23 พฤศจิกายน 2567, 07:58:47
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 114 115 [116] 117 118 ... 681   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: คุย กับ คุณมานพ กลับดี อดีตประธานชมรม ๓ สมัย  (อ่าน 3553383 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 35 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2875 เมื่อ: 19 สิงหาคม 2554, 10:35:50 »

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน

                        ทุกข์จริงหนอที่นี่ Huh? คุณมานพ  กลับดี  จงปล่อยวางเสียเถอะ อย่าทำให้คนอื่นเดือดร้อน อย่ายุ่งอีกเลย  เมื่อคนอื่นเขาว่าเราทำไม่ถูกไม่ควร ผมยอมรับผิดครับ ขอยกเลิก  กราบขอโทษด้วย และยอมรับผิดได้ที่ทำโดยไม่ตั้งใจที่แสดงความคิดเห็นลงไปด้วย  เลยทำให้คนเดือดร้อน จนต้องลบออกเสียตามที่ต้องการ  ปล่อยให้เขาทำกันไป อย่าไปยุ่ง  สุขกว่า  หนีจากผู้คนมากหน้าหลายตาดีกว่า ขอลาทุกท่านจริงๆ ละครับคราวนี้  มายุ่งแบบนี้มีแต่ทุกข์ จริงๆ เอาชนะจิตตัวเองไม่ได้

                        สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2876 เมื่อ: 19 สิงหาคม 2554, 11:00:23 »

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่งที่รัก ทุกท่าน

                ผมเชื่อว่าคำสอนในการปฏิบัติธรรม เจริญสติแบบเคลื่อนไหวตามแนวทางหลวงพ่อเทียน  จิตฺตสูโภ  นั้น ทำให้ผู้ปฏิบัติตาม เช่น หลวงพ่อทอง  หลวงพ่อคำเขียน ท่านเขมานันทะ  และท่านอื่นๆ อีกมาก จิตใจของท่านเหล่านี้สามารถพัฒนาขึ้นไปจากสภาวะจิตสภาพเดิมได้

                ดังนั้นผมเชื่อว่าหลวงพ่อเทียน  จิตฺตสุโภ  สามารถที่จะเป็น "ธรรมกถึก" ได้ครับ

                สวัสดี


การปฎิบัติเจริญสติของหลวงพ่อเทียน   จิตฺตสุโภ

การนั่งสร้างจังหวะ

               การเจริญสติ เจริญสมาธิ เจริญปัญญา ต้องมี “วิธีการ” ที่จะนำตัวเราไปสู่ตัวสติ ตัวสมาธิ ตัวปัญญาได้การทำทุกสิ่งทุกอย่างต้องมีวิธีการ จึงจะเข้าถึงจุดหมายปลายทางได้ ดังนั้นการมาที่นี่ต้องพยายามไม่ต้องนั่งนิ่งๆ สอนกันแนะนำกัน ให้มีวิธีทำ โดยเคลื่อนไหวอยู่เสมอ ทำเป็นจังหวะ วิธีทำนั้น ก็ต้องนั่ง   แต่ไม่ต้องหลับตา อันนี้มีวิธีทำ นั่งพับเพียบก็ได้ นั่งขัดสมาธิก็ได้ นั่งเก้าอี้ก็ได้ นอนก็ได้ ยืนก็ได้ ทำความรู้สึกตัว...

เอามือวางไว้ที่ขาทั้งสองข้าง ............................................................คว่ำไว้
พลิกมือขวาตะแคงขึ้น ...................................................ทำช้าๆ.........ให้รู้สึก
ยกมือขวาขึ้นครึ่งตัว ...........................................ให้รู้สึก ........มันหยุดก็ให้รู้สึก
เอามือขวามาที่สะดือ........................................................................ให้รู้สึก
พลิกมือซ้ายตะแคงขึ้น...................................................................... ให้รู้สึก
ยกมือซ้ายขึ้นครึ่งตัว ....................................................................... ให้รู้สึก
เอามือซ้ายมาที่สะดือ....................................................................... ให้รู้สึก
เลื่อนมือขวาขึ้นหน้าอก..................................................................... ให้รู้สึก
เอามือขวาออกตรงข้าง..................................................................... ให้รู้สึก
ลดมือขวาลงที่ขาขวา ตะแคงไว้.......................................................... ให้รู้สึก
คว่ำมือขวาลงที่ขาขวา.......................................................................ให้รู้สึก
เลื่อนมือซ้ายมาที่หน้าอก.....................................................................ให้รู้สึก
เอามือซ้ายออกมาตรงข้าง...................................................................ให้รู้สึก
ลดมือซ้ายลงที่ขาซ้าย ตะแคงไว้...........................................................ให้รู้สึก
คว่ำมือซ้ายลงที่ขาซ้าย.......................................................................ให้รู้สึก
ทำต่อไปเรื่อยๆ.....................................................................ให้มีความรู้สึกตัว


ภาพสาธิตการเจริญสติแบบเคลื่อนไหว







มีสติกำหนดรู้ ดูกายเคลื่อนไหว ดูใจนึกคิด


การเดินจงกรม

                 เดินจงกรม ก็หมายถึง เปลี่ยนอิริยาบถนั่นเอง ให้เข้าใจว่า เดินจงกรมเพื่ออะไร? (เพื่อ) เปลี่ยนอิริยาบถ คือ นั่งนานมันเจ็บแข้งเจ็บขา บัดนี้ เดินหลาย(เดินมาก) มันก็เมื่อยหลังเมื่อยเอว นั่งด้านหนึ่ง เขาเรียกว่าเปลี่ยนอิริยาบถ เปลี่ยนให้เท่าๆกัน นั่งบ้าง นอนบ้าง ยืนบ้าง เดินบาง อิริยาบทั้ง ๔ ให้เท่ากันแบ่งเท่ากันหรือไม่เท่ากัน ก็ได้เพราะว่าเราไม่มีนาฬิกานี่ น้อย มาก อะไรก็พอดีพอควร เดินเหนื่อยแล้ว ก็ไปนั่งก็ได้ นั่งเหนื่อยแล้ว ลุกเดินก็ได้ เวลาเดินจงกรม ไม่ให้แกว่งแขน เอามือกอดหน้าอกไว้ หรือเอามือไขว้ไว้ข้างหลังก็ได้ เดินไปไดินมา ก้าวเท้าไปก้าวเท้ามาทำความรู้สึกตัว แต่ไม่ต้องพูดว่า “ซ้ายย่างหนอ ขวาย่างหนอ” ไม่ต้องพูด เพียงแต่เอาความรู้สึกเท่านั้น เดินจงกรม ก็อย่าไปเดินไวเกินไป อย่าเดินช้าเกินไป เดินให้พอดี เดินไปก็ให้รู้... นี่เป็นวิธีเดินจงกรม ไม่ใช่เดินจงกรม เดินทั้งวันไม่รู้สึกตัวเลย อันนั้นก็เต็มที่แล้ว เดินไปจนตาย มันเป็นอย่างนั้น ไม่ใช่เดินอย่างนั้น เดินก้าวไปก้าวมา “รู้” นี่ (เรียก)ว่าเดินจงกรม
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2877 เมื่อ: 19 สิงหาคม 2554, 13:40:04 »

การเจริญสติด้วยการรู้สึกตัวล้วน ๆ

คัดลอกมาจากหนังสือ ปรีชาญาณ ของ ผู้ไม่รู้หนังสือ

(หลวงพ่อเทียน  จิตฺตสุโภ)

เขียนโดย

เขมานันทะ

สิลปินแห่งชาติ


กิจต้องกระทำในเบื้องต้น   
              สาระสำคัญของการภาวนาแบบเคลื่อนไหวสร้างจังหวะก็คือ การปลุกเร้าความรู้สึกตัวที่ซ่อนเร้นอยู่ในเราทุกคน ความตื่นตัวนี้ บางทีกลายเป็นโทสะบ้าง  โลภะบ้าง  ราคะบ้าง  เราตื่นตัวมากๆ แต่ว่าเป็นการตื่นตัวอยู่กับกิเลส  วันนี้เราต้องการปลุกความรู้สึกตัวให้ตื่นเฉยๆ โดยไม่เกี่ยวกับกิเลส  ในตัวมนุษย์เรามีสิ่งหนึ่งคือธรรมชาติตื่นเรียกว่า “โพธิ” หรือ “พุทธ” ซ่อนอยู่ ถ้าเราเร้าถูกวิธี  มันก็จะตื่นขึ้น  ถ้าเราตื่นผิดวิธี  ก็อาจเสียสติหรือวิปลาสคลาดเคลื่อนไปเลย  ทั้งนี้เพราะขาดสติภาวนาอย่างมีรากฐานมาโดยลำดับ
              กรรมวิธีที่หลวงพ่อเทียน ค้นพบและสั่งสอนได้ปลุกผู้คนเป็นจำนวนมาก  ผมติดตามท่านมานานสิบห้าปีเศษ  พบความเปลี่ยนแปลงทั้งในตัวเองและเพื่อนฝูงที่ปฏิบัติ  วิธีการนี้ทำให้เราพึ่งตัวเองได้  ถ้าเราปฏิบัติถูกต้อง  ภายในช่วงสั้นสามวันนี้จะปรากฏผลไม่มากก็น้อย  แต่กระนั้นผมไม่อยากให้คาดหวังทุ่มเทถึงขนาดเครียด  การปฏิบัติธรรมนั้นต้องทำง่ายๆ และเป็นไปตามลำดับ  ผู้ที่มาใหม่ขอให้สร้างจังหวะพักหนึ่งก่อนให้แม่นยำ  นั่งตามสบาย  นั่งตามธรรมชาติของเรา  เพราะเป้าหมายของเรานั้นไม่ต้องการให้มันสงบ
              เราต้องการเร้าให้มันตื่น  เหมือนอย่างเราง่วง  พอรถชนกัน  เราตื่นสว่างไสว  ความตื่นตัวนี้เองเป็นรากฐานการศึกษาทั้งหมด  เด้กที่เรียนหนังสือไม่ดีเพราะเวลาฟังครูสอนมักง่วงซึม  ส่วนเด็กที่เรียนดีก็ไม่ใช่เก่งกาจอะไร  คือมันตื่นนั่นเอง  ฟังอะไรชัดเจนดี
              เอาละ  ผมจะแนะนำอะไรสั้นๆ แล้วค่อยอธิบายรายละเอียดอีกทีหนึ่ง  เอามือตั้งบนหัวเข่า  พลิกมือขวาตั้งบนสันมือ แล้วเอาความใส่ใจเข้าไปรู้มัน  แต่อย่าเพ่ง  ถ้าเพ่งแล้วจะแน่นหน้าอก  ถ้าเพ่งจ้องแล้วจะตาลายแน่นอน  ตามองข้างหน้าตามธรรมดา  ไม่จำเป็นต้องหลับตา  ถ้าหลับก็มีโอกาสที่จะง่วงมาก  ลืมตาไว้
              พลิกมือขวาตั้งสันขึ้น  รู้สึกในขณะที่พลิก  ยกมือขวาขึ้น  หยุดเคลื่อนมือมาปิดที่สะดือ  หยุด  พลิกมือซ้ายตั้งสัน  พลิกแล้วก็หยุดให้เป็นจังหวะ  พลิกแล้วหยุด  เคลื่อนแล้วหยุด  เคลื่นมือขวาขึ้นหยุด  เคลื่อนมือซ้ายตาม – หยุด เคลื่อน – หยุด (ดูภาพการเจริญสติแบบเคลื่อนไหว ในอิริยาบถนั่ง ตามแนวทางหลวงพ่อเทียน  จิตฺตสุโภ )  ตราบใดที่เราอยู่อย่างนี้  จิตของเราที่มันสังเกตสิ่งนี้อยู่  แม้จะคิดออกไปเท่าไร  อาการเคลื่อนนี้จะดักมันติด  คือเมื่อจิตคิดไป  ไม่ช้าไม่นานก็จะเคลียวกลับมาที่ตัวมันเอง
               ธรรมดาจิตของมนุษย์ย่อมจะคิดนึก  คิดเรื่องนั้นเรื่องนี้  เนื่องจากคลื่นสมองของเราถูกกำหนดเงื่อนไขให้คิดตลอดเวลา  เราคิดมาตั้งแต่เด็ก  ปัญหาและปัญญาของมนุษย์เราอยู่ที่ความคิด  เวลาทุกข์ขึ้นมาก็เพราะคิดนั่นแหละ  คิดขึ้นมาเดี๋ยวทุกข์เดี๋ยวสุข  เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย  ที่นี้พอเราเคลื่อนอย่างนี้  เพราะเราเคลื่อนเอง  ไม่ใช่คนอื่นมาเคลื่อนให้เรา  ไม่ช้ามันจะตกกลับมาเป็นอันเดียวกันกับกาย  ใหม่ๆ ทำช้าๆ ก่อน  ช้าๆ ให้เป็นจังหวะ  แต่อย่าให้มันพูดอยู่ข้างใน  เคลื่อนให้เป็นจังหวะ  พักเดียวจิตซึ่งเป็นตัวสังเกตการกระทำนี้ก็จะค่อยๆ เข้ามาพัวพัน  แล้วจะตกเข้าไปในตัวของมันเอง  สภาพตื่นรู้ตัวก็จะเข้มข้นขึ้นทีละน้อยๆ
               ด้วยวิธรการอันนี้  หลายคนได้ตื่นตัวขึ้นและก้าวหน้าไปด้วยดี ปัญหาหมักหมมซึ่งแก้ไม่ตก เช่น ความฟุ้งซ่าน  ความรุนแรงในอารมณ์  ถูกลดทอนและกำจัดไปได้ด้วยวิธีนี้  นี่เป็นขั้นตอนหนึ่งของผู้มราใหม่ (มาปฏิบัติธรรมใหม่) เคลื่อนอย่างนี้  ทำให้มาก  เคลื่อนไปแล้วจะรู้สึกเบาตัวแต่ก็ให้มันเป็นขึ้นมาเอง  อย่าไปจ้องว่าเมื่อไรจะเบาตัวขึ้น  เราทำไปโดยธรรมชาติ  เราจะรู้สึกตัวขึ้นมาทั้งตัว  ถ้าตื่นขึ้นเต็มที่จริงๆ  ความรู้สึกตัวก็จะกำจัดมายาภาพต่างๆ ที่เราคิดนึก  เหมือนกับการล้างชาม มันจะขจัดออกเกลี้ยงหมด  จะรู้สึกตัวเบาขึ้นๆ  ต่อให้คนมีน้ำหนักตัวมากก็จะรู้สึกเป็นอิสสระ  เป็นตัวของตัวเอง  ส่วนใหญ่เราไม่เป็นตัวของตัวเอง  เราเป็นของความคิด  ถูกความคิดบงการ  เรามักพัวพันอยู่กับความคิดเช่นนั้น
               การปฏิบัติธรรมด้วยวิธีอย่างนี้ไม่จำเป็นต้องเดี่ยวโดด  กระนั้นเราก็อย่าพูดกันให้มาก คำว่า เดี่ยวโดด ไม่ได้หมายถึงว่า เราโกรธคนโน้นมา  เรากลายเป็นคนปลีกเปลี่ยว  ไม่ใช่อย่างนั้น  คือเราเดี่ยวโดดเข้าไปในตัวเองให้มาก  ทำให้เหมือนเต่านาหรือเต่าทะเลที่หดทุกส่วนเข้าไปในกระดอง  กระดองเต่านั้นวิเศษที่สุด  ผมได้ยินคนแก่พูดว่า “ยากเหมือนเสือกินเต่า” คือถ้ามันหดเข้าไปในกระดองแล้วเสือก็ทำอะไรไม่ได้ พระพุทธเจ้าทรงแนะนำให้ปฏิบัติเช่นนี้ คือกลับเข้าไปในตัวเอง  ที่นี่ไม่มีความวิตก  ไม่มีความกังวล  ตอนที่เรากังวลคือตอนที่เราเข้าไปในความคิด  คิดวุ่นไปหมด  เหมือนนกติดข่าย  ดังนั้นให้เราหดกลับเข้าไปในตัวเราเอง  เมื่อปฏิบัติอย่างนี้มากเข้ามันจะกลับเข้าไปในตัวเอง  ผู้หญิงก็กลับเข้าไปในตัวเอง  ผู้ชายก็กลับเข้าไปในตัวเอง  แล้วค่อยๆ ค้นพบความโล่งโถงภายในหัวใจของเราเอง
                เมื่อเรารู้สึกตัวได้ดีขึ้น  เราจะพบว่า  เราเป็นชีวิตเดียวกัน  มีความรู้สึกดีกับคนอื่น  มีความปรานีและเอ็นดูคนอื่นเสมอ  ตลอดเวลาเราเป็นอย่างนี้อยู่แล้ว  แต่เราไม่เข้าใจ  เราพยายามวิ่งหนีตัวเอง  พยายามยึดถือไขว่คว้าหาสิ่งที่ต้องการ  ของเหล่านั้นเป็นสิ่งไม่เที่ยงแท้  เป็นของนอกกาย  ดังนั้นเราจึงต้องเรียนรู้ที่จะกลับไปรู้สึกตัว  นั่นคือความรู้สึกสดๆ ซึ่งเราไม่ได้คิดขึ้น  ลองแกว่งมือดู  ความรู้สึกสดๆ ปรากฏใช่ไหม  เวาลาเดินจงกรมหรือยกมือให้จับความรู้สึกนี้  ลองทำดู  พอเคลื่อนมือมันจะเสียวๆ  ให้รู้สึกตัวนี้  ทีแรกมันจะเสียวๆ เฉพาะส่วนที่เราเคลื่อน  แต่พอมาถึงจุดหนึ่งแล้วมันจะส่งคลื่นรู้สึกไปทั่วตัว
                เมื่อผมปฏิบัติอยู่  ผมไม่เข้าใจเรื่องนี้เลย  หลวงพ่อบอกว่า  ผมคิดเอาดังนั้นจึงไม่รู้  ผมปฏิบัติอยู่หลายปีมาก  เพราะว่าเป็นคนติดคิด  ชอบเข้าไปในความคิด  ตอนที่ตื่นขึ้นมานี่แปลก  คล้ายๆมีคนมาลูบหลังแต่พอหันไปดูไม่เห็นใคร  คือรู้สึกตื่นวูบๆขึ้นมาทางนี้บ้างทางนั้นบ้าง พอผ่านไปช่วงหนึ่ง  ตั้งแต่ปลายเท้าจรดเส้นผม  เรารู้สึกได้หมด  เมื่อรู้สึกได้หมดเช่นนี้แล้ว  ชีวิตของผู้ภาวนามาถึงจุดนั้น  มันก็เหมือนกับเรดาร์ซึ่งมีประสิทธิภาพแล้ว  ดังนั้นพอความคิดไหวตัวภายในคิดวูบไปก็จะรู้สึกทันที  มันจะทันความคิดและยุติความไม่รู้ตัวโดยอัตโนมัติ
                เป้าหมายของการเจริญวิปัสสนาคือการทันความคิด  ตามปกติเราไม่ทัน  การที่เราโกรธ  เราโลภ  เราอะไรนั้น  มันต้องคิดก่อนจึงโลภ  คิดแล้วก็โกรธ  ถ้ายังไม่คิดก็ไม่โกรธ  แต่พอคิดวูบไปแล้วเราไม่ทันมันและเราก็เข้าไปในห่วงโซ่ของความคิด  การเข้าไปในความคิดนี้คล้ายกับปลาเข้าไซ  เข้าง่ายออกอยาก  พอติดเข้าไปในความคิดแล้วออกอยาก บางเรื่องเราไม่อยากคิด  แต่ก็คิด  คิดจนกระทั่งปวดหัว  บางทีต้องไปฆ่าตัวตายเพื่อให้พ้นมัน  พลังสร้างสรรค์และอันตรายจึงอยู่ที่ความคิด  มนุษย์เป็นจอมพลังอันนี้  ความคิดทำให้มนุษย์ก้าวหน้าสร้างสรรค์ศิลปวิทยาการต่างๆ  แต่พร้อมกันนั้นก้อาจย้อนมาทำลายมนุษย์ได้ด้วย  เหมือนมีดสองคม  คือใช้เป็นก็เป็นประโยชน์  ใช้ไม่เป็นกลับทำร้ายตัวเอง
                อุบายสำคัญในการเคลื่อนมือเป็นจังหวะนี้  เมื่อผมเรียนใหม่ๆ ผมรู้สึกดูแคลน  พอเห็นหลวงพ่อเทียน แนะนำให้ผมทำ  ผมไม่อยากทำ  ผมนึกไปล่วงหน้าว่าทำอะไรโง่ๆอย่างนี้  มันจะได้อะไรขึ้นมา  สู้มานั่งคิดเรื่องหลักธรรมโน้นนี้ไม่ได้
                มีข้อเท็จจริงอันหนึ่งคือ  คนติดคิดแล้วให้หยุดคิดนี่หยุดไม่ได้เพราะเหตุว่าวิธีนี้เป็นวิธีสกัดกั้นทวนกระแสความคิด  จึงรังเกียจที่จะทำ แต่ในที่สุดวันหนึ่ง  เมื่อลองปฏิบัติสักพักหนึ่ง  จิตใจก็เปลี่ยน  ทำพักเดียวรู้สึก  วันนี้มันมาอยู่เฉพาะหน้า  ก่อนหน้านั้นสติได้ลอยเข้าไปในความคิด  สติเลื่อนลอยไปตามอำนาจของความคิด  คิดถึงไหนก็เลยไปถึงนั่น
                เมื่อเคลื่อนมืออย่างนี้มากๆ (มากเพียงใดที่ต้องทำจึงรู้) ถ้าทำสองสามทีก็ยังไม่รู้สึกและเข้าใจไม่ได้  ต้องทำมากๆ ทำให้มาก ทำบ่อยๆ  จนกระทั่งสติเริ่มติดตั้งขึ้นในตัวเอง  คล้ายๆ เราสะสมน้ำทีละหยดๆ  ทีนี้พอเกิดน้ำเป็นกลุ่มเป็นก้อนมันก็มีพลัง  ทั้งหมดนี้จะรู้ได้โดยการปฏิบัติ  ถ้าโดยคำพูดนี้รู้ได้น้อยมาก เช่น  เมื่อผมพูดว่า “ความรู้สึกตัว”  เราก็ฟังออก  แต่จริงๆเรายังไม่รู้  แต่ถ้ารู้สึกตัวได้แล้วก็จะพบว่าคำพูดไม่มีความหมาย  คำพูดเป็นเพียงสื่อ  เหมือนกับแหหรืออวน  พอเราจับปลาได้  ไม่มีใครเขาแกงแหแกงอวน  เขาต้องแกงปลา  อวนก็ให้คนอื่นหรือแขวนข้างฝา  ดังนั้นอย่าสนใจคำพูดที่ผมพูด  แต่ให้สนใจสิ่งที่ผมบ่งถึง เช่น  ผมแนะนำให้เคลื่อนอย่างนี้  อย่าไปสนใจว่า ผมพูดภาษาถูกต้องตามศัพท์บาลี-สันสกฤตไหม  พูดเหมือนสำนักอื่นไหม  อย่าไปสนใจ  เรื่องนั้นถ้าไปสนใจเข้าก็จะไปอีกทางหนึ่ง  หรือว่านี่เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าไหม หรือไม่ใช่  อย่าคิดอย่างนั้น  หรือคิดว่าอันนี้เป็นของศาสนาหนึ่ง  เรานับถือศาสนาหนึ่ง  ผมไม่อยากให้คิดอย่างนั้น
                ผมอยากให้ทดลองความจริงที่ซ่อนเร้นอยู่ในตัว  อยู่ในเรานี่เอง และโอกาสที่มันแสดงออก  มันมักแสดงออกไปในรูปของกิเลส เช่น เมื่อเราโกรธสุดขีดนี่เราจะง่วงนอนไม่ได้เลย  นอนไม่หลับ  ตื่นทั้งคืน  แต่มันตื่นด้วยความโกรธ  ผู้หญิงผู้ชายที่เขาชอบพอกันนั่งคุยกันยันสว่าง  แต่มันตื่นด้วยอำนาจของราคะ  หรือเขาเอาเงินเอาทองมาให้ บางทีอาจนอนไม่หลับเลย  แต่ตื่นด้วยอำนาจของโลภะ  ที่จริงตัวตื่นนี้ซ่อนแฝงอยู่  สมมติว่ามันตื่นขึ้นโดยไม่มีกิเลส  ไม่มีราคะ  ไม่มีโทสะ  ไม่มีโมหะ  จุดนี้จะพาเราออกจากทุกข์
                ตอนผมภาวนาอยู่ (เจริญสติ) ผมไม่เข้าใจเรื่องนี้ถ่องแท้  ผมนอนไม่หลับตั้งสี่ห้าคืนติดๆกัน แต่ก็แจ่มใสดี  ผมได้ยินข่าวจากหมอคนหนึ่งเขียนจดหมายมาบอกว่า “ภาวนาอยู่ไม่ต้องนอน  แต่ว่าไม่ง่วง” พอตัวนี้ตื่นแล้วมันจะมีสมดุลใหม่ของมัน  ดังนั้นอย่ากลัวการนอนน้อย หมอบอกว่า ตั้งแปดชั่วโมง  อันนี้ไม่จริงเลย พระพุทธเจ้านอนคืนละสามชั่วโมง  ถ้าเรานอนหลับจริงๆ สามสี่ชั่วโมงก็พอ  แต่จริงตรงที่ว่าเพราะเคลียดจากการงาน  เราจึงเป็นอย่างนี้  ดังนั้นเราจึงต้องนอนถึงแปดชั่วโมงก็เพราะวิถีชีวิตร่วมสมัยนั่นเอง


ผู้ฟัง    :    เวลาเดินจงกรม  เราต้องกำหนดรู้ที่ใดที่หนึ่งโดยจำเพาะหรือเปล่า
ท่านเขมานันทะ  :   ไม่ต้อง  ปล่อยมันไปตามธรรมชาติ เพราะว่าชั่วประเดี๋ยวสติจะย้อนกลับเข้าที่ของมันเอง  การเดินจงกรมนี่แหละครับ  กอดอกหรือมือไขว้หลังอย่างใดอย่างหนึ่ง  แล้วเดินตามธรรมดาเหมือนยกมือ  ที่จริงยกมือก็เหมือนเดินจงกรมด้วยมือ  เวลาเคลื่อนมือเดินอย่างนี้ก็ได้  แต่ดูข้างนอกมันดูตลกเห็นครั้งแรกผมก็ขำ  แต่สาระนั้นไม่ได้อยู่ที่รูปแบบภายนอก มันอยู่ที่ภายใน  คือความรู้สึกสดๆ  เมื่อทำอย่างนี้มันจะย้อนกลับเข้าไปในตัวเอง  แทนที่จะคิดออกไปข้างนอกก็จะเริ่มเข้าไปในตัว
              เคล็ดสำคัญอยู่ที่ว่า  เราต้องการเดินเพื่อเห็นความคิด  ถ้าเราเดินไปเรื่อย  มันคิดหลายเรื่องเกินไป  เดินประมาณช่วงนี้แล้วเดินกลับ  เดินเร็วบ้างช้าบ้าง  ทีนี้ถามว่าเอาสติกำหนดที่ใด  สำนักต่างๆเขา “ย่างหนอ  เหยียบหนอ” อันนี้ก็ไปอีกทางหนึ่ง  ไปเพื่อความสงบ  แต่ว่าไม่เกิดปัญญา  สิบปีแรกในชีวิตศาสนา  ผมทำกรรมฐานมาก  แต่ก็ไม่เกิดปัญญา  ได้แต่สงบ  แค่สงบเท่านั้นเองไม่เกิดอะไรขึ้นเลย  แต่บัดนี้เราจะเดินเพื่อเร้าให้มันตื่น  เมื่อสติลอยออก  ดึงกลับมาที่ความรู้สึกสดๆ  เพราะเมื่อเราเดินไป  เสื้อผ้านี่จะถูไถกับร่างกายเรา  มันจะวูบๆ พอเราก้าวอย่างนี้  ให้จับความรู้สึกสดๆ บนฐานที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่

ผู้ฟัง   :      กิริยาที่ก้าวนั้นต้องทำตามแบบแผนหรือไม่
ท่านเขมานันทะ  :   อย่าไปคิดถึงแบบแผนกิริยาอาการที่ก้าว  ความรู้สึกสดๆอย่างนี้  ความรู้สึกนี้มันมีอยู่  ทุกคนมีอยู่แล้ว  ทีนี้เวลาเดินไปให้สังเกต  ผมใช้คำว่า “สังเกต” ไม่ได้หมายถึงกำหนด พอกำหนดแล้วจะมึนหัว  แน่นหน้าอก  ไปเพ่งเข้าเดี๋ยวก็ปวดหัว เพียงให้สังเกตแล้วก็เดินไป  ความรู้สึกตัวสดๆจะปรากฏขึ้นจากการก้าวในทุกก้าวโดยไม่ได้กำหนดนิมิตใด  แค่รู้ตัวล้วนๆ

ผู้ฟัง   :      เราเริ่มต้นจากการเคลื่อนไหวของกายก่อนใช่หรือไม่   
ท่านเขมานันทะ  :   ดีแล้วครับ  ก็ต้องดูร่างกาย  เราดูที่ตัวเองอารมณ์แรกเรามารู้จักรูปนาม  คือรูปและนามนี่มันกำลังกระทำอยู่  อย่างผมเคลื่อนมืออย่างนี้  ถ้ามันมีแต่นาม  ร่างกายไม่มี ก็เคลื่อนไม่ได้  ไม่มีนาม  รูปก็เคลื่อนไม่ได้  ทีนี้รูปกับนามกำลังทำงานร่วมกัน  คือเราเคลื่อนมือใช่ไหม  อารมณ์เบื้องต้นนี่เรากำลังศึกษาการทำงานร่วมกันระหว่างรูปกับนาม  ดังนั้นเราต้องเคลื่อนไหว  แล้วสังเกตการเคลื่อนไหว  คือให้ดูตัวเอง  การเห็นความจริงคือเห็นตัวเอง ไม่ใช่ไปเห็นเบอร์สลากกินแบ่ง  เห็นพระพุทธรูป  อย่างนั้นเป็นเรื่องนิมิตเทียม  ซึ่งอันตรายไม่น้อยเลย  ถ้าปฏิบัติวิธีนั้นต้องมีอาจารย์คุม  มีคนผิดปกติมากขึ้นเพราะไปเห็นอะไรเข้า  สมัยผมภาวนาวิธีนั้นอยู่  ผมเห็นพระพุทธเจ้า เห็นท่านนั่งอยู่เบื้องหน้าผม  แต่ดีที่ผมมีสติทัน  ไม่งั้นอาจเตลิดไปไหนต่อไหน  สิ่งเหล่านั้นเมื่อเกิดขึ้นแล้ว  ถ้าเรารู้เท่าไม่ทันก็อันตราย  ดังนั้นพยายามรู้สึกตัวให้มาก  เพราะตัวนี้จะเป็นหลักประกัน  เวลาเกิดนิมิตอะไรแปลกๆ  พอรู้สึกตัวก็จะหยุดทันที  แต่เชื่อเถอะ  วิธีที่ผมแนะนั้นไม่มีอันตรายอะไร  เป็นวิธีที่รู้สึกตัวอยู่  มันจะเพี้ยนไปไม่ได้  แม้เผลอไผลไปบ้างก็ชั่วขณะ   
      บันทึกการเข้า
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #2878 เมื่อ: 19 สิงหาคม 2554, 21:32:38 »

ขอบคุณมากครับพี่ สำหรับข้อมูลที่ให้น้อง ๆ
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
suriya2513
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,457

« ตอบ #2879 เมื่อ: 20 สิงหาคม 2554, 00:12:19 »

อ้างถึง
ข้อความของ patooman 64 เมื่อ 19 สิงหาคม 2554, 21:32:38
ขอบคุณมากครับพี่ สำหรับข้อมูลที่ให้น้อง ๆ
พี่ป๋องให้ไปมากมายกว่านี้ตั้งเยอะ ไม่เห็นขอบคุณซ๊ากกกกคำ
      บันทึกการเข้า

[โบราณคดี]จุดกำเนิดเริ่มต้นของ cmadong.com by : มานพ กลับดี  คลิ๊ก->
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2880 เมื่อ: 20 สิงหาคม 2554, 07:42:20 »

อ้างถึง
ข้อความของ patooman 64 เมื่อ 19 สิงหาคม 2554, 21:32:38
ขอบคุณมากครับพี่ สำหรับข้อมูลที่ให้น้อง ๆ

สวัสดีครับ ป๋าทู

                   ขอบคุณมากๆ ที่เข้ามาทักทาย  อย่าไปสนใจเสียงนกเสียงกา จากพี่ป่องเขาเลยครับ จริงพี่สิงห์ก็เอาหนังสือมาจาก ดร.สุริยา ที่เขาเอ็นดูส่งหนังสือของท่าน เขมานันทะ มาให้อ่าน  จะได้ตรวจสอบตัวเองจากผลของการปฏิบัติที่ผ่านมาว่าเรารู้อะไรบ้าง อย่างน้อยพี่สิงห์ก็ได้เห็นความคิด เห็นรูป-นาม เห็นความโกรธ คือเห็นสภาวะก่อนที่จิตมันจะคิด  ไม่ใช่รู้ความคิด มันเป็นอารมณ์ของการเห็น  ถ้าเราเห็นความคิดถาวรได้ทุกครั้งก่อนที่จะคิด เราก็จะมีสติสมบูรณ์ และมีช่องทางหลุดพ้นจากทุกข์ได้ครับ

                   สวัสดีครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2881 เมื่อ: 20 สิงหาคม 2554, 07:58:32 »

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน

                       เช้านี้อากาศที่นครศรีธรรมราช แจ่มใส เนื่องจากเมื่อคืนฝนตก เช้าเลยมีลมเย็นๆ สดชื่น ครับ

                       เมื่อเช้าผมตื่นตีสี่ครึ่ง แปรงฟัน ล้างหน้าเสร็จ ก็นั่งเจริญสติ สร้างความรู้สึกตัวอยู่ภายในห้องพัก เพื่อเตรียมรับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น จะได้มีสติมั่นคง หกโมงเช้าจึงลงไปที่ชั้นสามเพื่อเดินจงกรมต่ออีกสี่สิบห้านาที เวลาเดินจะมีความรู้สึกได้กับอากาศยามเช้า ลมเย็นๆ ที่พัดมากระทบกับเสื้อ เส้นผม แขน ขา ได้ตลอดเวลา หายใจลึกๆเอาอากาศที่สดชื่นเข้าไปในปอด รู้สึกปรอดโปร่งครับ เสร็จแล้วก็รำ TAI CHI  และโยคะท่านมัสการพระอาทิตย์สามรอบ จึงไปรับประทานอาหารเช้าเป็นน้ำเต้าหู่ ข้าวต้มกล้องหนึ่งถ้วยและผักสด แต่ก่อนรับประทานนั้น ได้รับประทานเสาวรสไปสามผล เพื่อสร้างความชุ่มชื่นให้กับร่างกายภายหลังออกกำลังกายเสร็จ

                       วันนี้ตั้งใจจะไปไหว้พระธาตู ครับ เพราะไม่ได้ไปไหวมาเป็นเวลานานมาก ครั้งสุดท้ายน่าจะไปกับอาจารย์พินิจ หรือ ทอดกฐินของคุณอ๋า ครับ จำไม่ได้แล้วเพราะมันนาน เป็นอดีตไปหมดแล้ว

                       หลังจากได้อ่านหนังสือที่ ดร.สุริยา  นำมาให้ "ปรีชาญาณ ของ ผู้ไม่รู้หนังสือ" (หลวงพ่อเทียนที่ข้าพเจ้ารู้จัก) โดยท่าน เขมานันทะ ศิลปินแห่งชาติ ลุกศิษย์หลวงพ่อเทียนที่ใกล้ชิดที่สุดท่านหนึ่ง ทำให้ผมมีมานะเพิ่มขึ้นในการปฏิบัติธรรม ตอนนี้ก็เพิ่มความถี่มากยิ่งขึ้น จะขยับเวลามาเริ่มต้นที่ตีสี่ของทุกวัน ซึ่งปกติก็ตื่นอยู่แล้ว ไม่รู้จะนอนต่อไปทำไม ขอลุกมาเจริญสติ เลยดีกว่า เงียบ อากาศดี เหมาะสมมากครับ

                        บทไหนที่มีสาระ จริงๆ ดีทุกบท แต่เป็นภาระในการพิมพ์ใหม่ครับ คงทะยอยลงให้อ่านไปเรื่อยๆ ครับ ไม่ต้องรีบร้อน  วันนี้ผมกลับกรุงเทพฯ boarding 15:55 น. ครับ

                        สวัสดีครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2882 เมื่อ: 20 สิงหาคม 2554, 09:32:01 »

การเจริญสติด้วยการรู้สึกตัวล้วน ๆ

คัดลอกมาจากหนังสือ ปรีชาญาณ ของ ผู้ไม่รู้หนังสือ

(หลวงพ่อเทียน  จิตฺตสุโภ)

เขียนโดย

เขมานันทะ

สิลปินแห่งชาติ


ความสง่างามแห่งพระพุทธในตนเอง

            ในอินเดียครั้งโบราณกาล  ผู้แสวงหาความจริงที่เรามักรู้จักในนามของโยคี  ฤๅษี  หรือนักพรต  รูปใดรูปหนึ่ง  ถือกันว่าสี่นาฬิกาของตอนเช้าตรู่เป็นอมฤตกาล  คือเวลาที่ผู้แสวงหาความจริงต้องตื่นนอนเพื่อฝึกปรือตัวเอง  ไม่สลบซบเซา  ในการแสวงหาความจริงของเรา  รากฐานอันหนึ่งที่สำคัญมากคือการตื่นตัว  ด้วยอำนาจของการตื่นตัวนับตั้งแต่ท่าที่เรานั่ง  กระดูกสันหลังทุกข้อจรดกันสนิท  เราจะมีความตื่นตัว และ ในความตื่นตัวนี้เราจะเข้าถึงความสงัดของชีวิตอันเป็นที่สิ้นสุดการแสวงหา  นั่นหมายถึงที่สุดแห่งทุกข์ในตัวเรา ความสงัดนี้เราสร้างขึ้นไม่ได้  เช่นเดียวกับมนุษย์  เราไม่สามารถสร้างความเงียบหรือช่องว่างขึ้นได้  ความเงียบอยู่ในตัวเรา  เราจะพบว่าในความซบเซานั้น  เราจะค้นไม่พบความดีงามอะไรเลย
             ในการเจริญสติภาวนา  เราตั้งกายตั้งใจให้ตรงกับความตื่นตัวนี่ให้มาก  ขับไล่ความง่วงซึมออกไป  เมื่อตื่นตัวได้ดีก็จะค่อยๆค้นพบอะไรที่ซ่อนอยู่ในตัวเอง เช่น ความดี  ความงาม  ทุกคนที่ฝึกเจริญสติอยู่บ่อยๆนั้น  จะค้นพบสุนทรียภาพจากเนื้อในใจของตัวเอง  การได้ดูต้นไม้  ดูน้ำ  หรือดูอะไรก็ตาม  รู้สึกทุกสิ่งทุกอย่างสนิทสนมแนบแน่นกับใจเรา  พวกเราอย่าหยุดเจริญสติ  เราต้องทำให้ต่อเนื่องเพื่อให้เป็นสมาธิ  ถ้าเราพูดคุยกันสติจะเลื่อนลอยเข้าไปในภาษาหรือมโนภาพ  ดังนั้นจึงต้องระมัดระวังที่จะพูดกันให้น้อย  รู้สึกเข้าไปข้างในให้มาก
             วิธีที่ผมแนะนำเมื่อคืนนี้และวันนี้ก็เพื่อความตื่นตัว  แต่เราต้องทำให้เป็นสมาธิขึ้นมาให้ต่อเนื่องกันไป  ดูแล้วเหมือนทำเล่น  แต่ไม่ช้าไม่นานเราจะพบความเงียบที่น่าตื่นใจ  พบความสงัดชนิดหนึ่งซึ่งน่าตื่นตาตื่นใจสำหรับเรา  เป็นความตระหนักรู้ชนิดหนึ่ง  ส่วนกรรมวิธีชนิดอื่นที่ผมทดลองมา  ส่วนใหญ่เราเจออุปสรรค เช่น  ความง่วง  ความซึม  นั่งนิ่งอย่างนี้ก็ดีนะครับ  ไม่ใช่ไม่ดี  สำหรับคนที่สติตื่นแล้วจะนั่งหลับตาหรือลืมตาก็ย่อมได้  ส่วนใหญ่เราตกอยู่ในอาการคล้ายมึนเมาอะไรสักอย่าง  คล้ายเมาเหล้า  เมากัญชา  เป็นเช่นนั้น  สติปัญญาดูเหมือนไม่ทำหน้าที่เลย
              ธรรมชาติของความตื่นตัวในภาษาพระเรียกว่า “พุทธ” บ้าง “โพธิ” บ้าง  ทุกคนเป็นอย่างนั้น  พอเราตื่นตัวตื่นตาเต็มที่  จะเกิดการสำรวจทุกสิ่งทุกอย่างจากใจตนเอง  เราตื่นเต็มที่อย่างนี้  มองอะไรก็จะมองจากในสุดออกไป  เพราะไม่มีความคิดเข้ามากางกั้น  หากเราปฏิบัติได้สมดุลย์พอดี  ตามปกติเมื่อเรามองท้องฟ้าหรือต้นไม้  กระแสความคิดของเราจะเข้าไปบดบัง  หมายความว่าเราดูด้วยและคิดซ้อนเข้าไปด้วย เช่น  เราเห็นหน้าคน  เราก็คิดซ้อนเข้าไปในความเห็นด้วย เช่น  เขาเป็นคนผิวดำ  เป็นคนดี  เป็นคนไม่ดี  ดังนั้นการดูของเราจึงไม่เงียบ  การดูออกมาจากเนื้อในใจหรือว่าดูด้วยใจ  ดูโลกนี้ไม่ใช่ดูด้วยตาเนื้อ  หรือดูตัวเองก็เหมือนกัน  ดูด้วยความรู้สึกสัมผัส  ความรู้สึกและความเงียบเช่นนั้น  เราจะพบว่าไม่มีความลังเล  ไม่มีความเจ็บปวด  ไม่มีความทุกข์ทรมาน
              คำว่า ตื่นกายตื่นใจ กายบอกถึงความคล่องงาน  เวลายกมือยกได้อย่างง่ายดายเหมือนกับลอยขึ้นมา  แต่ถ้าเรามีปัญหา  มีความคิดมาก  เราจะลังเลมากเวลายกความรู้สึกหนักๆเข้าไปกางกั้น  กายของเรา  จิตของเรา  จะแสดงธรรมชาติที่เบาออกมาให้เห็น  ร่างกายจะรู้สึกเบาโปร่ง  ทัศนวิสัยต่างๆไม่ขัดข้อง  นึกคิดไปในทางไหนก็ไม่หนักใจไปล่วงหน้า  จะกินอะไร  นอนที่ไหน  ก็ไม่น้อยเนื้อต่ำใจอะไร  ไม่มีปัญหาเลยสำหรับความรู้สึกที่ตื่นกายตื่นใจ
              ดังนั้นเราต้องเร้าให้ความรู้สึกตัวตื่น  ปัญหาและอุปสรรคที่หนักที่สุดคือความเบื่อ  ความง่วงซึม  อยากกลับเข้าไปสู่อุปนิสัยเก่าๆที่เคยชินที่เคยทำ  เมื่อเรานั่งกายตรงอย่างนี้  เราจะพบว่าคลื่นสมองของเราเริ่มถูกจัดระเบียบ  ก่อนหน้านี้เรานั่งแบบสงบอยู่ครู่เดียวเท่านั้น  เราถูกนำสู่อุปนิสัยเก่าๆ  เพราะสมองของเขาเต็มไปด้วยเงื่อนไขที่ถูกกำหนด  เต็มไปด้วยความขัดแย้ง  มันจะสะกดเราให้คล้อยตามอุปนิสัยเก่า เช่น  ความง่วง  ความละโมบ  อะไรสารพัด  แต่ทันใดที่เราดำรงกายและจิตถูกสัดส่วนของมันเอง  เราจะพบว่ามีความซื่อชนิดหนึ่งปรากฏ  ความรู้สึกตัวปรากฏขึ้น  สมองเริ่มโป่ง  ยิ่งเรายกมือซื่อๆอย่างนี้  เราจะพบว่ามันตื่นตาตื่นใจ  คนทั่วไปจะตื่นตาตื่นใจเมื่อได้กิน  ได้เป็นอะไรที่ตัวเองชอบ  แต่คนที่ฝึกเจริญสติหรือเจริญสมาธิอยู่  จะตื่นตาตื่นใจก็ตรงได้เห็นสภาพการณ์ภายในของตัวเอง
              เรานั่งตรงนี้  เราเฉยๆอยู่  ต่อเมื่อใครโยนงูเข้ามาสักตัว  เราจะนั่งอย่างนี้ไม่ได้  เราจะรีบลุกกระโดดขึ้นพรวดพราด  หายง่วงทันทีภายในของเรามีกระแสความคิดไหลผ่านเลื้อยไปคล้ายงู  แต่เราจ่อมจมอยู่กับมันโดยไม่สะดุ้งเพราะไม่รู้ไม่เห็น  เป็นการตื่นตาจริงๆ  เราจะเริ่มสำรวจเข้าไปในตัวเรา  เราจะเห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น  เราจะค้นพบที่มาของความยุ่งยากต่างๆ  เช่น  การคิดอะไรไปล่วงหน้าแล้ว  เป็นเหตุให้วิตกกังวลกลัวไปล่วงหน้า  เช่น  เดินผ่านต้นไม้ที่เขาว่าผีดุ เราก็คิดวิตก  มันก็เริ่มถูกหลอก  แล้ว สิ่งที่เรียกว่าความคิดที่คิดไปล่วงหน้านั้นทำให้เราไม่มีชีวิตที่เงียบสงบอิสระ ดังนั้น อาสัยความตื่นตัวตัวนี้  ตื่นตาตื่นใจ  แล้วเร้ามันด้วยการเคลื่อนไหว  เราจะเข้าไปถึง “สมุฏฐานของควมคิดหรือสถาวะก่อนหน้าคิด”


ผมขอยืนยันว่าจริง เพราะผมรู้ความคิดว่ามันคิดอะไร และเห็นความคิดคือสมุฏฐานของความคิดหรือสภาวะก่อนหน้าคิด มาแล้ว
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2883 เมื่อ: 20 สิงหาคม 2554, 11:39:08 »

                       สังขาร (ร่างกาย) คนเราที่เกิดมานั้นไม่เที่ยง ไม่สามารถจะอยู่ยืนยงได้ ย่อมมีแก่ เจ็บ และตาย เป็นไปตามธรรมชาติของมันอยู่แล้ว วันนี้เมื่อตอนตีสาม ที่โรงพยาบาลกรุงเทพฯ ผมสูญเสียเพื่อนรักต่างวัยย์ที่เคยเล่นกอล์ฟ ด้วยกันทุกวันอาทิตย์ ภายหลังจากเล่นกอล์ฟเสร็จเราห้าคนต่างวัยย์ คือ คุณ John Skinner  คุณวิชัย  คุณสุดสาคร  และคุณPaul เราห้าคนจะไปหาร้านอาหารที่อร่อย ไม่แพง รับประทานและพูดคุยกันสนุกทุกครั้ง บางทีเราก็พากันไปตีกอลืฟต่างจังหวัดเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ หาอาหารและสนามกอล์ฟใหม่ๆ เล่น โดยคุณ John ผู้อาวุโสสูงสุดจะรับหน้าที่เป็นผู้ขับรถทั้งที่อายุมากสุดคือ ๘๒ ปี มีคุณสุดสาครเป็นเหรัญญิก

                       แต่วันนี้ตอนตีสามคุณ John Skinner ได้จากไป ด้วยโรคไตวาย คือก่อนหน้านั้น คุณ John  เป็นโรคปอดบวม ได้รักษาปอดจนหายแล้วแต่ปรากฏว่าคุณหมอประจำที่โรงพยาบาลกรุงเทพฯตรวจพบว่า ลิ้นหัวใจเสียไปสองลิ้น ต้องเปลี่ยนใหม่และมีเส้นโลหิตแดงที่ต้องทำบายพาส อีกเส้นหนึ่งแต่เนื่องจาก คุณ John ต้องใช้กรุ๊ปเลือดพิเศษ จึงต้องรอแต่ก็ได้ผ่าตัดไปเรียบร้อยแล้วเมื่อวันจันทร์ โดยใช้เวลาในการผ่าตัดแปดชั่วโมง ผ่านไปด้วยดี แต่จู่ๆ ไตก็วายลงเสียชีวิตที่โรงพยาบาลกรุงเทพฯ ตอนนี้กำลังรอลูกๆจากอังกฤษมาจัดการเรื่องศพ ทราบว่าจะนำไปอังกฤษสุสานตระกูล

                       ผมคงมีอะไรที่ขาดหายไปสำหรับวันอาทิตย์ เมื่อคืนกำลังคิดว่า ไม่ช้าไม่นานคงต้องเลิกเล่นกอล์ฟ ครับ

                       อาลัยรักเพื่อนต่างวัยย์ ลุง John Skinner

                       สวัสดี
      บันทึกการเข้า
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #2884 เมื่อ: 20 สิงหาคม 2554, 17:55:34 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 20 สิงหาคม 2554, 07:42:20
อ้างถึง
ข้อความของ patooman 64 เมื่อ 19 สิงหาคม 2554, 21:32:38
ขอบคุณมากครับพี่ สำหรับข้อมูลที่ให้น้อง ๆ

สวัสดีครับ ป๋าทู

                   ขอบคุณมากๆ ที่เข้ามาทักทาย  อย่าไปสนใจเสียงนกเสียงกา จากพี่ป่องเขาเลยครับ จริงพี่สิงห์ก็เอาหนังสือมาจาก ดร.สุริยา ที่เขาเอ็นดูส่งหนังสือของท่าน เขมานันทะ มาให้อ่าน  จะได้ตรวจสอบตัวเองจากผลของการปฏิบัติที่ผ่านมาว่าเรารู้อะไรบ้าง อย่างน้อยพี่สิงห์ก็ได้เห็นความคิด เห็นรูป-นาม เห็นความโกรธ คือเห็นสภาวะก่อนที่จิตมันจะคิด  ไม่ใช่รู้ความคิด มันเป็นอารมณ์ของการเห็น  ถ้าเราเห็นความคิดถาวรได้ทุกครั้งก่อนที่จะคิด เราก็จะมีสติสมบูรณ์ และมีช่องทางหลุดพ้นจากทุกข์ได้ครับ

                   สวัสดีครับ

ถ้าจะคิดว่าเป็นเสียงนกเสียงกา ผมรับไม่ได้ขอรับ ระดับท่าน ดร.ป๋อง เนีย ถ้าไม่ใช่พญาครุฑ ก้อต้อง พญาอินทรีย์ คงไม่ใช่ พญาแร้ง หรือนก-กาทั่วไปหรอกขอรับ
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
suriya2513
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,457

« ตอบ #2885 เมื่อ: 20 สิงหาคม 2554, 21:59:03 »

อ้างถึง
ข้อความของ patooman 64 เมื่อ 20 สิงหาคม 2554, 17:55:34
อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 20 สิงหาคม 2554, 07:42:20
อ้างถึง
ข้อความของ patooman 64 เมื่อ 19 สิงหาคม 2554, 21:32:38
ขอบคุณมากครับพี่ สำหรับข้อมูลที่ให้น้อง ๆ


สวัสดีครับ ป๋าทู

                   ขอบคุณมากๆ ที่เข้ามาทักทาย  อย่าไปสนใจเสียงนกเสียงกา จากพี่ป่องเขาเลยครับ จริงพี่สิงห์ก็เอาหนังสือมาจาก ดร.สุริยา ที่เขาเอ็นดูส่งหนังสือของท่าน เขมานันทะ มาให้อ่าน  จะได้ตรวจสอบตัวเองจากผลของการปฏิบัติที่ผ่านมาว่าเรารู้อะไรบ้าง อย่างน้อยพี่สิงห์ก็ได้เห็นความคิด เห็นรูป-นาม เห็นความโกรธ คือเห็นสภาวะก่อนที่จิตมันจะคิด  ไม่ใช่รู้ความคิด มันเป็นอารมณ์ของการเห็น  ถ้าเราเห็นความคิดถาวรได้ทุกครั้งก่อนที่จะคิด เราก็จะมีสติสมบูรณ์ และมีช่องทางหลุดพ้นจากทุกข์ได้ครับ

                   สวัสดีครับ

ถ้าจะคิดว่าเป็นเสียงนกเสียงกา ผมรับไม่ได้ขอรับ ระดับท่าน ดร.ป๋อง เนีย ถ้าไม่ใช่พญาครุฑ ก้อต้อง พญาอินทรีย์ คงไม่ใช่ พญาแร้ง หรือนก-กาทั่วไปหรอกขอรับ
จะมอบให้เป็นนกตะกรุมก็ว่ามาเถอะครับ ไม่ต้องอ้อมค้อม
      บันทึกการเข้า

[โบราณคดี]จุดกำเนิดเริ่มต้นของ cmadong.com by : มานพ กลับดี  คลิ๊ก->
nok15
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 529

« ตอบ #2886 เมื่อ: 21 สิงหาคม 2554, 06:39:26 »

 รักนะ
              สวัสดีค่ะพี่สิงห์
                         เคยฝึกแล้วลืม..ค่ะ  (และเพิ่งทราบว่าผู้ที่สอนเรื่องนี้คือหลวงพ่อเขียน  เพราะผู้ที่สอนนกมาไใม่ได้บอกว่าใครสอน) แต่พี่สิงห์นำภาพมาสงเคราะห์ด้วย  ดีใจอย่างยิ่ง เพราะมีครูใจดีอย่างพี่สิงห์นี่เอง ถ้าลืมปุ๊บจะได้มาเรียนกับครูสิงห์ที่ห้องนี้ปั๊บ ขออนุญาตนำไปขยายผลต่อ  พี่สิงห์จะได้บุญเพิ่ม
                                                   ขอบคุณพี่สิงห์ที่สุดเล้ยยย..
                                                               Nok15   หลั่นล้า
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2887 เมื่อ: 21 สิงหาคม 2554, 20:37:27 »

อ้างถึง
ข้อความของ nok15 เมื่อ 21 สิงหาคม 2554, 06:39:26
รักนะ
              สวัสดีค่ะพี่สิงห์
                         เคยฝึกแล้วลืม..ค่ะ  (และเพิ่งทราบว่าผู้ที่สอนเรื่องนี้คือหลวงพ่อเขียน  เพราะผู้ที่สอนนกมาไใม่ได้บอกว่าใครสอน) แต่พี่สิงห์นำภาพมาสงเคราะห์ด้วย  ดีใจอย่างยิ่ง เพราะมีครูใจดีอย่างพี่สิงห์นี่เอง ถ้าลืมปุ๊บจะได้มาเรียนกับครูสิงห์ที่ห้องนี้ปั๊บ ขออนุญาตนำไปขยายผลต่อ  พี่สิงห์จะได้บุญเพิ่ม
                                                   ขอบคุณพี่สิงห์ที่สุดเล้ยยย..
                                                               Nok15   หลั่นล้า
สวัสดีค่ะ คุณ Nok15 ที่รัก

            ผู้ที่นำวิธีเจริญสติแบบเคลื่อนไหวเพื่อเร้าความรู้สึกตัวให้ตื่นนั้นคือ หลวงพ่อเทียน  จิตฺตสุโภ  หลวงพ่อคำเขียน หลวงพ่อทอง นั้นเป็นศิษย์ของท่าน  ส่วนท่านเขมานันทะ  นั้นอยู่ใกล้ชิดกับหลวงพ่อเทียนที่วัดชลประทานฯ และหลวงพ่อเทียนเป็นผู้ถ่ายทอดให้ และท่านเขมานันทะนั้นรู้ทางพระไตรปิฎก คืออ่านจบสามรอบ และเคยอยู่สวนโมก จึงถ่ายทอดให้หลวงพ่อเทียนทราบและสอนหนังสือให้หลวงพ่อเทียน เพราะหลวงพ่อเทียนอ่านหนังสือไม่ออก แต่สามารถทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ ด้วยวิธีของท่านภายในคืนเดียว เมื่อท่านค้นพบจึงบวช และนำสิ่งที่พบนั้นมาสอน ครับ
             สวัสดี
      บันทึกการเข้า
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #2888 เมื่อ: 21 สิงหาคม 2554, 20:47:38 »



พี่สิงห์,
สวัสดีคะ.
หนิงไปปลีกวิเวกมา10วันแน่ะคะ
ไม่ได้พักหรอกคะ ทำกิจกรรมทุกวัน
แต่สมองได้ชำระ ได้เห็น ได้คิดเรื่องอื่นๆ

ตอนนี้ยังไม่ติดเครื่องเลยคะ
สงสัยร้างราrelaxนานไปหน่อย
      บันทึกการเข้า


Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2889 เมื่อ: 21 สิงหาคม 2554, 21:18:49 »

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน

              ผมขอนำสาระจากหนังสือของท่านเขมานันทะ มาให้ทุกท่านได้อ่าน ต่อนะครับ ลองพิจารณาด้วยปัญญาครับ

              ราตรีสวัสดิ์ครับ



การเจริญสติด้วยการรู้สึกตัวล้วน ๆ

คัดลอกมาจากหนังสือ ปรีชาญาณ ของ ผู้ไม่รู้หนังสือ

(หลวงพ่อเทียน  จิตฺตสุโภ)

เขียนโดย

เขมานันทะ

สิลปินแห่งชาติ


ของขวัญอันล้ำค่า

   ชีวิตเป็นของขวัญอันล้ำค่า  ซึ่งมันแสดงออกในปัจจุบันในขณะนี้  ถ้าเราซาบซึ้งกับชีวิตได้  เราก็จะได้รับของขวัญ

   ทำไมเราถึงรู้สึกกับชีวิตตามที่เป็นจริงไม่ได้  ดูเหมือนว่าชีวิตกลับกลายเป็นภาระหนัก  เป็นความเจ็บป่วย  ทนทุกข์ทรมาน  กลายเป็นสิ่งน่าเกลียด  เรียนหนังสือ  สอบเข้ามหาวิทยาลัยหรือไม่ก็ตาม  แต่ล้วนต้องดิ้นรนทำมาหาเลี้ยงชีพ  หนุ่มๆ สาวๆ หน้าตางดงามในวัยต้น  แก่เฒ่าเข้า  มีลูกเต้าก็ทรุดโทรม  ผิวพรรณเนื้อหนังก็หย่อนยานลง  อารมณ์ก็บูดเน่าง่าย  ในที่สุดชีวิตก็กลายเป็นสัตว์ลำบาก  อายุมากแล้วก็น่าเกลียด

   ผมคิดว่าชีวิตน่ากลัว  แต่พร้อมกันนั้นน่าจะมีช่องทางหนึ่งทางใดที่ชีวิตกลับกลายเป็นสิ่งง่ายๆ  รื่นเริงได้  เมื่ออายุมากขึ้นน่าจะมีชีวิตที่งดงามได้

   อะไรบ้างที่ทำให้ชีวิตงดงาม  ถ้าสำรวจดูหลักธรรมของพระพุทธศาสนา หลักธรรมสองประการซึ่งเป็นธรรมให้งามนี้คือ ความอดทน (ขันติ) และความสงบเสงี่ยม (โสรัจจะ) ธรรมสองอย่างนี้ถูกระบุควบคู่กันเสมอ  เสงี่ยมหมายถึงเจียมใจ  คือทนได้อย่างสงบเสงี่ยม  เพราะว่าถ้าทนได้อย่างดุเดือดแล้วก็ไม่งาม  เป็นการทุรนทุรายมากกว่าความเสงี่ยม  ถ้าไม่มีความอดทนก็กลายเป็นความไม่กล้าสู้ชีวิต  ถดถอย  ผู้เฒ่าหรือแม้แต่หนุ่มสาวที่มีความทรหดอดทน  แล้วทนได้อย่างดี  คือไม่โวยวาย  มีปฏิกิริยา  ไม่เรียกร้องต้องการอะไรเพื่อตนเอง  ทนได้อย่างสงบเสงี่ยมเจียมตน  ไม่ว่าจะเป็นคนเฒ่าคนแก่หรือหนุ่มสาว เขาเป็นผู้งดงามยิ่ง

   เห็นได้ชัดว่าคุณธรรมข้อนี้ไม่ได้เกิดจากความรู้  ผมสังเกตดูคนมีความรู้สูงหรือมากเกิน  ทำงานไม่ค่อยได้  และมากกว่านั้นก็ค่อนข้างน่าเกลียดน่าชัง  เช่น  ความยโส  ความถือว่าตัวเองรู้อะไรมากกว่าชาวไร่ชาวนา  การศึกษาไม่ว่าของชาติไหนได้แบ่งแยกผู้คนออกเป็นชนชั้นนักศึกษา  ทั้งที่ความจริงชีวิตเขาไม่ได้ดีไปกว่าชาวไร่ชาวนาเลย  ตรงกันข้าม  ผู้ที่มีความรู้มากอาจเอาเปรียบเก่งด้วยซ้ำไป  ในเมืองจีนนั้น  เริ่มตั้งแต่ราชวงศ์ฉู่  ขงจื้อเป็นหัวแถวของชนชั้นนักศึกษา  ปรากฏว่าชนชั้นนักศึกษาได้รับการรับรองมาก  นับพันปีมาแล้วร่วมสมัยพุทธกาล

   ที่จริงชาวบ้านทั่วไปมีความฉลาดอยู่ตามทางของเขา  เวลานั่งแท๊กซี่ผมชอบที่จะซักไซ้หาความรู้กับคนขับ  เขาวิจารณ์รัฐบาลให้ฟังอย่างแม่นยำ  เขาผจญชีวิตอย่างแท้จริง  ในขณะที่นักศึกษาหรือศาสตราจารย์ในมหาวิทยาลัยเป็นผู้ที่มีชีวิตอีกแบบหนึ่ง

   ในชีวิตมนุษย์เรานั้น  ศรัทธาและการกระทำจะต้องมาด้วยกัน  ถ้าศรัทธาและการกระทำแตกแยกกัน  ก็เกิดภาวะการหลอกลวงตัวเองหรือผู้อื่น  เมื่อศรัทธาได้พัฒนาปัญญา  การกระทำของเราก็จะมีผลมากขึ้นมา  เป็นอิสรภาพโดดเด่นขึ้น  ขันติและโสรัสจะย่อมให้ผลดีเสมอต่อผู้ปฏิบัติชอบ  ไม่ว่าทางธรรมหรือทางโลก  โดยเฉพาะต่อผู้ภาวนา (การเจริญสติ) กล่าวคือ  ทนต่อภาวะบีบคั้นของกิเลสจนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย
      บันทึกการเข้า
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #2890 เมื่อ: 21 สิงหาคม 2554, 21:23:49 »

พี่สิงห์,
ถามอะไรหน่อยคะ...
พี่ยืมหนังสือมาจากพี่ป๋อง
แล้วพี่นั่งพิมพ์ลงในเวบเหรอคะ?


โอ,
ไม่อ่านไม่ได้แล้วคะ...ก็พี่ช่างพยายาม!

ว่าแต่,ยืมแล้วอย่าลืมคืนนะพี่...
เดี๋ยวเค้าไม่กล้าทวง
กลัวบาป!
      บันทึกการเข้า


Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2891 เมื่อ: 21 สิงหาคม 2554, 21:25:47 »

สวัสดีค่ะ คุณน้องหนุ๋งหนิ๋ง ที่รัก

                      พี่สิงห์ไม่ทราบเลยว่าเธอไปปลีกวิเวกมา  เห็นหายไปเฉยๆ  ไปปลีกวิเวก ก็ดีเป็นการเปลี่ยนอิริยาบถอย่างหนึ่ง ไม่ให้จำเจอยู่กับสิ่งที่ต้องกระทำทุกวัน หยุดพักเสียบ้าง  พอกลับมาทำสิ่งเดิมๆ มันจะทำให้เรากระทำดีขึ้นกว่าเก่า เพราะการไปปลีกวิเวก จะทำให้เราสามารถมองตัวเรา การกระทำของเราได้เหมือนมีกระจกส่อง จึงรู้ตัวเอง เป็นสิ่งที่น่ากระทำครับ

                      ราตรีสวัสดิ์ค่ะ
      บันทึกการเข้า
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #2892 เมื่อ: 21 สิงหาคม 2554, 21:44:29 »

พี่สิงห์,
ได้ไปเดินเขาสงัดเงียบ
มีแต่เสียงฝีเท้าเรา
ได้ยินเสียงหายใจเข้าออก
สมองมีสมาธิกับทุกก้าว
หนิงเดินไม่ทันครอบครัวคะ!
เด็กๆเดินเขาเร็วมาก แฟนหนิงต้องตามลูกๆ
ทิ้งท้ายกันไกลเกินสายตา...หนิงถึงต้องเงี่ย
หูฟังรอบๆ ตามองทั่วๆ จมูกสูดกลิ่น ผิวสัมผัส
อากาศ บรรยากาศรอบๆ จะว่ากลัวก็ไม่กลัวคะ
เป็นภาวะของการตื่นตัวที่สงัดในจิตมากๆ
เดินกี่รอบก็ถูกทิ้งให้เดินคนเดียวตลอดคะ
ต้องฝึกจิตให้ยอมรับการแยกร้างห่างหาย
การต้องตัวคนเดียว...ในป่า ในเขา

เรื่องของเรื่อง..จิตอกุศลพาลแต่จะข้องแวะ
เข้ามาในห้วงเงียบสงัดว่า: ถ้าหมีมาจะทำไง?
ถ้าแพะดีด ถ้าวัวบ้าไล่ขวิด รึถูกปล้นกลางเขาสูง
..
..
คิดแล้วเท้าไวเหมือนโกหก!
เรี่ยวแรงไม่รู้มาจากไหนคะพี่

ป่าราบ!
..
..
      บันทึกการเข้า


เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #2893 เมื่อ: 21 สิงหาคม 2554, 21:51:56 »

พี่สิงห์

ขอแสดงความอาลัยต่อการจากไปของเพื่อนต่างวัย ลุง John Skinner ด้วยครับ

      บันทึกการเข้า
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #2894 เมื่อ: 21 สิงหาคม 2554, 22:03:58 »

อ้าว,นักกอล์ฟโปร ไช่มั้ยคะ?
เป็นอะไรคะ น่าเห็นใจ..
คงตีกอล์ฟจนหัวใจวาย
      บันทึกการเข้า


เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #2895 เมื่อ: 22 สิงหาคม 2554, 08:50:45 »

วันนี้ประเทศไทยมีฝนลดลงเมื่อเทียบกับปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่มวลน้ำจากฝนที่ตกเกือบร้อยละ 90 ของพื้นที่ทั่วประเทศ ทำให้มีน้ำท่วมขัง ดินโคลนถล่ม และน้ำป่าไหลหลากในพื้นที่ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก โดยเฉพาะลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ที่มีน้ำท่วมในหลายๆจังหวัดแล้ว อาทิ น่าน แพร่ สุโขทัย พิษณุโลก พิจิตร นครสวรรค์ และมวลน้ำกำลังล่องผ่านชัยนาทไปสู่สิงห์บุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา


         กรมอุตุนิยมวิทยาพยากรณ์อากาศประจำวันที่ 22 สิงหาคม 2554 ลักษณะอากาศทั่วไปเมื่อเวลา 04:00 น.
ร่องมรสุมที่พาดผ่านภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน มีกำลังอ่อนลง แต่มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ยังคงพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณประเทศไทยมีฝนลดลงอยูในเกณฑ์กระจาย ในระยะ 1-2 วันนี้ 

                    พยากรณ์อากาศสำหรับประเทศไทยตั้งแต่เวลา 06:00 วันนี้ ถึง 06:00 วันพรุ่งนี้. 

ภาคเหนือ  มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 60 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ เชียงราย พะเยา น่าน ลำพูน ลำปาง และตาก อุณหภูมิต่ำสุด 23-25 องศา อุณหภูมิสูงสุด 31-34 องศา ลมแปรปรวน ความเร็ว 10-25 กม./ชม.

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ  มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 60 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดนครพนม มุกดาหาร ยโสธร อำนาเจริญ สุรินทร์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี อุณหภูมิต่ำสุด 23-25 องศา อุณหภูมิสูงสุด 32-34 องศา ลมตะวันตก ความเร็ว 10-30 กม./ชม.

ภาคกลาง มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 40 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดนครสวรรค์ อุทัยธานี สุพรรณบุรี กาญจนบุรี และราชบุรี อุณหภูมิต่ำสุด 24-25 องศา อุณหภูมิสูงสุด 33-34 องศา ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-30 กม./ชม.

ภาคตะวันออก มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 60 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดชลบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด
อุณหภูมิต่ำสุด 24-25 องศา อุณหภูมิสูงสุด 32-34 องศา ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร ส่วนบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง คลื่นสูงประมาณ 2 เมตร

ภาคใต้ (ฝั่งตะวันออก) มีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆ ร้อยละ 30 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดเพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร และ ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส อุณหภูมิต่ำสุด 24-25 องศา อุณหภูมิสูงสุด 33-34 องศา ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร

ภาคใต้ (ฝั่งตะวันตก) มีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆ ร้อยละ 30 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดระนอง พังงา และสตูล
อุณหภูมิต่ำสุด 24-25 องศา อุณหภูมิสูงสุด 32-34 องศา ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร

กรุงเทพมหานครและปริมณฑล  มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 60 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 26-27 องศา อุณหภูมิสูงสุด 33-34 องศา ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-30 กม./ชม.


      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2896 เมื่อ: 22 สิงหาคม 2554, 14:14:59 »

ขอลาทุกท่านครับ  อย่าหาทุกข์มาให้ผมเลย  ทุกวันนี้ทุกข์มากแล้ว

ตามที่เคยบอก อะไรที่ล่วงเกิน ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อยโดยไม่รู้ตัว ทั้งกาย วาจา ใจ  ขออโหสิกรรมด้วย

ตราบใดที่ยังเกี่ยวข้องอยู่อย่างนี้  มันก็มีโอกาสทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนเพราะเรา เราก็มีแต่กรรม ทุกข์ ขอหนีห่าง

ใครต้องการให้ผมทำอะไรให้ ติดต่อโดยตรงที่ผม  ยินดีทำให้ทุกอย่าง ครับ

ขอปิดกระทู้นี้อย่างถาวรเสียที

สวัสดี
      บันทึกการเข้า
KUSON
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,125

« ตอบ #2897 เมื่อ: 22 สิงหาคม 2554, 15:39:48 »

พี่สิงห์ครับ
ผมกลับจากรัสเชียมาหลายวันแล้ว
ยอมรับว่า สวยงาม
แต่ไม่ประทับใจเหมือนอินเดีย
อย่างที่พี่สิงห์บอก
ถ้าเราจะไปอินเดีย
ต้องเตรียมตัวกันแต่เนิ่นๆ
ปีที่แล้วเราเดินทางเดือนกุมภาพันธ์
ต้องรีบสมัครล่วงหน้าตั้งหลายเดือน
ผมเองก็ต้องขออนุญาติที่ทำงานก่อน
ถ้ามีโปรแกรมดีๆ  บอกกันบ้างนะครับ
      บันทึกการเข้า
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #2898 เมื่อ: 22 สิงหาคม 2554, 16:41:44 »

พี่สิงห์มีอะไร?
ใครทำให้พี่ช้ำใจ?
บอก!
เดี๋ยวจัดการ...
ส่งไปเดินเขาที่Austria:
ไม่ให้น้ำ ไม่ให้แผนที่
ไม่ให้แฮนดี้...และถ้าตัวดี นิสัยไม่ดี
...ไม่ให้รองเท้าเดินเขา!
แล้วจะรู้สึก
      บันทึกการเข้า


khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #2899 เมื่อ: 22 สิงหาคม 2554, 16:44:42 »

อ้างถึง
ข้อความของ KUSON เมื่อ 22 สิงหาคม 2554, 15:39:48
พี่สิงห์ครับ
ผมกลับจากรัสเชียมาหลายวันแล้ว
ยอมรับว่า สวยงาม
แต่ไม่ประทับใจเหมือนอินเดีย
อย่างที่พี่สิงห์บอก
ถ้าเราจะไปอินเดีย
ต้องเตรียมตัวกันแต่เนิ่นๆ
ปีที่แล้วเราเดินทางเดือนกุมภาพันธ์
ต้องรีบสมัครล่วงหน้าตั้งหลายเดือน
ผมเองก็ต้องขออนุญาติที่ทำงานก่อน
ถ้ามีโปรแกรมดีๆ  บอกกันบ้างนะครับ



พี่กุ,
แบ่งรูปมาชมกันหน่อยคะ.
ขอเด็ดๆนะพี่
พี่มา หนิงมา พี่สิงห์จะไป
เดี๊ยะๆ...
ยึดแล้วไม่คืนนะงวดนี้.
      บันทึกการเข้า


  หน้า: 1 ... 114 115 [116] 117 118 ... 681   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

ทำไมหอพักนิสิตจุฬาจึงเป็นดินแดนมหัศจรรย์            " ไม่ได้เป็นแค่หอให้นอนพัก  แต่เป็นบ้านอบอุ่นรักให้อาศัย  ไม่เป็นแค่ที่ซุกหัวยามหลบภัย  แต่สร้างใจให้เข้มแข็งแกร่งการงาน"  <))))><