23 พฤศจิกายน 2567, 11:47:40
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 113 114 [115] 116 117 ... 681   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: คุย กับ คุณมานพ กลับดี อดีตประธานชมรม ๓ สมัย  (อ่าน 3556565 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 37 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2850 เมื่อ: 12 สิงหาคม 2554, 20:55:08 »

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่งที่รักทุกท่าน

               วันนี้ผมไปงานเลี้ยงฉลองเพื่อ ๕ ผู้ว่าการมา จึงขอนำประวัติพระโมคคัลลนเถระมาฝาก  เพื่อว่าทุกท่านที่เป็นนักปฏิบัติธรรม  จะได้รู้วิธีเอาชนะความง่วงเหงาหาวนอน ที่พระพุทธองค์ไดสอนแด่พระเถระ ก่อนที่จะสำเร็จอรหันต์  และนอกจากนี้ท่านจะได้รับทราบถึงเรื่องกรรมที่เราเคยกระทำมาในอดีตชาตินั้นเราจะต้องชดใช้ให้หมด ถึงแม้จะสำเร็จเป็นพระอรหันต์ก็ตาม ถ้ายังมีกรรมเก่าเหลืออยู่ก็ต้องชดใช้ให้หมดก่อนที่จะนิพพาน

                ราตรีสวัสด์ ครับขอให้ทุกท่านพิจารณาด้วยปัญญา ครับ



รู้ธรรมวันละนิด   จิตผ่องใส

ตอน

พระอรหันต์ พุทธสาวกผู้เป็นเอตทัคคะ ลำดับที่ ๔

พระมหาโมคคัลลานเถระ

เอตทัคคะในทางผู้มีฤทธิ์


               พระมหาโมคคัลลานะ เป็นบุตรพราหมณ์นายบ้านในหมู่บ้านโกลิตคาม ได้ชื่อว่า “โกลิตะ” ตามชื่อของหมู่บ้าน มารดาชื่อ โมคคัลลี คนทั่วไปจึงเรียกท่านว่า “โมคคัลลานะ” ตามชื่อของมารดา ท่านเป็นสหายที่รักกันมากับอุปติสสมาณพ เที่ยวแสวงหาความสุขความสำราญ ตามประสาวัยรุ่น และพ่อแม่มีฐานะร่ำรวย นอกจากนี้ยังมีอุปนิสัยใจคอเหมือนกัน และยังได้ออกบวชพร้อมกันอีกด้วย (ประวัติเบื้องต้นของท่านถึงศึกษาจากประวัติของพระสารีบุตร)

•   ทรงแสดงอุบายแก้ง่วงแก่พระโมคคัลลานะ

                พระมหาโมคคัลลานะ เมื่ออุปสมบทได้ ๗ วัน ได้ไปทำความเพียรอยู่ที่ป่าใกล้บ้านกัลป์ลาวาลมุตตาคาม แขวงมคธ ถูกถีนมิทธารมณ์ คือ ความง่วงเหงาเข้าครอบงำ ไม่สามารถจะทำความเพียรได้ ขณะนั้น พระผู้มีพระภาค ประทับอยู่ ณ สวนเภสกลาวัน ซึ่งเป็นสถานที่ให้เหยื่อแก่เนื้อ ใกล้เมืองสุงสุมารคิรี อันเป็นเมืองหลวงของแคว้นภัคคะ ทรงทราบด้วยพระญาณว่าพระโมคคัลลานะ โงกง่วงอยู่ จึงทรงทำปาฏิหาริย์ให้เห็นปรากฏ ประหนึ่งว่าเสด็จประทับอยู่ตรงหน้าทรงแสดงอุบายสำหรับระงับความง่วงแก่เธอตามลำดับ ดังนี้:-
                ๑. โมคคัลลานะ เมื่อเธอมีสัญญาอย่างใดแล้ว เกิดความง่วงขึ้น เธอจงทำไว้ในใจซึ่งสัญญาอย่างนั้นให้มาก จะเป็นเหตุให้ละความง่วงได้
                ๒. ถ้ายังละไม่ได้ เธอควรตรึกตรองถึงธรรมที่ได้เรียนมาแล้ว ได้ฟังมาแล้วให้มาก จะเป็นเหตุให้ละความง่วงได้
                ๓. ถ้ายังละไม่ได้ เธอควรสาธยายธรรมที่ได้เรียนได้ฟังมาแล้วให้มากจะเป็นเหตุให้ละความง่วงได้
                ๔. ถ้ายังละไม่ได้ เธอควรยอนช่วงหูทั้งสองข้าง และลูบตัวด้วยฝ่ายมือจะเป็นเหตุให้ละความง่วงได้
                ๕. ถ้ายังละไม่ได้ เธอจงลุกขึ้นแล้วลูบนัยน์ตา ลูบหน้าด้วยน้ำเหลียวดูทิศทั้งหลายแหงนดูดาว จะเป็นเหตุให้ละความง่วงได้
                ๖. ถ้ายังละไม่ได้ เธอควรทำไว้ในใจถึงอาโลกสัญญา ถือ กำหนดความสว่างไว้ในใจเหมือนกัน ทั้งกลางวันและกลางคืน ทำใจให้เปิด ให้สว่าง จะเป็นเหตุให้ละความง่วงได้
                ๗. ถ้ายังละไม่ได้ เธอควรเดินจงกรมสำรวมอินทรีย์ มีจิตใจไม่คิดไปภายนอก จะเป็นเหตุให้ละความง่วงได้
                ๘. ถ้ายังละไม่ได้ เธอควรสำเร็จสีหไสยาสน์ นอนตะแคงขวา ซ้อนเท้าให้เลื่อมกัน มีสติสัมปชัญญะ หมายใจว่าจะลุกขึ้นเป็นนิตย์ เมื่อตื่นแล้วควรรีบลุกขึ้นด้วยตั้งใจว่า เราจะไม่ประกอบความสุขในการนอนและการเคลิ้มหลับอีกจะเป็นเหตุให้ละความง่วงได้
                พระพุทธองค์ ตรัสสอนอุบายเพื่อบรรเทาความง่วงโดยลำดับจนที่สุดถ้ายังไม่หายง่วงก็ให้นอน แต่ให้นอนอย่างมีสติ เมื่อปรานอุบายแก้ง่วงดังนี้แล้วได้ประทานพระโอวาทอีก ๓ ข้อ คือ:-
                ๑. โมคคัลลานะ เธอจงทำไว้ในใจว่า เราจะไม่ชูงวง คือ ความถือตัวว่าเราเป็นนั่น เป็นนี่ เข้าไปสู่สกุล เพราะถ้าภิกษุถือตัวเข้าไปสู่สกุลด้วยคิดว่าเขาจะต้องต้อนรับเราอย่างนั้นอย่างนี้ ถ้าคนในสกุลเขามีการงานมาก ก็จะเกิดอิดหนาระอาใจ ถ้าเขาไม่ใส่ใจต้อนรับ เธอก็จะเก้อเขินคิดไปในทางต่าง ๆ เกิดความฟุ้งซ่านไม่สำรวม จิตก็จะห่างจากสมาธิ
                ๒. โมคคัลลานะ เธอจงทำไว้ในใจว่า เราจักไม่พูดคำอันเป็นเหตุเถียงกันเพราะถ้าเถียงกันก็จะต้องพูดมาก และผิดใจกัน เป็นเหตุให้ฟุ้งซ่านไม่สำรวม และจิตก็จะห่างจากสมาธิ
                ๓. โมคคัลลานะ ตถาคตไม่สรรเสริญการคลุกคลีด้วยประการทั้งปวง แต่ก็ไม่ตำหนิการคลุกคลีไปทุกอย่าง คือ เราไม่สรรเสริญการคลุกคลีกับหมู่ชน ทั้งคฤหัสถ์และบรรพชิต แต่เราสรรเสริญการคลุกคลีด้วยเสนาสนะ อันสงบสงัดปราศจากเสียงอื้ออึง ควรแก่การหลีกเร้นอยู่ ตามสมณวิสัย
ลำดับนั้น พระมหาโมคคัลลานะ ได้กราบทูลถามถึงข้อปฏิบัติอันเป็นธรรมชักนำไปสู่การสิ้นตัณหา เกษมจากโยคะคือกิเลสเครื่องประกอบให้จิตติดอยู่
                พระพุทธองค์ ตรัสสอนในเรื่องธาตุกรรมฐาน โดยใจความว่า “ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้เมื่อได้สดับว่าธรรมทั้งปวงไม่ควรยึดมั่น ก็ควรกำหนดธรรมเหล่านั้น ในยามเมื่อเสวยเวทนาอันเป็นสุขหรือทุกข์ หรือไม่สุขไม่ทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่ง และให้พิจารณาดังปัญญา อันประกอบด้วยความหน่าย ความดับ และความไม่ยึดมั่น จิตก็จะพ้นจากอาสวกิเลส เป็นผู้รู้ว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว” พระมหาโมคคัลลานะ ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว ท่านเป็นกำลังสำคัญของพระศาสนา ช่วยแบ่งเบาภารกิจ และยังพุทธดำริต่าง ๆ ให้สำเร็จด้วยดี เพราะท่านมีฤทธิ์มีอานุภาพยิ่งกว่าพระสาวกรูปอื่น ๆ จนได้รับการยกย่องจากพระบรมศาสดา แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง พระอัครสาวกเบื้องซ้าย โดยทรงยกย่องให้เป็นอัครสาวกคู่กับพระสารีบุตรว่า:-
“พระสารีบุตรเป็นพระอัครสาวกเบื้องขวา เปรียบเสมือนมารดาผู้ให้กำเนิดบุตรพระโมคคัลลานะ เป็นพระอัครสาวกเบื้องซ้าย เปรียบเสมือนนางนมผู้เลี้ยงทารกที่เกิดมาแล้วพระสารีบุตร ย่อมแนะนำให้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล พระโมคคัลลานะ ย่อมแนะนำให้ตั้งอยู่ในคุณเบื้องสูงขึ้นไป”
               นอกจากนี้ พระมหาโมคคัลลานะ ยังเป็นผู้มีความสามารถในการ นวกรรม คือ งานก่อสร้าง พระบรมศาสดาเคยทรงมอบหมายให้ท่านรับหน้าที่ นวกัมมาธิฏฐายี คือ ผู้ควบคุมดูแลการก่อสร้างวิหารบุพพาราม ที่เมืองสาวัตถี ซึ่งนางวิสาขาบริจาคทรัพย์สร้างถวายอีกด้วย


•   พระเถระมีความสามารถในทางอิทธิปาฏิหาริย์

               พระมหาโมคคัลลานะ เมื่อบวชและสำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้วปรากฏว่าท่านมีความสามารถโดดเด่นในทางอิทธิปาฏิหาริย์ เป็นเลิศ กว่าภิกษุทั้งหลาย ท่านสามารถแสดงฤทธิ์ ไปยังภูมิของสัตว์นรก และไปโลกสวรรค์ชั้นต่าง ๆ ได้ ท่านได้พบเห็นสัตว์นรกในขุมต่าง ๆ ที่ได้เสวยความสุขจากการทำบุญไว้ในเมืองมนุษย์เช่นกัน ท่านได้นำข่าวสารของสัตว์นรกและของเทพบุตรเทพธิดาเหล่านั้น มาแจ้งแก่บรรดาญาติและชนทั้งหลายให้ทราบ ทำให้บรรดาญาติและชนเหล่านั้นพากันละเว้นกรรมชั่วลามกอันจะพาตนไปเสวยผลกรรมในนรก พากันสร้างบุญกุศลอันจะนำตนไปสู่สุคติโลกสวรรค์ และพร้อมกันนั้นก็พากันทำบุญอุทิศไปให้แก่ญาติของตน เหล่าชนบางพวกที่ไม่มีศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ก็พากันละทิ้งลัทธิศาสนาเดิมมาศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนามากยิ่งขึ้น ทำให้พวกเดียรถีย์ทั้งหลายต้องเสื่อมจากลาภสักการะ เป็นอยู่ลำบากอดอยากขึ้นเรื่อย ๆเรื่องที่พระเถระไปเยี่ยมชมโลกสวรรค์ชั้นต่าง ๆ นั้นมีเรื่องกล่าวไว้ในคัมภีร์ธรรมบทหมวดปิยวรรคและโกธวรรคว่าวันหนึ่ง พระเถระได้ขึ้นไปยังดาวดึงส์โลกสวรรค์ ด้วยอริยฤทธิ์ ได้เห็นปราสาทหลังหนึ่ง มีแสงแวววาวด้วยแก้วนานาประการ มีขนาดใหญ่ทั้งกว้าง ทั้งสูง มีนางเทพธิดาอยู่ในปราสาทนั้นจนเนืองแน่น พระเถระจึงถามว่า“แม่เทพธิดา วิมานนี้เป็นของใคร (เกิดขึ้นเพื่อใคร) ?"“ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ วิมานนี้เกิดขึ้นเพื่อนันทิยะ ผู้สร้างศาล ๔ มุข ๔ห้อง ถวายพระบรมศาสดา พวกดิฉันมาเกิดในที่นี้ก็ด้วยหวังว่าจะได้เป็นบาทจาริกาของนันทิยะนั้น แต่จนบัดนี้ก็ยังไม่พบนันทิยะ เพราะท่านยังไม่ละอัตภาพจากโลกมนุษย์เลยขอพระคุณเจ้าได้โปรดนำข่าวสารไปบอกแก่นันทิยะให้ละอัตภาพมนุษย์อันเปรียบประดุจถาดดิน มาถือเอาอัตภาพอันเป็นทิพย์ ซึ่งเปรียบประดุจถาดทองคำล้ำค่าในโลกสวรรค์นี้ด้วยเถิด เจ้าค่ะ”อันที่จริง วิมานนั้นได้เกิดขึ้นบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์พร้อมกับขณะที่นันทิยมาณพ ได้สร้างศาลาจัตุรมุขมี ๔ ห้อง ถวายแด่พระบรมพระศาสดาแล้ว หลั่งน้ำทักษิโณทก ตกลงบนฝ่าพระหัตถ์ของพระบรมศาสดา พระเถระได้จาริกท่องเที่ยวไปยังสวรรค์ชั้นอื่น ๆ ได้พบเห็นวิมานทองของเหล่าเทพบุตร เทพธิดาทั้งหลายแล้ว ได้ไต่ถามเทพบุตรเทพธิดาเหล่านั้นว่า ทำบุญอะไร ทานด้วยสิ่งใด จึงได้เสวยผลบุญ ได้รับทิพยสมบัติวิมานแล้ว วิมานทองอันงดงามยิ่งนัก เช่นนี้เทพบุตรและเทพธิดาเหล่านั้น ต่างก็รู้สึกละอายที่จะบอกแก่พระเถระเพราะบุญทานที่rวกตนกระทำนั้นมีประมาณเพียงเล็กน้อย คือ:-
             -บางองค์บอกว่า เพียงรักษาคำสัตย์ จึงได้สมบัติคือวิมานนี้
             -บางองค์บอกว่า เพียงห้ามความโกรธ จึงได้วิมานนี้
             -บางองค์บอกว่า เพียงถวายอ้อยลำเดียว จึงได้วิมานนี้
             -บางองค์บอกว่า เพียงถวายมะพลับ, ลิ้นจี่ ฯลฯ ผลเดียว จึงได้วิมานนี้
              พระเถระจาริกไปยังสวรรค์ชั้นต่าง ๆ พอสมควรแก่อัธยาศัยแล้วก็กลับมาสู่มนุษย์โลก นำข่าวสารที่ได้พบเห็นมาแจ้งแก่หมู่ชนทั้งหลาย ซึ่งต่างก็พากันศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ทำบุญสร้างกุศล เพื่อหวังผลอันเป็นสุขสมบัติในปรโลก


•   พระเถระทรมานพญานาค

               สมัยหนึ่ง พระพุทธองค์ทรงพิจารณาเห็นอุปนิสัยแห่งพระอรหัตของนักบวชนอกพระพุทธศาสนานามว่า “อัคคิทัต” จึงรับสั่งให้พระมหาโมคคัลลานเถระไปอบรมสั่งสอนให้ลดทิฏฐิมานะ ละการถือลัทธินั้นเสียพระเถระรับพระพุทธบัญชาแล้วไปยังสำนักของอัคคิทัต นั้น กล่าวขอที่พักอาศัยสักราตรีหนึ่ง แต่อัคคิทัต ปฏิเสธว่าไม่มีสถานที่ให้พัก พระเถระจึงกล่าวต่อไปว่า “อัคคิทัต ถ้าอย่างนั้น เราขอพักที่กองทรายนั่นก็แล้วกัน”ก็ที่กองทรายนั้นมีพญานาคตัวใหญ่มีพิษร้ายแรงอาศัยอยู่ อัคคิทัต เกรงว่าพระเถระจะได้รับอันตรายจึงไม่อนุญาต แต่เมื่อพระเถระรบเร้าหนักขึ้นจนต้องยอมอนุญาต พระเถระจึงเดินไปที่กองทรายนั้น พญานาคเห็นพระเถระเดินมารู้ว่าไม่ใช่พวกของตนจึงพ่นควันพิษเข้าใส่พระเถระ ฝ่ายพระเถระก็เข้าเตโชกสิณบังหวนควันไฟให้กลับไปทำอันตรายแก่พญานาค ทั้งพระเถระและพญานาคต่างก็พ่นควันพ่นไฟเข้าใส่กันจนเกิดแสงรุ่งโรจน์โชตนาการ พิษควันไฟไม่สามารถทำอันตรายพระเถระได้เลย แต่ทำอันตรายแก่พญานาคฝ่ายเดียวอัคคิทัต กับบริวารมองดูแล้วคิดตรงกันว่า “พระเถระคงจะมอดไหม้ในกองเพลิงเสียแล้ว” พร้อมทั้งคิดว่า “สาสมแล้ว เพราะเราห้ามแล้วก็ไม่ยอมเชื่อฟัง”รุ่งเช้า อัคคิทัตกับบริวารเดินมาดู ปรากฏว่าพระเถระนั่งอยู่บนกองทราย โดยมีพญานาคขดรอบกองทรายแล้วแผ่พังพานอยู่เหนือศีรษะ พระเถระจึงพากันคิดว่า “น่าอัศจรรย์ สมณะนี้มีอานุภาพยิ่งนัก”ขณะนั้น พระผู้มีพระภาคเสด็จมาถึง พระมหาโมคคัลลานเถระ จึงลงจากกองทรายแล้วเข้าไปกราบบังคมทูลอาราธนาให้เสด็จปะทับนั่งบนกองทรายแล้วกล่าวกับอัคคิทัตว่า “พระพุทธองค์ เป็นศาสดาของข้าพเจ้า ๆ เป็นสาวกของพระพุทธองค์”ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาค ทรงแสดงพระธรรมเทศนาให้อัคคิทัตพร้อมทั้งบริวารเลิกละการเคารพบูชาภูเขา ป่า ต้นไม้ และจอมปลวก เป็นต้น ที่พวกตนพากันเคารพบูชาว่าเป็นที่พึ่งอันเกษมสูงสุด ให้หันมาระลึกถึงพระรัตนตรัยคือ พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ อันเป็นสิ่งประเสริฐสุดนำไปสู่การพ้นทุกข์ทั้งปวงเมื่อจบพระธรรมเทศนา อัคคิทัต และบริวารได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ด้วยกันทั้งหมดแล้วกราบทูบขอบรรพชาในพระพุทธศาสนา พระบรมศาสดาได้ประทานให้ด้วยวิธีเอหิภิกขุอุปสัมปทาเรื่องอิทธิปาฏิหาริย์ของพระมหาโมคคัลลานเถระนั้นมีมาก แต่นำมากล่าวไว้ในที่นี้พอเป็นตัวอย่างเพียงเท่านี้

•   พระเถระมีอัธยาศัยใจกว้าง

               พระมหาโมคคัลลานเถระ ผู้เปี่ยมล้นด้วยคุณธรรมและความสามารถในอิทธิปาฏิหาริย์เหนือกว่าพระพุทธสาวกรูปอื่น ๆ แต่ท่านก็เป็นผู้มีอัธยาศัย ใจกว้างไม่กีดกัน ไม่เบียดบังความดี ความสามารถของคนอื่น ไม่ฉวยโอกาสชิงความดี ความชอบจากผู้อื่น ดังจะเห็นได้จากเรื่องต่อไปนี้:-
               สมัยหนึ่ง เศรษฐีชาวเมืองราชคฤห์ อยากจะเห็นพรอรหันต์ที่แท้จริงเพราะในเมืองราชคฤห์นั้นมีเจ้าลัทธิหลายสำนัก ซึ่งต่างก็โอ้อวดว่าตนเป็นพระอรหันต์ ทั้ง ๆ ที่การปฏิบัติและหลักคำสอนก็แตกต่างกันเป็นอย่างมาก และหาแก่นสารมิได้ จึงให้บริวารกลึงไม้จันทน์แดง ทำเป็นบาตรแล้วผูกติดปลายไม้ไผ่ต่อกัน หลาย ๆ ลำตั้งไว้แล้วประกาศว่า “ใครเป็นพระอรหันต์ ก็จงเหาะมาเอาบาตรใบนี้ไป” เจ้าลัทธิทั้งหลายปรารถนาจะได้บาตร แต่ไม่สามารถเหาะมาเอาไปได้ จึงมาเกลี้ยกล่อมเศรษฐีให้ยกบาตรให้ตน โดยไม่ต้องเหาะขึ้นไป แต่เศรษฐีก็ยงคงยืนยันว่าต้องเหาะขึ้นไปเอาเองเท่านั้นจึงจะได้ขณะนั้น พระมหาโมคคัลลานเถระ กับพระปิณโฑลภารทวาชเถระ กำลังยืนห่มจีวรอยู่บนก้อนหินใหญ่ เพื่อเข้าไปบิณฑบาตในเมือง ได้ยินพวกชาวบ้านพูดกันว่า “ในโลกนี้ คงจะไม่มีพระอรหันต์ เพราะวันนี้เป็นวันที่ ๗ แล้วท่านเศรษฐีประกาศให้พระอรหันต์เหาะมาเอาบาตร แม้แต่ครูทั้ง ๖ ที่โอ้อวดนักหนาว่าเป็นพระอรหันต์ ก็ยังไม่สามารถเหะขึ้นไปเอาบาตรได้เลย เราเพิ่งรู้วันนี้เองว่าพระอรหันต์ไม่มีในโลก”พระเถระทั้งสอง ต้องการประกาศให้ประชาชนทั้งหลายรู้ว่าในพระพุทธศาสนามีพระอรหันต์อยู่จริง ดังนั้น พระมหาโมคคัลลานเถระ แม้จะมีฤทธิ์มีอานุภาพมากกว่า มีอายุพรรษามากกว่า แต่อาศัยความที่ท่านเป็นผู้มีใจกว้างมีความเอื้อเฟื้อต่อผู้อื่น ต้องการให้คุณของพระเถระรูปอื่นปรากฏบ้าง จึงบอกให้ พระปิณโฑลภารทวาชเถระ เหาะขึ้นไปเอาบาตรนั้นลงมา จนเศรษฐีและชาวเมืองพากันแตกตื่นมาดูกันอย่างลาหลอีกเรื่องหนึ่ง คือ เมื่อพระบรมศาสดา ทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์แล้ว เสด็จขึ้นไปจำพรรษา ณ ดาวดึงส์เทวโลก มหาชนที่ประชุมกันอยู่ที่นั่นไม่ทราบว่าพระพุทธองค์หายไปไหน จึงพากันเข้าไปถามพระมหาโมคคัลลานเถระแม้พระเถระจะทราบเป็นอย่างดี แต่ท่านก็ไม่ตอบโดยตรง กลับบอกให้ไปถามพระอนุรุทธเถระ ทั้งนี้ ก็เพื่อยกย่องคุณความรู้ความสามารถของพระพุทธสาวกรูปอื่น ๆ ให้ปรากฏบ้างนั่นเอง


•   พระมหาโมคคัลลานเถระถูกโจรทุบ

               วันเวลาผ่านไปตามลำดับ เข้าสู่ปัจฉิมโพธิกาล ขณะที่ท่านพระมหาโมคคัลลานเถระพักอยู่ที่กาฬศิลา ในมคธชนบทนั้นพวกเดียรถีย์ ทั้งหลาย มีความโกรธแค้นพระมหาโมคคัลลานเถระ เป็นอย่างมาก เพราะความที่ท่านมีฤทธานุภาพมาก สามารถกระทำอิทธิฤทธิ์ ไปเยี่ยมชมสวรรค์และนรกได้ แล้วนำข่าวสารมาบอกแก่ญาติมิตรของผู้ไปเกิดในสวรรค์และนรกให้ได้ทราบประชาชนทั้งหลายจึงพากันเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาทำให้พวกเดียรถีย์ ต้องเสื่อมคลายความเคารพนับถือจากประชาชน ลาภสักการะก็เสื่อมลง ความเป็นอยู่ก็ลำบากฝืดเคือง จึงปรึกษากันแล้วมีความเห็นอันเดียวกันว่า “ต้องกำจัดพระมหาโมคคัลลานะ เพื่อตัดปัญหา” ตกลงกันแล้ว ก็เรี่ยไรเงินทุนจากบรรดาศิษย์ และอุปัฏฐากของตนเมื่อได้เงินมากพอแก่ความต้องการแล้ว ได้ติดต่อจ้างโจรให้ฆ่าพระเถระ พวกโจรใจบาป ได้รับเงินสินบนแล้วพากันไปล้อมจับพระเถระถึงที่พัก แต่พระเถระรู้ตัวและหลบหนีไปได้ถึง ๒ ครั้ง ในครั้งที่ ๓ พระเถระได้พิจารณาเห็นกรรมเก่า ที่ตนเคยทำไว้ในอดีตชาติติดตามมา และเห็นว่ากรรมเก่านั้นทำอย่างไรก็หนีไม่พ้น จึงยอมให้พวกโจรจับอย่างง่ายดาย และถูกพวกโจรทุบตีจนกระดูกแตกแหลกเหลวไม่มีชิ้นดี พวกโจรแน่ใจว่าท่านตายแล้ว จึงนำร่างของท่านไปทิ้งในป่าแห่งหนึ่ง แล้วพากันหลบหนีไป

•   บุพกรรมของพระมหาโมคคัลลานเถระ

             ในอดีตชาติ พระมหาโมคคัลลานเถระ เกิดเป็นลูกคนเดียวของพ่อแม่ ต่อมาเมื่อเจริญเติบโตขึ้นพ่อแม่ทั้งสองประสบเคราะห์กรรมตาบอดด้วยกันทั้งสองคนเป็นภาระที่ลูกชายคนเดียวต้องปรนนิบัติเลี้ยงดู การงานทุกอย่างทั้งนอกบ้านในบ้านลูกชายจัดการเป็นที่เรียบร้อย พ่อแม่ทั้งสองมิต้องกังวลต่อมา พ่อแม่เห็นลูกชายอยู่ในวัยที่สมควรจะมีครอบครัวได้แล้ว จึงจัดการสู่ขอหญิงสาวที่มีชาติตระกูลใกล้เคียงกัน ให้มาแต่งงานเป็นคู่ของลูกชายทั้ง ๆ ที่ลูกชายมิได้เต็มใจ เพราะตนเองผู้เดียวก็สามารถปฏิบัติเลี้ยงดูบิดามารดาได้เป็นอย่างดี แต่เมื่อบิดามารดาเป็นภาระจัดการให้แล้วก็ไม่ขัดความประสงค์ของท่าน เมื่อแต่งงานแล้วชีวิตครอบครัวที่มีลูกสะใภ้พ่อผัวแม่ผัวอยู่ร่วมกันมาในระยะแรก ๆ ก็ราบรื่นสงบสุขเป็นอย่างดีเมื่อกาลเวลาผ่านนาน ๆ ไป ลูกสะใภ้ก็เริ่มรังเกียจพ่อผัวแม่ผัวที่ตาบอดด้วยกันทั้งสองคน จึงหาวิธีกำจัดท่านทั้งสองด้วยการยุแหย่สามีให้เกลียดชังพ่อแม่ คือ เมื่อสามีออกทำงานนอกบ้านก็แกล้งทำบ้านเรือนให้สกปรกรกรุงรัง เมื่อสามีกลับมาก็ฟ้องว่าพ่อแม่ทั้งสองเป็นผู้กระทำตนเองไม่สามารถที่จะทนเห็นทนอยู่ผู้เฒ่าตาบอดทั้งสองคนนี้ได้อีกต่อไปแล้วระยะแรก ๆ สามีก็ไม่ค่อยเชื่อเท่าไรนักได้แต่รับฟังแล้วก็นิ่งเฉยแต่เมื่อภรรยาพูดบ่อย ๆ และเห็นบ้านเรือนสกปรกมากยิ่งขึ้นจึงเชื่อคำของภรรยา และได้ปรึกษากันว่าจะทำอย่างไรกับคนแก่ตาบอดทั้งสองคนนี้ดี“เอาท่านใส่เกวียนไปฆ่าทิ้งในป่า” ภรรยาเสนอความคิดเห็นสามีแม้จะไม่เห็นด้วยกับความคิดนี้ เพราะตนเป็นคนรักและกตัญญูต่อพ่อแม่มาตลอดแต่เมื่อภรรยารบเร้าไม่รู้จบสิ้น จึงใจอ่อนยอมทำตามที่ภรรยาแนะนำ รุ่งเช้า ได้จัดหาอาหารเลี้ยงดูพ่อแม่เป็นอย่างดีแล้วกล่าวว่า:-“ข้าแต่คุณพ่อคุณแม่ ญาติที่หมู่บ้านโน้นต้องการให้คุณพ่อคุณแม่ไปเยี่ยมพวกเราไปกันในวันนี้เถิด” ลูกชายให้พ่อแม่นั่งบนเกวียนแล้วออกเดินทาง พอมาถึงกลางป่าส่งเชือกบังคับโคให้พ่อถือไว้แล้วพูดหลอกว่า:-
“คุณพ่อจับปลายเชือกนี้ไว้ โคจะลากเกวียนไปตามทางนี้ ทราบว่าในป่านี้มีพวกโจรซุ่มอยู่ ลูกจะลงเดินตรวจดูโดยรอบ” เมื่อลงเดินได้สักครู่หนึ่ง ก็เปลี่ยนเสียงร้องตะโกนประหนึ่งว่าเสียงโจรดักซุ่มอยู่ แล้วเข้ามาทุบตีทำร้ายบิดามารดา ฝ่ายบิดามารดาเชื่อว่าเป็นโจรจริง ๆ แม้จะถูกทุบตีอยู่ก็ยังร้องบอกให้ลูกรีบหนีไป พ่อ แม่แก่แล้วไม่ต้องเป็นห่วง ลูกจงรักษาชีวิตไว้เถิด ลูกชายพอได้ยินเสียงมารดาบิดาร้องบอกให้รีบหนีไปไม่ต้องเป็นห่วงพ่อแม่ ก็กลับคิดได้ว่า “ตนทำกรรมหนัก พ่อแม่แม้จะถูกเราทุบตีอยู่นี้ ก็ยังร้องคร่ำครวญด้วยความรักและห่วงใยให้เรารีบหนีไปโดยมิได้คำนึงถึงชีวิตของตนเอง” ดังนี้แล้วจึงเข้ามาบีบนวดให้แล้วบอกกับพ่อแม่ว่า“บัดนี้พวกโจรหนีไปหมดแล้ว” จากนั้นก็นำท่านกลับมาปรนนิบัติดูแลที่บ้านเป็นอย่างดี
ลูกชาย เมื่อตายแล้วต้องชดใช้กรรมในนรกเป็นเวลานาน เมื่อพ้นจากนรกแล้วมาเกิดใหม่ ต้องถูกทุบตีจนแหลกละเอียดอีกหลายร้อยชาติ ในชาติสุดท้ายนี้แม้จะได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ มีฤทธิ์ สามารถจะดำดินล่องหนหายตัวได้ เหาะเหินเดินอากาศได้ แต่ก็ไม่สามารถจะหนีผลกรรมได้ ท่านจึงยอมให้พวกโจรจับทุบจนร่างแหลกเหลวดังกล่าวมานั่นเอง

•   กราบทูลลานิพพาน

               พระมหาโมคคัลลานเถระ คิดว่า “เราควรไปกราบทูลลาพระผู้มีพระภาค ก่อนจึงปรินิพพาน” ดังนี้แล้วก็เรียบเรียงสรีรกายประสานกระดูกผูกหมั่นด้วยกำลังฌาน เหาะมาเฝ้าพระบรมศาสดา ถวายบังคมแล้วกราบทูลลาปรินิพพาน พระพุทธองค์ตรัสถามว่า “โมคคัลลานะเธอจะปรินิพพาน ที่ไหน เมื่อไร ?” “ข้าพระองค์ จะนิพพานที่กาฬศิลาในวันนี้ พระเจ้าข้า” “โมคคัลลานะ ถ้าอย่างนั้น เธอจงแสดงธรรมแก่ตถาคตก่อน ด้วยว่าการได้เห็นพระเถระเช่นเธอนี้ จะไม่มีอีกแล้ว”

               พระเถระได้รับพระพุทธบัญชาเช่นนั้นจึงทำปาฏิหาริย์เหาะขึ้นไปบนอากาศแสดงพระธรรมเทศนาแล้วลงมาถวายอภิวาทกราบทูลลาไปยังกาฬศิลา และปรินิพพาน ณ ที่นั้น ตรงกับวันแรม ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ หลังจากพระสารีบุตรนิพพานได้ ๑๕ วัน

            พระผู้มีพระภาค เสด็จไปพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ทั้งหลาย ทรงเป็นองค์ประธานจุดเพลิงฌาปนกิจศพให้ท่าน ขณะนั้น ฝนดอกไม้ทิพย์ตกลงมาโดยรอบบริเวณ มหาชนพากันประชุมทำสักการะอัฐิธาตุตลอด ๗ วัน พระพุทธองค์โปรดให้สร้างเจดีย์บรรจุอัฐิไว้ ณ ที่ใกล้ซุ้มประตูแห่งพระเชตะวัดมหาวิหารนั้น
สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อพระอัครสาวกทั้งขวาและซ้ายนิพพานหมดแล้ว ก็เปรียบประหนึ่งต้นหว้าแก่ที่กิ่งใหญ่ทั้งสองหักลงแล้ว คงเหลือแต่พระอานนท์ ผู้เป็นพุทธอุปัฏฐากเพียงองค์เดียว เที่ยวติดตามประการหนึ่งว่าเงาตามพระองค์ ฉะนั้น

      บันทึกการเข้า
เอมอร 2515
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu 2515
คณะ: รัฐศาสตร์(นิติศาสตร์)
กระทู้: 4,562

« ตอบ #2851 เมื่อ: 12 สิงหาคม 2554, 21:13:15 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 12 สิงหาคม 2554, 07:33:46
อ้างถึง
ข้อความของ เอมอร 2515 เมื่อ 11 สิงหาคม 2554, 22:21:06
สวัสดีค่ะ พี่สิงห์
คุณแม่ดูยังแข็งแรงค่ะ
สวัสดีค่ะ คุณน้องเอมอร ที่รัก

            แม่ไม่แข็งแรงเท่าไร เพราะกระเพาะอาหารไม่ค่อยทำงาน ระบบขับถ่ายเป็นศูนย์ และลางขณะที่นอนน้อย จะเป็นอัลไซเมอร์ จำอะไรไม่ได้ เพราะเป็นอำมพฤกษ์ตั้งแต่ลูกชายจบแพทย์ศิริราช ก่อนที่ผมจะเข้า จุฬาฯ ครับ

            เธอเป็นปกติหรือยัง ?  พยายามเดินจงกรมในบ้าน หรือนอกบ้าน เช้า ๆ เย็น ๆ ให้มากไว้ ร่างกายจะได้แข็งแรง ห่างไกลโรคกระดูกพรุนแน่นอน ครับ

            วันนี้พี่สิงห์หวังว่าลูก ๆ ของเธอคงจะมากราบและกอดเธอด้วยความรัก เนื่องในวันแม่นะครับ มันคงเป็นความรู้สึกที่ปีติยิ่ง

            สวัสดีครับ

สวัสดีค่ะ พี่สิงห์
คุณแม่พี่สิงห์ ตามรูปที่สิงห์ถ่ายมาหน้าตายังแจ่มใส จริงๆค่ะ

ขอบคุณสำหรับคำแนะนำ  ยังปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอค่ะ
ลูกฝากบอกลุงสิงห์ด้วย ว่ากราบแล้ว กอดกันทุกวันค่ะ
ลุงสิงห์คงจำหลานไม่ได้แล้ว เจอกันที่หอไปเที่ยวเขี่อนเชี่ยวหลาน
ตอนนั้นยังเล็กมากค่ะ ตอนนี้โตมากแล้ว อยุ่ ม. ๖ ค่ะ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2852 เมื่อ: 13 สิงหาคม 2554, 20:38:04 »

สวัสดีค่ะ คุณน้องเอมอร ที่รัก

            บอกหลานด้วย ปีนี้อยู่ ม.๖ ต้องเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว ต้องขยันดูหนังสือ และทำข้อสอบมากๆ เพราะยังมีคนที่เก่งและขยันมากกว่าเราอีกมาก เป็นช่วงที่มีความสำคัญมากต่อชีวิต ถ้าสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่เราต้องการได้ เช่น จุฬาฯ ก็จะมีอนาคตที่สดใส คือรับรองได้ว่าจบออกไปมีงานทำและเงินเดือนสูง เพราะทุกองค์กร ต้องการผู้ที่จบจากจุฬาฯ เป็นตัวเลือกแรกเสมอ ช่วงนี้ต้องลืมเกมส์ เที่ยว เพื่อน ต้องเอาเวลามาสนใจทางการเตรียมตัวเข้ามหาวิทยาลัยให้ได้อย่างเดียวเป็นเรื่องสำคัญของชีวิต ที่จะต้องช่วยตัวเองเท่านั้น คนอื่นเป็นเพียงตัวช่วยห่างๆ ไม่สำคัญเท่าตัวเราเอง อย่าลืมหลวงพ่อขยันดูหนังสือ ทำข้อสอบ ลุงสิงห์ใช้มาแล้วได้ผลครับ

            ลุงสิงห์ขออวยพรให้สอบเข้าจุฬาฯ ได้ครับ

            พรุ่งนี้วันพระขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๙ พี่สิงห์ไปทำบุญที่วัดพระนอน และแวะเยี่ยมแม่ด้วยครับ แล้วจะทำบุญเผื่อ ครับ

            ราตรีสวัดิ์ครับ
      บันทึกการเข้า
เอมอร 2515
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu 2515
คณะ: รัฐศาสตร์(นิติศาสตร์)
กระทู้: 4,562

« ตอบ #2853 เมื่อ: 13 สิงหาคม 2554, 21:04:48 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 13 สิงหาคม 2554, 20:38:04
สวัสดีค่ะ คุณน้องเอมอร ที่รัก

            บอกหลานด้วย ปีนี้อยู่ ม.๖ ต้องเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว ต้องขยันดูหนังสือ และทำข้อสอบมากๆ เพราะยังมีคนที่เก่งและขยันมากกว่าเราอีกมาก เป็นช่วงที่มีความสำคัญมากต่อชีวิต ถ้าสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่เราต้องการได้ เช่น จุฬาฯ ก็จะมีอนาคตที่สดใส คือรับรองได้ว่าจบออกไปมีงานทำและเงินเดือนสูง เพราะทุกองค์กร ต้องการผู้ที่จบจากจุฬาฯ เป็นตัวเลือกแรกเสมอ ช่วงนี้ต้องลืมเกมส์ เที่ยว เพื่อน ต้องเอาเวลามาสนใจทางการเตรียมตัวเข้ามหาวิทยาลัยให้ได้อย่างเดียวเป็นเรื่องสำคัญของชีวิต ที่จะต้องช่วยตัวเองเท่านั้น คนอื่นเป็นเพียงตัวช่วยห่างๆ ไม่สำคัญเท่าตัวเราเอง อย่าลืมหลวงพ่อขยันดูหนังสือ ทำข้อสอบ ลุงสิงห์ใช้มาแล้วได้ผลครับ

            ลุงสิงห์ขออวยพรให้สอบเข้าจุฬาฯ ได้ครับ

            พรุ่งนี้วันพระขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๙ พี่สิงห์ไปทำบุญที่วัดพระนอน และแวะเยี่ยมแม่ด้วยครับ แล้วจะทำบุญเผื่อ ครับ

            ราตรีสวัดิ์ครับ

ขอบคุณค่ะ พี่สิงห์
 หลานฝากขอบคุณมาด้วยค่ะ
ให้อ่าน ที่พี่สิงห์เขียนมารีบเข้าห้องไปดูหนังสือแล้วค่ะ ขอบคุณอีกครั้งที่ช่วยเตือนค่ะ
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #2854 เมื่อ: 14 สิงหาคม 2554, 18:15:17 »

น้ำเหนือมาถึงกรุงเก่าแล้ว
วันอาทิตย์ ที่ 14 สิงหาคม 2554 เวลา 18:10 น


กรมชลฯเตือนประชาชน รับมือน้ำท่วมอีกระลอกพื้นที่ลุ่มต่ำสองฝั่งเจ้าพระยาตลอดทั้งสัปดาห์
   
เมื่อวันที่ 14 ส.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่าศูนย์ประมวลวิเคราะห์สถานการณ์น้ำ กรมชลประทาน ได้ออกคำเตือนประชาชนที่ตั้งบ้านเรือนอาศัยในพื้นที่ลุ่มต่ำสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาว่าตามที่ได้เกิดฝนตกหนักในพื้นที่ภาคเหนือ บริเวณจังหวัดน่าน แพร่ อุตรดิตถ์ พิษณุโลก และนครสวรรค์ ในช่วงวันที่ 10 – 11 ส.ค. 2554 ทำให้ปริมาณน้ำท่าในแม่น้ำปิง และแม่น้ำน่าน เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้ปริมาณน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา ที่นครสวรรค์สูงขึ้นตามไปด้วย โดยคาดว่าจะเพิ่มสูงขึ้นในอัตราประมาณ 2,000 – 2,100 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ในช่วงวันที่ 15 – 16 ส.ค.
   
กรมชลประทาน จะใช้ระบบชลประทานควบคุมปริมาณน้ำให้ไหลผ่านเขื่อนเจ้าพระยา ในอัตราที่ใกล้เคียงกับวันที่ 7 ส.ค. ที่ผ่านมา ในเกณฑ์ไม่เกิน 1,500 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ลักษณะดังกล่าวนี้ จะส่งผลให้พื้นที่ลุ่มต่ำบริเวณสองฝั่งของแม่น้ำเจ้าพระยา อาทิ ทุ่งเชียงราก ทุ่งผักไห่  และทุ่งบางบาล ไม่สามารถระบายน้ำออกจากทุ่งลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยาได้ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ซึ่งกรมชลประทาน จะนำเครื่องสูบน้ำเคลื่อนที่เข้าไปเร่งระบายน้ำออกจากพื้นที่น้ำท่วมขัง นอกจากนี้ปริมาณน้ำดังกล่าวจะส่งผลกระทบให้เกิดน้ำท่วมชุมชนริมแม่น้ำนอกคันกั้นน้ำ โดยเฉพาะในพื้นที่ริมคลองโผงเผง(คลองบางหลวง)จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และจังหวัดท้ายเขื่อนเจ้าพระยา บริเวณที่เคยประสบปัญหาในช่วงวันที่ 7 ส.ค. เป็นเวลาประมาณ 1 สัปดาห์ ระหว่างวันที่ 14 – 23 ส.ค. ระดับน้ำจะเพิ่มขึ้นประมาณ 30 – 40 เซนติเมตร     จากระดับปัจจุบัน
   
ดังนั้น เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมรับสถานการณ์ แจ้งให้ประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ริมสองฝั่งคลองโผงเผง(คลองบางหลวง) โดยเฉพาะประชาชนที่อาศัยอยู่นอกคันกั้นน้ำรวมทั้งกรุงเทพหมานคร เตรียมการป้องกันล่วงหน้า เพื่อความปลอดภัย และป้องกันน้ำไหลเข้าที่พักอาศัย รวมถึงพื้นที่การเกษตร ด้วยการเสริมกระสอบทรายป้องกันตลิ่งในบริเวณที่ลุ่มต่ำริมแม่น้ำเจ้าพระยา และเคลื่อนย้ายสิ่งของ  สัตว์เลี้ยง ยานพาหนะ และทรัพย์สินขึ้นสู่ที่สูง พร้อมทั้งขอให้เฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดตลอดเวลาด้วย


http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryID=561&contentID=157180
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2855 เมื่อ: 14 สิงหาคม 2554, 20:31:21 »

สวัสดีค่ะ คุณน้องเอมอร และชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน

            วันนี้เป็นอีกวันที่ผมรู้สึกปีติ คือเป็นวันพระขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๙ เป็นวันสารทจีน ผมและน้องสาวได้พาแม่ไปทำบุญที่วัดพระนอน เพราะแม่อยากกลับไปเห็นวัดพระนอน ที่แม่เคยทำบุญ เมื่อไปถึงวัดแม่ชี้ให้พาไปไหว้หลวงพ่อหินในโบสถ์ที่ท่านเคารพนับถือ ผมจึงพาแม่ไปไหว้หลวงพ่อหิน ได้ทำบุญบริจาคโดยให้แม่หย่อนลงหีบเอง  หลังจากนั้นท่านอยากไปทำบุญบนศาลาวัด จึงพาขึ้นไปได้ทำบุญ และฟังพระสวดมนต์ ให้พร พวกญาติชั้นเหลน ได้มาไหว้แม่ วันนี้แม่มีสีหน้าแจ่มใส สติดีมากๆ จำได้ และได้ให้พรทุกคนที่มากราบทักทาย หลังจากนั้นได้พาแม่ไปที่บ้าน แม่จำได้ดี  ผมพยายามสังเกตุ แม่มีสติตลอดเวลา ไม่ว่าใครจะพูดอะไร แม่จำได้หมด ถึงแม้จะเป็นโรคอัลไซเมอร์บางขณะ  ผมไม่แปลกใจเลยทำไม?แม่ทนสภาพที่เป็นอยู่ได้หมด เพราะจิตท่านไม่ได้ป่วยตามร่างกายที่ช่วยตัวเองไม่ได้เลย  ไม่เคยบ่นอะไรเลย ยอมรับสภาพได้หมด เป็นคนแก่ที่อารมณ์ดี ผิวพันธ์ดี พยาบาลชอบ

             แม่ผมปกติจะเคลื่อนไหวมือตลอดเวลาโดยการสัมผัสกับร่างกาย เป็นการสร้างความรู้สึกตัว แม่ทำของแม่เองโดยไม่มีใครสอน เนื่องจากท่านเคยปฏิบัติธรรมอยู่วัดมาก่อน จึงมีสติตลอดเวลา  ทำให้ผมมีความเชื่อสนิทใจในสิ่งที่หลวงพ่อเทียนท่านพบและนำมาสอน คือการสร้างความรู้สึกตัวตลอดเวลานั้นสักวันมันจะรู้ขึ้นมาเองได้ และสามารถมีสติสมบูรณ์ คือรู้สึกตัวตลอดเวลา ทุกข์ก็ไม่มี เพราะแม่ผมมีสติเร็วมากๆ รู้ตัวตลอดเวลา ท่านจึงทนรับเวทนาที่ท่านประสพอยู่ได้ อย่างมากๆ นี่เป็นปรากฏการณ์หนึ่งสำหรับคนที่มีความรู้สึกตัวตลอดเวลาได้  ทั้งๆที่เป็นอำมพฤกษ์มามากว่า ๔๐ ปี และเป็นอัลไซเมอร์ด้วย  ยังมีสติได้สมบูรณ์ คือมีแต่สติปัจจุบัน ท่านจะตามทันในเรื่องที่พวกเราพูดกันได้หมด

              วันนี้เห็นแม่มีความสุข รอยยิ้ม ทำให้ผมน้องสาว พี่สาว และคนที่ดูแล มีความสุขไปด้วย ครับ

              ราตรีสวัสดิ์ทุกท่านครับ
         









      บันทึกการเข้า
เอมอร 2515
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu 2515
คณะ: รัฐศาสตร์(นิติศาสตร์)
กระทู้: 4,562

« ตอบ #2856 เมื่อ: 14 สิงหาคม 2554, 20:42:21 »

สวัสดีตอนค่ำค่ะพี่สิงห์
พี่ได้ทำในสิ่งที่ทำแล้วแม่มีความสุข ความสบายใจ ได้ไปทำบุญ ไปพบลูกหลาน เหลน
แม่คงมีความสุขมาก
พี่สิงห์เองได้ก็บุญมากเช่นกัน ที่ได้มีโอกาสกตัญญูกับแม่อีกครั้งค่ะ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2857 เมื่อ: 15 สิงหาคม 2554, 13:00:11 »

อ้างถึง
ข้อความของ เอมอร 2515 เมื่อ 14 สิงหาคม 2554, 20:42:21
สวัสดีตอนค่ำค่ะพี่สิงห์
พี่ได้ทำในสิ่งที่ทำแล้วแม่มีความสุข ความสบายใจ ได้ไปทำบุญ ไปพบลูกหลาน เหลน
แม่คงมีความสุขมาก
พี่สิงห์เองได้ก็บุญมากเช่นกัน ที่ได้มีโอกาสกตัญญูกับแม่อีกครั้งค่ะ

สวัสดีค่ะ คุณน้องเอมอร และชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน

            วันจันทร์หน้าก็เป็นวันพระ พี่สิงห์คงต้องไปทำบุญและพาแม่ไปทำบุญด้วย หลังจากนั้นค่อยไปทำงานที่ PSTC สระบุรี เพราะดูแล้ว แม่รู้สึกดีขึ้นมากๆ เป็นความสุขของท่าน ผมคงต้องกระทำให้ท่าน ดีกว่าไปทำบุญให้ท่าน เมื่อท่านจากไปแล้ว ซึ่งไม่รู้ว่าท่านจะได้รับหรือไม่ แต่ผมพาท่านไปทำบุญ ได้แน่ๆ ทั้งผมและท่านทันที คือความสุขใจที่ได้ทำ และตั้งใจจะค่อยๆพาไปพบญาติแม่ เพื่อเป็นการอำลาหรือเห็นหน้าครั้งสุดท้ายกันด้วย ดีกว่าให้เขามาเห็นแม่ เมื่อแม่จากไปแล้วครับ ผมคิดเพียงแค่นี้ คงไม่ลำบากกับผมเท่าไร เมื่อเทียบกับท่าน ที่ท่านเป็นเพียงแม่ค้าขายขนมที่ตลาดหมู่บ้าน ขายทั้งวันได้กำไรวันละไม่ถึงร้อยบาท หรือทำโรงสีหมู่บ้านได้กำไรเฉลี่ยเพียงสามร้อบบาทต่อวัน แต่ท่านไม่มีรายจ่าย เก็บเงินทั้งหมดเอาไว้ให้ลูกเรียนหนังสือ ๕ คน จบปริญญาตรี ๔ คน (นายสิบทหารบกสรรพาวุธลพบุรี ประสานมิตร แพทย์ศิริราช วิศวฯ จุฬาฯ พยาบาลจากโรงพยาบาลหญิง) ไม่ใช่เรื่องที่ใครๆจะทำได้เลย เพราะแม่จบเพียง ป. ๒ พ่อจบ ป.๔ เท่านั้น สมัยนั้นพ่อ-แม่ ไม่นิยมให้ลูกเรียนหนังสือ จะให้ลูกออกมาช่วยกันทำมาหากิน เลี้ยงครอบครัว เพราะการเรียนต้องเสียเงิน ดังนั้นทุกบ้านในหมู่บ้านจึงไม่ให้ลูกเรียนหนังสือ ยกเว้นบ้านผมที่พ่อ-แม่ ส่งเสริมให้ลูกได้เรียนหนังสือ เพราะไม่มีที่นา ไม่มีอาชีพให้ ให้ไปหาเอาเองโดยการเรียนเท่านั้น และพ่อ-แม่ ก็แนะนำไม่ได้ด้วยว่าจะให้เรียนอะไร เพราะตัวเองก็ไม่รู้เหมือนกัน

          ท่านลำบากมากับผมมากแล้ว ผมขอรับใช้ท่านบ้างครับในบั้นปลายชีวิตของแม่

          สวัสดีครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2858 เมื่อ: 15 สิงหาคม 2554, 20:47:48 »

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน

              วันนี้ผมนำสิ่งที่ผมสังเกตุเห็นจากแม่ผม และตัวผมเอง มาอธิบายถึงความเป็นไปได้ และที่ประสพมา มาแนะนำให้ผู้ป่วยโรคเรื้อรังได้ปฏิบัติ ท่านอาจจะค้นพบวิธีพ้นทุกข์โดยบังเอญได้ครับ เพราะมีเวลา ขอให้ทำไปเรื่อยๆ ดีกว่าอยู่เฉยๆ เพราะไม่มีอะไรทำครับ

              ลองพิจารณาด้วยปัญญา นะครับ และยึดหลัก กาลามสูตรไว้ให้มั่น

              ราตรีสวัสดิ์


รู้ธรรมวันละนิด  จิตผ่องใส

ตอน

การสร้างความรู้สึกตัวสำหรับผู้ป่วยโรคเรื้อรังให้มีสติล้วน ๆ

                 เมื่อประมาณสาม-สี่ปีที่ผ่านมาตอนที่แม่เริ่มรู้ตัวเองว่าไม่สามารถเดินได้ แม่จะรู้สึกทางอารมณ์ไม่พอใจ โกรธ อยากเดิน อยากไปนั่น อยากไปนี่ พูดง่ายๆ คือทำใจไม่ได้ จนสร้างความลำบากใจให้กับคนดูแล เป็นอย่างมาก

                 แต่จากการสังเกตุเห็นอย่างหนึ่ง คือแม่จะเริ่มเอามือมาสัมผัสที่ท้องวนเป็นวงกลม คือท่านสร้างความรู้สึกตัวของท่านเอง ตลอดเวลา  เวลาผมถามท่านจะตอบทันที แสดงว่าท่านมีสติระลึกได้เสมอ และถามว่าแม่คิดอะไรอยู่ แม่จะตอบ"ไม่คิด"ทันที ท่านคงค้นพบว่าถ้าทำแบบนั้นแล้วมันไม่กลุ่ม ไม่ทุกข์ ไม่หงุดหงิด ไม่อยาก คือพอทำแบบนั้น แล้วใจมันสงบ ไม่คิด เมื่อท่านค้นพบโดยบังเอิญ  ท่านจึงทำต่อเนื่องตลอดเวลา ท่านทำจนท่านหลับ และหลับไปอย่างมีความรู้สึกตัว การที่ท่านทำติดต่อกันมาสาม-สี่ปีอย่างต่อเนื่องนี่เอง มันอาจจะเป็นตัวกระตุ้น ให้ "โพธิ" หรือ "พุทธ" ที่มีอยู่แล้วในคนทุกคนให้แสดงตนออกมา การแสดงออกมาคือการมีสติล้วนๆ อยู่กับปัจจุบัน

                การมีสติล้วน ๆ นี้ จิตมันไม่คิด จิตมันรอให้สั่งให้คิด ให้กระทำ รอการตัดสินใจของเรา เมื่อเราไม่คิดจึงมีแต่ความว่างเปล่า เราเห็นมันความคิดนั้น มันรอให้เราสั่งให้คิด เต็มไปด้วยความรู้สึกล้วนๆ มันก็ไม่ได้ทุกข์อะไรเลย เราจะเห็นความคิดมันเป็นอย่างนี้เป็นอารมณ์ที่เกิดขึ้น ต่างจากการรู้คว่มคิด
 
                การรู้ความคิดคือ สิ่งที่จิตมันคิด คือมันจะคิดไปในอดีต อนาคต เป็นส่วนมาก และคิดตามที่อายตนะ ๖ สัมผัส ณ ปัจจุบัน ซึ่งมันต่างจากการเห็นความคิด

               การเห็นความคิดนั้น คือการที่จิตมันแสดงตนให้เห็นว่าธรรมชาติจิตมันเป็นอย่างนั้น แต่จะทำให้มันอยู่ถาวรตลอดเวลานั้น ผมเองก็ยังทำไม่ได้ พยายามทบทวนแล้วก็ไม่ได้ มันต้องพอเหมาะพอเจาะจริงๆ จิตมันจะแสดงตนเอง ความคิดนั้น ต้องพยายามกระตุ้นมันตลอดเวลา ด้วยการสร้างความรู้สึกตัวเป็นตัวล่อนี่ละ แล้วมันจะแสดงออกมาเอง เพ่งก็ไม่ได้ ตั้งใจก็ไม่ได้ อยากก็ไม่ได้ เพราะมันบังคับไม่ได้ มันแสดงของมันเองเมื่อถึงจุดพอดี

               กรณีของแม่ผมนั้นท่านไม่รู้อะไรเลย เพียงแต่ทำแบบนั้นแล้วมันไม่คิด เมื่อไม่คิดก็ไม่ทุกข์ ท่านจึงมีสติเร็วมากในเรื่องรับรู้ ณ ปัจจุบัน คือมีสติล้วน ๆ เพียงแต่ท่านเป็นอัลไซเมอร์เท่านั้น จึงไม่สามารถอธิบายให้เราทราบได้ แต่ท่านยังได้รับเวทนาทางร่างกาย แต่ท่านรับมันได้

               ดังนั้น ถ้าใครเป็นโรคเรื่องรัง ช่วยตัวเองไม่ได้ พยายามให้สร้างความรู้สึกตัวตลอดเวลา ด้วยการทำอย่างไรก็ได้ ให้มีการเคลื่อนไหวของอวัยวะ มือดีที่สุด ในการสร้างสัมผัสเพื่อเป็นการล่อจิต ให้มันแสดงตัวที่แท้จริงออกมา เนื่องจากคนป่วยมีเวลา สามารถทำตลอดเวลาแบบแม่ผมได้ แลัวท่านจะพบวิธีไม่ให้ทุกข์ได้ ด้วยตัวของคนไข้เอง สักวันหนึ่งมื่อมีสติล้วนๆ เกิดขึ้น


               การเห็นความคิด คือการเห็นสภาวะก่อนที่จิตมันจะคิด ซึ่งเป็นสมุฐานของความคิดทั้งหมด เมื่อเราเห็นความคิด เราจะไม่หลงติดอยู่ในความคิด เพราะเรามีความรู้สึกล้วนๆ เกิดปัญญา ที่จะคิดหรือสั่งให้จิตไม่ให้จิตมันคิดไปดังเช่นที่เป็นอยู่ได้ นี่คือต้นทางแห่งการหลุดพ้นที่แท้จริง
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #2859 เมื่อ: 15 สิงหาคม 2554, 21:38:13 »

ยินดีกับพี่สิงห์ จนยากจะบรรยายครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2860 เมื่อ: 16 สิงหาคม 2554, 20:53:42 »

รู้สุขภาพวันละนิด  จิตคลายทุกข์

ตอน

ไวรัสเริม

               เมื่อตอนตีห้าขณะขับรถ เปิดวิทยุฟังรายการ พลังชีวิต ของคุณอำมร  บรรจง  โดยมีคุณหมอจักษุแพทย์โรงพยาบาลศิริราช มาให้ความรู้ ครับ ไวรัสเริมนั้น คือไวรัสที่คนทุกคนต้องมีอยู่แล้วในประเทศไทย ไวรัสชนิดนี้มันอาศัยอยู่กับคนได้ดี คือไวรัสตระกูลโรคอีสุกอีใส งูสะวัด นั่นเอง ถึงเคยแสดงอาการมาแล้วก็ยังสามารถเกิดขึ้นอีกได้ ถ้าร่างกายเราอ่อนแอ โดยเฉพาะเมื่อชราภาพ  ปัจจุบันพบว่าหลายโรคที่เป็นโดยไม่รู้สาเหตุ นั้นพอตรวจโดยละเอียดจะพบว่ามาจากไวรัสเริมนี่เอง ซึ่งตรวจยากมากๆ ต้องใช้ค่าทดลองมากกว่าหมื่นบาทพอๆกับโรคเอดส์เลยทีเดียว ไวรัสเริมจะอยู่บริเวณปลายปราสาท

                คุณหมอบอกว่าไวรัสเริมนอกจากจะมีอยู่ในคนแล้วยังลอยอยู่ในอากาศอีกด้วย เช่นพยาบาลที่ศิริราชท่านหนึ่งเดินผ่านตึกที่กำลังทุบมีเศษฝุ่นเข้าตา เป็นตาแดง รักษาอย่างไรก็ไม่หาย สุดท้ายจากการเฝ้าสังเกต และตรวจอย่างละเอียดปรากฏว่าเป็นไวรัสเริมที่ตา รักษานานมากกว่าจะหาย และปัจจุบันที่พบมากที่สุดคือ บรรดาพวกที่ใส่คอนแทคเลน์จะพบว่าติดเชื่อไวรัสเริมเป็นจำนวนมากขึ้นจนหน้าเป็นห่วงอย่างยิ่ง จนสายตาเสียไปเลยก็มีครับ มหันตภัยจริงๆ โปรดระวัง พยายามออกกำลังกายเข้าไว้ครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2861 เมื่อ: 16 สิงหาคม 2554, 21:04:43 »

อ้างถึง
ข้อความของ เหยง 16 เมื่อ 15 สิงหาคม 2554, 21:38:13
ยินดีกับพี่สิงห์ จนยากจะบรรยายครับ
              ขอบคุณมาก คุณเหยง

                 ผมเพิ่งเริ่มต้น บังเอิญมีโชคด มีจริตที่สามารถเร้าให้จิตมันแสดงออกมาได้ จึงเห็นรูป-นาม เห็นความคิด สภาวะก่อนที่จิตมันจะคิด ซึ่งเป็นต้นทางแห่งการพ้นทุกข์

                  อารมณ์นั้นไม่สามารถบรรยายได้ อาจจะอยู่ในฌาณ แต่เราเรียกไม่ถูก เกิดขึ้นสองครั้งลักษณะเหมือนกันคือ ตอนเห็นรูป-นาม  และตอนเห็นความโกรธก่อนที่มันจะกำลังโกรธคือสภาวะก่อนจิตมันสั่งให้โกรธ

                  จึงคิดว่ามาถูกทางแล้ว เพียรแต่ต้องมีความเพียร อดทน สร้างความรู้สึกตัวล้วนๆ ให้ต่อเนื่องให้ได้ และปฏิบัติต่อไปเรื่อยๆ โดยไม่คาดหวังอะไรทั้งสิ้น เพราะมันอยากมาก ๆ ครับ  ขอเพียงไม่ส่งจิตออกนอกก็ดีมากแล้ว

                  ราตรีสวัสดิ์ทุกท่านครับ
      บันทึกการเข้า
prapasri AH
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,256

เว็บไซต์
« ตอบ #2862 เมื่อ: 16 สิงหาคม 2554, 21:05:32 »

สิงห์

เเม่เธออายุเท่าไรเเล้ว
      บันทึกการเข้า

ชาวหอ ชาวหอจุฬา สดใสเริ่งรา เมื่อมาร่วม สามัคคี
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2863 เมื่อ: 16 สิงหาคม 2554, 21:06:49 »

อ้างถึง
ข้อความของ prapasri AH เมื่อ 16 สิงหาคม 2554, 21:05:32
สิงห์

เเม่เธออายุเท่าไรเเล้ว
                 
๙๒ ปีครับ
      บันทึกการเข้า
Kaimook
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 7,132

« ตอบ #2864 เมื่อ: 17 สิงหาคม 2554, 00:40:22 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 15 สิงหาคม 2554, 13:00:11
อ้างถึง
ข้อความของ เอมอร 2515 เมื่อ 14 สิงหาคม 2554, 20:42:21
สวัสดีตอนค่ำค่ะพี่สิงห์
พี่ได้ทำในสิ่งที่ทำแล้วแม่มีความสุข ความสบายใจ ได้ไปทำบุญ ไปพบลูกหลาน เหลน
แม่คงมีความสุขมาก
พี่สิงห์เองได้ก็บุญมากเช่นกัน ที่ได้มีโอกาสกตัญญูกับแม่อีกครั้งค่ะ

สวัสดีค่ะ คุณน้องเอมอร และชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน

            วันจันทร์หน้าก็เป็นวันพระ พี่สิงห์คงต้องไปทำบุญและพาแม่ไปทำบุญด้วย หลังจากนั้นค่อยไปทำงานที่ PSTC สระบุรี เพราะดูแล้ว แม่รู้สึกดีขึ้นมากๆ เป็นความสุขของท่าน ผมคงต้องกระทำให้ท่าน ดีกว่าไปทำบุญให้ท่าน เมื่อท่านจากไปแล้ว ซึ่งไม่รู้ว่าท่านจะได้รับหรือไม่ แต่ผมพาท่านไปทำบุญ ได้แน่ๆ ทั้งผมและท่านทันที คือความสุขใจที่ได้ทำ และตั้งใจจะค่อยๆพาไปพบญาติแม่ เพื่อเป็นการอำลาหรือเห็นหน้าครั้งสุดท้ายกันด้วย ดีกว่าให้เขามาเห็นแม่ เมื่อแม่จากไปแล้วครับ ผมคิดเพียงแค่นี้ คงไม่ลำบากกับผมเท่าไร เมื่อเทียบกับท่าน ที่ท่านเป็นเพียงแม่ค้าขายขนมที่ตลาดหมู่บ้าน ขายทั้งวันได้กำไรวันละไม่ถึงร้อยบาท หรือทำโรงสีหมู่บ้านได้กำไรเฉลี่ยเพียงสามร้อบบาทต่อวัน แต่ท่านไม่มีรายจ่าย เก็บเงินทั้งหมดเอาไว้ให้ลูกเรียนหนังสือ ๕ คน จบปริญญาตรี ๔ คน (นายสิบทหารบกสรรพาวุธลพบุรี ประสานมิตร แพทย์ศิริราช วิศวฯ จุฬาฯ พยาบาลจากโรงพยาบาลหญิง) ไม่ใช่เรื่องที่ใครๆจะทำได้เลย เพราะแม่จบเพียง ป. ๒ พ่อจบ ป.๔ เท่านั้น สมัยนั้นพ่อ-แม่ ไม่นิยมให้ลูกเรียนหนังสือ จะให้ลูกออกมาช่วยกันทำมาหากิน เลี้ยงครอบครัว เพราะการเรียนต้องเสียเงิน ดังนั้นทุกบ้านในหมู่บ้านจึงไม่ให้ลูกเรียนหนังสือ ยกเว้นบ้านผมที่พ่อ-แม่ ส่งเสริมให้ลูกได้เรียนหนังสือ เพราะไม่มีที่นา ไม่มีอาชีพให้ ให้ไปหาเอาเองโดยการเรียนเท่านั้น และพ่อ-แม่ ก็แนะนำไม่ได้ด้วยว่าจะให้เรียนอะไร เพราะตัวเองก็ไม่รู้เหมือนกัน

          ท่านลำบากมากับผมมากแล้ว ผมขอรับใช้ท่านบ้างครับในบั้นปลายชีวิตของแม่

          สวัสดีครับ

กราบสวัสดีพี่สิงห์ค่ะ...ขอให้คุณแม่พี่สิงห์หายไวๆนะคะ คุณแม่พี่ต้องมีความสุขแน่ๆเลยค่ะที่มีลูกที่ดีอย่างพี่สิงห์
วันแม่ที่ผ่านมาน้ำอ้อยคิดถึงคุณแม่มากๆค่ะ(คุณแม่เสียแล้วค่ะ)ได้แต่พาคุณพ่อและพี่สาวไปเที่ยวชายทะเล และทานข้าวกลางวันร่วมกันค่ะ แม้เวลาช่วงสั้นๆแต่มีความสุขค่ะที่เห็นคุณพ่อมีความสุขทานข้าวได้....
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2865 เมื่อ: 17 สิงหาคม 2554, 08:17:47 »

สวัสดีค่ะ คุณน้องไข่มุข ที่รัก

            พี่สิงห์เสียใจด้วย ที่คุณแม่จากไปดีแล้ว เหลือคุณพ่อก็ยังดี (เพราะเมื่อไม่มีทั้งพ่อ-แม่ จะรู้ว่ามันขาดอะไรไป ไม่มีที่พึ่งครับ) พยายามไปหาท่านบ่อยๆ เข้าไว้ เพราะท่านคิดอย่างเดียวเท่านั้น รอเวลาที่ลูกๆ จะมาเยี่ยมท่าน ครับ

             สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2866 เมื่อ: 17 สิงหาคม 2554, 08:29:20 »

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน

                เช้านี้ขอนำ ชีวะประวัติของอาจารย์กำพล  ทองบุญนุ่ม มาให้ทุกท่านได้อ่าน อีกครั้ง เพื่อย้ำเตือนให้ท่านใช้ปัญญาของท่าน ในการที่จะเจริญสติสร้างความรู้สึกตัวล้วนๆ ให้เกิดขึ้นได้ ครับ

                สวัสดี ให้ยึดหลัก กาลามสูตรไว้ให้มั่น ครับ




  กำพล  ทองบุญนุ่ม

               เขาคือ อาจารย์กำพล ทองบุญนุ่ม อดีตครูพลศึกษา วิทยาลัยพลศึกษา จังหวัดอ่างทอง เรื่องของเรื่องมีอยู่ว่า วันหนึ่งขณะครูพละหนุ่มอายุเพิ่งย่าง 25 ปี กำลังกระโจนลงสระน้ำเพื่อสอนว่ายน้ำให้กับนักศึกษาตามปกติอยู่นั้นเอง โดยไม่คาดฝัน พลันศรีษะก็กระแทกเข้ากับพื้นสระอย่างแรงจนแน่นิ่งไป มารู้สึกตัวอีกทีพบว่ากระดูกต้นคอข้อที่ห้าหักไปกระทบกับระบบประสาทไขสันหลังจนกลายเป็นอัพพาต ชาไปทั้งตัว แขน ขา และ มืออยู่ในสภาพไม่พร้อมใช้งานตามปกติได้อีกนับแต่บัดนั้นหลังออกจากโรงพยาบาลอาจารย์กำพลกลายเป็นคนพิการ ต้องทนใช้ชีวิตอยู่บนรถวีลแชร์เกือบตลอด 24 ชั่วโมง ในระหว่างนี้ท่านพยายามยอมรับความจริงที่เกิดขึ้นให้ได้ แต่ยิ่งพยายามก็ยิ่งดูเหมือนตอกย้ำให้สภาพจิตใจแย่ลงไปอีก เพราะความทุกข์ที่กายและใจแบกรับอยู่นั้นมันหนักหนาเกินกว่าคนธรรมดาๆคนหนึ่งจะทำได้.. ตลอดเวลาที่ทนทุกข์อยู่บนรถเข็น ท่านเฝ้าถามตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่าว่า เราจะผ่านวิกฤตนี้ไปได้อย่างไร ย้ำคิด ย้ำทำ และ ย้ำทุกข์ ทุกข์ทั้งกาย ทุกข์ทั้งใจ จนบางวันก็ภาวนาขอให้ตัวเองล้มหายตายจากไปเสียเร็วๆด้วยซ้ำ...
                 นับแต่วันเกิดอุบัติเหตุจนเวลาล่วงไปกว่า 16 ปี อาจารย์กำพล เพียรหาวิธีดับทุกข์ให้ตัวเองด้วยธรรมะ จากคนที่ไม่เคยอ่านหนังสือธรรมะเลย กลายเป็นคนที่มีหนังสือธรรมะเต็มตู้ แต่ทุกข์นั้นก็ยังไม่หาย กระทั่งวันหนึ่งคุณพ่อของท่านได้นำเทปธรรมะและ หนังสือคู่มือปฎิบัติธรรมตามแนวทางของหลวงพ่อคำเขียน สุวัณโณ มาให้ศึกษา ท่านไม่รอช้า รีบทดลองปฎิบัติตามคู่มือที่ได้มา ซ้ำยังเขียนจดหมายไปขอฝากตัวเป็นศิษย์หลวงพ่ออีกต่างหาก..
                  การปฎิบัติธรรม ด้วยการเจริญสติ ของอาจารย์กำพล เป็นไปด้วยความยากลำบากเพราะต้องนอนปฎิบัติ เนื่องจากร่างกายเคลื่อนไหวไม่ได้ แต่ทั้งๆที่นอน "ดูใจ"(เจริญสติ) ของตัวเองอยู่นั่นเอง ผลของการปฎิบัติธรรมกลับก้าวหน้าเกินคาดราวปาฎิหาริย์ กล่าวคือ วันหนึ่งจิตของท่านได้เปลี่ยนคุณภาพใหม่ กลายเป็นจิตที่ไร้ทุกข์ มีแต่สุข และความรู้ตัวตื่นอยู่ตลอดเวลา (สติ) เมื่อได้ปฎิบัติมาได้ถึงขั้นนี้ ความทุกข์ทางกายก็ไม่เป็นปัญหาสำหรับท่านอีกต่อไป เพราะกายกับใจนั้นแยกกันเป็นคนละส่วนอยู่แล้ว..ท่านสรุปว่า.."ความพิการเป็นเรื่องของกาย แต่ใจเราไม่พิการ" นับแต่การฝึกปฎิบัติธรรมปรากฎผลอย่างเป็นรูปธรรม อาจารย์กำพลก็กลายเป็นคนใหม่อย่างสิ้นเชิง นั่นคือไม่เพียงแต่จะกลายเป็นคนที่หมดทุกข์ทางใจและมีใบหน้าเปื้อนยิ้มอยู่ลอดเวลา ถึงขนาดกล้าประกาศว่า "ผมลาออกจากความทุกข์" เท่านั้น แต่ชีวิตของท่านยังพลิกผันจนกลายมาเป็นครูสอนวิปัสสนากรรมฐานให้กับคนอื่นๆซึ่งกายไม่พิการอีกด้วย...

                 อาจารย์กำพล ทองบุญนุ่ม คือแบบอย่างของคนสู้ชีวิตที่ค้นพบโอกาสในวิกฤติได้อย่างงดงาม และสิ่งที่ท่านค้นพบไม่เพียงแต่จะทำให้ท่านพ้นทุกข์เพียงคนเดียวเท่านั้น ทว่ายังมีคนอีกมากมายที่ได้อาศัยท่านเป็นครู แล้วเพียรเจริญรอยตามจนเห็นธรรมท่ามกลางทุกข์ได้ อย่างปาฎิหาริย์อีกไม่น้อย..

                 "ในสุขมีทุกข์ ในมืดมีสว่าง และ ในวิกฤติมีโอกาส"..

คำกล่าวนี้ยังคงเป็นความสัตย์ที่ท้าทายให้เราก้าวเข้าไปพิสูจน์อยู่เสมอ ไม่ว่าวันเวลาจะผ่านไปเนิ่นนานสักเพียงใด..


คัดลอกจากหนังสือ ธรรมะสบายใจ : ท่าน ว.วชิรเมธี



                    ผมเชื่อว่า แม่ผมที่นอนสัมผัสมือกับท้องตัวเองมา ๔-๕ ปี อย่างต่อเนื่องก็คงค้นพบวิธีดับทุกข์ คือมีสติสมบูรณ์อยู่กับความรู้สึกตัวล้วนๆ จนจิตตัวเองสามารถอยู่เหนือเวทนา ที่ได้รับทางร่างกายอยู่ได้ โดยไม่ทุกข์
                 ไม่เชื่อท่านลอง เคลื่อนไหวอวัยวะ(มือ)สัมผัสร่างกายของท่าน หรือพลิกมือ หรือกำมือแบมือ หรือเจริญสติอิริยาบถนั่งสลับกับการเดินจงกรม ตามแบบการเจริญสติแบบเคลื่อนไหวของหลวงพ่อเทียน  จิตฺตสุโภ ให้มีความรู้สึกตัวล้วนๆ ตลอดเวลาให้ต่อเนื่องเป็นลูกโซ่ดูซิครับ แล้วท่านจะพบกับสิ่งมหัษจรรย์ในชีวิตท่าน ครับ
                 การรู้ “พุทธ” ด้วยการสร้างความรู้สึกตัวล้วนๆ นี้ ไม่ต้องการความรู้จากการอ่าน ฟัง คิด ใดๆ ทั้งสิ้น ต้องการเพียงแค่ขอให้มีความรู้สึกตัวล้วนๆ เกิดขึ้นตลอดเวลาเท่านั้น จิตมันจะแสดง “พุทธ” ออกมาเอง เมื่อทุกอย่างได้จังหวะลงตัวพอเหมาะ พอเจาะ พอดีเกิดขึ้น ต้องอาศัยความเพียร อดทน อดกลั้น ไม่พยายามอยากจะรู้ อยากเห็นอยาก...ทั้งสิ้น ทำเล่นๆ ไม่คิดอะไร สร้างความรู้สึกตัวล้วนๆ ให้เกิดขึ้น ไปเรื่อยๆ เท่านั้นเอง เป็นการค่าเวลาไปในตัวไปวันหนึ่งๆ ครับ
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #2867 เมื่อ: 17 สิงหาคม 2554, 11:26:51 »

กรมชลฯเตือนสัปดาห์นี้น้ำเจ้าพระยาสูงขึ้น-กระทบหลายจังหวัดภาคกลาง
วันที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2554 เวลา 08:46:49 น.

นายวีระ วงศ์แสงนาค รองอธิบดีกรมชลประทาน เปิดเผยสถานการณ์น้ำในปัจจุบันนี้ว่า น้ำในแม่น้ำยมและแม่น้ำน่าน ระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้น จากฝนที่ตกหนักในช่วง 1-2 วันที่ผ่านมา ทำให้มีปริมาณน้ำไหลต่อเนื่องไปยังจังหวัดนครสวรรค์มากถึง 1,998 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที มากกว่าปริมาณน้ำไหลที่เคยสูงสุด 1,838 ลบ.ม.ต่อวินาทีในวันที่ 7 สิงหาคมที่ผ่านมา ทำให้เขื่อนเจ้าพระยาต้องรับน้ำต่อเนื่องจากภาคเหนือมากขึ้นจากปกติ และจะทำให้ระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา ตั้งแต่วันที่ 17 สิงหาคม 2554 เพิ่มสูงขึ้นวันละ 5-10 ซ.ม. เป็นเวลา 3-4 วัน ทำให้ตลอดสัปดาห์ระดับน้ำเจ้าพระยาจะสูงขึ้น 40-50 ซ.ม.ซึ่งจะกระทบกับพื้นที่ริมตลิ่งบางส่วนของ จ.ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง และพระนครศรีอยุธยา

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1313545555&grpid=03&catid=19&subcatid=1906
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #2868 เมื่อ: 17 สิงหาคม 2554, 15:21:40 »

ประกาศของอุตุนิยมวิทยา ฉบับล่าสุดครับ

วันพุธที่ 17 สิงหาคม 2011 เวลา 14:55 น. 
กรมอุตุนิยมวิทยา
ออกประกาศเตือนภัย "ฝนตกหนักในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ "
ฉบับที่ 1 ลงวันที่ 17 สิงหาคม 2554

 
ร่องมรสุมกำลังค่อนข้างแรงพาดผ่านภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประกอบกับมีหย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณทะเลจีนใต้ ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยตอนบนมีฝนตกชุกหนาแน่น โดยที่มีฝนมีฝนตกหนักหลายพื้นที่และมีฝนตกหนักมากบางแห่งในภาคเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือ จึงขอให้ประชาชนที่อาศัยในพื้นที่เสี่ยงภัยตามที่ลาดเชิงเขา ใกล้ทางน้ำไหลผ่าน และพื้นที่ราบลุ่มบริเวณจังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงราย เชียงใหม่ พะเยา น่าน แพร่ อุตรดิตถ์ เพชรบูรณ์ เลย หนองคาย บึงกาฬ หนองบัวลำภู อุดรธานี สกลนคร และนครพนม ให้ระมัดระวังอันตรายจากฝนตกหนัก ซึ่งอาจจะทำให้เกิดสภาวะน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลากและน้ำล้นตลิ่ง ได้ในระยะ 2-3 วันนี้


ประกาศ ณ วันที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2554
ออกประกาศ เวลา 11.30 น.



      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #2869 เมื่อ: 18 สิงหาคม 2554, 08:06:14 »

พี่สิงห์ครับ

เช้านี้ฟ้ายังไม่มีเมฆดำ ฟ้าเปิดพอสมควร แต่อุตุนิยมเตือนฉบับที่ 4 เรื่องฝนตกหนักใน 1-3 วันข้างหน้า ฝนตกหนักถึงหนักมากกินพื้นที่กว่าร้อยละ 80-90 ในเกือบทุกภาคของประเทศโดยเฉพาะภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก ภาคกลาง กทม.และปริมณฑล


                    กรมอุตุนิยมวิทยา ประกาศเตือนภัย ฉบับที่ 4   เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2554 เวลา 05.30
"ฝนตกหนักในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ" ร่องมรสุมกำลังค่อนข้างแรงพาดผ่านภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ประกอบกับมีหย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณทะเลจีนใต้ ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยตอนบนมีฝนตกชุกหนาแน่น โดยที่ในภาคเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือมีฝนตกหนักหลายพื้นที่และฝนตกหนักมากบางแห่ง

จึงขอให้ประชาชนที่อาศัยในพื้นที่เสี่ยงภัยตามที่ลาดเชิงเขา ใกล้ทางน้ำไหลผ่าน และพื้นที่ราบลุ่มบริเวณจังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงราย เชียงใหม่ พะเยา น่าน แพร่ อุตรดิตถ์ พิษณุโลก สุโขทัย เพชรบูรณ์ เลย หนองคาย บึงกาฬ หนองบัวลำภู อุดรธานี สกลนคร และนครพนม ให้ระมัดระวังอันตรายจากฝนตกหนัก ซึ่งอาจจะทำให้เกิดสภาวะน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลากและน้ำล้นตลิ่ง ได้ในระยะ 1-3 วันนี้

                         พยากรณ์อากาศสำหรับประเทศไทยตั้งแต่เวลา 06:00 วันนี้ ถึง 06:00 วันพรุ่งนี้. 

ภาคเหนือ  มีฝนฟ้าคะนองเกือบทั่วไป ร้อยละ 90 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง บริเวณจังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ เชียงราย พะเยา น่าน อุตรดิตถ์ แพร่ ตาก พิษณุโลก สุโขทัย พิจิตร และเพชรบูรณ์ อุณหภูมิต่ำสุด 23-24 องศา อุณหภูมิสูงสุด 29-32 องศา ลมแปรปรวน ความเร็ว 10-25 กม./ชม.

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ  มีฝนฟ้าคะนองเกือบทั่วไป ร้อยละ 90 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางพื้นที่ บริเวณจังหวัดเลย หนองคาย บึงกาฬ อุดรธานี หนองบัวลำภู สกลนคร นครพนม กาฬสินธุ์ มุกดาหาร อำนาจเจริญ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี อุณหภูมิต่ำสุด 23-24 องศา อุณหภูมิสูงสุด 29-32 องศา ลมแปรปรวน ความเร็ว 10-30 กม./ชม.

ภาคกลาง มีฝนฟ้าคะนองเกือบทั่วไป ร้อยละ 80 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง บริเวณจังหวัดนครสวรรค์ อุทัยธานี ลพบุรี สระบุรี และพระนครศรีอยุธยา อุณหภูมิต่ำสุด 23-25 องศา อุณหภูมิสูงสุด 32-33 องศา ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-30 กม./ชม.

ภาคตะวันออก  มีฝนฟ้าคะนองเกือบทั่วไป ร้อยละ 80 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง บริเวณจังหวัดนครนายก ชลบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด อุณหภูมิต่ำสุด 23-25 องศา อุณหภูมิสูงสุด 30-33 องศา ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร ส่วนบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง คลื่นสูงประมาณ 2 เมตร

ภาคใต้ (ฝั่งตะวันออก) มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 60 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดเพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี และนครศรีธรรมราช อุณหภูมิต่ำสุด 24-25 องศา อุณหภูมิสูงสุด 31-33 องศา ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร ส่วนบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง คลื่นสูงประมาณ 2 เมตร

ภาคใต้ (ฝั่งตะวันตก)  มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 60 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดระนอง พังงา และภูเก็ต อุณหภูมิต่ำสุด 23-25 องศา อุณหภูมิสูงสุด 31-33 องศา ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร

กรุงเทพมหานครและปริมณฑล  มีฝนฟ้าคะนองเกือบทั่วไป ร้อยละ 80 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง อุณหภูมิต่ำสุด 24-25 องศา อุณหภูมิสูงสุด 30-32 องศา ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-30 กม./ชม.

      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #2870 เมื่อ: 18 สิงหาคม 2554, 12:19:59 »

สถานการณ์น้ำของแม่น้ำเข้าพระยา ณ เวลา 11.00 น.

เขื่อนเจ้าพระยาระบายน้ำเพิ่มขึ้น ส่งผลน้ำล้นตลิ่งผักไห่-บางบาล
18 สิงหาคม 2554 11:23 น.

        นายไมตรี ปิตินานนท์ ผู้อำนวยการโครงการชลประทาน จ.พระนครศรีอยุธยา เปิดเผยว่า วันนี้ (18 ส.ค.54) เขื่อนเจ้าพระยาระบายน้ำท้ายเขื่อนอยู่ที่ 1,694 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที จึงทำให้น้ำในพื้นที่ริมคลองบางหลวง ต.บางหลวง อ.บางบาล เอ่อล้นตลิ่ง และอีก 2 วันข้างหน้าเขื่อนเจ้าพระยาจะระบายน้ำเพิ่มขึ้นอีก ซึ่งจะทำให้มวลน้ำที่ระบายออกมาสูงขึ้นอีก 30 เซนติเมตร
        ทางด้าน นายสิทธิพล เสงี่ยม หัวหน้าสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จ.พระนครศรีอยุธยา กล่าวว่า จากการที่กรมชลประทานปล่อยน้ำจากเขื่อนเจ้าพระยาเพิ่มขึ้นในวันนี้ ทำให้ที่ อ.ผักไห่ และบางบาล น้ำล้นตลิ่งในแม่น้ำน้อยเพิ่มสูงขึ้น 15 เซนติเมตร แต่ยังไม่ถึงคันกั้นน้ำ ล่าสุด ได้ส่งเจ้าหน้าที่ออกสำรวจอย่างเร่งด่วน เพื่อเตรียมอพยพประชาชนที่อยู่ริมตลิ่งไปอาศัยอยู่บนถนน โดยสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด จะเตรียมเต็นท์ชั่วคราว พร้อมห้องสุขาเคลื่อนที่ให้
        อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ ทางจังหวัดได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้ความช่วยเหลือประชาชนเบื้องต้นไปแล้วด้วยการวางแนวกระสอบทราย จัดซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงในการสูบน้ำออกจากพื้นที่ที่ประสบอุทกภัย รวมถึงจัดกระดานไม้ เรือ และห้องสุขา

 
จาก http://www.manager.co.th/asp-bin/mgrView.asp?NewsID=9540000103469
 
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2871 เมื่อ: 18 สิงหาคม 2554, 13:14:43 »

สวัสดีครับ คุณเหยงและชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน

                       ขอบคุณมากที่นำรายงานพยากรณ์อากาศ มาแจ้งให้ทราบ จะได้เตรียมการณ์รับสถานการณ์น้ำท้วมได้ทันครับ

                       ผมอยู่สนามบินดอนเมืองเพื่อเดินทางไปทำงานที่นครศรีธรรมราช ครับ

                       สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2872 เมื่อ: 18 สิงหาคม 2554, 21:03:10 »

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน

                  พี่สิงห์อยู่นครศรีธรรมราช พอมาถึงโรงแรม หัวหน้าแผนกต้อนรับ หาว่าอาจารย์มานพ  พาฝนมาด้วย คือฝนตกตลอดเย็น แต่ขณะเครื่องบินจะลงที่นครศรีธรรมราช มองลงมาพื้นที่รับน้ำ ยังไม่มีน้ำแสดงว่าฝนไม่ได้ตกมาหลายวัน ครับ

                  พี่สิงห์เลยต้องไปวิ่งลู่วิ่งห้องออกกำลังกายแทนเดินเร็วๆไป ๖๕ นาที ได้ระยะทาง ๕.๘ กิโลเมตร เผาพลังงานไป ๕๐๐ แคลอรี่ จึงไปรำ TAI CHI โยคะ และนั่งเจริญสติให้เหงื่อแห้ง จึงไปอบซาวน่าต่อ อาทิตย์นี้นำหนักเหลือ ๖๖.๕ กิโลกรัม ครับ

                  พี่สิงห์ขอนำสาระน่ารู้จากพระอรหันต์ พุทธสาวก ลำดับที่ ๕ พระปุณณามันตานี พระอาจารย์ผู้สอนธรรมแก่พระอานนท์ มานำเสนอให้ทุกท่านได้ทราบ  สิ่งสำคัญคือคำสอนของท่าน ที่ท่านปฏิบัติอย่างไรเกี่ยวกับตัวท่าน ท่านก็นำสิ่งนั้นไปสอนลูกศิษย์ ครับ

                  เชิญติดตามดูนะครับ ราตรีสวัสดิ์ทุกท่านครับ



รู้ธรรมวันละนิด  จิตผ่องใส

ตอน

พระอรหันต์ พุทธสาวกผู้เป็นเอตทัคคะ ลำดับที่ ๕

พระปุณณมันตานีบุตรเถระ

เอตทัคคะในทางผู้เป็นพระธรรมกถึก

               พระปุณณมันตานี เกิดในตระกูลพราหมณ์มหาศาล ในหมู่บ้านพราหมณ์โทณวัตถุ อันไม่ห่างไกลจากกรุงกบิลพัสดุ์มากนัก เดิมท่านมีชื่อว่า “ปุณณะ” แต่เนื่องจากมารดาของท่านชื่อนางมันตานี คนทั่วไปจึงมักเรียกท่านว่า “ปุณณมันตานีบุตร” และโดยสายเลือดนับว่าท่านเป็นหลานของพระอัญญาโกณฑัญญะ
               พระปุณณมันตานี ได้เข้ามาบวชในพุทธศาสนา โดยการชักนำของพระอัญญาโกณฑัญญเถระ ผู้เป็นลุง ในสมัยเมื่อพระพุทธองค์หลังจากทรงจำพรรษาแรกที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน พอออกพรรษาแล้วทรงส่งสาวกจำนวน ๖๐ รูป ออกประกาศพระศาสนานับว่าเป็นพระธรรมทูตรุ่นแรก พระอัญญาโกณฑัญญะ ก็เป็นอีกรูปหนึ่งในจำนวนนั้นด้วย ท่านได้กลับไปที่บ้านของท่านแสดงธรรมโปรดญาติพี่น้อง ขณะนั้น ปุณณมันตานี บุตรหลานชายของท่านเกิดศรัทธาเลื่อมใสขอบวชในพุทธศาสนา ซึ่งท่านให้บรรพชาเป็นสามเณรไว้ก่อน แล้วพาไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าที่กรุงราชคฤห์ พระพุทธองค์ประทานการอุปสมบทให้ เมื่อบวชแล้วไม่นานอุตสาห์บำเพ็ญเพียร เจริญวิปัสสนากรรมฐานก็ได้บรรลุพระอรหัตผล

•    ปฏิบัติอย่างไรสอนอย่างนั้นเมื่อท่านบรรลุเป็นพระอรหันต์แล้ว มีปฏิปทาตั้งมั่นอยู่ในคุณธรรม ๑๐ ประการ คือ:-
                ๑ อัปปิจฉตา เรื่องความปรารถนาน้อย
                ๒ สันตุฏฐิตา เรื่องความสันโดษ
                ๓ ปวิเวกตา เรื่องความสงัด
                ๔ อสังสัคคตา เรื่องความไม่คลุกคลีด้วยหมู่คณะ
                ๕ วิริยารัมภะ เรื่องความเพียร
                ๖ สีลตา เรื่องศีล
                ๗ สมาธิ เรื่องสมาธิ
                ๘ ปัญญา เรื่องปัญญา
                ๙ วิมุตติ เรื่องความหลุดพ้น
                ๑๐ วิมุตติญาณทัสนะ เรื่องความรู้ความเห็นว่าหลุดพ้น
                คุณธรรม หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า กถาวัตถุ ๑๐ ประการนี้กล่าวสั้น ๆ ก็คือ มักน้อย สันโดษ ชอบสงัด ไม่คลุกคลีด้วยหมู่คณะ ปรารภความเพียร บริบูรณ์ด้วยศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ วิมุตติญาณทัสนะ ท่านพระปุณณมันตานีบุตรเถระ จะสั่งสอนบริษัทบริวารของท่านด้วยคุณธรรม ๑๐ ประการนี้ จากท่าน จนได้สำเร็จเป็นพระโสดาบัน ด้วยเหตุนี้ ภิกษุผู้เป็นศิษย์ของท่านไม่ว่าจะไปสู่ที่ใด ๆ ก็จะพากันกล่าวยกย่องพรรณนาคุณของพระปุณณมันตานีบุตรเถระ ผู้เป็นพระอุปัชฌาย์ของตน ให้ปรากฏแก่พุทธบริษัทในที่นั้น ๆ เสมอ แม้พระสารีบุตรเถระ ได้ทราบข่าวคุณธรรมของท่านแล้ว ก็มีความปรารถนาจะได้สนทนาธรรมกับท่าน
 
•     สนทนาธรรมกับพระสารีบุตร
                สมัยหนึ่ง สมเด็จพระผู้มีพระภาคเสด็จมายังเมืองสาวัตถี ณ ที่นั้นพระสารีบุตรกับพระปุณณมันตานีบุตร ได้มีโอกาสพบกัน พระสารีบุตรได้สนทนาไต่ถามท่านเกี่ยวกับวิสุทธิ ๗ ประการ อันได้แก่:-
                ๑ ลีลวิสุทธิ ความหมดจดแห่งศีล
                ๒ จิตตวิสุทธิ ความหมดจดแห่งจิต
                ๓ ทิฏฐิวิสุทธิ ความหมดจดแห่งทิฏฐิ
                ๔ กังขาวิตรณวิสุทธิ ความหมดจดแห่งญาณเป็นเครื่องข้ามพ้นความสงสัย
                ๕ มัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ ความหมดจดแห่งญาณเป็นเครื่องเห็นว่า หรือมิใช่ทาง
                ๖ ปฏิปาญาณทัสสนวิสุทธิ ความหมดจดแห่งญาณเป็นเครื่องเห็นทางปฏิบัติ
                ๗ ญาณทัสสนวิสุทธิ ความหมดจดแห่งญาณทัสสนะกล่าวคือมรรคญาณ
                พระปุณณมันตานีบุตร ได้ถวายคำอธิบายว่า วิสุทธิ ๗ นี้ ย่อมเป็นปัจจัยอาศัยส่งต่อกันไปจนถึงพระนิพพาน ท่านเปรียบเหมือน ๗ คน ที่ส่งต่อ ๆ พลัดกันไปโดยลำดับเมื่อการสนทนาไต่ถามกันและกันจบลง พระเถระทั้งสองต่างก็กล่าวอนุโมทนาคุณกถาของกันและกัน และแยกกันกลับสู่ที่พักของตนเพราะความที่พระปุณณมันตานีบุตรเถระ ท่านดำรงต้นตั้งมั่นอยู่ในคุณธรรมเช่นไร ก็สั่งสอนบรรดาศิษย์และพุทธบริษัทอื่น ๆ ให้ดำรงอยู่ในคุณธรรมนั้นด้วยพระผู้มีพระภาค จึงทรงยกย่องท่านในตำแหน่งเอตทัคคะ เป็นเลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย ในทาง ผู้เป็นพระธรรมกถึก
                พระปุณณมันตานีบุตรเถระ ดำรงอายุสังขาร ช่วยกิจการพระศาสนาพอสมควรแก่กาล
เวลาแล้ว ก็ดับขันธปรินิพพาน
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2873 เมื่อ: 19 สิงหาคม 2554, 08:19:20 »

สวัสดียามเช้าครับ ชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน

                เช้านี้อากาศแจ่มใสมีแสงแดดครับ ที่นครศรีธรรมราช ฝนคงไม่ตก  แต่จะไปตกยามบ่าย

                วันนี้เช้า ผมนั่งเจริญสติตั้งแต่ตีห้า ถึงหกโมงเช้า ต่อด้วยเดินจงกรม รำ TAI  CHI และโนคะท่านมัสการพระอาทิตย์ ๓ รอบ จึงเอาลูกเสาวรสมารับประทานแก้เหนื่อย และได้แบ่งลูกเสาวรสให้กับสาวที่เห็นหน้ากันประจำเวลาออกกำลังกายเช้า-เย็น สาวคนนี้จะวิ่งบนลู่วิ่งแต่ละครั้งมากกว่าหนึ่งชั่วโมง เมื่อวานเขาสวัสดีผม เช้านี้เลยเอาลุกเสาวรสไปแบ่งปันให้ครับ

                 หลายท่านอ่านประวัติพระปุณณมันตานีบุตรเถระ  อาจจะสงสัยว่า "ธรรมกถึก" มีความหมายว่าอย่างไร ผมมีคำตอบมาให้ครับ

                 สวัสดียามเช้าทุกท่านครับ อ้ออย่าลืมเช้านี้ทำจิตให้ผ่องใสไว้นะครับ



รู้ธรรมวันละนิด  จิตผ่องใส

ตอน

อย่างไรจึงเรียกว่า ‘พระธรรมกถึก (ผู้กล่าวสอนธรรม)’

                                           นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ
                                      นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ
                                      นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ

                                      ขอนอบน้อมแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
                                      อีกทั้งพระธรรม อีกทั้งพระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
                                      ผู้เป็นเนื้อนาบุญอันประเสริฐของสรรพสัตว์ทั้งหลาย


               ในยุคสมัยแห่งความสับสนในเรื่องความดีความไม่ดี ทำอย่างไรแค่ไหนอยู่ในขอบเขตแห่งความดี ความพอดี เป็นบุญ ทำอย่างไรแค่ไหนเรียกว่าไม่ดี ไม่เหมาะ บาป ในยุคสมัยที่มีแต่ผู้คนสงสัย ลังเล ว่าจริยธรรมคืออะไร จรรยาบรรณคืออะไร มีขอบเขตแค่ไหน

               ในยุคสมัยที่ผู้มุ่งแสวงหาธรรมะของจริงของแท้ หวังพึ่งพระธรรมแท้ๆ มาช่วยแก้ปัญหาชีวิตหรือมาช่วยพัฒนาตน พัฒนาปัญญา พัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ หรือพัฒนาแผ้วถางหนทางแห่งการพ้นออกไปเสียจากทุกข์ทั้งปวง

               ในยุคสมัยที่ในทุกสังคม ไม่เว้นแม้ในแวดวงพระพุทธศาสนา ความเป็นวัตถุนิยม หรือภาษาธรรมก็คือ กิเลสในลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ไม่เลือกใครทั้งนั้น กิเลสในลาภ ยศ สรรเสริญ สุข จับใครก็ได้ มาเป็นเหยื่อได้หมด นอกจากกิ้เลสในลาภ ยศ สรรเสริญ สุข แล้ว ก็ยังมีการบัญญัติธรรมขึ้นใหม่ ไขว้เขวไปเสียจากทางตรง ที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนไว้ดีแล้ว ตรงแล้ว

               คำว่า พระธรรมกถึก ในพจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ โดยพระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต) แสดงไว้ว่า หมายถึง ผู้กล่าวสอนธรรม ผู้แสดงธรรม นักเทศน์

               พระพุทธองค์ทรงแสดงความหมายเกี่ยวกับ พระธรรมกถึก ไว้ว่า คือ ผู้แสดงธรรม เพื่อให้เกิดความเบื่อหน่ายและคลายกำหนัดในทุกขสัจจะ (ทุกขสัจจะ ก็คือ ตา – หู – จมูก – ลิ้น – กาย – ใจหรือ ก็คือ กายกับใจ นั่นเอง )

               ผู้แสดงธรรมเพื่อให้ผู้ฟังสามารถดับตา หู จมูก ลิ้นกายและใจ (ก็คือ เพื่อจะได้ไม่ต้องเกิดอีก เพื่อจะได้ไม่ต้องมีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจอันเป็นเครื่องต่อภพต่อชาติ ต่อกิเลส ตัณหา อุปาทานอีก)

               เราจึงมักพบเห็นว่าพระธรรมกถึก มักแสดงธรรมที่เรียบง่ายไม่ก่อให้เกิดกิเลส ไม่กระตุ้นให้เกิดกิเลส พระธรรมกถึก มักแสดงธรรมที่ทำให้จิตใจสว่างไสว เกิดความสบายใจ เบาใจ เกิดปัญญา เป็นธรรมที่ล้างใจให้สะอาดขึ้น บริสุทธิ์ขึ้นได้ ตามกำลังของผู้รับ

               พระธรรมกถึก มักแสดงเกี่ยวกับศีล สั่งสอนให้อยู่ในศีลอย่างต่ำก็ศีลห้า และแสดงธรรมเกี่ยวกับการปฏิบัติตนเพื่อลด-ละ-กิเลส แสดงธรรมเกี่ยวกับการเจริญสติเจริญปัญญา ถ้าเป็นชาวโลก ก็แสดงโลกธรรมแปด ให้สรรพสัตว์ มีชีวิตอยู่อย่างเป็นคนดี มีศีลธรรม รู้จักการทำบุญทำทานที่ถูกต้องพอเหมาะพอดีแก่ตน รู้จักการรักษาศีลและเจริญภาวนาที่พอเหมาะกับตน เพื่อจะได้รู้จักการอยู่กับโลกธรรมแปด อย่างผู้มีสติและประกอบด้วยปัญญา รู้เท่าทันความไม่เที่ยง-เป็นทุกข์และไม่ใช่สิ่งที่ใครบังคับบัญชาได้ ของโลกธรรมทั้งแปด (ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข และ เสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์) ถ้าเป็นผู้มุ่งสู่การพ้นทุกข์อย่างจริงจัง แน่วแน่ มุ่งมั่นและเร่งรีบแล้ว ก็จะแสดงสติปัฏฐานสี่ และวิปัสสนากรรมฐานตามแนวสติปัฏฐานสี่ แสดงบัญญัติธรรมและปรมัตถธรรมเพื่อการปฏิบัติ และแนะนำการปฏิบัติตนอย่างพอเหมาะพอควรแก่แต่ละคนๆ เพื่อเร่งให้ถึงซึ่งความพ้นทุกข์ตามที่ปรารถนา


               ดังนั้นผู้ใดแสดงธรรมไม่เป็นไปตามนี้ก็น่าจะเป็นข้อพึงสังเกตได้ว่าผู้นั้นเป็น ‘พระธรรมกถึก’ ตามความหมายที่พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้ หรือไม่ แค่ไหน อย่างไร คำสอนของผู้นั้น พึงเชื่อถือ ปฏิบัติตาม หรือไม่ แค่ไหน อย่างไร

                เพื่อเราแต่ละชีวิต จะได้ไม่ต้องเสียเวลาหลงทางหรือเดินทางอ้อมไปกับสิ่งที่ไม่ใช่ของแท้ ไม่เสียเวลาไปกับธรรมที่ปนเปื้อนหรือดัดแปลงเฉไฉ อันอาจทำให้เราเสี่ยงต่อการเป็นมิจฉาทิฏฐิหนักยิ่งขึ้นไปอีก เสียเวลาเวียนว่ายตายเกิดเสียเวลาทุกข์ต่อไปในสังสารวัฏยาวนานยิ่งขึ้นไปอีกกว่าที่ควรจะเป็น ทั้งๆ ที่ พระธรรมกถึก ของแท้ยังมีอยู่มากมายในเมืองไทยนี้ให้สามารถพึ่งพิงชี้แนะทางได้จริง ตามหลักธรรมที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนไว้ดีแล้วประเสริฐแล้ว


อย่าลืมค้นหา "พระธรรมกถึก" แบบพระปุณณมันตานีบุตรเถระให้พบ  
เมื่อพบแล้วอย่าลืมแนะนำ กันบ้าง
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #2874 เมื่อ: 19 สิงหาคม 2554, 09:11:41 »

                  กรมอุตุนิยมวิทยาประกาศเตือนภัย ฉบับที่ 7 ลงวันที่ 19 สิงหาคม 2554 ( 05.30 น. )

"ฝนตกหนักในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ" ร่องมรสุมกำลังค่อนข้างแรงยังคงพาดผ่านภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยตอนบนยังคงมีฝนตกชุกหนาแน่น โดยเฉพาะในภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีฝนตกหนักหลายพื้นที่ และมีฝนตกหนักมากบางแห่ง

จึงขอให้ประชาชนที่อาศัย ในพื้นที่เสี่ยงภัยตามที่ลาดเชิงเขา ใกล้ทางน้ำไหลผ่าน และพื้นที่ราบลุ่มบริเวณภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ให้ระมัดระวังอันตรายจากสภาวะน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก และน้ำล้นตลิ่ง ในระยะ 1-3 วันนี้  อนึ่ง เนื่องจากปริมาณน้ำในแม่น้ำปราจีนบุรีเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับในช่วงนี้ จะมีปริมาณฝนตกหนักเกิดขึ้นในภาคตะวันออก จึงขอให้ประชาชนที่อาศัยในบริเวณพื้นที่ดังกล่าวระมัดระวังอันตรายจากสภาวะน้ำล้นตลิ่งที่เกิดจากฝนตกหนักในช่วงนี้ไว้ด้วย

                       พยากรณ์อากาศสำหรับประเทศไทยตั้งแต่เวลา 06:00 วันนี้ ถึง 06:00 วันพรุ่งนี้.  

ภาคเหนือ มีฝนฟ้าคะนองทั่วไป ร้อยละ 90 ของพื้นที่ โดยมีฝนตกหนักหลายพื้นที่และมีฝนตกหนักมากบางแห่ง อุณหภูมิต่ำสุด 23-24 องศา อุณหภูมิสูงสุด 29-33 องศา ลมแปรปรวน ความเร็ว 10-25 กม./ชม.

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ  มีฝนฟ้าคะนองทั่วไป ร้อยละ 90 ของพื้นที่ โดยมีฝนตกหนักหลายพื้นที่และมีฝนตกหนักมากบางแห่ง อุณหภูมิต่ำสุด 22-23 องศา อุณหภูมิสูงสุด 29-30 องศา ลมแปรปรวน ความเร็ว 10-30 กม./ชม.

ภาคกลาง  มีฝนฟ้าคะนองเกือบทั่วไป ร้อยละ 80 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง บริเวณจังหวัดนครสวรรค์ อุทัยธานี ลพบุรี สระบุรี พระนครศรีอยุธยา กาญจนบุรี และราชบุรี อุณหภูมิต่ำสุด 23-25 องศา อุณหภูมิสูงสุด 32-34 องศา ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-30 กม./ชม.

ภาคตะวันออก  มีฝนฟ้าคะนองเกือบทั่วไป ร้อยละ 80 ของพื้นที่ กับมีลมกระโชกแรงและมีฝนตกหนักบางแห่งบริเวณจังหวัดนครนายก ชลบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด อุณหภูมิต่ำสุด 23-26 องศา อุณหภูมิสูงสุด 31-33 องศา ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 20-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร

ภาคใต้ (ฝั่งตะวันออก)  มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 60 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง บริเวณจังหวัดเพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร และสุราษฎร์ธานี อุณหภูมิต่ำสุด 24-25 องศา อุณหภูมิสูงสุด 32-35 องศา ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร ส่วนบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง คลื่นสูงประมาณ 2 เมตร

ภาคใต้ (ฝั่งตะวันตก)  มีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆ ร้อยละ 30 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดกระบี่ ตรัง และสตูล อุณหภูมิต่ำสุด 22-25 องศา อุณหภูมิสูงสุด 32-35 องศา ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร

กรุงเทพมหานครและปริมณฑล มีฝนฟ้าคะนองเกือบทั่วไป ร้อยละ 80 ของพื้นที่ กับมีลมกระโชกแรงและมีฝนตกหนักบางแห่ง อุณหภูมิต่ำสุด 24-26 องศา อุณหภูมิสูงสุด 32-34 องศา ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-35 กม./ชม.


      บันทึกการเข้า
  หน้า: 1 ... 113 114 [115] 116 117 ... 681   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

ทำไมหอพักนิสิตจุฬาจึงเป็นดินแดนมหัศจรรย์            " ไม่ได้เป็นแค่หอให้นอนพัก  แต่เป็นบ้านอบอุ่นรักให้อาศัย  ไม่เป็นแค่ที่ซุกหัวยามหลบภัย  แต่สร้างใจให้เข้มแข็งแกร่งการงาน"  <))))><