24 พฤศจิกายน 2567, 18:47:54
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 49 50 [51] 52 53 ... 681   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: คุย กับ คุณมานพ กลับดี อดีตประธานชมรม ๓ สมัย  (อ่าน 3575425 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 23 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
lek_adisorn
Hero Cmadong Member
***

ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,595

« ตอบ #1250 เมื่อ: 28 ธันวาคม 2553, 09:53:37 »

อ้างถึง
ข้อความของ ดร.มนตรี เมื่อ 27 ธันวาคม 2553, 16:13:55
อ้างถึง
ข้อความของ lek_adisorn เมื่อ 24 ธันวาคม 2553, 22:55:25
อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 24 ธันวาคม 2553, 11:07:06
สวัสดีครับอดิสร
                          เสาร์นี้พี่สิงห์คงไปไม่ทัน อยู่นครศรีธรรมราช
                          จะลองไปดู Fuji HS 10 ครับ ตามที่แนะนำให้
                          สวัสดี

รุ่นนี้ไม่เหมาะกับพี่ครับ ผมดูไว้แล้ว เป็น canon S95 หรือ Lumix DMC LX5 ครับ แต่ต้องดูตัวจริงครับ ดูแค่ Spec ไม่พอครับ มีรายละเอียดปีกย่อยอีกครับขอผมไปดูก่อนครับ

พี่เล็กครับ Sony Alpha NEX-5 สำหรับพี่สิงห์...น่าสนใจไหมครับ ?





...

ผมเพิ่งลอง Sony Alpha 33 ... ถ่ายง่ายและสนุกดี เหมือนกันครับ ...




ขอบคุณมากครับ ดร.มนตรี ที่แนะนำ ผมก็ใช้ Sony A 200 รุ่นเก่าครับ
NEX 5 ก็เป็นกล้องที่ดีครับ สำหรับพี่สิงห์ คงไม่ชอบกล้องที่ใหญ่ครับ
สำหรับ canon S95 กับ Lumix LX 5 เล็กกระทัดรัด F 2.0 รูรับแสงกว้าง CCDใหญ่กว่า กล้อง compect ส่วนใหญ่ครับ มีข้อมูลให้พี่สิงห์พิจรณาครับ



      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #1251 เมื่อ: 28 ธันวาคม 2553, 11:02:11 »

อ้างถึง
ข้อความของ jamsai เมื่อ 27 ธันวาคม 2553, 12:09:13
สวัสดีปีใหม่ค่ะ พี่สิงห์

ขออนุโมทนา ด้วยค่ะ ที่จะไปวัดปฏิบัติธรรมที่ วัดป่าสุคโต และไปอินเดีย
ในเส้นทางที่พี่สิงห์ตั้งใจจะเดินนี้ คุณอิ๋ง (ลูกอิ๋ง) เคยพูดไว้เมื่อประมาณ 3 ปีก่อน ว่าอยากชวนให้ลุงสิงห์หันมาทางนี้บ้าง
แต่ตอนนั้นไม่กล้าบอก เพราะลุงสิงห์ยังมุ่งมั่นกับจตุคามรามเทพและพระเครื่องต่าง ๆ
แล้วต่อมาก็เป็นนักวิชาการ พระไตรปิฎก อีก

ในเส้นทางของหลวงพ่อเทียน หลวงปู่ดุลย์ /(ผ่านพระอาจารย์ปราโมทย์) และครูบาอาจารย์อีกหลายท่าน
ป้าแจ่มก็เชื่อว่า คนที่มีความมุ่งมั่นอย่างพี่สิงห์จะต้องมีความเจริญในธรรมได้แน่นอน
เมื่อไหร่ที่ ค้นพบผู้รุ้ผู้ดุและผู้ถูกรู้ถูกดู แล้ว ก็กรุณามาบอกมาเล่าหรือมาแนะนำกันบ้างนะคะ
จะได้ตั้งวงโยคะและธรรมเสวนา กันใหม่กับน้องๆ เพื่อสุขภาพและช่วยกันขัดเกลากิเลสให้กันและกันอีกทางหนึ่ง

ลองตรวจสอบดูความรู้สึกตัวเอง ขณะอยู่ที่ ใต้ต้นโพธิ์ที่พุทธคยา และที่กุสินารา (ทั้งที่ปรินิพพาน และที่สถูปเผาพระบรมศพ)
ดูว่าใจเราเป็นอย่างไร กลับมาแล้วมาเล่าแลกเปลี่ยนกันนะคะ


ขออนุโทนาค่ะ

 ปิ๊งๆ ปิ๊งๆ
               กราบขอบพระคุณป้าแจ่ม เป็นอย่างมากครับ  ผมจะพยายามปฏิบัติตามนั้น แล้วแต่วาสนาและความเพียร ครับ
               สวัสดีปีใหม่  ขอให้ป้าแจ่ม และครอบครัว มีสติ ครับ
               สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #1252 เมื่อ: 28 ธันวาคม 2553, 11:05:26 »

อ้างถึง
ข้อความของ swsm เมื่อ 27 ธันวาคม 2553, 21:59:21
กราบสวัสดีปีกระต่ายแด่พี่สิงห์ ด้วยความเคารพค่ะ ..     หลั่นล้า



                 สวัสดีปีใหม่ค่ะ ขอให้เธอและครอบครัวมีความสุขนะครับ
                 ปีกระต่ายที่จะมาถึงนี้ พี่สิงห์ครบอายุ 60 ปี บริบูรณ์ วันที่ 14  กุมภาพันธ์ 2554 ครับ
                 สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #1253 เมื่อ: 28 ธันวาคม 2553, 11:06:41 »

อ้างถึง
ข้อความของ Kaimook เมื่อ 27 ธันวาคม 2553, 23:28:37
สุขสันต์วันคริสต์มาสและกราบสวัสดีปีใหม่พี่สิงห์ที่เคารพค่ะ...

                  สวัสดีปีใหม่ ค่ะ คัณน้องไข่มุก  ขอให้มีความสุขนะครับ
                  สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #1254 เมื่อ: 28 ธันวาคม 2553, 11:07:42 »

อ้างถึง
ข้อความของ อ้อย 14 เมื่อ 27 ธันวาคม 2553, 09:25:59




.......ขอชื่นชมพี่สิงห์ในก้าวนี้ด้วยความจริงใจค่ะ สวัสดีปีใหม่ 2554 .....ด้วยค่ะ
                                 สวัสดีปีใหม่ครับ คุณอ้อย (จารุวรรณ)
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #1255 เมื่อ: 28 ธันวาคม 2553, 11:08:44 »

อ้างถึง
ข้อความของ ดร.มนตรี เมื่อ 27 ธันวาคม 2553, 13:59:20
เข้ามาอ่าน ครับพี่สิงห์ ได้ข้อคิด ดีๆ มากมาย ...

ขอบคุณครับ
                            สวัสดีปีใหม่ครับ ดร.มนตรี  ขอให้มีความสุขครับ
                            สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #1256 เมื่อ: 28 ธันวาคม 2553, 11:11:26 »

                         สวัสดี คุณอดิสร
                         พี่สิงห์ ตัดความอยากเรื่องซื้อกล้องถ่ายรูปใหม่ ไปหมดแล้ว ขอใช้อันเดิมจนกว่าจะเสียหายใช้การไม่ได้ ครับ
                         สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #1257 เมื่อ: 28 ธันวาคม 2553, 11:12:53 »

อ้างถึง
ข้อความของ suriya2513 เมื่อ 27 ธันวาคม 2553, 10:46:00
อ้างถึง
ข้อความของ Watcharin W. เมื่อ 27 ธันวาคม 2553, 09:59:19

สวัสดีครับ พี่สิงห์ มานพ กลับดี

ผมชื่อยุทธ เคยเป็นลูกน้องพี่สิงห์ มานพ กลับดี อยู่ที่เอราวัณ คอนกรีต ไม่ได้ติดต่อพี่สิงห์ มาสิบกว่าปีแล้วครับ
ใครมี e-mail หรือ เบอร์โทรศัพท์ ของพี่เค้า ขอความกรุณาช่วยส่งให้ด้วย

Tel : 081-550-3807 หรือ jojoba2@hotmail.com


รักและเคารพพี่มานพครับ
ยุทธ


มีน้องมาโพสต์ไว้ที่กระทู้โน้น เลยนำมาถ่ายทอดไว้ให้ครับ
                           รับทราบ
                            ขอบคุณมาก ดร.สุริยา
                            สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #1258 เมื่อ: 28 ธันวาคม 2553, 11:17:42 »

สวัสดีครับ บรรดา Admin. ผู้ควบคุมเวบ
                          พี่สิงห์อยากได้ email ของผู้ที่ติดต่อมาในหน้ากระดานนี้ เพื่อว่าพี่สิงห์จะได้ส่งความสุขไปให้ แต่ท่านเหล่านั้นขอซ่อน email กันหมด เพราะ email ที่เคยมีอยู่ถูกขโมยไปแล้วครับ หรือเจ้าตัวจะส่งมาให้พี่สิงห์ที่ www.singhamanop@gmail.com จักขอบคุณมากครับ
                          สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #1259 เมื่อ: 28 ธันวาคม 2553, 11:28:29 »

                         วันสุดท้ายที่อยู่ในออสเตรีย ชั่งรวดเร็วนัก ก้ได้เวลากลับประเทศไทย อันเป็นที่รัก อากาศไม่เป็นใจ หิมะตก  ลมแรง  หนาวๆๆๆๆ ทิวทัศน์ตอนขาไปเห็นพื้นดิน ฟาร์มปศุสัตว์ แต่ขากลับเห็นแต่หิมะไปหมดครับ
                         เชิญชมภาพ



ที่พักรถกลางทาง













วันแรกที่เห็น



วันสุดท้ายที่เห็นก่อนกลับ







โรงละครกรุงเวียนนา

      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #1260 เมื่อ: 28 ธันวาคม 2553, 11:51:37 »

                         ภาพชุดสุดท้ายครับ เป็นการไป shopping สินค้า Brand name ซึ่งเป็นตลาดคนเดินครับ ผมไปแวะชมโบสถ์กลางกรุงเวียนนาซึ่งอยู่ติดกันก่อน ไปนั่งหลบลมหนาว ชมโบสถ์ และเจริญสติ สักครู่จึงมาเดินชมสินค้าต่างๆ ได้แต่ชม แต่ไม่ซื้อ เพราะไม่รู้ซื้อมาให้ใคร ครับ
                          เมื่อเหมื่อยแล้วจึงไปนั่งที่ร้านสตาร์บั๊ก นานมากเพราะหนาว จนพรรคพวกมาสมทบเกือบครับมีการอวดสินค้าที่ซื้อมา โดยเฉพาะกระเป๋าลองชอม จนคุณแอนด์ต้องการไปซื้อผมเลยไปเป็นเพื่อน และสุดท้ายก็ได้กระเป๋าลองชอมไปฝากน้องสาวหนึ่งใบ
                          คณะรับประทานอาหารเย็น เป็นอาหารจีนก่อนไปสนามบิน ที่สนามบินเที่ยวของเราเป็นเที่ยวสุดท้ายที่จะออกจากกรุงเวียนนา 23:00 น. จึงเงียบมาก ผมได้ซื้อ Asbach ที่นี่ไปฝากพี่วิชัย และซื้อ wine ไปฝากคุณ John Skinner ด้วยครับ
                          บนเครื่องบินหลับสบายจนถึงกรุงเทพฯ ครับ
                          ขอบคุณมากๆ ที่ติดตามชมภาพ และฝากข้อแนะนำเพิ่มเติมโดยเฉพาะคุณน้องหนุงหนิง ที่ให้รายละเอียด
                          สวัสดี

























จบการทัวร์ออสเตรีย-เยอรมันนี  ขอบคุณมากที่ติดตามชมภาพครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #1261 เมื่อ: 28 ธันวาคม 2553, 12:01:13 »

สวัสดีครับ
                         วันนี้ผมเดินทางไปทำงานที่นครศร๊ธรรมราช ครับ Boarding 14:15 น. ครับ
                         สวัสดี
      บันทึกการเข้า
swsm
Cmadong Member
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
****


@@ ยาหยี @@
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: Rcu2523
คณะ: Comm Arts
กระทู้: 28,369

« ตอบ #1262 เมื่อ: 28 ธันวาคม 2553, 23:29:34 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 28 ธันวาคม 2553, 11:05:26
อ้างถึง
ข้อความของ swsm เมื่อ 27 ธันวาคม 2553, 21:59:21
กราบสวัสดีปีกระต่ายแด่พี่สิงห์ ด้วยความเคารพค่ะ ..     หลั่นล้า



                 สวัสดีปีใหม่ค่ะ ขอให้เธอและครอบครัวมีความสุขนะครับ
                 ปีกระต่ายที่จะมาถึงนี้ พี่สิงห์ครบอายุ 60 ปี บริบูรณ์ วันที่ 14  กุมภาพันธ์ 2554 ครับ
                 สวัสดี

ขอบคุณค่ะ   หึหึ
      บันทึกการเข้า

.. don't play with me, cos I know how to play it too .. may be better than you do ..
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #1263 เมื่อ: 29 ธันวาคม 2553, 06:56:44 »


สวัสดียามเช้าทุกท่านครับ
                           วันนี้เป็นวันพระ เมื่อวานได้คุยกับอาจารย์ถาวร   โชติชื่น  ปรากฎว่าอาจารย์ถาวรป่วย เลยไปพักผ่อนที่โรงพยาบาลยันฮีมาสิบวัน ป่วยด้วยโรคที่ไม่สมควรจะเป็น อาจารย์ถาวร บอกว่ามันเป็นกรรมเก่า  ผมเลยตัดสินใจเช้านี้ไปใส่บาตรพระตั้งใจใส่บาตรเก้ารูป แต่พระท่านแถมให้หนึ่ง กลายเป็นสิบรูป และตอนใส่บาตรพระองค์หนึ่ง พระท่านให้พรพระ(ยะถา) ผมเลยตั้งใจอุทิศส่วนกุศลที่ได้ใส่บาตรในเช้านี้ ขอให้อาจารย์ถาวร   โชติชื่น จงหมดทุกข์จากกรรมเก่า  ไม่เจ็บไข้ได้ป่วย สิ้นเคราะห์ต่างๆ ในชาตินี้ครับ
                           นอกจากนี้ผมก้ได้อุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรม  นายเวร ญาติสนิท  มิตรสหาย สรรพสัตว์ทั้งหลาย  ดวงวิญญาณที่ล่องลอยต่างๆ ให้ได้รับส่วนบุญถ้วนหน้าเพราะพระท่านให้ ยะถา  ทุกองค์ ครับ
                           ใส่บาตรแล้วจิตใจก็เย็นสบาย  เป็นการใส่บาตรพระส่งท้ายปี ๒๕๕๓ ครับ
                           สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #1264 เมื่อ: 29 ธันวาคม 2553, 07:04:32 »


                          สำหรับการเตรียมตัวเดินทางไปอินเดียนั้น เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับตัวผม  ผมได้กลับไปอ่าน พุทธสถาน ๔ ตำบลที่ควรระลึกถึงใหม่ อ่านแบบมีสติ  ทำให้เข้าใจในเหตุกาลครั้งสมัยพุทธกาล และเข้าใจธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายิ่งขึ้นและจำได้ เพราะอ่านจบเป็นครั้งที่สามแล้ว  นอกจากนี้ คุณดิเรก  MD ของ PSTC  ได้มอบของขวัญปีใหม่เป็นหนังสือพุทธประวัติ "ปฐฒสมโพธิกถา" และ CD MP3 เสียงบรรยายพุทธสถาน ๔ ตำบล ของพระพรหมคุณาภรณ์ (ป. ปยุตโต)ที่ท่านนำญาติโยมไปอินเดียเมื่อปี ๒๕๓๘  ทำให้ได้รับความรู้ในอีกแง่หนึ่งของธรรมมะที่พระพุทะเจ้าทรงตรัสรู้ และตั้งใจว่าจะอ่านพระไตรปิฎก และพุทธธรรม  ให้จบอีกรอบหนึ่งก่อนไปอินเดีย เป็นการเตรียมความพร้อมให้ตัวเอง  จะได้รู้ธรรมยิ่งขึ้นครับ
                           สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #1265 เมื่อ: 29 ธันวาคม 2553, 07:11:14 »

ภาพวาดพุทธประวัติ
จากหนังสือ
ปฐมสมโพธิกถา
ในวโรกาส ๘๔ พรรษา ของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในหลวงของพวกเราปวงชนม์ชาวไทย
























      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #1266 เมื่อ: 29 ธันวาคม 2553, 07:11:55 »























      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #1267 เมื่อ: 29 ธันวาคม 2553, 07:12:33 »





















      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #1268 เมื่อ: 29 ธันวาคม 2553, 07:47:07 »


พระพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้อะไร?
(บัญญัติขึ้นในรัชกาลที่ ๖)
  
พระพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้ อริยะสัจ ๔ คือ ความจริง ๔ ประการ ได้แก่
ทุกข์
(สภาวะที่ร่างกาย-จิตใจทนอยู่ได้ยากได้แก่ การเกิด แก่ เจ็บ ตาย ปราถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้น ประสพกับสิ่งที่ไม่ชอบ พลัดพรากจากสิ่งที่รัก)
สมุทัย
(ต้นเหตุแห่งการเกิดทุกข์ คือ ตัณหา ได้แก่ความอยาก สามประการ กามตัณหา  ภวตัณหา และวิภาวตัณหา)
นิโรธ
(การจะดับทุกข์ได้นั้น ต้องดับที่ต้นเหตุแห่งการเกิดทุกข์ คือ ดับตัณหา(ความอยาก))
มรรค
(แนวทางการปฏิบัติสายกลาง ๘ ประการ เพื่อความพ้นทุกข์ คือ นิพพาน)
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #1269 เมื่อ: 29 ธันวาคม 2553, 07:54:29 »

                         พระพุทธเจ้า ทรงโปรดปัญจวัคคีย์ "ปฐมเทศนาธัมมจักกัปวัตตสูตร"
                         พระพุทธเจ้าทรงตรัสกับปัญจวัคคีย์ว่า
                         ดูก่อนภิกาษุทั้งหลาย ที่สุด ๒ อย่างนี้ อันบรรพชิตไม่ควรเสพ คือ
                         ๑. กามสุขัลลิกานุโยค การประกอบตนให้พัวพันด้วยกามสุขในกามทั้งหลายอันเลวทราม เป็นความประพฤติของชาวบ้าน เป็นความประพฤติของปุถุชน  ไม่ประเสริฐ  ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
                         ๒. อัตตกิลมถานุโยค การประกอบด้วยความลำบากแก่ตน เป็นความทุกข์  ไม่ประเสริฐ  ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
                         ดูก่อนกิาษุทั้งหลาย ตถาคตได้ตรัสรู้ทางสายกลาง ที่ไม่เข้าถึงส่วนสุด ๒ อย่างนั้นแล้ว ที่ทำดวงตาเห็นธรรมให้เกิด ทำญาณให้เกิด ย่อมเป็นไปเพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่งเพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน
                         ทางสายกลางนั้น ได้แก่อริยมรรคมีองค์ ๘ นี้เท่านั้น คือ
                              ๑. สัมมาทิฏฐิ                   ความเห็นชอบ
                              ๒. สัมมาสังกัปปะ              ความดำริชอบ
                              ๓. สัมมาวาจา                   การเจรจาชอบ
                              ๔. สัมมากัมมันตะ              การกระทำกายชอบ
                              ๕. สัมมาอาชีวะ                 การเลี้ยงชีวิตชอบ
                              ๖. สัมมาวายามะ                ความพยายามชอบ
                              ๗. สัมมาสติ                      ความระลึกชอบ
                              ๘. สัมมาสมาธิ                  ความตั้งจิตชอบ
                           ดูก่อนภิษุทั้งหลาย นี้แหละคือทางสายกลาง ที่ตถาคตได้ตรัสรู้แล้ว ที่ดวงตาเห็นธรรมให้เกิด ทำญาณให้เกิด ย่อมเป็นไปเพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #1270 เมื่อ: 29 ธันวาคม 2553, 07:56:12 »

                        
หลักพุทธศาสนา คืออะะไร?  

                        สิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ คือ หลักการ "อิททัปปัจจยตา"(มีปัจจัย....เป็นเหตุ ผลคือ....จึงเกิดขึ้น) หลัก "ปฏิจจสมุปบาท"(วงจรทุกข์) และ "นิพพาน" หลักธรรมชาติที่มีอยู่แต่เดิม  พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้เป็นคนแรก คือค้นพบความจริงตามธรรมดา ธรรมชาติ
                        แต่ปฏิจจสมุปบาทอยากเกินไปที่ปุถุชนม์จะรู้ตามพระองค์ได้ พระพุทธเจ้าท่านเป็นยิ่งกว่าพหูสูตร ทรงรู้วิธีการที่จะทรงสอนให้ปุถุชนม์สามารถรู้ได้
                         ดังนั้นเวลาจะสอน พระพุทธเจ้าทรงสอนอยู่ในรูปที่ปุถุชนม์สามารถเข้าใจ-ปฏิบัติได้ คือ อริยะสัจ ๔ ให้รู้ผลของทุกข์ ต้นเหตุแห่งทุกข์(สมุทัย) จะให้พ้นทุกข์ต้องแก้ที่เหตุ(นิโรธ) แต่ในทางปฏิบัติให้พ้นทุกข์คือ มรรค ๘
                        
                          นอกจากนี้พระพุทธเจ้า ทรงทำให้ง่ายแก่ปุถุชนม์คือ หลักพุทธศาสนา ประกอบด้วย ไตรสิกขา ได้แก่
๑. ไม่ทำชั่ว
(ศิล เป็นเครื่องกำจัดกิเลสอย่างหยาบ ได้แก่ การประพฤติผิดทางกาย-วาจา)
๒. กระทำแต่ความดี
(สมาธิ เป็นเครื่องกำจัดกิเลสอย่างกลาง ได้แก่การทำจิตใจให้สงบ ไม่ฟุ้งซ่าน)
๓. ทำจิตใจให้บริสุทธิ์ผ่องใสปราศจากิเลส
(ปัญญา เป็นเครื่องกำจัดกิเลสอย่างละเอียด คือละโมหะที่เกิดขึ้นกับจิตใจ หรือตัณหา(ความอยาก) ด้วยปัญญา)

                         นอกจากนี้พระพุทธเจ้า ทรงสรุปอีกว่า อะไรไม่เที่ยง(อนิจจัง)เป็นทุกข์ อะไรที่เป็นทุกข์ไม่มีตัวไม่มีตนที่แท้จริง(อนัตตา) อะไรที่ไม่มีตัวตนอย่าไปยึดมั่นถือมั่น(อุปาทาน) การที่จะไม่ให้ยึดมั่นถือมั่นได้นั้นต้องปราศจากตัณหา(ความอยาก) นั่นคือ กฎไตรลักษณ์ นั่นเอง
                        
             ทั้งหมดนี้ คือสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ และเป็นหลักของศาสนาพุทธ ซึ่งสัมพันธ์กันหมด แต่สามารถถ่ายทอดได้แยบยลหลายวิธี


สัปดาห์ที่หก ทรงเสวยความสุขอันเกิดจากวิมุติที่ควงไม้มุจจลินท์ อากาศหนาว  ฝนตก  มุจจลินทนาคราช วงด้วยขนด ๗ รอบ เพื่อป้องกันความหนาวและฝน
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #1271 เมื่อ: 29 ธันวาคม 2553, 08:20:04 »


                          ปกติเวลาที่พระพุทธเจ้าจะทรงสอนใครนั้น ท่านจะทรงดูจริตนิสัยของบุคคลนั้นก่อน แล้วท่านจะแสดงธรรมให้เข้ากับจริตนั้นเป็นหลัก ทรงแสดงอนุปุพพิกถา ก่อนแล้วทรงแสดง อริยะสัจ ๔ ภายหลังเสมอ เช่น ทรงแสดงธรรมแก่ท่านอนาถบิณฑิกคหบดี
                          ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคได้ทรงแสดง อนุปุพพิกถา คือ การแสดงธรรมไปตามลำดับแก่ท่านอนาถบิณฑิกคหบดี เพื่อให้บรรเทิงใจ ได้แก่
                          ๑. ทานกถา      ทรงแสดงเรื่องของทานการให้
                          ๒. สีลกถา        ทรงแสดงเรื่องของศีลการสำรวมทางกาย วาจา ใจ ให้เรียบร้อย
                          ๓. สัคคกถา      ทรงแสดงเรื่องสวรรค์ (ผลของการให้ทาน)
                          ๔. กามาทีนวกถา  ทรงแสดงโทษ ความต่ำทราม ความเศร้าหมองของกามคุณทั้งหลาย
                          ๕. เนกขัมมานิสังกถา ทรงแสดงอานิสงส์ในเนกขัมมะ คือการออกจากกาม
                          เมื่อพระผู้มีพระภาคทรงทราบว่า "ท่านอนาถบิณฑิกคหบดีมีจิตที่สมควร อ่อนโยน ปราศจากนิวรณ์ มีจิตเบิกบาน ผ่องใสแล้ว" จึงทรงประกาศ สามุกกังสิกธรรมเทศนา คือพระธรรมเทศนาที่พระพุมธเจ้าทั้งหลายทรงยกขึ้นแสดงด้วยพระองค์เอง ได้แก่ทรงแสดง อริยะสัจ ๔ คือ ทุกข์  สมุทัย  นิโรธ  มรรค การปฏิบัติทางสายกลางเพื่อ "นิพพาน"
                          เป็นเย่างนี้เสมอ ส่วนธรรมอื่นๆที่ยกมานั้นก็เพื่อให้เข้ากับจริตของคนนั้น เพราะที่ท่านตรัสรู้คือ อริยะสัจ ๔
      บันทึกการเข้า
อ้อย17
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,908

« ตอบ #1272 เมื่อ: 29 ธันวาคม 2553, 08:22:47 »

 
  พี่สิงห์คะ....
      ได้รับของขวัญปีใหม่ที่พี่ส่งมาให้แล้วนะคะ...ขอบพระคุณมากๆเลยค่ะ อ้อยยังไม่ได้เปิดดู
   แต่คิดว่าน่าจะเป็นของขวัญชิ้นเยี่ยมสำหรับปีนี้เลยล่ะค่ะ
       และในวาระปีใหม่และเป็นปีที่พี่จะครบห้ารอบอายุ ก็ขออาราะนาคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในหล้าโลก
 จงปกปักรักษาคุ้มครองให้พี่และคนที่พี่รักทุกคนจงประสบแต่ความสุขสมปรารถนาทุกประการนะคะ...
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #1273 เมื่อ: 29 ธันวาคม 2553, 11:54:18 »


เหตุการณ์แรกตรัสรู้ที่ควงต้นโพธิ์
   ในคราวที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสรู้ใหม่ๆ ประทับอยู่ ณ ควงต้นโพธิ์ ใกล้ฝั่งแม่น้ำเนรัญชราในตำบลอุรุเวลา คราวนั้นพระผู้มีพระองค์ประทับนั่งครั้งเดียวโยไม่ทรงลุกเลย เสวยความสุขอันเกิดจากวิมุตติ ณ ควงไม่โพธิ์เป็นเวลา ๗ วัน ทรงมนสิการปฏิจจสมุปบาทเป็นทั้งโดยอนุโลมและปฏิโลมตลอดปฐมยามแห่งราตรี ดังนี้
                                                               ปฏิจจสมุปบาทโดยอนุโลม
         เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย   สังขารทั้งหลายจึงมี
         เพราะสังขารเป็นปัจจัย   วิญญาณจึงมี
         เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย   นามรูปจึงมี
         เพราะนามรูปเป็นปัจจัย   สฬายตนะจึงมี
         เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย   ผัสสะจึงมี
         เพราะผัสสะเป็นปัจจัย      เวทนาจึงมี
         เพราะเวทนาเป็นปัจจัย      ตัณหาจึงมี
         เพราะตัณหาเป็นปัจจัย      อุปาทานจึงมี
         เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย   ภพจึงมี
         เพราะภพเป็นปัจจัย      ชาติจึงมี
          เพราะชาติเป็นปัจจัย      ชรา  มรณะ โสกะ  ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส
                           และอุปายาสจึงมี
                                                    ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้  ย่อมมีด้วยประการฉะนี้
                                                                     ปฏิจจสมุปบาทโดยปฏิโลม
         เพราะการดับอวิชชาโดยไม่เหลือด้วยวิราคะ   การดับสังขารจึงมี
         เพราะการดับสังขาร      การดับวิญญาณจึงมี
         เพราะการดับวิญญาณ      การดับนามรูปจึงมี
         เพราะการดับนามรูป      การดับสฬายตนะจึงมี
         เพราะการดับสฬายตนะ   การดับผัสสะจึงมี
         เพราะการดับผัสสะ      การดับเวทนาจึงมี
         เพราะการดับเวทนา      การดับตัณหาจึงมี
         เพราะการดับตัณหา      การดับอุปาทานจึงมี
         เพราะการดับอุปาทาน      การดับภพจึงมี
         เพราะการดับภพ      การดับชาติจึงมี
          เพราะการดับชาติ      ชรา  มรณะ โสกะ  ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส
                           และอุปายาสจึงดับ
การดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้  ย่อมมีด้วยประการฉะนี้
พุทธอุทานคาถาที่ ๑
   ลำดับนั้นพระผู้มีพระภาคทรงทราบเนื้อความนั้นแล้ว จึงทรงเปล่งพระอุทานนี้ในเวลานั้นว่า
      เมื่อใด ธรรมทั้งหลายปรากฎแก่พราหมณ์ผู้มีความเพียรเพ่งพิจารณาอยู่
      เมื่อนั้น ความสงสัยทั้งปวงของพราหมณ์นั้นย่อมสิ้นไปเพราะรู้ธรรมที่มีเหตุ
   ต่อจากนั้น พระผู้มีพระภาคทรงมนสิการปฏิจจสมุปบาททั้งโดยอนุโลมและปฏิโลมตลอดมัชฌิมยามแห่งราตรี ดังนี้
เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย   สังขารทั้งหลายจึงมี
         เพราะสังขารเป็นปัจจัย      วิญญาณจึงมี
         เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย   นามรูปจึงมี
         เพราะนามรูปเป็นปัจจัย   สฬายตนะจึงมี
         เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย   ผัสสะจึงมี
         เพราะผัสสะเป็นปัจจัย      เวทนาจึงมี
         เพราะเวทนาเป็นปัจจัย      ตัณหาจึงมี
         เพราะตัณหาเป็นปัจจัย      อุปาทานจึงมี
         เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย   ภพจึงมี
         เพราะภพเป็นปัจจัย      ชาติจึงมี
          เพราะชาติเป็นปัจจัย      ชรา  มรณะ โสกะ  ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส
                           และอุปายาสจึงมี
ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้  ย่อมมีด้วยประการฉะนี้
         เพราะการดับอวิชชาโดยไม่เหลือด้วยวิราคะ   การดับสังขารจึงมี
         เพราะการดับสังขาร      การดับวิญญาณจึงมี
         เพราะการดับวิญญาณ      การดับนามรูปจึงมี
         เพราะการดับนามรูป      การดับสฬายตนะจึงมี
         เพราะการดับสฬายตนะ   การดับผัสสะจึงมี
         เพราะการดับผัสสะ      การดับเวทนาจึงมี
         เพราะการดับเวทนา      การดับตัณหาจึงมี
         เพราะการดับตัณหา      การดับอุปาทานจึงมี
         เพราะการดับอุปาทาน      การดับภพจึงมี
         เพราะการดับภพ      การดับชาติจึงมี
          เพราะการดับชาติ      ชรา  มรณะ โสกะ  ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส
                           และอุปายาสจึงดับ
การดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้  ย่อมมีด้วยประการฉะนี้
พุทธอุทานคาถาที่ ๒
   ลำดับนั้นพระผู้มีพระภาคทรงทราบเนื้อความนั้นแล้ว จึงทรงเปล่งพระอุทานนี้ในเวลานั้นว่า
      เมื่อใด ธรรมทั้งหลายปรากฎแก่พราหมณ์ผู้มีความเพียรเพ่งพิจารณาอยู่   เมื่อนั้น ความสงสัยทั้งปวงของพราหมณ์นั้นย่อมสิ้นไป เพราะได้รู้ความสิ้นไปแห่งปัจจัยทั้งหลาย
ต่อจากนั้น พระผู้มีพระภาคทรงมนสิการปฏิจจสมุปบาททั้งโดยอนุโลมและปฏิโลมตลอดปัจฉิมยามแห่งราตรี ดังนี้
เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย   สังขารทั้งหลายจึงมี
         เพราะสังขารเป็นปัจจัย      วิญญาณจึงมี
         เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย   นามรูปจึงมี
         เพราะนามรูปเป็นปัจจัย   สฬายตนะจึงมี
         เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย   ผัสสะจึงมี
         เพราะผัสสะเป็นปัจจัย      เวทนาจึงมี
         เพราะเวทนาเป็นปัจจัย      ตัณหาจึงมี
         เพราะตัณหาเป็นปัจจัย      อุปาทานจึงมี
         เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย   ภพจึงมี
         เพราะภพเป็นปัจจัย      ชาติจึงมี
          เพราะชาติเป็นปัจจัย      ชรา  มรณะ โสกะ  ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส
                           และอุปายาสจึงมี
ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้  ย่อมมีด้วยประการฉะนี้
         เพราะการดับอวิชชาโดยไม่เหลือด้วยวิราคะ   การดับสังขารจึงมี
         เพราะการดับสังขาร      การดับวิญญาณจึงมี
         เพราะการดับวิญญาณ      การดับนามรูปจึงมี
         เพราะการดับนามรูป      การดับสฬายตนะจึงมี
         เพราะการดับสฬายตนะ   การดับผัสสะจึงมี
         เพราะการดับผัสสะ      การดับเวทนาจึงมี
         เพราะการดับเวทนา      การดับตัณหาจึงมี
         เพราะการดับตัณหา      การดับอุปาทานจึงมี
         เพราะการดับอุปาทาน      การดับภพจึงมี
         เพราะการดับภพ      การดับชาติจึงมี
          เพราะการดับชาติ      ชรา  มรณะ โสกะ  ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส
                           และอุปายาสจึงดับ
การดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้  ย่อมมีด้วยประการฉะนี้
พุทธอุทานคาถาที่ ๓
   ลำดับนั้นพระผู้มีพระภาคทรงทราบเนื้อความนั้นแล้ว จึงทรงเปล่งพระอุทานนี้ในเวลานั้นว่า
      เมื่อใด ธรรมทั้งหลายปรากฎแก่พราหมณ์ผู้มีความเพียรเพ่งพิจารณาอยู่   เมื่อนั้น พราหมณ์ย่อมกำจัดมารและเสนามารได้ ดุจพระอาทิตย์ส่องสว่างอยู่บนท้องฟ้า ฉะนั้น
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #1274 เมื่อ: 29 ธันวาคม 2553, 12:01:38 »

วงจรทุกข์


           สรุป ประการที่ ๑ ถ้าเข้าใจ ปฏิจจสมุปบาท  ถ้าเข้าใจกฎไตรลักษณ์  ถ้าเข้าใจอริยะสัจ ๔ และปฏิบัติการดำรงค์ชีวิตในมรรค ๘ ปุถุชนม์ ก็สามารถ "พ้นทุกข์" ได้ทั้งๆ ที่ยังต้องทำงาน ประกอบอาชีพ และดูแลครอบครัว
           สรุป ประการที่ ๒ ถ้าปุถุชนม์ ต้องการพ้นทุกข์อย่างถาวร คือ นิพพาน ต้องกระทำความเพียรใน มหาสติปัฏฐาน ๔ จนสำเร็จ "อรหันต์"

สรุป
เพราะ "ตัณหา" เป็นปัจจัย "อุปาทาน" จึงมี
ตัณหา ไม่ใช่เป็นสิ่งที่เป็นธรรมชาติ จึงสามารถตัดได้
ส่วนอื่นๆที่เหลือ ในวงจรทุกข์นั้น เป็นธรรมชาติ หมายความว่า พึงมี  พึงเป็น จึงไม่สามารถตัดได้
ดังนั้น ถ้าจะให้พ้นทุกข์ ต้องดับ "ตัณหา(ความอยาก)" ตัวต้นเหตุแห่งทุกข์  อุปทาน(ความยึดมั่นถือมั่น)ก็จะไม่เกิด
วงจรทุกข์สลาย
      บันทึกการเข้า
  หน้า: 1 ... 49 50 [51] 52 53 ... 681   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

สมาคมนิสิตเก่าหอพักนิสิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มวลสมาชิกสมาคม คณาจารย์ และนิสิตเก่าทุกคน ขอน้อมเกล้าถวายความอาลัย  พระผู้เสด็จสู่สวรรคาลัย ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ <;))))><