23 พฤศจิกายน 2567, 15:27:57
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 87 88 [89] 90 91 ... 681   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: คุย กับ คุณมานพ กลับดี อดีตประธานชมรม ๓ สมัย  (อ่าน 3559740 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 43 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2200 เมื่อ: 31 พฤษภาคม 2554, 21:18:37 »

ทำบุญเลี้ยงพระเพลที่ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย


โบสถ์ และศาลากลางน้ำ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย
อาจารย์เผ่า เป็นสถาปนิก ดร.สุริยา เป็นวิศวกรคำนวณโครงสร้าง



















สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่งที่รักทุกท่าน
                       วันอังคารที่ ๓๑ พฤษภาคม คือวันนี้พี่สิงห์ได้ไปร่วมทำบุญเลี้ยงพระเพล กับพี่พงษ์ศักดิ์ PSTC ที่มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย วังน้อย มาครับ เป็นครั้งแรกที่พี่สิงห์ได้ไป
                       พี่สิงหืได้ไปฟังพระสวดพระพุทธมนต์ เวลา 10:30 น. หลังจากนั้นได้ช่วยกันถวายภัตตาหารเพลแด่พระภิกษุสงห์และสามเณรจำนวนประมาณ ๗๐๐ รูป ได้ฟังธรรม บรรยายสรุปถึงการเรียนการสอนของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย และพระทั้งหมดได้สวดให้พร ดังกระหึ่มทั้งห้องเพราะจำนวนมาก รองอธิการบดีพรหมน้ำมนต์ และได้รับประทานอาหารที่วัด
                       วันหลังพี่สิงห์ตั้งใจจะไปถวายเพลพระอีกครั้งหนึ่งครับ
                       ราตรีสวัสดิ์ทุกท่านครับ
      บันทึกการเข้า
เอมอร 2515
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu 2515
คณะ: รัฐศาสตร์(นิติศาสตร์)
กระทู้: 4,562

« ตอบ #2201 เมื่อ: 31 พฤษภาคม 2554, 21:23:11 »


สวัสดีค่ะ พี่สิงห์
ไปรับบุญมาอีกแล้วหรือคะ
พระมากขนาดนั้น
ผู้ไปทำบุญคงได้ทำบุญเต็มอิ่มค่ะ
      บันทึกการเข้า
too_ploenpit
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2514
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 7,778

เว็บไซต์
« ตอบ #2202 เมื่อ: 01 มิถุนายน 2554, 08:38:07 »


...สวัสดีค่ะ...พี่สิงห์...และสมาชิกทุกท่านค่ะ...

...อนุโมทนาบุญกับพี่สิงห์ค่ะ...ยังไม่เคยไปจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัยค่ะ...

...ได้แต่ร่วมทำบุญเมื่อครั้งที่กำลังก่อสร้างอยู่...

...พี่สิงห์ได้รับอีเมล์จากบริษัททัวร์หรือยังคะ...

...เพราะว่าตู่ได้รับแฟ็กซ์โปรแกรมทัวร์อันใหม่แล้วนะคะ...
      บันทึกการเข้า

i love pink, you are pink = i love you
อ้อย17
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,908

« ตอบ #2203 เมื่อ: 01 มิถุนายน 2554, 13:47:08 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 31 พฤษภาคม 2554, 21:18:37

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่งที่รักทุกท่าน
                       วันอังคารที่ ๓๑ พฤษภาคม คือวันนี้พี่สิงห์ได้ไปร่วมทำบุญเลี้ยงพระเพล กับพี่พงษ์ศักดิ์ PSTC ที่มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย วังน้อย มาครับ เป็นครั้งแรกที่พี่สิงห์ได้ไป
                       พี่สิงหืได้ไปฟังพระสวดพระพุทธมนต์ เวลา 10:30 น. หลังจากนั้นได้ช่วยกันถวายภัตตาหารเพลแด่พระภิกษุสงห์และสามเณรจำนวนประมาณ ๗๐๐ รูป ได้ฟังธรรม บรรยายสรุปถึงการเรียนการสอนของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย และพระทั้งหมดได้สวดให้พร ดังกระหึ่มทั้งห้องเพราะจำนวนมาก รองอธิการบดีพรหมน้ำมนต์ และได้รับประทานอาหารที่วัด
                       วันหลังพี่สิงห์ตั้งใจจะไปถวายเพลพระอีกครั้งหนึ่งครับ
                       ราตรีสวัสดิ์ทุกท่านครับ

   อนุโมธนาบุญด้วยค่ะ...พี่สิงห์...
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2204 เมื่อ: 01 มิถุนายน 2554, 20:58:12 »

สวัสดีค่ะ คุณน้องตู่ ที่รัก
                          พี่สิงห์ได้รับแล้ว ครับ กำลังศึกษาอยู่ และรอการตัดสินใจ เพราะอีกใจนั้นอยากจะไปอินเดียตามที่ตั้งใจไว้ครั้งหนึ่งในชีวิต คือ แคชเมียร์ และสาธยายพระไตรปิฎก ๑๕ วันที่พุทธคยา ครับ
                          สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2205 เมื่อ: 01 มิถุนายน 2554, 21:06:54 »

สวัสดีค่ะ คุณน้องเอมอร และคุณน้องอ้อยที่รัก
                       รายการที่มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัยนั้น พี่สิงห์ยังชอบเลยครับ เพราะเราไปเลี้ยงอาหารเพลพระที่มาศึกษา พี่พงษ์ศักดิ์ ประธานบริษัท PSTC ที่พี่สิงห์เป็นที่ปรึกษาและออกแบบโรงงานให้นั้น เกิดวันที่ ๑๓ เมษายน ต้องการเลี้ยงเพลพระที่มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย จึงได้เลื่อนมาเป็นวันที่ ๓๑ ที่ผ่านมาเป็นวันเปิดเทอมพอดี และวันนั้นมีพระธรรมทูต รับใบประกาศณียบัตรด้วย มีทั้งมหายานและมหานิกาย หลายประเทศ เลยรู้สึกว่าจิตใจเบิกบาน ครับ กำลังพยายามหาวิธีเอารูปออกจากโทรศัพท์มือถือ ยังทำไม่เป็นครับ
                       วันพฤหัสบดีนี้พี่สิงห์ไปนครศรีธรรมราช โปรแกรมกระทันหัน เลยงดการแข่งขันกอล์ฟอาชีพ ที่สนาม จปร.เขาชะโงก ครับ
                       ราตรีสวัสดิ์ ทุกท่านครับ
      บันทึกการเข้า
ติ๋ม จันทร์ฉาย
Hero Cmadong Member
***


เป็นญาติพี่น้องกับซีมะโด่ง
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2516
กระทู้: 1,692

« ตอบ #2206 เมื่อ: 02 มิถุนายน 2554, 01:31:02 »

พี่สิงห์ที่เคารพรัก
ถือศีลตอนวันหยุดสามวัน นอนพื้น ไม่ทานข้าวเย็น
โล่งสบายมาสามวันค่ะ แต่ยังทำสมาธิไม่ได้นานพอ
ต้องมาทำงานเหมือนเดิม คิดว่าทำงานมีสมาธิขึ้นนะคะ
ใจสงบลง แต่ต้องลุกขึ้นสวดมนต์เมื่อตื่นอยู่
ยังเดินเตาะแตะอยู่ค่ะ หาทางออกไปเรื่อย มืดบ้างสว่างบ้าง ก็ได้แต่เตือนตัวเองว่า
"มันเป็นธรรมดา"
อ่านที่พี่สิงห์แนะนำอยู่เนืองๆค่ะ
      บันทึกการเข้า

ติ๋ม จันทร์ฉาย
too_ploenpit
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2514
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 7,778

เว็บไซต์
« ตอบ #2207 เมื่อ: 02 มิถุนายน 2554, 07:42:00 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 01 มิถุนายน 2554, 20:58:12
สวัสดีค่ะ คุณน้องตู่ ที่รัก
                          พี่สิงห์ได้รับแล้ว ครับ กำลังศึกษาอยู่ และรอการตัดสินใจ เพราะอีกใจนั้นอยากจะไปอินเดียตามที่ตั้งใจไว้ครั้งหนึ่งในชีวิต คือ แคชเมียร์ และสาธยายพระไตรปิฎก ๑๕ วันที่พุทธคยา ครับ
                          สวัสดี

...สวัสดีค่ะ...พี่สิงห์...

...ขอความกรุณาช่วยส่งอีเมล์รายละเอียดของทัวร์ไปให้พี่แก้วและหลิวด้วยค่ะ...

...ขอบพระคุณค่ะ...พี่สิงห์...
      บันทึกการเข้า

i love pink, you are pink = i love you
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2208 เมื่อ: 02 มิถุนายน 2554, 13:36:55 »

สวัสดีค่ะ คุณน้องจันทร์ฉาย ที่รัก
                     การปฏิบัติธรรม มันก็อย่างนี้ละ เราต้องค้นหาด้วยตัวของเราเอง มันไม่ง่ายอย่างที่คิดหรอก เพราะเราเป็นทาษหรือหลงอยู่ดตัวเองมานานจนเราไม่รู้สึกตัวเลย จิตมันคิดเราก็กระทำตามทันทีเลย ไม่เคยรีรอหรือใช้ปัญญามาคิดทบทวนเลย ดังนั้นการกระทำที่ตรงข้ามกับจิต มันจึงเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา ความพากเพียรอย่างมาก มันจึงจะหลุดพ้นได้ ค่อยๆทำไป จะรู้เองถึงวิธีเอาชนะจิตตัวเอง
                     อย่าลืมการทำงานของเรานั้น ขอให้มีความระลึกได้ว่ากำลังกระทำอะไร ให้รู้ตัวทั่วพร้อมอยู่กับปัจจุบัน นั่นแหละคือการปฏิบัติธรรมที่แท้จริง เราจะไม่ส่งจิตออกนอก คือไม่คิดนอกตัวของเรา แค่นี้ก้เพียงพอถูกต้องแล้วครับ อย่าลืมกาย ลืมใจของเรา
                     ขอให้ประสพความสำเร็จครับ
                     สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2209 เมื่อ: 02 มิถุนายน 2554, 13:38:42 »

สวัสดีค่ะ คุณน้องตู่ ที่รัก
                         จะกระทำให้ครับ ตอนนี้พี่สิงห์อยู่ที่สนามบินดอนเมืองรอขึ้นเครื่องไปนครศรธรรมราช
                         สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2210 เมื่อ: 02 มิถุนายน 2554, 16:54:48 »

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่งที่รักทุกท่าน
                       วันนี้พี่สิงห์มีเรื่องที่ได้กระทำไปสองเรื่องอยากจะมาสู่กันฟังครับ
                       เรื่องแรก วันที่ ๑ มิถุนายน พี่สิงห์ไปซ้อมกอล์ฟที่สนาม จปร.เขาชะโงก ออกรอบกับโปร.กัมปนาท(อันดับ ๓) พี่สิงห์ซ้อมดีมากจนโปร.กัมปนาท ชมว่าผมเล่นดีมาก คือตีไม่เกินเลย แต่ปรากฎว่าพี่สิงห์เกิดความว้าวุ่นใจอย่างหนัก หงุดหงิด กังวลใจ จึงตัดสินใจไม่ร่วมการแข่งขันขอกลับบ้านดีกว่าจนโปร.กัมปนาทเสียดาย เพราะผมหน้าที่จะได้อันดับดีและเงินที่ตามมาจากการแข่งขัน แต่ผมก็ตัดสินใจกลับบ้านด้วยรางสังหรณ์กับจิต ปรากฎว่าเช้านี้หกโมงเช้าหลานสาวโทรศัพท์มาคุยและอยากให้ไปคุยกับแม่(น้องสาว) ผมเลยตัดสินใจไปสิงห์บุรีไปหาน้องสาว ซึ่งกำลังทุกข์อย่างหนักหลงอยู่ในความไม่รู้และปรุงแต่งจนทุกข์ น้องสาวเห็นผมก็ได้แต่ร้องให้ ผมรู้ว่าจิตเขายังสับสนผมเลยเล่าเรื่องของลุงไหม ให้ฟังซึ่งเขาก็รู้จัก ผมบอกว่าครอบครัวลุงไหม ทุกข์มากกว่าเราแต่ทำไมลุงไหม ไม่ทุกข์เลยกับลูกๆ ไม่เคยบ่น ว่ากล่าว ทั้งสิ้น เพราะลุงไหมตัดใจ ปล่อยวางได้ ได้แต่รับรู้แล้วไม่ปรุงแต่งใดๆทั้งสิ้นเพราะไม่ใช่เรื่องของตน ลุงไหมก็ยังสานกระบุงตระกร้าหาเลี้ยงชีพและเมียต่อไปตามอัตภาพ ไม่ทุกข์ทั้งสิ้นแม้กระทั้งวาระสุดท้ายก็รู้ตัวว่าต้องตาย ขอสวดมนต์จนจบและจากไปด้วยจิตที่สงบ ไม่เหมือนกับคนอื่นๆ ที่น้องสาวผมเคยเห็นเลยในชีวิตทำงานพยาบาล ผมชี้ให้เห็นเลยว่าลุงไหมลำบากกว่าเรามาก แต่ลุงไหมปล่อยวางได้จึงไม่ทุกข์ ผมเห็นน้องสาวผมคลายกังวลแล้วผมจึงบอกว่าทุกข์ที่ได้รับนั้นมากจากสามสาเหตุ ที่น้องสาวผมคิดไม่ถึงว่าผมจะรู้และถูกต้องด้วยทั้งสิ้น ผมพูดได้ตรงหมดทุกอย่าง และได้พูดในหลายเรื่องที่เขาไม่รู้มาก่อน จนน้องสาวผมเงียบ ผมพูดถึงสาเหตุในทุกข์ทั้งสามนั้น ถ้าเราจะแก้ต้องแก้ต้นเหตุตามที่พระพุทธองค์สั่งสอนไว้ ทุกข์ต้องกำหนดรู้แต่อย่าเข้าไปเป็นทุกข์เสียเอง ถ้าจะแก้ต้องแก้ที่ต้นเหตุ ซึ่งเรามีทางเลือกสองทาง คือ รับรู้ปล่อยวาง หรือแก้ที่ต้นเหตุแห่งทุกข์นั้น ซึ่งไม่อยากเพราะไม่ใช่เรื่องครอบครัวตนเอง เป็นเรื่องภายนอกที่เราตัดไม่ขาด เพราะความไม่รู้จึงปรุงแต่งไปเองทั้งสิ้น ผมชี้ให้เห็นถ้าเป็นแบบนี้เป็นมะเร็งแน่ๆ ซึ่งเขาก็รู้สาเหตุของมะเร็งดีกว่าผม มันมีทางแก้ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือทำอย่างไรเราจะไม่ตกเป็นทาษหรือหลงอยู่ในความคิดตัวเอง ทำให้ตัวเองทุกข์อย่างนี้ มันมีหนทางแก้ คือต้องเอาชนะจิตตัวเองให้ได้ซึ่งอยากมากแต่ไม่เหลือวิสัย ผมยกตัวอย่างต่างๆให้ฟังจนจิตเขาอ่อนลงมาก ผมจึงแนะนำให้อ่านหนังสือของหลวงพ่อเทียน เจริญสติตามที่หลวงพ่อเทียนแนะนำ ไม่ต้องสนใจรูปแบบ ทำได้เลย และแนะนำให้พยายามฟัง CD ของหลวงพ่อคำเขียน และพระไพศาล ให้จบ จะสามารถคลายทุกข์ได้ เนื่องจากผมมีเวลาเพียงชั่วโมงเดียว และน้องสาวใจอ่อนลงแล้ว จึงขอลากลับกรุงเทพฯเพื่อเดินทางต่อมานครศรีธรรมราช ก้ได้แต่หวังว่าสิ่งที่ได้สอนไปนั้น จะเป็นหนทางที่จะทำให้น้องสาวคลายทุกข์ได้ เพราะผมสามารถตอบโจทย์ได้ทุกประเด็นแบบที่เขาคาดไม่ถึงว่าเราจะรู้และดูออก ครับ
                      เรื่องที่สองขากลับพี่สิงห์เลยแวะซื้อขนมปังใส้สังขยามาหกกล่อง ตั้งใจเอาไปฝากข้างบ้านหนึ่งกล่องให้ช่วยดูแลบ้านเวลาพี่สิงห์ไม่อยู่ กล่องที่สอง พี่สิงหืเอาไปฝากพนักงานนกแอร์ที่ Check in ของ Nok Fan Club กล่องที่สามเอาไปฝากนักงาน Nok Air บนเครื่อง และอีกสามกล่องเอาไปฝากพนักงาน Check in ที่สถานีนครศรีธรรมราช ที่ดูแลพี่สิงหือย่างดีในเรื่องที่นั่งบนเครื่องบิน บนเครื่องเนื่องจากเป็นตอนบ่าย ขาลงจากเครื่องบิน พนักงาน Nok Air บนเครื่องได้ขอบคุณพี่สิงห์ว่า "ขนมปังสังขยาอร่อยมากๆ ขอบคุณมากค่ะ" ทำให้ใจพี่สิงห์มีความสุขในการให้ ครับ เพราะมันก็อร่อยจริงๆ ขนมปังสังขยาเจ้านี้ "บ้านกลางซอย สูตรคุณยาย" จากสิงห์บุรี
                      พี่สิงห์อยู่นครศรีธรรมราช ขออนุญาติไปออกกำลังกายครับ
                      สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2211 เมื่อ: 02 มิถุนายน 2554, 20:31:24 »

กำหนดการเดินทาง    เดือนตุลาคม

วันแรก            กรุงเทพฯ – เฉินตู
24.00 น.   — พร้อมกันที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ณ อาคารผู้โดยสารขาออก ( ระหว่างประเทศ ) ชั้น 4  เคาเตอร์ U
     สายการบิน AIR CHINAโดยมีเจ้าหน้าที่จากทางบริษัทฯ คอยให้การต้อนรับ และอำนวยความสะดวกแแก่ท่าน
03.10 น.   บินลัดฟ้าสู่นครเฉินตู โดยสายการบิน AIR CHINA  เที่ยวบินที่ CA402 Q
06.50 น.   ถึงสนามบินซวงหลิง เมืองนครเฉินตู เมืองหลวงของมณฑลเสฉวนและมีประชากรหนาแน่นที่สุด ของประเทศจีน ที่มีภูมิประเทศรายรอบไปด้วยเทือกเขาและมีสภาพภูมิอากาศที่เหมาะสมต่อการประกอบอาชีพเกษตรกรรม โดยมีฤดูร้อนที่อบอุ่น ฤดูหนาวที่ไม่หนาวนักและมีปริมาณความชื้นสูง มีพื้นที่ประมาณ  218,920 ตารางไมล์ ( 567,000 ตารางกิโลเมตร ) ประชากรส่วนหนึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยเชื้อชาติต่างๆ ได้แก่ชาวยี่ , ธิเบต , เมี้ยว , หุย และเซี่ยง  ชนกลุ่มน้อยเหล่านี้ส่วนใหญ่มีถิ่นฐานอยู่ในเขตปกครองตนเองของมณฑลเฉิงตู และยังเป็นศูนย์กลางของการเดินทางทั้งทางอากาศ    และทางรถไฟรวมไปถึงการเป็นศูนย์กลางทางด้านเศรษฐกิจ , วัฒนธรรมและการปกครอง อีกทั้งยังเป็นเมืองที่มีความเป็น “ เมืองจีน ” อย่างที่ผู้คนได้จินตนาการไว้  หลังจากผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมืองแล้ว บริการอาหารมื้อเช้า ณ ภัตตาคาร   หลังอาหารนำท่านเดินทาง จิ่วจ้ายโกว ผ่านเส้นทางที่ท่านจะได้ชมทิวทัศน์ที่แปลกตาทั้งภูเขาที่สะท้อนกับแสงพระอาทิตย์ ทัศนียภาพของลำน้ำหมิงเจียงทอดยาวเป็นแนว คดเคี้ยวเมื่อมองจากที่สูง ผ่านเส้นทางคดโค้งไปตามขุนเขาและโตรกผา ซึ่งเส้นทางนี้เป็นเส้นทางสำคัญในสมัยโบราณ เพราะเป็นเส้นทางที่ศัตรูใช้รุกรานเสฉวน ตั้งแต่รัฐฉิน ก๊กโจโฉ หรือพรรคคอมมิวนิสต์ ผ่านยอดเขาที่สูงที่สุด ตู้เจียงซาน ที่ระดับความสูง 4,200 เมตร ก่อนจะค่อยๆ ลดระดับลง และเลี้ยวลดไปตาม
เที่ยง       รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร  ระหว่างการเดินทาง
เย็น      เดินทางถึงจิ่วจ้ายโกว    นำท่านเดินทางสู่โรงแรมที่พัก..............
       รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคาร
                              พักที่ : QIANHE.HOTEL  หรือระดับเดียวกัน
  
วันที่สอง   จิ่วจ้ายโกว(รถเหมา) – โชว์ธิเบต
เช้า    รับประทานอาหารเช้า ณ โรงแรมที่พัก
นำท่านเดินทางสู่อุทยานแห่งชาติ “ อุทยานแห่งชาติแห่งชาติจิ่วจ้ายโกว ” นำท่านเปลี่ยนขึ้นรถโดยสารของอุทยานฯ (รถเหมา ) เพื่อชม มรดกโลกอุทยานแห่งชาติธารสวรรค์ “ จิ่วไจ้โกว ” ซึ่งตั้งอยู่ที่ อำเภอหนานปิง อยู่ทางเหนือของมณฑลเสฉวน ห่างจากตัวเมืองเฉิงตู ประมาณ 500 กิโลเมตร และอยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลถึง 2,500 เมตร มีอาณาบริเวณถึง 148,260 เอเคอร์ เทือกเขาเหล่านี้ มียอดเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะอยู่หลายยอด พื้นที่ป่าเขียวขจีสลับกับทุ่งหญ้า, ทะเลสาบ, แม่น้ำและน้ำตกรูปร่างแปลกตา ชาวธิเบตที่อาศัยอยู่ในพื้นที่นี้มีตำนานเกี่ยวกับการเกิดของภูมิประเทศ จิ่วไจ้โกวดังนี้ “ ต้าเกอผู้มีชีวิตอันเป็นอมตะและนางฟ้าอู่นัวเซอโหม่ ที่อาศัยอยู่ในเทือกเขาลึกนี้ได้ตกหลุมรักซึ่งกันและกัน ต้าเกอจึงได้ขัดกระจกบานหนึ่งจนวาววับด้วยกระแสลมและหมู่เมฆ และมอบให้กับอู่นัวเซอโหม่เป็นของกำนัล แต่โชคร้ายที่อู่นัวเซอโหม่ทำหล่นและแตกเป็นชิ้นเล็ก ชิ้นน้อยถึง 108 ชิ้น ซึ่งภายหลังจึงกลายเป็นทะเลสาบทั้ง 108 แห่งในหุบเขาเก้าหมู่บ้านแห่งนี้ ” ภายในอาณาบริเวณอุทยานจิ่วไจ้โกว ประกอบด้วยภูเขาและหุบเขาอันสลับซับซ้อน เนื่องจากพื้นที่ส่วนใหญ่มีระดับพื้นดินที่ลดหลั่นจึงทำให้เกิดแอ่งน้ำน้อยใหญ่มากมายถึง 114 แอ่ง และกลุ่มน้ำตกใหญ่น้อยรวมถึง 17 กลุ่ม และแม่น้ำซึ่งไหลมาจากหุบเขารวม 5 สาย ท่านจะได้พบกับความหัศจรรย์ของอุทยานแห่งนี้ ชมสภาพของน้ำในทะเลสาบมีสีสันที่พิสดารหลากหลาย ประกอบด้วยฤดูกาลที่เปลี่ยนแปลงจนทำไห้เกิดสีสัน อันมหัศจรรย์จนได้ฉายาว่า “ 7 แดนเทพนิยาย ” ท่านจะได้ เดินลัดเลาะ เริ่มตั้งแต่ป่าดึกดำบรรพ์ ท่านจะได้สัมผัสธรรมชาติของป่าที่ยังคงสภาพเหมือนป่า ดึกดำบรรพ์ เสมือนหนึ่งท่านกำลังสำรวจป่าดึกดำบรรพ์ ต่อด้วยทะเลสาบกระจกเงาและทะเลสาบหงส์ ชมความใสสะอาดของน้ำในทะเลสาบ
เที่ยง       รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร
   จากนั้นแวะชมทะเลสาบหมีแพนด้าและทะเลสาบไผ่ลูกศร ซึ่งท่านจะตลึงกับความงดงามที่ธรรมชาติได้บรรจงสร้างไว้อย่างวิจิตพิสดาร ดั่งภาพวาดในจินตนาการ จากนั้นผ่านบึงหญ้า ดาดน้ำ ชั้นของน้ำตกน้อยใหญ่ ไหลลัดเลาะ ซึ่งท่านสามารถได้ยินเสียงของน้ำไหลภายใต้บรรยากาศที่แสนสงบเงียบและงดงาม ซึ่งท่านสามารถมาเยือนได้ในทุกฤดูกาล นำท่านชมความงดงามของ “ น้ำตกธารไข่มุก ” ซึ่งเป็นน้ำตกที่ไหลผ่านถ้ำลำธารใหญ่สลับซับซ้อนดุจดังวังบาดาล มีสายน้ำที่ทอดธารลดหลั่นยาวเป็นระยะยาวถึง 310 เมตร ไม่ขาดสายส่องประกาย
ระยิบระยับ เป็นน้ำตกที่มีความงามราวกับเส้นไข่มุก ให้ท่านได้อิสระกับการบันทึกถ่ายภาพและดื่มด่ำกับธรรมชาติ ที่สวยสดงดงามได้อย่างเต็มที่

ค่ำ       รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคาร
 หลังอาหารค่ำ นำท่านชม โชว์ธิเบตอันสวยงามตระการตา ( ท่านจะได้ตื่นตาตื่นใจกับหนุ่มหล่อสาวสวยที่สุดในเขตจังหวัด อาปา อีกทั้งยังมีโอกาสได้สัมผัสและใกล้ชิดกับดาราที่ขึ้นชื่อของธิเบต ) จากนั้นนำท่านกลับสู่ที่พัก พักที่ : QIANHE.HOTEL  หรือระดับเดียวกัน  

วันที่สาม         จิ่วจ้ายโกว – อุทยานหวงหลง – เม่าเซี่ยน
เช้า    รับประทานอาหารเช้า ณ โรงแรมที่พัก  หลังอาหารนำท่านเดินทางสู่อุทยานหวงหลง
   ระหว่างทางชมทิวทัศน์เทือกเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะ  แวะให้ท่านถ่ายรูปเก็บภาพความประทับใจ
11.00 น.   เดินทางถึงอุทยานหวงหลง
เที่ยง       รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร
นำท่านชม อุทยานหวงหลง หรือหุบเขามังกร   เหลืองอุทยานแห่งชาติที่เต็มไปด้วยน้ำตก ทะเลสาบ หินปูนที่มีน้ำใสจนสามารถสะท้อนสีฟ้า เหลือง ขาว และเขียวจากธรรมชาติแวดล้อม จนเป็นที่มาของทะเลสาบ 5 สี ทะเลสาบที่สวยที่สุด ตั้งอยู่ด้านหลังวัดหวงหลงในหุบเขาที่ลึกจากถนนประมาณ 5.7 กิโลเมตร  ท่านจะได้สัมผัสกับธรรมชาติแอ่งน้ำ ลำธารน้อยใหญ่ ที่มีสัตว์ป่าหลายชนิดมาอาศัยหากิน ชมหินงอกหินย้อย ที่   เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติพร้อมชะมดอกไม้ป่าที่งดงาม เป็นธารน้ำธรรมชาติที่เกิดจากการสะสมของหินปูนและแร่ธาตุต่างๆเป็นทางยาวกว่า 3.6 กิโลเมตร ตลอดเส้นทางมีบ่อน้ำเล็กใหญ่มากกว่า 4,300    แห่ง ถ่ายรูปเป็นที่ระลึก  
สมควรแก่เวลานำท่านเดินทางสู่เมืองเม่าเซี่ยน  
ค่ำ       รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคาร
                              พักที่ : MAOXIANINTER.HT หรือระดับเดียวกัน
  
วันที่สี่         เม่าเซี่ยน – เมืองหย่าอัน
เช้า    รับประทานอาหารเช้า ณ โรงแรมที่พัก
09.00 น.      อำลาเมืองเม่าเซี่ยน   นำท่านเดินทางสู่เมืองหย่าอัน (ใช้เวลาประมาณ 7 ชั่วโมง )
ระหว่างทางท่านจะได้ผ่านชมธรรมชาติและความงามของ ทุ่งหญ้าชวนจู่ซื่อ สมัย เมื่อ 70 ปีที่แล้ว ได้เกิดสงคราม
เหล่าบรรดาทหารจีนแดงหนีมาตามเส้นทางผ่านทุ่งหญ้าและได้เกิดโคลนดูดทำให้เสียชีวิต และหิวตายหลายพัน
คน ปัจจุบันได้มีการสร้างอนุสาวรีย์บริเวณใจกลางทุ่งหญ้าอันสวยงาม เพื่อเป็นการระลึกถึงทหาร จีนแดง
เที่ยง       รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร
บ่าย   นำท่านเดินทางต่อ  ระหว่างทางชมทิวทัศน์สองข้างทาง หรือพักผ่อนตามอัธยาศัย........
เย็น   เดินทางถึงเมืองหย่าอัน  เมืองที่มีภูเขาที่สวยงาม มีสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติที่งดงาม เป็นพื้นที่ที่มีอากาศสะอาดสดชื่น ปริมาณน้ำฝนโดยเฉลี่ย 1,800 มิลลิเมตรต่อปี จนได้รับการขนานนามว่า "เมืองแห่งฝน" เพราะเป็นเขตที่มีปริมาณน้ำฝนมากที่สุดของมณฑลเสฉวน เมืองหย่าอันเป็นเมืองท่องเที่ยวดีเด่นของจีน และเป็น "หนึ่งใน 10 เมืองแห่งมนต์เสน่ห์ของจีน" ประจำปี 2006 นอกจากนี้เมืองหย่าอันยังเป็นที่นิยมสำหรับการท่องเที่ยวแบบพักผ่อนตากอากาศในชนบทและการขับรถเที่ยวเองของมณฑลเสฉวน เมืองหย่าอันเป็นสถานที่ค้นพบหมีแพนด้าตัวแรกของโลก และเป็นต้นแบบการเพาะพันธุ์หมีแพนด้าของโลก ในปี 2006 ถิ่นกำเนิดและแหล่งที่อยู่ของหมีแพนด้าในมณฑลเสฉวนซึ่งมีเมืองหย่าอันเป็นศูนย์กลาง ได้ถูกบันทึกอยู่ในบัญชีรายชื่อมรดกโลกทางธรรมชาติ นอกจากนี้เมืองหย่าอันยังเป็นแหล่งกำเนิดของวัฒนธรรมชาและการปลูกชาของโลก ทั้งยังเป็นเขตเพาะปลูกและบำรุงรักษาต้นชาโดยใช้แรงงานคนที่เก่าแก่ที่สุดของโลก
ค่ำ       รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคาร
                              พักที่ : BEITEXINGYUE.HT หรือระดับเดียวกัน
  
วันที่ห้า      หย่าอัน – อุทยานธารน้ำแข็งไห่โหลวโกว
เช้า    รับประทานอาหารเช้า ณ โรงแรมที่พัก  
   หลังอาหารนำท่านเดินทางอุทยานธารน้ำแข็งไห่โหลวโกว
เที่ยง       รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร
 บ่าย      อุทยานธารน้ำแข็งไห่โหลวโกว (Hailuogou Glacier Park) เป็นธารน้ำแข็งที่มีขนาดใหญ่ เกิดจากการละลายของ
หิมะ ทางด้านตะวันออกของ ภูเขากังก่า (Gongga Mountain) ซึ่งเป็นภูเขาที่สูงที่สุดในมณฑลเสฉวน ที่มีความสูง
เหนือระดับน้ำทะเล 7,556 เมตร ทอดยาวไปจนจรดกับอุทยานสี่ดรุณี ใกล้ๆ กับอุทยานสวรรค์จิ่วจ้ายโกว ได้รับ
สมญานามเป็นราชาแห่งภูเขาเลยทีเดียว ไห่โหลวโกว เป็นชื่อภาษามุหยา ซึ่งมีความหมายว่าที่พักในเนินเขา
มุหยาเป็นชนเผ่าดั้งเดิมที่อาศัยที่นี่และเคยเจริญรุ่งเรืองในประวัติศาสตร์ บริเวณนี้เป็นเขตย่านรอบตะเข็บในการ
ตั้งถิ่นฐานระหว่างชนชาติทิเบตกับชนชาติ ฮั่นและเป็นเขตรอยต่อระหว่าง เขตเลี้ยงปศุสัตว์กับเขตการเกษตร ใน
กระบวนการที่ วัฒนธรรมของชาวปศุสัตว์และวัฒนธรรมข้าวชาวฮั่นเกิดความขัดแย้งและผสมกลมกลืน จนได้
ยกระดับ และพัฒนาเป็นวัฒนธรรมชายขอบที่มีสีสันเข้มข้น อุทยานธารน้ำแข็งไห่โหล วโกว ถูกนิตยสารเนชั่น
แนลจีโอกราฟฟิกแห่งประเทศจีนยกย่องให้เป็น 1 ใน 6 ธารน้ำแข็งที่สวยที่สุดของจีน ที่นี่มีน้ำพุร้อนที่มีแรง
เสน่ห์ดึงดูดคู่รักและครอบครัว มีป่าดิบที่คงสภาพดั้งเดิมอย่างดีที่สุด มีป่าธรรมชาติมากพอเทียบกับเกาะแทส
เมเนียของประเทศ ออสเตรเลีย มีน้ำตกไหลจากเขาสูงและมีขนบธรรมเนียม ประเพณีของชนเผ่าที่แปลกตา
น่าสนใจ   อิสระให้ท่านได้เก็บภาพความประทับใจ  สมควรแก่เวลานำท่านเดินทางสู่ที่พัก.......
ค่ำ    รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคาร
                พักที่ : GONGGA.HT หรือระดับเดียวกัน
  
วันที่หก      ไห่โหลวโกว – ถนนคนเดิน – โชว์เปลี่ยนหน้ากาก – กรุงเทพฯ
เช้า    รับประทานอาหารเช้า ณ โรงแรมที่พัก  แล้วนำท่านอำลาไห่โหลโกวเดินทางสู่เมืองเฉินตู
   อิสระพักผ่อน (ใช้เวลาเดินทางประมาณ 6-7 ชม.)
เที่ยง       รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร
บ่าย      จากนั้นนำท่านสู่ถนนคนเดิน ให้ท่านได้เลือกช้อปปิ้งสินค้าอย่างจุใจในราคาย่อมเยา  อิสระช้อปปิ้ง
นำท่านชม โชว์เปลี่ยนหน้ากาก ที่ใช้ศิลปะพร้อมความสามารถในการเปลี่ยนหน้ากากแต่ละฉากภายในเสี้ยววินาที โดยที่ไม่สามารถจับตาได้ทัน เป็นการแสดงที่สงวนและสืบทอดกันมาภายในตระกูล หลายชั่วอายุคน ไม่ถ่ายทอดให้บุคคลภายนอกทั่วไป  
18.00 น.       รับประทานอาหารเย็น ณ ภัตตาคาร
สมควรแก่เวลานำท่านเดินทางสู่สนามบินเมืองเฉินตู เพื่อเตรียมตัวเดินทางกลับสู่กรุงเทพฯ


00.20 น.       บินลัดฟ้ากลับสู่กรุงเทพฯ โดยสายการบิน AIR CHINA เที่ยวบินที่ CA401 Q
02.10 น.           ถึงท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ กรุงเทพฯ โดยสวัสดิภาพ   พร้อมความประทับใจ
************ ขอบคุณทุกท่านที่ใช้บริการ ************
 (*** กรุ๊ปออกเดินทางได้ตั้งแต่ 15 ท่านขึ้นไป ***)




กำหนดการเดินทางเดือนตุลาคม
อัตราค่าบริการ   ผู้ใหญ่  (พักห้องละ 2 ท่าน)            ท่านละ      39,900      บาท
      เด็กอายุไม่เกิน 12 ปีพักกับ 1 ผู้ใหญ่         ท่านละ      39,900      บาท
      เด็กอายุไม่เกิน 12 ปีพักกับ 2 ผู้ใหญ่ (เสริมเตียง)                  ท่านละ      38,900      บาท
      เด็กอายุไม่เกิน 12 ปีพักกับ 2 ผู้ใหญ่ (ไม่เสริมเตียง)                  ท่านละ      37,900      บาท
      พักเดี่ยวจ่ายเพิ่ม                ท่านละ                    8,000                   บาท

หมายเหตุ   บริษัทขอสงวนสิทธิ์ที่จะเปลี่ยนแปลงรายการตามความเหมาะสมทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนแปลงของสายการบิน สภาพทางการเมือง ภัยทางธรรมชาติ แต่ยังคงจะรักษามาตรฐานการบริการและยึดถือผลประโยชน์ของผู้เดินทางเป็นสำคัญ (ราคาดังกล่าวข้างต้นสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามความเหมาะสม ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาวะค่าเงินบาทที่ไม่คงที่)
อัตราค่าบริการดังกล่าวรวม
   ค่าตั๋วเครื่องบินชั้นทัศนาจร ไป-กลับ ตามที่ระบุไว้ในรายการ
   ค่าภาษีสนามบินทุกแห่งตามที่กำหนดไว้ในรายการ
   ค่าวีซ่ากรุ๊ป ไม่สามารถคืนเงินได้
   ค่าโรงแรมระดับมาตรฐาน (พักห้องละ 2 ท่าน) ,  อาหารและเครื่องดื่มทุกมื้อ ตามที่ระบุไว้ในรายการ
   ค่ายานพาหนะ และค่าธรรมเนียมเข้าชมสถานที่ต่างๆ ตามที่ระบุไว้ในรายการ
   น้ำหนักสัมภาระท่านละไม่เกิน 20 กิโลกรัม, ค่าประกันวินาศภัยเครื่องบินตามเงื่อนไขของแต่ละสายการบินที่มีการเรียกเก็บ
   ค่าประกันอุบัติเหตุระหว่างการเดินทาง ท่านละไม่เกิน 1,000,000 บาท (ค่ารักษาพยาบาล 500,000 บาท)  
ทั้งนี้ย่อมอยู่ในข้อจำกัดที่มีการตกลงไว้กับบริษัทประกันชีวิต
อัตราค่าบริการดังกล่าวไม่รวม
   ค่าหนังสือเดินทาง และเอกสารต่างด้าวต่างๆ
   ค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่นอกเหนือจากรายการระบุ อาทิเช่น เครื่องดื่ม ค่าอาหาร ค่าโทรศัพท์ ค่าซักรีด ฯลฯ
   ค่าภาษีทุกรายการคิดจากยอดบริการ, ค่าภาษีเดินทาง (ถ้ามีการเรียกเก็บ)
   ค่าทิปไกด์ วันละ 10  หยวนต่อคน ต่อวัน และ คนขับรถ วันละ 10  หยวนต่อคน ต่อวัน แปลว่า เดินทางทั้งหมด
6วัน จ่ายไกด์ 60  หยวน  คนขับ 60  หยวน

   ค่าภาษีมูลค่าเพิ่ม 7 % และภาษีหัก ณ ที่จ่าย 3 %
เงื่อนไขการให้บริการ
1.   ในการจองครั้งแรก มัดจำท่านละ 10,000 บาท หรือทั้งหมด ส่วนที่เหลือชำระก่อนเดินทาง 15 วัน
บัญชีบริษัทโคล่าทัวร์ จำกัด  ธนาคารกสิกรไทย สาขาบางครุ บัญชีออมทรัพย์ เลขที่ 359-2-94698-9
2.   เนื่องจากราคานี้เป็นราคาโปรโมชั่น ตั๋วเครื่องบินต้องเดินทางตามวันที่ ที่ระบุบนหน้าตั๋วเท่านั้น จึงไม่สามารถยกเลิก หรือเปลี่ยนแปลงการเดินทางใดๆ ทั้งสิ้น ถ้ากรณียกเลิก หรือเปลี่ยนแปลงการเดินทาง ทางบริษัทฯ ขอสงวนสิทธิ์ในการคืนเงิน  ทั้งหมดหรือบางส่วนให้กับท่าน
3.   คณะทัวร์ครบ 10 ท่านออกเดินทาง (ไม่มีหัวหน้าทัวร์ แต่มีไกด์ท้องถิ่นพูดไทยรับที่เฉินตู) ครบ 15 ท่าน มีหัวหน้าทัวร์ไทยเดินทางไป-กลับ พร้อมกับคณะ
4.   เมื่อท่านออกเดินทางไปกับคณะแล้ว ท่านงดการใช้บริการรายการใดรายการหนึ่ง หรือไม่เดินทางพร้อมคณะถือว่าท่านสละสิทธิ์ ไม่อาจเรียกร้องค่าบริการ และเงินมัดจำคืน ไม่ว่ากรณีใดๆ ทั้งสิ้น และทางบริษัทจะเรียกเก็บค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากท่านเป็นจำนวนเงิน 200 หยวน / คน / วัน
5.   กรณีที่กองตรวจคนเข้าเมืองทั้งที่กรุงเทพฯ และในต่างประเทศปฏิเสธมิให้เดินทางออก หรือเข้าประเทศที่ระบุในรายการเดินทาง  บริษัทฯ ของสงวนสิทธิ์ที่จะไม่คืนค่าบริการไม่ว่ากรณีใดๆ ทั้งสิ้น
6.   การยกเลิก
6.1   ยกเลิกก่อนการเดินทาง 30 วันขึ้นไป คืนเงินทั้งหมด
6.2   ยกเลิกก่อนการเดินทาง 15 วันขึ้นไป เก็บค่าใช้จ่าย ท่านละ 5,000 บาท
6.3   ยกเลิกก่อนการเดินทาง 7 – 14 วัน เก็บค่าใช้จ่าย 50% ของราคาทัวร์
6.4   ยกเลิกการเดินทางน้อยกว่า 1 – 6 วัน เก็บค่าใช้จ่ายทั้งหมด 100 % ของราคาทัวร์
6.5   ยกเว้นกรุ๊ปที่เดินทางช่วงวันหยุดหรือเทศกาลที่ต้องการันตีมัดจำกับสายการบิน หรือกรุ๊ปที่มีการการันตีค่ามัดจำที่พักโดยตรงหรือโดยการผ่านตัวแทนในประเทศหรือต่างประเทศและไม่อาจขอคืนเงินได้ รวมถึงเที่ยวบินพิเศษ เช่น EXTRA FLIGHT และ CHARTER FLIGHT จะไม่มีการคืนเงินมัดจำ หรือค่าทัวร์ทั้งหมดเนื่องจากค่าตั๋วเป็นการเหมาจ่ายในเที่ยวบินนั้นๆ
เอกสารในการทำวีซ่าจีนสำหรับหนังสือเดินทาง
           1. หนังสือเดินทางที่มีอายุการใช้งานไม่ต่ำกว่า 6 เดือน
           2. หนังสือเดินทางต้องมีหน้าว่าง สำหรับประทับตราวีซ่าและตราเข้า-ออก อย่างน้อย 2 หน้าเต็ม  
           3. รูปถ่ายหน้าตรง รูปสี 2 นิ้ว ถ่ายไม่เกิน 6 เดือน 2 ใบ มีพื้นหลังสีฟ้าเท่านั้น และต้องไม่ใช่สติ๊กเกอร์ หรือ
             รูปพริ้นซ์จากคอมพิวเตอร์ ( รูปใหม่ถ่ายไม่เกิน 6 เดือน อัดด้วยกระดาษสีโกดักและฟูจิ เท่านั้น )
           4. กรณีหนังสือเดินทางคนต่างชาติ
      1     หนังสือเดินทางของคนต่างชาติ จ่ายเพิ่ม  100 บาท ( ยกเว้น ไต้หวัน / อเมริกัน )
                    เอกสารพาสปอร์ต + รูปถ่ายสีขนาด 2 นิ้ว จำนวน 2 ใบ + ที่อยู่ + ใบอนุญาตการทำงาน(ถ้ามี)
                             2    หนังสือเดินทางคนไต้หวัน ( ต้องกรอกเอกสารเป็นภาษาจีน  รายละเอียดที่อยู่ ใบอนุญาตการทำงาน)
                             3    หนังสือเดินทางของคนอเมริกัน จ่ายเพิ่ม 3,400 บาท




สถานฑูตจีนอาจปฏิเสธไม่รับทำวีซ่าให้ พาสปอร์ตของท่าน ในกรณีดังต่อไปนี้
1.   ชื่อเป็นชาย แต่ส่งรูปถ่ายที่ดูเป็นหญิง เช่น ไว้ผมยาว หรือแต่งหน้าทาปาก
2.   นำรูปถ่ายเก่า ที่ถ่ายไว้เกินกว่า 6 เดือนมาใช้
3.   นำรูปถ่ายที่มีวิวด้านหลัง ที่ถ่ายเล่น หรือรูปยืนเอียงข้าง มาตัดใช้เพื่อยื่นทำวีซ่า
4.    นำรูปถ่ายที่เป็นกระดาษถ่ายสติคเกอร์ หรือรูปที่พริ้นซ์จากคอมพิวเตอร์
อัตราค่าวีซ่าด่วน ที่ต้องจ่ายเพิ่มให้สถานฑูตจีน เมื่อท่านส่งหนังสือเดินทางล่าช้า
                      ยื่นวีซ่าด่วน 1 วัน เสียค่าใช้จ่ายเพิ่มท่านละ  1,200 บาท
                      ยื่นวีซ่าด่วน 2-3 วัน เสียค่าใช้จ่ายเพิ่มท่านละ 800 บาท
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2212 เมื่อ: 03 มิถุนายน 2554, 08:11:19 »

สวัสดียามเช้า ชาวซีมะโด่งที่รักทุกท่านครับ
                   เช้านี้พี่สิงห์ขอพูดเรื่อง "รู้ธรรมวันละนิด จิตผ่องใส" เพื่อว่าอาจจะเป็นประโยชน์กับพวกเรา นำไปใช้ในชีวิตประจำวัน เพราะพี่สิงห์ไม่รู้จะหาอะไรมาเล่าสู่กันฟัง และพี่สิงห์ก็ไม่ได้ไปไหน และบางทีอาจจะทำตามที่คุณวัฒนา  โอภานนท์อมตะ แนะนำ คือนำชาดกที่พระพุทธเจ้าทรงเล่าให้พระสาวกฟังในสมัยพุทธกาล มาเล่าสู่กันฟัง เพราะคุณวัฒนา เชื่อว่าหลายท่านอาจจะยังไม่เคยรู้มาก่อน ก็ดีเหมือนกัน เอาไว้โอกาสหน้าครับ
                   สาเหตุอีกประการหนึ่ง คือตอนเช้าขณะพี่สิงห์กำลังเดินจงกรมออกกำลังกายยามเช้าเป็นการอบอุ่นร่างกายก่อน รำชิกง และโยคะ นั้นสติของพี่สิงห์จะอยู่ที่การก้าวขาทีละก้าว และการสัมผัสระหว่างนิ้วตามที่เคยแนะนำไปแล้ว จิตของพี่สิงห์ก็จะหยุดคิด คือไม่ปรุงแต่งจากอายตนะ ๖ มีความรู้สึกตัวว่างเปล่าอยู่อย่างนั้น นานเข้าๆ ไปเรื่อย ๆ แต่โดยธรรมชาติของจิตมันต้องคิด พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า ถ้าจิตมันจะคิด ต้องใช้ "ธรรมวิจัย" หรือหลวงพ่อเทียนท่านบอกว่า "ถ้าจิตมันจะคิด ให้คิดเพราะจะรู้" หลวงปู่ดูลย์ท่านก็สอนว่า "คนเราทุกข์เพราะคิด ถ้าหยุดคิดก็ไม่ทุกข์ แต่เพราะคิดนี่ละจึงรู้" พี่สิงห์ก็ใช้เพราะไปกดทับจิตมันนานๆเข้า จิตมันจะยึดติดกับความสงบ เราก็จะไม่รู้อะไรเลย เมื่อจิตมันอยากคิด ก็ให้มันคิด แต่ให้มันคิดในสิ่งที่อยู่กับตัวเรา คือ กาย-ใจ นี่ละ แล้วเราจะรู้ได้ อย่างเมื่อเช้านี้จิตพี่สิงห์มันคิด(พี่สิงหืยังรู้สึกตัว มีสติอยู่กับการเดินจงกรม และดูจิตมันคิด) เกี่ยวกับจิตเดิมแท้ที่มีแต่ความว่างเปล่า คิดสมมติบัญญัติ คิดปรมัธสัจจะ คิดปัจจัยสี่ที่มนุษย์ต้องการแต่เป็นตัวก่อทุกข์ถ้าวางจิตไม่ถูกที่ คิดเกี่ยวกับการสร้างจังหวะให้มีสติรู้สึกตัวทั่วพร้อม จึงนำมาสู่สิ่งที่พี่สิงห์จะเขียนให้ได้ทราบ อาจจะไม่ถูกต้องทางพยัญชนะ และสิ่งที่อ้างถึงคำสอนของพระศาสดา หลวงพ่อเทียน หลวงพ่อดุลย์ เพราะมันเขียนมาจากจิตของพี่สิงห์ที่รู้ ไม่ได้เปิดหนังสือมาเขียน ก็ขอให้เข้าใจตามนี้ด้วย
                  อาจารย์ถาวร  โชติชื่น ที่ห่างไกลจากกิเลส มากกว่าผมหรือคุณรุ่งศักดิ์  บุญชู  ผ่านมาก็แก้ให้ด้วยก็แล้วกัน เพราะทั้งสองท่านนี้ มีภูมิ มากกว่าพี่สิงห์มาก พี่สิงห์ยังห่างแยะ ยังเป็นปุถุชนม์ ยังติดอยู่ในตัณหาอยู่ครับที่จะต้องมาอยู่หน้าจอ อย่างนี้ละ ช่วยแก้ไขให้ ขอบคุณ

"รู้ธรรมวันละนิด จิตผ่องใส"
ตอนที่ ๑
จิตที่บริสุทธิ์

                    พระพุทธเจ้า พระศาสดาของเราท่านกล่าวกับภิกษุสาวกที่เชตวันในบ่ายวันหนึ่งว่า แน่ะภิกษุทั้งหลาย ท่าน"พุทธ" กำลังเดินมา คือท่านพระสารีบุตรอัครสาวกเบื้องขวากำลังเดินมาเข้าเฝ้าพระองค์ในอิริยาบถที่ผ่องใสเป็นพิเศษ ซึ่งพระศาสดาทรงถามพระสารีบุตรว่า ท่านอยู่ในวิหารธรรมอันใด ดูผิวพรรณท่านผ่องใสนัก พระสารีบุตรตอบว่า ข้าพระองค์อยู่ในวิหารธรรม "สูญญตา หรือ ความว่างเปล่า" โดยสรุป คือ คำว่า "พุทธ" ซึ่งแปลว่า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน นั้นมีอยู่ในตัวในตนของคนทุกคน ไม่ละเว้น เพียงแต่ด้วย "อวิชชา(ความไม่รู้)" และความเป็น "อัตตา(ยึดมั่นถือมั่นว่ามีตัวมีตน)" จึงทำให้มนุษย์ไม่สามารถที่จะรู้ขึ้นมาได้ และจิตเดิมแท้ของมนุษย์เริ่มแรกนั้น มีแต่ "ความว่างเปล่า" เป็นจิตที่บริสุทธิ์ นั่นคือ ความสุขที่ปราณีตแท้จริงนั้น คือ "จิตที่ว่างเปล่า" ปราศจากการปรุงแต่งทั้งสิ้น แต่อนิจจา จิตของมนุษย์นั้นปัจจุบันรกรุงรังไปด้วยกิเลส ตัณหา เกาะยึดอยู่ในจิตแน่นจนเป็นสิ่งเดียวกันทำให้เกิดความโลภ ความโกรธ ความหลง เป็นทาสของความคิด จนกลมกลืนเป็นสิ่งเดียวไม่สามารถแยกออกได้ ทั้งๆที่จิตเดิมแท้ของมนุษย์นั้น "มีแต่ความว่างเปล่า"
                     ท่านปรมาจารย์เว่ยหล่าง ได้ย้ำเตือนคำสอนของพระศาสดาว่า "จิตเดิมแท้ของมนุษย์นั้น เป็นจิตที่บริสุทธิ์ มีแต่ความว่างเปล่า" และจิตเดิมแท้ของมนุษย์ นั้นที่เป็น "พุทธ" ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน นั้นมีในคนทุกคนไม่ละเว้น เพียงแต่เพราะ "อวิชชา" และความเคยชิน จึงมองไม่เห็น
                     หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ ท่านก็ย้ำเสมอว่า คำว่า "พุทธ" ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน นั้น มีในคนทุกคนทุกชาติ ศาสนา ผู้หญิง ผู้ชาย ไม่ละเว้น เพียงแต่ "อวิชชา" จึงมองไม่เห็น ท่านจึงแนะนำให้เราสร้างความรู้สึกตัวตลอดเวลาเพื่อเขย่าธาตุรู้ให้มันแสดงตนออกมา หมายความว่า ถ้าเรามีความระลึด รู้สึกตัวตลอดเวลาแล้ว ความไม่รู้ก็จะไม่บังเกิดขึ้น ถ้าทำความรู้สึกตัวตลอดเวลาความโลภ ความโกรธ ความหลง มันจะค่อยๆ หายไปเอง คำว่า "พุทธ" ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ก็จะเกิดขึ้นมาเอง

                     หลวงปู้ดูลย์ อตุโล ท่านก็ยืนยันว่า "พุทธ" ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน นั้นมีในคนทุกคนไม่ละเว้น เหมือนกัน

                     ดังนั้นขอให้พวกเราทุกคน ที่เกิดเป็นมนุษย์ เป็นสัตว์ที่ประเสริฐ เพราะการที่จะเกิดเป็นมนุษย์ได้นั้น ชาติก่อนท่านต้องถือศีล ๕ คือไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม ไม่พูดปด ไม่ดื่มสุราหรือใช้ยาเสพติด ท่านถึงจะเกิดมาเป็นมนุษย์ได้ ดังนั้นอย่างน้อยในชาตินี้ ท่านต่องมีศีล ๕ อยู่ในจิต ชาติหน้าท่านจะได้เกิดในภพมนุษย์อีก แต่ถ้าท่านไม่รักษาศ๊ล ๕ เอาไว้ให้ดี ชาติหน้าท่านต้องไปเกิดในภพที่ต่ำกว่าภพมนุษย์ คือ ดิรัจฉาน เปรตอสุรกาย หรือนรกภูมิ เมื่อท่านเกิดเป็นมนุษย์แล้ว ทำอย่างไร ชาติหน้าท่านถึงจะเกิดในภพที่ดีกว่า คือสวรรค์ พรหมโลก และนิพพานภูมิ (พี่สิงห์จะขอเอาไปว่าเป็นตอนต่อไป)

                                                ดูกาย                        เห็นจิต
                                                ดูความคิด                  เห็นธรรม
                                                ดู(พฤติ)กรรม              เห็นนิพพาน
                                                ดูอาการ                     เห็นปรมัตถ์
                                                                       หลวงพ่อเทียน  จิตฺตสุโภ

                                                สภาพจิตที่แท้จริง ปราศจากโลภ โกรธ หลง
                                       แต่มันซ่อนแทรกเข้ามากับความ(ลัก)คิด ที่ขาดความรู้สึกตัว
                                                                       หลวงพ่อเทียน   จิตฺตสุโภ
                              [ ความ(ลัก)คิด คือ เป็นทาสของความคิด หรือหลงอยู่ในความคิดตนเอง ]

                       เช้านี้พี่สิงห์ขอให้อย่างน้อยทุกท่าน ทำจิตให้ผ่องใสเข้าไว้ ท่านจะห่างไกลจากโรคทั้งปวงครับ
                       สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2213 เมื่อ: 03 มิถุนายน 2554, 20:02:06 »

สวัสดีท่านขุน
                        พี่สิงห์ต้องขออภัยมีควมผิดพลาดบางประการ  พนักงานที่บริษัท จองตั๋วกลับให้พี่สิงห์เป็น Boarding 15:55 น. วันเสาร์ ครับดังนั้นคงไม่ได้พบกันตามที่นัดกันไว้ แต่พี่สิงห์จะไปรอพบที่สนามบินนครศรีธรรมราช หน้าประตูผู้โดยสรขาเข้า ครับ
                        ราตรีสวัสดิ์ครับ
      บันทึกการเข้า
ติ๋ม จันทร์ฉาย
Hero Cmadong Member
***


เป็นญาติพี่น้องกับซีมะโด่ง
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2516
กระทู้: 1,692

« ตอบ #2214 เมื่อ: 03 มิถุนายน 2554, 20:38:37 »

ขอบคุณค่ะพี่สิงห์อ่าแล้วได้คิด ได้ทางเดินของวันนี้
เดินทีละก้าว อยู่เป็นวันวันไปค่ะ
พรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่เมื่อกลายเป็นวันนี้
      บันทึกการเข้า

ติ๋ม จันทร์ฉาย
Khun28
Full Member
**


ดูกายเห็นจิต ดูคิดเห็นธรรม
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: RCU2528
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์
กระทู้: 784

« ตอบ #2215 เมื่อ: 04 มิถุนายน 2554, 05:37:18 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 03 มิถุนายน 2554, 20:02:06
สวัสดีท่านขุน
                        พี่สิงห์ต้องขออภัยมีควมผิดพลาดบางประการ  พนักงานที่บริษัท จองตั๋วกลับให้พี่สิงห์เป็น Boarding 15:55 น. วันเสาร์ ครับดังนั้นคงไม่ได้พบกันตามที่นัดกันไว้ แต่พี่สิงห์จะไปรอพบที่สนามบินนครศรีธรรมราช หน้าประตูผู้โดยสรขาเข้า ครับ
                        ราตรีสวัสดิ์ครับ
ขอบคุณครับพี่
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2216 เมื่อ: 04 มิถุนายน 2554, 08:09:22 »

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่งที่รักทุกท่าน
                       ไม่ทราบเวบเป็นอะไร? พี่สิงห์เขียนจะเสร็จแล้วอยู่แล้ว "รู้ธรรมวันละนิด จิตผ่องใส" ตอนที่ ๒  คนเราตายไปแล้วจะไปเกิดภพไหน? มันหายไปดื่อๆ เสียอย่างนั้น วันนี้เขียนไม่ทันแล้วครับ ต้องขออภัยทุกท่าน แต่จะพยายามเขียนใหม่ให้เสร็จครับ คงเป็นช่วงบ่ายเพราะวันนี้มีประชุมทั้งวัน
                       สงสัยต่อไปต้องเขียนใน word ก่อนไม่เขียนสดแล้ว จะผิดวัตถุประสงค์ของพี่สิงห์ไป ที่ต้องการเขียนสด จากจิตที่มันคิดในแต่ละวัน ครับ อดใจรอหน่อยนะครับ

                       ขอขอบคุณ คุณน้องจันทร์ฉายค่ะ ขอให้มีความก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรม ครับ
                       อรุณสวัสดิ์ทุกท่านครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2217 เมื่อ: 04 มิถุนายน 2554, 15:27:52 »

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่งที่รักทุกท่าน
                       พี่สิงห์อยู่สนามบันนครศรีธรรมาช เลยนั่งเขียนครับ ขอตัวไปพบกับท่านขุนก่อนครับ Air Asia ลงจอดแล้วครับ
                       สวัสดี

รู้ธรรมวันละนิด จิตผ่องใส
ตอนที่ ๒
คนตายไปแล้ว จะไปเกิดในภพไหน ?
   

              พระพุทธเจ้าท่านทรงมองการไกลทรงเห็นด้วยญาณปัญญาว่า สังคมของมนุษย์นั้นไม่ว่ายุคไหน สมัยใด มีแต่สังคมที่วุ่นวายเอาเปรียบ แก่งแย่ง ชิงดีชิงเด่น กันในเรื่องของความอยาก(ตัญหา)ของมนุษย์ไม่เคยละเว้นเลย ผลแห่งความอยากนั้นก่อให้เกิดทุข์กับสังคมรอบกายและก่อทุกข์ให้กับตนเอง ดังนั้นในสมัยที่ท่านมีพระชนม์ชีพอยู่ถ้าเป็นปุถุชนม์คนธรรมดา ท่านจึงเน้นให้มนุษย์ปฏิบัติถือศีล ๕ อย่างเคร่งครัด คือ ไม่ฆ่าสัตว์  ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม ไม่พูดปด ไม่ดื่มสุราและใช้ยาเสพติด เพราะพระองค์เชื่อว่า ศีล ๕ นั้นจะทำให้สังคมของมนุษย์อยู่อย่างสงบ เป็นสุขได้ ซึ่งถ้าเราพิจารณาด้วยปัญญา แล้วจะเห็นด้วยกับพระองค์ทุกประการ เพราะนี่คือ “สัจธรรม”
   นอกจากนี้พระองค์ยังหาอุบายที่จะทำอย่างไร? ให้มนุษย์นั้นรักษาศีล ๕ ให้ได้ พระองค์จึงบอกว่ามนุษย์นั้นเมื่อตายไปแล้วจะไปเกิดในภพต่าง ๆ แล้วแต่กรรมที่มนุษย์ได้กระทำไว้

   
“ดูกรภิกษุทั้งหลายเรากล่าว “เจตนาว่าเป็นกรรม” บุคคลคิดแล้วจึงกระทำกรรมด้วยกาย วาจา ใจ”

               คือ “กระทำกรรมดี ย่อมได้ดี” หมายความว่า ถ้าคนเราทำดีด้วยกาย วาจา ใจ แล้วอย่างน้อยจะไปเกิดเป็นมนุษย์อีก แต่จะอยู่ในฐานะที่ดีกว่าเดิมแน่นอน “กระทำกรรมชั่ว ต้องได้สิ่งที่ชั่วตอบแทน” หมายความว่า ตอนเป็นมนุษย์ถ้ากระทำความชั่วทางกาย วาจา ใจ แล้วตายไปต้องไปเกิดในภพสัตว์เดรฉาน หรือเปรต หรือนรก ซึ่งมนุษย์จะกลัว ก็จะทำให้มนุษย์นั้นสามารถจะอยู่ในศีล ๕ ได้ นั่นก็คือหลักของศาสนาพุทธคือ ไตรสิกขา คือไม่ทำชั่วทั้งปวง กระทำแต่ความดีให้ถึงพร้อม และทำจิตให้บริสุทธิ์ผ่องใส ให้มนุษย์ได้ปฏิบัติในชีวิตประจำวัน ถ้ากระทำได้สังคมมนุษย์จะมีแต่ความสุข ความสงบ แต่หน้าเศร้าที่มนุษย์ทำไม่ได้ และยังหลงอยู่ในความอยากของตัวเองเป็นเกณฑ์ ผลคือ สังคมมนุษย์มีแต่ปัญหา เอารัดเอาเปรียบ แตกแยกไม่รักพวก รักพ้อง รักประเทศตามที่เราเห็นกันอยู่ทั้งๆที่ประเทศไทยของเรานับถือศาสนาพุทธ
   ศาสนาพุทธได้แบ่งถึงวิถีทางที่จะนำมนุษย์ เมื่อตายไปแล้วจะไปเกิดใหม่สู่ภพต่างๆ ด้วยการปฏิบัติของตัวเองสมัยเป็นมนุษย์ คือ”ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” ได้แก่ บาป บุญที่มนุษย์กระทำทางกาย วาจา ใจ

                       ภพต่างๆนั้นมีด้วยกัน ๗ สาย คือ
            ทางสายที่ ๑ ทางไปเกิดในนรก ได้แก่ โทสะ คือความโกรธ
            ทางสายที่ ๒ ทางไปเป็นเปรตกับอสุรกาย ได้แก่ โลภะ คือความโลภ
            ทางสายที่ ๓ ทางไปเกิดเป็นสัตว์ดิรัจฉาน ได้แก่ โมหะ คือความหลง
            ทางสายที่ ๔ ทางไปเกิดเป็นมนุษย์   ได้แก่ การถือศีล ๕ (ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม ไม่พูดปด ไม่ดื่มสุราหรือใช้ยาเสพติด) และการทำกุศลกรรมบถ ๑๐ ให้บังเกิด(กุศลกรรมบถ ๑๐ คือเป็นธรรมส่วนสุจริต ๑๐ ประการ คือ การกระทำที่เป็นความดี ได้แก่ สุจริตทางกาย  สุจริตทางวาจา และสุจริตทางใจ)
                         - การกระทำที่เป็นสุจริตทางกาย ที่เป็นกายกรรม มี ๓ อย่าง คือ ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม
                         - การกระทำที่เป็นสุจริตทางวาจา ที่เป็นวจีกรรม มี ๔ อย่าง คือ ไม่พูดเท็จ ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดเพ้อเจ้อ
                         - การกระทำที่เป็นสุจริตทางใจ เป็นมโนกรรม มี ๓ อย่าง คือ ไม่โลภอยากได้ของเขา ไม่พยาบาทปองร้าย และเห็นชอบตามทำนองคลองธรรม
                 ทางสายที่ ๕ ทางไปสวรรค์ ได้แก่การทำมหากุศล ๘ เช่น การทอดกฐิน ทอดผ้าป่า ถวายทาน ฟังธรรม สร้างโรงพยาบล เป็นต้น แต่ต้องทำด้วยใจที่อยากกระทำ บริสุทธิ์ใจ และตัวเองและครอบครัวไม่ทุกข์ด้วยจึงจะได้อานิสสง
                 ทางสายที่ ๖ ทางไปพรหมโลก ได้แก่การเจริญสมถกรรมฐานจนได้ฌาณ
                 ทางสายที่ ๗ ทางไปนิพพาน ได้แก่ การเจริญวิปัสสนากรรมฐาน จนเป็น “พุทธ” คือพระอรหันต์
            
                       ดังนั้น การที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ จึงนับได้ว่าเป็นผู้มีคุณธรรมใน ศีล ๕ และกุศลบถ ๑๐ มาก่อน และนับว่าโชคดีมหาศาล เพราะสามารถพัฒนาตนเองให้สูงขึ้นไปถึงนิพพานได้เป็นที่สุด แต่ในขณะเดียวกัน หากนิ่งนอนใจ ประมาทอยู่ ยังหลงใหลอยู่ในความโลภ ความโกรธ ความหลง ก็อาจตกต่ำไปสู่อบายภูมิได้เหมือนกัน

พระพุทธองค์จึงทรงตักเตือนไว้ด้วยปัจฉิมโอวาทว่า
“สังขารทั้งหลายย่อมมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจงยังกิจทั้งปวงให้ถึงพร้อมด้วยการไม่ประมาท(นั่นคือ เจริญสติ-สร้างความรู้สึกตัวให้สมบูรณ์เถิด”)

พระศาสดายังได้ทรงตรัสไว้ในคืนแห่งปรินิพพานนั้นต่อสุภัททะสาวกองค์สุดท้ายว่า
“ตราบใดที่ยังมีผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ โลกจะไม่ว่างจากพระอรหันต์”

                       ผมในฐานะนักปฏิบัตินั้น ไม่ได้สนใจเลยว่าภพต่างๆ นั้นมีจริงหรือไม่ แต่ถ้าถือศีล ๕ และเจริญสติวิปัสสนาแล้ว ในชาตินี้มีแต่ความสงบ ไม่ทุกข์ก้เพียวพอแล้ว แต่ถ้าภพชาติใหม่มีจริง ก็คงเกิดในภพที่ดีกว่าเดิม ครับ
                       สวัสดี
            (บางส่วนที่ผมเขียนนั้น นำมาจากหนังสือ พุทธอัจฉริยะ ของศาสตราจารย์นายแพทย์คงศักดิ์   ตันไพจิตร   เพราะจำไม่ได้หมดครับ)


 
                     ความจริงที่ควรรับทราบ เมื่อวันศุกร์ที่แล้วที่พี่สิงห์ไปร่วมฟังพระสวดพระอภิธรรม ศพคุณแม่เป้า   เกตุเล็ก คุณแม่ของคุณพรชัย  เกตุเล็ก  คุณโด่งเล่าให้ฟังว่าคุณแม่เป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่มานานแล้ว ก่อนตายจิตของคุณแม่แจ่มใส เวทนาไม่ได้แสดงออกเลย คุณแม่มีสติ ทั้งๆที่ไม่ได้ฉีดยาแก้ปวด คุณแม่ได้เรียนกลูกๆทุกคน และญาติที่สนิทมาพบโดยให้แต่งชุดขาว คุณแม่ได้ขอขมาต่อลูกๆ - ญาติ และลูกๆ - ญาติได้ขอขมาต่อคุณแม่ หลังจากนั้นคุณมาก็ลาจากไปตลอดกาล ไม่ทุรนทุรายเหมือนกับคนอื่นๆที่เป็นมะเร็งและไม่ได้ฉีดยาแก้ปวดเลย นี่คือผลของการเจริญสติวิปัสสนาและการถือศีล ๕ ของคุรแม่เป้า  เกตุเล็ก ครับ และผมก็เชื่อว่าถ้าภพต่างๆมีจริง วิญญาณของคุณแม่เป้า ย่อมไปเกิดในภพที่ดีกว่าเดิมแน่นอนครับ

ดังนั้น อย่าลืม ถือศีล ๕ กันนะครับ เกิดภพหน้าจะได้ดีกว่าเดิม และปัจจุบันสังคมจะเป็นสุข สงบ ครับ
ไม่ฆ่าสัตว์
ไม่ลักทรัพย์
ไม่ประพฤติผิดในกาม
ไม่พูดปด
ไม่ดื่มสุราและใช้ยาเสพติด
             
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2218 เมื่อ: 04 มิถุนายน 2554, 20:57:58 »


สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่งที่รักทุกท่าน
                       เมื่อตอนเย็นสามโมงครึ่งที่ผ่านมาพี่สิงห์ได้ไปรอพบ ท่านขุน 28 คุณน้องธวัชชัย ที่หน้าห้องผู้โดยสารขาเข้า สนามบินนครศรีธรรมราช ได้พบตัวจริงเสียงจริงและภรรยาด้วยครับ
                       คุณน้องธวัชชัย ได้มอบหนังสือหลวงพ่อเทียน ที่มีคุณค่ายิ่งให้พี่สิงห์หลายเล่มด้วยกัน และขณะนั่งเครื่องบินกลับกรุงเทพฯ พี่สิงห์อ่านจบไปสองเล่มครับ แต่เล่มที่สำคัญที่สุดคือหนังสือสวดมนต์ครับ เพราะพี่สิงห์จะได้นำติดตัวเวลาไปต่างจังหวัดจะได้สวดมนต์ทำวัตรเย็นพร้อมคำแปล ได้สมบูรณ์ เพราะเท่าที่ผ่านมาสวดไม่ครบ เพราะจำไม่ได้หมด หนังสือสวดมนต์ที่มีเป็นของวัดป่าสุคะโต เล่มใหญ่ไม่สะดวกพกพาจึงเอาไว้ที่บ้านหน้าโต๊ะหมู่บูชาพระ พี่สิงห์ต้องขอขอบคุณ คุณน้องธวัชชัย เป็นอย่างยิ่งที่กรุณา  โอกาสหน้าคงได้คุยกันมากกว่านี้ครับ
                       ลืมไปมีสิ่งสำคัญอีกอย่างที่พี่สิงห์ต้องการคือ แผนที่วัดปลายนา ปทุมธานี ครับ ได้สมใจ
                       ราตรีสวัสดิ์ทุกท่านครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2219 เมื่อ: 05 มิถุนายน 2554, 14:17:42 »

ขอเชิญร่วมตอบคำถามทุกท่านครับ

                       เมื่อวันแข่งโบลิ่งที่ผ่านมานั้น หน้าตา ดร.สุริยา ดูเศร้าหมอง จิตไม่ประภัสสร
                       ผมจึงส่งลูกโบลิ่งให้ ดร.สุริยา ถืออยู่ในมือเอาไว้ และให้ ดร.สุริยา ยืนขึ้นให้ตัวตรง เมื่อยืนเสร็จแล้ว ผมให้ ดร.สุริยา เอามือที่ถือลูกโบลิ่งอยู่นั้นคว่่ำมือและปล่อยลูกโบลิ่งให้หลุดออกจากมือของ ดร.สุริยา ลงสู่พื้น อะไรจะเกิดขึ้น ?.......(ปริศนาธรรมทางปัญญา)......... ดร. สุริยา จะเข้าใจในส่ิงที่ผมให้กระทำนั้นไหม? มันหมายความว่าอย่างไร ? ลองช่วยกันตอบแทน ดร.สุริยา หรือ ดร.สุริยา จะตอบเองก็ได้ ดูซิว่าใครสามารถตอบถูกบ้าง แต่มีคนที่สามารถตอบได้ถูกอยู่หนึ่งคน คือ ท่านขุน ๒๘ ครับ
                       ผมลืมไป อาจารย์ถาวร   โชติชื่น และ คุณรุ่งศักดิ์   บุญชู  ก็สมควรที่จะตอบได้ รวมทั้ง ดร.สุริยา  ด้วยครับ

      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2220 เมื่อ: 06 มิถุนายน 2554, 07:05:54 »

สวัสดียามเช้าครับ ชาวซีมะโด่งที่รักทุกท่าน
                        เช้ามืดฝนตก อากาศเย็นสบายหายใจโล่ง พี่สิงห์มี "รู้ธรรมวันละนิด จิตผ่องใส" มาฝากครับ พี่สิงห์จะเขียนตามทำนองนี้แต่เผอิญนึกขึ้นได้ว่ามีผู้ที่เขียนได้ดีกว่าพี่สิงห์ คือ ศาสตราจารย์ นายแพทย์ คงศักดิ์  ตันไพจิตร ผมจึงถือวิสาสะคัดลอกมาให้พวกเราได้อ่านกัน ท่านคงไม่ว่าหรอกเพราะท่านก็ปฏิบัติธรรม ไม่ยึดมั่นถือมั่นอยู่แล้ว
                        ผมตรวจสอบแล้วมันก็เป็นความจริงตามที่คุณหมอเขียนทุกประการยกเว้นอาการที่จิตยิ้มได้ ผมไม่ทราบเพราะผมก็ยังเป็นปุถุชน คนสามัญอยู่ครับ เพียงแต่บางสิ่งเคยประสพพบด้วยตัวเอง บางสิ่งเช่น ความโลภ  ความโกรธ  ความหลง มันหายไปมาก อยู่กับการสร้างความรู้สึกตัว
                        ข้อเขียนของคุณหมอ ผมอ่านแล้ว เข้าใจแทงตลอดครับ จึงอยากให้ทุกท่านได้อ่านกันในเช้าวันนี้ครับ
                        อย่าลืมช่วยกันตอบปัญหา ด้วยนะครับ ผิดถูก ไม่สำคัญ แต่ทำให้เราได้คิด และจะจำมันได้ดีในภายหลังถ้าทราบคำตอบที่แท้จริงแล้ว อย่าอาย คิดอย่างไร ก็ตอบตามที่เราคิด
                        อรุณสวัสดิ์ทุกท่านครับ

ธรรมวันละนิด จิตผ่องใส
ตอนที่ ๓
ธรรมชาติของจิต

(คัดลอกมาจาก หนังสือพุทธอัจฉริยะ เขียนโดยศาสตราจารย์นายแพทย์คงศักดิ์  ตันไพจิตร)

   พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า

   “ภิกษุทั้งหลาย จิตนี้ผ่องใส (ประภัสสร) แต่ว่าจิตนั้นแลเศร้าหมองแล้ว ด้วยอุปกิเลส (สิ่งที่ทำให้จิตใจเศร้าหมองขุ่นมัว) ที่จรมา ปุถุชนผู้มิได้สดับ ย่อมจะไม่ทราบจิตนั้นตามความเป็นจริง ฉะนั้น เราจึงกล่าวว่า ปุถุชนผู้มิได้สดับ ย่อมไม่มีการอบรมจิตภาวนา”

   นั่นคือจิตถูกย้อม ห่อหุ้มไว้ด้วยอำนาจ ของความโลภ ความโกรธ หรือความหลง ที่จรแฝงซ่อนเร้นมากับความคิด ทำให้จิตหม่นหมองไป และบดบังความประภัสสรผ่องใส อุปกิเลสเหล่านี้เป็นเพียงแขกอาคันตุกะที่จรเข้ามาเยือน ทำให้จิตเศร้าหมอง ไม่ประภัสสรตามธรรมชาติที่มีมาแต่เดิม

   จิตประภัสสรเป็นจิตที่มีธรรมชาติพื้นฐานธรรมดาๆ ของจิต ไม่มัวหมอง (แต่เป็นจิตที่ยังไม่หลุดพ้น มิใช่จิตบริสุทธิ์)

   หากทราบความจริงในสภาพที่แท้ของจิต ย่อมต้องคอยหมั่นอบรม ด้วยจิตภาวนา ให้จิตทรงความผ่องใส ไม่ให้มืดบอดโง่เขลาเศร้าหมอง
(การทำวิปัสสนาภาวนาก็ดี การเจริญสติแบบเคลื่อนไหวก็ดี ต้องมีความระลึกได้ในสิ่งที่กำลังกระทำอยู่ในอิริยาบถหลักและอิริยาบถย่อย ให้รู้ตัวทั่วพร้อมตลอดเวลาคือตื่นตัวรับรู้สิ่งที่มากระทบทางอายตนะ แต่ไม่ปรุงแต่งตามเพียงรับรู้แล้วปล่อยให้ผ่านไป เมื่อจิตระลึกได้ถึงสิ่งที่กำลังกระทำอยู่ จิตมันจะว่างเปล่าไม่คิดปรุงแต่งสิ่งใดเลยเป็นจิตประภัสสร ให้ทรงสภาพอย่างนี้ไว้ให้นานเท่าที่จะทำได้ ต้องฝึกทำบ่อยๆ  การที่เรารู้สึกตัวอยู่ตลอดเวลาแบบนี้นั้น หลวงพ่อคำเขียน ท่านว่า “การรู้ซื่อๆ แบบนี้ละมันจะไม่ทุกข์ เพราะจิตมันไม่คิด เมื่อจิตไม่คิดมันก็ไม่ทุกข์” หลวงพ่อเทียน ท่านว่า การที่มันรู้สึกตัวอยู่นี้ละ มันจะไม่ทุกข์ เพราะขณะเมื่อเรารู้สึกตัวอยู่นั้น  ความไม่รู้มันจะหายไป มีแต่ความรู้สึกตัวเข้ามาแทนที่ จิตมันก็ไม่คิด เมื่อไม่คิดมันก็ไม่ทุก ท่านว่าให้ทำบ่อยๆ สักวันความไม่รู้จะหายไปหมดสิ้น เพราะเราจะมีความรู้สึกตัวทั่วพร้อมอยู่ตลอดเวลา ดังนั้น ความโลภ  ความโกรธ  ความหลง มันจะหมดหายไปเอง เพราะความรู้สึกตัวอยู่ตลอดเวลานี่ละ : มานพ  กลับดี)

                พระพุทธองค์ได้ทรงเน้นถึงจุดสำคัญอย่างยิ่งที่ทำให้พุทธศาสนาต่างจากศาสนาอื่นๆ คือ ทรงเน้นให้ทำใจให้ผ่องแผ้ว ซึ่งเป็นหลักสำคัญข้อ ๓ ที่นอกเหนือไปจากหลัก ๒ ข้อแรก ในไตรสิกขา คือ การละชั่ว และการทำดี ซึ่งมีสอนทั่วไปในศาสนาอื่น ๆ

หลักทั้งสามข้อนี้ คือหัวใจของพระพุทธศาสนา
การละชั่ว(ไม่ทำชั่วทั้งปวง คือศีล)
กระทำดี(ทำความดีให้ถึงพร้อม คือสมาธิ)
ทำจิตให้บริสุทธ์ผ่องใส(นิพพาน คือปัญญา รู้ด้วยตัวเองว่าจิตหลุดพ้นแล้ว ไม่มีกิจใดต้องทำอีกในภพนี้)

   การทำใจให้ผ่องแผ้วนั้น จะมีผลให้จิตตั้งมั่นอยู่เหนือสมมติบัญญัติ เหนือทุกข์เหนือสุข เหนือโลกธรรม ๘ (คือ ได้ลาภ – เสื่อมลาภ  ได้ยศ – เสื่อมยศ สรรเสริญ – นินทา  สุข – ทุกข์) สามารถทำได้ด้วยการเจริญวิปัสสนากรรมฐาน ให้เกิด สติ – สัมปชัญญะ – ความรู้สึกตัว เกิดสมาธิ เกิดปัญญา หลุดพ้นจากความยึดมั่นถือมั่น ยังผลให้จิตผ่องใสบริสุทธิ์ ปราศจากทุกข์

   ปัจจุบันนี้ ทัศนะแนวใหม่ของนักวิทยาศาสตร์ทางระบบประสาท อาทิ ศาสตราจารย์ นายแพทย์ ดามาซิโอ หัวหน้าภาควิชาประสาทวิทยา ณ มหาวิทยาลัยไอโอวา ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้แสดงความเห็นว่า “สมองไม่ใช่เป็นเพียงแค่ศูนย์ความคิดเท่านั้น” เพราะตรวจพบว่าอารมณ์ต่างๆ ที่รับรู้และสัมผัสอยู่ เช่น ความโกรธ ความสุข ความกลัว ความเสียใจนั้น ก็มีการทำงานของสมองส่วนต่างๆ สัมพันธ์กันอยู่ เป็นวงจรแยกแยะแตกต่างกันไป

   และสรุปผลว่า สมองเป็นอวัยวะรับรู้ ความรู้สึก (เทียบได้กับวิญญาณ) ที่ทำหน้าที่คิด (เทียบได้กับจิต) ซึ่งเป็นการพิสูจน์ถึงขบวนการกลไกการทำงานของกายและจิตที่พระพุทธองค์ได้ทรงค้นพบมากว่า  2,600 ปีแล้ว ในระบบที่ทรงเรียกว่า ขันธ์ ๕ แห่ง รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และระบบที่เกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กัน คือ อายตนะ ๑๒ (อายตนะภายนอก ๖ ได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์  กับอายตนะภายใน ๖ ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ) และธาตุ ๑๘ (คือ อายตนะ ๑๒ กับวิญญาณ ๖ ได้แก่ จักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ มโนวิญญาณ)

   ทั้งๆที่พระองค์ไม่ได้ทรงมีเครื่องมือกลไกที่ทันสมัยอย่างในปัจจุบันแต่อย่างไร แต่ทรงอาศัยกายและจิตนี้เป็นเครื่องมือสำราจ พระพุทธองค์จึงทรงเป็นบุคคลแรกในโลกที่ทรงใช้กายและจิตนี้เป็นเครื่องมืออุปกรณ์ ทำหน้าที่กลับเข้ามาตรวจวัดสำรวจตัวกายและจิตเอง ด้วยการตามดูรู้ทันด้วย “สติ” และ “ความรู้สึกตัว” ทำให้ทรงรู้แจ้งเห็นจริงตามความเป็นจริงที่กำลังเกิดและสัมผัสอยู่ที่กาย ที่เวทนา ที่จิต ที่ธรรม ซึ่งรวมเป็นหลักของกรรมวิธีปฏิบัติให้รู้ธรรมความจริงที่เรียนกว่า “วิปัสสนากรรมฐาน”

   พระองค์ทรงค้นพบและเห็นสภาพที่แท้จริงของจิตว่าเป็น “อนัตตา” และเห็นกลไกการทำงานของจิตซึ่งส่ายแส่ออกไปสู่โลกภายนอกทางอายตนะ ๖ ก่อให้เกิดความดิ้นรนทะยานอยาก แต่ขาดการรู้การเห็นตัวของมันเอง จึงเป็นทุกข์เพราะไม่รู้เท่าทันความคิดและอารมณ์ที่เกิดจากการยึดมั่นในวัตถุและสมมติบัญญัติต่าง ๆ ที่กำลังสัมผัสอยู่นั้น

(สมมติบัญญัติ คือ ทุกสิ่งรอบๆตัว ไม่ว่าจะเป็นสิ่งของ วัตถุ สิ่งมีชีวิต หรือไม่มีชีวิตทั้งหมด เราตั้งชื่อขึ้น เพื่อให้ สัญญา(ความจำได้หมายรู้)มันจำได้เมื่อสัมผัสทางอายตนะอีกครั้งหนึ่ง เช่น ดร.สุริยา ต้องมีหน้าตาแบบนี้ สีแดง  สีเขียว รถยนต์ .....เป็นต้น : มานพ  กลับดี)

   พระพุทธองค์ได้ทรงค้นพบว่า นอกจากจิตจะทำหน้าที่ของความเป็นธาตุรู้ต่ออารมณ์ทั้งปวงที่ผ่านมาทางอายตนะทั้ง ๖ (เครื่องติดต่อ หรือสัมผัสได้ ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ) แล้ว หากตามดูรู้ทันตนเองด้วยสติและความรู้สึกตัว ลงที่ตัวกายและที่ตัวจิตของตนเอง ( สติ เปรียบประดุจยามเฝ้าประตูเมืองแห่งจิต  จับผู้ต้องหาหรือเรียกตัวผู้ต้องสงสัย คือ อารมณ์ต่าง ๆ ที่ผ่านประตูอายตนะใดเข้ามา ให้นายด่านหรือสัมปชัญญะ คือความรู้สึกตัว ตรวจสอบว่า มีอะไรแปลกปลอมซ่อนเร้นมาหรือไม่) จิตจะเห็นสิ่งต่าง ๆ ตามความเป็นจริง และจะสามารถทำหน้าที่เป็นเครื่องมือสำรวจกลไกการทำงานของกายและจิตของตนเองพร้อมกันไปด้วย เห็นชัดใน จิต เจตสิก(เวทนา สัญญา สังขาร คืออารมณ์ของจิต : มานพ  กลับดี) รูป นิพพาน คือ “ปรมัตถธรรม” สามารถเห็นจิตใจของตนเอง เห็นสภาพที่แท้จริงของจิตเองว่าปราศจากอัตตา ไม่มีตัวตนที่แท้จริงแต่อย่างใด หากเป็นเพียงมายาหรือเสมือน Hologram คือภาพลอยลวง หลอกล่ออยู่ ประดุจว่ามีอยู่จริง ซึ่งปุถุชนไม่รู้เท่าทัน หลงติดว่า เป็นอัตตาที่เที่ยงแท้ถาวร และผ่านสุขทุกข์ไว้กับ ตัณหา และ ทิฏฐิ

   ด้วยพระปัญญาญาณซึ่งเป็นผลที่เกิดจากการตามดูรู้ทัน รู้แจ้งเห็นจริงตามความเป็นจริง ไม่ถูกบดบังปรุงแต่งด้วยกิเลส ตัIหา และอุปาทาน พระองค์ทรงเห็นว่าโดยสภาพที่แท้จริงแล้ว มันเป็นเพียงขบวนการทำงานและการประชุมกันของขันธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และความทุกข์ คือ ขันธ์ ๕ แห่งความยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นอัตตาตัวตน เป็นของ ๆ ตนด้วยความที่ไม่ทราบความจริงว่า ขันธ์ ๕ ที่รวมกันอยู่เป็นบุคคลนี้ โดยสภาพที่แท้จริงล้วนปราศจากความเป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา-เขา แต่ละขันธ์ล้วนปราศจากจากอัตตาตัวตน ต่างเป็นเพียงปรากฎการณ์แห่งสภาวธรรมที่เกิดดับอยู่ตลอดเวลาตามกฎพระไตรลักษณ์(สังขารทั้งหลาย ไม่เที่ยง สังขารทั้งหลาย เป็นทุกข์ ธรรมทั้งหลาย เป็นอนัตตา)

ขันธ์ ๕ และอายตนะ ๖

   ระบบขันธ์ ๕ (ได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ซึ่งประกอบกันขึ้นเป็นบุคคลหนึ่ง ๆ) และอายตนะ ๖ (คือเครื่องติดต่อ ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ) เป็นขบวนการทำงานประสานกันระหว่างระบบกายและจิตในการดำรงชีวิต ให้รับทราบข้อมูลที่รับส่งต่อมาจากทางทวารทั้ง ๖ ให้รู้ถึงความหมาย คุณค่าของสภาวธรรมต่าง ๆ ในสิ่งแวดล้อม เป็นเพียงการประชุมเข้ากันของขันธ์ต่าง ๆ เพื่อการดำรงชีวิตโดยธรรมดาตามธรรมชาติ รักษาตนตามสัญชาตญาณในการหาอาหารเลี้ยงชีพ รักษาตนให้พ้นภัยในธรรมชาติต่าง ๆ เป็นต้น ซึ่งโดยธรรมชาติปราศจากอัตตาตัวตนที่เที่ยงแท้ถาวร

   หากไม่เห็นความจริงในสิ่งเหล่านี้ จะหลงติดอยู่ในความยึดมั่นถือมั่น ในสภาวธรรมต่าง ๆ เกิดความเป็นอัตตาตัวตนอย่างรุนแรง ชีวิตนั้นจะเป็นไปด้วยความหลงใหลในตน เต็มไปด้วยความอยาก ตลอดถึงความโลภ ความโกรธ ความอาฆาตแค้นเคือง และความหลงโง่เง่างมงายน้อยเนื้อต่ำใจ ยึดติดในความเป็นตัวตน บางครั้งรุนแรงถึงกับทำร้ายตนเองได้ เพราะไม่รู้เท่าทันความจริงว่า แท้ที่จริงไม่มีอัตตาตัวตน ล้วนแล้วแต่เป็นอนัตตา ปราศจากตัวตน ปัญญาที่เกิดจากการภาวนาวิปัสสนากรรมฐาน จะทำให้หายโง่ จะปล่อยวาง ว่างจากความคิดที่แฝงไว้ด้วยโลภ โกรธ หลง ซึ่งคอยปรุงแต่งจิต ว่างจากอารมณ์ ว่างจากทุกข์

   ความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องต่อกันในระบบอายตนะ ๖ นี้ หลวงปู่ดูลย์  อตุโล ได้เมตตาเน้นให้เห็นความสำคัญและอธิบายไว้ดังนี้

   อเหตุจิต ๓ ประการ

                     ๑.ปัญจทวารวัชนจิต คือ กิริยาจิตที่แฝงอยู่ตามอายตนะ หรือทวารทั้ง ๕ มีดังนี้

                       ตา ไปกระทบกับรูป เกิด จักษุวิญญาณ คือการเห็น จะห้ามไม่ให้ ตา เห็นรูปไม่ได้

                       หู  ไปกระทบเสียง เกิด โสตวิญญาณ คือการได้ยิน จะห้ามไม่ให้ หู ได้ยินเสียงไม่ได้

                       จมูก ไปกระทบกับกลิ่น เกิด  ฆานะวิญญาณ   คือการได้กลิ่น จะห้ามไม่ให้ จมูก รับกลิ่นไม่ได้

                       ลิ้น ไปกระทบกับรส เกิด ชิวหาวิญญาณ คือการได้รส จะห้ามไม่ให้ ลิ้น รับรู้รสไม่ได้

                       กาย ไปกระทบกับโผฏฐัพพะ เกิด กายวิญญาณ คือการสัมผัส จะห้ามไม่ให้ กาย  รับสัมผัสไม่ได้

                       วิญญาณทั้ง ๕ อย่างนี้ เป็นกิริยาที่แฝงอยู่ในกายตามทวาร ทำหน้าที่รับรู้สิ่งต่าง ๆ ที่มากระทบเป็นสภาวะแหธรรมชาติของมัน เป็นอยู่เช่นนั้น ก็แต่ว่า เมื่อจิตอาศัยทวารทั้ง ๕ เพื่อเชื่อมต่อรับรู้เหตุการณ์ภายนอกที่เข้ามากระทบ แล้วส่งไปยังสำนักงานจิตกลาง (อาลยะ) เพื่อรับรู้ เราจะห้ามมิให้เกิดเป็นเช่นนั้น ย่อมกระทำไม่ได้

                       การป้องกันทุกข์ที่จะเกิดจากทวารทั้ง ๕ นั้น เราจะต้องสำรวมอินทรีย์ทั้ง ๕ ไม่เพลิดเพลินในอายตนะเหล่านั้น หากจำเป็นต้องอาศัยอายตนะทั้ง ๕ นั้นประกอบการทางกาย ก็ควรจะกำหนดจิตให้ตั้งอยู่ในจิต เช่นเมื่อเห็นก็สักแต่ว่าเห็น ไม่คิดปรุง ได้ยินก็สักแต่ว่าได้ยิน ไม่คิดปรุง ดังนี้ เป็นต้น (ไม่คิดปรุง หมายความว่า ไม่ให้จิตเอนเอียงไปในความเห็นดี-ชั่ว)
                       ๒.มโนทวารวัชนจิต คือ กิริยาจิตที่แฝงอยู่ที่มโนทวาร มีหน้าที่ผลิตความคิดนึกต่าง ๆ นานา คอยรับหตุการณ์ภายนอกมากระทบ จะดีหรือชั่วก็สะสมเอาไว้ จะห้ามจิตไม่ให้คิดในทุก ๆ กรณีย่อมไม่ได้

                       ก็แต่ว่าเมื่อจิตคิดปรุงไปในเรื่องราวใด ๆ ถึงวัตถุสิ่งของ บุคคลอย่างไรก็ให้กำหนดรู้ว่า จิตคิดถึงเรื่องเหล่านั้น ก็สักแต่ว่าความคิด ไม่ใช่สัตว์ บุคคล เรา เขา ไม่ยึดถือวิจารณ์ความคิดเหล่านั้น

                       ทำความเห็นให้เป็นปกติ ไม่ยึดถือความเห็นใด ๆ ทั้งสิ้น จิตย่อมไม่ไหลตามกระแสอารมณ์เหล่านั้น ไม่เป็นทุกข์


                       ๓.หสิตุปบาท คือ กิริยาที่จิตยิ้มเอง โดยปราศจากเจตนาที่จะยิ้ม หมายความว่า ไม่อยากยิ้มมันก็ยิ้มของมันเอง กิริยาอันนี้เฉพาะเหล่าพระอริยเจ้าเท่านั้น ในสามัญชนไม่มี

                       สำหรับ อเหตุกจิต ข้อ ๑ และ ๒ มีเท่ากันในพระอริยเจ้า และในสามัญชน นักปฏิบัติธรรมทั้งหลาย เมื่อตั้งใจปฏิบัติตนออกจากทุกข์ควรพิจารณา อเหตุกจิต นี้ให้เข้าใจด้วย เพื่อความไม่ผิดพลาดในการบำเพ็ญปฏิบัติธรรม

                       อเหตุกจิต นี้ นักปฏิบัติทั้งหลายควรทำความเข้าใจให้ได้ เพราะถ้าไม่เช่นนั้นแล้ว เราจะพยายามบังคับสังขารไปหมด ซึ่งเป็นอันตรายต่อการปฏิบัติธรรมมาก เพราะความไม่เข้าใจใน อเหตุกจิต ข้อ ๑ และ ๒ นี้เอง

                      อเหตุกจิต ข้อ ๓ เป็นกิริยาที่จิตยิ้มเองโดยปราศจากเจตนาที่จะยิ้ม เกิดในจิตของเหล่าพระอริยเจ้าเท่านั้น ในสามัญชนไม่มี เพราะกิริยาจิตนี้เป็นผลของการเจริญจิตจนอยู่เหนือมายาสังขารได้แล้ว จิตไม่ต้องติดข้องในโลกมายา เพราะความรู้เท่าทันเหตุปัจจัยแห่งการปรุงแต่งได้แล้ว เป็นอิสระด้วยตัวมันเอง

                      พระพุทธองค์ทรงเปรียบเทียบขันธ์ ๕ ไว้ใน เผณปิณฑสูตร ว่า รูป นั้นเปรียบได้กับฟองน้ำ (ซึ่งเปราะ แตกง่าย) , เวทนา นั้นเปรียบได้กับต่อมน้ำ (ดุจน้ำค้างบนใบหญ้าที่เหือดแห้งเมื่อต้องแสงแดด), สัญญา นั้นเปรียบได้กับพยับแดด (เป็นเพียงเงาที่หลอกลวงเสมือนจริงว่ามีน้ำอยู่ข้างหน้า) , สังขาร นั้นเปรียบได้กับต้นกล้วย (มีแต่กาบไม่มีแกน เนื้อในที่แท้จริง) , วิญญาณ นั้นเปรียบได้กับนักมายากล (เล่นกลหลอกลวง ให้เห็นอย่างที่เขาต้องการให้เราเห็น)

                       ทุกอย่างล้วนทรงสภาพอยู่ชั่วขณะ แล้วแตกสลายทำลายไป แต่ละขันธ์ล้วนปราศจากความเป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน  เรา เขา เป็นเพียงการประชุมรวมตัวกันอยู่ ไม่ใช่อัตตาตัวตนที่เที่ยงแท้ถาวร แต่เป็น อนัตตา (ไม่มีตัวตนที่เที่ยงแท้ถาวร) , สุญญตา (เป็นเพียงแต่ความว่าง), อิทัปปัจจยตา (อาสัยเหตุปัจจัยจึงอยู่ได้), ตถตา (ไม่พึงยึดมั่นถือมั่น)

                       แต่ขันธ์ ๕ นี้เองเป็นบ่อเกิดของความยึดมั่นถือมั่น ด้วยปุถุชนต่างปฏิเสธไม่ยอมรับสภาพที่แท้ของมัน ซึ่งคอยแต่จะเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดกาลตามกฎพระไตรลักษณ์ และกลับเห็นอย่างเข้าข้างตนเองไปในทางตรงข้าม ซึ่งต่างไปจากลักษณะความเป็นจริงโดยสิ้นเชิง คือกลับยึดมั่นถือมั่น เห็นผิดไปว่า เที่ยงเป็นสุข และเป็นของตน ดังนั้นจึงเป็นการเห็นที่ถูกย้อมไว้ด้วยการสร้างจินตนาการมโนภาพที่เข้าข้างตนเอง (สัญเจตนา) ขึ้นมาแทนที่ความเป็นจริงที่กำลังประสบอยู่แล้วเฉพาะหน้า ปิดบังความจริงไว้เสีย และกลับเห็นอย่างชนิดที่แฝงไว้ซึ่งความยึดมั่นถือมั่น และเป็นการฝืนธรรมชาติความเป็นจริง

                     การที่จิตไม่ยอมรับความจริง ปฏิเสธความจริงเหล่านี้ สืบเนื่องด้วยความยึดมั่นถือมั่นในอัตตาตัวตน จึงทำให้ทุกข์ด้วยเป็นการฝืนธรรมชาติ และธรรมชาติย่อมไหลต่อเนื่องกันไปตามกฎไตรลักษณ์อย่างไม่หยุดยั้ง ไม่มัวรีรอ และไม่อาจหยุดยั้งให้เป็นไปตามคำวิงวอนของบุคคลใดบุคคลหนึ่งได้ จึงเป็นทุกข์

กฎไตรลักษณ์

สังขาร ทั้งหลาย เป็นอนิจจัง(ไม่เที่ยง)

สังขาร ทั้งหลาย เป็นทุกข์(ทนอยู่ได้ยากทั้งกาย-ใจ)

ธรรม ทั้งหลาย เป็นอนัตตา(ไม่มีตัวไม่มีตน)



การรู้ซื่อ ๆ จากการสร้างความรู้สึกตัวทั่วพร้อมนี่ละ จิตเป็นประภัสสร
เพราะจิตมันจะว่างเปล่า ไม่คิด มันก็ไม่ทุกข์
ทำบ่อย ๆ จนติดเป็นนิสัย
ความโลภ ความโกรธ ความหลง มันจะหายไปเองตามธรรมชาติ
และจิตเป็นประภัสสร ครับ

      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2221 เมื่อ: 06 มิถุนายน 2554, 07:50:54 »


สวัสดีค่ะ คุณน้องเอมอร และชาวซีมะโด่งที่รักทุกท่าน
                       หลายท่านอาจจะตั้งคำถามกับตัวเอง ทำไม? ใบหน้าพี่สิงห์ ดูผ่องใสนัก หุ่นดี(สูง ๑๗๐ เซนติเมตร หนัง ๖๘ กิโลกรัม) พี่สิงห์ก็ขอตอบให้ทราบ ปัจจุบันพี่สิงห์ไม่ได้ทุกข์อะไรเลย หมายความว่า ไม่ใช่ไม่มีทุกข์ ยังมีทุกข์อยู่ แต่พี่สิงห์ ไม่เอาตัวไปจมปรัก หรือตกเป็นทุกข์เสียเอง พี่สิงห์เพียงกำหนดรู้เอาไว้ นี่ละทุกข์ของเรา เราจะต้องแก้ทุกข์นั้นให้หมดสิ้นไปด้วยปัญญา การกระทำของเรา และด้วยความเพียรเท่านั้น                        เมื่อกำหนดทุกข์ได้ รู้ไว้ เราก็ไม่ทุกข์ คือไม่เป็นกังวล ให้พรุ่งพล่านเดือดดาลใจ ด้วยการไม่คิด ขอมีสติ(ระลึกได้)กับอิริยาบถ หรือสิ่งที่ร่างกายกำลังกระทำไม่ว่าจะคิด จะพุด จะทำ ให้มีความรู้สึกตัวทั้วพร้อมเข้าไว้ ความว่างเปล่ามันก็จะบังเกิดขึ้น ความไม่รู้มันก็หายไปเพราะพี่สิงห์รู้(ด้วยการเคลื่อนไหว ร่างกายโดยเฉพาะ การสัมผัสนิ้วโป้งกับทุกนิ้ว ทั้งซ้ายและขวา สร้างความรู้สึกตัว จนเป็นนิสัย) อยู่กับปัจจุบัน ทุกข์มันก็ไม่เกิด ทุกข์มันไม่เกิดเพราะไม่คิด ไม่คิดมันก้ไม่กลุ้ม ไม่วิตก ไม่กังวล ครับ
                        นอกจากนี้ พี่สิงห์

เน้นเรื่องการกิน ระบบ 2:1:1 คือ อัตรา ผัก : ข้าว : โปรตีน กินตรงเวลา กินเสมือนเป็นยา เพื่อรักษาความสมดุลย์ในร่างกาย
ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เดินออกกำลังกายจงกรมมากกว่าหนึ่งชั่วโมงติดต่อกัน รำชิกง โยคะ ทุกวัน
พักผ่อนให้เพียงพอ คือไม่เกินสามทุ่มนอน ตื่นตีห้า
ทำจิตให้ผ่องใส อยู่กับการมีสติรู้สึกตัว ณ ปัจจุบัน(พยายามดูกาย ดูใจ ให้มากไว้ จนเป็นนิสัย)
ถือศีลห้า ศีลแปดทุกวันพระ
สวดมนต์ เจริญสติก่อนนอนทุกวัน
เป็นธุระกับเรื่องของตัวเอง และงานเท่านั้น ไม่สนใจเรื่องภายนอกมากนัก
ทำตัวให้สมถะ อยู่อย่างพอเพียง ไม่ยึดติดกับอะไรทั้งสิ้น
                     
                        มันก็ไม่ทุกข์(เพราะไม่คิด) มีแต่จิตที่ผ่องใส ครับ
                        สวัสดี
      บันทึกการเข้า
too_ploenpit
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2514
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 7,778

เว็บไซต์
« ตอบ #2222 เมื่อ: 06 มิถุนายน 2554, 12:43:39 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 05 มิถุนายน 2554, 14:17:42
ขอเชิญร่วมตอบคำถามทุกท่านครับ

                       เมื่อวันแข่งโบลิ่งที่ผ่านมานั้น หน้าตา ดร.สุริยา ดูเศร้าหมอง จิตไม่ประภัสสร
                       ผมจึงส่งลูกโบลิ่งให้ ดร.สุริยา ถืออยู่ในมือเอาไว้ และให้ ดร.สุริยา ยืนขึ้นให้ตัวตรง เมื่อยืนเสร็จแล้ว ผมให้ ดร.สุริยา เอามือที่ถือลูกโบลิ่งอยู่นั้นคว่่ำมือและปล่อยลูกโบลิ่งให้หลุดออกจากมือของ ดร.สุริยา ลงสู่พื้น อะไรจะเกิดขึ้น ?.......(ปริศนาธรรมทางปัญญา)......... ดร. สุริยา จะเข้าใจในส่ิงที่ผมให้กระทำนั้นไหม? มันหมายความว่าอย่างไร ? ลองช่วยกันตอบแทน ดร.สุริยา หรือ ดร.สุริยา จะตอบเองก็ได้ ดูซิว่าใครสามารถตอบถูกบ้าง แต่มีคนที่สามารถตอบได้ถูกอยู่หนึ่งคน คือ ท่านขุน ๒๘ ครับ
                       ผมลืมไป อาจารย์ถาวร   โชติชื่น และ คุณรุ่งศักดิ์   บุญชู  ก็สมควรที่จะตอบได้ รวมทั้ง ดร.สุริยา  ด้วยครับ


...สวัสดีค่ะ...พี่สิงห์...

...เข้ามาอ่านธรรมะค่ะ...ขอตอบคำถามคือ...ไม่ให้ถือ...ให้ปล่อยวาง...เพราะถ้าถือ...แล้วมันหนักค่ะ...
      บันทึกการเข้า

i love pink, you are pink = i love you
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2223 เมื่อ: 06 มิถุนายน 2554, 20:35:42 »

สวัสดีค่ะ คุณน้องตู่ ที่รัก
                         ขอบคุณมากค่ะ ที่เข้ามาตอบคำถาม พี่สิงห์จะยังไม่เฉลย ยังรอคำตอบจากพวกเราอยู่ครับ ขอให้เรามาลองหาคำตอบให้ ดร.สุริยา กัน ครับ หรือพุดง่ายๆ หาคำตอบให้กับตัวเอง ครับ
                         ราตรีสวัสดิ์ทุกท่านครับ
      บันทึกการเข้า
เอมอร 2515
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu 2515
คณะ: รัฐศาสตร์(นิติศาสตร์)
กระทู้: 4,562

« ตอบ #2224 เมื่อ: 06 มิถุนายน 2554, 20:40:13 »

สวัสดีค่ะ พี่สิงห์
มาตามฟังเฉลยค่ะ
      บันทึกการเข้า
  หน้า: 1 ... 87 88 [89] 90 91 ... 681   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

ทำไมหอพักนิสิตจุฬาจึงเป็นดินแดนมหัศจรรย์            " ไม่ได้เป็นแค่หอให้นอนพัก  แต่เป็นบ้านอบอุ่นรักให้อาศัย  ไม่เป็นแค่ที่ซุกหัวยามหลบภัย  แต่สร้างใจให้เข้มแข็งแกร่งการงาน"  <))))><