23 พฤศจิกายน 2567, 04:19:14
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 6 7 [8] 9 10 ... 681   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: คุย กับ คุณมานพ กลับดี อดีตประธานชมรม ๓ สมัย  (อ่าน 3551033 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 65 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #175 เมื่อ: 18 กันยายน 2553, 14:10:10 »

ตอนที่ ๔
ทำไมจึงต้องมีสติ ณ ปัจจุบัน
   พระพุทธเจ้าท่านทรงสอนให้เรามีสติตลอดเวลาอยู่กับปัจจุบัน คือ
“ธรรมมะราตรีเดียว”

                 พระผู้มีพระภาคประทับ ณ เชตวนาราม ท่ามกลางหมู่สงฆ์สาวก ทรงตรัสแสดงอธิบาย “เกี่ยวกับบุคคลผู้มีราตรีเดียวอันดี” โดยใจความคือ ไม่ให้ติดตามเรื่องล่วงมาแล้ว ไม่ให้หวังเฉพาะเรื่องที่ยังมาไม่ถึง ให้เห็นแจ้งปัจจุบัน ให้รีบเร่งทำความเพียรเสียในวันนี้ ใครจะรู้ว่าความตายจะมีในวันพรุ่ง เพราะจะผัดเพี้ยนต่อมฤตยูผู้มีเสนาใหญ่ ย่อมไม่ได้ คนที่มีความเพียรอย่างนี้ไม่เกียจคร้านทั้งกลางวันกลางคืน เรียกว่า มีราตรีเดียวอันดี(เจริญ) การไม่ติดตามอดีต การไม่หวังเฉพาะอนาคต ตรัสอธิบายว่า ไม่ให้มีความยินดี เพลิดเพลินในอดีตและอนาคต นั้น

“ธรรมที่มีอุปการะมาก”
•   คำว่า “อุปการะมาก” คือ ธรรมที่มีคุณค่ามาก     หมายความถึง ผู้ใดเจริญสตินี้มีอานิสงส์มาก
•   ธรรมที่มีอุปการะมาก มี ๒ อย่างคือ
1.   สติ คือ ความระลึกได้ ต้องมี ความระลึกได้ก่อนที่จะคิด ก่อนที่จะทำ ก่อนที่จะพูด
2.   สัมปชัญญะ คือ ความรู้ตัว (รู้ความคิดตัวเอง) ต้องมี ความรู้ตัวก่อนที่จะคิด ก่อนที่จะทำ ก่อนที่จะพูด

“มหาสติปัฏฐานสูตร”
•   พระผู้มีประภาคประทับ ณ นิคม ชื่อกัมมาสธัมมะ แคว้นกุรุ ตรัสสอนภิกษุทั้งหลายว่า หนทางเป็นที่ไปอันเอกเพื่อความบริสุทธิ์ของสัตว์ เพื่อก้าวล่วงความโศก ความคร่ำครวญ เพื่อให้ความทุกข์กายทุกข์ใจตั้งอยู่ไม่ได้ เพื่อบรรลุธรรมที่ถูกต้อง เพื่อทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน คือการตั้งสติ ๔ อย่าง ได้แก่:-
1.   ตั้งสติกำหนดพิจารณา กายในกาย
2.   ตั้งสติกำหนดพิจารณา เวทนาในเวทนา
3.   ตั้งสติกำหนดพิจารณา จิตในจิต
4.   ตั้งสติกำหนดพิจารณา ธรรมในธรรม

                ผมขอเอาสิ่งที่ ศาสตราจารย์นายแพทย์ประเวศ   วะสี  ท่านได้เขียนด้วยลายมือของท่านอธิบายในสิ่งที่หลวงพ่อเทียน  ท่านพยายามสื่อให้ทราบว่า ทำไมจึงต้องมีสติอยู่กับปัจจุบัน หรือรู้อยู่กับปัจจุบันเพื่อไล่ความไม่รู้ออกไป ครับ





      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #176 เมื่อ: 18 กันยายน 2553, 14:16:56 »

บทที่ ๕
อาสวะกิเลส
   
                กิเลส คือสิ่งที่เข้าไปเกาะ หรือเข้าไปยึดติดกับใจแล้ว ทำให้ใจเศร้าหมอง ขุ่นมัวอุปมาเหมือนกับน้ำที่ปกติจะใสสะอาด ปราศจากสี แต่ถ้าเรานำสีไปใส่ น้ำก็จะแปรเปลี่ยนไปตามสีที่เติมนั้น จิตใจก็เหมือนกัน ปกติใจจะใสสะอาดปราศจากสิ่งเศร้าหมองทั้งปวง แต่เนื่องจากเราไปพบและเกิดการปรุ่งแต่งขึ้น จึงทำให้สิ่งที่เราไปพบนั้นเกาะยึดติดอยู่ในใจ ทำให้ใจเป็นไปตามสิ่งที่นั้น กลายเป็นคนโกรธง่าย โลภ หลง ใจดำ ใจร้าย เพราะสิ่งที่เราไปพบนั้นมันเป็นกิเลสเข้าไปเกาะยึดอยู่ในใจนั่นเอง
   กิเลส มีอยู่ ๑๐ อย่างด้วยกัน คือ
๑.   อโนตตัปปะ   ความไม่รู้สึกตื่นกลัวต่อการทุจริต
๒.   โทสะ   ความโมโห โกรธ ความไม่พอใจ
๓.   โมหะ   ความหลงใหล ความโง่
๔.   อุทธัจจะ   ความฟุ้งซ่านไปต่างๆ นานา
๕.   ทิฏฐิ   ความเห็นผิดเป็นชอบ
๖.   วิจิกิจฉา   ความเคลือบแคลงใจ สงสัย ไม่แน่ใจ ลังเลใจ ในสิ่งที่ควรเชื่อ
๗.   โลภะ   ความพอใจ ชอบใจ เต็มใจ ในโลกียอารมณ์ต่างๆ
๘.   ถีนะ   ความหดหู่ เงียบเหงา
๙.   อหิริกะ   ความไม่ละอายต่อการกระทำผิด ทุจริต
๑๐.   มานะ   ความทะนงตน ถือตัว เย่อยิ่ง

หรือนิวรณ์ ๕ ก็เป็นกิเลสอย่างหนึ่งแต่แยกเอาเฉพาะที่สำคัญ ประกอบด้วย คือ
๑.   กามฉันท์   ความพอใจในกาม
๒.   พยาบาท   ความคิดปองร้าย
๓.   ถีนมิทธะ   ความหดหู่ ง่วงงุน
๔.   อุทธัจจะกุกกุจจะ   ความฟุ้งซ่านรำคาญใจ
๕.   วิจิกิจฉา   ความลังเลสงสัย
แต่ที่สำคัญ หรือพูดให้เข้าใจได้ง่าย หรือทำให้สั้นเข้าและทุกท่านเข้าใจ คือกิเลสที่เกิดจาก ความโลภ  ความโกรธ  ความหลง  เป็นสิ่งที่ทำให้เราทุกข์หนักมากที่สุด
   อาสวะ คือ สิ่งที่หมักดอง หรือทับถมอยู่ในสันดาล หรืออยู่ในจิตใต้สำนึก
   อาสวะกิเลส คือ สิ่งเศร้าหมอง ซึ่งได้แก่ความโลภ  ความโกรธ  ความหลง เป็นต้น ที่เราหมักหมม หรือสะสม เอาไว้ตั้งแต่อยู่ในท้องมารดา แรกเกิด เจริญวัยย์ จนกระทั้งถึง ณ ปัจจุบัน ถูกนำไปเก็บไว้ในสันดาล หรือจิตใต้สำนึก และเมื่อไปประจวบ พบกับสิ่งนั้น ๆ ใหม่อีกครั้ง จากการสัมผัสทางอายตนะ ๖ คือทางตา  หู  จมูก  ลิ้น  กาย  ใจ ก็จะพรุ่ง หรือโพร่งขึ้นมากจากจิตใต้สำนึกนั้นอีกครั้ง โดยรวดเร็วมาก แสดงออกทางอารมณ์ ได้รับการปรุงแต่งและแสดงออกทางกายทันที ชนิดที่ไม่สามารถควบคุมมันได้เลย ก่อให้เกิด “ทุกข์” ตามมาภายหลัง

                                                                                                    ทุกข์
   ทุกข์ คือสภาพ หรือสภาวะที่เกิดขึ้นแล้วทนอยู่ไม่ได้ หรือทนอยู่ได้ยาก, ลำบาก
   ทุกขอริยสัจ คือทุกข์ที่จะต้องเกิดขึ้นจริงเป็นที่สุด จริงแท้แน่นอนไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เพราะเป็นทุกข์ตามธรรมชาติ ที่จะต้องเกิดขึ้นกับมนุษย์ทุกรูป-นาม ไม่สามารถหลีกหนีได้ แต่สามารถทำให้ผ่อนคลาย(ทำให้เป็นธรรมชาติ)ได้ ถ้าเรารู้จัก “ปล่อยวาง” คือเข้าไปรับรู้ ยอมรับ ปล่อยให้ผ่านไป ไม่ปรุงแต่ง มีสติและสมาธิ(สงบ)
   ทุกขอริยสัจ ประกอบด้วย ๗ ประการ คือทุกข์ที่เกิดจาก
๑.   ความเกิด
๒.   ความแก่
๓.   ความเจ็บ
๔.   ความตาย
๕.   ความปราถนาสิ่งใด ไม่ได้สิ่งนั้น
๖.   การประจวบกับสิ่งอันไม่เป็นที่รัก หรือชอบ
๗.   การพลัดพรากจากสิ่งที่เป็นที่รัก(ทั้งบุคคล และสิ่งของ)
                ทุกข์ทั้ง ๗ ประการนี้ ครอบคลุมทุกข์ที่จะพึงมีในโลกนี้ทั้งหมดที่เกิดกับมนุษย์ ทุกรูป-นาม และไม่สามารถที่จะหลีกหนีพ้าทั้งสิ้น รวมทั้งพระพุทธเจ้าและเหล่าอริยะสาวก  แต่ถ้าเรารู้  ยอมรับ ปล่อยวาง เราก็สามารถที่จะบรรเทาทุกข์นี้ได้ ตามที่พระพุทธเจ้าท่านให้ไปรับรู้เวทนาจากทุกขอริยสัจ ไม่ต้องสังขารา(ปรุงแต่ง) ไม่ต้องจำสัญญา ให้ปล่อยวางผ่านไปด้วยความสงบแห่งจิตใจ ทุกข์นั้นก็จะเป็นทุกข์ธรรมดา หรือทุกข์ธรรมชาติ ที่จะต้องเกิด จะต้องเป็นไปเป็นตามธรรมดา อย่าไปสังขาราหรือวิตกกังวล ทำให้เป็น “อุปทานทุกข์”
              อุปทานทุกข์ คือเหล่าทุกข์อริยสัจ ที่ประกอบไปด้วย ความเกิด ๑ ความแก่ ๑ ความเจ็บ ๑ ความตายหนึ่ง๑ ความปราถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้น ๑ การประจวบกับสิ่งไม่เป็นที่รักหรือชอบ ๑ และพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก ๑ เรารับรู้หรือสัมผัสได้ทางอายตนะ ๖ เกดเวทนา เอาไปจำไว้และเราไปสังขารา(ปรุงแต่ง) ไปยึดมั่นถือมั่นกับทุกข์เหล่านี้ ไปยึดติด(อุปาทาน)หรือหยาก(ตัณหา)กับเวทนา ที่เกิดขึ้นและก็เอาไปเก็บไว้ในความคิด(สัญญา) รอวันที่จะประสพอีกครั้งก็พรุ่งขึ้นมาจากจิตใจทันที ก็ทำให้ทุกข์เกิดขึ้นทั้งทางกายและใจแก่เราอีก
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #177 เมื่อ: 18 กันยายน 2553, 14:48:54 »

สวัสดีครับ ชาวเวบที่รักทุกท่าน
                        พอดีผมกำลังนั่งรอเวลาขึ้นเครื่องบินเดินทางกลับกรุงเทพฯ ไม่รู้จะทำอะไร ครับ และ วันที่ 20-21-22 กันยายน นี้ผมไปเชียงใหม่-เชียงราย กลัวไม่มีเวลา เลยนำสิ่งที่เขียนไว้เอามาให้ท่านได้อ่านกันครับ

                        สำหรับ "พยามารตัวใหม่" นั้นอาทิตย์ที่ผ่านมาต่อสู้กับพี่สิงห์อย่างหนักไม่เคยเป็นแบบนี้เลย คือ "ความวิตกกังวลในสิ่งที่ยังมาไม่ถึง" เริ่มแรก พอได้รับทราบข่าวว่าพวกแดงจะนัดชุมนุมที่เชียงใหม่ ใจมันก็คิดทั้งวัน เราจะไปเชียงใหม่พอดี ต้องนอนพักหนึ่งคืน จะมีเหตุการอะไรไหมหนอ อารมณ์มันปรุงแต่งทั้งวัน แล้วก็มาทำให้เราตกอยู่ในความคิดของมันหรือเป็นทาษของมัน ต้องทำตามที่มันสั่งการ วุ่นวาย จนเกือบจะงดเดินทางเลยทีเดียว แต่ก็พอรู้ตัวว่าเรากำลังตกเป็นทาษความคิด พยายามมีสติ ภาวนา พุธ-โธ ตลอดเวลาไม่ว่าจะทำอะไร จิตกำหนดอยู่ที่ลมหายใจ หรือที่มือ  แต่ก็ยังฟุ้งซ่าน เดือดดาลใจ  พยายามเจริญสติให้มากเข้าไว้  พอจะสู้กันได้ แต่เราก็แพ้อยู่ดี ครับ
                        พอมาที่ทำงานนครศรีธรรมราช มาเจอปัญหาเกี่ยวกับงาน ไม่เป็นไปตามแนวทางที่เราคิด  เราเองก็ทำอะไรไม่ได้มากนักเป็นเพียงที่ปรึกษาเท่านั้น  ปัญหาแก้ง่ายมาก  แต่เราไม่มีอำนาจจะไปสั่งการ เลยพยามารได้ที มาจัดการปรุงแต่งอารมณ์ของเราให้เราเป็นทาษอีก คิดไปใหญ่โต  ฟุ้งซ่านเรื่องในอนาคตทั้งนั้น จนเรารู้ว่ามันจะไปกันใหญ่แล้วนะเรานี่  พระพุทธเจ้าท่านให้มีสติอยู่กับปัจจุบันแท้ ๆ เราก็ว่าเรารู้ตัวแล้วนา แต่ทำไมอารมณ์มันถึงพาไปรุนแรงแบบนั้น  ทั้งๆที่เมื่อก่อนแทบจะไม่คิดถึงอนาคต และคิดถึงอดีตน้อยมาก มีสติอยู่กับปัจจุบันมาก เราก็ทำได้ แต่ทำไมเราทำไม่ได้ในสองสามวันที่ผ่านมา  จึงหาสาเหตุแห่งจิตที่คิด จึงสรุปเอาเอง จิตมันเห็นเราเจริญสติมาก ก็เลยลองมาทดลองดูวิว่าเราจะแน่แค่ไหน ผลคือมันชนะ แต่ตอนนี้เราเอาชนะมันได้แล้วเพราะเราไม่ทำตามที่มันคิดให้ทำ เรทำตามสติของเราในหนทางที่ถูกต้องด้วยปัญญา  จึงทำให้เรามีสติกลับคืนมาตั้งแต่เช้า อยู่กับปัจจุบัน ไม่คิดเรื่องในอดีต  ไม่คิดเรืองในอนาคต เพราะปัจจุบันเราก็พอมีความสุขอยู่บ้างแบบพอเพียงครับ
                         ดร.ป๋อง มันเป็นเรื่องจริง ครับ ผมเองพยายามดูจิตตัวเองคิด และหาเหตุผลให้ได้ว่าทำไมมันถึงคิด ตามที่หลวงพ่อเทียนท่านให้เอาสติมาดูความคิดของตัวเอง  เพื่อจะหารากเหง้าว่า ทำไมจิตมันคิด และคิดจากสาเหตุอะไร เพื่อจะหาคำตอบที่เราจะต้องเอาชนะจิตของเราให้ได้
                          จะให้ผมเขียนเรื่องอื่น ก็เขียนได้แต่ วิธีดูแลตัวเองไม่ให้ป่วย งานทางด้านคอนกรีตอัดแรงก็กลัวไม่มีใครรู้เรื่อง ก็เลยเขียนในสิ่งที่ตัวเองได้รู้จากการดูตัวเองทั้งทางกายและจิต ครับ มาเล่าสู่กันฟัง ตามที่มันเกิดขึ้นจริงในแต่ละวัน
                          สวัสดีครับ
                      
      บันทึกการเข้า
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #178 เมื่อ: 18 กันยายน 2553, 15:39:14 »

พี่สิงห์ถึงกรุงเทพรึยัง?


"มาร"ที่พี่หมายถึงคือความวิตกกังวลไช่มั้ยคะ?
ไม่ไช่การคิดวางแผนล่วงหน้า การสลับอันดับ
ก่อนหลังของแผนการชีวิตประจำวัน?การเตรียมจิต
ของสิ่งที่จะพบ-ปฏิบัติ เพราะสิ่งนี้คนเราต้องมี
ไม่งั้นจะเรื่อยเฉื่อย หลงลืม ดำเนินชีวิตได้อย่าง
ขาดตกบกพร่อง...สมองไม่เคยหยุดคิดนี่คะ
      บันทึกการเข้า


suriya2513
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,457

« ตอบ #179 เมื่อ: 18 กันยายน 2553, 21:10:55 »

นั่นไงว่าแล้วเชียว ต้องเป็นกุศโลยายในการนำเข้าสู่บทเรียนแน่นอนเลย
ทำไมซื้อหวยไม่แม่นอย่างนี้บ้างเล่าครับ
      บันทึกการเข้า

[โบราณคดี]จุดกำเนิดเริ่มต้นของ cmadong.com by : มานพ กลับดี  คลิ๊ก->
BU_KA
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 986

« ตอบ #180 เมื่อ: 19 กันยายน 2553, 20:23:30 »

สวัสดีค่ะพี่สิงห์ที่เคารพ

แวะมาอ่านค่ะ

หนู ชอบกับการมีชีวิตจิตใจที่สงบสุข มีความสุขกับสิ่งที่เราเป็นค่ะ

เหลียวอดีต
อยู่กับปัจจุบัน
แลไปข้างหน้าอย่างมีเป้าหมาย




โอ๊ย โอ๊ย โอย เยอะเหลือเกิน พิมพ์ไม่ไหวค่ะ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #181 เมื่อ: 19 กันยายน 2553, 20:44:29 »

สวัสดีครับ คุณน้องหนุงหนิง
                         พี่สิงห์อยู่กรุงเทพฯ จะเดินทางไปเชียงใหม่ Boading 09:05 น. by Nok Air เช้าวันจันทร์ ครับ

                         หนุงหนิง  เธอกลับไปดูรูปทั้งสามใหม่ ดูอย่าง "โยโสมนสิการ" ครับ ถ้าไม่เข้าใจถาม "อาจารย์ป่อง" เธอยังเข้าใจไม่ถูกต้อง
                         "จิตประภัสสร" คือจิตที่ว่างจากกิเลส หรือจิตว่างเปล่าและรู้อยู่กับปัจจุบันเท่านั้น การปล่อยจิตคิดไปในอนาคต กับการคิดวางแผนในอนาคต ไม่เหมือนกันครับ คนละความหมาย

                          พี่สิงห์ไปเชียงใหม่ไม่ได้นัดใครทั้งสิ้น ครับ ด้วยความเกรงใจจริงๆ  พี่สิงห์อย่างเข้าวัย สว. ต้องอยู่แบบง่ายๆ ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน หรือวิตกกังวลเพราะเรา

                          ตอนนี้ "มาร" ที่มาผจญกับพี่สิงห์ที่รู้จักและเข้าใจแล้ว คือ มารจากความโลภ   มารจากความโกรธ  มารจากความหลง  มารจากประจวบกับสิ่งที่ไม่ได้รักหรือไม่ได้ชอบ และมารจากการวิตกกังวลในเรื่องที่ยังมาไม่ถึง ครับ ว่าง ๆจะมาเล่าให้ฟังครับ
                          ราตรีสวัสดิ์ครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #182 เมื่อ: 19 กันยายน 2553, 20:53:50 »

อ้างถึง
ข้อความของ BU_KA เมื่อ 19 กันยายน 2553, 20:23:30
สวัสดีค่ะพี่สิงห์ที่เคารพ

แวะมาอ่านค่ะ

หนู ชอบกับการมีชีวิตจิตใจที่สงบสุข มีความสุขกับสิ่งที่เราเป็นค่ะ

เหลียวอดีต
อยู่กับปัจจุบัน
แลไปข้างหน้าอย่างมีเป้าหมาย




โอ๊ย โอ๊ย โอย เยอะเหลือเกิน พิมพ์ไม่ไหวค่ะ

สวัสดีค่ะ คุณน้องหมี
                         พี่สิงห์ไปหลายวันกลัวว่าคนเข้ามา แล้วไม่มีอะไรอ่าน ครับ ก็เลยนำสิ่งที่อยู่ใน Power Point ซึ่งมีทั้ง คำสอนของหลวงพ่อเทียน  วงจรทุกข์ และอะไรอีกมากครับ เหตุที่ทำเป็น Power Point เอาไว้ เพราะเจ้านายคนหนึ่งบังคับเอาไว้ เวลาไปเจออะไรด๊ๆ ให้เอาไปสอนให้ด้วยเพราะเขาขี้เกียจอ่านหนังสือ ดังนั้น เวลาอ่านหนังสือพี่สิงห์เลยทำเป็น Power Point ไว้ทำให้เราเข้าใจและไม่ลืมด้วยครับ
                          สวัสดีค่ะ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #183 เมื่อ: 19 กันยายน 2553, 21:03:12 »

สวัสดีครับ ชาวเวบที่รักทุกท่าน
                         วันนี้คุณกิตติมา ครุศาสตร์รุ่นเดียวกับ ภรรยาอาจารย์ถาวร   โชติชื่น  โทรศัพท์มาหาพี่สิงห์ ต้องการให้พี่สิงห์ โพสต์รูปการทำโยคะ และTAI  CHI เพื่อเอาไปให้ผู้ปฏิบัติธรรมฝึกแก้อาการปวดจากการนั่งวิปัสสนา ครับ เลยขอประชาสัมพันธ์เลยครับ ท่านใดสนใจที่จะไปปฏิบัติธรรม เรียนเชิญครับ ไม่เสียค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น กับคุณกิตติมา อยู่แถวๆ บางบอน วันศุกร-เสาร์-อาทิตย์ 24-25-26 กันยายน นี้ ครับ พี่สิงห์กะว่าเช้าวันพฤหัสบดี ก่อนไปนครศรีธรรมราช  จะไปสอนโยคะและ TAI CHI ให้เขาบันทึกภาพไว้ ให้ผูปฏิบัติธรรมฝึกคลายความปวดเหมื่อยจากการปฏิบัติธรรมครับ เพราะพี่สิงห์ใช้ได้ผลเวลานั่งขัดสมาธินานๆ เหลือดไม่ค่อยไหล เวลาเลิกปฏิบัติต้องใช้โยคะยึดกล้ามเนื้อและข้อเข่า ป้องกันกายพิการ ครับ ทำได้ผลมาแล้ว พี่สิงห์จึงไม่ปวดเหมือยเลยภายหลังจากการนั่งสมาธิ ครับ
                           สวัสดีครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #184 เมื่อ: 20 กันยายน 2553, 08:44:09 »

สวัสดีครับ ชาวเวบที่รักทุกท่าน
      พี่สิงห์อยู่ที่สนามบินดอนเมืองนั่งรอเวลาขึ้นเครื่องไม่รู้ทำอะไร? จึงเข้าเวบมาเพื่อ อธิบายให้คุณน้องหนุงหนิงเข้าใจ ไม่รออาจารย์ป๋อง  แล้วครับ
      เมื่อเช้าตอนตีห้าครึ่งขณะที่พี่สิงห์กำลังนั่งเจริญสติ ภายหลังที่จิตสงบคือนิ่งไม่วอกแวกส่ายไปทางไหนแล้ว การจะรักษาให้จิตสงบนิ่งอย่างนั้นนานๆ มันยากสำหรับพี่สิงห์ที่จะไม่ให้คิด ดังนั้นพี่สิงห์จะยึดหลักโพชฌงค์ ๗ คือภายหลังมีสติ จิตสงบแล้วจะเลือกธัมมวิจยะ คือเลือกเฟ้นธรรมให้จิตมันคิด วันนี้จึงเลือกที่จะคิดในสิ่งที่คุณน้องหนุงหนิง ยังไม่เข้าใจที่ ศาสตราจารย์นายแพทย์ประเวศ   วะสี  ท่านซื่อความหมายของหลวงพ่อเทียน หรือคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่ให้มี “สติ ณ ปัจจุบัน” นั้นหมายความอย่างไร
๑.   ในทางธรรม ท่านให้มี “สติรู้อยู่กับปัจจุบัน” เพราะท่านให้ทำความเพียรเพื่อให้จิตพ้นทุกข์ คือตรัสรู้ธรรมด้วยปัญญา เป็นพระโสดาบัน สกคามี อนาคามี และพระอรหันต์  ดังนั้นท่านจึงไม่ให้คิดเรื่องที่ผ่านมาในอดีตที่เป็นกิเลสเกาะยึดใจ ทำให้ใจเศร้าหมอง แต่ให้คิดทบทวนสิ่งที่เคยเกิดขึ้นในอดีตได้ คือ ตั้งใจคิด  ไม่ใช่ปล่อยให้จิตล่องลอยคิดไปเองซึ่งเป็นกิเลส แต่ถ้าตั้งใจคิดมันไม่ใช่กิเลส พระพุทธเจ้าขณะปฏิบัติธรรมท่ายก็คิด แต่ท่านมีสติตั้งใจคิดเพราะจะเกิดประโยชน์ไม่เป็นกิเลส  ในทำนองเดียวกัน จะไม่ปล่อยให้จิตมันคิดล่องลอยเพ้อเจอ หวังไปในอนาคตที่ยังไม่เกิดเพราะมันก็จะเป็นกิเลส แต่ถ้าเรามีสติตั้งใจคิดไปในอนาคต ในสิ่งที่จะต้องเกิดกับเราเป็นเรื่องปกติธรรมชาติในการดำรงค์ชีวิต อย่างนี้ไม่เป็นกิเลส พระพุทธเจ้าท่านก็คิด เช่น ท่านยังต้องฉันท์ ท่านก็ต้องคิดว่าจะไปบิณฑบาทตร์ที่ไหนในวันพรุ่งนี้ หรทอเมื่อท่านตรัวสู้ธรรม ท่านก็นึกถึงอาจารย์ของท่าน และพวกปัญจวัคคี ทั้งๆที่ยังไม่เกิดเป็นรื่องของอนาคต อย่างนี้คิดได้เพราะเราตั้งใจคิดไม่เป็นกิเลส  แต่ถ้าจิตมันคิดเอง มันจะคิดแต่เรื่องที่จะเป็นกิเลส ทำให้ใจเศร้าหมอง ท่านให้มีสติรู้อยู่กับปัจจุบัน นั้นหมายความว่า ให้รู้ตัวว่าเรากำลังทำอะไร ถ้าทำความเพียรทางธรรมก็ให้เอาจิตมาดูกาย ว่าขณะนี้เวทนามันเกิดกับกายเราอย่างไร เอาสติมาดูใจว่าขณะนี้ใจเราคิดอย่างไร มีสาเหตุการคิดอย่างไร ทำไมมันจึงคิด จึงจะเกิดปัญญาญาณ ขึ้นได้ คือรู้การเกิด การดับ ไปของทุกข์สิ่งด้วยตัวเอง  ซึ่งจริงๆ พี่สิงห์ก็ยังไม่รู้ว่าปัญญาญาณที่เกิดขึ้นมันเป็นอย่างไร?  ได้แต่รู้ว่าใจมันคิดอย่างไร(เกิด) และมันเลิกคิดไปอย่างไร(ดับ) เท่านั้นเองครับ
๒.   ในทางโลก คืออย่างพวกเรานี้ละ ท่านให้มีสติรู้อยู่กับปัจจุบัน หมายความว่า ก่อนที่เราจะคิด จะพูด จะทำอะไรก็แล้วแต่ ให้รูสึกตัวในสิ่งที่เราจะทำ ความผิดพลาดต่างๆก็จะไม่เกิดขึ้นเราจะกระทำด้วยปัญญา  ท่านไม่ให้คิดในอดีตที่ผ่านมานั้น หมายความว่า ไม่ให้ปล่อยจิตล่องลอยคิดเรื่อยเปื่อยไปในอดีตที่ไม่มีสาระมีแต่ทุกข์ ซึ่งมันผ่านไปแล้วเรียกคืนไม่ได้มีแต่กิเลส ท่านจึงไม่ให้คิด แต่ถ้าตั้งใจคิดมันจะเป็นประโยชน์ เพราะสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตนั้น มันเคยเกิดขึ้นมาก่อนในอดีตเสมอ ถ้าเรารู้เราเข้าใจมัน เราสามารถเอาอดีตมาใช้แก้ปัญหาในอนาคตได้ อันนี้ท่านให้คิดเพราะไม่เป็นกิเลส  แต่ถ้า ดร.ป๋อง ไปคิดฟุ้งซ่านถึงแฟนเก่าในอดีต  ยังเพ้อเจ้ออยากอยู่ในสิ่งที่ตนรัก จนเป็นทุกข์ ซึ่งปัจจุบันมันเป็นจริงไม่ได้ ก็ไม่ควรคิดเพราะมันเป็นกิเลส ครับ ส่วนท่านไม่ให้วิตกกังวลในอนาคตที่ยังมาไม่ถึงนั้นหมายความว่า อะไรที่จะเป็นกิเลสท่านไม่ให้คิด แต่ถ้าเราตั้งใจคิดเพื่อวางแผนการทำงาน วางแผนอนาคตชีวิตเราหรือครอบครัวนั้น มันเป็นเรื่องธรรมชาติที่จะต้องคิด นั้นเราตั้งใจคิด จึงคิดได้ครับ เพราะไม่เป็นกิเลส แต่ไม่ใช่ปล่อยให้จิตมันคิดเองและคิดในสิ่งที่ไม่เป็นธรรมชาติ คือเป็นจริงไม่ได้มีแต่กิเลส นั้นท่านไม่ให้คิด
                     เครื่องบินออกแล้วครับ สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Khun28
Full Member
**


ดูกายเห็นจิต ดูคิดเห็นธรรม
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: RCU2528
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์
กระทู้: 784

« ตอบ #185 เมื่อ: 20 กันยายน 2553, 10:18:44 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 18 กันยายน 2553, 08:41:35
อาจารย์ป๋อง  อาจารย์รุ่งศักดิ์ อาจารย์ถาวร และท่านขุน๒๘ ผ่านมาทางนี้ช่วยด้วย
                        ผมกำลังถูก "พยามารตัวใหม่" เล่นงานอย่างแรงมาก คือ มารที่ทำให้จิตวิตกกังวล  ฟุ้งซ่านในสิ่งที่ยังมาไม่ถึง ยังอยู่ในอนาคต ซึ่งมันอาจจะไม่เป็นอย่างที่คิดก็ได้ กำลังผจญกับมันครับ เพราะมารตัวเก่า คือมารจากความโลภ  ความโกรธ  ความหลง  มันไม่ค่อยมารังควานผมแล้ว หายหน้าไปนาน แต่มารตัวใหม่นี่สิ รังควานอย่างหนัก ครับ จิตเพิ่งสงบลงได้เมื่อเช้านี้เองครับ ช่วยด้วย
                         สวัสดี

เรียนพี่สิงห์
         คงต้องใช้บทสวดมนต์บทนี้ สวดเสริมจากที่พี่สวดมนต์ทำวัตรเช้าครับ

๘.  ภัทเทกรัตตคาถา
(นำ)  หันทะ  มะยัง  ภัทเทกะรัตตะคาถาโย  ภะณามะ  เส.

อะตีตัง  นานฺวาคะเมยยะ        นัปปะฏิกังเข  อะนาคะตัง,
   บุคคลไม่ควรตามคิดถึงสิ่งที่ล่วงไปแล้ว  ด้วยอาลัย, และไม่พึงพะวง   ถึงสิ่งที่ยังไม่มาถึง;
ยะทะตีตัมปะหีนันตัง        อัปปัตตัญจะ  อะนาคะตัง, 
   สิ่งเป็นอดีตก็ละไปแล้ว,    สิ่งเป็นอนาคตก็ยังไม่มา;
ปัจจุปันนัญจะ  โย  ธัมมัง        ตัตถะ  ตัตถะ  วิปัสสะติ,
อะสังหิรัง  อะสังกุปปัง        ตัง วิทธา  มะนุพรูหะเย.
   ผู้ใดเห็นธรรมอันเกิดขึ้นเฉพาะหน้าในที่นั้นๆอย่างแจ่มแจ้ง,
   ไม่ง่อนแง่นคลอนแคลน,  เขาควรพอกพูนอาการเช่นนั้นไว้.
อัชเชวะ  กิจจะมาตัปปัง        โก  ชัญญา  มะระณัง  สุเว,
   ความเพียรเป็นกิจที่ต้องทำวันนี้, ใครจะรู้ความตาย แม้พรุ่งนี้;
นะ  หิ  โน  สังคะรันเตนะ        มะหาเสเนนะ  มัจจุนา,
   เพราะการผัดเพี้ยนต่อมัจจุราช ซึ่งมีเสนามาก ย่อมไม่มีสำหรับเรา;
เอวัง  วิหาริมาตาปิง           อะโหรัตตะมะตันทิตัง,
ตัง  เว ภัทเทกะรัตโตติ        สันโต  อาจิกขะเต  มุนิ. 
   มุนีผู้สงบ  ย่อมกล่าวเรียก  ผู้มีความเพียรอยู่เช่นนั้น, ไม่เกียจคร้าน
   ทั้งกลางวันกลางคืน ว่า   “ ผู้เป็นอยู่แม้เพียงราตรีเดียวก็น่าชม ” .


      บันทึกการเข้า
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #186 เมื่อ: 20 กันยายน 2553, 13:05:22 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 16 กันยายน 2553, 08:08:07
สวัสดียามเช้าครับ คุณน้องหนุงหนิง
                                                  สำหรับวันที่ 20-22 กันยายน เดิมทีซื้อตั๋วเครื่องบันไปเชียงใหม่-เชียงรายไว้ แต่ตอนนี้ยังไม่ได้ตัดสินใจเพราะ พวกแดงนัดชุมนุมกันที่เชียงใหม่ และจะใช้เชียงใหม่เป็นฐานแทนกรุงเทพฯ เลยเป็นกรรมของจังหวัดเชียงใหม่ไป ที่ถึงหน้าท่องเที่ยวแล้ว คงไม่มีใครไปเชียงใหม่มากนักปีนี้  พี่สิงห์กำลังชั่งใจอยู่ว่าจะไปดีหรือไม่ครับ ถ้าไม่ไปต้องเสียค่าเครื่องบินฟรี 798*2 ครับ
                                                 

พี่สิงห์ที่เคารพ
ตกลงว่าพี่ตัดสินใจยังไงคะ?
ได้ไปหรือเปลี่ยนใจ?
ถึงเชียงใหม่แล้วจะได้เจอะพี่ๆทางโน้นมั้ยคะ?


nn.27
      บันทึกการเข้า


khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #187 เมื่อ: 20 กันยายน 2553, 13:07:47 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 19 กันยายน 2553, 20:44:29
สวัสดีครับ คุณน้องหนุงหนิง
                         พี่สิงห์อยู่กรุงเทพฯ จะเดินทางไปเชียงใหม่ Boading 09:05 น. by Nok Air เช้าวันจันทร์ ครับ

                         

ถึงแล้ว!
เพิ่งเห็นpostนี้คะพี่สิงห์
      บันทึกการเข้า


khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #188 เมื่อ: 20 กันยายน 2553, 13:37:57 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 19 กันยายน 2553, 20:44:29
สวัสดีครับ คุณน้องหนุงหนิง
                       
                         หนุงหนิง  เธอกลับไปดูรูปทั้งสามใหม่ ดูอย่าง "โยโสมนสิการ" ครับ ถ้าไม่เข้าใจถาม "อาจารย์ป่อง" เธอยังเข้าใจไม่ถูกต้อง
                         "จิตประภัสสร" คือจิตที่ว่างจากกิเลส หรือจิตว่างเปล่าและรู้อยู่กับปัจจุบันเท่านั้น การปล่อยจิตคิดไปในอนาคต กับการคิดวางแผนในอนาคต ไม่เหมือนกันครับ คนละความหมาย

                          พี่สิงห์ไปเชียงใหม่ไม่ได้นัดใครทั้งสิ้น ครับ ด้วยความเกรงใจจริงๆ  พี่สิงห์อย่างเข้าวัย สว. ต้องอยู่แบบง่ายๆ ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน หรือวิตกกังวลเพราะเรา
                     

พี่สิงห์ที่เคารพ,
หนิงสังเกตผู้สูงอายุใกล้ตัวที่สุด 2ท่าน:แม่หนิงในวัย 87
และแม่แฟนหนิง วัยเท่ากัน เป็นระยะเวลายาวนาน..ด้วย
ความทึ่งจัดสุดขีด...ยกทฤษฏีธรรมของพี่เก็บไว้ข้างๆแป๊บคะ
ทั้งสองท่าน top fitอย่างยิ่งที่...mentality...สมองและการควบคุม
การคิด
หนิงทึ่งที่ว่าสตรีทั้งสองท่านสามารถ"คิด"กลับไป กลับมา
ระหว่างอดีต-ปัจจุบัน-อนาคต ได้อย่างคล่องแคล่ว...ไม่ไช่
เรื่องโลกและจักรวาล แต่เป็นเรื่องใกล้ตัวที่วนเวียนเกี่ยวข้อง
กะชีวิตของสตรีทั้งสองท่านนี้...ความ preciseที่เราผู้คุยด้วย
ลืมวัย ลืมอายุกันเลย...สิ่งนึงที่หนิงสังเกตอีกคือเค้าๆเลือก
เก็บ เลือกทิ้ง เรื่องราวได้อย่างมีประสิทธิภาพ เค้าๆมีเรื่อง
ความทรงจำดีๆมีความสุข ยังเล่าเรียงลำดับได้อย่างสดๆ
ซ้ำแล้วซ้ำอีก...โดยที่หนิงไม่เคยรู้สึกว่านั่นคือความเลอะเลือนของวัย
ที่เล่าแล้วเล่าอีก ไม่ไช่คะ เพราะได้ถัวเฉลี่ย
กะเรื่องปัจจุบัน ด้วยเรื่องง่ายๆแต่มีสติ กำลังทำอะไร รู้สึกยังไง
เป็นยังไง และยังมีเรื่องอนาคตของตัวเองว่าจะทำอะไร
เรื่องอนาคตของลูกหลานเก็บในศูนย์ข้อมูล เรียกออกมา
ได้ทันทีว่าจะต้องคุยต้องถามลูกหลานคนไหนด้วยเรื่องอะไร

โดยที่....
ไม่มีความรู้สึกเข้าไปเกี่ยวข้อง!

ตรงนี้รึปล่าวไม่ทราบคะ ที่หมายถึงการละเลี่ยง
รัก-ชอบ-โกรธ-หลง ในวิธีการคิด อดีต-ปัจจุบัน-อนาคต

ทั้งสองท่านไม่ได้เพิ่งมามีคุณลักษณ์นี้ในวัย87
แต่ฝึกปรือ ใช้งานเท่าที่ชีวิตของเค้าได้ดำเนินมา
จนถึงวันนี้จนคล่องแคล่วกลมกลืน


พี่สิงห์คะ,
หนิงจะบอกพี่สิงห์ว่า...
หนิงไม่จำเป็นหรือยังไม่จำเป็น
ที่จะต้องเข้าวัด ปฏิบัติแนวทาง
ที่จะสงบได้ในจิต...หากยังต้อง
ใช้ชีวิตในวิถีโลก หนิงขอเลือก
วิถีที่ง่ายที่สุด ใกล้ตัวที่สุด..เห็นๆ


nn.27
      บันทึกการเข้า


roong15
Full Member
**


Peaceful and Useful Life
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 514

« ตอบ #189 เมื่อ: 20 กันยายน 2553, 15:45:19 »

สวัสดีครับพี่สิงห์ที่เคารพ

ก่อนอื่น ผมขออนุญาตเป็นแค่ รุ่งศักดิ์ หรือคุณรุ่งศักดิ์เฉยๆอย่างที่พี่เคยเรียกในเวปนะครับ  

นานๆจะแวะเข้าเวป Cmadong เสียที ก็ไม่ได้มีโอกาสแวะเวียนไปที่ไหนมากนัก  แต่ก็แวะเข้ามาอ่านประสพการณ์ของพี่อยู่บ้างครับ วันนี้คงออกความเห็นเล็กๆน้อยๆครับ


พี่เคยคิดจะลองปฏิบัติธรรม หรือเจริญสติอย่างต่อเนื่องไหมครับ? เช่นทดลองก่อนสัก 3วัน (แล้วค่อยเพิ่มทีหลัง)  ทำเหมือนกับคนที่ไปวัดเขาทำกันเช่น

03:30  ตื่นนอน
เจริญสติ
04.30 ทำวัตรเช้า หรือ เจริญสติ

08:30 ทานอาหาร  (มือเดียวทั้งวัน)  ตอนเย็นใช้น้ำปาณะช่วย

เจริญสติ

18:00 ทำวัตรเย็น หรือ เจริญสติ

เจริญสติ
21:00 เข้านอน


งดพูดคุยที่ไม่จำเป็น งดรับโทรศัพท์ งดเปิดคอมพ์เพื่อเช็คอีเมล์และเข้าเวป

งดงานทุกชนิดแม้แต่ซักผ้า

นอนที่นอนบาง

เท่ากับว่าพี่สิงห์ได้ถือศีลแปดด้วย  

ถามว่าทำเช่นนี้แล้วจะได้ประโยชน์อะไร

ตอบว่า

1. พี่จะได้เรียนรู้บทเรียนในการ ปฏิบัติธรรม หรือเจริญสติ ที่แตกต่างจากที่พี่เคยพบอยู่ ถ้าในสายงานหลวงพ่อเทียน ก็จะเรียก การเจริญสติแบบอุกฤษฏ์ หรือการเก็บอารมณ์

2. ความที่ชีวิตพี่มีระเบียบแบบแผนที่แน่นอน เช่นตื่นนอนเวลาเท่าใด เวลานี้ทำอะไร ...... ถ้ากิเลสมันเป็นโจรมันก็รู้ว่า เวลาไหนที่มันจะเข้ามาขโมย หรือลองดีกับพี่ หรือพี่พร้อมจะรับมือกับมันหรือไม่

แต่ถ้าพี่เจริญสติอยู่ทั้งวัน  มันก็จะเข้ามาลองดีพี่อยู่ดี แต่จะมาแบบไม่แน่นอน และไม่มีรูปแบบ  ซึ่งพี่ก็จะได้เรียนรู้มันในแต่ละกรณี

จิตของคนเราฝึกให้มันเชื่องได้ยากนัก  เคยปรารภกับ ญาติผู้หญิงท่านหนึ่ง ท่านเป็นดอกเตอร์ และปฏิบัติธรรมอยู่ด้วย  ว่า  การฝึกจิตให้เชื่องนั้นน่าจะยากกว่าการเรียนให้จบ ดอกเตอร์ เสียอีก ท่านก็ยอมรับว่าจริง

จิตของเรานั้นมันเจ้าเล่ห์มากครับ  บางครั้งมันจะหลอกเราว่า มันไม่คิดแล้วนะ หรือหลอกเราว่าเราบรรลุธรรม หรือสำเร็จแล้ว แม้กระทั่งบางเวลาก็หลอกเราว่า เราเก่งกว่าครูบาอาจารย์

ผมคิดว่า พี่สิงห์ มีวิญญาน และคุณสมบัติแห่งการเรียนรู้ด้วยตนเอง  น่าจะลองดูนะครับ




 sing sing sing


      บันทึกการเข้า

Peaceful and Useful Life
pusadee sitthiphong
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: พาณิชยศาสตร์และการบัญชี
กระทู้: 4,689

« ตอบ #190 เมื่อ: 20 กันยายน 2553, 16:00:46 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 19 กันยายน 2553, 20:44:29
สวัสดีครับ คุณน้องหนุงหนิง
                         พี่สิงห์อยู่กรุงเทพฯ จะเดินทางไปเชียงใหม่ Boading 09:05 น. by Nok Air เช้าวันจันทร์ ครับ

                         หนุงหนิง  เธอกลับไปดูรูปทั้งสามใหม่ ดูอย่าง "โยโสมนสิการ" ครับ ถ้าไม่เข้าใจถาม "อาจารย์ป่อง" เธอยังเข้าใจไม่ถูกต้อง
                         "จิตประภัสสร" คือจิตที่ว่างจากกิเลส หรือจิตว่างเปล่าและรู้อยู่กับปัจจุบันเท่านั้น การปล่อยจิตคิดไปในอนาคต กับการคิดวางแผนในอนาคต ไม่เหมือนกันครับ คนละความหมาย

                          พี่สิงห์ไปเชียงใหม่ไม่ได้นัดใครทั้งสิ้น ครับ ด้วยความเกรงใจจริงๆ  พี่สิงห์อย่างเข้าวัย สว. ต้องอยู่แบบง่ายๆ ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน หรือวิตกกังวลเพราะเรา

                          ตอนนี้ "มาร" ที่มาผจญกับพี่สิงห์ที่รู้จักและเข้าใจแล้ว คือ มารจากความโลภ   มารจากความโกรธ  มารจากความหลง  มารจากประจวบกับสิ่งที่ไม่ได้รักหรือไม่ได้ชอบ และมารจากการวิตกกังวลในเรื่องที่ยังมาไม่ถึง ครับ ว่าง ๆจะมาเล่าให้ฟังครับ
                          ราตรีสวัสดิ์ครับ

เมื่อวานนั่งบางกอกแอร์กลับเชียงใหม่  เจอสมชาย17และบังเอิญที่นั่งข้างๆว่าง
ป้อมและสมชายเลยมีโอกาสคุยกันยาวเกือบ 2 ชั่วโมง ตั้งแต่สุวรรณภูมิจนถึงเชียงใหม่
คุยถึงพี่สิงห์และชาวหอพี่ๆน้องๆและเพื่อนๆหลายๆคน
สรุปทุกคนก็สุขสบายกันดี มัใครสะดุ้งบ้างคะ พูดถึงหลายคนเลย อิๆ
      บันทึกการเข้า

pom shi 2516
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #191 เมื่อ: 20 กันยายน 2553, 17:24:47 »

ฮั้ดดดดด......เช่ยยยยย!










(มันทาเลิ่งงง...)
      บันทึกการเข้า


Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #192 เมื่อ: 21 กันยายน 2553, 08:22:20 »

สวัสดีครับ คุณรุ่งศักดิ์ ท่านขุน 28 คุณหนุงหนิง และคุณน้องป้อม ที่รัก
                         ขอบคุณคุณรุ่งศักดิ์ที่แนะนำครับ พี่สิงห์อยากทำอย่างนั้นครับ ตอนนี้มีเหลนมาอยู่ด้วยที่บ้านแล้ว พี่สิงห์คงปลีกวิเวกได้ ไม่ต้องห่วงบ้านแล้วครับ  แต่ถ้าไปอยู่ตามวัด หรือสำนักวิปัสสนา คงไม่ไปกลัวไปเห็นในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง  สู้ไปหาที่สงบ  มีข้าวกิน  ไม่พลุกพ่านดีกว่าครับ

                         ขอบคุณท่านขุนสำหรับบทสวด "ธรรมมะราตรีเดียว" ครับ จะจดจำ ตอนนี้ก็จดจำเตือนตัวเองอยู่เสมอ ไม่คิดอดีต ไม่ปล่อยใจล่องลอยไปในอนาคต ครับ ตั้งใจอยู่กับปัจจุบัน  มีสติ คอยเตือนตัวเองอยู่ครับ

                         คุณน้องหนุงหนิงแสดงว่าคุณแม่ทั้งสองท่าน รู้จักการมีสติครับ นั่นละจะทำให้ท่านมีความสุข และเป็นประโยชน์ต่อลูกหลาน  การเข้าวัดไม่จำเป็นครับ เราสามารถอยู่ดูแลครอบครัว  ทำมาหากิน โดบยึดมรรค ๘ เท่านั้น ครับ เรื่องเข้าวัดนั้น  เป็นเรื่องที่ดีสำหรับบุคคลที่ตัดขาดจากสิ่งทั้งปวงแล้ว  มุ่งไปทางธรรมที่จะทำให้ตัวเองสงบ  ปล่อยวางได้  แต่เธอยังมีภาระต้องกระทำมาก ไม่สมคารเพียงแต่ปฏิบัติตามมรรค ๘ แค่นี้ก็สุดวิเศษแล้วครับ

                         เช้านี้ผมอยู่ที่โรงแรม The PARK เชียงใหม่ เมื่อวานนี้ มาถึงเชียงใหม่ 10:00 น. เดินทางไป PPS ที่จอมทอง ไปคุยกันเรื่องงาน บ่ายสองโมงไปตีกอล์ฟกับคุรประพันธิ์ เจ้าของ ผู้จัดการ PPS หกโมงเย็นคุณประพันธิ์และภรรยา พาไปรับประทานอาหารเย็นที่ กม. 31 ห้องอาหารสถานีเกษตรหลวงดอยอินทนนท์ สวยมากในยามค่ำคืน มองไปทางสวนดอกไม้ที่คลุมด้วยพลาสติกกันแมลง แสงไฟสวยมาก สอบถามได้ความว่า ต้นเบญจมาศเวลากลางคืนต้องมีแสงไฟฟ้าทำให้ก้านยาวครับ อาหารอร่อยมากไม่แพงที่โครงการหลวงดอยอินทนนท์ มี ปลาเทร้ารมควัน  ปลาเซอรเจียนนึ่ง ขาหมูหมั่นโถว ผัดผัก สลัดผัก  ยำเห็ด น้ำผักปั่นอร่อยและดีต่อสุขภาพมาก  คุณประพันธ์บอกว่า อาจารย์มาเดือนพฤศจิกายน มานอนที่นี่จะจองห้องพักไว้ให้  ทานอาหารเสร็จ เราไปดูรอบๆโครงการในเวลากลางคืนสวยมาก ผมชอบมาก และครั้งหน้าต้องมาเดินดูให้รอบ และได้ความรู้ครับ
                         เมื่อเช้าตืนขึ้นมาออกกำลังกาย และเจริญสติ รับประทานอาหารเช้า วันนี้เดินทางไปเชียงรายครับ
                         สวัสดี
      บันทึกการเข้า
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #193 เมื่อ: 21 กันยายน 2553, 13:20:05 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 21 กันยายน 2553, 08:22:20
สวัสดีครับ คุณรุ่งศักดิ์ ท่านขุน 28 คุณหนุงหนิง และคุณน้องป้อม ที่รัก
                         
                         เช้านี้ผมอยู่ที่โรงแรม The PARK เชียงใหม่ เมื่อวานนี้ มาถึงเชียงใหม่ 10:00 น. เดินทางไป PPS ที่จอมทอง ไปคุยกันเรื่องงาน บ่ายสองโมงไปตีกอล์ฟกับคุรประพันธิ์ เจ้าของ ผู้จัดการ PPS หกโมงเย็นคุณประพันธิ์และภรรยา พาไปรับประทานอาหารเย็นที่ กม. 31 ห้องอาหารสถานีเกษตรหลวงดอยอินทนนท์สวยมากในยามค่ำคืน มองไปทางสวนดอกไม้ที่คลุมด้วยพลาสติกกันแมลง แสงไฟสวยมาก สอบถามได้ความว่า ต้นเบญจมาศเวลากลางคืนต้องมีแสงไฟฟ้าทำให้ก้านยาวครับ อาหารอร่อยมากไม่แพงที่โครงการหลวงดอยอินทนนท์ มี ปลาเทร้ารมควัน  ปลาเซอรเจียนนึ่ง ขาหมูหมั่นโถว ผัดผัก สลัดผัก  ยำเห็ด น้ำผักปั่นอร่อยและดีต่อสุขภาพมาก  คุณประพันธ์บอกว่า อาจารย์มาเดือนพฤศจิกายน มานอนที่นี่จะจองห้องพักไว้ให้  ทานอาหารเสร็จ เราไปดูรอบๆโครงการในเวลากลางคืนสวยมาก ผมชอบมาก และครั้งหน้าต้องมาเดินดูให้รอบ และได้ความรู้ครับ
                         เมื่อเช้าตืนขึ้นมาออกกำลังกาย และเจริญสติ รับประทานอาหารเช้า วันนี้เดินทางไปเชียงรายครับ
                         สวัสดี


อ่านแล้ว...นึกภาพทันทีค่ะพี่สิงห์





      บันทึกการเข้า


khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #194 เมื่อ: 21 กันยายน 2553, 13:22:31 »





Trout ..


มีภาพอีกมากจากเวบคุณชื่อในรูป
ละเอียดยิบ...ขอบคุณค่ะ
      บันทึกการเข้า


Khun28
Full Member
**


ดูกายเห็นจิต ดูคิดเห็นธรรม
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: RCU2528
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์
กระทู้: 784

« ตอบ #195 เมื่อ: 21 กันยายน 2553, 15:10:36 »

ขอบคุณครับพี่หนิง
            อ่านเรื่องของพี่สิงห์เสร็จกำลังจะหาข้อมูล ห้องอาหารสถานีเกษตรหลวงดอยอินทนนท์  พี่ก็จัดให้แล้ว
      บันทึกการเข้า
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #196 เมื่อ: 21 กันยายน 2553, 18:28:32 »

เสียดายอยู่นี่คะ ว่าพี่สิงห์ไม่บอกว่าเชียงรายตรงไหน
ม่ายงั้นพวกเรานั่งหน้าจอ ไปถึงก่อนพี่เค้าแน่ๆค่ะ!

ที่เมืองจีนเป็นไงมั่งคะ?
เริ่มเทศกาลไหว้พระจันทน์แล้วนี่!
      บันทึกการเข้า


BU_KA
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 986

« ตอบ #197 เมื่อ: 21 กันยายน 2553, 20:42:12 »

"ปลาเทร้ารมควัน  ปลาเซอรเจียนนึ่ง ขาหมูหมั่นโถว ผัดผัก สลัดผัก  ยำเห็ด น้ำผักปั่น"

2 รายการแรก หนูอยากขอชิมบ้างจังค่ะ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #198 เมื่อ: 21 กันยายน 2553, 20:49:34 »

อ้างถึง
ข้อความของ BU_KA เมื่อ 21 กันยายน 2553, 20:42:12
"ปลาเทร้ารมควัน  ปลาเซอรเจียนนึ่ง ขาหมูหมั่นโถว ผัดผัก สลัดผัก  ยำเห็ด น้ำผักปั่น"

2 รายการแรก หนูอยากขอชิมบ้างจังค่ะ

สวัสดีค่ะ คุณน้องหมี
                           รับรองอร่อยมากครับ ราคาไม่แพง วันที่ 15-16-17 พฤศจิกายน ศกนี้ ไปกับพี่สิงห์ไหม พี่สิงห์จะไปนอนที่นั่นหนึ่งคืน เพื่อเดินดูโครงการหลวงทั้งหมด ตามที่คุณประพันธิ์  ต้องการให้ไปพักครับ
                            สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #199 เมื่อ: 21 กันยายน 2553, 21:05:48 »

สวัสดีค่ะ คุณน้องหนุงหนิง
                         ขอบคุณมากสำหรับรูปโครงการหลวงดอยอินทนนท์  ยังขาดโรงเรือนที่ปลูกดอกเบญจมาศที่เปิดไฟฟ้ากลางคืนสวยมากครับ
                         เมื่อเช้าพี่สิงห์ออกจากเชียงใหม่ 08:30 น. เดินทางไปเชียงรายถึงเชียงราย 11:00 น. ไปรับประทานก๋วยเตี๋ยว แล้วบ่ายไปที่แม่จันทร์ ไปดูงานให้เพื่อนฝูง กลับมาถึงโรงแรมที่พักพิมานอินน์ 17:00 น. ไปออกกำลังกายที่ห้องโยคะของโรงแรมที่มีฟิตเนสเซ็นเตอร์ รำมวยจีน โยคะ และนั่งเจริญสติ 18:30 น. มีนัดรับประทานอาหารเย็นริมแม่น้ำกก อาหารส่วนใหญ่เป็นปลา และผักครับ กลับถึงโรงแรม 20:30 น.
                         พรุ่งนี้ 06:00 น. รับประทานอาหารเช้า  06:20 น. ออกเดินทางไปสนามกอล์ฟสันติบุรีคันทรีคลับ มีนัดตีกอล์ฟเช้ากับคุณมงคลชัย   ดวงแสงทอง และลูกชาย เวลา 07:00 น. และตอนเที่ยงคุณพัชรี  มาสมทบรับประทานอาหารกลางวันที่สนามกอล์ฟ คุณมงคลชัย-คุณพัชรี  เป็น RCU 24 มีกิจการอยู่ที่เชียงรายครับ หลังอาหารเที่ยงพี่สิงห์เดินทางกลับเชียงใหม่ และเดินทางกลับกรุงเทพฯ Boading 18:00 น. โดย Nok Air ครับ เป็นอันเสร็จภาระกิจภาคเหนือ และจะไปใหม่ในเดือนพฤศจิกายน ครับ

                        วันนี้ตอน 11:45 น.ได้รับข่าวดีจาก วิทยุ อสมท. FM100.5 MHz. ว่าผมได้รับการคัดเลือกผ่านรอบแรก มีโอกาสได้ไปร่วมปลูกป่าที่หัวหินกับราฟาเอลนาดาล แช้มป์แกรนด์สแลมด์เทนนิสคนล่าสุดและมือหนึ่งของโลกที่เดินทางมาถึงเมืองไทยแล้วครับเพื่อร่วมการแข่งขันไทยแลนด์โอเพ่น พรุ่งนี้จะได้รับทราบผลว่า ผมจะได้ไปหรือไม่  ถ้าได้ไปผมต้องขอบคุณ  คุณอำมร   บรรจง  เจ้าของรายการ "พลังชีวิต" ที่เลือกผม ครับ
                         ราตรีสวัสดิ์ทุกท่านครับ
      บันทึกการเข้า
  หน้า: 1 ... 6 7 [8] 9 10 ... 681   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

สมาคมนิสิตเก่าหอพักนิสิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มวลสมาชิกสมาคม คณาจารย์ และนิสิตเก่าทุกคน ขอน้อมเกล้าถวายความอาลัย  พระผู้เสด็จสู่สวรรคาลัย ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ <;))))><