26 พฤศจิกายน 2567, 03:49:30
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 83 84 [85] 86 87 ... 681   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: คุย กับ คุณมานพ กลับดี อดีตประธานชมรม ๓ สมัย  (อ่าน 3579956 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 3 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2100 เมื่อ: 18 พฤษภาคม 2554, 20:41:11 »

สวัสดีครับ คุณสมชาย
                        ไว้วันหลังเราสามารถนัดกันใหม่ได้ หรือวันพระไหนที่ตรงกับวันอาทิตย์ ลองไปดูปฏิทิน พี่สิงห์จะพาทุกท่านไปดูวิถีชีวิต การทำบุญตามบ้านนอก ที่บ้านผมและจะพาไปไหว้พระหาของอร่อยกิน ชนิดไปเช้า กลับเย็นหรืออยู่ค้างคืนก็ได้ครับ แล้วแต่พวกเรา ดีกว่าอยู่ที่บ้านครับ
                        สวัสดีครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2101 เมื่อ: 18 พฤษภาคม 2554, 21:05:25 »

ชีวิตที่พอเพียง

                       เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง ลุงไหม พี่ชายพ่อผม แกมีลูกห้าคนผู้หญิงสองชายสาม ผู้หญิงไม่ได้เรียนหนังสือเพราะสมัยนั้นพ่อ-แม่มักไม่นิยิมให้เรียนหนังสือเพราะไม่มีเงินจึงจบเพียงแค่ ป.๔ ลูกชายสามคน คนโตจบจ่าทหารเรือ ส่วนอีกสองคนจบเพียง ป.๔ และ ป.๗ อาชีพรองเป็นหมอทำขวัญนาค เบิกบายศรีงานโกนจุก หรืองานแต่งงาน อาชีพหลักคือสานกระบุง กระจาด กระโด่งขาย และปลุกผักสวนครัวไว้กินเอง นอกจากนี้เนื่องจากลุงไหมเสียงดี จึงทำหน้าที่เป็นเจ้าพิธีสวดมนต์ประจำหมู่บ้าน นับถือศีล ๕ และวันพระนับถือศีล ๘ ไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี ไม่เคยทะเลาะหรือด่ากับใครแม้แต่เมียและลูก เป็นคนอารมภ์ดี ลูกสองคนจะเกเรอย่างไร แกทำใจได้หมด และไม่เคยขอร้องใครทั้งสิ้น ลุงไหมสามารถเลี้ยงครอบครัวได้แบบพอเพียง ถึงแม้รายได้จะน้อย แต่ไม่มีรายจ่ายเลย นอกจากจะต้องซื้อหมู เน้ือ ไก่ ไปทำบุญวันพระเท่านั้น เวลาสานกระบุงท่านจะทบทวนทำขวัญนาคไปด้วย แสดงว่าท่านมีสติ รู้ตัวตลอดเวลา จนเป็นสมาธิ โดยไม่รู้ตัวอยู่กับปัจจุบันทั้งวันเพราะไม่เคยดูหนังดูลิเกตามงานวัดเลย พอเพียงจริงๆ (ถ้ารู้หลักการปฏิบัติธรรมเจริญสติ จะรู้มากกว่านี้)
                        จะว่าไม่รับผิดชอบลูกก็ไม่ใช่ เพราะลุงไหมหาเลี้ยงลูก-เมียคนเดียว นาไม่มีทำ แต่มีข้าวให้ลูกกินสามมื้อแบบพอเพียง ส่วนลูกไม่ยอมเรียนเอง แม้กระทั้งลูกไปไหนไม่รอดก็ต้องมาขอข้าว บ้านแกกิน ไม่เคยว่า เพราะจิตของลูงไหม ตัดปล่อยวางได้ ไม่ข้องเกี่ยวทุกเรื่องที่นอกตัว จึงเป็นวิถีชีวิตที่ ผมรู้ศึกอิจฉา เพราะไม่ทุกข์เลย
                        วาระสุดท้ายตอนป่วยเป็นโรคหัวใจ บอกหลานให้พยุงตัวให้สบายหน่อยขอสวดมนต์เจ็ดตำนาน พอสวดจบก็สิ้นแรง ตายไปแบบมีสติรู้ตัว ไม่ทุกข์ไม่ดิ้นรนเลย ซึ่งผิดกับคนอื่นๆ ที่มีแต่ทุกข์กังวลก่อนตาย
                         การมีสติรู้ตัวทั่วพร้อมตลอดเวลานั้น ไม่มีทุกข์ตัดวางได้ทุกสิ่ง ถึงแม้ไม่รู้วิธีดูกาย-ดูใจตนเอง แต่ก็ไม่มีทุกข์ ถึงมีก็ปล่อยวางได้ ถึงแม้จะไม่มีเงินทอง แต่ลุงไหมก็ไม่เคยมีทุกข์ เพราะผมไม่เห็นแกบ่น ว่า ทะเราะ กับใครเลย อารมณ์ดีตลอดเวลา ไม่เคยทำให้ใครเดือดร้อนทั้งสิ้น ผมเองอยู่ในสภาพดีกว่าลุงไหมมาก ทำไมผมจะอยู่อย่างพอเพียงแบบลุงไหม? ไม่ได้ เพียงแต่ต้องชนะใจตนเอง ปล่อยวางทุกสิ่งให้ได้ ถึงจะเหมือนกับชีวิตของลุงไหม ที่มีแต่ความสุข แม้แต่ตอนตายก็มีสติตายแบบไม่กังวลอะไรเลย
                        ราตรีสวัสดิ์ทุกท่านครับ
      บันทึกการเข้า
lek_adisorn
Hero Cmadong Member
***

ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,595

« ตอบ #2102 เมื่อ: 18 พฤษภาคม 2554, 21:15:47 »

สวัสดีครับพี่สิงห์ เห็นงานทำบุญบ้านพี่ก็ทำให้นึกถึงสมัยเด็กที่นครสวรรค์ครับคล้ายๆกันเลยครับได้บรรยากาศเก่าๆดีครับ

วันที่ 29 ผมน่าจะไปได้ครับ แต่เด็กๆติดงานกันหมดครับ

น้องนะตั้งแต่วันที่ 10 เป็นต้นมาต้องไปคณะตลอดกิจกรรมเยอะจัง ซ้อมเชียร์ลีดเดอร์(จริงๆเขาไม่ชอบเขาบอกว่ามันไม่ใช่ตัวเขา รุ่นพี่อยากให้เป็น)  ซ้อมฟุตบอลและสมัครกีฬาน้องใหม่อีกหลายอย่าง  และเห็นได้เพื่อนทั้งเทพศิรินทร์ สวนกุหลาบ เซนคาร์เบียน เตรียมตั้งวงดนตรีสากลกันแล้ว ผมต้องเตือนให้เขาเบาๆหน่อย
    พรุ่งนี้น้องนะต้องแต่งชุดนิสิตเป็นวันแรก อยู่ๆวันนี้กลับจากซ้อมบอลมา เรียกผม "พี่..พี่จุฬาครับ สอนน้องผูกไทหน่อยครับ" พี่หมอโอภาสเพิ่งแซวเมื่อ 2 วันก่อนว่านิสิตใหม่ผูกไทเป็นหรือยัง เลยเอามาเล่าให้ฟังครับ
      บันทึกการเข้า
ti2521
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,987

« ตอบ #2103 เมื่อ: 18 พฤษภาคม 2554, 22:40:36 »

อ้างถึง
ข้อความของ lek_adisorn เมื่อ 18 พฤษภาคม 2554, 21:15:47
สวัสดีครับพี่สิงห์ เห็นงานทำบุญบ้านพี่ก็ทำให้นึกถึงสมัยเด็กที่นครสวรรค์ครับคล้ายๆกันเลยครับได้บรรยากาศเก่าๆดีครับ

วันที่ 29 ผมน่าจะไปได้ครับ แต่เด็กๆติดงานกันหมดครับ

น้องนะตั้งแต่วันที่ 10 เป็นต้นมาต้องไปคณะตลอดกิจกรรมเยอะจัง ซ้อมเชียร์ลีดเดอร์(จริงๆเขาไม่ชอบเขาบอกว่ามันไม่ใช่ตัวเขา รุ่นพี่อยากให้เป็น)  ซ้อมฟุตบอลและสมัครกีฬาน้องใหม่อีกหลายอย่าง  และเห็นได้เพื่อนทั้งเทพศิรินทร์ สวนกุหลาบ เซนคาร์เบียน เตรียมตั้งวงดนตรีสากลกันแล้ว ผมต้องเตือนให้เขาเบาๆหน่อย
    พรุ่งนี้น้องนะต้องแต่งชุดนิสิตเป็นวันแรก อยู่ๆวันนี้กลับจากซ้อมบอลมา เรียกผม "พี่..พี่จุฬาครับ สอนน้องผูกไทหน่อยครับ" พี่หมอโอภาสเพิ่งแซวเมื่อ 2 วันก่อนว่านิสิตใหม่ผูกไทเป็นหรือยัง เลยเอามาเล่าให้ฟังครับ


.....ขอแสดงความยินดีกับพ่อพี่จุฬา ครับ เล็ก.....
      บันทึกการเข้า

เพื่อซีมะโด่งจุฬาฯ
สำหรับผม
อย่างไรก็ได้
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2104 เมื่อ: 19 พฤษภาคม 2554, 06:38:11 »

สวัสดียามเช้าครับ คุณอดิสร
                        เมื่อวานตอนเย็นขณะขับรถไปประชุมรุ่นที่ เอบีน่ากับท่านผู้ว่า วิเศษ พี่สิงห์ฟังรายการของหมอเมา-เฮียน๊อด ทาง FM99 หมอเมา(ทันตแพทย์พิชัย  ปิตุวงศ์ (จุฬาฯ)) บอกว่าเมื่อเช้านี้เป็นว่าแรกที่ลูกสาวแต่งนิสิตจุฬาฯ เป็นวันแรก พอลูกสาวแต่งชุดนิสิตหญิงเสร็จก็เดินมาที่หมอเมากราบสวัสดีคุณพ่อ และขอพรจากคุณพ่อ(ในฐานะพี่เก่า)เพื่อเริ่มต้นชีวิตในการเรียนที่จุฬาฯ เหมือนกับคุณพ่อ คุณหมอเมาบอกว่า ไม่นึกว่าลูกสาวจะทำอย่างนั้น ด้วยความปรื่มใจ น้ำตาแห่งความรักและความปิติมันไหลออกมาโดยไม่รู้ตัวเลย พอได้สติ ได้ให้พรพร้อมกับแนะนำลูกสาวในการเริ่มต้นการเรียนที่ จุฬาฯ ตามที่ตัวเองประสพมา
                         อดิสร คุณต้องนัดน้องนะ มากินข้าวเย็นกับพี่สิงห์สักวันหนึ่งแล้ว ไปถามเขาอยากกินอะไร ที่จามจุรีสะแควร์ วันจันทร์ อังคาร ที่จะถึงได้ทั้งนั้น พี่สิงห์ต้องแนะนำเขาแล้วละ ก่อนที่จะสาย ถามว่าเขาจะเรียนแย่ไม่ ไม่เลยแต่เกรดจะไม่ดีในเทอมแรก เหมือนกับเหลนพี่สิงห์คนหนึ่งตอนนี้อยู่ปีสองครุศาสตร์ กลางเทอมแรกผลสอบออกมาคะแนนต่ำกว่าครึ่ง จะ Drop หลายวิชา บังเอิญพี่สิงห์ไปสอนพวกเราฝึกโยคะที่บ้านอาจารย์เผ่า จึงตามตัวมาแนะนำเรื่องการเรียน วิธีการเรียน ให้เริ่มต้นใหม่ และได้ให้คุณสุภาณี แนะนำเพิ่มให้ด้วย ปรากฎว่าเขาสามารถค้นพบได้จากการแนะนำ เมื่อ วันรดน้ำดำหัวที่ผ่านมา อาจารย์เพ็ญพรรณ บอกพี่สิงห์ว่า เหลนพี่สิงห์ความประพฤติใช้ได้ เรียนเก่ง(เกือบเอาตัวไม่รอดตอนเริ่มเรียน เพราะเป็นเด็กบ้านนอก จบจากสิงห์บุรี) เวลาพี่สิงห์กลับบ้านไปพบพี่สาว แม่ของเขาดีใจมากที่พี่สิงห์สามารถแน่นนำเหลน จนได้เกรด 3.6 เพราะแม่อยู่บ้านนอกจริงๆ ไม่รู้เรื่องการเรียนใน จุฬาฯ ไม่สามารถแนะนำลูกสาวได้ แต่เป็นคนน้ำใจงามมากในหมู่ญาติมิตร เคยมาคอยทำแผลให้ทั้งพ่อ-แม่ผม เวลาเจ็บป่วย ตอนนี้ก็ยังดูแลกันอยู่เพราะเขาเป็นพยาบาลโรงพยาบาลอินทร์บุรี
                         ลุงสิงห์จึงอยากเลี้ยงน้องนะเพื่อแสดงความยินดี และอยากแนะนำวิธีการเรียน ทำกิจกรรม ให้เขา เพื่อว่าเขาสามารถเรียนได้เกรดสูง ๆ และยังสามารถทำกิจกรรมไปด้วยได้ครับ
                         สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2105 เมื่อ: 19 พฤษภาคม 2554, 06:44:33 »

อ้างถึง
ข้อความของ ti2521 เมื่อ 18 พฤษภาคม 2554, 22:40:36
อ้างถึง
ข้อความของ lek_adisorn เมื่อ 18 พฤษภาคม 2554, 21:15:47
สวัสดีครับพี่สิงห์ เห็นงานทำบุญบ้านพี่ก็ทำให้นึกถึงสมัยเด็กที่นครสวรรค์ครับคล้ายๆกันเลยครับได้บรรยากาศเก่าๆดีครับ

วันที่ 29 ผมน่าจะไปได้ครับ แต่เด็กๆติดงานกันหมดครับ

น้องนะตั้งแต่วันที่ 10 เป็นต้นมาต้องไปคณะตลอดกิจกรรมเยอะจัง ซ้อมเชียร์ลีดเดอร์(จริงๆเขาไม่ชอบเขาบอกว่ามันไม่ใช่ตัวเขา รุ่นพี่อยากให้เป็น)  ซ้อมฟุตบอลและสมัครกีฬาน้องใหม่อีกหลายอย่าง  และเห็นได้เพื่อนทั้งเทพศิรินทร์ สวนกุหลาบ เซนคาร์เบียน เตรียมตั้งวงดนตรีสากลกันแล้ว ผมต้องเตือนให้เขาเบาๆหน่อย
    พรุ่งนี้น้องนะต้องแต่งชุดนิสิตเป็นวันแรก อยู่ๆวันนี้กลับจากซ้อมบอลมา เรียกผม "พี่..พี่จุฬาครับ สอนน้องผูกไทหน่อยครับ" พี่หมอโอภาสเพิ่งแซวเมื่อ 2 วันก่อนว่านิสิตใหม่ผูกไทเป็นหรือยัง เลยเอามาเล่าให้ฟังครับ


.....ขอแสดงความยินดีกับพ่อพี่จุฬา ครับ เล็ก.....

สวัสดีครับ คุณตี๋
                  พี่สิงห์ยังระลึกถึงเสมอ สำหรับอาหารมื้อนั้นเพราะทำให้พวกเราทั้งคณะและฝรั่งที่กำลังหิว รอดตายครับ
                  ว่าง ๆ พี่สิงห์จะขึ้นไปเยี่ยม ที่ลำปาง ครับ
                  ลูกชายเรียนเป็นอย่างไรบ้าง ที่จุฬาฯ วางนถามเขาให้ด้วย ลุงสิงห์เคยแนะนำวิธีเรียน อย่างไรให้บ้าง ?
                  วันรดน้ำดำหัว หลานชาย(เรียนอยู่คณะวิศวฯ อยู่หอพัก) รศ.อ้อมทิพย์(อยู่แม่โจ้) จบจากลำปางเพื่อนลูกชายคุณ เห็นพี่สิงห์ ยังโทรศัพย์ไปรายงาน อาอ้อมทิพย์ เลยว่าเห็นลุงสิงห์ที่หอพัก แต่ยังไม่มีโอกาสแนะนำตัว
                   สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2106 เมื่อ: 19 พฤษภาคม 2554, 06:55:35 »

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่งที่รัก ทุกท่าน
              สองวันมานี้พี่สิงห์ทำ Big Cleaning Day ที่บ้านกับหลานสาว เพราะหลานสาวจะมาอยู่ด้วยเพื่อเรียนต่อแผนกวิชาสาขาปฐมวัยย์ ระดับปริญญาโท ที่คระครุศาสตร์ จุฬาฯ และก็ถึงเวาลที่จะต้องทิ้งหนังสือและสิ่งที่ไม่จำเป็นต่อการดำรงค์ชีวิตของพี่สิงห์แล้ว ตัดได้บ้างแล้ว ทไใจที่จะต้องทิ้งได้แล้ว เพราะไม่ได้ใช้แล้ว ไม่รู้จะเก็บไว้ทำไม โดยเฉพาะ เทป CD เพลง หนังสือ CDรูป อื่นๆอีกมาก ไม่ก่อประโยชน์ทั้งสิ้น รกเปล่าๆ เลยทิ้งหมด เพราะถ้าคัดแยก จะตกอยู่ในวังวลรู้สึกเสียดายขึ้นมา เลยทำใจปล่อยวางทิ้งทั้งหมดดีกว่า จะได้ไม่มีเชื้อแห่งการอาลัย
              วันนี้พี่สิงห์ต้องเดินทางไปทำงานที่นครศรีธรรมราช ครับ
              เช้านี้เลยเอา พระสูตรของพระสังฆปรินายก องค์ที่หก : ปรมาจารย์เว่ยหล่าง มาให้ทุกท่านได้ศึกษาต่อ อย่าลืมนี่เป็นนิกายเซ็น ท่านต้องอ่านด้วยปัญญาของจิตเดิมแท้ แล้วท่านจะ "รู้-เข้าใจ" ด้วยตัวท่านเอง แต่การจำได้นั้นเป็น ความรู้จากการอ่านซึ่งยากแก่การจำ ต้องอ่านหลายๆเที่ยวครับ โชคดีทุกท่านครับ
              สวัสดี
             


พระสูตร ของพระสังฆปรินายก องค์ที่ หก : ปรมาจารย์เว่ยหล่าง

หมวดที่ 8
สำนักฉับพลัน และ สำนักเชื่องช้า
************

หมายเหตุ หมวดที่ 8-10 เป็นคำแปลไทยของประวิทย์ รัตนเรืองศรี โดยได้รับความเห็นชอบ จาก ท่านพุทธทาสแล้ว

ขณะที่พระสังฆนายกพำนักอยู่ที่วัดโปลัมนั้น อาจารย์ชินเชาก็สั่งสอนธรรมอยู่ที่วัดยุกชวน ในเมืองกิ่งหนำ ขณะนั้นสำนักทั้งสอง คือสำนักของท่านเว่ยหล่างซึ่งอยู่ทางใต้ และสำนักของท่านชินเชาซึ่งอยู่ทางเหนือ ต่างก็รุ่งโรจน์ทัดเทียมกัน เนื่องจากสำนักทั้งสองนี้มีชื่อต่างกันคือ "ฉับพลัน"(ฝ่ายใต้) และ "เชื่องช้า"(ฝ่ายเหนือ) จึงเกิดปัญหาขึ้นแก่พุทธศาสนิกชนสมัยนั้นว่า ตนจะเป็นสานุศิษย์สำนักไหนดี
เมื่อเห็นเช่นนั้น พระสังฆนายกจึงกล่าวในที่ประชุมว่า:-

"ในส่วนที่เกี่ยวกับธรรม ย่อมมีเพียงสำนักเดียว ถ้าจะมีต่างสำนักกันขึ้นก็ตรงที่ ผู้สถาปนาสำนักหนึ่งเป็นชาวเมืองเหนือ และผู้สถาปนาอีกสำนักหนึ่งเป็นชาวใต้ แม้มีหลักธรรมอยู่เพียงอย่างเดียว แต่สานุศิษย์บางท่านก็เข้าใจธรรมได้ดีกว่าผู้อื่น เหตุที่มีคำว่า "ฉับพลัน" และ เชื่องช้า" ก็เพราะสานุศิษย์บางคนมีสติปัญญาเฉียบแหลมกว่ากันเท่านั้น สำหรับธรรมแล้วความแตกต่างกันระหว่าง "ฉับพลัน" กับ "เชื่องช้า" ย่อมไม่มี

ทั้งๆที่พระสังฆนายกได้กล่าวไปเช่นนั้น สานุศิษย์ของชินเชาก็ยังกล่าว ตำหนิพระสังฆนายกอยู่เสมอ พวกนี้กล่าวดูหมิ่นท่านว่า เป็นคนไร้การศึกษาไม่อาจดำรงตนให้คู่ควรแก่การเคารพใดๆได้.

ตรงกันข้าม สำหรับชินเชาเองนั้น ท่านยอมรับว่า ท่านมีภูมิปัญญาต่ำกว่าพระสังนายก ยอมรับว่า พระสังฆนายกได้บรรลุปัญญา โดยไม่ต้องมีอาจารย์แนะนำช่วยเหลือ และยังเข้าใจถึงคำสอนของสำนักมหายานอย่างปรุโปร่ง ท่านชินเชายังได้กล่าวเสริมต่อไปอีกว่า "อาจารย์ของเรา พระสังฆนายกองค์ที่ห้า คงไม่มอบจีวร และบาตรแก่ท่านผู้นี้ อย่างปราศจากเหตุผลอันควร เราเสียใจที่เราเองไม่คู่ควรแก่พระบรมราชูปถัมภ์ของพระมหาจักรพรรดิ และเราก็ไม่สามารถเดินทางได้ไกล เพื่อไปรับคำสอนจากท่านผู้นี้ด้วยตนเอง พวกท่านทั้งหลายควรไป เพื่อไต่ถามธรรมจากท่านที่โซกาย"

วันหนึ่ง ชินเชา กล่าวแก่ศิษย์คนหนึ่ง ชื่อ ชีชิง ว่า "เธอเป็นคนรอบรู้และปัญญาเฉียบแหลม ฉันขอให้เธอไปโซกายเพื่อฟังคำสอนที่นั่น เมื่อได้เรียนอะไรแล้ว ขอให้พยายามจำไว้ให้มากที่สุด และกลับมาเล่าให้ฉันฟัง"

ชีชิงได้ไปยังโซกายตามคำสั่งของอาจารย์ตน เขาปะปนเข้าไปกับฝุงชน เพื่อฟังธรรม โดยไม่ได้บอกกล่าวว่าเขามาจากไหน.

พระสังฆนายกกล่าวขึ้นในที่ประชุม "มีคนซ่อนตัวเข้ามาในนี้เพื่อเลียนแบบคำสอนของเรา" ทันใดนั้นชีชิงก็ก้าวออกมาข้างนอก ทำความเคารพพระสังฆนายก และบอกกับท่านว่า เขามาจากสำนักไหน.

พระสังฆนายกถามว่า "ท่านมาจากวัดยุกชวนใช่ไหม? ถ้าอย่างนั้น ท่านต้องเป็นคนสอดแนม"

ชีชิงตอบว่า "เปล่าครับ ข้าพเจ้าไม่ได้เป็นคนสอดแนม"

พระสังฆนายกถามว่า "ทำไมไม่ใช่"

ชีชิงตอบว่า "ถ้าข้าพเจ้าไม่ได้บอกอะไรกับท่าน นั่นสิ ข้าพเจ้าจึงจะเป็นคนสอดแนม แต่นี่ข้าพเจ้าก็ได้บอกกับท่านหมด จึงไม่ใช่"

พระสังฆนายกถามว่า "อาจารย์ของท่าน สอนลูกศิษย์ว่าอย่างไรบ้าง?"

ชีชิงตอบว่า "ท่านอาจารย์สอนให้พวกข้าพเจ้าทำสมาธิในความบริสุทธิ์ ให้นั่งขัดสมาธิอยู่ตลอดเวลา ไม่ให้นอน"

พระสังฆนายกกล่าวว่า "การทำสมาธิ ในความบริสุทธิ์นั้น ไม่แน่วแน่ และไม่ใช่สมาธิ การกักตัวเองให้นั่งสมาธิอยู่ตลอดเวลานั้น ตามหลักแห่งเหตุและผลแล้วไม่เกิดผลดีอะไรขึ้นมา จงฟังโศลกของฉัน:-

คนเป็นย่อมจะนั่ง และไม่นอนตลอดเวลา
ส่วนคนตายนั้น นอนและไม่
สำหรับร่างกายอันเป็นเนื้อหนังของเรานี้
ทำไมเราจะต้องคอยนั่งขัดสมาธิ

เมื่อได้ทำความเคารพพระสังฆนายกอีกเป็นครั้งที่สอง ชีชิงจึงกล่าวว่า "แม้ว่า ข้าพเจ้าจะได้ศึกษาพระพุทธศาสนาจากท่านอาจารย์ชินเชา มาเป็นเวลา 9 ปีแล้ว ข้าพเจ้าก็ยังไม่เคยบรรลุธรรมเลย แต่พอได้ฟังคำพูดของท่านเท่านั้น ดวงจิตของข้าพเจ้าก็สว่างไสว และเนื่องจากปัญหาแห่งการเวียนเกิดโดยไม่จบสิ้น เป็นปัญหาเฉพาะหน้า ฉะนั้นขอท่านได้โปรดเมตตาข้าพเจ้า โดยสั่งสอน ข้าพเจ้าต่อไปด้วย"

พระสังฆนายกกล่าวว่า "ฉันรู้ว่าอาจารย์ของท่าน สอนพวกลูกศิษย์ทาง ศีล สมาธิ และปรัชญา ลองบอกทีซิว่า เขาอธิบายความหมายของคำเหล่านี้ไว้ว่าอย่างไร"

ชิชิงตอบว่า "ตามคำสอนของท่านอาจารย์นั้น การละเว้นจากการกระทำชั่วทั้งปวง เรียกว่า ศีล การปฏิบัติแต่ความดี เรียกว่า ปรัชญา และการชำระจิตของตนให้บริสุทธิ์ เรียกว่า สมาธิ ท่านอาจารย์สอนพวกข้าพเจ้าในแนวนี้แหละครับ ขอท่านได้โปรดให้ข้าพเจ้าได้ทราบหลักการสอนของท่านบ้าง"

พระสังฆนายกกล่าวว่า "ถ้าฉันบอกท่านว่าฉันมีหลักการในเรื่องธรรมสำหรับ สอนผู้อื่นแล้ว ก็เท่ากับว่าฉันหลอกลวงท่าน วิธีที่ฉันสอนลูกศิษย์ของฉัน ก็ปลดปล่อยเขาให้พ้นจากความเป็นทาษของตัวเขาเองด้วยวิธีต่างๆ แล้วแต่จะเห็นควร การเรียกชื่อเป็นอย่างนี้ อย่างนั้น ไม่เกิดอะไรดีขึ้นมา นอกจากเป็นเพียงเครื่องมือที่นำมาใช้แทนเพียงชั่วคราวเท่านั้น ภาวะแห่งการหลุดพ้นนี้ อาจเรียกได้ว่าเป็นสมาธิ วิธีที่อาจารย์ของท่านสอน ศีล สมาธิ และปรัชญา เป็นวิธีที่ดีวิเศษ แต่วิธีของฉันเป็นคนละอย่าง"

ชีชิงถามว่า "มันจะต่างกันได้อย่างไรครับ พระคุณท่าน ในเมื่อศีล สมาธิ และปรัชญา ต่างก็มีอยู่แบบเดียวเท่านั้น?"

พระสังฆนายกตอบว่า "คำสอนของอาจารย์ท่าน ใช้สำหรับสั่งสอนแนะนำสานุศิษย์แห่งสำนักมหายาน ส่วนคำสอนของฉันใช้สำหรับสอนสานุศิษย์แห่งสำนักสูงเลิศ ความจริงนั้นก็อยู่ที่ว่า บางคนรู้แจ้งพระธรรมได้รวดเร็วและลึกซึ้งกว่าผู้อื่น ทั้งนี้ก็เนื่องจากเราตีความหมายในพระธรรมนั้นต่างกัน ท่านคงเคยได้ยินและเคยทราบแล้วว่า คำสอนของฉันเหมือนกับของอาจารย์ของท่านหรือไม่ ในการอธิบายธรรม ฉันไม่เคยเหออกไปจากภาวะที่แท้แห่งจิต ฉันพูดในสิ่งที่ฉันตระหนักรู้ได้ด้วยปัญญาญาณ หากพูดเป็นอย่างอื่นแล้ว ก็แสดงว่า ภาวะที่แท้แห่งจิตของผู้อธิบายยังมืดมัว และแสดงว่า เขาสามารถแตะต้องได้เพียงเปลือกนอกของธรรมเท่านั้น คำสอนที่แท้สำหรับศีล สมาธิ และปรัชญานั้น ควรจะยึดหลักที่ว่า อาการของสิ่งทั้งหลายได้แรงกระตุ้นมาจากภาวะที่แท้แห่งจิต จงฟังโศลกของฉันดังนี้:-

การทำจิตให้เป็นอิสระจากมลทินทั้งปวง คือ ศีลของภาวะที่แท้แห่งจิต
การทำจิตให้เป็นอิสระจากความกระวนกระวายทั้งหลาย คือ สมาธิของภาวะที่แท้แห่งจิต
สิ่งที่ไม่เพิ่มขึ้นหรือลดลง นั้นแหละคือ วัชร (วัชร หมายถึงภาวะที่แท้แห่งจิต)
การมา และการไป เป็นสมาธิในขั้นต่างๆ

เมื่อได้ฟังเช่นนี้ ชีชิงจึงกล่าวขออภัยที่ได้ถามปัญหาโง่ๆออกไป และกล่าวขอบคุณในคำสอนของพระสังฆนายก พร้อมกับกล่าวโศลกต่อไปว่า:-

ความเป็นตัวตนนั้นไม่ใช่อะไร นอกจากเป็นภาพลวง
อันเกิดจากการประชุมกันของขันธ์ห้า
และ ภาพลวงนี้ก็ไม่มีอะไรที่จะเกี่ยวข้องกับความจริงแท้
การยึดมั่นว่า มีตถคาสำหรับเราที่จะยึดหมาย หรือมุ่งไปสู่
 ย่อมเป็นธรรมที่ไม่บริสุทธิ์อย่างหนึ่ง

เมื่อได้กล่าวรับรองโศลกของชีชิงแล้ว พระสังฆนายกจึงกล่าวต่อไปว่า "คำสอนของอาจารย์ท่านในเรื่อง ศีล สมาธิ ปรัชญา นั้นใช้กับคนฉลาดในประมาณด้อย ส่วนของฉันนั้นใช้สำหรับคนฉลาดในประเภทเด่น ใครที่ตระหนักชัดถึงภาวะที่แท้แห่งจิต ก็อาจเลิกใช้ลัทธิเหล่านี้ได้ เช่น โพธิ นิพพาน และวิชาแห่งความหลุดพ้น ผู้ที่ไม่ได้รับมอบหลักธรรมหรือไม่มีหลักธรรมสักอย่างเดียวเท่านั้น ที่สามารถวางหลักเกณฑ์ในธรรมทั้งปวงได้ และผู้ที่เข้าใจความหมายของคำที่ชัดกันเองเหล่านี้เท่านั้น จึงอาจใช้คำเหล่านี้ได้ ผู้ที่ได้ตระหนักชัดถึงภาวะที่แท้แห่งจิตแล้ว ย่อมไม่มีอะไร ที่เห็นว่าแตกต่างกัน ไม่ว่าเขาจะวางหลักเกณฑ์ในธรรมทั้งปวงหรือไม่ก็ตาม เขาย่อมเป็นอิสระที่จะมาหรือไป (เขาอาจอยู่ในโลกนี้หรือจากโลกนี้ไปได้ตามประสงค์) และเป็นอิสระจากอุปสรรคหรือเครื่องข้องทั้งมวล เขาจะปฏิบัติการตามความเหมาะสมกับเหตุ การที่ควรเป็น เขาจะตอบคำถามตามอัธยาศัยของผู้ถาม เพียงแต่ชำเลืองดูเท่านั้น เขาก็จะเข้าใจดีว่า นิรมานกายทั้งหมดเป็นส่วนเดียวกับภาวะที่แท้แห่งจิต เขาบรรลุความเป็นอิสระ อภิญญา และสมาธิ ซึ่งทำให้เขาสามารถช่วยเหลือมนุษย์ชาติอันเป็นงานแสนลำบากได้อย่างง่ายดาย เสมือนกับว่าเป็นการเล่นสนุกของเขา บุคคลเหล่านี้ล้วนเป็นคนที่ได้ตระหนักชัดถึงภาวะที่แท้แห่งจิตมาทั้งนั้น"

ชีชิงถามต่อไปว่า "พวกข้าพเจ้าจะใช้หลักการอะไร สำหรับยกเลิกหลักธรรมทั้งปวง"

พระสังฆนายกตอบว่า "เมื่อภาวะที่แท้แห่งจิตของเราปราศจากมลทิน ปราศจากความโง่ และปราศจากความกระวนกระวาย เมื่อเราตรวจตราภายในจิตของเราด้วยปรัชญาอยู่ทุกขณะโดยไม่ว่างเว้น เมื่อเราไม่ยึดติดอยู่กับสิ่งทั้งหลาย และไม่ยึดติดอยู่กับวัตถุที่ปรากฏ เราก็เป็นอิสระและเสรี เราจะวางหลักเกณฑ์ในธรรมไปทำไม เมื่อเราอาจบรรลุจุดประสงค์ได้โดยไม่มีปัญหา ไม่ว่าเราจะเหลียวซ้ายหรือแลขวา ทั้งนี้ เนื่องจากความพยายามของเราเองที่เราตระหนักชัดถึงภาวะที่แท้แห่งจิต และเนื่องจากตระหนักชัดกับการปฏิบัติธรรมนั้น เป็นสิ่งที่ต้องปฏิบัติพร้อมกันไป ไม่ใช่ค่อยทำค่อยไปทีละขั้น การวางหลักเกณฑ์ในธรรมจึงไม่จำเป็น เพราะธรรมทั้งหลาย ย่อมมีลักษณะเป็นนิพพานอยู่แล้วในเนื้อหา เราจะสามารถไปกำหนดเป็นขีดขั้นได้อย่างไร?"
ชีชิงได้ทำความเคารพ และขอฝากตัวเป็นศิษย์ของพระสังฆนายก ในหน้าที่นั้น เขาได้ปรนนิบัติท่านทั้งกลางวันและกลางคืน

***********

ภิกษุซีไซ เมื่อยังเป็นฆราวาส มีนามว่า จางฮางจง เป็นชาวเมื่องเกียงสี ในวัยหนุ่มเขาชอบการผจญภัย

เนื่องจาก สำนักปฏิบัติธรรมสองสำนักนี้ต่างรุ่งโรจน์ทัดเทียมกัน คือ ท่านเว่ยหล่างแห่งสำนักฝ่ายใต้ และชินเชาสำนักฝ่ายเหนือ พวกสานุศิษย์บางคนที่หัวรุนแรงในทางถือพวกถือคณะ ทั้งๆที่ อาจารย์ทั้งสองเอง ต่างก็มีใจโอนอ่อนผ่อนตามกัน ไม่ได้ยึดถือเป็นเขาเป็นเรา แต่พวกสานุศิษย์เหล่านี้กลับเรียกอาจารย์ของตนนั้น คือท่านชินเชาว่า เป็นพระสังฆนายกที่หก ทั้งๆที่อาจารย์ตนนั้น ไม่มีสิทธิอะไรมากไปกว่าพวกเขาเอง พวกสานุศิษย์สำนักฝ่ายเหนือ ปกติชอบอิจฉาพระสังฆนายก ซึ่งท่านเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์โดยสมบูรณ์ในตำแหน่งนั้น อันใครจะปฏิเสธไม่ได้ เพราะท่านเป็นผู้ได้รับมอบบาตรและจีวร ดังนั้นเพื่อที่จะกำจัดพระสังฆนายกเสีย พวกนี้จึงจ้างจางฮางจง ซึ่งในครั้งนั้นยังเป็นฆราวาส ให้มาฆ่พระสังฆนายกเสีย

ด้วยอำนาจอภิญญา ที่สามารถอ่านกระแสจิตของผู้อื่นได้ พระสังฆนายกจึงทราบแผนการต่างๆ ล่วงหน้า ท่านเตรียมตัวไว้พร้อม ที่จะรับการฆาตกรรมครั้งนี้แล้ว ท่านก็นำเงินสิบตำลึงมาวางไว้ข้างๆ อาสนะ จางฮางจงเมื่อมาถึงวัด ในเย็นวันหนึ่ง ก็ย่องเข้าไปในห้องของพระสังฆนายกเพื่อทำฆาตกรรม พระสังฆนายกจึงยื่นคอออกไปให้ฟันถึงสามครั้ง แต่ฟันไม่เข้า ท่านจึงกล่าวว่า

ดาบที่ตรง ย่อมไม่คด
แต่ดาบคต ย่อมไม่ตรง
ฉันเป็นหนี้ท่าน ก็เพียงเงินเท่านั้น
แต่ชีวิต ฉันไม่ได้เป็นหนี้ท่านเลย

จากฮางจง ตกใจสุดขีด เขาเป็นลมสลบไปเป็นเวลานานจึงฟื้น เขาเสียใจมากและสำนึกผิด จึงอ้อนวอนขอความเมตตาต่อพระสังฆนายก และ ขอบวชทันที พระสังฆนายกมอบเงินสิบตำลึงให้เขา และกล่าวว่า "ท่านอย่าอยู่ที่นี่เลย เพราะลูกศิษย์ของฉันคงจะทำร้ายท่าน ไปเสียก่อน แล้วเวลาอื่นค่อยปลอมตัวมาหาฉันใหม่ ฉันจะดูแลความปลอดภัยให้ท่าน"

เมื่อได้รับคำสั่งเช่นนั้น เขาก็หนีไปในคืนวันนั้น ภายหลังต่อมาได้บวชเป็นพระภิกษุ ครั้นได้รับการอุปสมบทโดยสมบูรณ์แล้ว เขาก็ปฏิบัติตนเป็นพระที่มีความเพียรยิ่ง

วันหนึ่งเมื่อระลึกถึงคำกล่าวของพระสังฆนายกได้ เขาจึงเดินทางรอนแรมมาเป็นระยะทางไกล เพื่อเข้าพบและนมัสการพระสังฆนายก พระสังฆนายกกล่าวว่า "ทำไมจึงได้มาจนล่าช้าเช่นนี้? ฉันคิดถึงท่านตลอดเวลา"

จางกล่าวว่า "เนื่องจากวันนั้น ท่านได้อภัยความผิดของข้าพเจ้าด้วยความเมตตาอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ข้าพเจ้าจึงได้บวชเป็นภิกษุและศึกษาพระพุทธศาสนาเรื่อยมาด้วยความพากเพียร แม้กระนั้น ก็ยังรู้สึกว่ายากที่จะตอบแทนพระคุณท่านได้เพียงพอ นอกจากข้าพเจ้าจะสามารถแสดงความกตัญญูได้ด้วยการเผยแพร่ธรรมเพื่อความหลุดพ้นแก่สามัญสัตว์ทั้งหลายเท่านั้น ในการศึกษามหาปรินิพพานสูตรนั้น ข้าพเจ้าพยายามอ่านอยู่เสมอ แต่ก็ไม่เข้าใจถึงความหมายของคำว่า "ถาวร" และ "ไม่ถาวร" ขอพระคุณท่าน ได้โปรดกรุณาอธิบายย่อๆ ให้ข้าพเจ้าด้วย

พระสังฆนายกตอบว่า "สิ่งที่ไม่ถาวรก็คือธรรมชาติแห่งพุทธะ สิ่งที่ถาวรก็คือจิตใจที่มีลักษณะต่างๆไป ตลอดจนธรรมที่เป็นกุศล และธรรมที่เป็นอกุศลด้วย"

จางกล่าวว่า "ท่านครับ พระคุณท่านอธิบายค้านกับพระสูตรเสียแล้ว"
พระสังฆนายกตอบว่า ฉันไม่กล้าทำเช่นนั้นดอก เพราะฉันได้รับมอบหัวใจแห่งธรรมของสมเด็จพระพุทธองค์"
จางกล่าวว่า "ตามความในพระสูตรนั้น ธรรมชาติแห่งพุทธะย่อมถาวร ส่วนธรรมที่เป็นกุศลและอกุศลทั้งมวลรวมทั้งโพธิจิต (จิตแห่งปัญญา) ไม่ถาวร แต่ท่านกล่าวเป็นอย่างอื่นเช่นนี้ จะไม่เป็นการค้านหรือ? คำอธิบายของท่านยิ่งสร้างความสงสัยและสับสนให้แก่ข้าพเจ้ายิ่งขึ้น"

พระสังฆนายกตอบว่า "ครั้งหนึ่ง ฉันได้ให้ภิกษุณีชื่อวูจุงจอง อ่านมหาปรินิพพานสูตรให้ฉันฟังตลอดทั้งเล่ม เพื่อฉันจะได้อธิบายให้เธอฟังได้ ทุกๆคำพูดและทุกๆความหมายที่ฉันได้อธิบายไปในครั้งนั้น ก็ตรงกับคัมภีร์ทั้งสิ้น และที่ฉันกำลังอธิบายให้ฟังขณะนี้ ก็อย่างเดียวกัน ไม่มีอะไรแตกต่างไปจากคัมภีร์เลย"
จางกล่าวว่า "เนื่องจากปัญญาของข้าพเจ้าทึบ ท่านกรุณาอธิบายอย่างอะเอียดและพิสดาร ให้ข้าพเจ้าฟังด้วย"

พระสังฆนายกกล่าวว่า "ท่านไม่เข้าใจดอกหรือว่า ถ้าธรรมชาติแห่งพุทธะเป็นสิ่งถาวร ก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะมาพูดถึงธรรมที่เป็นกุศลและธรรมที่เป็นอกุศล และตราบจนกระทั้งสิ้นกัลป์ ก็คงไม่มีใครจะปลุกโพธิจิตได้ เพราะฉะนั้น เมื่อฉันพูดว่า ไม่ถาวร ก็ตรงกับสิ่งที่สมเด็จพระพุทธองค์ตรัสว่า ถาวรโดยแท้จริง เช่นเดียวกัน ถ้าธรรมทั้งมวลเป็นสิ่งไม่ถาวร สิ่งต่างๆหรือวัตถุต่างๆ ก็ย่อมมีธรรมชาติของมันเองที่จะเกิดหรือดับ ซึ่งในกรณีเช่นนี้ ย่อมหมายความว่า ภาวะที่แท้แห่งจิตอันเป็นสิ่งที่ถาวรโดยแท้จริงย่อมไม่แผ่ซ่านไปทั่วทุกแห่ง เพราะฉะนั้น เมื่อฉันพูดว่า ถาวร ก็ตรงกับสิ่งที่สมเด็จพระพุทธองค์ตรัสว่า ไม่ถาวร โดยแท้จริง"

เพราะว่า สามัญชนและพวกมิจฉาทิฏฐิ เชื่อในความถาวรที่ผิด คือเชื่อในความเที่ยงแท้ของวิญญาณและโลก ส่วนพวกสาวกก็เข้าใจผิดว่า ความเที่ยงแท้ของนิพพานเป็นสิ่งที่ไม่ถาวร จึงเกิดความเห็นที่กลับกันอยู่แปดประการ เพื่อที่จะชี้ให้เห็นผิดของการมองด้านเดียวเช่นนี้ สมเด็จพระพุทธองค์จึงตรัสสอนให้เข้าใจง่ายๆในมหาปรินิพพานสูตร ซึ่งอธิบายถึงหลักธรรมอันสูงสุดของคำสอนในพระพุทธศาสนา คือความถาวรที่แท้จริง ความสุขที่แท้จริง อัตตะที่แท้จริง และความบริสุทธิ์ที่แท้จริง

การอ่านไปตามตัวหนังสือในพระสูตรโดยไม่รู้เรื่องอะไร ท่านจึงไม่เข้าใจถึงหัวใจแห่งพระสูตร ในการถือเอาว่า สิ่งใดที่แตกทำลายสิ่งนั้นไม่ถาวร และสิ่งใดที่คงทนไม่เปลี่ยนแปลงสิ่งนั้นถาวร ท่านจึงแปลความหมายในคำสอนครั้งสุดท้ายของสมเด็จพระพุทธองค์ผิด คำสอนนี้เป็นคำสอนที่สมบูรณ์ลึกซึ้งและครบถ้วน ท่านอาจอ่านพระสูตรนี้สักพันครั้ง แต่ท่านจะไม่ได้ประโยชน์อะไรจากพระสูตรเลย

ทันใดนั้น จางก็บรรลุธรรมโดยสมบูรณ์ และกล่าวโศลกแก่พระสังฆนายกว่า:-

เพื่อที่จะชี้ข้อผิดแก่ผู้ยึดมั่นใน "ความไม่ถาวร"
สมเด็จพระพุทธองค์ตรัสสอน "ธรรมชาติที่ถาวร"
ผู้ไม่เข้าใจว่า คำสอนนี้เป็นเพียง วิธีการอันชาญฉลาด
ก็เหมือนกับเด็กที่หยิบก้อนกรวด แล้วบอกว่าเป็นเพชร
โดยไม่ต้องใช้ความพยายามใดๆ ในตัวข้าพเจ้าเลย
ธรรมชาติแห่งพุทธะก็ปรากฏอยู่แล้ว
สิ่งนี้ไม่ใช่เนื่องมาจากการบรรลุของข้าพเจ้า

พระสังฆนายกชมเชยว่า "เดี๋ยวนี้ท่านได้ตระหนักชัดโดยตลอดแล้วจากนี้ไปท่านควรได้ชื่อว่า ซีไซ (ผู้ตระหนักชัดโดยตลอด) ซีไซกล่าวขอบคุณพระสังฆนายก และนมัสการจากไป

***********

ชินวุย อายุสามสิบปี เกิดในตระกูลโก แห่งเมืองเช็งยาง เดินทางมาจากวัดยุกชวน เพื่อนมัสการพระสังฆนายก
พระสังฆนายกกล่าวว่า "สหายผู้คงแก่เรียน ท่านคงต้องลำบากมาก ที่เดินทางไกลเช่นนี้ แต่ท่านบอกฉันได้ไหมว่า อะไรเป็นหลักเบื้องต้น? ถ้าท่านบอกได้ ท่านก็รู้จักเจ้าของ ลองพูดมาซิ"
"ความไม่ยึดติด เป็นหลักเบื้องต้น การรู้จักเจ้าของ ก็คือความตระหนักชัด" ชินวุยตอบ
พระสังฆนายกตำหนิว่า "สามเณรนี้พูดเปล่าเปลือย ไม่มีคุณค่าอะไรเลย"
ทันใดนั้น ชินวุยได้ถามพระสังฆนายกว่า "ในการทำสมาธิ พระคุณท่านรู้หรือไม่"
พระสังฆนายก เอาไม้ที่ถือตีชินวุยสามที แล้วถามชินวุยว่า "รู้สึกเจ็บหรือไม่" ชินวุยตอบว่า "เจ็บและไม่เจ็บ" พระสังฆนายกก็ตอบว่า "ฉันรู้และไม่รู้"
ชินวุยถามว่า "เป็นไปได้อย่างไร ที่ท่านรู้และไม่รู้"

พระสังฆนายกตอบว่า "สิ่งที่ฉันรู้และรู้อยู่เสมอ ก็คือความผิดของฉันเอง สิ่งที่ฉันไม่รู้ ก็คือความดี ความชั่ว ความเป็นกุศล และความเป็นอกุศลของผู้อื่น นี่แหละ ฉันจึงรู้และไม่รู้ เอาละ ลองบอกทีซิว่า เจ็บและไม่เจ็บ นั้นท่านหมายถึงอะไร ถ้าท่านไม่เจ็บ ท่านก็ไม่มีความรู้สึกเหมือนท่อนไม้หรือก้อนหินอีกประการหนึ่ง ถ้าท่านรู้สึกเจ็บและเกิดความโกรธหรือความเกลียด ท่านก็อยู่ในฐานะสามัญชน.

คำว่า รู้และไม่รู้ ที่ท่านอ้าง เป็นคำคู่ประเภทตรงข้าม ส่วนคำว่า เจ็บและไม่เจ็บ นั้น เป็นประเภทธรรมซึ่งเกิดขึ้นและดับไป ท่านกล้าหลอกลวงผู้อื่น โดยที่ท่านไม่เคยตระหนักชัดถึงภาวะที่แท้แห่งจิตของท่านเอง"
ชินวุย กล่าวขอขมา และกราบนมัสการขอบคุณในคำสอนของพระสังฆนายก

พระสังฆนายกได้กล่าวต่อไปว่า "ถ้าท่านยังมีความหลงผิด และไม่สามารถตระหนักชัดภาวะที่แท้แห่งจิตได้ ท่านควรขอคำแนะนำจากสหายผู้คงแก่เรียนและใจบุญ เมื่อจิตของท่านสว่างไสวแล้ว ท่านย่อมรู้จักภาวะที่แท้แห่งจิต เมื่อนั้นท่านจะเดินอยู่ในทางที่ถูก ขณะนี้ ท่านยังหลงผิด ไม่รู้จักภาวะที่แท้แห่งจิต แต่ท่านยังกล้าถามฉันว่า รู้จักภาวะที่แท้แห่งจิตหรือไม่ ถ้าฉันรู้ ฉันก็ตระหนักของฉัน และความจริงที่ฉันรู้ก็ไม่อาจช่วยท่านให้พ้นจากความหลงผิดได้ โดยทำนองเดียวกัน ถ้าท่านรู้ ความรู้ของท่านก็ไม่เป็นประโยชน์แก่ฉัน แทนที่จะถามผู้อื่น ทำไมจึงไม่หาด้วยตนเอง ไม่รู้ด้วยตนเองเล่า?"
ชินวุยได้กราบนมัสการพระสังฆนายกอีกร้อยกว่าครั้ง กล่าวคำแสดงความเสียใจและขออภัยพระสังฆนายก จากนั้นมา ชินวุยกลายเป็นผู้ปรนนิบัติพระสังฆนายกอย่างแข็งขัน

วันหนึ่งพระสังฆนายกกล่าวในที่ประชุมว่า "ฉันมีของอย่างหนึ่ง ไม่มีหัว ไม่มีชื่อ ไม่มีข้างหน้า และไม่มีข้างหลัง ใครรู้จักบ้าง?"
ชินวุย ก้าวออกมาข้างนอก และตอบว่า "สิ่งนั้นคือ ที่มาของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย และคือ ที่มาของธรรมชาติแห่งพุทธะของชินวุย"
พระสังฆนายกตำหนิว่า "ฉันได้บอกท่านแล้วว่า ไม่มีชื่อ ไม่มีฉายา ท่านก็ยังเรียกว่าที่มาของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย และที่มาของธรรมชาติแห่งพุทธะ แม้ว่าท่านจะเฝ้าเรียนอยู่แต่ในโรงธรรมต่อไป ท่านก็คงเป็นนักศึกษาประเภทจำเอาความรู้ของผู้อื่นมาทั้งสิ้น (ความรู้จากตำรา และคำสอน ไม่ใช่ความรู้ที่ได้จากปัญญาญาณ)

หลังจากที่พระสังนายกได้เข้าปรินิพพานแล้ว ชินวุยได้เดินทางไปเมืองโลยาง เผยแพร่คำสอนของสำนักฉับพลันออกไปอย่างแพร่หลาย ท่านผู้นี้ได้เขียนนังสือชื่อ "ตำราอย่างง่ายเกี่ยวกับคำสอนทางธยาน" เป็นหนังสือที่แพร่หลายมาก ท่านชินวุยนี้ คนทั่วไปเรียกกันว่า ท่านอาจารย์โฮแช็ก(เป็นชื่อของวัด)

เมื่อเห็นว่า บรรดาสานุศิษย์จากสำนักต่างๆ พากันมารุมล้อมถามปัญหาอย่างมากมาย ซึ่งล้วนแต่เป็นเจตนาอันไม่สุจริตทั้งนั้น พระสังฆนายกจึงกล่าวแก่พวกนั้น ด้วยความสงสารว่า:-

"ผู้เดินทาง ควรกำจัดความคิดทั้งมวลเสีย ความดีก็เช่นเดียวกับความชั่ว สิ่งนี้ย่อมเป็นเพียงหนทางที่เรียกกันว่า "ภาวะที่แท้แห่งจิต" เท่านั้น โดยแท้จริงแล้ว ย่อมไม่อาจเรียกเป็นชื่อใดๆ ได้ "ธรรมชาติอันไม่เป็นของคู่" นี้ คือ "ธรรมชาติที่แท้จริง" และหลักคำสอนทั้งหลาย ก็อาศัยมูลฐานจากสิ่งนี้ คนเราควรจะตระหนักถึงภาวะที่แท้แห่งจิตในทันทีที่เขามาถึง"

เมื่อได้ฟังเช่นนั้น ทุกๆคนที่มารุมล้อมถาม ก็ทำความเคารพและขอฝากตัวเป็นสานุศิษย์ของพระสังฆนายก
      บันทึกการเข้า
อ้อย17
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,908

« ตอบ #2107 เมื่อ: 19 พฤษภาคม 2554, 07:22:13 »

อ้างถึง
ข้อความของ lek_adisorn เมื่อ 18 พฤษภาคม 2554, 21:15:47
สวัสดีครับพี่สิงห์ เห็นงานทำบุญบ้านพี่ก็ทำให้นึกถึงสมัยเด็กที่นครสวรรค์ครับคล้ายๆกันเลยครับได้บรรยากาศเก่าๆดีครับ

วันที่ 29 ผมน่าจะไปได้ครับ แต่เด็กๆติดงานกันหมดครับ

น้องนะตั้งแต่วันที่ 10 เป็นต้นมาต้องไปคณะตลอดกิจกรรมเยอะจัง ซ้อมเชียร์ลีดเดอร์(จริงๆเขาไม่ชอบเขาบอกว่ามันไม่ใช่ตัวเขา รุ่นพี่อยากให้เป็น)  ซ้อมฟุตบอลและสมัครกีฬาน้องใหม่อีกหลายอย่าง  และเห็นได้เพื่อนทั้งเทพศิรินทร์ สวนกุหลาบ เซนคาร์เบียน เตรียมตั้งวงดนตรีสากลกันแล้ว ผมต้องเตือนให้เขาเบาๆหน่อย
    พรุ่งนี้น้องนะต้องแต่งชุดนิสิตเป็นวันแรก อยู่ๆวันนี้กลับจากซ้อมบอลมา เรียกผม "พี่..พี่จุฬาครับ สอนน้องผูกไทหน่อยครับ" พี่หมอโอภาสเพิ่งแซวเมื่อ 2 วันก่อนว่านิสิตใหม่ผูกไทเป็นหรือยัง เลยเอามาเล่าให้ฟังครับ


   น้องเล็ก....ดีใจด้วยอีกครั้ง...สำหรับความสำเร็จเบื้องต้นของน้องนะ....
   เราผ่านการเป็นน้องใหม่ ที่เห่อเหลือเกินกับกิจกรรมต่างๆที่พี่ป้อนให้...จนบางทีหลงระเริง....
   แหะ......พอเกรดออก...จึงจะตั้งสติใหม่...บางคนทัน บางคนไม่ทัน.....เรารู้กันดี....
   แต่มีพ่อแม่ที่ผ่านงานนี้มาแล้วเป็นพี่เลี้ยง...คงไม่หนักหนาหรอก...
   เราไม่มีพี่เลี้ยงยังรอดปลอดภัยมาได้เลยนี่นา....

   ปล....ขอดูรูป นิสิตใหม่หน่อยนะ....น้องเล็ก.....
      บันทึกการเข้า
อ้อย17
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,908

« ตอบ #2108 เมื่อ: 19 พฤษภาคม 2554, 07:23:53 »


    สวัสดีตอนเช้าวันพฤหัสบดี ค่ะ...พี่สิงห์....
      บันทึกการเข้า
ดร.มนตรี
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,540

« ตอบ #2109 เมื่อ: 19 พฤษภาคม 2554, 09:10:43 »

สวัสดีครับพี่สิงห์ ... มาอ่านต่อครับ    ^_^







      บันทึกการเข้า
ดร.มนตรี
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,540

« ตอบ #2110 เมื่อ: 19 พฤษภาคม 2554, 09:11:33 »

ยินดีกับพี่เล็ก ด้วยครับ ^_^

อ้างถึง
ข้อความของ lek_adisorn เมื่อ 18 พฤษภาคม 2554, 21:15:47
สวัสดีครับพี่สิงห์ เห็นงานทำบุญบ้านพี่ก็ทำให้นึกถึงสมัยเด็กที่นครสวรรค์ครับคล้ายๆกันเลยครับได้บรรยากาศเก่าๆดีครับ

วันที่ 29 ผมน่าจะไปได้ครับ แต่เด็กๆติดงานกันหมดครับ

น้องนะตั้งแต่วันที่ 10 เป็นต้นมาต้องไปคณะตลอดกิจกรรมเยอะจัง ซ้อมเชียร์ลีดเดอร์(จริงๆเขาไม่ชอบเขาบอกว่ามันไม่ใช่ตัวเขา รุ่นพี่อยากให้เป็น)  ซ้อมฟุตบอลและสมัครกีฬาน้องใหม่อีกหลายอย่าง  และเห็นได้เพื่อนทั้งเทพศิรินทร์ สวนกุหลาบ เซนคาร์เบียน เตรียมตั้งวงดนตรีสากลกันแล้ว ผมต้องเตือนให้เขาเบาๆหน่อย
    พรุ่งนี้น้องนะต้องแต่งชุดนิสิตเป็นวันแรก อยู่ๆวันนี้กลับจากซ้อมบอลมา เรียกผม "พี่..พี่จุฬาครับ สอนน้องผูกไทหน่อยครับ" พี่หมอโอภาสเพิ่งแซวเมื่อ 2 วันก่อนว่านิสิตใหม่ผูกไทเป็นหรือยัง เลยเอามาเล่าให้ฟังครับ

      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2111 เมื่อ: 19 พฤษภาคม 2554, 09:18:07 »

สวัสดีค่ะ คุณน้องอ้อย ที่รัก

สวัสดีครับ ดร.มนตรี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2112 เมื่อ: 19 พฤษภาคม 2554, 09:40:17 »

เรียนเชิญ ทุกท่านมาร่วมการปฏิบัติธรรม กันครับ

เริ่มแรก

การเริ่มต้นปฏิบัติธรรม ที่แท้จริง?
                       - ไม่ต้องมีครูแนะนำ ไม่ต้องเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อ
                       - ไม่ต้องเชื่อใคร อะไร ทั้งสิ้น
                       - ไม่ต้องมีความรู้เรื่องพุทธศาสนา
                       - ไม่ว่าท่านจะมีสัญชาติ เชื้อชาติ หรือนับถือศาสนาใด ปฏิบัติได้ทั้งสิ้น
                       - ไม่จำเป็นต้องหาสถานที่สงบ หรือไปวัด

ขอให้เริ่มต้นกระทำสิ่งต่างๆ ในชีวิตประจำวัน ทำงาน ทำเรื่องส่วนตัว อื่นๆ......   ด้วยการมีสติ(รู้สึกตัวทั่วพร้อม ทั้งกาย-ใจ)ในสิ่งที่เรากำลังกระทำเท่านั้น คือให้คิดในสิ่งที่กำลังกระทำ ให้มีความรู้สึกตัวอยู่เสมอว่า ขณะนี้เรากำลังทำอะไรอยู่เท่านั้นพอ ไม่คิดในสิ่งที่นอกตัว คือไม่คิดจากสิ่งที่ไม่ได้กระทำจากอิริยาบถ เช่นปล่อยใจลอย
                    
ให้คิดในสิ่งที่กระทำอยู่ เช่น เดินก็ให้รู้สึกตัว นั่งก็ให้รู้สึกตัว ยืนก็ให้รู้สึกตัว นอนก็ให้รู้สึกตัว กินก็ให้รู้สึกตัว แต่งหน้าก็ให้รู้สึกตัว ปลูกต้นไม้ก็ให้รู้สึกตัว ขับรถก็ให้รู้สึกตัว คิดก็ให้รู้ว่าเรากำลังคิดเรื่องอะไรอยู่ ทำงานอะไรก็ให้รู้สึกตัว ทำอื่นๆ........ก็ให้รู้สึกตัว ปฏิบัติเพียงเท่านี้เท่านั้นเอง ง่าย ๆ แต่ทำยาก เพราะ ความไม่เคยชินที่จะต้องรู้สึกตัว เพราะที่ผ่านมาทั้งชีวิต จะทำอะไร ไม่เคยรู้สึกตัวเสียเป็นส่วนใหญ่ ทำไป เดินไป นั่งไป นอนไป แต่ใจไม่รู้สึกตัว ใจไปคิดเรื่องอื่นแทน เป็นต้น

การปฏิบัติธรรม นั้น เป็นการกระทำตรงกันข้ามกับสิ่งที่จิตมันคิด และไม่ปรุงแต่งอารมณ์ หรือความรู้สึกที่ได้รับ ในสิ่งที่สัมผัสได้ทางอายตนะ

สรุป คือ จะทำอะไรด้วยกายก็ดี ด้วยใจก็ดี ขอให้มีความรู้สึกตัว ทั้งกายและใจ เท่านั้นเพียงแค่นี้จริงๆ นี่ละการปฏิบัติธรรมที่แท้จริง

ลืมรูปแบบที่พระท่านเคยสอน หรือตามที่อ่านหนังสือมาไปให้หมด เพราะมันเพียงเป็นรูปแบบที่ไม่จำเป็น หรือจำเป็นได้ทั้งนั้น

ลุงไหม สานกระบุงทุกวันแบบมีสติรู้ตัว ก็ยังมีจิตที่ปล่อยวางทุกสิ่งได้ และเวลาตายก็มีสติ สงบ

ลองปฏิบัติ ให้เป็นนิสสัยประจำตัวเราเลย สักวันมันจะ "รู้" ด้วยตัวเราเอง จริง ๆ

โชคดีครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2113 เมื่อ: 19 พฤษภาคม 2554, 11:30:28 »

การปฏิบัติธรรมที่แท้จริง มันง่ายๆ อย่างนี้ละ

พอเรามีความรู้จิตอยู่กับสิ่งที่เรากำลังกระทำอยู่ จิตมันก็ไม่คิด หรือฟุ้งซ่านไปข้างนอก

ถ้าท่านสามารถคงสภาพ รักษาให้รู้สึกตัวนี้อยู่ตลอดเวลา เป็นสมาธิ เขาเรียกว่าการทำสติปัฏฐาน ที่แท้จริง ละ

แต่เมื่อใดที่เราคิดไปในอนาคต หรือคิดไปในอดีต ขึ้นมานั้น นั่นไม่ใช้แล้ว
 
ท่านต้องนำจิตของท่านกลับมาสู่สิ่งที่กำลังกระทำอยู่ ณ ปัจจุบันให้ได้

ถ้าท่านสามารถกลับมาได้ทัน ไม่เนินนานเกินไป แสดงว่าท่านชักรู้สึกตัวว่า ท่านก็รู้วิธีปฏิบัติธรรมที่แท้จริงแล้ว

คือจะไม่ส่งจิต คิดนอกกายที่กำลังกระทำอยู่ ถ้าส่งออกไปก็กลับมาได้

จำอารมณ์นี้ให้ได้ จะได้เจริญสติปัฏฐาน ได้นานขึ้นๆ

ไม่ต้นสนใจอะไรทั้งสิ้นทำอย่างนี้ละให้เป็นสมาธินานขึ้น ท่านก็ได้ผลของการทำงานที่ดีขึ้นกว่าเดิม
 
ไม่เกิดอุบัติเหตุ ล้มขณะที่ท่านเดิน หยิบของ หรือลืมตน

แรกๆ ท่านจะมีอาการเผลอเกิดขึ้นตลอดเวลา แต่ขอให้ท่านรู้และกลับมาให้ได้ อย่างนี้ละ ไม่ต้องบังคับอะไรมาก

ไม่เพ่ง ไม่เผลอ ท่านก็ทกระทำไปตามนั้น ด้วยรู้สึกตัว

นี่ละคือการปฏิบัติธรรมขั้นแรก ได้ทั้งงาน ได้ทั้งสุขภาพ และความปล่อยวาง มันจะตามมาเองด้วยปัญญาของท่าน
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #2114 เมื่อ: 19 พฤษภาคม 2554, 15:19:54 »

อ้างถึง
ข้อความของ Jiab16 เมื่อ 14 พฤษภาคม 2554, 01:20:02

กำหนดการ การแข่งขันโบว์ลิ่งการกุศล “ ซีมะโด่งสัมพันธ์ 2011 “

วันอาทิตย์ที่  29  พฤษภาคม  2554   ณ  BLU-O  ชั้น 5   สยามพารากอน

8.00 น.    ลงทะเบียน

8.45 น.     พิธีเปิดการแข่งขัน
                 -  ประธานชมรมฯ กล่าวรายงานประธานในพิธี
                 -  ประธานพีธีกล่าวเปิดงาน  /  ตัดริบบิ้น  /  โยนโบว์

9.00 น.     การแข่งขันโบว์ลิ่ง  รอบแรก

10.30 น.    การแข่งขันโบว์ลิ่ง  รอบที่ 2
                  เริ่มรับประทานอาหารกลางวัน และร้องเพลงคาราโอเกะ ตามอัธยาศัย

13.30 น.    พิธีมอบรางวัลการแข่งขัน

14.00 น.    ปิดงาน


ภก.ประทาน 14 เป็นผู้ติดต่อจองสถานที่จัดการแข่งขันโบว์ลิ่ง ได้แจ้งเรื่อง " การอำนวยความสะดวกให้ผู้มาร่วมงาน " ในด้านต่างๆ ดังนี้ค่ะ

การเดินทาง และที่จอดรถ

-  ประตูทางเข้าด้านทิศใต้ ( South Wing ) จะเปิดเวลา 07.30 น. ให้จอดรถยนต์ได้ที่ ชั้น 1 หรือ 2 ของอาคารด้านทิศใต้

-  บัตรจอดรถ นำมาประทับตรา จอดฟรี 6 ชั่วโมงแรก  หลังจากนั้นคิดค่าจอดชั่วโมงละ 50 บาท

-  ถ้าใช้รถไฟฟ้า BTS  ต้องเดินอ้อมมาขึ้นลิฟท์ที่ประตูทางเข้าด้านหลัง  อาคารด้านทิศใต้


กิจกรรมระหว่างการแข่งขัน

-   ผู้เข้าแข่งขันโบว์ลิ่ง ต้องนำถุงเท้ามาเอง  หรือต้องจ่ายค่าเช่าถุงเท้าเอง คู่ละ 40 บาท ( ส่วนค่าเช่ารองเท้า รวมอยู่ในค่าสมัครแข่งขันแล้ว  ไม่ต้องจ่ายเพิ่มต่างหาก )

 -  มีห้องคาราโอเกะไว้บริการ 4 ห้อง  จุได้ห้องละ 10 คน  เริ่มเปิดให้บริการเวลา 10.00 น.

 -  จะมีพริตตี้ 2 ท่าน มาช่วยเป็นพิธีกร ร่วมกับคุณสมเกียรติ 16


อาหาร เครื่องดื่ม ของว่าง

1. จะมีแซนวิช หลากหลายรส ( คุณวิฑิดา 14 เป็นผู้จัดหา ) และกาแฟ ชา โอวัลติน น้ำเต้าหู้ ( คุณนันทิกา 16 เป็นผู้จัดหา )  ไว้บริการผู้ร่วมงาน ตั้งแต่เช้า จนถึงเวลาเริ่มบริการอาหารกลางวัน ( 10.30 น. )

2. มีเครื่องดื่ม Soft Drink ( Coke, Fanta, น้ำเปล่า, น้ำแข็ง ) เสิร์ฟตลอดงาน

3. อาหารกลางวัน เป็นบุฟเฟ่ต์  แบบจานเดียว ( ใช้คูปอง )  เลือกได้ 1 อย่าง จาก ข้าวผัดแฮม, ข้าวกระเพราไก่, ก๋วยเตี๋ยวราดหน้าหมู, ผัดซีอิ๊วหมู


วันอาทิตย์ที่ 29 พฤษภาคม 54 มีกำหนดการดังที่ยกมา หากกลับจากวัดพระนอนไม่ทัน ก็ท่องเที่ยวไหว้พระต่อก็ได้นะครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2115 เมื่อ: 19 พฤษภาคม 2554, 16:29:30 »

สวัสดีครับ คุณเหยง
                       ขอบคุณมากที่แจ้งให้ทราบ ผมขอปรึกษากับทางอาจารย์เผ่าอีกครั้งครับ
                       สำหรับงานแข่งขันโบลิ่ง พี่สิงห์คงไม่ได้ไป เพราะสอบถามคุณทรงเกียรติ แล้วทราบว่าจุดประสงค์เดิมนั้น ต้องการหาเงินเพื่อให้ทุนเป็นค่าหอพักของนิสิต พี่สิงห์ได้ให้ทุนไปแล้วหนึ่งทุน หนึ่งปี 8,000 บาท ไม่มีเงื่อนไขทั้งสิ้น ตามวัตถุประสงค์แล้ว และตอนนี้ทุนที่ต้องการนั้นมีผู้ประสงค์ให้เกือบครบแล้ว คุณทรงเกียรติบอกว่าจัดไม่ให้ขาดทุนก็ O.K. แล้ว และได้คุยในหลายเรื่องที่คุณทรงเกียรติรายงานให้ทราบ  พี่สิงห์ปล่อยวางเพราะส่งไม้พลัดไปแล้ว หมดหน้าที่ ที่จะต้องกระทำแล้ว ขอร่วมเป็นบางโอกาส เท่านั้น ครับ
                       คาราโอเกะ พี่สิงห์ลืมหมดแล้ว ปล่อยวางได้แล้ว ขออยู่อย่างสงบตามประสาผู้สูงอายุ แบบพอเพียง ครับ
                       จึงเรียนให้ทราบ ตามนี้ พี่สิงห์ถึงนครศรีธรรมราชแล้ว ฝนตกก่อนที่พี่สิงห์จะมาถึง และท้องฟ้าปิด ครับ เย็นนี้ พี่สิงห์ต้องออกกำลังกายในห้องยิมชั้นสามของโรงแรมแทนที่ลานเอนกประสงค์ชั้นสาม ครับ
                       สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2116 เมื่อ: 20 พฤษภาคม 2554, 06:04:37 »

สวัสดียามเช้าครับ ชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน
                        ตกลงวันที่ ๒๙ อาจารย์เผ่าต้องอยู่หอพักเพราะจุฬาฯรับน้องใหม่ และมีนิสิตมาพักที่หอพักจำนวนมาก ต้องอยู่ต้อนรับ จึงขแเปลี่ยนแผนเป็นวันอาทิตย์ที่ ๒๒ ที่จะถึงนี้ ถ้าคุณน้องอ้อยมีความประสงค์ที่จะไปด้วย พี่สิงห์จะได้ยืนยันกับทางอาจารย์เผ่า และเรียนเชิยพวกเราไป ไหนๆไปแล้ว เราก้ไปทำบุยเลี้ยงพระเพลกันด้วย ครับออกจากหอพักสักเจ็ดโมงเช้า แวะวัดไชโยก่อน ไปถึงวัดสี่โมงเช้าฟังพระสวดมนต์ ฉันท์เพล ขากลับไปวักประศุกร์(ร.๕ ทรงแวะสมัยเสด็จประพาสต้น มีศาลาไม้สักที่ขึ้นทะเบียนอนุรักษ์ ให้อาจารย์เผ่าชม)แวะวัดประดิษฐ์หลวงพ่อทองคำสุโขทัย ไปวัดหลวงพ่อแพ วัดพระนอนอจักสีรห์ครับ อืนๆ.... เท่าที่มีเวลา
                        ต้องไปออกกำลังกายยามเช้าแล้ว
                        สวัสดี
                        โปรงแกรมทัวร์วัดพระนอน ตำบลทับยา อำเภออินทร์บุรี จังหวัดสิงห์บุรี
                        07:00 น. ล้อหมุนออกจากหอพัก จุฬาฯ
                        10:00 น. เดินทางถึงวัดพระนอน ไหว้หลวงพ่อหิน อาจารย์เผ่า ดูศาลาวัด
                        10:30 น. พระเจริญพระพุทธมนต์
                        11:00 น. พระฉันทร์เพล และพวกเรารับประทานอาหารกลางวัน
                        12:00 น. เรียนเชิญอาจารย์เผ่า  พบกรรมการวัด-ชาวบ้าน เรื่องการซ้อมศาลาวัด
                        13:00 น. ไปไหว้พระ ชมศาลาวัดประศุกร์ วัดหลวงพ่อทองคำสุโขทัย วัดพระนอนจักสีห์ วัดหลวงพ่อแพร เป็นต้น
                        ผมบอกผู้ใหญ่บ้านให้ดู และเอาแม่ครัวที่ดีที่สุดที่ยังทำได้ พี่ทองพูน เป็นแม่ครัว
                                  - ปลาช่อนแม่ลาแท้ เอามาทำต้มยำแบบบ้านนอก
                                  - ขนมจีนน้ำยา(ตามคำขอคุณน้องอ้อย)
                                  - แกงปลาแม่น้ำเจ้าพระยา(ตอนนี้น้ำกำลังขึ้น คือน้ำขุ่นมีปลาแน่นอน)
                                  - น้ำพริกผักสด
                                  - อะไรก็ได้ที่อยากทำแบบบ้านบางพระนอน
                                  - ขนมแบบโบราณ (คงเป็นกะทิรอดช่องแตงไท) มันทำง่ายดี
                        ได้ชวนผู้ที่ไปไว้แล้ว มี อ.เผ่า อ.แจ่มใส อ.พินิจ พี่ติ๋ว อ.เพ็ญพรรณ คุณเป้า หมอโอภาส แววตา อ้อย ทิปปี้ ครับ
                        ถ้ามีมากกว่านี้คงจัดรถสองคัน ใครสนใจโทรศัพท์หาพี่สิงห์ด่วนจี๋ และสามารถขับรถไปสมทบได้ครับ
                        ได้ชวนคุณเหยง ไว้แล้ว ไปทำบุญเพลด้วยกันแล้วไหนๆไปบ้านพี่สิงห์แล้วก็อยากให้ได้ทำบุญและรับประทานอาหารท้องถิ่น
                        ใครมีความประสงค์ต้องการปลาช่อนแดดเดียว ต้องบอกล่วงหน้า แต่ผมสั่งผู้ใหญ่อี๊ดทอดเอาไว้สิบกว่ากิโลให้พวกเรารับประทานและเอากลับบ้าน ครับ (ดร. สุริยา โปรดทราบ ผมให้ไปดู ตามที่พระท่านชอบใช้ คงไม่ผิดศีลข้อที่หนึ่ง)
                        สวัสดี
                        
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2117 เมื่อ: 20 พฤษภาคม 2554, 10:14:22 »

ด่วนที่สุด

โปร.แกรมทัวร์วัดพระนอน สิงห์บุรี

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน
                       ตกลง โปร.แกรมเปลี่ยนเป็น วันอาทิตย์ ๒๒ พฤษภาคม ศกนี้ คืออาทิตย์หน้านี้เอง รถออกจากหอพักนิสิต จุฬาฯ เวลา เจ็ดโมงเช้าตรง ( 07:00 น.) ตอนนี้เท่าที่ยืนยันมาแล้วคือ
                       ๑. มานพ  กลับดี
                       ๒. อาจารย์เผ่า    สุวรรณศักดิ์ศรี
                       ๓. รศ.แจ่มใส     สุวรรณศักดิ์ศรี
                       ๔. รศ.พินิจ        เพิ่มพงศ์พันธ์
                       ๕. พี่จันทร์แจ่ม   เพิ่มพงศ์พันธ์
                       ๖. คุณวิทิดา      ปัทมะวิภาค
                       ๗. คุณแววตา     นีลยนิธิ
                       ๘. คุณอ้อย ๑๗
                       ๙. คุณทิปปี้
                     ๑๐. ดร.กุศล
                     ๑๑. อดิสร (รอยืนยัน)
                     ๑๒. คุณวัฒนา (รอยืนยัน)
                     ๑๓. รศ.ประกายแก้ว (รอยืนยัน)
                     ๑๔. อ.ถาวร (รอยืนยัน)
                     ๑๕. รศ.ญาณิศา (รอยืนยัน)
                     ๑๖. รศ.เพ็ญพรรณ (รอยืนยัน)
                       และอีกสองสามคุณจากคุณทิปปี้ รอยืนยัน ชาวเวบท่านใดสนใจเรียนเชิญครับ กำหนดเส้นตายวันเสาร์เที่ยงครับ เมื่อทราบจำนวนที่แน่นอนแล้ว จะได้จัดการเรื่องรถได้ถูกต้องครับ

                       ไม่มีวัตถุประสงค์อื่นใด นอกจากพาอาจารย์เผ่า ไปดูศาลาวัดพระนอนว่าจะซ่อมแซมได้อย่างไรบ้าง หรือจะต้องทำใหม่ทั้งหลัง ให้พวกเราได้ทำบุญเพล เพราะพวกเราชาวเมืองโอกาสทำบุญมีน้อย ให้พวกเราได้รับประทานอาหารแบบชาวบ้านของดีของบางพระนอน เท่าที่จะจัดหาได้อันรวดเร็ว และหลังจากนั้นก็ไปไหว้พระตามที่พวกเราอยากจะไปเพราะมีเวลาอีกครึ่งวันบ่าย หาโอกาสดีๆ ที่มีข้ออ้างแบบนี้ไม่ง่ายนักครับ

                       ตอนนี้ได้บอกน้องเน๊ะ(ขาวแม่ลาใต้) ให้แกงบอนมาทำบุญกัน ถ้าแกงได้ทัน และให้บอกคุณตั้ง(ศิริชัย)ด้วย
                       เรียนเชิญคุณเหยง ไว้แล้ว
                       พี่สิงห์เตรียมข้าวเอาไว้ให้พวกเราได้ใส่บาตรพระ ส่วนใครจะทำบุญถวายพระ-เณร ตามแต่ศรัทธา
                       ค่าใช้จ่ายอื่นๆ พี่สิงห์จัดการในฐานะเจ้าบ้าน
                       เรียนเชิญครับ แจ้งความประสงค์ที่นี่หรือ 0817000760

โปรงแกรมทัวร์วัดพระนอน ตำบลทับยา อำเภออินทร์บุรี จังหวัดสิงห์บุรี
                        07:00 น. ล้อหมุนออกจากหอพัก จุฬาฯ
                        09:00 น. แวะนมัสการหลวงพ่อทองคำสุโขทัย วัดประดิษฐ์
                        10:00 น. เดินทางถึงวัดพระนอน ไหว้หลวงพ่อหิน อาจารย์เผ่า ดูศาลาวัด
                        10:30 น. พระเจริญพระพุทธมนต์
                        11:00 น. พระฉันทร์เพล และพวกเรารับประทานอาหารกลางวัน
                        12:00 น. เรียนเชิญอาจารย์เผ่า  พบกรรมการวัด-ชาวบ้าน เรื่องการซ้อมศาลาวัด
                        13:00 น. ไปไหว้พระ ชมศาลาวัดประศุกร์  วัดพระนอนจักสีห์ วัดหลวงพ่อแพร เป็นต้น

                        ผมบอกผู้ใหญ่บ้านให้ดู และเอาแม่ครัวที่ดีที่สุดที่ยังทำได้ พี่ทองพูน เป็นแม่ครัว
                                  - ปลาช่อนแม่ลาแท้ เอามาทำต้มยำแบบบ้านนอก
                                  - ขนมจีนน้ำยา(ตามคำขอคุณน้องอ้อย)
                                  - แกงปลาแม่น้ำเจ้าพระยา(ตอนนี้น้ำกำลังขึ้น คือน้ำขุ่นมีปลาแน่นอน)
                                  - น้ำพริกผักสด
                                  - อะไรก็ได้ที่อยากทำแบบบ้านบางพระนอน
                                  - ขนมแบบโบราณ (คงเป็นกะทิรอดช่องแตงไท) มันทำง่ายดี
                         สวัสดีครับ
      บันทึกการเข้า
suriya2513
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,457

« ตอบ #2118 เมื่อ: 20 พฤษภาคม 2554, 10:44:05 »

ต้องขอโทษด้วยจริงๆ ครับ ที่ไปร่วมบุญด้วยไม่ไหว
เพราะรับงานเขียนแบบก่อสร้างเขาไว้จาก 4 สำนักงานสถาปนิก
รวมแล้ว ไม่กล้านับจำนวนอาคารเลย (ค้างอยู่ไม่น่าจะต่ำกว่า 8 อาคาร)
ก็ต้องก้มหน้าทำไปเรื่อยๆ จนกว่าจะหมดกรรมครับ
      บันทึกการเข้า

[โบราณคดี]จุดกำเนิดเริ่มต้นของ cmadong.com by : มานพ กลับดี  คลิ๊ก->
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2119 เมื่อ: 20 พฤษภาคม 2554, 13:23:29 »

อ้างถึง
ข้อความของ suriya2513 เมื่อ 20 พฤษภาคม 2554, 10:44:05
ต้องขอโทษด้วยจริงๆ ครับ ที่ไปร่วมบุญด้วยไม่ไหว
เพราะรับงานเขียนแบบก่อสร้างเขาไว้จาก 4 สำนักงานสถาปนิก
รวมแล้ว ไม่กล้านับจำนวนอาคารเลย (ค้างอยู่ไม่น่าจะต่ำกว่า 8 อาคาร)
ก็ต้องก้มหน้าทำไปเรื่อยๆ จนกว่าจะหมดกรรมครับ

ผมปฏิบัติธรรมอยู่เฉยๆ ไม่มีอะไรทำ ส่งงานที่มันไม่ยากนัก แนะหน่อยอาจจะช่วยได้บ้าง ครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2120 เมื่อ: 20 พฤษภาคม 2554, 13:53:34 »

พระสูตร ของพระสังฆปรินายก องค์ที่ หก : ปรมาจารย์เว่ยหล่าง

หมวดที่ 9
พระบรมราชูปถัมภ์
*************

พระบรมราชโองการของพระมหาจักพรรดินีพระพันปีหลวงเช็คทิน และ พระมหาจักรพรรรดิจุงจุง ประกาศเมื่อวันขึ้น 15 ค่ำ เดือนอ้าย ปีที่ 1 แห่งรัชกาลชินลุง ดังนี้:-

"เนื่องจากข้าพเจ้าทั้งสอง ได้เชิญท่านพระอาจารย์เว่ยออนและท่านพระอาจารย์ชินเชา ให้พำนักอยู่ในพระราชวังเพื่อรับของถวาย ข้าพเจ้าได้ศึกษาทางพุทธยานจากท่านพระอาจารย์ทั้งสองนี้ ทุกโอกาสที่ว่างจากพระราชกรณียกิจ แต่ด้วยความถ่อมตนอย่างบริสุทธิใจ ท่านพระอาจารย์ทั้งสองนี้ได้แนะนำให้ข้าพเจ้าขอคำแนะนำจากท่านพระอาจารย์เว่ยหล่าง แห่งสำนักใต้ ซึ่งเป็นผู้ได้รับเลือกสำหรับรับมอบพระธรรมและบาตรจีวรจากพระสังฆนายกที่ห้า เช่นเดียวกับได้รับหัวใจแห่งธรรมของสมเด็จพระพุทธองค์

พร้อมนี้ ข้าพเจ้าทั้งสองได้ส่งขันที ซิตกัน เป็นผู้ถือพระบรมราชโองการมานิมนต์พระคุณท่านไปเมืองหลวง และมั่นใจว่า พระคุณท่านคงเมตตาอนุเคราะห์ข้าพเจ้าทั้งสอง ด้วยการไปเยี่ยมเมืองหลวงโดยด่วน ฯลฯ

เนื่องจากสุขภาพไม่สมบูรณ์ พระสังฆนายกได้ตอบปฏิเสธการนิมนต์พระมหาจักรพรรดิ และขอพระบรมราชานุญาตที่จะใช้ชีวิตอยู่ในป่า.

เมื่อเข้าไปนมัสการสนทนากับพระสังฆนายก ซิตกัน ได้กล่าวว่า "บรรดาผู้เชี่ยวชาญทางธยานในเมืองหลวง ต่างได้แนะนำประชาชนเป็นอย่างเดียวกัน ให้นั่งขัดสมาธิเข้าสมาธิ ท่านเหล่านั้นบอกว่า เป็นทางเดียวเท่านั้น ที่ตระหนักชัดถึงหลักธรรมได้ ขอให้ข้าพเจ้าได้ทราบถึงแนวคำสอนของพระพุทธคุณท่านบ้างได้ไหมครับ?"

"หลักธรรมนั้น จะตระหนักชัดได้ด้วยจิต" พระสังฆนายกตอบ "และไม่ได้ขึ้นอยู่กับการนั่งขัดสมาธิ" ในวัชรัจเฉทิกสูตรกล่าวว่า เป็นการผิด ที่ใครๆจะยืนยันว่า ตถาคตมาหรือไปและนั่งหรือนอน เพราะเหตุใดหรือ? เพราะว่า สมาธิแห่งความบริสุทธิ์ ของตถาคต ไม่ได้หมายความว่า มาจากแห่งใดหรือไปที่แห่งใด ไม่ได้หมายความว่ามีการเกิดหรือการตับ ธรรมทั้งหลายย่อมสงบและว่างเปล่า โดยทำนองเดียวกัน บัลลังก์แห่งความบริสุทธิ์ของตถาคตก็เป็นเช่นนั้น พูดอย่างตรงๆแล้ว ไม่มีแม้แต่สิ่งเหล่านี้ที่จะบรรลุได้ ด้วยเหตุนี้ทำไมเราจะต้องทรมานตัวเอง ด้วยการนั่งขัดสมาธิ?"

ซิตกันกล่าวว่า "เมื่อเดินทางกลับ พระมหาจักรพรรดิทั้งสองต้องให้ข้าพเจ้ากราบทูลรายงานเป็นแน่ พระคุณท่านจะโปรดกรุณาให้คำเตือน ที่เป็นหลักสำคัญในการสอนของพระคุณท่านแก่ข้าพเจ้าบ้างได้ไหมครับ? เพื่อข้าพเจ้าจะได้สามารถกราบทูลให้พระมหาจักรพรรดิทรงทราบ และยังจะได้ชี้แจงแก่พุทธศาสนิกชนทั่วไปในเมืองหลวงอีกด้วย เสมือนกับว่าแสงเพลิงจากประทีปดวงหนึ่งที่อาจจุดต่อให้แก่ประทีปอื่นๆ อีกหลายร้อยหลายพันดวง บรรดาคนโง่ทั้งหลายจะได้เกิดปัญญา และแสงสว่างย่อมก่อให้เกิดแสงสว่าง ต่อไปโดยไม่สิ้นสุด"

พระสังฆนายกตอบว่า "หลักธรรมนั้นไม่ได้หมายถึงแสงสว่างหรือความมืด แสงสว่างและความมืดนั้น หมายถึงความคิดที่อาจสับเปลี่ยนกันได้ ฉะนั้นการกล่าวว่า แสงสว่างก่อให้เกิดแสงสว่างต่อไปไม่สิ้นสุด จึงผิด เพราะว่ามันมีความจบสิ้น เนื่องจากความสว่างและความมืดเป็นคำคู่ตรงข้าม ในวิมลกีรตินิเทศสูตร กล่าวว่า หลักธรรมนั้นไม่มีข้ออุปมา เพราะว่าไมใช่เป็นคำที่อาจเทียบเคียงกันได้"

ซิตกันแย้งว่า "แสงสว่างหมายถึงปัญญา และความมืดก็หมายถึงกิเลส ถ้าผู้เดินทางไม่ได้ทำลายกิเลส ด้วยอำนาจแห่งปัญญาแล้ว เขาจะพาตัวให้หลุดพ้นจากสังสารวัฏอันไม่มีเบื้องต้นได้อย่างไร?"

พระสังฆนายกตอบว่า "กิเลสคือโพธิ สองอย่างนี้เหมือนกัน ไม่ต่างกัน การทำลายกิเลสด้วยปัญญา เป็นคำสอนของสำนักสาวกภูมิและสำนักปัจเจกพุทธภูมิ ซึ่งสานุศิษย์ของสำนักเหล่านั้น ใช้ยานเทียมด้วยแพะและใช้ยานเทียมด้วยกวาง สำหรับผู้มีความเฉียบแหลมและปัญญาสูง คำสอนดังกล่าวคงจะไร้ประโยชน์ทั้งสิ้น"

ซิตกันถามว่า "ถ้ากระนั้น คำสอนของสำนักมหายานได้แก่อะไร?"

พระสังฆนายกตอบว่า "ในทรรศนะของสามัญชน ปัญญาและอวิชชาเป็นของสองสิ่งแยกจากัน ส่วนคนฉลาด ผู้ได้ตระหนักชัดถึงภาวะที่แท้จริงแห่งจิต โดย ย่อมรู้ว่าสิ่งเหล่านี้มีธรรมชาติเป็นอย่างเดียวกัน ธรรมชาติอันเป็นอย่างเดียวกัน หรือธรรมชาติอันเป็นของคู่นี้ คือสิ่งที่เรียกว่า ธรรมชาติที่แท้จริง ซึ่งในกรณีของสามัญชนและคนโง่ก็ไม่ได้มีน้อยลง และในกรณีของปราชญ์ผู้บรรลุความรู้แจ้งแล้วก็ไม่ได้มีมากขึ้น เป็นสิ่งที่ไมได้ไหวสะเทือนในสภาพทีมีความวุ่นวาย และก็ไม่ได้สงบนิ่งในสภาพที่มีสมาธิ ไม่ใช่เป็นสิ่งถาวร และก็ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ไม่ถาวร ไม่ได้ไปหรือไม่ได้มา ไม่อาจพบได้จากภายนอก และก็ไม่อาจพบได้จากภายใน หรือไม่อาจพบได้ในอวกาศ ซึ่งอยู่ในระหว่างสิ่งทั้งสองนี้ เป็นสิ่งที่อยู่เหนือความมีอยู่และความไม่มีอยู่ เป็นสิ่งที่มีธรรมชาติและปรากฏการณ์อยู่ในสภาพ ความเป็นเช่นนั้น ตลอดไป เป็นสิ่งที่ถาวรและไม่เปลี่ยนแปลง สิ่งนี้แหละคือหลักธรรม"

ซิตกันถามว่า "ท่านกล่าวว่า เป็นสิ่งที่มีอยู่เหนือความมีอยู่ และความไม่มีอยู่ ถ้าเช่นนั้นท่านจะอ้างว่า ต่างกับคำสอนของพวกมิจฉาทิฏฐิ ซึ่งสอนอย่างเดียวกันนี้ได้อย่างไร?"

พระสังฆนายกตอบว่า "ในคำสอนพวกมิจฉาทิฏฐิ คำว่า ไม่มีอยู่" หมายถึงการสิ้นสุดของคำว่า "มีอยู่" ส่วนคำว่า "มีอยู่" ก็ใช้เปรียบเทียบในทางตรงกันข้ามกับคำว่า "ไม่มีอยู่" สิ่งที่เขาหมายถึงความไม่มีอยู่ ไม่ใช่หมายถึงการทำลายล้างโดยแท้จริง และสิ่งที่เขาเรียกว่า "มีอยู่" ก็ไม่ได้หมายถึงความมีอยู่อย่างแท้จริง สิ่งที่ฉันหมายถึงเหนือความมีอยู่และความไม่มีอยู่ ก็คือโดยเนื้อแท้แล้วย่อมไม่มีอยู่ แต่ในปัจจุบันขณะก็ไม่ได้ถูกทำลายล้างไป นี่แหละเป็นความต่างกัน ระหว่างคำสอนของฉันคับคำสอนของพวกมิจฉาทิฏฐิ.

ถ้าท่านปรารถนาจะทราบถึงประเด็นสำคัญในคำสอนของฉัน ท่านควรสลัดตัวของท่าน ให้ปลอดจากความคิดทั้งปวง ไม่ว่าดีหรือเลว เมื่อนั้น จิตของท่านจะอยู่ในภาวะอันบริสุทธิ์ สงบ และสันติตลอดเวลา ทั้งคุณประโยชนที่จะได้รับจากการนี้ ก็มีมากมายหลายเท่าดุจเมล็ดทรายในแม่น้ำคงคา."

คำสอนของพระสังฆนายก ทำให้ซิตกันบรรลุธรรมโดยสมบูรณ์ในทันใดเขากราบนมัสการและอำลาพระสังฆนายกกลับเมืองหลวง เมื่อถึงพระราชวังแล้วก็กราบทูลรายงานต่อพระมหาจักรพรรดิ ตามที่พระสังฆนายกได้กล่าว

ครั้นถึงวันขึ้นสามค่ำเดือนเก้า ปีเดียวกันนั้น พระมหาจักรพรรดิมีพระบรมราชโองการ ประกาศชมเชยพระสังฆนายกตามความดังนี้:-

"ด้วยเหตุชราภาพและสุขภาพไม่สมบูรณ์ พระสังฆนายกได้ปฏิเสธการนิมนต์มาเมืองหลวง ท่านขอสละชีวิตปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนา เพื่อคุณประโยชน์ของพวกเรา ท่านเป็นเนื้อนาบุญแห่งชาติโดยแท้จริง ท่านได้ปฏิบัติตามอย่างท่านวิมลกีรติ ซึ่งพักฟื้นอยู่ในเมืองไวสาลี ทำการเผยแพร่คำสอนของมหายานให้ไพศาล ด้วยการถ่ายทอดหลักธรรมของสำนักธยานและด้วยการอธิบายหลักธรรมแห่งการไม่เป็นของคู่

จากการถ่ายทอดธรรมของซิตกัน ผู้ซึ่งได้รับส่วนแบ่งในความรู้ทางพุทธะจากสังฆนายก ข้าพเจ้าทั้งสองจึงได้มีโอกาสเข้าใจถึงคำสอนชั้นสูงของพระพุทธศาสนา นี่จะต้องเนื่องมาจากกุศลและรากเหง้าแห่งความดี ที่ข้าพเจ้าได้สร้างสมมาแต่ชาติปางก่อน มิฉะนั้นแล้ว ข้าพเจ้าก็คงไม่ได้เกิดมาทันพระคุณท่าน.

ในการน้อมสักการะต่อพระคุณของพระสังฆนายก ข้าพเจ้าสุดวิสัยที่จะกล่าวคำใดๆ ให้ทัดเทียมได้ ฉะนั้น เพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งความคารวะอันสูงที่มีต่อพระคุณท่าน ข้าพเจ้าทั้งสอง ขอถวายจีวรโลมาและบาตรผลึกมาพร้อมนี้ และโดยคำสั่งนี้ ให้เป็นหน้าที่ของข้าหลวงชิวเจา ที่จะปฏิสังขรณ์พระอารามของพระคุณท่าน และดัดแปลงบ้านเดิมของพระคุณท่าน ให้เป็นวิหารทั้งให้ชื่อว่า กว็อกเยน(นาบุญแห่งรัฐ)
ในพระปรมาภิไธย......ฯลฯ

      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2121 เมื่อ: 20 พฤษภาคม 2554, 13:55:07 »

ด่วนที่สุด

โปร.แกรมทัวร์วัดพระนอน สิงห์บุรี


สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน
                       ตกลง โปร.แกรมเปลี่ยนเป็น วันอาทิตย์ ๒๒ พฤษภาคม ศกนี้ คืออาทิตย์หน้านี้เอง รถออกจากหอพักนิสิต จุฬาฯ เวลา เจ็ดโมงเช้าตรง ( 07:00 น.) ตอนนี้เท่าที่ยืนยันมาแล้วคือ
                       ๑. มานพ  กลับดี
                       ๒. อาจารย์เผ่า    สุวรรณศักดิ์ศรี
                       ๓. รศ.แจ่มใส     สุวรรณศักดิ์ศรี
                       ๔. รศ.พินิจ        เพิ่มพงศ์พันธ์
                       ๕. พี่จันทร์แจ่ม   เพิ่มพงศ์พันธ์
                       ๖. คุณวิทิดา      ปัทมะวิภาค
                       ๗. คุณแววตา     นีลยนิธิ
                       ๘. คุณอ้อย ๑๗
                       ๙. คุณทิปปี้
                     ๑๐. ดร.กุศล
                     ๑๑. อดิสร (รอยืนยัน)
                     ๑๒. คุณวัฒนา (รอยืนยัน)
                     ๑๓. รศ.ประกายแก้ว (รอยืนยัน)
                     ๑๔. อ.ถาวร (รอยืนยัน)
                     ๑๕. รศ.ญาณิศา (รอยืนยัน)
                     ๑๖. รศ.เพ็ญพรรณ (รอยืนยัน)
                       และอีกสองสามคุณจากคุณทิปปี้ รอยืนยัน ชาวเวบท่านใดสนใจเรียนเชิญครับ กำหนดเส้นตายวันเสาร์เที่ยงครับ เมื่อทราบจำนวนที่แน่นอนแล้ว จะได้จัดการเรื่องรถได้ถูกต้องครับ

                       ไม่มีวัตถุประสงค์อื่นใด นอกจากพาอาจารย์เผ่า ไปดูศาลาวัดพระนอนว่าจะซ่อมแซมได้อย่างไรบ้าง หรือจะต้องทำใหม่ทั้งหลัง ให้พวกเราได้ทำบุญเพล เพราะพวกเราชาวเมืองโอกาสทำบุญมีน้อย ให้พวกเราได้รับประทานอาหารแบบชาวบ้านของดีของบางพระนอน เท่าที่จะจัดหาได้อันรวดเร็ว และหลังจากนั้นก็ไปไหว้พระตามที่พวกเราอยากจะไปเพราะมีเวลาอีกครึ่งวันบ่าย หาโอกาสดีๆ ที่มีข้ออ้างแบบนี้ไม่ง่ายนักครับ

                       ตอนนี้ได้บอกน้องเน๊ะ(ขาวแม่ลาใต้) ให้แกงบอนมาทำบุญกัน ถ้าแกงได้ทัน และให้บอกคุณตั้ง(ศิริชัย)ด้วย
                       เรียนเชิญคุณเหยง ไว้แล้ว
                       พี่สิงห์เตรียมข้าวเอาไว้ให้พวกเราได้ใส่บาตรพระ ส่วนใครจะทำบุญถวายพระ-เณร ตามแต่ศรัทธา
                       ค่าใช้จ่ายอื่นๆ พี่สิงห์จัดการในฐานะเจ้าบ้าน
                       เรียนเชิญครับ แจ้งความประสงค์ที่นี่หรือ 0817000760

โปรงแกรมทัวร์วัดพระนอน ตำบลทับยา อำเภออินทร์บุรี จังหวัดสิงห์บุรี
                        07:00 น. ล้อหมุนออกจากหอพัก จุฬาฯ
                        09:00 น. แวะนมัสการหลวงพ่อทองคำสุโขทัย วัดประดิษฐ์
                        10:00 น. เดินทางถึงวัดพระนอน ไหว้หลวงพ่อหิน อาจารย์เผ่า ดูศาลาวัด
                        10:30 น. พระเจริญพระพุทธมนต์
                        11:00 น. พระฉันทร์เพล และพวกเรารับประทานอาหารกลางวัน
                        12:00 น. เรียนเชิญอาจารย์เผ่า  พบกรรมการวัด-ชาวบ้าน เรื่องการซ้อมศาลาวัด
                        13:00 น. ไปไหว้พระ ชมศาลาวัดประศุกร์  วัดพระนอนจักสีห์ วัดหลวงพ่อแพร เป็นต้น

                        ผมบอกผู้ใหญ่บ้านให้ดู และเอาแม่ครัวที่ดีที่สุดที่ยังทำได้ พี่ทองพูน เป็นแม่ครัว
                                  - ปลาช่อนแม่ลาแท้ เอามาทำต้มยำแบบบ้านนอก
                                  - ขนมจีนน้ำยา(ตามคำขอคุณน้องอ้อย)
                                  - แกงปลาแม่น้ำเจ้าพระยา(ตอนนี้น้ำกำลังขึ้น คือน้ำขุ่นมีปลาแน่นอน)
                                  - น้ำพริกผักสด
                                  - อะไรก็ได้ที่อยากทำแบบบ้านบางพระนอน
                                  - ขนมแบบโบราณ (คงเป็นกะทิรอดช่องแตงไท) มันทำง่ายดี
                         สวัสดีครับ



ข้อความเมื่อ: วันนี้ เวลา 06:04:37
ข้อความโดย: Manop Klabdee



ใส่การอ้างถึงคำพูด

สวัสดียามเช้าครับ ชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน
                        ตกลงวันที่ ๒๙ อาจารย์เผ่าต้องอยู่หอพักเพราะจุฬาฯรับน้องใหม่ และมีนิสิตมาพักที่หอพักจำนวนมาก ต้องอยู่ต้อนรับ จึงขแเปลี่ยนแผนเป็นวันอาทิตย์ที่ ๒๒ ที่จะถึงนี้ ถ้าคุณน้องอ้อยมีความประสงค์ที่จะไปด้วย พี่สิงห์จะได้ยืนยันกับทางอาจารย์เผ่า และเรียนเชิยพวกเราไป ไหนๆไปแล้ว เราก้ไปทำบุยเลี้ยงพระเพลกันด้วย ครับออกจากหอพักสักเจ็ดโมงเช้า แวะวัดไชโยก่อน ไปถึงวัดสี่โมงเช้าฟังพระสวดมนต์ ฉันท์เพล ขากลับไปวักประศุกร์(ร.๕ ทรงแวะสมัยเสด็จประพาสต้น มีศาลาไม้สักที่ขึ้นทะเบียนอนุรักษ์ ให้อาจารย์เผ่าชม)แวะวัดประดิษฐ์หลวงพ่อทองคำสุโขทัย ไปวัดหลวงพ่อแพ วัดพระนอนอจักสีรห์ครับ อืนๆ.... เท่าที่มีเวลา
                        ต้องไปออกกำลังกายยามเช้าแล้ว
                        สวัสดี
                        โปรงแกรมทัวร์วัดพระนอน ตำบลทับยา อำเภออินทร์บุรี จังหวัดสิงห์บุรี
                        07:00 น. ล้อหมุนออกจากหอพัก จุฬาฯ
                        10:00 น. เดินทางถึงวัดพระนอน ไหว้หลวงพ่อหิน อาจารย์เผ่า ดูศาลาวัด
                        10:30 น. พระเจริญพระพุทธมนต์
                        11:00 น. พระฉันทร์เพล และพวกเรารับประทานอาหารกลางวัน
                        12:00 น. เรียนเชิญอาจารย์เผ่า  พบกรรมการวัด-ชาวบ้าน เรื่องการซ้อมศาลาวัด
                        13:00 น. ไปไหว้พระ ชมศาลาวัดประศุกร์ วัดหลวงพ่อทองคำสุโขทัย วัดพระนอนจักสีห์ วัดหลวงพ่อแพร เป็นต้น
                        ผมบอกผู้ใหญ่บ้านให้ดู และเอาแม่ครัวที่ดีที่สุดที่ยังทำได้ พี่ทองพูน เป็นแม่ครัว
                                  - ปลาช่อนแม่ลาแท้ เอามาทำต้มยำแบบบ้านนอก
                                  - ขนมจีนน้ำยา(ตามคำขอคุณน้องอ้อย)
                                  - แกงปลาแม่น้ำเจ้าพระยา(ตอนนี้น้ำกำลังขึ้น คือน้ำขุ่นมีปลาแน่นอน)
                                  - น้ำพริกผักสด
                                  - อะไรก็ได้ที่อยากทำแบบบ้านบางพระนอน
                                  - ขนมแบบโบราณ (คงเป็นกะทิรอดช่องแตงไท) มันทำง่ายดี
                        ได้ชวนผู้ที่ไปไว้แล้ว มี อ.เผ่า อ.แจ่มใส อ.พินิจ พี่ติ๋ว อ.เพ็ญพรรณ คุณเป้า หมอโอภาส แววตา อ้อย ทิปปี้ ครับ
                        ถ้ามีมากกว่านี้คงจัดรถสองคัน ใครสนใจโทรศัพท์หาพี่สิงห์ด่วนจี๋ และสามารถขับรถไปสมทบได้ครับ
                        ได้ชวนคุณเหยง ไว้แล้ว ไปทำบุญเพลด้วยกันแล้วไหนๆไปบ้านพี่สิงห์แล้วก็อยากให้ได้ทำบุญและรับประทานอาหารท้องถิ่น
                        ใครมีความประสงค์ต้องการปลาช่อนแดดเดียว ต้องบอกล่วงหน้า แต่ผมสั่งผู้ใหญ่อี๊ดทอดเอาไว้สิบกว่ากิโลให้พวกเรารับประทานและเอากลับบ้าน ครับ (ดร. สุริยา โปรดทราบ ผมให้ไปดู ตามที่พระท่านชอบใช้ คงไม่ผิดศีลข้อที่หนึ่ง)
                        สวัสดี
 
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #2122 เมื่อ: 20 พฤษภาคม 2554, 18:53:02 »

พี่สิงห์ครับ

ติดต่อพี่ตั้ง-ศิริชัย เภสัช14 แล้ว แจ้งติดธุระเข้า กทม.ครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2123 เมื่อ: 21 พฤษภาคม 2554, 07:31:21 »

อ้างถึง
ข้อความของ เหยง 16 เมื่อ 20 พฤษภาคม 2554, 18:53:02
พี่สิงห์ครับ

ติดต่อพี่ตั้ง-ศิริชัย เภสัช14 แล้ว แจ้งติดธุระเข้า กทม.ครับ
ขอบคุณมากครับ คุณเหยง
คนเราย่อมมีธุระเป็นของตัวเองอยู่แล้วเป็นเรื่องปกติครับ
สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #2124 เมื่อ: 21 พฤษภาคม 2554, 07:43:42 »

สวัสดียามเช้า ชาวซีมะโด่งทุกท่าน ครับ
                       อากาศที่นครศรีธรรมราช เมื่อคืนมีฝนตก เลยทำให้อากาสยามเช้าสดชื่น เหมาะแก่การเดินออกกำลังกาย รำTAI CHI และโยคะ มากครับ ช่วงนี้นครศรีธรรมราชฝนตกทุกวันแต่ไม่ติดต่อกันนานๆ และไม่ตรงเวลา การทำงานกลางแจ้งแบบโรงงานที่พี่สิงห์ทำอยู่ มีปัญหามาก ฝนตกก็ทำงานไม่ได้ แดดออกก็ร้อนเกินไป ทำงานไม่ได้ สรุปแล้วในหนึ่งวัน สามารถทำงานเฉลี่ยได้ไม่เกินสามชั่วโมงต่อคนต่อวัน ครับ

                       ใครที่ยังรังเรใจ ว่าจะไป หรือไม่ไป ทำบุญกับพี่สิงห์-อาจารย์เผ่า-รศ.พินิจ รีบตัดสินใจด่วนครับ ยังมีเวลาถึงบ่ายโมงวันนี้ เราไม่มีจุดประสงค์อื่นทั้งสิ้น นอกจากให้อาจารย์เผ่าได้ทำงาน พวกเราได้ทำบุญใส่บาตรพระ รับประทานอาหารท้องถิ่น และได้ท่องเที่ยวไหว้พระ ให้จิตใจผ่องใส เท่านั้นครับ

                        พี่สิงห์ไม่ได้โทรศัพท์ไปชวน เพราะ แบตเตอรรี่กำลังจะหมด ต้องรักษาไฟฟ้าไว้เหตุฉุกเฉิน เพราะไม่ได้เอาเครื่องชาร์จติดตัวมา ตอนนี้คิดได้แล้ว ให้พนักงานเตรียมเครื่องโทรศัพท์ที่ไม่ได้ใช้สำรองไว้ให้ ถ้าแบตหมดก็ถอดเอาซิมไปใส่อีกเครื่องหนึ่งแทน  แต่ก็ไม่มีเวลาโทรศัพท์อีก เพราะครึ่งวันเช้าประชุมถึงบ่ายโมงครับ
                        พี่สิงห์กลับถึงกรุงเทพฯ ห้าโมงเย็นครึ่งวันนี้ ครับ
                        สวัสดี
      บันทึกการเข้า
  หน้า: 1 ... 83 84 [85] 86 87 ... 681   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

ทำไมหอพักนิสิตจุฬาจึงเป็นดินแดนมหัศจรรย์            " ไม่ได้เป็นแค่หอให้นอนพัก  แต่เป็นบ้านอบอุ่นรักให้อาศัย  ไม่เป็นแค่ที่ซุกหัวยามหลบภัย  แต่สร้างใจให้เข้มแข็งแกร่งการงาน"  <))))><