23 พฤศจิกายน 2567, 18:33:58
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 89 90 [91] 92 93 ... 681   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: คุย กับ คุณมานพ กลับดี อดีตประธานชมรม ๓ สมัย  (อ่าน 3561737 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 31 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2250 เมื่อ: 09 มิถุนายน 2554, 20:34:45 »

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่งที่รักทุกท่าน
                       พี่สิงห์อยู่นครศรีธรรมราช ครับ ตอนเย็นฝนลงเม็ดนิดหน่อย แต่พี่สิงห์ยังสามารถ เดินจงกรมออกกำลังกายได้หนึ่งชั่วโมง ต่อด้วย    ชิกง  โยคะ และนั่งเจริญสติให้เหงื่อแห้ง  วันนี้ถือศีล ๘ เลยงดอาหารมื้อเย็น
                        ช่วงนี้ที่โรงแรมคึกคักครับมีการสัมมนาตลอด สำหรับเรื่องการหาเสียงที่นครศรีธรรมราช  พี่สิงห์ไม่ทราบเลย เพราะไม่อย่างทุกข์ใจ  ขอไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น ครับ
                        ก่อนมานครศรีธรรมราช ได้คุยกับอาจารย์ถาวร    โชติชื่น  พยายามชักชวนให้มาช่วยพี่สิงห์เขียน ก็ไม่ยอม อุเบกขา ท่าเดียว พี่สิงห์ก็เขียนไม่ค่อยเป็น  การปฏิบัติธรรม ก็ไม่มีความก้าวหน้า  กำลังหาข้อผิดพลาดอยู่  ได้แต่มีความสงบสามารถเป็นสมาธิอยู่กับสิ่งที่กำลังกระทำได้นาน จิตไม่ส่งออกนอก  พี่สิงห์ว่า จะตื่นตีสี่ครึ่งมานั่งเจริญสติ เพราะเช้ามืดมันสงบดี แต่ต้องนอนหัวค่ำขึ้น  จะได้ไม่ง่วงนอนเวลาทำงาน จะลองดูซิจะเป็นอย่างไรบ้าง
                        สำหรับศาลาวัดพระนอน นั้นได้ข้อสรุปกับทางอาจารย์เผ่า คือทำหลังคาใหม่ทั้งหมดก่อน และซ่อมฝ้าเพดานใหม่  ถ้ามีเงินเหลือก็ซ่อมคาน ซ่อมพื้น คงพอใช้งานไปได้อีกสิบห้าปี  สร้างใหม่คงไม่ไหว สตางค์ไม่พอ ก็เรียนให้ทราบตามนี้
                        ราตรีสวัสดิ์ทุกท่านครับ
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #2251 เมื่อ: 09 มิถุนายน 2554, 20:58:50 »

พี่สิงห์

คุณถาวร โชติชื่น ชำนาญการเจรจา โต้วาที แต่พี่สิงห์ให้มาเขียนบทความในเว็ป ก็จบเห่ซิครับ
เขาจึงต้องวางอุเบกขา ไม่รับเรื่องเขียนอย่างแน่นอน
ต้องให้เว็ปซีมะโด่ง สามารถกระจายเสียงได้แบบวิทยุ นั่นล่ะจะเข้าทางของคุณถาวรเลย
      บันทึกการเข้า
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #2252 เมื่อ: 10 มิถุนายน 2554, 02:26:28 »

ขอบพระคุณยิ่งขอรับ
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
suriya2513
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,457

« ตอบ #2253 เมื่อ: 10 มิถุนายน 2554, 02:33:42 »

อ้างถึง
ข้อความของ เหยง 16 เมื่อ 09 มิถุนายน 2554, 20:58:50
พี่สิงห์

คุณถาวร โชติชื่น ชำนาญการเจรจา โต้วาที แต่พี่สิงห์ให้มาเขียนบทความในเว็ป ก็จบเห่ซิครับ
เขาจึงต้องวางอุเบกขา ไม่รับเรื่องเขียนอย่างแน่นอน
ต้องให้เว็ปซีมะโด่ง สามารถกระจายเสียงได้แบบวิทยุ นั่นล่ะจะเข้าทางของคุณถาวรเลย

ถ้าคุณพิเชษฐ์ ไม่บอก ไม่มีใครไม่รู้นะครับเนี่ย
      บันทึกการเข้า

[โบราณคดี]จุดกำเนิดเริ่มต้นของ cmadong.com by : มานพ กลับดี  คลิ๊ก->
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2254 เมื่อ: 10 มิถุนายน 2554, 05:29:43 »

อ้างถึง
ข้อความของ เหยง 16 เมื่อ 09 มิถุนายน 2554, 20:58:50
พี่สิงห์

คุณถาวร โชติชื่น ชำนาญการเจรจา โต้วาที แต่พี่สิงห์ให้มาเขียนบทความในเว็ป ก็จบเห่ซิครับ
เขาจึงต้องวางอุเบกขา ไม่รับเรื่องเขียนอย่างแน่นอน
ต้องให้เว็ปซีมะโด่ง สามารถกระจายเสียงได้แบบวิทยุ นั่นล่ะจะเข้าทางของคุณถาวรเลย

ผมก็ว่าอย่างนั้น นี่คือความจริง อาจารย์ถาวร  โชติชื่น  เก่งแต่พูด  เขียนหนังสือนั้น ผมว่าถูกต้องตามที่คุณเหยง ได้กล่าวไว้ทุกประการ (สร้างความยั่วยวน ทำให้เกิดกิเลส  พรุ่งพล่าน เดือดดาลใจ ที่มีคนมาสบประมาท แต่มันเรื่องจริง)
                     ขอบคุณมาก
                     อรุณสวัสดิ์ทุกท่านครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2255 เมื่อ: 10 มิถุนายน 2554, 05:54:39 »


อรุณสวัสดิ์ครับ ชาวซีมะโด่งที่รักทุกท่าน
                       เพื่อให้เข้ากับบรรยากาศการนำเสนอให้คุณโด่งและทุกท่านที่สนใจการเจริญสติแบบเคลื่อนไหวของหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ  ผมเลยนำธรรมะบรรยายที่ท่านได้บรรยายไว้ ซึ่งท่านขุน ๒๘ นำหนังสือมาให้ผม ผมก็เลยเดาเอาว่าท่านขุน ๒๘ ต้องการให้ผมนำมาเผยแผ่ ต่อให้กับคนที่อยากรู้  ผมจึงคัดลอกมาให้ทุกท่านได้อ่านเป็นตอน ๆ ไปพราง ๆ จนกว่าผมจะสามารถเขียนเองได้ นะครับ
                       เชิญทุกท่านติดตามเลยครับ(27009)

รู้ธรรมวันละนิด จิตผ่องใส
ตอนที่ ๙
จิตหลุดพ้นแล้ว ญาณย่อมมี



ธรรมบรรยายของ หลวงพ่อเทียน  จิตฺตสุโภ
*********

ค่าของความสนใจ

                        ตั้งใจฟัง ที่พวกเรามาที่นี่ หรือมาเจริญสติ มาเจริญปัญญา การเจริญสติ การเจริญปัญญานั้นเรียกว่า เจริญวิปัสสนา การเจริญวิปัสสนานี้ มันเป็นขั้นปัญญาไม่ใช่เป็นการรักษาศีล ให้ทาน หรือการทำสมถกรรมฐานเหล่านั้น ไม่ใช่อย่างนั้น คนเราส่วนมาก ไม่สนใจเรื่องเจริญสติ หรือเรื่องเจริญวิปัสสนา จึงเข้าใจหลักพุทธศาสนานี่น้อยเกินไป ไม่เข้าใจอย่างแท้จริง แม้จะบวชมาแล้ว ศึกษาเล่าเรียนพระไตรปิฎกก็ตาม ทุกวันนี้ ดูคนถือพุทธศาสนานั้น ไม่ได้เข้าถึงเนื้อแท้ของพุทะศาสนา เป็นเพียงศาสนาเปลือกๆ เท่านั้น

สิ่งที่พระพุทธเจ้ามิได้สอน

             เรื่องการทำบุญ ให้ทาน รักษาศีล หรือทำสมถกรรมฐานนั้น เขาสอนกันอยู่แล้ว หรือสอนมาก่อนพระพุทธเจ้าของเรา พระพุทธเจ้าของเราที่เราเคารพนับถือว่า เป็นพระอรหันต์นั้น ไม่ได้สอนเรื่องนี้ ถ้าสอนเรื่องนี้ก็ต้องสอนซ้ำซากเขา อย่างที่ทำสมถกรรมฐานจนได้ อรูปฌานสมาบัติ ๘ ผู้ที่เคยได้บวชเรียนเขียนอ่านต้องรู้ ไม่ใช่เป็นการทำบุญ ให้ทาน รักษาศีล แม้เขาทำสมถกรรมฐานจนได้อรูปฌานสมาบัติ ๘ แล้ว นั้น ไม่ใช่เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าสอนเรื่องทุกข์ ทุกคนต้องรู้ว่า พระพุทธเจ้าสอนเรื่องทุกข์ คำว่าสอนเรื่องทุกข์นี้ หมายถึงอะไร ก็ หมายถึงสอนให้ ไม่มีทุกข์นั่นเอง

รู้แจ้ง  รู้จริง  รู้จำ  รู้จัก
                      ดังนั้น คนเจริญวิปัสสนานั้น จึง (เป็น) ขั้นปัญญา ไม่ใช่เป็นขั้นทำบุญ ให้ทาน รักษาศีล, ขั้นปัญญา ขั้นรู้แจ้ง รู้จริงและรู้จริงๆ เรื่องนี้, ไม่ใช่รู้จำ, ไม่ใช่รู้จำ รู้จัก, รู้จำ รู้จักนั้น มันรู้กับ (จาก) เพื่อนพูดให้ฟัง หรือจำมาจากตำรับตำรา ถ้าเป็นการรู้แจ้ง รู้จริงนั้น รู้ด้วยปัญญา รู้ด้วยญาณทัศนะ เห็นแจ้ง รู้จริง

สิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน
   ดังนั้น เรื่องนิพพานนี้ เรามาพูดกันเรื่องนิพพาน  เรื่องไม่มีทุกข์  คนมีทุกข์ไปนิพพานไม่ได้  เพราะนิพพานมันเป็นเรื่องไม่มีทุกข์เท่านั้นเอง   คนใดยังมีทุกข์อยู่แล้วจะไปนิพพานไม่ได้  ที่พูดนี้  ไม่ได้พูดเรื่องการทำบุญ ไม่ได้พูดนั้นเอง  ความทุกข์นั้น  เราไม่เข้าใจ (คิด) ว่า  ทุกข์ไม่มีเงิน  ทุกข์ไม่มีทอง  ไม่มีข้าว  ไม่มีของ  เราเข้าใจกันอย่างนี้  แต่ความจริงพระพุทะเจ้าไม่ได้พูดอย่างนี้  พระพุทะเจ้าเป็น (พระ) มหากัตริย์  ไม่เคยจนเงิน  ไม่เคยจะจนอะไรทั้งหมดเลย  แต่พระพุทธเจ้าเข้าใจว่า  ทุกข์ คือความเดือดร้อน  คือความโกรธ  ความโลภ  ความหลงนี่เอง  หรือความพอใจ  ความไม่พอใจนี่เอง  พระพุทธเจ้าหาวิธีที่จะมาดับทุกข์เรื่องนี้

ทางมิใช่ทาง

                       บัดนี้  เราก็เลยไปทำบุญ  ให้ทาน  รักษาศีล  ทำกรรมฐานเพื่อให้หมดอย่างนี้  แต่มันหมดไม่ได้  นี้แหละ พวกเราเคยศึกษาธรรมะว่า “ทาง” มิใช่ทาง เมื่อเราทำดูแล้ว  มันยังดับไม่ได้  ก็หมายถึงว่า  สิ่งนั้นยังไม่เป็นทางดับทุกข์  แม้จะศึกษาเล่าเรียนพระไตรปิฎกจนจบก็ยังดับทุกข์ไม่ได้  มันก็ยังไม่ถูกต้องอยู่นั่นเอง
            บัดนี้  ตรงกันข้าม  เมื่อเราไม่ศึกษาเล่าเรียนพระไตรปิฎกก็ตาม  หรือว่าไม่ได้ทำอะไรก็ตาม  เมื่อศึกษาให้ทางดับทุกข์แล้ว  อันนั้นแหละถูกต้อง

สมุฏฐานของความทุกข์

                      วิธีที่ผมจะนำมาพูดในขณะนี้  เพื่อทำความเข้าใจกับพวกเราคือ  ให้มีสติ, ให้มีสติ พระพุทธเจ้าท่านสรรเสริญเรื่องมีสติเท่านั้น  สิ่งอื่นนั้น  พระพุทธเจ้าไม่ได้สรรเสริยเท่าไร  เพราะว่ามันดับทุกข์ไม่ได้  ความจริงแล้ว  ความโกรธ  ความโลภ  ความหลงนั้น  มันไม่ต้องมี  เมื่อเราหาความโกรธ  ความโลภ  ความหลง  จะไปหาที่ไหน  เพราะมันไม่มีสมุฏฐาน  มันไม่มีต้นเหตุ  มันไม่มีอะไรทั้งหมดเลย  สมุฏฐานต้นเหตุที่ทำให้ความโกรธ  ความโลภ  ความหลงเกิดขึ้น  คือเราขาดสตอเท่านั้น  เมื่อเรามีสติแล้ว  ความโกรธ  ความโลภ  ความหลง  ไม่ต้องมี

ผลของการขาดสติ

                       ดังนั้น  พระพุทธเจ้าท่านจึงสอนให้เราเจริญสติ  คนขาดสติลงไป  วินาทีหนึ่งก็ตาม  ห้านาทีก็ตาม ชั่วโมงหนึ่งก็ตาม  สามารถทำให้เราเป็นได้ทุกสิ่งทุกอย่าง  เป็นสัตว์นรกก็ได้ (ความโกรธ : มานพ  กลับดี) เป็นเปรตก็ได้ (ความโลภ : มานพ   กลับดี)  เป็นอสุรกายก็ได้  เป็นสัตว์เดรัจฉานก้ได้ (ความหลง : มานพ   กลับดี)  เป็นผีก็ได้ มันเป็นอย่างนั้น  ดังนั้น คนใดที่ลืมตัวลงไปขณะหนึ่งนั้น  เรียกว่าคนไม่มีสติ, คนไม่มีสตินั้น  ท่านมาเปรียบอุปมัยอุปมาว่า  เหมือนกับคนตาย, แต่ม่ใช่ตาย หมดลมหายใจนะ ตายจากความดี  ความงาม, มันเน่า  มันเหม็น  เหมือนกับอุจจาระ  ร้ายไปกว่าอุจจาระอีกซะด้วย  คนไม่มีสตินี้  สามารถพูดได้  ทำได้  คิดได้  ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผิดๆ  ไปตามอารมณ์ตัวเอง

ผลของการมีสติ

   ดังนั้น  คนมีสติ  สามารถทำให้เป็นคน  เป็นมนุษย์  เป็นเทวดา  หรือเป็นพระอริยบุคคลก็ยังได้   คนใดมีสตินั้นแหละ  พระพุทะเจ้าท่านสรรเสริญว่า  เราคนหนึ่งถือพุทะศาสนา  หรือเข้าใกล้กับพระพุทะเจ้า  ดังนั้น จึงว่า  รู้จำ  รู้จัก  รู้แจ้ง  รู้จริง, รู้แจ้ง  รู้จริงนั้น  รู้ด้วยปัญญา  รู้ด้วยญาณ  สามารถบังคับได้ทุกสิ่งทุกอย่าง  สามารถมองเห็นสมุฏฐานความทุกข์ได้  ความทุกข์นั้นเกิดขึ้นเพราะขาดสติอย่างเดียวเท่านั้น  เมื่อเรามีสติยังยั้งสั่งใจได้แล้ว  กิเลสมันก็เกิดขึ้นไม่ได้  กิเลสมันไม่มีตัว  ไม่มีตน  จะไปหาสมุฏฐานมันได้ที่ตรงไหน  เพราะมันไม่มีที่อยู่  มันไม่มีที่เกิด  เรามองไม่เห็น  เมื่อเราขาดสติแล้ว  มันก็เกิดขึ้นมาทันที  พระพุทธเจ้าท่านจึงสอนให้เรามีสติควบคุมเอาไว้  เมื่อมีสติแล้ว  มันสามารถบังคับได้ทุกสิ่งทุกอย่าง  อันนี้เป็นการพูด แต่วิธีทำน่ะทำอย่างไร

วิธีการเจริญสติ

                     วิธีทำนั้น  เรามากำหนดรู้  เรื่องรูป-นาม  เมื่อเรากำหนดรู้รูปนามแล้ว   รูป-นามนี้ก็ยังสามารถบังคับไม่ได้  ยังไม่รู้สมุฏฐานคือความคิด  ดังนั้น  คนเราเป็นคนลืมตัว  เกิดมาหลุดจากท้องแม่แล้ว  ไม่เคยมองตัวเอง   เมื่อยังเป็นเด็กๆ (อยู่)  ก็มองมารดา  อยากกินนม  เมื่อเราเติบโตขึ้นมา  ก็หาของเล่น  มองของเล่น  เมื่อใหญ่เป็นหนุ่ม  เป็นสาว  ก็มองคนนั้นสวย  คนนี้ไม่สวย  คนนั้นรวย  คนนี้จน  เมื่อเป็นพ่อบ้าน  แม่เรือนมาแล้ว  ก็มองถึงลุก  ถึงหลาน  มองถึงไร่นา  อะไรต่างๆ  จิปาถะ อันนี้ชื่อว่า  คนลืมตัว

วิธีรักษาสติให้อยู่กับตัว

                      บัดนี้  วิธีทำง่ายๆ  อย่างลัดๆ  จะรักษาศีลก็ได้  ไม่รักษาศีลก็ได้  จะให้ทานก็ได้  ไม่ให้ทานก้ได้  ไปไหน มาไหน  อยู่ที่ใดก็ตาม  คอยกำหนดจิตใจที่มันปรากฏ  เกิดขึ้น  เราต้องเห็น  ต้องรู้  ต้องเข้าใจ  เมื่อเราเห็น  เรารู้  เราเข้าใจ  ความปรากฏเกิดขึ้นนั้น  มันหยุดทันที  มันไม่ถูกปรุงแต่ง
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2256 เมื่อ: 10 มิถุนายน 2554, 08:17:52 »



อาหารสำหรับมื้อเช้าพี่สิงห์ ทุกครั้งที่อยู่โรงแรม



กินหมดจานทุกครั้งเพื่อไม่ให้เหลือทิ้งเป็นขยะ



ตามด้วยผลไม้และแพนเค็ก



รับประทานเสร็จแล้วจะเก็บซ้อนไว้อย่างนี้ทุกครั้ง เพื่อสะดวกในการยกเก็บ

ข่าวฝากทางด้ายสุขภาพ
จิตมันคิดขึ้นมาตอนเดินจงกรมออกกำลังกายยามเช้า

                      ๑. จากการสังเกตุตัวเอง กล่าวคือ ทุกครั้งที่ออกกำลังกายที่โรงแรมที่ลานเอนกประสงค์ชั้นสาม เดิน ชิกง โยคะ เจริญสติ เช้าหนึ่งชั่วโมง เย็นสองชั่วโมง ผมจะชั่งน้ำหนักตัวก่อนเสมอ เพื่อควบคุมการกินอาหาร และการออกกำลังกายใช้พลังงานให้สมดุลย์ พบว่า การรับประทานอาหารของผมมื้อเช้า มื้อกลางวัน ไม่ได้ทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้น คือสมดุลย์กัน คือกินแล้วได้พลังงานเท่าไร ร่างกายใช้หมดพอดี ส่วนมื้อเย็นนั้นสังเกตุพบว่า วันไหนรับประทานอาหารหนัก เช่น โปรตีนมากๆ น้ำหนักจะเพิ่มขึ้นประมาณหนึ่งกิโลกรัม แสดงว่าอาหารที่เรารับประทานแล้วให้พลังงานมาก แต่ร่างกายไม่ได้ใช้เพราะนอน ร่างกายจึงต้องสะสมพลังงานนั้นเอาไว้ แต่ถ้าวันไหนรับประทานสลัดผักทูน่า พบว่าน้ำหนักจะหายไปครึ่งกิโลกรัม แสดงว่า ปริมาณพอดีที่ร่างกายต้องการขาดนิดหน่อย แต่ถ้าวันไหนมื้อเย็นรับประทานส้มตำ และหมูน้ำตก วันนั้นน้ำหนักพอดีเพิ่มขึ้นนิดเดียว เมื่อวานพี่สิงห์ถือศีล ๘ งดอาหารเย็นดื่มแต่น้ำปานะปรากฎว่า น้ำหนักหายไปหนึ่งกิโลกรัม
                       สรุปได้ว่ามื้อเย็นไม่ควรรับประทานมากจะทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น เพราะนอนใช้พลังงานน้อย ควรรับประทานเพียง สลัดผัก ผลไม้ประเภทฝรั่ง ชมภู่ หรือส้มตำหนึ่งจาน หรือผลไม้-ผัก ปั่นดื่มก็เพียงพอต่อร่างกายแล้ว ครับ อย่าเป็นอย่างฝรั่ง โดยเแพาะคนอเมริกันเลย มื้อเย็นเป็นมื้อที่เขาสังสรรค์เป็นพิเศษ กินมาก มีแต่เนื้อผลที่ตามมาคือ พออายุ ๔๕ ปีขึ้น เป็นโรค อ้วน ความดัน เบาหวาน ข้อเสื่อม หลอดเลือดหัวใจตีบตัน ทุกคนครับ เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว อย่าไปกินตามความอยากแห่งใจเลยครับ ตัวเอง ลูก หลานจะลำบากเพราะต้องมาเสียเวลาดูแลเรายามแก่เฒ่าที่มีแต่โรคเรื้อรัง เป็นที่น่ารังเกียจของลูก-หลาน เพราะลูก-หลานเดือดร้อน แต่เพราะรักเรา จึงต้องดูแลเรา เป็นทุกข์เปล่า ๆ ครับ ขอให้ปฏิวัติการกินใหม่ดีกว่า

                      ๒.เรื่องการเต้นของหัวใจ ปกติทารกแรกเกิดนั้น หัวใจจะเต้น ๒๒๐ ครั้งต่อนาที และจะลดลงตามอายุที่เพิ่มขึ้น ดังนั้นเมื่อเราอายุมากหัวใจจะเต้นน้อยลงตามธรรมชาติ การออกกำลังกายนั้น คุณหมอ รศ.ปัญญา  ไข่มุกแนะนำว่า ทุกครั้งของการออกกำลังกายอย่าให้เหนื่อยมาก คือหัวใจควรเต้นไม่เกินเป็นตัวเลขง่าย ๆ คือ ๑๗๐ - อายุ ตัวอย่างพี่สิงห์อายุ ๖๐ ปี หัวใจจะเต้น ๑๑๐ ครั้งต่อนาที ดังนั้น ถ้าหัวใจเต้นมากกว่านี้ขณะออกกำลังกาย จะรู้สึกว่าเหนื่อย ก็ขอให้รู้ตัวว่าต้องพักแล้ว เพราะหัวใจอาจจะล้มเหลวได้ ดังนั้นผู้สูงอายุควรเรือกการออกกำลังกายที่เหมาะสม คือ เดินเร็วกลางๆ โยคะ ชิกง  รำกระบอง ดีที่สุด อย่าอวกเก่ง โดยเแพาะพวกที่มีโรคเรื้อรังประจำตัวพวก โรคอ้วน ความดัน เบาหวาน หลอดเลือดหัวใจตีบ ต้องระวังเรื่องการเต้นของหัวใจห้ามเกิน ๑๗๐-อายุ ครับ อย่างเดินเร็วๆ พี่สิงห์เคยจับพบว่าหัวใจเต้นถึง ๑๓๐ ครั้งต่อนาที จะอันตรายสำหรับพี่สิงห์แต่เพราะทำอย่างต่อเนื่องจึงไม่เกิดแต่ก็ต้องระวัง สู้เดินเร็วกลางๆ ดีกว่า
                      การเต้นของหัวใจนั้น ถ้าเราดูกายเป็น เราจะค้นพบวิธีควบคุมการเต้นของหัวใจไม่ให้เกิดนค่าที่จะเป็นอันตรายต่อร่างกายของเราได้ ด้วยการสังเกตุ อาการที่เกิดขึ้น การเหนื่อย แน่นหน้าอก สัมพันธ์กับการออกกำลังกายของเรา สังเกตให้พบ จะได้ไกลจากโรคหัวใจล้มเหลว ครับ

                      เช้านี้พี่สิงห์มีของฝากเพื่อเตือนใจทุกท่านครับ เชิญอ่าน

 
มื้อเย็นเป็นมื้ออันตราย เป็นมื้อตายผ่อนส่ง

  
1. ทำอย่างไรจึงจะไม่แก่ และอายุยืน

คำตอบคือ กินสายกลาง
  
กินสายกลาง คือ  กินมื้อเช้าและมื้อเที่ยง   +   งดมื้อเย็น

 
เปรียบตัวเราเป็นรถยนต์   ตื่นเช้ามาต้องเติมน้ำมันก่อน  หรือกินมื้อเช้า  รถจึงจะวิ่งได้  ถึงเที่ยงน้ำมันยังไม่หมด   เติมอีกครั้ง   ถึงเย็นก่อนนอนก็ยังไม่หมดพิสูจน์ได้ดังนี้
  
สมมุติกินไข่ลวก 1 ฟองโตๆ  มีไข่แดงหนัก 50 กรัม   ในไข่แดงมีคลอเลสเตอรอล 1 กรัม   ให้พลังงาน 9  แคลอรี่  ฉะนั้น 50 กรัม  ให้พลังงาน 450 แคลอรี่  จะต้องออกกำลังกายเพื่อใช้พลังงานนี้   โดยขี่จักรยานตั้งแรงต้านไว้  1.3  ก.ก..  ความเร็วที่ปั่นบันไดจักรยาน  60  รอบต่อนาที  ขี่อยู่นาน60 นาที  จะเหนื่อยหอบ   เหงื่อไหลท่วมตัว   แต่ใช้พลังงานไปเพียง  300 แคลอรี่    ไข่ใบเดียวใช้ไม่หมด
  
ฉะนั้นถ้ากินมื้อเช้า  มื้อเที่ยง  จนถึงเย็น พลังงานยังเหลือแน่นอน ไม่จำเป็นต้องไปเติมอีก เพราะเวลานอนร่างกายจะนำพลังงานที่เหลือใช้ไปเก็บในที่ต่างๆ  โดย ตับ เป็นผู้ทำงานนี้ ถ้าพลังงานเหลือมาก   การเอาไปเก็บในที่ต่างๆ ก็มากทำให้อ้วน  และแน่นอนถ้าเก็บไม่หมดโดยเฉพาะพวกไขมันตัวโตๆ  จะต้องค้างอยู่ในหลอดเลือด ถ้าค้างสะสมมากเท่าใด รูหลอดเลือดก็จะเล็กลงทุกวัน เลือดไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆ ได้น้อยลง อวัยวะทั้งหลายก็จะเสื่อมสภาพเร็วขึ้นหรือแก่เร็วขึ้น ถ้าวันไหนอุดตัน เช่น  ถ้าตันที่สมอง  จะกลายเป็นคนพิการอัมพาตครึ่งซีก   ถ้าอุดตันที่ไต  ต้องล้างไต  เปลี่ยนไต   ถ้าตันที่ขา อาจต้องตัดขาทิ้ง  ถ้าตันที่กล้ามเนื้อหัวใจ   ก็จะไม่มีโอกาสได้สั่งลาใคร
    
การกินมื้อเย็นจึงเป็นมื้อที่เร่งกระบวนการเสื่อมถึงเสียชีวิตให้เร็วขึ้นไปอีก มื้อเย็นจึงเป็นมื้ออันตราย  เป็นมื้อตายผ่อนส่ง ยิ่งกินมื้อเย็นมาก ยิ่งผ่อนส่งมาก ตายเร็ว  ถ้าไม่กินมื้อเย็น ก็จะแก่ช้า เสื่อมช้า อายุยืน

การไม่กินอาหารมื้อเย็น เป็นเรื่องที่ต้องเอาชนะใจตัวเองอย่างมาก ถ้าใครทำได้จะตัดทั้งกิเลส  สุขภาพดี   อายุยืน  และมีสมาธิดี ความมุ่งมั่นสูง ได้ประโยชน์ทั้งกายและใจ  แต่ท่านต้องฝึกกระเพาะให้เกิดความเคยชิน
    
  วิธีฝึกมี 4 วิธี
1. ค่อยๆ ลดปริมาณอาหารมื้อเย็นทีละน้อยๆ  เช่นลดกินข้าวจาก 2 จาน  เหลือ1 1/2 จาน สัก 3-4 เดือน  โดยมีข้อแม้ว่าหลังอาหารเย็น แล้ว ห้ามกินอาหารใดๆ ทั้งนั้นยกเว้นน้ำเปล่า   พอกระเพาะชินแล้วลดเหลือ 1 จาน ต่อไปครึ่งจาน ต่อไปไม่กินข้าวเลยกินแต่กับ   ต่อไปกินผักผลไม้   สุดท้ายงดอาหารเย็น
  
2. ร่นเวลากินอาหารเย็น   เช่นจาก 2 ทุ่มมากิน 1 ทุ่ม  ต่อไปเลื่อนเป็น 6 โมงเย็น  5 โมงเย็น  4 โมงเย็น  สุดท้ายงดอาหารเย็น
  
3. กินเม็ดแมงลักแทนมื้อเย็น  ใช้เม็ดแมงลัก 2  ช้อนโต๊ะใส่ในถ้วยน้ำแกงหรือน้ำเปล่าคนแล้วดื่มทันที   ดื่มน้ำตามอีก 4-5  แก้ว
  
4. กินมังสะวิรัตมื้อเย็น   การกินผักผลไม้ถือว่าเป็นอาหารไม่มีพิษ  ร่างกายจะได้พักไม่ต้องทำลายพิษของอาหารเนื้อสัตว์    พิษที่สะสมไว้ก่อนก็จะถูกตับ ไต กำจัดหมดไปเองได้  ร่างกายมีเวลาถึง 18  ช.ม.  กำจัดพิษที่ติดมากับมื้อเช้า  มื้อเที่ยงได้ทัน
 
ฉะนั้นการไม่กินอาหารเย็น  จึงเป็นเวลาที่ตับ ไต  จะสามารถกำจัดสารพิษจากอาหารมื้อเช้าและเที่ยงได้หมด  ร่างกายจึงบริสุทธิ์ทุกวัน  
  
2. โรค Attention Deficit Trait   โดย ผศ. ดร. พสุ เดชะรินทร์ pasu@acc.chula.ac.th

ท่านผู้อ่านเป็นผู้หนึ่งที่ชอบทำงานในลักษณะของ Multitasking หรือไม่ครับ?

คนกลุ่มนี้จะเป็นพวกที่สามารถหรือชอบที่จะทำงานหลายๆ อย่างไปในเวลาเดียวกัน  เช่น ในขณะที่กำลังเช็คอีเมล์ทางคอมพิวเตอร์  ก็กำลังคุยโทรศัพท์สั่งงานกับลูกน้อง พร้อมทั้งดื่มกาแฟไปพร้อมกัน  หรือในขณะที่กำลังนั่งประชุม ก็สั่งงานพร้อมทั้งหาข้อมูล  และตัดสินใจผ่านทางเครื่องโน้ตบุ๊คที่ตั้งอยู่ข้างหน้า    ในอดีตผมก็เคยชื่นชมคนพวกนี้นะครับว่า มีความสามารถมาก สามารถทำงานได้หลายอย่างในขณะเดียวกัน สามารถทำงานได้ออกมาเยอะ  และดูยังสงบไม่ตื่นเต้นโวยวายเท่าใด
  
แต่ท่านผู้อ่านทราบไหมครับ ว่า การทำงานในลักษณะ **Multitasking**  นั้น กลับเป็นสาเหตุประการหนึ่งของโรคร้ายใหม่ในที่ทำงาน  ที่เราเรียก **Attention Deficit Trait** หรือ **ADT**   โรคนี้เป็นโรคที่เราจะเจอมากขึ้นเรื่อยๆ  ในที่ทำงาน   โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาวะแวดล้อมที่บังคับให้คนทำงานจะต้องทำงานด้วยความรวดเร็วมากขึ้น  ทำงานหลายอย่างพร้อมๆ กัน จะต้องตื่นตัวตลอดเวลา   ไม่มีเวลาหรือโอกาสได้สงบพัก
ท่านผู้อ่านลองพิจารณาตัวท่านเองหรือบุคคลรอบข้างนะครับว่า เป็นโรคนี้หรือไม่?  ผมอ่านพบเจอโรคนี้จากวารสาร Harvard Business Review ฉบับเดือนมกราคม 2548 ในบทความชื่อ  Why Smart People Underperform เขียนโดย Edward M. Hallowell ซึ่งเป็นจิตแพทย์ซึ่งเป็นผู้ เชี่ยวชาญในโรคที่เกี่ยวกับสมองและสมาธิทั้งหลาย  คุณหมอท่านนี้ทำการรักษาอาการ Attention Deficit Disorder หรือ ADD มากว่า 25 ปี และ โรค ADD นี้เราเริ่มรู้จักกันมากขึ้นในเมืองไทย โดยเฉพาะผู้ที่มีลูกอยู่ในวัยเรียน  เรามักจะเรียกโรคนี้ว่าเป็นโรคสมาธิสั้น
 
ผู้ที่เป็นโรค ADT นั้น มักจะมีอาการสมาธิสั้น   ไม่สามารถจดจ่ออยู่กับงานใดงานหนึ่งได้นานๆ   ก็จะถูกดึงดูดด้วยงานอย่างอื่น   มีความวุ่นวายอยู่ข้างใน (แต่มักจะไม่แสดงออกมาให้ผู้อื่นเห็น )  ไม่ค่อยอดทน มีปัญหาในการจัดระบบต่างๆ (Unorganized) การจัดลำดับความสำคัญ  และการบริหารเวลา

โรค ADT นี้  มักจะเริ่มเกิดขึ้น เมื่อเราก้าวขึ้นไปเป็นผู้บริหารระดับสูงขึ้นเรื่อยๆ   การที่มีความ รู้สึกว่ามีงานด่วน   หรือ สิ่งที่จำเป็นและเร่งด่วนที่จะต้องทำเข้ามาเรื่อยๆ  และท่านพยายามที่จะจัดการกับงานด่วนเหล่านั้นให้สำเร็จ  จะเป็นบ่อเกิดที่สำคัญของโรค ADT เพราะเมื่อเรามีงานที่เร่งด่วน  หรือจำเป็นเข้ามาเรื่อยๆ   เราก็มักจะรับภาระความรับผิดชอบต่องานเหล่านั้น  อีกทั้งไม่บ่นไม่โวยวายต่อภาระงานที่เพิ่มขึ้น  เราจะก้มหน้าก้มตาพยายามทำให้งานสำเร็จ ทั้งๆ ที่กำลังความสามารถ  และเวลาของเราไม่เหมาะสมและสอดคล้องกับปริมาณของงานที่เข้ามา  ดังนั้นเมื่อเจอกับปริมาณงานที่เพิ่มขึ้นและเร่งด่วนขึ้น  เราก็มักจะอยู่ในอาการของความรีบร้อนตลอดเวลา  พยายามทำงานให้เสร็จโดยเร็วการทำงานหลายๆ อย่างไปพร้อมๆ กัน และขาดสมาธิต่อการทำงานๆ หนึ่ง (Unfocused)  แต่ในขณะเดียวกัน   บุคคลเหล่านี้ก็จะไม่บ่นไม่โวยวาย  ดูจากภายนอกแล้วเหมือนจะไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้น
 
ทีนี้ท่านผู้อ่านอาจจะสงสัยครับว่าโรค ADT จะก่อให้เกิดปัญหาอะไรขึ้น ?  ง่ายๆก็คือ ทำให้สมองเราสูญเสียความสามารถในการคิด วิเคราะห์และทำงานอย่างละเอียดลึกซึ้ง  จะส่งผลให้งานที่ออกมาเป็นงานที่เร็วแต่ไม่ลึก  จะทำให้ความสามารถในการทำงานของเราลดน้อยลง    การที่สมองเราจะต้องรับ วิเคราะห์ และประมวลผลข้อมูลต่างๆเพิ่มมากขึ้น   ความสามารถในการแก้ไขปัญหาอย่างสร้างสรรค์ก็ลดลง อีกทั้งความผิดพลาดก็เกิดขึ้นได้มากขึ้น
 
โรคนี้ถือเป็นโรคใหม่ในที่ทำงานอย่างหนึ่งครับ  เกิดขึ้นเนื่องจากสภาวะแวดล้อมในการทำงาน ที่ต้องการความรวดเร็ว   และมีความสลับซับซ้อนมากขึ้น สมองเราจะต้องรับและประมวลผลข้อมูลต่างๆ   มากขึ้นกว่าเดิม วัฒนธรรมในการทำงานในปัจจุบัน   ก็เป็นสาเหตุสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้เราเกิดโรคนี้   โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสำคัญของความเร็วในการทำสิ่งต่างๆ  ในปัจจุบันดูเหมือนว่าเราต้องการความเร็วมากขึ้นเรื่อยๆ เรา มักจะคิดว่า ในเมื่อคนทุกคนมีเวลาเท่ากัน  ดังนั้น ผู้ที่มีความเร็วมากกว่าจะทำงานได้มากกว่า
 
ท่านผู้อ่านลองสังเกตซิครับเวลาท่านขึ้นลิฟต์  ปุ่มไหนที่ท่านจะกดบ่อยที่สุด  ปุ่มนั้นก็คือปุ่ม " ปิดประตู" เพราะทุกคนเป็นทาสของความเร็ว    ไม่สามารถรอให้ลิฟต์ปิดได้เอง
  
3. ดื่มน้ำน้อยมีผลร้ายที่คุณคิดไม่ถึง

เมื่อเร็วๆ นี้ได้อ่านข่าวจากหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง   ซึ่งลงบทสัมภาษณ์ของดาราสาวสวยระดับนางเอกท่านหนึ่ง เกี่ยวกับร่างกายของเธอที่มีการผิดปกติ เธอมีอาการอุจจาระไม่ออก,  เมนส์ไม่มา  แถมเธอยังเข้าใจว่าการที่เมนส์มาบ้างไม่มาบ้าง แล้วแต่อารมณ์นั้นเป็นเรื่องปกติของผู้หญิงซะอีก   เธอบอกว่าไม่ชอบดื่มน้ำเพราะจะทำให้ปัสสาวะบ่อย  ส่วนใหญ่พวกดาราก็มักเป็นอย่างนี้ เพราะต้องอยู่แต่ ในกองถ่ายจะหาห้องน้ำสะอาดๆยาก   เลยต้องอั้นอุจจาระปัสสาวะเอาไว้  หรือแก้โดยการไม่ดื่มน้ำจะได้ไม่ต้องปัสสาวะ  พฤติกรรมดังกล่าวนี้ไม่ใช่แค่เฉพาะดาราหรอก  มีอีกหลายอาชีพที่เป็นกันอย่างนี้   อาจจะเป็นเพราะภาวะสังคมที่รีบเร่งแข่งขันกัน ท่านที่ทำงานนั่งอยู่กับคอมพิวเตอร์หรือพนักงานทำบัญชีด้วยแล้ว  ไม่ค่อยอยากจะลุกไปเข้าห้องน้ำกัน  กลัวจะเสียเวลาทำงานหรือลืมเข้าห้องน้ำก็มี  พอทำอย่างนี้ไปนานๆ เข้าร่างกายเราก็สร้างความคุ้นเคยว่าไม่ต้องอุจจาระไม่ต้องปัสสาวะกันเลย

โดยร่างกายเข้าใจว่าวิธีการนี้ถูกต้อง  ร่างกายของคนเราประกอบด้วยน้ำ 70 กว่าเปอร์เซนต์ เลือดเราประกอบด้วยน้ำ 90 กว่าเปอร์เซนต์   กระดูกเราก็ประกอบด้วยน้ำ 22 เปอร์เซ็นต์   ร่างกายเราเสียน้ำวันละ 2 ลิตรเศษ แล้วรับน้ำเข้าไป เพียงพอหรือไม่  ถ้าไม่พอเราก็ถือว่าขาดน้ำ ร่างกายและอวัยวะภายในจะรวนผิดปกติไปหมด เลือดเราจะข้นหนืด  ยากที่หัวใจจะสูบฉีดเลือดไปหล่อเลี้ยงร่างกายส่วนต่างๆ  ของร่างกาย หัวใจเองนั่นแหละจะตีบตันเสียก่อน ต้องทำบายพาสกันวุ่นวาย  ความจำก็จะเสื่อมหรือเป็นอัลไซเมอร์ เพราะเลือดเลี้ยงสมองไม่พอ เส้นเลือดก็จะตีบตันหมดหรือไม่มีเลือดจะขึ้นไปเลี้ยง
 
จากประสบการณ์ที่พบคนไข้ที่เป็นโรคความจำเสื่อม เป็นถึงระดับผู้บริหารใหญ่ๆ ก็หลายท่าน ดื่มน้ำวันละ 2-3 แก้ว ไม่เกิน 500  ซี.ซี. เลือดก็ข้นหนืด เต็มไปด้วยไขมัน สังเกตได้หัวตาเหมือนกับเอาพู่กันป้ายสีขาวไว้ และฟันธงได้เลยว่าทุกรายถ้าดื่มน้ำอย่างนี้คลอเรสเทอรอลสูงทุกคน รอเส้นเลือดอุดตันได้เลย
 
เมื่อไปหาหมอ หมอก็จะจ่ายยาละลายลิ่มเลือดให้กิน  มันก็เหมือนเราเอาสารส้มแกว่งในตุ่มน้ำเพื่อให้น้ำใส  ตะกอนเมื่อมันนอนก้นน้ำก็จะใส แต่ถ้าเอาอะไรไปแกว่งทำให้น้ำกระเทือน ตะกอนก็ยังจะลอยขึ้นมาทำให้น้ำขุ่นอีกอยู่ดี เช่นเดียวกัน  เมื่อเรากินยาเลือดก็จะใส แค่ตะกอนในร่างกายมันยังไม่ออกยังนอนก้นอยู่ในร่างกายเรา  ดังนั้นเราต้องใช้น้ำพาตะกอนเหล่านั้นออกมาให้ได้  ไม่อย่างนั้นมันก็จะกลับไปอุดตันเส้นเลือดเราอีก   เมื่อร่างกายขาดน้ำลำไส้ก็แห้ง ไม่มีน้ำที่จะพอเอาอุจจาระออกมาได้ ของเสียก็จะสะสมอยู่ในลำไส้  และลำไส้ก็ดูดซึมของเสียนั้นกลับเข้าร่างกายอีกเลือดเราก็ยังสกปรกและข้น หนืดมากขึ้นไปอีก และลองพิจารณาดูครับว่า เลือดที่เสียเมื่อเข้าไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกายแล้วนั้น จะให้เกิดปัญหาตามมาอีกมากมายเพียงใด  ที่ถูกแล้วเราควรจะอุจจาระ 1-3 ครั้งทุกๆ วัน ออกมาเป็นเส้นไม่เล็กนัก
 
ปริมาณพอสมควรกับอาหารที่   เราทานเข้าไป ไม่ใช่ทานเข้าไป 1 กิโลกรัม ถ่ายออกมา 1 ขีด ที่เหลือหายไปไหนหมด มันเข้าไปบำรุงร่างกายเราทั้งหมดหรือ  ถ้าเป็นอย่างนั้นเราคงตัวโตเท่าช้างแน่   การที่รอบเดือนหายไป 5-6 เดือนหรือมาๆ หยุดๆ แล้วแต่อารมณ์นั้น ไม่ใช่เรื่องปกติของผู้หญิงทั่วไป  ที่ถูกสำหรับดาราสาวท่านนี้ ดื่มน้ำน้อยมาก เลือดคงจะข้นหนืด ผนังมดลูกคงจะแห้งไม่ลอกหลุดออกมาเมื่อมีไข่ตกและไม่ได้รับการผสมพันธุ์  เลือดนั้นก็ยังสะสมเป็นของเสียอยู่ที่ผนังมดลูกเดือนแล้วเดือนเล่า เมื่อช่องทางการขับของเสียดำเนินไม่ได้ตามธรรมชาติร่างกายก็จะสร้างรั้วขอบเขตเป็นถุง เป็นเนื้องอก มาหุ้มห่อของเสียนั้นไว้ ของเสียก็จะค่อยๆกลายเป็นเนื้องอกและกลายเป็นมะเร็งในที่สุด
 
ช่องทางในการขับของเสียออกจะมีอยู่ 5 ช่องทางด้วยกันคือ
1. ไต   ขับออกมาทางปัสสาวะ                              
2. ลำไส้ใหญ่   ขับออกมาทางอุจจาระ
3. ปอด   ขับออกมาทางลมหายใจ                          
4. ผิวหนัง  ขับออกมาทางเหงื่อ
5. รอบเดือน   ขับออกมาทางประจำเดือน
  
เมื่อช่องทางการขับของเสียไม่สมบูรณ์ หรือถูกปิดกั้นมันก็จะต้องพยายามหาทางออกให้ได้ เช่น ออกมาเป็น   สิว ฝ้า กระ  ฝี ริดสีดวง สิ่งเหล่านี้เป็นของเสียที่ร่างกายพยายามขับออกมาทั้งนั้น ดังนั้นถ้าเรามีอาการดังที่กล่าวมา ก็ขอให้เราจงเข้าใจด้วยว่าร่างกายเรามีของเน่าเสียอยู่ภายในแล้ว มันเป็นสัญญาณเตือนภัย   ที่เราไม่ควรมองข้าม หรือกินแต่ยา ฉีดยากดอาการเหล่านี้ไว้ไม่ให้แสดงออก เพราะนั่นไม่ใช่วิธีการรักษา หรือบำบัดโรคต่างๆให้หายไป แต่กลับเป็นการทำให้โรคหรืออาการนั้นรุกคืบไปเรื่อยๆ
เหมือนรุกใต้ดิน   โดยที่เราไม่รู้สึกอะไร จะรู้สึกตัวอีกทีก็ต่อเมื่อสายเสียแล้ว...
  
4. เส้นโลหิตในสมองบกพร่อง – เคล็ดลับการวินิจฉัยอาการโรค Apoplexy

เพื่อนคนหนึ่ง หกล้ม ในงานบาร์บีคิวปาร์ตี้ เพื่อนในงานแนะให้หาหมอ   แต่เจ้าตัวบอกว่าไม่เป็นไร เพียงแต่ใส่รองเท้าใหม่แล้วสะดุดเท่านั้น  อิงอิงดูยืนไม่ค่อยมั่นคง   เพื่อนช่วยปัดเป่าเสื้อผ้าให้แล้วยกอาหารจานใหม่ให้ร่วมสนุกกันต่อ  หลังจากนั้น  ผู้สามีแจ้งมาว่า อิงอิงถูกส่งเข้าโรงพยาบาล  แต่แล้วก็เสียชีวิตตอน6 โมงเย็น  ถ้าหากเพื่อนๆ รู้จักวินิจฉัยอาการโรค  ป่านนี้อิงอิงอาจยังมีชีวิตอยู่กับเพื่อนๆ บางคนเส้นโลหิตในสมองแตก อาจไม่ตาย  แต่ก็อาจเป็นอัมพฤตหรืออัมพาด
 
แพทย์ทางประสาทวิทยากล่าวว่า หากผู้ป่วยถึงมือแพทย์ภายใน 3 ชม.ก็ จะมีโอกาสรอด หากคนข้างเคียงไม่รู้จักวินิจฉัยอาการ สมองผู้ป่วยก็จะถูกทำลายอย่างร้ายแรง แพทย์แนะว่า คนข้างเคียงเพียงแค่ทดสอบผู้ป่วยด้วย 3 ข้อ  โปรดจำเคล็ดลับ STR ดังต่อไปนี้
 
S:  (smile) ให้ผู้ป่วยยิ้ม
T:  (talk) ให้ผู้ป่วยพูดประโยคที่มีสาระสมบูรณ์  เช่น  วันนี้อากาศสดใสดีจัง
R:  (raise) ให้ผู้ป่วยชูแขนสองข้าง
  
อาการอีกอย่างที่ไม่ควรมองข้าม
ให้ผู้ป่วยแลบลิ้นออก ถ้าลิ้นม้วนหรือเบี้ยวไปข้างหนึ่ง  ใช่แล้ว ส่ออาการอันตราย !!!
ถ้าผู้ป่วยมีอาการผิดปรกติข้อใดข้อหนึ่ง  ให้รีบติดต่อแพทย์  ส่งร.พ.โดยด่วน
      บันทึกการเข้า
too_ploenpit
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2514
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 7,778

เว็บไซต์
« ตอบ #2257 เมื่อ: 10 มิถุนายน 2554, 08:42:39 »

...สวัสดีค่ะ...พี่สิงห์...

...อาหารเช้าน่าทานค่ะ...มีประโยชน์ด้วย...

...ขอบคุณพี่สิงห์สำหรับข้อมูลที่มีประโยชน์ค่ะ...ตามอ่านค่ะ...
      บันทึกการเข้า

i love pink, you are pink = i love you
KUSON
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,125

« ตอบ #2258 เมื่อ: 10 มิถุนายน 2554, 14:46:03 »

กุศลเห็นด้วยกับพี่ตู่ครับที่ว่าข้อมูลมีประโยชน์
โดยเฉพาะเรื่องมื้อเย็นเป็นอันตราย มีประโยชน์จริงๆ
อยากให้พี่สิงห์เขียนเรื่องทำนองนี้แยะๆ เพราะวัยของพวกเรากำลังเจอปัญหาเหล่านี้จริงๆ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2259 เมื่อ: 10 มิถุนายน 2554, 15:11:07 »

อ้างถึง
ข้อความของ too_ploenpit เมื่อ 10 มิถุนายน 2554, 08:42:39
...สวัสดีค่ะ...พี่สิงห์...

...อาหารเช้าน่าทานค่ะ...มีประโยชน์ด้วย...

...ขอบคุณพี่สิงห์สำหรับข้อมูลที่มีประโยชน์ค่ะ...ตามอ่านค่ะ...


สวัสดีค่ะ คุณน้องตู่ ที่รัก
            เธอลองทำรับประทานกับพี่ประสิทธิ์ ดูซิ  ตอนแรกอาจจะรับประทานอยากสักหน่อยเพราะมันฝืนธรรมชาติ คือไม่เคยกิน  ไม่เคยคิดว่าจะกินได้  ให้ทำใจว่านี่คือยาที่วิเศษ  ที่เราจำเป็นจะต้องกิน  พอกินไปๆ มันก็อร่อยเหมือนกัน  เพราะลิ้นมันชินแล้ว  มันรู้จักแล้ว  มันชอบแล้ว  มันก็เป็นนิสัยเลยทันที  ลองดูครับ
            สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2260 เมื่อ: 10 มิถุนายน 2554, 15:13:38 »

อ้างถึง
ข้อความของ KUSON เมื่อ 10 มิถุนายน 2554, 14:46:03
กุศลเห็นด้วยกับพี่ตู่ครับที่ว่าข้อมูลมีประโยชน์
โดยเฉพาะเรื่องมื้อเย็นเป็นอันตราย มีประโยชน์จริงๆ
อยากให้พี่สิงห์เขียนเรื่องทำนองนี้แยะๆ เพราะวัยของพวกเรากำลังเจอปัญหาเหล่านี้จริงๆ

วันนี้มีแฟนคลับกลับมาอีกแล้ว  ไม่ปล่อยให้ผมเพ้ออยู่คนเดียว
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2261 เมื่อ: 10 มิถุนายน 2554, 15:20:29 »


                        อาหารมื้อกลางวันของพี่สิงห์ ที่ร้านท่าศาลาซีฟู๊ด รับประทานสี่คน มีแกงส้มปลากุเราหรือปลากระพงน้ำลึก(ตัวโต) ไข่เจียว  ยำผักกูด  ยำกุ้งสดกระเทียมโทนหรือใบเหลี๋ยงผัดไข่  ข้าวหนึ่งโถ  น้ำหนึ่งขาวลิตร ครับ แต่ผมกินข้าวจานเดียวเท่านั้น ไม่มีเติมซ้ำ งดขนม  กรณีอยู่ที่ใต้

(พี่สิงห์กินแบบนี้มาหลายปี ทุกครั้ง จนไม่ต้องจด order เหตุผล แกงส้มที่นี่อร่อยที่สุด และที่สั่งมานั้นถูกที่สุดในร้านนี้  อย่างอื่นมีหมด อยากกินแต่มันแพงเกินไปสำหรับผม  สู้กินแบบนี้ก็อยู่ได้ในระดับดีด้วย เฉลี่ยคนละ ๑๒๐ บาท พอรับครับ  ร้านอื่นพี่สิงห์ไม่สามารถไปกินได้เนื่องจากสี รสจัดเกินไป ผัดน้ำมันมากเกินไป เป็นพิษต่อร่างกายเกินไป และไม่สะอาด  ร้านนี้สั่งได้จะเอารสแบบไหน และไม่ใส่อะไร เพราะเขาเกรงใจอาจารย์มานพ ครับ  ลืมบอกไปร้านนี้ทอดไข่เจียวได้อร่อยมาก ๆ แต่ไข่ปูเจียวอร่อยมากแต่แพง และมีคอเรสเตอรอลจากเนื้อปูเลยไม่สั่ง สั่งไข่เจียวธรรมดาดีกว่า)

                        ถ้าไปสระบุรี รับประทาน ชาบูผัก เป็นแบบบุปเฟ่  ปรุงเองตามใจชอบ แต่ห้ามเหลือปรับ ๒๐๐ บาทจำกัดเวลาหนึ่งชั่วโมงครึ่ง ที่ร้านสายบายพาส ลพบุรี - นครราชสีมา  ทางร้านปลูกผักเองให้เห็น พี่สิงห์ปรุงแบบผักเป็นส่วนใหญ่ พอแล้วพอเลยไม่แถม และยอมจบด้วย ถั่วแดงต้นน้ำตาลหนึ่งถ้วย ครับ (วันพุธที่จะถึงจะถ่ายภาพมาให้ดูครับ)

                        สวัสดี
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #2262 เมื่อ: 10 มิถุนายน 2554, 16:07:05 »

อ้างถึง
ข้อความของ suriya2513 เมื่อ 10 มิถุนายน 2554, 02:33:42
อ้างถึง
ข้อความของ เหยง 16 เมื่อ 09 มิถุนายน 2554, 20:58:50
พี่สิงห์

คุณถาวร โชติชื่น ชำนาญการเจรจา โต้วาที แต่พี่สิงห์ให้มาเขียนบทความในเว็ป ก็จบเห่ซิครับ
เขาจึงต้องวางอุเบกขา ไม่รับเรื่องเขียนอย่างแน่นอน
ต้องให้เว็ปซีมะโด่ง สามารถกระจายเสียงได้แบบวิทยุ นั่นล่ะจะเข้าทางของคุณถาวรเลย

ถ้าคุณพิเชษฐ์ ไม่บอก ไม่มีใครไม่รู้นะครับเนี่ย

พี่ป๋องครับ

คนเขารู้กันทั่วครับ แต่ไม่อยากหรือไม่กล้าพูด เพราะเถียงสู้นักปาฐกฯ ไม่ทัน จึงเงียบเสียงมาตลอดครับ
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #2263 เมื่อ: 10 มิถุนายน 2554, 16:09:16 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 10 มิถุนายน 2554, 05:29:43
อ้างถึง
ข้อความของ เหยง 16 เมื่อ 09 มิถุนายน 2554, 20:58:50
พี่สิงห์

คุณถาวร โชติชื่น ชำนาญการเจรจา โต้วาที แต่พี่สิงห์ให้มาเขียนบทความในเว็ป ก็จบเห่ซิครับ
เขาจึงต้องวางอุเบกขา ไม่รับเรื่องเขียนอย่างแน่นอน
ต้องให้เว็ปซีมะโด่ง สามารถกระจายเสียงได้แบบวิทยุ นั่นล่ะจะเข้าทางของคุณถาวรเลย

ผมก็ว่าอย่างนั้น นี่คือความจริง อาจารย์ถาวร  โชติชื่น  เก่งแต่พูด  เขียนหนังสือนั้น ผมว่าถูกต้องตามที่คุณเหยง ได้กล่าวไว้ทุกประการ (สร้างความยั่วยวน ทำให้เกิดกิเลส  พรุ่งพล่าน เดือดดาลใจ ที่มีคนมาสบประมาท แต่มันเรื่องจริง)
                     ขอบคุณมาก
                     อรุณสวัสดิ์ทุกท่านครับ


 

ผมว่า...เขาวางอุเบกขาแน่นอนครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2264 เมื่อ: 10 มิถุนายน 2554, 16:24:12 »

อ้างถึง
ข้อความของ เหยง 16 เมื่อ 10 มิถุนายน 2554, 16:09:16
อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 10 มิถุนายน 2554, 05:29:43
อ้างถึง
ข้อความของ เหยง 16 เมื่อ 09 มิถุนายน 2554, 20:58:50
พี่สิงห์

คุณถาวร โชติชื่น ชำนาญการเจรจา โต้วาที แต่พี่สิงห์ให้มาเขียนบทความในเว็ป ก็จบเห่ซิครับ
เขาจึงต้องวางอุเบกขา ไม่รับเรื่องเขียนอย่างแน่นอน
ต้องให้เว็ปซีมะโด่ง สามารถกระจายเสียงได้แบบวิทยุ นั่นล่ะจะเข้าทางของคุณถาวรเลย

ผมก็ว่าอย่างนั้น นี่คือความจริง อาจารย์ถาวร  โชติชื่น  เก่งแต่พูด  เขียนหนังสือนั้น ผมว่าถูกต้องตามที่คุณเหยง ได้กล่าวไว้ทุกประการ (สร้างความยั่วยวน ทำให้เกิดกิเลส  พรุ่งพล่าน เดือดดาลใจ ที่มีคนมาสบประมาท แต่มันเรื่องจริง)
                     ขอบคุณมาก
                     อรุณสวัสดิ์ทุกท่านครับ


 

ผมว่า...เขาวางอุเบกขาแน่นอนครับ
พี่สิงห์อุตส่าห์ส่ง SMS ไปบอกว่า มีคนสบประมาทในเวบ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2265 เมื่อ: 10 มิถุนายน 2554, 16:35:40 »


                       ของฝากแด่น้องอ้อย ๑๗ และ ดร.สุริยา  ทางแม่บ้านโรงแรมตัดเป็นที่รองในถังขยะ ในห้องพี่สิงห์พบเมื่อเช้า  พี่สิงห์เห็นเข้า จึงเอามาอ่านแต่เสียดาย ข้อความมันหายไป แต่อย่างน้อยพอรู้บ้างครับ (เห็นอะไร? เป็นต้องเก็บมาเขียน เพราะไม่รู้จะเขียนอะไร? เพราะไม่ใช่นักเขียน)
                       สวัสดี
      บันทึกการเข้า
too_ploenpit
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2514
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 7,778

เว็บไซต์
« ตอบ #2266 เมื่อ: 10 มิถุนายน 2554, 16:48:17 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 10 มิถุนายน 2554, 16:35:40

                       ของฝากแด่น้องอ้อย ๑๗ และ ดร.สุริยา  ทางแม่บ้านโรงแรมตัดเป็นที่รองในถังขยะ ในห้องพี่สิงห์พบเมื่อเช้า  พี่สิงห์เห็นเข้า จึงเอามาอ่านแต่เสียดาย ข้อความมันหายไป แต่อย่างน้อยพอรู้บ้างครับ (เห็นอะไร? เป็นต้องเก็บมาเขียน เพราะไม่รู้จะเขียนอะไร? เพราะไม่ใช่นักเขียน)
                       สวัสดี

...มันมีแค่ 2 ตอนก็จบค่ะ...พี่สิงห์...ใน นสพ.เดลินิวส์...ที่บ้านรับประจำ...

...เลยติดตามอ่าน...เพราะว่าก็เป็นแฟนเพลงอยู่เหมือนกันค่ะ...

...และได้ตามดูรายการตีสิบทางช่อง 3 ด้วยค่ะ...เสียดายไม่ได้ไปดูคอนเสิร์ตค่ะ...
      บันทึกการเข้า

i love pink, you are pink = i love you
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2267 เมื่อ: 10 มิถุนายน 2554, 20:04:15 »


                       นี่คือ อาหารมื้อเย็นของพี่สิงห์โดยปกติที่มานครศรีธรรมราช ถ้าเป็นสลัดผักทูน่า จะไม่ใส่น้ำสลัด ถามว่ารสชาดเป็นอย่างไร คำตอบคือ กินไปอย่างนั้นเอง เป็นการฝึกกินไม่ตามที่ใจมันอยาก แต่มีประโยชน์ต่อร่างกายสำหรับมื้อเย็น จนชินเสียแล้ว  ถ้าอยู่นครศรีธรรมราช ๒ คืน เย็นวันที่สองจะกิน ส้มตำไทยกับหมูน้ำตก สูตรของอาจารย์มานพ คือ ไม่เผ็ด ไม่เค็ม ไม่สนใจว่าจะกินได้ อร่อยหรือไม่ ให้ทำตามนี้ กินได้ทั้งนั้น เหตุที่ต้องกินหมูน้ำตกเพราะว่า สังเกตุดูกินแต่ผักมากๆ ร่างกายมันฟ้องเอง ต้องกินเนื้อบ้างเพื่อความหลากหลายของอาหารครับ

                        แต่ถ้าพี่สิงห์อยู่กรุงเทพฯ อยู่คนเดียวด้วยความขี้เกียจไปคาร์ฟูลาดพร้าว ภายหลังเดินออกกำลังกายและรำชิกงเสร็จ พี่สิงห์จะไปซื้อผลไม้รถเข็นหน้าร้าน ฟามารี่มาร์ท คือ มะม่วงแก้ว  สัปปะรด  มะละกอ  ฝรั่ง และชมพู่  แต่จะซื้อเพียงสองอย่าง เท่านั้นราคาไม่เกิน ๒๕ บาท เป็นอาหารเย็น  แต่ถ้าหลานสาวอยู่ด้วย พี่สิงห์จะไปซื้อสลัดผักที่ร้านการบินไทย มาเป็นอาหารเย็น หรือไปซื้อสลัดเวียตนาม ที่ร้านลองดูมาครับ

                        วันไหนไปงานเลี้ยง จะได้กินมากหน่อยเพราะงก  ไม่ได้กินมานาน  นานๆทีต้องกิน แต่ก็ยังควบคุมปริมาณ และยึดกลัก 2:1:1 คือ ผักสองส่วน : โปรตีนหนึ่งส่วน : แป้งหนึ่งส่วน อยู่เสมอ

                        ทุกท่านลองดูนะครับ ไม่อยากต่อการกิน ครับ  มันอยู่ที่ใจเท่านั้น  กินเพื่ออยู่  ไม่ใช่อยู่เพื่อกิน ครับ

                        ราตรีสวัสดิ์ทุกท่านครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2268 เมื่อ: 11 มิถุนายน 2554, 06:02:09 »

อรุณสวัสดิ์ทุกท่านครับ
                        เช้านี้ผมขอนำธรรมบรรยายของหลวงพ่อเทียน   จิตฺตสุโภ  มานำเสนอให้ทุกท่านได้ศึกษา จนจบตอนครับ ขอให้อ่าน ทำความเข้าใจ ด้วยปัญญาตามหลัก กาลามะสูตร คือไม่เชื่อ ๑๐ อย่าง แล้วลองปฏิบัติ การเจริญสติแบบเคลื่อนไหวตามแนวทางของท่านดูครับ แล้วพิจารณาสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวท่าน  ถูกจริตกับท่านไหม ลองดูนะครับ ท่านจะรู้ด้วยตัวของท่านเอง
                        สวัสดี(27132) - (27009) =  123 ครั้ง


รู้ธรรมวันละนิด จิตผ่องใส
ตอนที่ ๑๐
จิตหลุดพ้นแล้ว ญาณย่อมมี




ธรรมบรรยายของ หลวงพ่อเทียน  จิตฺตสุโภ

*********

ต้นเหตุของความทุกข์

   อันที่มันถูกปรุงไปนั้น  มันเข้าหลักอวิชชา  เรื่องปฏิจจสมุปบาท อวิชชาแปลว่า ความไม่รู้  คือ  ไม่รู้ความคิดนี่เอง   ไม่ใช่  ไม่รู้เงิน  ไม่รู้ทอง  ไม่อย่างนั้น  อันมัน  “รู้คิด” กับ มัน “เห็นความคิด” มันคนละเรื่อง อันมัน  “รู้คิด” มันรู้คิดเป็นเรื่องเป็นราวไป   นั้นมันรู้  ความรู้อันนั้น พระพุทธเจ้าท่านเรียกว่า  ความรู้ของอวิชชา (ส่วน)  ความรู้ของวิชชา  มันคิดขึ้นมา  เราเห็น  เรารู้  เราเข้าใจ  เหมือนกับ  หนูกับแมว  ถ้าหนูโผล่ออกมา  แมวมัน (ก็) จับ  เมื่อแมวจับแล้ว  หนูมัน (จะ) กระดิกตัวไม่ได้  อันนี้ก็เหมือนกัน  ถ้ามันโผล่คิดขึ้นมา  เรามีสติ  เราเห็น  เรารู้  เราเข้าใจ  ความคิดมันไม่ต้องปรุงไป  อันนี้เรียกว่า  มีสติ  รู้แจ้ง  เห็นจริง  ตามความเป็นจริงที่พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้  คนรู้อย่างนี้ (แล้ว) เป็นอย่างไร  มันไม่มีทุกข์  ความทุกข์ไม่ต้องมี  คือความโกรธ  ความโลภ  ความหลง  ไม่ต้องมี  ความอิจฉา  ริษยา  เบียดเบียนคนอื่น  ไม่ต้องมี  เพราะคนมีสติแล้วนี่

   นี่ พระพุทธเจ้าสอนใกล้ๆ  ไม่มาก  ที่เราทำกันทุกวันนี้เราไม่ได้ทำจุดนี้  คือเราไปทำเพื่อตายแล้วต้องไปเกิดนิพพานหรือสวรรค์  เราไม่รู้จักนิพพาน  มันก็ไปนิพพานไม่ได้  ไม่รู้จักสวรรค์  มันก็ไปสวรรค์ไม่ได้ “สวรรค์”  คนโบราณท่านสอนเอาไว้อยู่ในอก  นรกอยู่ที่ใจ  พระนิพพานก็อยู่ที่ใจนี่  คำว่าใจนี้  มันไม่มีตน  ไม่มีตัว  ที่มันปรากฏ  มันนึก  มันคิดขึ้นมานั้น  (มัน) ซาบซ่านอยู่ทั่วตัว  มันอยู่ที่ตรงไหน  ไม่รู้  ไม่เห็น  ไม่เข้าใจ  เพียงเรามีสติมากำหนด  ความคิด  มันคิดขึ้นมา  มันจะคิดอย่างไรก็ตาม  เรากำหนดรู้ทันที  เมื่อเรากำหนดรู้แล้ว  ความคิดมันหยุด  มันก็เลยไม่ได้ปรุงแต่ง  อันนี้  เรียกว่า วิชชา, (วิชชา) แปลว่า  รู้แจ้ง  รู้จริง  รู้จัก  รู้จำ  รู้อันนี้รู้จริงๆ

ปัจจัยที่ทำให้เกิดความทุกข์

คำว่า   อวิชชา   แปลว่า   ความไม่รู้
อวิชชา      เป็นปัจจัยให้เกิด      สังขาร
สังขาร      เป็นปัจจัยให้เกิด      วิญญาณ
วิญญาณ      เป็นปัจจัยให้เกิด      นาม-รูป
นาม-รูป      เป็นปัจจัยให้เกิด      อายตนะ
อายตนะ      เป็นปัจจัยให้เกิด      ผัสสะ
ผัสสะ      เป็นปัจจัยให้เกิด      เวทนา
เวทนา      เป็นปัจจัยให้เกิด      ตัณหา
ตัณหา      เป็นปัจจัยให้เกิด      อุปาทาน
อุปาทาน      เป็นปัจจัยให้เกิด      ภพ
ก็เลยเป็นชาติ  เป็นโสกะ  ปริเทวะทุกข์  แน่ะ!  ความทุกข์อยู่ที่ตรงนี้

ไม่จำกัดคุณสมบัติบุคคล

   ถ้าเราศึกษาหลักพุทธศาสนาจริงๆ  แล้ว  ศึกษาไม่ยาก  ไม่ลำบากลำบนอะไรทั้งหมด  ทุกคนเจริญ (สติ) ได้  จะเป็นชาติไน  ภาษาใด  ถือศาสนาไหนก็ตาม  บวชก็ศึกษาได้  ปฏิบัติได้  ไม่บวชก็ศึกษาได้  ปฏิบัติได้  เช่นเดียวกัน

ธรรมะอยู่ที่ไหน

   ผมเป็นโยม  ผมไปปฏิบัติธรรมะอันนี้  ผมรู้  ผมเป็นโยมนะ  ไม่ได้เป็นพระ  เป็นเณร  อะไรนะ   ผมเข้ามาบวชนี่  ผม (บวช) เพื่อจะมาฟื้นฟูหลักสัจธรรมคือ ความจริงที่เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าจริงๆ  ดังนั้น  ผมจึงกล้ายืนยัน  รับรองได้  เพราะว่าเป็นโยมก็ปฏิบัติได้  เป็นพระก็ปฏิบัติได้ การปฏิบัติธรรมะ ธรรมะอยู่ที่ไหน  ธรรมะนั้นคือ (อยู่) ที่ตัวเรานี่เอง   ไม่ใช่ธรรมะอยู่ที่อื่น  แต่คนส่วนมาก  เข้าใจว่า  ธรรมะต้องอยู่  นอกตัวไป เป็นสี  เป็นแสง  เป็นนรก  เป็นสวรรค์  เห็นนอกโลกไป  อันนั้น  คนนั้นชื่อว่า  ยังไม่เข้าใจ,  ยังไม่เข้าใจ  เพียงเข้าใจนึกเดาเอาเอง  เท่านั้นเอง

รู้จักกับสมมติและอุปกิเลส

   ความจริงธรรมะนั้น  วิธีที่เราจะรู้จักจริงๆ  รู้จำ  รู้จัก  รู้แจ้ง  รู้จริงนี้  มันต้องรู้เรื่อง “รูป-นาม” รู้เรื่องรูป-นาม แล้วก็ (ต้อง) รู้ (เรื่อง) สมมติ  หรือ  รู้ (เรื่อง) ทุกขัง  อนิจจัง  อนัตตานี้  รู้สมมตินี้  อะไรๆ  สมมติทั้งนั้น  จึงว่า  มันมีมากเรื่องสมมติ  มีสมมติขึ้นมาเฉยๆ  แล้วก็ สมมติบัญญัติ ขึ้นมา  แล้วก็มี ปรมัตถบัญญัติ แล้วก็มี อรรถบัญญัติ   แล้วก็มี อริยบัญญัติ   แน่ะ!  เป็นอย่างนี้  รู้อย่างนี้  แล้วก็  ต้องรู้ศาสนา  รู้พุทธศาสนา  รู้บาป  รู้บุญ   รู้จริงๆ  รู้เรื่องนี้  รับรองได้จริงๆ รู้เรื่องนี้แล้ว  มันก็เกิดวิปัสสนูขึ้นมา,  วิปัสสนู  แปลว่า  อุปกิเลส,  วิปัสสนูคือกิเลสนั่นแหละ  ตัวกิเลสนั่นแหละคือ วิปัสสนู  รู้นั้น  รู้นี้ไป  รู้ไม่มีที่สิ้นจบ,  เรื่องวิปัสสนูรู้  รู้อันนั้น (รู้) อันนี้  รู้นอกตัว  รู้ในตัวจริง เรียกว่า  อริยสัจ  สัจจะ  แปลว่า  ของจริง  มันมีจริงๆ  อย่างนี้

ผลของการรู้ รูป-นาม

   เมื่อรู้อย่างนี้  ผมเลิกได้ทันที  ในขณะที่ผมไปปฏิบัตินั้น  ผมสูบบุหรี่  พอดีผมมารู้เรื่องรูป-นาม  ผมเลิกได้ทันที  ไม่ต้องไปอ้อนวอนขอร้องจากใครที่ไหนเลย  ผีผมก็ไม่กลัว  ตั้งแต่บัดนั้นมา  หมาก  พลู  บุหรี่  เล่นการพนันอะไรทั้งหมดนี่แหละเลิกได้  ไม่สงสัย  เรื่องบาป  บุญ  นรก  สวรรค์  ไม่ (ต้อง) ข้องแวะ  ผี  เทวดา  ไม่ต้องกลัวทั้งนั้น  เพราะมันเป็นเรื่องสมมติพูดขึ้นมาเท่านั้น  อันนี้เราไม่รู้จักสมมติ  เราจึงกลัวผี  กลัวเทวดา  กลัวนรก  กลัวสวรรค์  เราไม่รู้จัก  ความจริง  ผีคือการทำชั่ว  พูดชั่ว  คิดชั่ว  เท่านั้นเอง  เทวดาคือการทำดี  พูดดี  คิดดี  หิริโอตตัปปะ(ที่)เราพูดกัน  แต่เราไม่เข้าใจ  นรกคือความเดือดร้อน  ความทุกข์  ความวุ่นวาย  อยู่ที่ไหนไม่มีสุข  ถ้าหากนรกมีจริง  ตายแล้วก็ไปตกนรก  เพราะมันมีความทุกข์  พระพุทธเจ้าท่านสอนอย่างนี้  สวรรค์  นิพพาน  ก็เหมือนกัน  ถ้าเรามีสวรรค์  มีนิพพาน  อยู่ในตัวเราแล้ว  เรื่องตายนั้นไม่ต้องสงสัย  เพราะเรามีแล้ว  เราเข้าถึงแล้ว  ตัวสัจธรรม  เราก็ไปได้  มันเป็นอย่างนั้นเข้าใจอย่างนี้  แต่ผมยังไม่ซาบซึ้ง  แต่รู้จริงๆ  เรื่องนี้  เรียกว่ารู้จัก  รู้จำ  รู้แจ้ง  แต่ยังไม่รู้จริง,  ยังไม่รู้จริง

จิตหลุดพ้นแล้ว  ญาณย่อมมี

   ตอนที่ผมรู้จริง  นี้แหละ  ผมจึงพูดความจริงให้ฟัง  แล้วใครจะฟังก็ได้  ไม่ฟังก็ได้   ในขณะนั้น  ผมเดิน  เรียกว่า  เดินจงกรม  เดินไป  เดินมา  มันหลุดตัวมัน  ถ้าจะเปรียบอุปมัยอุปมา  เหมือนกับเรามีเข็มขัดรัดผ้าเราไว้  ผ้าหลุดตัวออกไป  หลุดตัวออกไป  มันก็หมดซิหมดผ้า  ผ้ามันก็หลุดออกจากเนื้อจากตัวเรา  ไม่มีผ้าที่เนื้อตัวเรา   มันเป็นอย่างนั้น เมื่อผ้าหลุดออก  มันก็เบาตัววิว  เบาตัวทั้งหมดเลย  แต่ไม่ใช่ผ้าจริงๆ นะ  อันนี้เรียกว่า “จิตหลุดพ้นแล้ว!  จิตหลุดพ้นแล้ว!”  ในตำราเขาพุด (เขียน) อย่างนั้น  เมื่อจิตหลุดพ้นแล้ว  ญาณย่อมเกิดขึ้น  ย่อมมี,  ญาณเกิดขึ้น  ย่อมมี  แน่ะ!,  อันนี้เราไปเรียนตำรา  เราไม่ปฏิบัติ  มันก็เลยไม่รู้จัก  ไม่รู้แจ้ง  ไม่รู้จริง

ธรรมะที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้

   เมื่อเป็นเช่นนี้  มันก็คิดฟุ้งเข้าไปถึงพระพุทธเจ้า  “อ๋อ....พระพุทธเจ้าหลุดจากสิ่งเหล่านี้  สิ่งเหล่านี้  มันหลุดออกจากเรา  สิ่งนั้น  มันไม่ต้องมี  มันไม่ต้องมีจริงๆ  เมื่อมันมี  เราไปยึด  ไปถือเอา  เรียกว่า อุปาทาน  นั่นเอง  เมื่อเรามีอุปาทานแล้ว  ก็ยึดติดเท่านั้น  ดังนั้น  คนติดนั้นจะไปสวรรค์ไม่ได้  ไปนิพพานไม่ได้  เรียกว่า อุปาทาน  มันยึด  มันติด  มันเป็นเครื่องผูกพันเราอยู่อย่างนั้น”

   ดังนั้น  ที่ผมได้ให้ข้อคิดเป็นเครื่องเตือนจิตสะกิดใจวันนี้  ก็เห็นว่า  สมควรแก่เวลาแล้ว  เพราะจวนเวลาเราจะออกไปบิณฑบาตแล้ว  ถ้าหากมีโอกาส หรือมีเวลาดีจะพูดต่อไป  แล้วก็นิมนต์คุกเข่า  แล้วก็กราบกันได้

จบ “จิตหลุดพ้นแล้ว ญาณย่อมมี”


การเจริญสติ
ในชีวิตประจำวัน

   การเจริญสตินี้  ต้องทำมากๆ  ทำบ่อยๆ  นั่งทำก็ได้  นอนทำก็ได้  ขึ้นรถลงเรือทำได้ทั้งนั้น  เวลาเรานั่งรถเมล์  เรานั่งรถยนต์ก็ตาม  เราเอามือวางไว้บนขา  พลิกขึ้นคว่ำลงก็ได้ หรือเราไม่อยากพลิกขึ้นคว่ำลง  เราเพียงเอานิ้วมือสัมผัสนิ้วอย่างนี้ก็ได้ (วิธีนี้ พี่สิงห์ใช้จนเป็นปกติ นิสัยทั้งวันที่ระลึกได้ ว่าต้องสร้างความรู้สึกตัวทั่วพร้อมตลอดเวลาครับ) สัมผัสอย่างนี้  ให้มีความตื่นตัว  ทำช้าๆ  หรือจะกำมือ  เหยียดมืออย่างนี้ก็ได้

   คำว่า “ให้ทำอย่างนั้นตลอดเวลานั้น” (คือ) เราทำความรู้สึก  ซักผ้าซักเสื้อ  ถูบ้านกวาดบ้าน  ล้างถ้วยล้างชาม  เขียนหนังสือหรือซื้อขายก็ได้  เพียงเรามีความรู้สึกเท่านั้น  แต่ความรู้สึกอันนี้แหละ  มันจะสะสมเอาไว้  ทีละเล็กทีละน้อย  เหมือนกับเราที่มีขันหรือมีโอ่งน้ำ  หรือมีอะไรก็ตามที่มันดี  ที่รองรับมันดี  ฝนตกลงมา  ตกทีละนิด  ทีละนิด  เม็ดฝนเม็ดน้อยๆ  ตกลงนานๆ  แต่มันเก็บได้ดี  น้ำก็เลยเต็มโอ่งเต็มขันขึ้นมา

   อันนี้ก็เหมือนกัน  เราทำความรู้สึก  ยกเท้าไป  ยกเท้ามา  ยกมือไป  ยกมือมา  เรานอนกำมือเหยียดมือ  ทำอยู่อย่างนั้น  หลับแล้วก็หลับไป  เมื่อนอนตื่นขึ้นมาเราก็ทำไป  หลับแล้วก็หลับไป  ท่านสอนอย่างนี้ เรียกว่า  ทำบ่อยๆ  อันนี้เรียกว่าเป็นการเจริญสติ

*********
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2269 เมื่อ: 11 มิถุนายน 2554, 08:03:47 »



นี่คือลานเอนกประสงค์ชั้น ๓ ของโรงแรม ที่พี่สิงห์ใช้ออกกำลังกายยามเช้า - เย็น เป็นประจำทุำครั้งที่มานครศรีธรรมราช ครับ





อาหารเช้าวันนี้เหมือนเดิมครับ เพียงแต่เปลี่ยนจากน้ำเต้าหู้มาเป็นน้ำนมข้าวโพดเท่านั้นเอง
พี่สิงห์กินเพื่อมีชีวิตอยู่ที่ดี  ไม่ใช่อยู่เพื่อกิน
ดูอย่างช้าง ม้า วัว ควาย มันยังกินพืชเป็นอาหารได้  ทำไม?คนเราจะกินผักไม่ได้ มันอยู่ที่ใจครับ ถ้าใช้ปัญญาคิด  ไม่ใช่หลงความคิด

*********

ระวังโรคท้องผูก เป็นมากๆ บ่อยๆ จะกลายเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้

                     เมื่อหลายอาทิตย์ที่ผ่านมาผมขับรถกลับสิงห์บุรี หกโมงเช้าเปิดวิทยุ FM 99  ฟังรายการของ รศ.นายแพทย์ ปัญญา  ไข่มุก เป็นเรื่องที่เราไม่ควรมองข้าม คือทำอย่างไรเราจะรู้ว่าเราเป็นโรคท้องผูกหรือไม่? คุณหมอปัญญา บอกว่า ปกติลำไส้มนุษย์จะยาวประมาณ ๕ เมตร ภายหลังเรากินอาหารเสร็จกากอาหารจะใช้เวลาเดินทางไปอยู่ปลายทวารหนักเพื่อขับออกประมาณ ๑๒ ชั่วโมง  คนเราปกติรับประทานอาหารวันละ ๓ มื้อ ดังนั้นเกณฑ์ในการวัดว่าใครเป็นโรคท้องผูก หรือเป็นโรคท้องเสียนั้นก็คือ ในหนึ่งวัน ใครถ่ายอุจจาระมากกว่าสามครั้งขึ้นไป ท่านควรคำนึงหรือคิดได้เลยว่าท่านอาจจะเป็นโรคท้องเสีย โรคเกี่ยวกับทางเดินอาหารต่างๆ......ควรไปรีบปรึกษาแพทย์  และในหนึ่งสัปดาห์ถ้าใครถ่ายอุจจาระไม่เกินสามครั้ง ท่านต้องรู้ตัวของท่านว่า ท่านเป็นโรคท้องผูก  ท่านต้องรีบไปปรึกษาแพทย์โดยด่วน เช่นกันครับ นี่คือเกณฑ์มาตรฐานของคนปกติ

                      ท่านสังเกตุไหม ทำไม?เสือ  สิงห์โต  ซึ่งเป็นสัตว์กินเนื้อจึงมีสาป(กลิ่นตัว)แรง และอุจจาระแข็ง เป็นก้อน ดำ ทำให้สัตว์อื่นๆ จำได้ ได้กลิ่นเร็วสามารถวิ่งหนีได้ทัน เพราะธรรมชาติมันสร้างมาให้เอาตัวรอด และรักษาสมดุลย์ของธรรมชาติเอาไว้ คนที่รับประทานเนื้อ เนื้อหมู  เนื้อไก่มาก ท่านลองสังเกตุด้วยตัวของท่านเองจะพบว่า กลิ่นตัวแรง อุจจาระเหม็นมาก  เป็นก้อนดำ แข็ง ถ่ายอยากมาก ทุกข์ทรมารเวลาถ่าย นี่คือความจริง  นอกจากนี้ถ้าท่านลองล้างลำไส้ดูจะพบว่า สีมันดำน่ากลัวเป็นมะเร็งจะตายไป  แล้วท่านจะหลงกินเนื่อในปริมาณที่มากๆ อยู่ทำไมครับ กินพอประมาณไม่ให้ขาดสารอาหารก็เพียงพอแล้วครับ  ยิ่งอายุมากๆ มันต้องการนิดเดียว แต่ทุกวันนี้เรากินเพราะอยากกิน มีสตางค์ ไม่หนักหัวกระบานใคร? จะกินเสียอย่างใครจะทำไม?  มันก็ถูกต้องครับไม่มีใครทำท่านทั้งนั้น แต่ร่างกาย-ใจของท่านจะเป็นทุกข์กับผลของมันที่ตามมาภายหลังครับ

                       อย่าลืมนะครับ กินเนื้อมาก กลิ่นตัวแรง  เป็นที่รังเกียจ ของคนรอบกายท่าน

                       แต่สำหรับผู้ที่กินในระบบ 2:1:1 คือ ผักสองส่วน ต่อ ข้าวหนึ่งส่วน ต่อ โปรตีนหนึ่งส่วน(เนื้อปลาเป็นส่วนใหญ่) ถ่ายง่าย  ตรงเวลาทุกวัน  วันละครั้ง อุจจาระไม่แข็ง  ไม่เหลว กำลังพอเหมาะ สีสวยปกติ ถ่ายใช้เวลาไม่มาก หมดแล้วหมดเเลย สบายท้อง สังเกตุดูมันเป็นเช่นนั้นจริงๆ

                       ลืมไปไม่ควรอ่านหนังสือในห้องน้ำขณะถ่ายอุจจาระ เพราะจะสร้างนิสัยที่ไม่ดีให้กล้ามเนื้อเปิดปิด และการบีบตัวของปลายลำไส้ใหญ่มีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปครับ เพราะเราไม่ตั้งใจในการถ่ายเป็นเหตุ  มัวแต่ไปมีสติกับการอ่านหนังสือ ไม่ควรทำแบบนั้นครับ  คนเราจะถ่ายได้นั้น กล้ามเนื้อเปิดปิดและการบีบตัวของกล้ามเนื้อลำไส้ใหญ่ส่วนปลายต้องสัมพันธ์กันจึงจะถ่ายออกได้

                        ท่านลองสังเกตุพฤติกรรมของตัวท่านเองให้มีความรู้สึกและจำเอาไว้ คือพฤติกรรมการปวดเพื่อถ่าย  ลักษณะของอุจจาระกับอาหารที่รับประทาน  ทุกข์ขณะถ่าย  ท่านสามารถค้นพบด้วยตัวของท่านเอง  ถ้าท่านมีสติในการถ่าย  ท่านสามารถจะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินของท่านได้  เพราะใจมันกลัว  กลัวเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ ครับ

                        ปัจจุบันคุณสาวๆ เป็นโรคท้องผูกกันมากครับ และพาให้เป็นหลายโรคตามมา หาสาเหตุไม่พบนั้น สาเหตุมาจากท้องผูกและพฤติกรรมการกลัวอาย  ไปอั้นอุจจาระ  ไปอั้นปัสสาวะ นี่ละครับ  อย่าไปอั้นมันครับ  มันอยากถ่ายก็ปล่อยมันออกมาให้เป็นที่เป็นทาง อะไรที่เป็นของเสียในร่างกาย  เราไปอั้น  ไปปิดกั้นไม่ให้มันออก  แล้วมันจะไปอยุ่ไหนละครับ  มันจะไปสร้างความยุ่งอยากให้อวัยวะอื่นๆ ต้องทำหน้าทีขับถ่ายแทน  เมื่ออวัยวะทำไม่ไหวมันก็ชำรุด(เช่น ตับ ไต)  เสียความบกพร่องของอวัยวะนั้นไป เป็นทุกข์หนักครับ กรุณาอย่าอั้นของเสีย ถือว่าเป็นการทำร้ายร่างกาย  ร่างกายเรา เราต้องทำนุถนอม เพราะเรายังต้องพึ่งมันไปอีกหลายปีจนกว่าจะตาย ครับ

                       เคล็ดลับสำคัญที่สุดในชีวิต  ดื่นน้ำมาก ๆ ครับ อย่างน้อยวันละ ๑๐ แก้ว ท้องจะไม่ผูก  ผิวพรรณดี  เลือดจะไม่ข้น........

                        ลืมไปพี่สิงห์ยังคงทำดีท๊อกทุกสัปดาห์หรืออย่างน้อยสองอาทิตย์ต่อครั้ง อย่างต่อเนื่อง เป็นปกติดีครับ  ท่านละลองทำดีท๊อกบ้างหรือยัง  ถ้าไม่เคยทำลองทำดูจะพบว่า ทำไม?สีของอุจจาระมันจึงน่ากลัวอย่างนี้ คือกลัวเป็นมะเร็ง เพราะมันสะสมสิ่งโสโครก ดำๆ เอาไว้ตลอดที่มันขับถ่ายไม่ได้ครับ  ไม่เชื่อลองดู  ใครทำไม่เป็นผมยินดีแนะนำ และสอนวิธีทำให้ได้ครับ อาทิตย์หน้าผมจะไปโรงพยาบาลจอมทองเพื่อซื้อกาแฟดีท๊อกพร้อมอุปกรณ์มาสำรองไว้ เพราะของเก่าชำรุด และกาแฟหมดแล้วครับ

                        เช้านี้ขอให้ท่านมีจิตที่ผ่องใส ครับ
                        สวัสดี

หมายเหตุ
                        สิ่งที่เล่ามานี้ พี่สิงห์เอามาจากประสพการณ์ ที่พี่สิงห์ทำกับตัวเอง รู้เอง เห็นเอง และแก้เสียใหม่ให้มันดี
                        แก้ได้มันก็ดีสมใจนึก ไม่มีทุกข์ ครับ
                        มันอยู่ที่ใจจริงๆ ครับ การแก้ใจนั้นไม่ยาก ก็ "เจริญสติแนวหลวงพ่อเทียน  จิตฺตสูโภ"   ไงครับ
                        ได้ผลทันตาเห็น ลองดูซิครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2270 เมื่อ: 11 มิถุนายน 2554, 20:14:04 »



ทุเรียน "หลงลับแล" พันธ์แท้ของเมืองลับแล อุตรดิตย์  อร่อยสมชื่อ ครับ

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน

              พี่สิงห์กลับมากรุงเทพฯแล้วครับมีเรื่องที่จะแจ้งให้ทราบ และขอความช่วยเหลือ ครับ

              เรื่องแรก ที่เอารูปให้ดู มีอยู่วันหนึ่งพี่สิงห์ฟังรายการของ โปร.เผ่าสิงห์  นิสสัยสุข        คนบ้านเดียวกันสิงห์บุรี น้องชายอาจารย์เพียรศักดิ์  นิสสัยสุข  ครูสอนภาษาอังกฤษ ผมสมัยเรียนอยู่โรงเรียนอินทร์บุรี ม.ศ. ๑-๓ ครับ บอกว่าทุเรียนที่อร่อยนั้นต้องทุเรียนเมืองลับแล เป็นทุเรียนพันธ์พื้นเมือง ชื่อว่า "หลงลับแล" ผมจึงให้คุณชัยวัฒย์ บอกคุณแหว๋วน้องสาว เจ้าของ บ. PR Engineering จำกัด ที่เป็นชาวอุตรดิตย์เอามาให้บอกไว้นานแล้วปรากฎว่าไม่ลืมเลยนำมาให้รับประทานสองลูก ลักษณะ ลูกเล็ก ๆ มีกลิ่นหอมที่ไม่เหมือนกับทุเรียนทั่วไป กลิ่นไม่ฉุ๋น เหมือนน้ำหอมมากกว่า ไม่หวานมาก  ไม่มันมาก เม็ดลีบ  อร่อยสมดังคำร่ำลือจริง ครับ  ใครผ่านไปแถวอุตรดิตย์อย่าลืมซื้อรับประทานนะครับ แล้วท่านจะติดใจ

               เรื่องที่สอง พี่สิงห์มีปัญหาทางด้าน computer Excel เปิดขึ้นมามันไปอยู่ Mode File พี่สิงห์ต้องการเปิดขึ้นมาให้ไปอยู่ Mode Home ซึ่งเมื่อก่อนเปิดขึ้นมามันก็เป็น Home แต่ไม่รู้พี่สิงห์ไปทำอะไรมันเข้า เปิดขึ้นมาจึงเป็น File ซึ่งใช้ไม่สะดวกต้องกด Home อยู่เรื่อย ถาม ดร.สุริยา  ถามคุณรุ่งศักดิ์  แล้วครับ  ยังไม่ได้คำตอบ  ขอความกรุณาท่านที่เรียน Computer มาหรือผู้รู้แนะนำด้วยครับ เพราะมันเป็นทุกข์เวลาใช้งานครับ

               วันอาทิตย์เช้าคงไม่มี กระทู้ธรรม เพราะเขียนไม่ทัน ต้องออกจากบ้าน 05:00 น" เพื่อไปตีกอล์ฟเช้ากับ My company คือคุณ John Skinner  พี่วิชัย และคุณสุดสาคร อดีตทูตอุตสาหกรรมประเทศออสเตรีย ครับ

                พี่สิงห์ต้องปรับเวลานอนให้เร็วขึ้นเพื่อตื่นตีสี่มานั่งเจริญสติ เพราะเช้ามืดเหมาะแก่การเจริญสติ  หลวงพ่อเทียนท่าน สำเร็จตอนตีสี่ พระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสรู้ประมาณนี้ครับ(คุณวัฒนา บอกว่าหลวงพ่อหลายท่านก็แนะนำแบบนี้) และผมเห็นว่าปกติผมก็ตื่นอยู่แล้วเพียงแต่ให้มีสติและนอนต่อซื่งมันก็สามารถหลับต่อได้  จึงต้องปรับตัว ดัดนิสัย ดัดใจใหม่ แต่ต้องนอนหัวค่ำขึ้น ไม่เกินสามทุ่มต้องหลับ และต้องเผื่อเวลาก่อนนอนในการสวดมนต์ทำวัตรเย็น และนั่งเจริญสติให้ใจสงบนิ่งเป็นปกติ จึงนอนอย่างมีสติต่อจนหลับไป  ตื่นก็ให้มีสติ ครับ

                 ลืมบอกไปวันนี้อาหารเย็นพี่สิงห์คือ มะม่วงแก้วหนึ่งผล  สัปปะรดหนึ่งชิ้น และหลงลับแล สองพูเล็กๆ ครับ ภายหลังจากเดินจงกรมออกกำลังกายเสร็จที่หน้าบ้าน  เสร็จแล้วก็รีดเสื้อ จัดเสื้อผ้าตีกอล์ฟใส่กระเป็า เอาน้ำร้อนใสกระติกไปรับประทานไว้ในถุงกอล์ฟ  อาบน้ำ มาอยู่หน้าจอ computer สวดมนต์ทำวัตรเย็น  เจริญสติ นอน ครับ นี่คือกิจวัตรวันนี้

               ราตรีสวัสดิ์ทุกท่านครับ
      บันทึกการเข้า
too_ploenpit
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2514
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 7,778

เว็บไซต์
« ตอบ #2271 เมื่อ: 11 มิถุนายน 2554, 20:21:58 »

...ราตรีสวัสดิ์ค่ะ...พี่สิงห์...
      บันทึกการเข้า

i love pink, you are pink = i love you
เอมอร 2515
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu 2515
คณะ: รัฐศาสตร์(นิติศาสตร์)
กระทู้: 4,562

« ตอบ #2272 เมื่อ: 12 มิถุนายน 2554, 18:21:12 »

สวัสดีค่ะ พี่สิงห์
เรื่องควบคุมอาหาร ดีต่อสุขภาพ
ที่สำคัญต้องใจแข็งค่ะ ห้ามใจอยากทานให้ได้ เวลาเจอของหวานและขนมค่ะ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2273 เมื่อ: 13 มิถุนายน 2554, 06:15:44 »

สวัสดียามเช้า ค่ะ คุณน้องตู่ และ คุณน้องเอมอร ที่รัก
                       ขอบคุณมากที่เข้ามาทักทาย แสดงความคิดเห็น

รู้ธรรมวันละนิด จิตผ่องใส
ตอนที่ ๑๑
ความอยากของจิต
 

                     เรื่องการกิน สามารถทดลองหาอารมณ์ความอยากแห่งจิตได้ ลองมาทดลองกันครับ

                     ความอยากของคนนั้น มันรุนแรงมาก ขอให้ลองทดลองดูด้วยตัวของท่านเองในอาหารมื้อเช้า วันนี้ เช้านี้ สมมติว่าท่านกำลังจะกินข้าว อย่าเพิ่งกิน ขอให้ลองเอาช้อนตักอาหารประกอบด้วยข้าว กับข้าวสักสองอย่าง ให้เต็มช้อน หรือพูนช้อน แล้วใส่ปาก เป็นคำแรกของอาหารมื้อเช้านี้  ให้อมไว้ในปากเฉยๆ ห้ามเคี้ยว เพียงอมไว้เฉยๆ เท่านั้นนะครับ แล้วเอาสติมาดูจิตของท่านว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างกับอาหารในปากท่าน ที่ท่านกำลังอมไว้ทิ้งไว้ให้นานเท่าที่จะทำได้ ท่านจะเห็น ความอยากของท่านเกิดขึ้น ค่อยๆเกิดขึ้น อยากรุนแรงขึ้น อยากที่จะรีบเคี้ยว อยากที่จะกลืนลงคอ อย่าเพิ่งเคี้ยวครับ ขอให้ดูความอยากของจิตท่านไปเรื่อยๆ  นี่ละลักษณะความอยากของคน มันรุนแรง  สร้างความกระวนกระวานใจ  พรุ่งพล่านใจ  เดือดดาลใจ อยากที่จะเคี้ยวอาหารและอยากที่จะกลืนลงคอให้ได้  อย่าเพิ่งเคี้ยวครับ  ดูจิตของท่านไปเรื่อยๆ ดูให้เห็นจิตแห่งความอยากของท่าน  ท่านจะได้รู้และเข้าใจความอยากแห่งอารมณ์จิตของท่าน  มันจะเป็นสมุฏฐานของท่านที่ท่านจะเอาชนะความอยากของท่านได้ เพราะท่านทราบ ท่านเห็น รู้สึกและรู้จัก ความอยากของท่านแล้ว ดูความอยากของท่านให้ออกนะครับ

                      เมื่อท่านรู้อารมณ์  เห็นความอยาก และรู้จักความอยากของท่านแล้ว ค่อยๆ เคี้ยว ช้าๆ อย่ากลืน เคี้ยวให้ละเอียด อย่างมีสติ รู้สึกตัวว่าท่านกำลังเคียวอาหาร  ฟันกำลังขบอาหารให้ละเอียด ค่อยๆ เคี้ยวจนกระทั่งอาหารในปากค่อนข้างละเอียด หมดแล้ว  ค่อยๆ กลืนลงคอ ช้าๆ ท่านจะมารถจับความรู้สึกของอาหารที่ค่อยๆ ไหลลงคอได้  พอผ่านลำคอลงไปท่านก็จะไม่สามารถจับได้ เพราะลำใส้ กระเพาะอาหารของคน ไม่มีปราสาทมากนัก ครับ

                      นี่ละครับวิธีรับประทานอาาหารแบบมีสติ ระลึก รู้สึกได้ ท่านจะไม่ส่งจิตออกนอก คือไม่คิด จิตของท่านอยู่ที่การเคี้ยว การกลืน ผลที่ได้ คือกระเพาะอาหารทำงานง่าย ย่อยง่าย ท่านไม่ทุกข์เพราะไม่คิด มีสติอยู่ที่การกินอย่างเดียว งายๆแบบนี้ละครับ การปฏิบัติธรรมสำหรับการกินที่มีสติ

                      ความอยากของคนคือตัวการใหญ่ที่ทำให้เราทุกข์ ความอยากคือตัณหาของมนุษย์ ใหญ่หลวงนัก
 
                      อย่าลืมเพราะมีตัณหา(ความอยาก)เป็นเหตุ ปัจจัยจึงเกิดอุปทาน(ความยึดมั่นถือมั่น) ความอยากนั้น เมื่อท่านรู้จักและเข้าใจแล้ว ท่านจะพบว่า มันเกิดจากความเคยชิน ที่เคยได้รับมาตั้งแต่เกิด  สะสมทีละเล็กทีละน้อย โดยที่ท่านไม่รู้ตัวเลย เพราะท่านไม่เคยดูมัน  ไม่รู้จักมัน  พอเห็น พอประสพกับสิ่งที่ตนรัก ตนชอบ อีกครั้งจากอายตนะ ๕ ก็เกิดขึ้นมาทันที เพราะท่านปล่อยให้รูป-นามของท่าน กระทำตามความคิดของท่าน ทันที โดยไม่ใช่สติไตร่ตรองให้ท่องแท้ว่าสมควรจะกระทำหรือไม่ จิตท่านตัดสินใจให้ปฏิบัติเลย เพราะท่านคิดเข้าข้างตนเองเสมอว่า มันถูกต้อง และสมควรแล้ว ผลของความอยากมันก็คือทุกข์ที่จะตามมา ครับ

                      เมื่อท่านรู้จักความอยากแล้ว ท่านลองทำตรงข้าม เมื่อประสพกับสิ่งที่รักที่ชอบ ไม่ว่าจะเป็นอาหาร เสื้อผ้า ขนม สาวๆ หนุ่มๆ จิปาถะ และ.......อื่นๆ อีกมาก ลองใช้ สติ พิจารณาโดยปราศจากความโลภ  ความโกรธ  ความหลงเข้าข้างตนเอง  ใช้ปัญญาตัดสินใจ ว่าเราจะทำอย่างไรกับสิ่งที่เราอยากเมื่อประสพกับมันเพื่อว่าจะไม่ทุกข์ตามมา  ลองทำอุเบกขาให้เกิด มี "ขันติ" อดทนอดกลั้นเอาไว้ อย่าด่วนปรุงแต่ง หรือกระทำตามจิตมันคิด เพียงแต่รับทราบ ดูจิตจากสิ่งที่มาประสพพบเห็นทางอายตนะนั้น ชั่วอึดใจเดียวเท่านั้น ความอยากที่เกิดขึ้นกับจิตนั้น มันจะค่อยๆดับ และหายไปเองโดยธรรมชาติ เป็นไปตามกฏไตรลักษณ์ คือ ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ไม่มีตัวไม่มีตน มันเกิดขึ้นแห่งจิต มันอยู่ไม่ได้ ถ้าเราไม่ไปคิดตามมัน หรือตกเป็นทาสมัน หรือหลงไปคิดตามมัน มันจะดับไปของมันเอง ขอให้ท่านมี ขันติอยู่ใน "อุเบกขา" ทำจิตให้มั่นเท่านั้นท่านก็จะผ่านความอยากที่ประสพจากอายตนะ นั้นไปได้

                      เช่น ตัวอย่าง อาจารย์ถาวร   โชติชื่น  เข้ามาอ่านข้อความที่คุณเหยง  ดร.สุริยา  และพี่สิงห์ ปรามาดเอาไว้  จิตใจของอาจารย์ถาวร พอประสพข้อความเท่านั้นก็พรุ่งพล่านเดือดดาลใจ เกิดความทุกข์ คือคิดปรุงแต่งไปต่างๆนาๆ  คิดอยากจะมาตอบโต้ ทันทีทันใด แต่ก็รู้ตัวดี ว่าตัวเองเก่งแต่พูด เขียนไม่เป็น  ในสิ่งที่พูดก็ซ้ำๆ ซากๆ เรื่องเดิมทั้งนั้น(ถ้าผู้ฟังเคยฟังอาจารย์ถาวร  โชติชื่น  พูดมากกว่าหนึ่งครั้งจะสามารถพบได้ด้วยตัวเอง)เพียงแต่เปลี่ยนคนฟังใหม่เท่านั้นเอง เป็นเช่นนั้นจริง  อาจารย์ถาวร  ทุกข์เพราะ ไปแทงใจดำของตัวเองเข้า  อาจารย์ถาวร  พยายามใช้ความอดทน  อุเบกขา  เพื่อข่มใจตนเอง ไม่ให้ออกมาตอบโต้ เพราะบางครั้งเราก็รู้ว่าการอยู่นิ่งๆ เฉยๆ นั้น เป็นวิธีที่ถูกใช้ได้เสมอในทุกเหตุการ เพราะฝ่ายตรงข้ามจะไม่รู้ว่าเราคิดอะไร ทั้งๆที่เราคิด เราทุกข์แทบตาย  จะเห็นว่าอาจารย์ถาวร  โชติชื่น  ไม่ออกมาตอบโต้เลย  ซึ่งเราก็คาดเดาเอาไว้แล้วตามที่คุณเหยง บอกเอาไว้

                     นี่ละครับประโยชน์ของ "อุเบกขา" แต่ไม่ง่ายนะครับ ถ้าจิตของท่านไม่ได้รับการฝึกมาก่อน เพราะปุถุชนทั่วไป พอจิตมันคิดปับ มันจะสั่งให้รูป-นามกระทำทันที่ ธรรมชาติมันเป็นอย่างนั้นเพราะเคยชินมาตั้งแต่เกิด จนเป็นสันดาลเสียแล้ว พระท่านจึงว่า สันดอนขุดได้ แต่สันดาล ขุดไม่ได้  แต่จริงๆ แล้วสันดาลขุดได้ครับ คือการฝึกจิต เอาชนะจิตตนเอง ด้วยการกระทำที่ตรงกันข้ามกับจิต(คิด) ด้วยการสร้างความรู้สึกตัว คือมี "สติ" ตลอดเวลานี่ละครับ สามารถเอาชนะจิตได้

                     ตัณหา นั้น มีด้วยกัน สามลักษณะตามที่ประสพจากอายตนะ ๖ คือ
                     - กามตัณหา คือความอยากที่ประสพจากอายตนะ ๕ คือความอยากที่ประสพทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย
                     - ภวตัณหา คือความอยากที่จิต มันคิดขึ้นมาเอง
                     - วิภาวตัณหา คือความอยากที่จิตมันไม่อยากหลุดพ้น(เป็นทาส หรือหลงอยู่ในความคิด)เมื่อมันคิดขึ้นมา

                     ความอยากของคนนั้น ยิ่งใหญ่ไพศาลนัก สามารถทำให้โลกวิบัติได้  
                     พอกันเถอะครับกับความอยาก ขอให้ใช้ปัญญา เราอยากเพื่อการดำรงชีวิตอยู่อย่างพอเพียงแค่นั้นไม่ได้หรือครับ
                     เพราะเพียงแค่นี้เราก็อยู่เป็นสุขได้  ไม่จำเป็นต้องมีมากกว่านี้แล้วครับ

                     อรุณสวัสดิ์ครับ(27331)


หมายเหตุ

                     อุเบกขา นั้น ตามความเห็นของผม(ณ ขณะนี่) นั้น แบ่งออกได้ ๓ ลักษณะ คือ

                     ๑.อุเบกขาชั่วคราว อย่างอาจารยืถาวร  โชติชื่น  นั้นกำลังทำอยู่ คือสามารถที่จะไประงับสิ่งที่ประสพที่ไม่รักไม่ชอบ ทำให้ทุกข์ใจ แต่สามารถระงับได้ด้วยอุเบกขาแบบชัาวคราว แต่ใจยังคิดปรุงแต่งอยู่

                     ๒.อุเบกขาเกือบถาวร คือ สามารถวางใจเป็นกลาง ปล่อยวางเฉยได้ เพียงรับรู้จากสิ่งที่ไม่รักไม่ชอบที่ผ่านมาทางอายตนะ แล้วไม่คิดปรุงแต่งอย่างใดเลย ปล่อยให้มันผ่านไป แต่ยังได้รับผล(ยังอดคิดบ้าง หรือรับผลของมันบ้างทางใจ) นั้นอยู่

                     ๓. อุเบกขาที่จิตเป็นประภัสสร คือปล่อยวาง ไม่ปรุงแต่ง  ไม่ได้รับผล(ไม่คิด ไม่ได้รับผลทางจิต) นั้นเลย นี่คือสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านประสงค์จะให้มนุษย์ที่เกิดมาบนโลกนี้กระทำ ครับ เพราะสังคมจะสงบ และมีสันติ  ได้ครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2274 เมื่อ: 13 มิถุนายน 2554, 06:35:02 »

ความรู้ เรื่องการดูแลสุขภาพ

                       คนเราอ้วนเพราะอะไร? คนเราอ้วนเพราะกิน  กินด้วยความเคยชิน  กินเพราะความอยากเมื่อเห็น(ประสพ) โดยไม่คำนึงถึงผลที่จะตามมากับสุขภาพ เพียงแค่ขอให้ได้กินไว้ก่อน เป็นพอใข สุขใจ ครับ

                       พอประสพ หรือคิดขึ้นมาปัป จิตมันคิดและปรุงแต่งต่อตัดสินใจทันทีให้ รูป-นาม กระทำตามในสิ่งที่มันคิด(กิน)ทันที โดยขาดสติ กระบวนการมันเป็นอย่างนี้ เร็วมากๆ จน สติ ตามไม่ทัน  ถ้าจิตฝึกไว้ไม่ดีพอ ถึงเคยฝึกจิตมาก็ตามไม่ทันครับ มันเร็วมากๆ ความคิดคนกับความอยาก

                       บางคนว่า เราก็ไม่ได้กินข้าวเย็นมาก กินแต่สลัดแต่ทำไม? มันจึงอ้วน
 
                       ตัวอย่างท่านลองดูครับ พระท่านถือศีล ๒๒๗ ข้อ อาหารมื้อเย็น พระท่านก็ไม่ได้ฉัน ขนมท่านก็ไม่ได้ฉันจุบจิบ ท่านฉันเป็นเวลา แต่ทำไม? ปัจจุบันพระท่านที่มีอายุมากกว่า ๕๐ ปี จึงเป็นโรคอ้วน  ความดัน  ไขข้อเสื่อม  หลอดเลือดหัวใจตีบตัน เป็นส่วนใหญ่
  
                       เพราะญาติโยม หรือพระท่านเอง สั่งลูกศิษย์วัดเอาไว้ ให้ไปซื้อน้ำอัดลง มาฉันแก้หิวแทนข้าวมื้อเย็น เกือบทุกเย็น ทุกวัน วันละหลายครั้ง จนติดเป็นนิสัยเสียแล้ว ไงครับ เช่น

                        ตัวอย่าง พนักงานคนหนึ่งของ PSTC กินจุ เติมน้ำตาล  น้ำปลาเป็นว่าเล่น ไปกินข้าวกับผม ผมเลยบอกรับรองถ้าคุณกินแบบนี้แม้อายุเพียงไม่ถึงสามสิบปี รับลองไม่เกินสามเดือนคุณเป็นโรคเบาหวานแน่ๆ เขาไม่เชื่อ  ไม่เกินสองเดือน ผู้จัดการฝ่ายผลิตมาบอกว่า อาจารย์ กอล์ฟมันเป็นโรคเบาหวานตามที่อาหารบอกจริงๆ ทีนี่ละความยุ่งยากปรากฎ คือใบหน้าบวม เห็นได้ชัด อ้วยฉุๆ กลัวจะเป็นอย่างที่อาจารย์บอก เลยขอลาไปบวชพระหนึ่งเดือน เพื่อจะอดอาหาร พอสึกออกมา ผมเรียกมาพบ ตายละวะทำไมแก้มมันป่องแบบนั้น ผมเลยถามว่า กอล์ฟตอนเป็นพระนั้น คุณกินน้ำอัดลมทุกยเย็นใช่ไหม? ใช่ครับอาจารย์  ผมบอกว่าอาจารย์ดูหน้าก็รู้แล้ว  ดังนั้นโรคเบาหวานที่เป็นอยู่นั้นมันไม่ได้ลดลง ตามที่เราอดข้าวเย็น แต่มันเพิ่มมากขึ้นเพราะน้ำอัดลม  ถ้าอยากมีชีวิตที่ดีขึ้น  ลูกเมียไม่ลำบากเพราะเรา
                        หนึ่งเลิกน้ำอัดลมโดดเด็ดขาด  
                        สองปฏิวัติการกินใหม่ ใช้ระบบที่อาจารย์แนะนำ คือกินระบบ 2:1:1 ผักสองส่วน : โปรตีนหนึ่งส่วน : แป้งหนึ่งส่วน งดอาหารรสจัด งดของมันของทอดจากน้ำมันปาล์ม  ไม่กินจุชจิบ กินอาหารให้เป็นยา คือกินพอประมาณ อย่าเอาเงินไปให้หมอเลย เพราะการไม่รู้จักกินของเรา หมอรวยเพราะเรา เก็บเงินเอาไว้ให้ลุกเมีย หรือยามแก่ดีกว่า
                        สามเธอยังหนุ่ม ออกกำลังกายวิ่งทุกวัน วันละหนึ่งชั่วโมงเป็นอย่างน้อย
                        สี่นอนหัวค่ำ                          
                        ห้าเอาชนะจิตตัวเองให้ได้ เธอบวชมาแล้ว ย่อมคิดได้ด้วยตัวเอง ว่าอะไรสำคัญ  จิตก็ฝึกมาแล้ว ด้วยความปราถนาดีจากอาจารย์

(หยุดพักชั่วคราว เดินไปซื้ออาหารเช้า ร้านอิ่มอร่อยหลังการบินไทย ให้ตัวเองและหลานสาวครับ)

                       รับประทานอาหารเช้า เรียบร้อยแล้วมาว่ากันต่อ วันนี้พี่สิงห์อยู่บ้าน บ่ายสามโมงไปทำฟัน อุดฟันชั่วคราวกับคุณหมอจรูญ(พบกันเป็นประจำที่สนามกอล์ฟยามเช้า เพราะคุณหมอตีทุกวัน วันธรรมดา ก่อนไปทำงานตอนห้าโมงเช้า) ที่หวังดี เพราะกลัวว่า ปราสาทฟันจะเสีย(บอกมาสามครั้งแล้ว) เพราะยังรอคิวจากอาจารย์ผ่อนผุด ที่ทันตแพทย์ จุฬาฯอยู่ แต่รู้สึกว่า มันจะเป็นมากเสียหายเพิ่มขึ้น จนสามารถรับรู้ได้ เพราะมีผลเกิดขึ้นแล้ว คือเสี๋ยวฟัน จึงต้องทำตามที่คุณหมอจรูญแนะนำ เป็นการชั่วคราวก่อน จะได้หมดความกังวล คือคิดไปเอง หรือทุกข์ ครับ

                        จริงๆ แล้วผมอยากจะบอกว่า คนส่วนใหญ่ที่อ้วนนั้น อ้วนมาจาก การกินจุบจิบ นอกมื้ออาหารหลัก คือขนมต่าง ๆ และน้ำอัดลมจนติดเป็นนิสัยถาวร เป็นสันดาล ต้องกิน ต้องดื่ม เมื่อได้เวลนั้น  ทำใจไม่ได้ ทั้งที่รู้ว่ามันเป็นโทษ  ผลคืออ้วนฉุๆ สามารถดูที่แก้มได้ โรคที่ตามมาคือ โรคอ้วน เบาหวาน ความดัน หลอดเลือดหัวใจ ครับ

                        เลิกเสียเถอะครับ นิสัยกินขนมจุบจิบ  ไอศครีม  น้ำอัดลม  มาดื่มน้ำเปล่าแทน หรือผลไม้นิดหน่อย(นิดหน่อยจริงๆ) เพื่อสุขภาพที่ดีของเรา  ห่างไกลโรค  ไม่ต้องเสียเงินให้หมอ

                        สิ่งที่ผมเขียนมานี้ จริง หรือไม่จริง ลองไปถาม คุณวิทิดา(เป้า) ดูก็ได้ครับ ว่าจริงไหม?
                        เพราะพี่สิงห์ดูหน้า ดูรูปทรง คนกินจุบจิบ กินขนม น้ำอักลมประจำแล้ว ทักทีไร ตรงกับคำตอบที่คิดทุกที คือใช่หมดครับ
                        มันเป็นความจริงที่เราจะต้องเลิก ละให้ได้ครับ ถ้ารักตัวเอง ต้องทำให้ได้

 
เพื่อคนที่เรารัก จะได้ไม่ลำบากเพราะการกระทำของเรา
เอาเวลาที่จะต้องมาดูแลเรา ไปดูแลครอบครัวเขา หรือทำมาหากินของเขาดีกว่า
คืออย่ามาทุกข์เพราะเราเลย มันบาป ต่อเขา ครับ

                        จิตของคนเรานั้น "ฝึกได้" และเมื่อฝึกดีแล้ว "ความอยากมันก็จะหาย จะค่อยๆหาย และหมดไปเองครับ"

                        สวัสดี
      บันทึกการเข้า
  หน้า: 1 ... 89 90 [91] 92 93 ... 681   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

สมาคมนิสิตเก่าหอพักนิสิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มวลสมาชิกสมาคม คณาจารย์ และนิสิตเก่าทุกคน ขอน้อมเกล้าถวายความอาลัย  พระผู้เสด็จสู่สวรรคาลัย ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ <;))))><