจงได้ลาภ ผู้ใคร่บุญจงได้บุญ ตนได้ลาภแล้วมีจิตเป็นฉันใด ผู้อื่นก็มีใจเป็นฉันนั้น”
                       ๓) กัสสปะ มิจิตประกอบด้วยเมตตา กรุณา แสดงธรรมแก่ผู้อื่น
                       ๔) ทรงแลกเปลี่ยนผ้าสังฆาฏิกับท่านไปใช้สอย ทรงสอนภิกษุให้ประพฤติดีปฏิบัติชอบ โดยยกพระมหากัสสปะขึ้นเป็นตัวอย่างพระเถระขับล่านางเทพธิดา
                       ครั้งหนึ่งพระเถระพักอยู่ที่ถ้ำปิปผลิ เข้าฌานสมาบัติอยู่ ๗ วัน ออกจากฌานแล้วเข้าไปบิณฑบาต ในบ้านหญิงสาวคนหนึ่งเห็นพระเถระแล้วเกิดศรัทธาเลื่อมใส ได้นำข้าวตอกใส่บาตรพระเถระแล้วตั้งความปรารถนา ขอเข้าถึงส่วนแห่งธรรมที่พระเถระบรรลุแล้ว พระเถระกล่าวอนุโมทนาแก่เธอแล้วกลับยังที่พักฝ่ายนางกุลธิดานั้นมีจิตเอิบอิ่มด้วยทานที่ตนถวาย ขณะเดินกลับบ้านถูกงูพิษกัดตาย และได้ไปเกิดเป็นเทพธิดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ นามว่า “ลาชา” (ลาชา = ข้าวตอก) มีวิมานทองประดับด้วยขันทองห้อยอยู่รอบ ๆ วิมาน ในขันนั้นเต็มด้วยข้าวตอกทองเช่นกัน นางมองดูสมบัติทิพย์ที่ตนได้แล้วก็ทราบว่าได้มาเพราะถวายข้าวตอกแก่พระมหากัสสปะ ซึ่งเป็นบุญเพียงเล็กน้อยนางต้องการที่จะเพิ่มผลบุญให้มากยิ่งขึ้น จึงลงจากเทวพิภพเข้าไปปัดกวาดเสานาเสานะและบริเวณที่พักของพระเถระ จัดตั้งน้ำใช้น้ำฉันเสร็จแล้วกลับยังวิมานของตนพระเถระคิดว่ากิจเหล่านี้คงจะมีพระภิกษุหรือสามเณรมาทำให้ ในวันที่สองที่สาม นางเทพธิดามาทำเหมือนเดิม แม้พระเถระก็คิดเช่นเดิม แต่พระเถระได้ยินเสียงไม้กวาดและเห็นแสงสว่างจากช่องกลอนประตูจึงถามว่า “นั่นใคร ?”  “ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ดิฉันเป็นเทพธิดาชื่อลาชา เป็นอุปัฏฐายิกาของท่าน” พระเถระคิดว่า หญิงผู้เป็นอุปัฏฐากของเราชื่ออย่างนี้ไม่มี จึงเปิดประตูเห็นนางเทพธิดา กำลังปัดกวาดอยู่ จึงสอบถามทราบความโดยตลอดตั้งแต่ต้นแล้ว จึงกล่าวห้ามว่า “กิจที่เธอทำแล้วก็ถือว่าแล้วกันไป ต่อแต่นี้เธอจงอย่างมาทำอีก เพราะในอนาคต จะมีพระธรรมกถึกยกเอาเหตุนี้เป็นตัวอย่างอ้างแก่พุทธบริษัททั้งหลาย ว่า “พระมหากัสสปะมีนางเทพธิดามาปฏิบัติใช้สอย ดังนั้น เธอจงกลับไปเถิด” นางเทพธิด้านอ้อนวอนช้ำแล้วช้ำเล่าว่าขอพระคุณเจ้าอย่างทำให้ดิฉันประสบหายนะเลย ขอให้ดิฉันได้ครองสมบัติทิพย์นี้ตลอดกาลนานเถิด พระเถระเห็นว่านางเทพธิดาดื้อดึงไม่ยอมฟังคำ จึงโบกมือพร้อมกล่าวขับไล่นางออกไป นางลาชาเทพธิดาไม่สามารถดำรงอยู่ได้ จงเหาะขึ้นไปบนอากาศยืนประนมมือร้องไห้เสียดายที่ไม่มีโอกาสทำทิพยสมบัติของตนให้ถาวรได้

                        • พระมหากัสสปะเถระ เป็นประธานปฐมสังคายนา

                        ด้วยความที่ท่านเป็นผู้ยินดีในการอยู่ป่า มักน้อย สันโดษ ประวัติของท่านจึงไม่ค่อย โดดเด่นเป็นที่รู้จักกันมากนัก จวบจนสมัยที่พระบรมศาสดาปรินิพพานได้ ๗ วัน ขณะที่ท่านกำลังเดินทางพร้อมด้วยภิกษุบริวารของท่านเพื่อไปเข้าเฝ้าประบรมศาสดา ได้ทราบข่าวจากอาชีวกว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าปรินิพพานแล้ว ทำให้ภิกษุทั้งหลายที่เป็นปุถุชนพากันร่ำไห้เสียใจรำพึงรำพันถึงพระบรมศาสดา รำพึงรำพันถึงพระบรมศาสดา แต่มีภิกษุวัยชรานามว่า สุภัททะพูดห้ามปรามภิกษุเหล่านั้นมิให้ร้องไห้โดยกล่าว่า “ท่านทั้งหลาย อย่าร้องไห้เสียใจไปเลย พระพุทธองค์ปรินิพพานเสียได้ก็ดีแล้ว ต่อไปนี้พวกเราพ้นจากอำนาจของพระศาสดาแล้ว จะทำอะไรก็ย่อมได้ ไม่มีใครมาบังคับว่ากล่าวห้ามปรามพวกเราอีกแล้ว” พระเถระ ได้ฟังคำของพระสุภัททะแล้วเกิดความสังเวชสลดใจว่า “พระพุทธองค์ปรินิพพานได้เพียง ๗ วัน ยังมีผู้กล่าวจ้วงจาบล่วงเกินพระธรรมวินัยถึงเพียงนี้ ต่อไปภายหน้าก็คงจะหาผู้เคารพในพระธรรมวินัยได้ยากยิ่ง” ด้วยคำพูดของพระสุภัททะเพียงเท่านี้ หลังจากถวายพระเพลิงพระบรมศพแล้ว ท่านได้ชักชวนพระเถระผู้เป็นพระอรหันต์ ประชุมกันทำปฐมสังคายนารวบรวมพระธรรมวินัยตั้งไว้เป็นหมวดหมู่ เป็นตัวแทนองค์พระบรมศาสดาปกครองหมู่สงฆ์ต่อไป
 
สาระสำคัญของปฐมสังคายนา

                        ๑)   พระมหากัสสปะเถระ เป็นประธาน มีหน้าที่ซักถามเกี่ยวกับพระธรรมวินัย
                        ๒)   พระอุบาลี เป็นผู้ชี้แจงเกี่ยวกับขอบัญญัติพระวินัย
                        ๓)   พระอานนท์ เป็นผู้ชี้แจงเกี่ยวกับพระสูตร และพระอภิธรรม
                        ๔)   กระทำที่ถ้ำสัตตบรรณคูหา แห่งภูเขาเวภารบรรพต กรุงราชคฤห์
                        ๕)   พระเจ้าอชาตศัตรู เป็นองค์ศาสนูปถัมภ์
                        ๖)   กระทำอยู่ ๗ เดือน จึงสำเร็จ

                        • ชีวิตในบั้นปลาย

                        ในคัมภีร์พระสาวกนิพพานกล่าว่า พระมหากัสสปะเถระ เมื่อทำหน้าที่เป็นประธานในการทำปฐมสังคายนาแล้ว ได้พักอยู่ที่พระเวฬุวันมหาวิหาร กรุงราชคฤห์ ดำรงอยู่ถึง ๑๒๐ ปีก่อนที่ท่านจะนิพพาน ๑ วัน ท่านได้ตรวจดูอายุสังขารของท่านแล้วทราบว่าจะอยู่ได้อีกเพียงวันเดียวเท่านั้น ท่านจึงประชุมบรรดาภิกษุผู้เป็นศิษย์ของท่านแล้วให้โอวาทเป็นครั้งสุดท้าย สั่งสอนภิกษุผู้ยังเป็นปุถุชนมิให้เสียใจกับการจากไปของท่าน ให้พยายามทำความเพียรและอย่าประมาท แล้วพระเถระก็เข้าไปถวายพระพรลาพระเจ้าอชาตศัตรู จากนั้นท่านได้พาหมู่ภิกษุไปยังภูเขากุกกุฏสัมปาตบรรพต แสดงอิทธิปาฏิหาริยิ์ และให้โอวาทแก่พุทธบริษัทแล้ว อธิษฐานจิต ขอให้ภูเขาทั้ง ๓ ลูกมารวมเป็นลูกเดียวกัน ซึ่งในภูขาทั้ง ๓ ลูกนั้นมีภูเขาเวภารบรรพตสถานที่ทำปฐมสังคายนารวมอยู่ด้วย แล้วท่านก็ดับขันธ์เข้าสู่พระนิพพาน ณ ที่นั้นท่านยังอธิษฐาน ขอให้สรีระของท่านยังคงสภาพเดิมไม่สูญสลาย จนกระทั่งพระศาสนาพระศรีอริยเมตไตร ซึ่งพระองค์จะพาหมู่ภิกษุสงฆ์มายังภูเขากุกกุฏสัมปาตบรรพตแล้ว ยกสรีระของพระเถระวางบนพระหัตถ์ขวาชูขึ้นประกาศสรรเสริญคุณของพระเถระแล้ว เตโชธาตุก็จะเกิดขึ้นเผาสรีระของท่านบนฝ่าพระหัตถ์ของพระศรีอริยเมตไตรพุทธเจ้านั้น
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #3154 เมื่อ: 20 กันยายน 2554, 08:24:25 »



ภาชนะในห้องครัว "ลอยน้ำ"



ห้องครัว ปรุงอาหาร



ต่อสะพานเดินภายในบ้าน



ห้องเก็บเสื้อผ้า



บ้านพี่สาวที่ตำบลทับยา อำเภออินทร์บุรี



หัวบันไดบ้านชั้นสอง

สวัสดีครับ  ชาวซีมะโด่งที่รัก ทุกท่าน

                     หลานสาวได้ถ่ายรูปบ้านพี่สาวที่ตำบลทับยา อำเภออินทร์บุรี  จังหวัดสิงห์บุรี ส่งมาทาง email มาให้ดูครับ ปีนี้ระดับน้ำสูงสุดจริงๆ เพราะที่ผ่านมานั้น น้ำไม่เคยท้วมชั้นสอง แต่ปีนี้น้ำท้วมชั้นสอง คือระดับน้ำต้องมากกว่า 3.50 เมตร เหนือระดับพื้นดิน ครับ ตอนนี้พี่สาวต้องนอนบนเตียงแช่น้ำ  พี่สาวเป็นโรคหัวใจ  เคยทำบอลลูนไปสามเส้น ต้องรับประทานยาทุกวัน ดีว่าตอนที่น้ำท้วมใหม่ๆ ผมนำยาจากคุณหมอวิทิตไปให้เพื่อให้รับประทานได้สองเดือน  มิฉนั้นไม่สามารถเอายาไปให้ได้เพราะถนนตัดขาดน้ำท้วมไปไม่ได้สายสิงห์บุรี-เขื่อนชัยนาทฝั่งตะวันตก
                     กรุงเทพฯ มีโอกาสน้ำท้วม  ถ้าไม่รีบระบายน้ำเข้านาข้าวทั้งสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา แต่ต้องไม่ทำให้ข้าวเสียหาย ต้องระบายเข้าให้กระจาย และทั้งสองฝั่งแม่น้ำ ห้ามปล่อยน้ำจากต้นทาง และห้ามระบายน้ำเข้าทุ่งนาฝั่งใดฝั่งหนึ่ง เพราะฝั่งนั้นจะมิดน้ำสองเดือน เสียหายหนัก

                     สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #3155 เมื่อ: 20 กันยายน 2554, 08:38:55 »



ซุ้มประตูวัดพระนอน ที่ผมสร้างเอาไว้ โดยเอาเงินที่ทุกท่านทำบุญวันณาปนกิจพ่อ มาสร้างครับ





โบสถ์ น้ำท้วมหมด



กุฏิเจ้าอาวาส



เมรุเผาศพ



ศาลาวัด ที่จะเปลี่ยนกระเบื้องใหม่



อนุสาวรีย์พ่อ



โรงเรียนวัดพระนอน  โรงเรียนประจำหมู่บ้าน ที่พ่อผมสร้างเอาไว้



ตลาดหมู่บ้านบางพระนอน

ระดับน้ำที่เห็นไม่ใช่ระดับน้ำที่สูงที่สุดในปีนี้ ครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #3156 เมื่อ: 20 กันยายน 2554, 08:54:03 »





คันดินบนถนน ตอนแรก ๆ





กรมชลประทาน ใช้รถแบคโฮ ขุดดินไปถมถนนเป็นคันกั้นน้ำ ไม่ให้ลงทุ่งนาฝั่งตะวันตก ถนนสายสิงห์บุรี - เขื่อนชัยนาท



ถนนสายสิงห์บุรี - เขื่อนชัยนาท ช่วงแรกๆ รถยังวิ่งได้ แต่ภายหลังระดับน้ำสูง  ถนนขาดเป็นบ้างช่วง  รถวิ่งไม่ได้เลย  จอดสนิท





ถนนคันกั้นน้ำหน้าโรงพยาบาลอินทร์บุรีพัง น้ำจึงเข้าและท้วมโรงพยาบาลอินทร์บุรี จนต้องปิด เพราะส่วนใหญ่เป็นอาคารชั้นเดียว
ที่ท่านเจ้าคุณพระเทพวิสุทธิโมลี ให้พ่อผมสร้าง โดยเงินบริจาคจากเศรษฐี สมัยนั้น
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #3157 เมื่อ: 20 กันยายน 2554, 09:00:37 »

วันนี้ผมไปเล่นกอล์ฟกับชมรมกอล์ฟ SIW ที่สนามสุวรรณกอล์ฟคลับ นครปฐม
 
เพื่อสังสรรค์กับลูกค้า บริษัทสยามลวดเหล็กอุตสาหกรรม จำกัด

(SIW)

กลับสามทุ่มครับ

สวัสดี

      บันทึกการเข้า
Kaimook
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 7,132

« ตอบ #3158 เมื่อ: 20 กันยายน 2554, 16:54:52 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 15 กันยายน 2554, 12:22:18

                      เพื่อเป็นการเรียนรู้ของจริง วันนี้ข้าวมื้อกลางวันผมรับประทานข้าวกับต้มยำปลากระพงน้ำลึก และใบมะยม ครับรู้สึกเข้ากันได้ดี คือต้มยำไม่มีผัก  จึงต้องอาศัยผักใบเขียวจากใบมะยม เด็ดมาจำนวนสามก้าน ได้ใบตามที่เห็น โดยใช้ใบมะยมเป็นเครื่องเคียง อร่อยดีได้รสชาดไปอีกอย่าง เป็นการล้างน้ำตาลในเส้นเลือดด้วยการกินใบมะยมสดครับ

                       ต้มยำจานนี้ราคา 150 บาท ซื้อจากร้านท่าศาลาซีฟู๊ด ผมจะตักเอาเพียงแค่นี้ ที่เหลือเอาไปให้พนักงานบริษัท รับประทานกัน ครับ

                        สวัสดี

สวัสดีค่ะพี่สิงห์   ใบมะยมทานสดๆได้เลยเหรอค่ะ    ที่บ้านมีต้นมะยมค่ะจะลองเด็ดมาทานดูบ้างค่ะ  ขอบคุณพี่สิงห์มากค่ะ   
      บันทึกการเข้า
Kaimook
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 7,132

« ตอบ #3159 เมื่อ: 20 กันยายน 2554, 16:59:27 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 20 กันยายน 2554, 08:38:55


ซุ้มประตูวัดพระนอน ที่ผมสร้างเอาไว้ โดยเอาเงินที่ทุกท่านทำบุญวันณาปนกิจพ่อ มาสร้างครับ





โบสถ์ น้ำท้วมหมด



กุฏิเจ้าอาวาส



เมรุเผาศพ



ศาลาวัด ที่จะเปลี่ยนกระเบื้องใหม่



อนุสาวรีย์พ่อ



โรงเรียนวัดพระนอน  โรงเรียนประจำหมู่บ้าน ที่พ่อผมสร้างเอาไว้



ตลาดหมู่บ้านบางพระนอน

ระดับน้ำที่เห็นไม่ใช่ระดับน้ำที่สูงที่สุดในปีนี้ ครับ
   ปีนี้ทำไมน้ำเยอะจังนะคะ   น่าเห็นใจทุกๆฝ่ายค่ะ   เป็นกำลังใจให้นะคะ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #3160 เมื่อ: 20 กันยายน 2554, 20:40:12 »

สวัสดีค่ะ คุณน้องไข่มุข ที่รัก

                       รับประทานใบมะยมสด ช่วยลดน้ำตาลในกระแสเลือด พี่สิงห์ลองกินดูแล้วสองมื้อครับ อร่อยดีกินคู่กับต้มยำ และแกงส้มครับ เพียงแค่ล้างน้ำให้สะอาด ใส่ปากเคี้ยวได้เลยครับ

                       ปริมาณน้ำไม่ได้มากแต่ กักน้ำอยู่แต่ในลำแม่น้ำไม่กระจายลงทุ่ง ครับ

                       สวัสดีค่ะ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #3161 เมื่อ: 20 กันยายน 2554, 20:45:17 »

                        เมื่อเย็นที่ผ่านมา น้องสาวโทรศัพท์มาจากสิงห์บุรีว่า ระดับน้ำเริ่มลดลง  เพราะว่าทางกรมชลประทานได้ปล่อยน้ำไปทางทุ่งตะวันออกของสิงห์บุรี คืออำเภอท่าวุ้ง ครับ

                        ผมคาดว่ากรมชลประทานกำลังคิดถึงฝนที่จะตกในอีกสองสามวันข้างหน้านี้ จึงระบายน้ำลงทุ่งฝั่งตะวันออกบางส่วน เพื่อให้มีที่ว่างรองรับน้ำจากฝนที่จะตก เพราะถ้าไม่ปล่อยลงทุ่งบางส่วน น้ำใหม่มาจะไม่มีที่ไว้ให้ น้ำจะล้นถนนที่เสริมเอาไว้ และบรรดาคันกั้นน้ำต่างๆ จะพังหมดครับ

                        ราตรีสวัสดิ์ทุกท่านครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #3162 เมื่อ: 20 กันยายน 2554, 20:51:49 »

สวัสดีครับ ท่านขุน

                        ภาวนาอย่างไรดี ที่จะทำให้ ความคิดของอธิบดีกรมชลประทาน  รู้แจ้ง เห็นจริงเรื่องน้ำท้วม ไม่ใช่อยู่แต่กรุงเทพฯ คอยรายงานแต่ปริมาณน้ำในเขื่อนต่างๆ ไม่ขึ้นเครื่องบิน ถ้าบินดูจะรู้ทุกอย่าง และไม่ตอบคำถามหรือยืนยันว่าน้ำจะไม่ท้วมกรุงเทพฯ

                        สวัสดี
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #3163 เมื่อ: 20 กันยายน 2554, 22:48:59 »

เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา พญ.มาลินี สุขเวชวรกิจ รองผู้ว่า กทม. (Good old Chula) และคณะนำสิ่งของไปแจกช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วมที่นครสวรรค์และอุทัยธานี ได้มีรุ่นพี่ 2513 ซึ่งจบวิศวะ และรัฐศาสตร์ ตามนามบัตรนี้ ไปอำนวยการที่บริเวณหน้าบ้านของผม พูดคุยกันฉันพี่น้อง และช่วยกันอำนวยความสะดวกจนเสร็จงาน
พี่ทั้งสองแจ้งว่า รู้จักพี่สิงห์เป็นอย่างดี แม้อีกท่านจะจบรัฐศาสตร์ เสียดายไม่ได้ถ่ายภาพเก็บเอาไว้เป็นที่ระลึกครับ



      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #3164 เมื่อ: 21 กันยายน 2554, 07:27:40 »

สวัสดีครับ คุณเหยง

                       ยุทธศักดิ์  นั้นเพื่อนผมครับ ที่แรกคิดว่าเขาคงมีโอกาสเป็นปลัด กทม. เพราะว่าสามารถขึ้นเป็นผู้อำนวยการเขตบึงกลุ่ม จตุจักร เร็วมากนานมาแล้ว แต่แล้วก็หยุดชงักครับ

                       ส่วนคุณประวิช นั้นคงไม่รู้จักเพราะจำไม่ได้ ต้องเจอหน้าหรือเห็นรูปครับ  อาจจะเป็นเพื่อนผมที่อำนวยศิลป์ก็ได้ครับ

                       ขอบคุณมากและสวัสดีครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #3165 เมื่อ: 21 กันยายน 2554, 07:32:33 »

รู้ประวัติพุทธ สาวก อรหันต์  เอตทัคคะ

ลำดับที่ ๑๙

พระราธเถระ

เอตทัคคะในทางผู้ว่าง่าย


                        พระราธเถระ เป็นบุตรตระกูลพราหมณ์ ในเมืองราชคฤห์ ฐานะเดิมของท่านนั้นจัดว่าอยู่ในขั้นเศรษฐี มีทรัพย์สินเงินทองมาก แต่เมื่อย่างเข้าสู่วัยชราถูกภรรยาและบุตรธิดาทอดทิ้งต้องกลายเป็นคนยากจนอนาถา ที่พึ่งพาอาศัย ต้องเลี้ยงชีพด้วยการอาศัยพระภิกษุอยู่ในวัดพระเวฬุวันมหาวิหาร ต่อมา ราธพราหมณ์ มีศรัทธาปรารถนาจะบวช แต่ไม่มีภิกษุรูปใดที่จะสงเคราะห์บวชให้ ทำให้เกิดความทุกข์ใจ ร่างกายซูบผอมหน้าตาผิวพรรณหม่นหมอง พระบรมศาสดาทอดพระเนตรเห็นราธพราหมณ์มีร่างกายผิดปกติอย่างนั้นแล้วจึงได้ตรัสถาม ทราบความโดยตลอดแล้วรับสั่งถามภิกษุผู้อยู่ในวัดพระเวฬุวันมหาวิหารว่า:- “ภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดระลึกถึงอุปการคุณของราธพราหมณ์ผู้นี้ได้บ้าง ?” ขณะนั้น พระสารีบุตรเถระ ซึ่งอยู่ในที่ประชุมนั้นด้วย ได้กราบทูลว่า:- “ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ข้าพระองค์ระลึกได้ พระเจ้าข้า คือ วันหนึ่งข้าพระองค์ได้เข้าไปบิณฑบาตในเมืองราชคฤห์ พราหมณ์ผู้นี้เคยถวายอาหารข้าวสุขแก่ข้าพระองค์ ทัพพีหนึ่งพระเจ้าข้า”
 
                       • ทรงอนุญาตการอุปสมบทด้วยวิธีญัตติจตุตถกรรม

                       พระบรมศาสดา ได้สดับแล้วตรัสยกย่องพระสารีบุตรเถระว่าเป็นผู้มีความกตัญญูกตเวทีแล้วมอบราธพราหมณ์ให้ท่านเป็นพระอุปัชฌาย์ ดำเนินการบวชให้ และทรงประกาศยกเลิกการอุปสมบทด้วยวิธี ไตรสรณคมน์ ที่พระองค์ทรงอนุญาตไว้แต่เดิมแล้ว ทรงอนุญาตการอุปสมบทด้วยวิธีญัตติจตุตถกรรม อันเป็นวิธีอุปสมบท โดยมีสงฆ์เป็นใหญ่ พระสารีบุตรเถระ เป็นพระอุปัชฌาย์รูปแรก และพระราธะเป็นภิกษุผู้ได้รับการอุปสมบทด้วยวิธีนี้เป็นรูปแรก การอุปสมบทด้วยวิธีญัตติจตุตถกรรมนี้ได้ถือปฏิบัติสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน
                       พระราธะ เมื่ออุปสมบทแล้ว วันหนึ่งได้เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคกราบทูลขอให้พระพุทธองค์ตรัสสอนธรรมอันเป็นทางปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้น พระพุทธองค์ตรัสสอนว่า:- “ดูก่อนราธะ สิ่งใดเป็นมาร เธอจงละความพอใจในสิ่งนั้นเสีย สิ่งที่เรียกว่ามาร คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ซึ่งเป็นสภาพไม่เที่ยงเป็นทุกข์ เป็นของมิใช่ตัวตน มีความเกิดขึ้น ดำรงอยู่ เปลี่ยนแปลง และสูญสิ้นไปเป็นธรรมดา ดังนั้น เธอจงละความพอใจในสิ่งอันเป็นมารเหล่านั้นเสีย” พระราธะ รับเอาพระโอวาทนั้นเป็นแนวทางปฏิบัติแล้วได้ติดตามพระสารีบุตรเถระพระอุปัชฌาย์ไปตามสถานที่ต่าง ๆ ไม่นานนักก็บรรลุพระอรหัตผล พระพุทธองค์ตรัสถามว่า:- “ดูก่อนสารีบุตร พระราธะสัทธิวิหาริยศิษย์ของเธอเป็นอย่างไรบ้าง ?” “ข้าแต่พระผู้มีพระภาค เธอเป็นผู้ว่าง่ายสอนง่าย แนะนำสั่งสอนตักเตือนอย่างไร ก็ปฏิบัติตามแต่โดยดี ไม่เคยโกรธเคืองเลย พระเจ้าข้า”

                        • ได้รับยกย่องว่าเป็นผู้ว่าง่ายสอนง่าย

                        พระบรมศาสดาทรงสดับแล้ว ตรัสสอนให้ภิกษุทั้งหลายถือเอาพระราธะเป็นแบบอย่างในการเป็นผู้ว่าง่ายสอนง่าย และทรงยกย่องพระราธะในตำแหน่งเอตทัคคะ เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย ในทางผู้ว่าง่าย และผู้มีปฏิภาณ คือ เป็นผู้มีความรู้แจ่มแจ้งในพระธรรมเทศนา ท่านพระราธเถระ ดำรงอายุสังขาร ช่วยกิจการพระศาสนาพอสมควรแก่กาลเวลาแล้วก็ดับขันธปรินิพพาน
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #3166 เมื่อ: 21 กันยายน 2554, 07:45:12 »

รู้้จักการดูแลสุขภาพวันละนิด จิตคลายทุกข์

ตอน

“กระเทียม” สมุนไพรมหัศจรรย์!!


ช่วยบรรเทาปัญหาสุขภาพสารพัด


                        ข้อมูลจากสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย ระบุว่า กระเทียม (garlic) มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Allium sativum Linn. แทบทุกครัวเรือนรู้วิธีการเจียวกระเทียมในน้ำมันให้หอมก่อน แล้วจึงใส่เนื้อสัตว์หรือผัก เป็นวิธีดับกลิ่นคาวของเนื้อสัตว์และเพิ่มรสชาติให้กับอาหารประเภทผัดชนิดต่างๆ ได้อย่างดี

                         ทั้งยังใช้กระเทียมเจียวโรยหน้าอาหารอีกหลายอย่าง หรือใช้เป็นส่วนประกอบที่สำคัญอย่างหนึ่งในเครื่องแกงชนิดต่างๆ โดยเฉพาะเป็นตัวช่วยแต่งกลิ่นและรสร่วมกับมะนาวในน้ำพริกกะปิ แม้แต่พริกน้ำปลาหรือน้ำจิ้มรสแซบก็จะลืมกระเทียมไปไม่ได้ นอกจากนี้ใบและหัวกระเทียมสดๆ ยังเป็นผัก รวมถึงกระเทียมดองของอร่อย

                         กระเทียมยังเป็นสมุนไพรแก้ไขบรรเทาปัญหาสุขภาพของชาวบ้านมาโดยตลอด หมอพื้นบ้านไทยใช้กระเทียมสดรักษาโรคผิวหนัง กลาก เกลื้อน โรคบิด ป่วง แก้ไอ และกระจายโลหิต กระทั่งเป็นที่สรุปได้ว่า กระเทียมเป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณเด่น 2 ประการ คือ ใช้ทารักษาโรคผิวหนัง และรับประทานแก้โรคความดันโลหิตสูง

                         การศึกษาทดลองคุณสมบัติทางเภสัชวิทยาในระยะหลัง พบว่า กระเทียมมีสรรพคุณเป็นยารักษาโรคได้อีกหลายอย่าง แต่การนำมาใช้ประโยชน์ให้ได้ผลอย่างจริงจังยังจะต้องมีการศึกษาผลทางคลินิกวิทยาให้ถ่องแท้เสียก่อน


โดยสรรพคุณต่างๆ ของกระเทียม มีดังนี้

                         1. ฆ่าเชื้อรา คือ กลาก เกลื้อน และเชื้อราที่เกิดตามเล็บ หนังศีรษะและผม

                         2. ฆ่าเชื้อยีสต์ชนิดที่ทำให้เกิดลิ้นขาวเป็นฝ้าในเด็กทารก และทำให้เกิดโรคมุตกิดระดูขาวที่มักจะเกิดในหญิงที่ตั้งครรภ์ หรือกินยาคุมกำเนิด ยาปฏิชีวนะหรือยาสเตียรอยด์เป็นเวลานานๆ
 
                         3. ลดความดันโลหิตสูง
 
                         4. ลดไขมันและคอเลสเตอรอล

                         5. ป้องกันผนังหลอดเลือดหนาและแข็งตัว
 
                         6. ลดน้ำตาลในเลือด

                         7. ฆ่าหรือยับยั้งเชื้อแบคทีเรียแทบทุกชนิด กล่าวคือ มีสารอัลลิซิน ที่มีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อแบคทีเรียที่มักทำให้เกิดโรคได้ถึง 15 ชนิด โดยเฉพาะยับยั้งเชื้อพวกที่ดื้อยาเพนนิซิลินได้ดีกว่าเชื้อพวกที่ไม่ดื้อยาอีกด้วย นอกจากนี้ ยังฆ่าเชื้อบิดมีตัวที่มีพิษต่อลำไส้ได้ดี โดยมีสารที่สำคัญคือกาลิซิน รวมทั้งสามารถยับยั้งเชื้อบิดเทียม ซึ่งไม่รบกวนแบคทีเรียตัวอื่นที่มีประโยชน์ต่อลำไส้

                         8. ยับยั้งเชื้อต่างๆ เช่น เชื้อที่ทำให้เกิดฝีหนอง และใช้รักษาแผลสด แผลที่เป็นหนอง คออักเสบ ทอนซิลอักเสบ ทางเดินปัสสาวะอักเสบ เชื้อวัณโรค และเชื้อปอดบวม

                         9. รักษาไข้หวัดและไข้หวัดใหญ่

                        10. เป็นยาขับเสมหะและมีฤทธิ์ขับเหงื่อและขับปัสสาวะ
 
                        11. รักษาโรคไอกรน

                        12. แก้หืดและโรคหลอดลม
 
                        13. แก้ธาตุพิการอาหารไม่ย่อย
 
                        14. ควบคุมโรคกระเพาะ คือมีสารเอเอส 1 ช่วยยับยั้งไม่ให้น้ำย่อยอาหารมาย่อยแผลในกระเพาะ และยังช่วยรักษาโรคตับอ่อนอักเสบชนิดรุนแรงได้ด้วย

                        15. ขับพยาธิต่างๆ ได้หลายชนิด ได้แก่ พยาธิเข็มหมุด พยาธิแส้ม้า พยาธิเส้นด้าย และมีรายงานทดสอบจากอินเดียว่า กระเทียมมีสารไดอัลลิลไดซัลไฟด์ มีฤทธิ์ใช้ฆ่าพยาธิไส้เดือนได้ดี

                        16. แก้เคล็ดขัดยอกและเท้าแพลง เพราะมีสารอัลลิซินเป็นตัวช่วยทำให้เลือดไหลเวียนมายังบริเวณที่ทาถูนวดยาได้ดีมากขึ้น

                        17. แก้ปวดข้อและปวดเมื่อย

                        18. ต่อต้านเนื้องอก
 
                        19. กำจัดพิษตะกั่ว
 
                        20. บำรุงร่างกาย ประเทศญี่ปุ่นได้ค้นพบสารในกระเทียมชื่อสคอร์ดินิน ไม่มีกลิ่น แต่มีประโยชน์ต่อร่างกายหลายอย่าง รวมทั้งช่วยให้เนื้อเยื่อเจริญเติบโตและช่วยลดไขมันในร่างกาย
 
                        ยังมีผู้พบว่าในกระเทียมมีธาตุเจอร์เมเนียมค่อนข้างสูง ซึ่งมีคุณสมบัติป้องกันการเกิดมะเร็ง โรคหืด โรคไต โรคตับอ่อนและอาการท้องผูก รวมถึงมีสารชักนำวิตามินบี 1 เข้าสู่ร่างกายได้ดีขึ้นเท่าตัว โดยรวมเป็นสารอัลลิลไทอะมิน ทำให้วิตามินบี 1 ออกฤทธิ์ได้ดีขึ้นถึง 20 เท่า


มากินกระเทียมสดเสริมกันเถิดครับ เวลากินข้าวที่มีเนื้อสัตว์ หรือทุกมื้อ มื้อละหนึ่งหัว
      บันทึกการเข้า
เอมอร 2515
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu 2515
คณะ: รัฐศาสตร์(นิติศาสตร์)
กระทู้: 4,562

« ตอบ #3167 เมื่อ: 21 กันยายน 2554, 20:55:03 »

สวัสดีค่ะ พี่สิงห์
มาตามข่าวน้ำท่วมสิงห์บุรี
ดีใจที่น้ำเริ่มลดแล้ว
ทั้งวัด ทั้งโรงเรียนคงเสียหายมาก
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #3168 เมื่อ: 21 กันยายน 2554, 21:21:24 »

อ้างถึง
ข้อความของ เอมอร 2515 เมื่อ 21 กันยายน 2554, 20:55:03
สวัสดีค่ะ พี่สิงห์
มาตามข่าวน้ำท่วมสิงห์บุรี
ดีใจที่น้ำเริ่มลดแล้ว
ทั้งวัด ทั้งโรงเรียนคงเสียหายมาก
สวัสดีค่ะ คุณน้องเอมอร ที่รัก

                     ตอนนี้ชาวนากับประชาชนที่ถูกน้ำท้วมกำลังขัดแย้งกันมากแล้วครับ พวกที่ถูกน้ำท้วมก็กลัวว่าระดับน้ำจะสูงมากขึ้น จนไม่มีที่หลับนอน ท่วมนานๆ มันเครียด ทุกประการ  ส่วนชาวนาก็กลัวน้ำท้วมนาข้าว ครับ กรมชลประทานก็รับปากไปวันๆ ไม่กล้าตัดสินใจทำอะไร  ลงไปปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติท่ามกลางความขัดแย้งของคนสองกลุ่ม

                     ตอนนี้น้ำที่ไหลผ่านจังหวัดนครสวรรค์อยู่ที่ 4000 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ผ่านเขื่อนเจ้าพระยา 3700 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ผ่านที่บางไทร อยุธยา 2900 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที แต่ถ้าผ่านบางไทรที่ 3500 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที น้ำท้วมกรุงเทพฯแน่นอน  ตอนนี้กรมชลประทานเร่งระบายน้ำไปทางแม่น้ำบางปะกง(ฝั่งตะวันออก) และแม่น้ำน้อยสุพรรณบุรี(ฝั่งตะวันตก)เป็นการเร่งด่วน เพื่อป้องกันไม่ให้กรุงเทพฯน้ำท้วม ครับ ขอให้เฝ้าระวังให้ดี

                      พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ท่านทรงสั่งการให้กรมชลเร่งหาทางป้องกันน้ำท้วมกรุงเทพฯ ให้เร่งระบายน้ำทางคลองลัดโพธิ์ และติดกังหันผันน้ำเพื่อให้น้ำลงทะเลได้เร็วขึ้นเวลาน้ำลง  คิดว่าน้ำคงไม่ท้วมกรุงเทพฯแล้วละเพราะในหลวงท่านทรงสั่งการเองเพราะกลัวรัฐบาลไม่จัดการ เพราะไม่มีประสพการณ์
 
                      และก่อนหน้านั้น ถนน ประตูระบายน้ำได้พังลงก่อนหน้าตามที่พี่สิงห์ได้วิงวินต่อพระสยามเทวาธิราชไปแล้ว ทำให้น้ำกระจายไปตามที่นาถึงแม้จะไม่มากก็ยังดี ทำให้น้ำมีที่ไป ไม่กักตัวอยู่แต่ในแม่น้ำเจ้าพระยา เหมือนท่อยางฉีดน้ำเข้า กทม. โดยตรง ซึ่งแรง และมีความเร็ว ครับ

                       ราตรีสวัสดิ์ทุกท่านครับ
                   
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #3169 เมื่อ: 22 กันยายน 2554, 11:26:16 »

สมุนไพร 3 ตัว ที่ ให้ประโยชน์ต่อร่างกาย ขมิ้นชัน กระเทียม มะรุม มาอ่านกันครับ

กระเทียม(Garlic )

                       พืชล้มลุก มีลำต้นใต้ดิน เรียกว่า หัว หัวมีกลีบย่อยหลายกลีบ เนื้อสีขาว มีกลิ่นฉุนเฉพาะ ใบยาว แบน ปลายแหลม ภายในกลวง ดอกรวมกันเป็นกระจุกที่ปลายก้าน ช่อ ดอกสีขาวอมเขียว หรืออมชมพูม่วง ใช้หัวปลูก ชอบอากาศเย็นและดินร่วนซุยกระเทียมช่วยป้องกันเชื้อโรคทุกชนิด รวมทั้งเชื้อดื้อยาปฏิชีวนะด้วย มีหลักฐานพบว่า มีการใช้กระเทียมรักษาและป้องกันโรคมาหลายพันปีแล้ว พบว่ากระเทียมช่วยทำให้เลือดดี สามารถควบคุมระดับน้ำตาลและล้างสารพิษปริมาณที่ควรบริโภคเพื่อส่งเสริมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันคือ 1,000-1,500 มิลลิกรัม ซึ่งอาจใช้เป็นรูปกระเทียมสด กระเทียมสกัด กระเทียมผงได้ กระเทียมมีสารอัลลิซิน (alliein) ซึ่งเมื่อผสมกับก๊าซออกซิเจนแล้ว จะได้สารประกอบถึง 100 กว่าชนิด ที่ทำปฏิกิริยาได้ทันที (active compounds) จากการศึกษาก็ยังพบว่า กระเทียม ไม่ว่าจะอยู่ในรูป สด แห้ง น้ำมัน หรือปรุงแต่งแล้ว เช่นผ่านกระบวนการ aged นั้น ล้วนแล้วแต่มีประโยชน์ทั้งสิ้น

                         กระเทียมสามารถต้านการรวมตัวของเลือด(antiaggregative) ลดสลายปริมาณ คอเลสเตอรอลและ ไตรกลีเซอไรด์ในเลือด ลดการเกิดโรคหัวใจและความดันโลหิตสูง ต้านเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา เชื้อไวรัส และสารที่เป็นพิษต่อตับ จากการทดลองโดยใช้สัตว์ทดลองพบว่า กระเทียม สามารถต้านการเกิดเนื้องอก (tumor formation) และการค้นพบที่สำคัญยิ่งคือมีรายงานว่ากระเทียม ทำให้เซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด เอ็นเค (Natural killer , NK) ทำหน้าที่ได้ดีมากขึ้น กระเทียมยังส่งเสริมการทำงานของเซลล์แม็คโครเฟ็จ(macrophage) และเซลล์ลิมโฟซัยท์(lymphocytes) ซึ่งเซลล์นี้ทำหน้าที่สำคัญในการเพิ่มภูมิคุ้มกันได้ การทดลองใช้กระเทียม แคลปซูลชนิดที่เรียกว่าไคโอลิค (Kyolic) ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ของชาวญี่ปุ่น ได้พบว่าทำให้ปฏิกิริยาของเซลล์ NK เพิ่มขึ้น 156 % ขณะที่กระเทียมสดธรรมดาเพิ่มปฏิกิริยาได้ 140% แต่ราคากระเทียมสดในประเทศไทยถูกกว่ามากเราจึงน่าใช้กระเทียมสดมากกว่าผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปที่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ ควรกินกระเทียมสดวันละ 7- 10 กลีบในรูปการใช้ผสมกับอาหารต่างๆ รวมทั้งน้ำจิ้ม คนไทยมีอาหารที่มีกระเทียมสดเป็นส่วนผสมหลายอย่าง เช่น ขนมจีนซาวน้ำ มีกระเทียมสด ขิง และสับปะรด การกินร่วมกันนอกจากอร่อยถูกปากแล้ว สับปะรดยังสามารถดับกลิ่นกระเทียมได้ด้วย วิธีกินให้พออาจใช้วิธีผสมกันระหว่างการกินกระเทียมสดประมาณ 2 กลีบ และในรูปอื่นที่ทำให้สุกหรือดองแล้วอีกสัก 4 – 5 กลีบเป็นต้น การดองกระเทียมในน้ำส้มและน้ำผึ้งเป็นที่นิยม มีประโยชน์และหาซื้อได้ง่าย

                         สาระสำคัญที่พบในกระเทียม นอกจากสารอัลลิซิน (alliein) และ อัลลิอิน (Alliin)ซึ่งทำให้กระเทียม มีคุณสมบัติในการช่วยป้องกันและรักษาโรคความดันโลหิตสูงและโรคหัวใจ นอกจากนั้นยังมีสารประกอบอื่นๆ ที่มีประโยชน์อีกได้แก่
                         1.ซีเลเนียม (Selenium) เป็นสารป้องกันที่ไม่ให้เนื้อเยื้อถูกทำลาย (Anti-oxidant)

                         2.วิตามินบี1 ช่วยให้ระบบประสาทและสมองทำงานดีขึ้น

                         3.สารไดอัลลิน ไดซัลไฟต์ (Diallyl Disulfide) มีคุณสมบัติในการทำลายเชื้อแบคทีเรีย สาเหตุการเกิดอาการท้องเสีย

                         4.สารเกลือแร่ที่พบในกระเทียมคือ เจอร์มาเนียม(Germanium) มีคุณสมบัติในการขยายหลอดเลือด

                         5.สารกลูโคไคนิน (Glucokinin) ช่วยในการลดระดับน้ำตาลในเลือด

                         6.อัลลิซิน(allicin) มีคุณสมบัติในการยับยั้งเชื้อราประเภท Candida albicans ซึ่งเป็นสาเหตุของอาการคันและตกขาวที่ช่องคลอด

อีกประการหนึ่งที่ใช้ได้ผลอย่างไม่น่าเชื่อ คือ กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายป้องกันและรักษาโรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจ เช่น โรคหวัด เยื้อจมูกอักเสบ น้ำมูกไหล ภูมิแพ้ (Anti-allergy) มีคนจำนวนมากที่ใช้กระเทียมในการรักษาโรคภูมิแพ้ ทางเดินหายใจ ดีขึ้นอย่างเห็นผล

                         จากประสบการณ์ ของตัวผมเองในช่วงหนึ่งที่ผมทำงานเป็นประธานชมรมแสงเทียนเพื่อชีวิต ที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ผมต้องอยู่ใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยเอดส์ จำนวนมาก ซึ่งในจำนวนผู้ป่วยเหล่านี้จะเป็นวัณโรคอยู่ จำนวนมาก ผมก็รับประทานกระเทียมทุกวัน เป็นการป้องกันวัณโรคไว้ก่อน ซึ่งก็ได้ผลดีมาก แต่ทุกสิ่งทุกอย่างก็ย่อมมีทั้งข้อดีและข้อเสียการกินกระเทียนร่วมกับยาต้านไวรัสบางตัวพร้อมๆกันไม่ได้ เพราะจะทำให้ยาต้านไวรัสได้ผลน้อยลง

                         ถ้าคุณประสบปัญหาเหล่านี้เป็นประจำ

                         -ระดับโคเลสเตอรอนในเลือดสูง

                         -ตกขาว

                         -อ่อนเพลีย เวียนศีรษะบ่อยๆ

                         -ระดับน้ำตาลในเลือดสูง

                         -เป็นหวัดบ่อยๆ

                         -ภูมิแพ้

                         กระเทียมอาจทำให้คุณลืมปัญหาเหล่านี้ได้แต่ในทางกลับกัน สมุนไพรย่อมมีทั้งคุณและโทษ เหมือนทุกสิ่งทุกอย่างในโลก

ย่อมมีทั้งผลดีและผลเสีย ดังนั้นก่อนใช้กระเทียมอย่างจริงจัง คุณควรศึกษาก่อนว่า กรณีห้ามใช้มีดังนี้

                        - ไม่ควรใช้กระเทียมในขณะใช้ยาต้านการรวมตัวของเลือด(Anticoagulants)

                        -ไม่ควรใช้ก่อนรับการผ่าตัด อาจทำให้เลือดออกมากว่าปกติ

                        -ไม่ควรใช้หากใช้ยาป้องกันการขาดน้ำตาลในเลือด(Hyproglycemic drugs)

เราลองมารวมประโยชน์ของกระเทียมดูกันอีกครั้งแล้วกันนะครับ

                          1.กระเทียมช่วยรักษาระดับโคเลสเตอรอลในเลือดให้เป็นปกติ

                          2.ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย เชื้อรา และ ไวรัส

                          3.ช่วยทำให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกายได้ดีขึ้น และป้องกันไม่ให้เลือดเกาะตัวเป็นก้อน อุดตันหลอดเลือด เหมาะกับผู้สูบบุหรี่ หรือดื่มสุราจัด คนอ้วน หรือผู้ที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย

                          4.ช่วยขจัดสารพิษต่างๆ ออกจากร่างการ โดยขับออกทางอุจจาระ

                          5.กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ป้องกันและรักษาโรคที่เกี่ยวข้องกับทางเดินหายใจ เช่นโรค หวัด เยื่อจมูกอักเสบ น้ำมูกไหล ภูมิแพ้

                          6.เป็นยาขับลมช่วยบรรเทาอาการเสียดท้อง(Colic) ท้องอืด (Flatulance)

                          7.ลดและควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ส่งเสริมการทำงานของตับอ่อน ในการสร้างฮอร์โมนอินซูลิน (Insulin) และกลูคากอน (Glucagon)

                          8.ลดอันตรายจากอนุมูลอิสระ (Free Radicals) ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เกิดการเสื่อมของเซลล์ ป้องกันโรคหัวใจและมะเร็ง

เมื่อคุณได้รู้ทั้งคุณและโทษของกระเทียมแล้วลองพิจารณาดูนะครับว่ากระเทียมมีคุณสมบัติตรงกับตัวคุณในข้อไหนบ้างครับ


                              

ขมิ้นชัน กับการดูแลรักษาตัวเอง


                        ชื่อวิทยาศาสตร์ Curcuma longa L.

                        ชื่อวงศ์ ZINGIBERACEAE ชื่อพ้อง Curcuma domestica

                        ชื่ออื่น ๆ ขมิ้น, ขมิ้นแกง, ขมิ้นชัน, ขมิ้นหยอก, ขมิ้นหัว, ขี้มิ้น, ตายอ, หมิ้น Tumeric, Curcuma, Yellow Root

ส่วนที่ใช้ คือ เหง้า และการปลูก

                        ควรปลูกในช่วงต้นฤดูฝนประมาณเดือนพฤษภาคมเป็นต้นไป ขมิ้นชันชอบอากาศร้อนชื้น ชอบดินร่วนซุยที่ระบายน้ำได้ดี ใช้เหง้าแก่ที่อายุ 7-9 เดือน ตัดเป็นท่อน ให้มีตาท่อนละ 2-5 ตา ปลูกลงแปลงในหลุมขนาด 15 X 15 X 15 เซนติเมตร การปลูก การเก็บเกี่ยวและการปฏิบัติหลังการเก็บเกี่ยว ควรเก็บขมิ้นในช่วงที่พืชเจริญเติบโตเต็มที่ช่วงอายุ 9-11 เดือน ประมาณเดือน ธันวาคม-กุมภาพันธ์ เพราะเหง้ามีความสมบูรณ์เต็มที่ มีความแกร่ง สามารถเก็บ รักษาเหง้าสดไว้ในสภาพปกติได้นาน ห้ามเก็บเกี่ยวในระยะที่ขมิ้นชันเริ่มแตกหน่อ เพราะทำให้มีสารเคอร์คูมินต่ำ คัดแยกและแง่งอออกจากกัน ตัดรากและส่วนต่าง ๆ ที่ไม่ต้องการทิ้ง อาจใช้แปรง ช่วยขัดผิด คัดเลือกส่วนที่สมบูรณ์ปราศจากโรคและแมลง นำมาล้างด้วยน้ำ สะอาดหลาย ๆ ครั้ง จากนั้นคัดแยกส่วนที่จะเก็บรักษาไว้ทำพันธุ์ต่อไป และส่วนของผลผลิตที่จะนำไปทำแห้ง

สารสำคัญ

                        เหง้าขมิ้นชันประกอบด้วยสารสำคัญประเภทเคอร์คูมินอยด์เป็นสารสีเหลือง ประกอบด้วยเคอร์คูมิน, เดสเมทอกซีเคอร์คูมิน และบิสเดส เมทอกซีเคอร์คูมิน และ น้ำมันหอมระเหย มีสีเหลืองอ่อน มีสารสำคัญคือ เทอร์เมอโรน และซิงจีเบอรีน

                         นอกจากนี้ ยังมีสารกลุ่มเซสควิเทอร์ปีน และโมโนเทอร์ปีน อื่น ๆ อีกหลายชนิด

ผลการศึกษาฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา

                         การศึกษาในสัตว์ทดลองหรือในหลอดทดลองพบว่า สารสกัดหรือสารสำคัญของขมิ้นชันมีฤทธิ์ทางยาที่สำคัญพอสรุปได้ดังนี้

                         1. ฤทธิ์ขับน้ำดี กระตุ้นการขับน้ำดีทำให้การย่อยอาหารดีขึ้นช่วยบรรเทาอาการจุกเสียด

                         2. ฤทธิ์ลดการบีบตัวของลำไส้

                         3. ฤทธิ์ต้านการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร

                         4. ฤทธิ์ลดการอักเสบ

                         5. ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและ antioxidant activity ของสารกลุ่มเคอร์คูมินนอยด์

                         6. ฤทธิ์ต้านการก่อกลายพันธุ์และต้านการเกิดมะเร็งจากการได้รับสารก่อมะเร็งที่กระตุ้นให้เกิดมะเร็งในอวัยวะต่าง ๆ

                         7. ฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย

                         8. ฤทธิ์ต้านเชื้อราที่เป็นสาเหตุของโรคกลากขมิ้นชัน เป็นสมุนไพรที่ใครๆ ก็รู้จัก เพราะมักจะพบในชีวิตประจำวัน โดยนิยมใช้

ปรุงแต่งกลิ่นและรสในอาหารหลายชนิด โดยเฉพาะอาหารทางภาคใต้ เช่น แกงเหลือง แกงไตปลา แกงกะหรี่ ไก่ทอดขมิ้น เป็นต้น นับเป็นความฉลาดของคนใต้ ที่หาวิธีกินขมิ้นในชีวิตประจำวัน เพราะขมิ้นนั้นปัจจุบัน มีงานศึกษาวิจัยพบว่ามีคุณค่าต่อสุขภาพยิ่งนัก และยังพบว่าขมิ้นชันโดยเฉพาะในภาคใต้ดีที่สุดในโลก เพราะมีสารสำคัญคือเคอร์คิวมิน และน้ำมันขมิ้นสูงกว่าประเทศอื่นๆ ที่มีการปลูกขมิ้นทั้งหมด คนสมัยก่อนมีการใช้ประโยชน์จากขมิ้นในหลายๆ ด้าน ทั้งเป็นยาภายนอกและยาภายใน ในส่วนของยาภายนอกเชื่อว่าขมิ้นชัน ช่วยรักษาแผล ทำให้แผลไม่เป็นหนอง ช่วยสมานแผล ดังนั้น เวลาที่ก่อนจะบวชเป็นพระนาคต้องปลงผมก่อนอุปสมบท หลังจากโกนผมแล้วเขาจะทาหนังศรีษะด้วยขมิ้น เพื่อรักษาบาดแผลที่เกิดจากใบมีดโกน

                          ขมิ้นยังมีสรรพคุณ ในการรักษาพิษแมลงสัตว์กัดต่อย ในสมัยที่ยังเล็กๆ ตอนยุงกัดเป็นตุ่มแดง คุณยายมักจะใช้ปูนกินกับหมากแต้ม เพราะต้องการฤทธิ์แก้พิษของขมิ้น ที่ผสมอยู่ในปูนที่กินกับหมาก และฤทธิ์ของปูนที่ช่วยให้ขมิ้นติดผิวได้ดีขึ้น (ปูนกินกับหมากของคนโบราณ ได้จากการเผาเปลือกหอยจนร้อนจัด สามารถบดเป็นฝุ่นละเอียดสีขาว แล้วเอาไปผสมกับขมิ้นจะให้สีส้ม หรือเรียกเป็นสีเฉพาะว่า สีปูน)

                          นอกจากนี้ยังนิยมใช้ขมิ้นเป็นเครื่องสำอาง คนในแถบตอนใต้ของเอเชีย และแถบตะวันออกไกล ใช้ขมิ้นทาผิวหน้าทำให้ผิวหน้านุ่มนวล คนมาเลเซียและคนไทยสมัยก่อนจะใช้ขมิ้นในการอาบน้ำ ทำให้ผิวผ่องยิ่งขึ้น วิธีการอาบน้ำด้วยขมิ้นนั้น จะทาขมิ้นหมักไว้ที่ผิวหนังสักพัก แล้วจึงขัดออกด้วยส้มมะขามเปียก นอกจากทำให้ผิวหนังนุ่มนวลแล้ว ขมิ้นยังมีสรรพคุณในการป้องกันการงอกของขน ผู้หญิงอินเดียจึงใช้ขมิ้นทาผิวหนัง เพื่อป้องกันไม่ให้ขนงอก คนพม่าเชื่อว่าถ้าใช้ขมิ้น ผสมสมุนไพร ที่ชื่อทาคาน่า ทาผิวเด็กสาวตั้งแต่ยังเล็กๆ จะทำให้เนื้อผิวละเอียด  จนมีคำกล่าวในบรรดาชายไทยว่าสาวจะสวยต้อง "ผิวพม่า นัยน์ตาแขก"  

                           ส่วนในการใช้เป็นยารับประทาน เชื่อว่าขมิ้นชันมีสรรพคุณในการกำจัดสารพิษออกจากร่างกาย มีสรรพคุณในการช่วยบรรเทาอาการท้องอืด ช่วยย่อยอาหาร มีสรรพคุณในการบำรุงร่างกายและช่วยบำรุงตับ รักษาระบบทางเดินหายใจที่ผิด ปกติ หืด ไอ เวียนศรีษะ รักษาอาการปวดและอักเสบเนื่องจากไขข้ออักเสบ เป็นต้น ปัจจุบันมีการศึกษาเพื่อพิสูจน์สรรพคุณของขมิ้น ตามการใช้แบบโบราณ ก็พบว่ามีสรรพคุณมากมายตามที่เคยใช้กันมา เช่น ขมิ้นชันมีสรรพคุณทำให้แผลหายเร็วขึ้น มีฤทธิ์ลดการอักเสบ ลดปฏิกิริยาภูมิแพ้ เพิ่มภูมิคุ้นกันให้แก่ร่างกาย มีฤทธิ์ ฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดหนอง มีฤทธิ์ขับน้ำดีช่วยในการย่อยและป้องกันไม่ให้เป็นนิ่วในถุงน้ำดี มีฤทธิ์ขับลม และมีการศึกษาการใช้ขมิ้นชันรักษาโรคกระเพาะ

                        ในประเทศไทย (โรงพยาบาลศิริราช) พบว่า ได้ผลดีพอควรมีการค้นพบสรรพคุณใหม่ๆ ของขมิ้นชันอีกมากมาย เช่น การป้องกันการแข็งตัวของหลอดเลือด การชลอความแก่ การเป็นสารต้านมะเร็งและเนื้องอกต่างๆ พบว่า การกินอาหารผสมขมิ้นสามารถทำลายเชื้อไวรัสที่ผ่านมาทางอาหารได้ รวมทั้งสามารถป้องกันมะเร็งจากสารก่อมะเร็งต่างๆ และยังมีสรรพคุณในการต้านไวรัส โดยเฉพาะเชื้อ HIV อันเป็นต้นเหตุของโรคเอดส์ ขมิ้นชันจึงเป็นอีกความหวังหนึ่งของผู้ป่วยเอดส์

                         ขมิ้นชันยังมีคุณสมบัติ ในการกระตุ้นภูมิคุ้มกันและลดปฏิกิริยาการแพ้ คนที่เป็นโรคภูมิแพ้และเป็นหวัดบ่อยๆ สมควรกินอาหารใต้ที่ใส่ขมิ้นทุกวันจะได้แข็งแรง ตอนนี้สงสารหมอโรคภูมิแพ้ เพราะคนเป็นกันมากเหลือเกินและเราต้องขาดดุลยารักษาโรคภูมิแพ้ ที่รักษาไม่หายสักที่ปีละมากมายมหาศาล หันมาลองกินขมิ้นชัน กันดีกว่านะครับ
                         หากจะหันกลับมากินขมิ้นชันกันนั้น ควรเลือกขมิ้นชันที่ได้คุณภาพ คือ ขมิ้นชัน ต้องมีอายุอย่างน้อย 9-12 เดือน จึงสามารถขุดเหง้ามาทำยาได้ และต้องไม่เก็บไว้นานเกินไป จนน้ำมันหอมระเหยหายหมด และต้องเก็บให้พ้นแสง เพราะแสงจะมีปฏิกิริยากับเคอร์คิวมิน อันเป็นสารสำคัญในขมิ้นชัน หากจะกินขมิ้นอย่างเป็นล่ำ เป็นสันก็ควรปลูกเอง ดูเอง ขุดมาใช้เองดีที่สุด ถูกดี และควบคุมคุณภาพได้ คนที่ทำไม่ได้ก็จงเลือกแหล่งซื้อที่ไว้ใจได้ ปัจจุบันขมิ้นชันแคปซูล อยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติ และเป็นยาในงานสาธารณสุขมูลฐาน จึงสามารถที่จะเบิกค่ายาจากระบบประกันได้ และแคปซูลขมิ้นชั้นยังสามารถวางจำหน่ายได้ในร้านค้าทั่วไป หากแพทย์ไทย คนไทยช่วยกันใช้ผลิตภัณฑ์จากขมิ้นชัน สุขภาพ เศรษฐกิจ ของคนไทย ของประเทศไทยก็คงจะดีขึ้นอย่างแน่นอน




ผลงานวิจัยเกี่ยวกับมะรุมมาให้อ่านกันครับ   


                 "มะรุม" มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Moringa oleifera Lam. วงศ์ Moringaceae เป็นพืชกำเนิดแถบใต้เชิงเขาหิมาลัย เป็นไม้ยืนต้น ขนาดกลางที่ถูกปลูกไว้ในบริเวณบ้านไทยมาแต่โบราณ ต้นมะรุมพบได้ ทุกภาคในประเทศไทย

คุณค่าทางอาหารของมะรุม

                        มะรุมเป็นพืชมหัศจรรย์ มีคุณค่าทางโภชนาการสูงสุด กล่าวถึงในคัมภีร์ใบเบิ้ลว่า เป็นพืชที่รักษาทุกโรคใบมะรุมมี โปรตีนสูงกว่านมสด 2 เท่า การกินใบมะรุมตามชนบทของประเทศกำลังพัฒนาและประเทศโลกที่ 3 เป็นการเพิ่มโปรตีนคุณภาพสูงราคาถูกให้กับอาหารพื้นบ้าน นอกจากนี้ มะรุมมีธาตุอาหารปริมาณสูงเป็นพิเศษที่ช่วยป้องกันโรค นั่นคือ

                        วิตามินเอบำรุงสายตามีมากกว่าแครอต 3 เท่า

                        วิตามินซีช่วยป้องกันหวัด 7 เท่าของส้ม

                        แคลเซียมบำรุงกระดูกเกิน 3 เท่าของนมสด

                        โพแทสเซียมบำรุงสมองและระบบประสาท 3 เท่าของกล้วย

                        ใยอาหารและพลังงานไม่สูงมากเหมาะกับผู้ที่ควบคุมน้ำหนัก

จากอาหารมาเป็นผลิตภัณฑ์สุขภาพ

                        ปัจจุบันชาวญี่ปุ่นผลิตชาใบมะรุมออกจำหน่ายผลิตภัณฑ์ระบุว่าใช้แก้ไข ปัญหาโรคปากนกกระจอก หอบหืด อาการปวดหูและปวดศรีษะ ช่วยบำรุงสายตา ระบบทางเดินอาหาร และช่วยระบายกาก

                        ประเทศอินเดีย หญิงตั้งครรภ์จะกินใบมะรุมเพื่อเสริมธาตุเหล็ก ประเทศฟิลิปปินส์และบอสวานาหญิงที่เลี้ยงลูกด้วยนมจะกินแกงจืดใบมะรุม(ภาษาฟิลิปปินส์ เรียก “มาลังเก”) เพื่อประสะน้ำนมและเพิ่มแคลเซียมให้กับน้ำนมแม่เหมือนกับคนไทย

กล่าวกันว่ามะรุมมีฤทธิ์ชะลอความแก่

                        เนื่องจากยังไม่พบรายงานการวิจัยเกี่ยวกับมะรุมในด้านนี้ คาดว่าเป็นการสรุปเนื่องจากมะรุมมีสารฟลาโวนอยด์สำคัญคือ รูทินและเควอเซทิน (rutin และ quercetin)สารลูทีนและกรดแคฟฟีโอลิลควินิก (lutein และ caffeoylquinic acids)ซึ่งต้านอนุมูลอิสระ ดูแลอวัยวะต่างๆ ได้แก่ จอประสาทตา ตับ และหลอดเลือดจากการเสื่อมสภาพตามอายุ การกินสารต้านอนุมูลอิสระชะลอการเสื่อมสภาพในเซลล์ร่างกาย ฆ่าจุลินทรีย์ สารเบนซิลไทโอไซยาเนตโคไซด์และเบนซิลกลูโคซิโนเลต ค้นพบในปี พ.ศ. 2507 จากมะรุมมีฤทธิ์ต้านจุลชีพ สนับสนุนการใช้น้ำคั้น จากมะรุมหยอดหูแก้ปวดหู ปัจจุบันหลังจากค้นพบแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรค กระเพาะอาหาร Helicobactor pylori กำลังมีการศึกษาสารจากมะรุม ในการต้านเชื้อดังกล่าว.......................

การป้องกันมะเร็ง

                        สารเบนซิลไทโอไซยาเนตไกลโคไซด์ชนิดหนึ่งและสารไนอาซิไมซินจากมะรุมสามารถต้านการเกิดมะเร็งที่ถูกกระตุ้นโดยสารฟอบอลเอสเทอร์ ในเซลล์ มะเร็งเม็ดเลือดขาวได้ การทดลองในหนูพบว่าหนูที่ได้รับฝักมะรุมเป็น อาการเกิดโรคมะเร็งผิวหนังจากการกระตุ้นน้อยกว่ากลุ่มทดลอง โดยกลุ่มที่กินมะรุมเนื้องอกบนผิวหนังน้อยกว่ากลุ่มควบคุม

ฤทธิ์ลดไขมันและคอเลสเทอรอล

                        จากการทดลอง 120 วัน ให้กระต่ายกินฝักมะรุม วันละ 200 กรัมต่อกิโลกรัม น้ำหนักตัวต่อวันเทียบกับยาโลวาสแตทิน 6 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัวต่อวันและให้อาหารไขมันมาก

ใบมะรุม 100 กรัม(คุณค่าทางโภชนาการของอาหารอินเดีย พ.ศ. 2537)

                        พลังงาน 26 แคลอรี

                        โปรตีน 6.7 กรัม (2 เท่าของนม)

                        ไขมัน 0.1 กรัม

                        ใยอาหาร 4.8 กรัม

                        คาร์โบไฮเดรต 3.7 กรัม

                        วิตามินเอ 6,780 ไมโครกรัม (3 เท่าของแครอต)

                        วิตามินซี 220 มิลลิกรัม (7 เท่าของส้ม)

                        แคโรทีน 110 ไมโครกรัม

                        แคลเซียม 440 มิลลิกรัม (เกิน 3 เท่าของนม)

                        ฟอสฟอรัส 110 มิลลิกรัม

                        เหล็ก 0.18 มิลลิกรัม

                        แมกนีเซียม 28 มิลลิกรัม

                        โพแทสเซียม 259 มิลลิกรัม (3 เท่าของกล้วย)

                         พบว่าทั้งกลุ่มที่กินมะรุมและยามีคอเลสเทอรอลฟอสโฟไลพิดไตรกลีเซอไรด์ ปริมาณคอเลสเทอรอลต่อฟอสโฟไลพิดและ atherogenic index ต่ำลงทั้ง 2 กลุ่มมีการสะสมไขมันในตับหัวใจ และท่อเลือดแดง (เอออร์ตา) กลุ่มควบคุมปัจจัยด้านการสะสมไขมันในอวัยวะเหล่านี้ไม่มีค่าลดลงแต่อย่างใด กลุ่มที่กินมะรุมพบการขับคอเลสเทอรอลในอุจจาระเพิ่มขึ้น ผู้วิจัยจึงสรุปว่าการกินมะรุมมีผลลดไขมันในร่างกาย ที่ประเทศอินเดียมี การใช้ใบมะรุมลดไขมันในคนที่มีโรคอ้วนมาแต่เดิม การศึกษาการกินสารสกัดใบมะรุมในหนูที่กินอาหารไขมันสูงมีปริมาณ คอเลสเทอรอลในเลือดลดลงอย่างมีนัยสำคัญเทียบกับกลุ่มควบคุม นอกจากนี้กลุ่มทดลองมีปริมาณไขมันในตับและไตลดลง

                         สรุปว่า การให้ใบมะรุมเพื่อลดปริมาณไขมันทางการแพทย์อินเดียสามารถวัดผลได้ในเชิงวิทยาศาสตร์จริง

ฤทธิ์ป้องกันตับ

                         งานวิจัยการให้สารสกัดแอลกอฮอล์ของใบมะรุมกรณีทำให้ตับ หนูทดลองเกิดความเสียหาย โดยยาไรแฟมไพซิน พบว่าสารสกัดใบมะรุมมีฤืธิ์ป้องกันตับ โดยมีผลกับระดับเอนไซม์แอสาเทตอะมิโนทรานสเฟอเรสอะลานีนทรานมิโนทรานสเฟอเรส อัลคาไลน์ฟอสฟาเทสและบิลิรูบินในเลือดและมีผลกับปริมาณไลพิดและไลพิดเพอร์ออกซิเดสในตับ โดยดูผลยืนยันจากการตรวจชิ้นเนื้อตับ สารสกัดใบมะรุมและซิลิมาริน (silymarin กลุ่มควบคุมบวก)มีผลช่วยการพักฟื้นของการถูกทำลายของตัวจากยาเหล่านี้ ชาวอินเดียยังได้ทำการทดลองและเชื่อว่ามีคุณสมบัติ ในการรักษาโรคต่างๆได้ถึง 300 ชนิด

                        กลุ่มองค์การกุศลมากมายได้หันมาให้ความสนใจอย่างจริงจังกับ พันธุ์ไม้ชนิดนี้ รวมทั้งประเทศไทยกลุ่มนักศึกษาแพทย์จำนวน25ท่าน

                        จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ ทำการทดลองวิจัยในการที่จะนำมารักษาผู้ป่วยด้วย โรคงูสวัด

                        กลุ่มประเทศอื่นๆเช่นอังกฤษ,เยอรมัน,รัสเซีย,ญี่ปุ่น,จีน,ก็หันมาให้ความสนใจ และทำการค้นคว้าอย่างเร่งด่วนโดยเฉพาะเพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยเป็นโรค มะเร็ง เบาหวาน โรคเอดส์ และอีกมากมาย

จากงานวิจัยจากต่างประเทศ
                         1. ใช้รักษาโรคขาดอาหารในเด็กแรกเกิด ถึง 10 ขวบ และลดสถิติการเสียชีวิตพิการ และตาบอด ได้เป็นอย่างดี

                         2.ใช้รักษาผู้ป่วยเป็นโรคเบาหวานให้อยู่ในภาวะควบคุมได้ ทำให้สามารถลดการใช้ยาลงโดยความเห็นชอบและการดูแลอย่างใกล้ชิดของแพทย์ผู้รักษาด้วย

                         3. รักษาโรคความดันโลหิตสูง

                         4.ช่วยเพิ่มและเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกายถ้าแม้ทานผลิตผลจากมะรุม ในระหว่างตั้งครรภ์เด็กที่เกิดมาจะไม่ติดเชื้อ HIV

นอกจากนี้ยังช่วยให้คนทั่วๆไป สามารถสร้างภูมิคุ้มกันให้กับตัวเอง ถ้ารับประทานอย่างน้อยอาทิตย์ละ 3 ครั้ง

                         5.ช่วยรักษาผู้ป่วยโรคเอดส์ให้อยู่ในภาวะควบคุมได้และสามารถมีชิวิตอยู่อย่างคนทั่วไปได้ในสังคมการรักษาโรคเอดส์ที่ประสพผลสำเร็จในกลุ่มประเทศอาฟริกา แม้แต่ในสหรัฐอเมริกาก็กำลังอยู่ในภาวะทดลอง

                         6.ถ้ารับประทานสม่ำเสมอจะช่วยป้องกันไม่ให้เป็นโรคมะเร็งแต่ถ้าหากเป็นก็จะช่วยให้การรักษาพยาบาลง่ายขึ้น ในบางกรณีสามารถหยุดการเจริญเติบโตของโรคร้ายได้ถ้าใช้ควบคู่ไปกับยา แพทย์แผนปัจจุบัน หากผู้ป่วยด้วยโรคมะเร็งได้รับการรักษาด้วยรังสี การดื่มน้ำมะรุมจะช่วยให้การแพ้รังสีฟื้นตัวเร็วขึ้นและมีร่างกายที่แข็งแรง

                         7. ช่วยรักษาโรคไขข้ออักเสบ โรคเก๊า โรคกระดูกอักเสบ โรคมะเร็งในกระดูก โรครูมาติซั่ม

                         8. รักษาโรคตาเกือบทุกชนิด เช่น โรคตามืดตามัวเพราะขาดสารอาหารที่จำเป็นโรคตาต้อ เป็นต้นถ้ารับประทานสม่ำเสมอ จะทำให้ตามีสุขภาพที่สมบูรณ์

                         9. รักษาโรคลำไส้อักเสบ โรคเกี่ยวกับท้อง โรคพยาธิในลำไส้ เป็นต้น

                        10. รักษาปอดให้แข็งแรง รักษาโรคทางเดินของลมหายใจ และโรคปอดอักเสบ

                        ในต่างประเทศมีการค้นคว้าและวิจัยอย่างกว้างขวางที่จะนำพืชชนิดนี้มาใช้รักษาความเจ็บป่วยของมนุษย์ เนื่องจากมะรุมเป็นพืชที่มีธาตุอาหารปริมาณสูงมาก  ใบ ช่วยแก้เลือดออกตามไรฟัน แก้อักเสบ ใบสดมีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อนๆ มีแคลเซียม วิตามินซี แร่ธาตุและสารต้านอนุมูลอิสระสูงมาก  นอกจากนี้ยังมีการค้นพบว่า ใบมะรุมมีโปรตีนสูงกว่านมสด 2 เท่า การกินใบมะรุมตามชนบทของประเทศกำลังพัฒนา และประเทศโลกที่ 3 เป็นการเพิ่มโปรตีนคุณภาพสูงราคาถูกให้กับอาหารพื้นบ้าน
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #3170 เมื่อ: 22 กันยายน 2554, 12:15:04 »

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง และแขกผู้มีเกียรติ ที่รักทุกท่าน

                      
                       อยู่ว่างๆ ไม่รู้จะกินอะไรดีวันนี้ ให้นึกถึง ใบมะรุม  ชาใบมะรุม  ขมิ้นชัน  กระเทียม  ใบมะยม โยเกิต + นมสด + น้ำผึ่ง + มะนาว ชามะละกอ และน้ำกระชาย ครับ

                       สำหรับผมนั้นยึดหลักทางสายกลาง กินมันหมดครับ แล้วแต่โอกาสอำนวย  อยากจะลองดูซิเป็นอย่างไรบ้าง

                       วันนี้ผมเดินทางไปนครศรีธรรมราชครับ ได้ให้ลูกน้องทำชาใบมะรุมเอาไว้ให้ และเอาใบมะรุมสด  ใบมะยมสด มารับประทานเป็นอาหารกลางวัน ส่วนเย็นๆ ดื่มน้ำกระชายครับ

                       วันที่ ๒๑ - ๒๙  กันยายน เป็นสารทเดือนสิบของนครศรีธรรมราชครับ ผมจะนำภาพมาให้ทุกท่านได้ชมครับ

                       สวัสดี


                       สวัสดีค่ะ คุณอ้อย ๑๗

      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #3171 เมื่อ: 22 กันยายน 2554, 20:11:27 »

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง และแขกผู้มีเกียรติ ที่รักทุกท่าน

                       ค่ำนี้ผมอยู่ที่โรงแรม ทีแรกตั้งใจว่าออกกำลังกาย ไปโลตัส ไปซื้อกระชาย(มาทำน้ำกระชาย) น้ำผึ้ง มะนาว  โยเกิต รับประทานอาหารเย็นที่โรงแรม เสร็จ ตั้งใจจะไปเดินเที่ยวที่วัดพระธาตุ เพื่อชมงานสารทเดือนสิบ พนักงานโรงแรมบอกว่าอย่าไปเลยกลางคืนอันตราย และคนแยะมาก รถติด  ผมเลยเห็นด้วย  พรุ่งนี้บ่ายๆ จะไปเดินชมและนำภาพมาให้ดูด้วยครับ

                       ดังนั้นค่ำนี้ลองมาฟังเสียงบ่นจาก "ตับ" เราบ้างครับ  พิจารณาดูด้วยปัญญา นะครับ

                        ราตรีสวัสดิ์ทุกท่านครับ



ตับ

...ดูแลฉันด้วย

ยา ทุกอย่างมาจาก สารเคมี

ตับเป็นแผลเป็นง่าย เมื่อเป็นแล้ว เป็นอย่างถาวรเสียด้วย

***... การกินยาเกินความจำเป็น เป็นนิสัย ไม่ ดี


หวัดดี...ฉันคือ ตับ ของคุณ ให้ฉันเล่าให้คุณฟังว่า ฉันรักคุณมากเท่าใด   9  ข้อ

                        1. ฉับสะสมธาตุเหล็กสำรองรวมทั้งวิตามิน และ แร่ธาตุ ต่างๆ ที่คุณต้องการ หากไม่มีฉัน คุณก็จะไม่มีเรี่ยวแรงที่อยู่ต่อไป

                        2.  ฉันผลิตน้ำย่อย สำหรับย่อยอาหารให้คุณ  หากไม่มีฉัน คุณก็สูญเสียอาหาร จนไม่มีอะไรเหลืออยู่
 
                        3.  ฉันทำหน้าที่ล้างพิษของพวกสารเคมีที่คุณมอบให้ฉัน ไม่ว่าจะเป็น แอลกอฮอล์ เบียร์ ไวน์ ยาต่างๆ(ที่มีและไม่มีใบสั่งของแพทย์) รวมทั้งบรรดาสิ่งผิดกฏหมายทั้งหลาย หากไม่มีฉันแล้ว นิสัยไม่ดีของคุณ ก็จะฆ่าคุณไปแล้ว

                        4.  ฉันเก็บพลังงานเหมือนแบตเตอรี่ โดยสะสมน้ำตาล(คาร์โบไฮเดรท , กลูโคส และ ไขมัน) ไว้ให้คุณเมื่อคุณต้องการมัน  หากไม่มีฉัน ระดับน้ำตาลในเลือดของคุณจะลดลงต่ำมาก จนทำให้คุณล้มพับไป

                        5. ฉันสร้างเลือดให้ระบบต่างๆ ของคุณ ก่อนที่คุณจะเกิดเสียอีก หากไม่มีฉันแล้ว  ก็คงจะไม่มีคุณอยู่ที่นี่

                        6.  ฉันผลิตโปรทีนใหม่ที่ร่างกายของคุณต้องการเพื่อการมี สุขภาพดีและเจริญเติบโต หากไม่มีฉันแล้ว  คุณก็จะไม่เจริญเติบโตอย่างที่ควร

                        7.  ฉันกลั่นกรองสารพิษจากอากาศ ไอเสียรถยนต์ และสารเคมี ที่คุณหายใจเข้าไป หากไม่มีฉันแล้ว  คุณก็จะเหมือนถูกวางยาพิษโดยมลภาวะเหล่านั้น
 
                        8.  ฉันผลิตสารทำให้เลือดแข็งตัว ถ้าคุณบังเอิญไปโดนอะไรบาด  หากไม่มีฉันแล้ว คุณจะต้องตายเพราะเลือดไหลไม่หยุด

                        9. ฉันคอยต่อสู้ ป้องกันไม่ให้เชื้อโรคต่างๆ โจมตีคุณ ไม่ว่าจะเชื้อหวัด หรือ ไข้หวัดใหญ่ อะไรก็ตาม ฉันจะน็อคมันให้ตายหมด หรือ ไม่ก็ทำให้มันอ่อนแรงลง หากไม่มีฉันแล้ว คุณก็เหมือนเป้านิ่ง รอให้สารพัดโรคโจมตี

 

ดูซิว่า ฉันรักคุณแค่ไหน....

แล้วคุณล่ะ รักฉันบ้างไหม ?

ขอให้ฉันบอกวิธีง่ายๆ ที่จะ รัก ฉัน , ตับ ของคุณ



                       อย่ากดฉันให้ต้องจมลงในน้ำเบียร์ แอลกอฮอล์ หรือ ไวน์ เลย สำหรับบางคนแล้ว เพียงแก้วเดียว ก็ทำให้ฉันเป็นแผลเป็นไปตลอดชีวิต
 
                        ระวังบรรดา " ยา " ทั้งหลาย ยาทุกอย่างมาจากสารเคมี และเมื่อคุณเอามันมนผสมกันเข้า โดยไม่มีคำแนะนำจากแพทย์ มันก็กลายเป็นยาพิษที่สามารถทำลายฉันได้อย่างดีทีเดียวละ ฉันเป็นแผลเป็นง่าย เมื่อเป็นแล้ว เป็นอย่างถาวรเสียด้วย บางครั้งยาก็เป็นสิ่งจำเป็น แต่ การกินยาเกินความจำ เป็น เป็นนิสัยไม่ดี บรรดาสารเคมีเหล่านั้น สามารถทำลายตับได้
 
                        จงระวังบรรดากระป๋องสเปรย์ทั้งหลาย จำไว้ว่า ฉันจะต้องล้างพิษทุกอย่างที่คุณหายใจเอาเข้าไปด้วย ดังนั้นเวลาคุณทำความสะอาดอะไรด้วยพวกสเปรย์  ต้องให้มีอากาศถ่ายเทได้สะดวก หรือสวมหน้ากากด้วย อันตรายเพิ่มเป็นสองเท่า สำหรับพวกสเปรย์ฆ่าแมลง ฆ่าเชื้อรา สี และสารเคมี  ระวังว่าคุณหายใจเอาอะไรเข้าไป ระวังว่าอะไรโดนผิวหนังคุณด้วย ยาฆ่าแมลงที่คุณฉีดต้นไม้ พุ่มไม้นั้น สามารถผ่านผิวหนังของคุณเข้ามาโจมตีฉันได้ด้วย ป้องกันผิวหนังของคุณโดยการสวมถุงมือ ใส่เสื้อแขนยาว หมวก หน้ากากทุกครั้ง ที่คุณฉีดยาฆ่าแมลง

คำเตือน

                        ฉันไม่สามารถ และ ไม่บอกคุณด้วยว่าฉันประสพกับปัญหา  จนกระทั่งเกือบจะถึงวาระสุดท้ายของทั้งฉันและคุณเสียแล้ว  จงจำไว้ว่า ฉันไม่ใช่ประเภทขี้บ่น  ให้ฉันทำงานหนักเกินไปโดยอัด ยา แอลกอฮล์ และ บรรดาอาหารขยะสามารถทำร้ายฉันได้!

                        นี่อาจเป็นการเตือนครั้งเดียวที่คุณจะได้รับ โปรดฟังคำแนะนำฟรี พาฉันไปให้คุณหมอตรวจ การตรวจเลือด สามารถบอกปัญหาบางอย่างได้ ถ้าฉันยังอ่อนนุ่ม และไม่เป็นตะปุ่มตะป่ำ แสดงว่าฉันยังดีอยู่  ถ้าคุณหมอสงสัย  การอัลตร้าเซาวนด์ หรือ ซีที แสกน ช่วยได้

                         อายุของฉัน กับอายุของคุณ ขึ้นอยู่กับว่า คุณดูแลฉันดีแค่ไหน

                         คราวนี้คุณรู้แล้วละซี ว่าฉันรักคุณแค่ไหน  ได้โปรดดูแลฉันหน่อยด้วยความรักและผูกพัน  จาก เพื่อนร่วมชีวิตผู้สงบเงียบ และคู่รักนิรันดร ของคุณ “ตับ”
      บันทึกการเข้า
Khun28
Full Member
**


ดูกายเห็นจิต ดูคิดเห็นธรรม
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: RCU2528
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์
กระทู้: 784

« ตอบ #3172 เมื่อ: 22 กันยายน 2554, 20:45:50 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 20 กันยายน 2554, 20:51:49
สวัสดีครับ ท่านขุน

                        ภาวนาอย่างไรดี ที่จะทำให้ ความคิดของอธิบดีกรมชลประทาน  รู้แจ้ง เห็นจริงเรื่องน้ำท้วม ไม่ใช่อยู่แต่กรุงเทพฯ คอยรายงานแต่ปริมาณน้ำในเขื่อนต่างๆ ไม่ขึ้นเครื่องบิน ถ้าบินดูจะรู้ทุกอย่าง และไม่ตอบคำถามหรือยืนยันว่าน้ำจะไม่ท้วมกรุงเทพฯ

                        สวัสดี

เรียนพี่สิงห์
         ผมมิอาจสอนหนังสือสังฆราชครับ   
แต่เมื่อเราทำอะไรไม่ได้ เกินความสามารถหรือหน้าที่ของเราแล้ว คงต้องอุเบกขาแล้วครับ
      บันทึกการเข้า
Kaimook
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 7,132

« ตอบ #3173 เมื่อ: 22 กันยายน 2554, 21:14:42 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 22 กันยายน 2554, 20:11:27
สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง และแขกผู้มีเกียรติ ที่รักทุกท่าน

                       ค่ำนี้ผมอยู่ที่โรงแรม ทีแรกตั้งใจว่าออกกำลังกาย ไปโลตัส ไปซื้อกระชาย(มาทำน้ำกระชาย) น้ำผึ้ง มะนาว  โยเกิต รับประทานอาหารเย็นที่โรงแรม เสร็จ ตั้งใจจะไปเดินเที่ยวที่วัดพระธาตุ เพื่อชมงานสารทเดือนสิบ พนักงานโรงแรมบอกว่าอย่าไปเลยกลางคืนอันตราย และคนแยะมาก รถติด  ผมเลยเห็นด้วย  พรุ่งนี้บ่ายๆ จะไปเดินชมและนำภาพมาให้ดูด้วยครับ

                       ดังนั้นค่ำนี้ลองมาฟังเสียงบ่นจาก "ตับ" เราบ้างครับ  พิจารณาดูด้วยปัญญา นะครับ

                        ราตรีสวัสดิ์ทุกท่านครับ



ตับ

...ดูแลฉันด้วย

ยา ทุกอย่างมาจาก สารเคมี

ตับเป็นแผลเป็นง่าย เมื่อเป็นแล้ว เป็นอย่างถาวรเสียด้วย

***... การกินยาเกินความจำเป็น เป็นนิสัย ไม่ ดี


หวัดดี...ฉันคือ ตับ ของคุณ ให้ฉันเล่าให้คุณฟังว่า ฉันรักคุณมากเท่าใด   9  ข้อ

                        1. ฉับสะสมธาตุเหล็กสำรองรวมทั้งวิตามิน และ แร่ธาตุ ต่างๆ ที่คุณต้องการ หากไม่มีฉัน คุณก็จะไม่มีเรี่ยวแรงที่อยู่ต่อไป

                        2.  ฉันผลิตน้ำย่อย สำหรับย่อยอาหารให้คุณ  หากไม่มีฉัน คุณก็สูญเสียอาหาร จนไม่มีอะไรเหลืออยู่
 
                        3.  ฉันทำหน้าที่ล้างพิษของพวกสารเคมีที่คุณมอบให้ฉัน ไม่ว่าจะเป็น แอลกอฮอล์ เบียร์ ไวน์ ยาต่างๆ(ที่มีและไม่มีใบสั่งของแพทย์) รวมทั้งบรรดาสิ่งผิดกฏหมายทั้งหลาย หากไม่มีฉันแล้ว นิสัยไม่ดีของคุณ ก็จะฆ่าคุณไปแล้ว

                        4.  ฉันเก็บพลังงานเหมือนแบตเตอรี่ โดยสะสมน้ำตาล(คาร์โบไฮเดรท , กลูโคส และ ไขมัน) ไว้ให้คุณเมื่อคุณต้องการมัน  หากไม่มีฉัน ระดับน้ำตาลในเลือดของคุณจะลดลงต่ำมาก จนทำให้คุณล้มพับไป

                        5. ฉันสร้างเลือดให้ระบบต่างๆ ของคุณ ก่อนที่คุณจะเกิดเสียอีก หากไม่มีฉันแล้ว  ก็คงจะไม่มีคุณอยู่ที่นี่

                        6.  ฉันผลิตโปรทีนใหม่ที่ร่างกายของคุณต้องการเพื่อการมี สุขภาพดีและเจริญเติบโต หากไม่มีฉันแล้ว  คุณก็จะไม่เจริญเติบโตอย่างที่ควร

                        7.  ฉันกลั่นกรองสารพิษจากอากาศ ไอเสียรถยนต์ และสารเคมี ที่คุณหายใจเข้าไป หากไม่มีฉันแล้ว  คุณก็จะเหมือนถูกวางยาพิษโดยมลภาวะเหล่านั้น
 
                        8.  ฉันผลิตสารทำให้เลือดแข็งตัว ถ้าคุณบังเอิญไปโดนอะไรบาด  หากไม่มีฉันแล้ว คุณจะต้องตายเพราะเลือดไหลไม่หยุด

                        9. ฉันคอยต่อสู้ ป้องกันไม่ให้เชื้อโรคต่างๆ โจมตีคุณ ไม่ว่าจะเชื้อหวัด หรือ ไข้หวัดใหญ่ อะไรก็ตาม ฉันจะน็อคมันให้ตายหมด หรือ ไม่ก็ทำให้มันอ่อนแรงลง หากไม่มีฉันแล้ว คุณก็เหมือนเป้านิ่ง รอให้สารพัดโรคโจมตี

 

ดูซิว่า ฉันรักคุณแค่ไหน....

แล้วคุณล่ะ รักฉันบ้างไหม ?

ขอให้ฉันบอกวิธีง่ายๆ ที่จะ รัก ฉัน , ตับ ของคุณ



                      อย่ากดฉันให้ต้องจมลงในน้ำเบียร์ แอลกอฮอล์ หรือ ไวน์ เลย สำหรับบางคนแล้ว เพียงแก้วเดียว ก็ทำให้ฉันเป็นแผลเป็นไปตลอดชีวิต
 
                        ระวังบรรดา " ยา " ทั้งหลาย ยาทุกอย่างมาจากสารเคมี และเมื่อคุณเอามันมนผสมกันเข้า โดยไม่มีคำแนะนำจากแพทย์ มันก็กลายเป็นยาพิษที่สามารถทำลายฉันได้อย่างดีทีเดียวละ ฉันเป็นแผลเป็นง่าย เมื่อเป็นแล้ว เป็นอย่างถาวรเสียด้วย บางครั้งยาก็เป็นสิ่งจำเป็น แต่ การกินยาเกินความจำ เป็น เป็นนิสัยไม่ดี บรรดาสารเคมีเหล่านั้น สามารถทำลายตับได้
 
                        จงระวังบรรดากระป๋องสเปรย์ทั้งหลาย จำไว้ว่า ฉันจะต้องล้างพิษทุกอย่างที่คุณหายใจเอาเข้าไปด้วย ดังนั้นเวลาคุณทำความสะอาดอะไรด้วยพวกสเปรย์  ต้องให้มีอากาศถ่ายเทได้สะดวก หรือสวมหน้ากากด้วย อันตรายเพิ่มเป็นสองเท่า สำหรับพวกสเปรย์ฆ่าแมลง ฆ่าเชื้อรา สี และสารเคมี  ระวังว่าคุณหายใจเอาอะไรเข้าไป ระวังว่าอะไรโดนผิวหนังคุณด้วย ยาฆ่าแมลงที่คุณฉีดต้นไม้ พุ่มไม้นั้น สามารถผ่านผิวหนังของคุณเข้ามาโจมตีฉันได้ด้วย ป้องกันผิวหนังของคุณโดยการสวมถุงมือ ใส่เสื้อแขนยาว หมวก หน้ากากทุกครั้ง ที่คุณฉีดยาฆ่าแมลง

คำเตือน

                        ฉันไม่สามารถ และ ไม่บอกคุณด้วยว่าฉันประสพกับปัญหา  จนกระทั่งเกือบจะถึงวาระสุดท้ายของทั้งฉันและคุณเสียแล้ว  จงจำไว้ว่า ฉันไม่ใช่ประเภทขี้บ่น  ให้ฉันทำงานหนักเกินไปโดยอัด ยา แอลกอฮล์ และ บรรดาอาหารขยะสามารถทำร้ายฉันได้!

                        นี่อาจเป็นการเตือนครั้งเดียวที่คุณจะได้รับ โปรดฟังคำแนะนำฟรี พาฉันไปให้คุณหมอตรวจ การตรวจเลือด สามารถบอกปัญหาบางอย่างได้ ถ้าฉันยังอ่อนนุ่ม และไม่เป็นตะปุ่มตะป่ำ แสดงว่าฉันยังดีอยู่  ถ้าคุณหมอสงสัย  การอัลตร้าเซาวนด์ หรือ ซีที แสกน ช่วยได้

                         อายุของฉัน กับอายุของคุณ ขึ้นอยู่กับว่า คุณดูแลฉันดีแค่ไหน

                         คราวนี้คุณรู้แล้วละซี ว่าฉันรักคุณแค่ไหน  ได้โปรดดูแลฉันหน่อยด้วยความรักและผูกพัน  จาก เพื่อนร่วมชีวิตผู้สงบเงียบ และคู่รักนิรันดร ของคุณ “ตับ”

ขอบคุณค่ะพี่สิงห์
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #3174 เมื่อ: 23 กันยายน 2554, 05:28:36 »

อ้างถึง
ข้อความของ Khun28 เมื่อ 22 กันยายน 2554, 20:45:50
อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 20 กันยายน 2554, 20:51:49
สวัสดีครับ ท่านขุน

                        ภาวนาอย่างไรดี ที่จะทำให้ ความคิดของอธิบดีกรมชลประทาน  รู้แจ้ง เห็นจริงเรื่องน้ำท้วม ไม่ใช่อยู่แต่กรุงเทพฯ คอยรายงานแต่ปริมาณน้ำในเขื่อนต่างๆ ไม่ขึ้นเครื่องบิน ถ้าบินดูจะรู้ทุกอย่าง และไม่ตอบคำถามหรือยืนยันว่าน้ำจะไม่ท้วมกรุงเทพฯ

                        สวัสดี

เรียนพี่สิงห์
         ผมมิอาจสอนหนังสือสังฆราชครับ   
แต่เมื่อเราทำอะไรไม่ได้ เกินความสามารถหรือหน้าที่ของเราแล้ว คงต้องอุเบกขาแล้วครับ


สวัสดีครับ ท่านขุน

                    พี่สิงห์เแพ้พญามารทุกครั้ง ที่ตื่นมายามอมฤติกาล เพื่อปฏิบัติธรรม คือไม่ต่อเนื่องตลอดระยะเวลาสองชั่วโมง เช่นวันนี้  มีสิ่งหนึ่งที่ต้องนำมาพิจารณาในการเจริญสติ คือจิตของเราไม่สามารถ อยู่ในอารมณ์เดียวได้นานๆ หนทางที่จะทำได้คือ ต้องนำโพณงค์ ๗ มาใช้ คือ "ธัมวิจยะ" ครับ คือทบทวนอารมณ์  คำสอน ของพระพุทธเจ้ามาให้จิตมันคิดทบทวน  จะทำให้การปฏิบัติธรรมของเรานั้น กระทำได้ต่อเนื่อง  เกิดปีติ สติเป็นสมาธิ  สามารถปล่อยวาง หรือมีจิตเหนือมาร ต่างๆ (สิ่งที่จิตมันเคยได้รับเคยสะดวกสะบาย หรือคือสิ่งที่จิตมันไม่อยากให้กระทำ มันจะแสดงออกมาเป็นมารผจญจิตของเรา) ที่เกิดขึ้นได้

                      อุเบกขา ๆ ๆ ๆ แล้วก็ปล่อยวาง  อย่าหลงติดอยู่ในความคิดของตัวเอง

                       อรุณสวัสดิ์ครับ
      บันทึกการเข้า
  หน้า: 1 ... 125 126 [127] 128 129 ... 681   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

ทำไมหอพักนิสิตจุฬาจึงเป็นดินแดนมหัศจรรย์            " ไม่ได้เป็นแค่หอให้นอนพัก  แต่เป็นบ้านอบอุ่นรักให้อาศัย  ไม่เป็นแค่ที่ซุกหัวยามหลบภัย  แต่สร้างใจให้เข้มแข็งแกร่งการงาน"  <))))><