khesorn mueller
|
|
« ตอบ #100 เมื่อ: 21 สิงหาคม 2553, 15:05:55 » |
|
พี่สิงห์ที่เคารพ หนิงพักสมิหราจนอังคาร ถ้าออกอังคารไปนครฯวันนั้นเลย พี่สิงห์ขัดข้องหรือไม่
|
|
|
|
suriya2513
|
|
« ตอบ #101 เมื่อ: 21 สิงหาคม 2553, 18:16:41 » |
|
หนุงหนิง สิงห์ มานพ ฝากความมาว่า ถ้าไม่ติดงานพระราชทานเพลิงศพ พี่โกวิทย์ ปัญญาตรง ก็ไม่ขัดข้องครับ รอทราบกำหนดพรุ่งนี้ ตอนนี้กำลังจะขึ้นเครื่องที่นครศรีฯ
|
[โบราณคดี]จุดกำเนิดเริ่มต้นของ cmadong.com by : มานพ กลับดี คลิ๊ก->
|
|
|
wannee
Global Moderator
Cmadong พันธุ์แท้
ออฟไลน์
รุ่น: จุฬาฯรุ่นประวัติศาสตร์ 2516
คณะ: ทันตแพทยศาสตร์
กระทู้: 4,806
|
|
« ตอบ #102 เมื่อ: 27 สิงหาคม 2553, 09:51:12 » |
|
สวัสดีค่ะ พี่สิงห์ แฟนคลับของพี่ก็คือแฟนคลับที่ติดตามข่าวคราวของพี่เสมอค่ะ ตามที่พี่เคยบอกว่า ข้าก็มีแฟนคลับของข้า
|
"เสียด" ภาษาจีนฮากกา แปลว่า หิมะ
|
|
|
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์
รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644
|
|
« ตอบ #103 เมื่อ: 27 สิงหาคม 2553, 12:31:22 » |
|
ตอนที่ ๑ รู้จัก “รูป-นาม” ภายหลังจากผมได้อ่านหนังสือของ “หลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ” สิบกว่าเล่มที่ท่านอาจารย์ถาวร โชติชื่น อุตส่าห์กรุณาไปนำมาจาก “วัดสนามใน” ได้มาทั้ง CD DVD และหนังสือ ผมได้อ่านหนังสือทุกเล่ม บางเล่มอ่านหลายรอบเพื่อให้เกิดความเข้าใจอย่างแท้จริง ในสิ่งที่หลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ ท่านค้นพบและแนะนำให้เหล่าชาวพุทธได้ปฏิบัติธรรมกัน หลังจากนั้น ผมก็ลงมือปฏิบัติธรรมเท่าที่จะมีเวลา คือ พอตื่นขึ้นมาก็ทำสมาธิจากการออกกำลังกาย คือให้จิตนิ่งมีสมาธิอยู่กับลมหายใจเข้า-ออกและท่าทางที่ฝึก เดินจงกรมภายหลังจากรับประทานอาหารเสร็จ และนั่ง “เจริญสติ” แบบเคลื่อนไหวด้วยมือ ทำเท่าที่จะพอมีเวลา ตอนเย็นกลับจากการทำงานก็ปฏิบัติซ้ำเดิมอีกรอบ และเวลานอนก็กำหนดจิตอยู่ที่ลมหายใจเข้า-ออก จนกระทั้งหลับ พยายามทำให้เป็นห่วงโซ่ แต่ก็ไม่สามารถจะกระทำได้ เนื่องจากต้องทำงาน ต้องหาอาหารรับประทาน ปัญหาที่เกิดขึ้นก็คือ เราไม่สามารถทำให้เรามี “สติ”(ระลึกได้) ตลอดเวลาในอิริยาบถต่างๆ และเราเองก็ยังไม่เข้าใจว่า วิธีการเอาสติมาคอยกำกับดูจิตหรือดูใจของเรานั้น กระทำอย่างไร? แต่ก็ได้พยายามปฏิบัติการเคลื่อนไหวด้วยมือให้มีสติ พยายามหาจังหวะที่เหมาะสมกับตัวของเรา ที่จะทำให้สติและจิตเป็นหนึ่งเดียวเกิดเป็น“สมาธิ” (ความตั้งมั่น)ขึ้นได้ พบว่าถ้าเราไม่มีสติอยู่ที่มือแล้ว คือจิตมันแวบไปคิดเรื่องอื่น ๆตามที่ตา หู จมูก และใจที่มันสัมผัสได้ อยู่เสมอ จะพบว่าการเคลื่อนไหวด้วยมือจะเร็วแบบที่เราไม่รู้ตัวเราเลยทั้งๆที่พยายามเคลื่อนไหวสร้างจังหวะอยู่ และมารู้จังหวะของตังเองภายหลังว่า ถ้าเราเคลื่อนไหวอย่างช้า ๆ กำหนดรู้ถึงการเคลื่อนไหวขณะมือเคลื่อนไหว และหยุดในจังหวะที่ต้องหยุดเพื่อให้กำหนดรู้ว่าต้องหยุดในตำแหน่งนั้น ๆ พบว่า สามารถดึงสติอยู่ได้ จิตไม่คิดอะไร จิตหยุดนิ่ง คือ สติและจิตสามารถรวมกันเป็นหนึ่งคือ มี “สมาธิ” (ความตั้งมั่น) จิตสงบไม่ไปคิดเรื่องอื่น ดังนั้น ถ้าใครปฏิบัติธรรมเจริญสติตามแนวทางของหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ ขอให้ทำจังหวะอย่างช้า ๆ สร้างจังหวะที่เหมาะสมให้กับตัวเอง สมาธิของท่านจะเกิดขึ้นง่าย ไม่ว่าจิตจะไปคิดอะไรอยู่ จิตหันเหไปทางไหน ประเดี๋ยวจิตก็จะกลับมารวมกับสติ เกิดเป็นสมาธิ จิตนิ่งไม่คิดอะไร อีกจนได้ มีอยู่วันหนึ่งขณะเจริญสติอยู่นั้น มีความรู้สึกว่าทำไม ?หนอ วันนี้เราช่างง่วงเหงาหาวนอนอยู่ตลอดเวลาเสียเหลือเกิน ใจมันบอกว่า ต้องเลิกเจริญสติ เพราะว่ามันทนไม่ไหวแล้ว ซึ่งก่อนหน้านี้ก็เกิดแบบนี้มาหลายครั้ง แต่ยังไม่ได้เอ๊ะใจเท่ากับวันนี้ แต่ก่อนบางครั้งเราก็หยุด บางครั้งเราก็ปฏิบัติต่อ ทำไม? วันนี้มันเป็นอย่างนี้ จิตมันมีตัวตนหรือเปล่า(คิดเอาเอง) ถ้ามีตัวตนซึ่งเรามองไม่เห็น มันคงจะรู้ตัวว่าเรากำลังเจริญสติเพื่อจะเอาชนะมัน มันจึงพยายามแสดงอาการต่อต้านเราแบบนี้เองหรือนี่! จริงหรือเปล่า หรือเราคิดไปเอง มันคืออะไรกันแน่ แต่จิตมันก็ไม่มีตัวตนนีนา เพราะเราไม่เห็น ไม่รูจัก แต่เรารู้สึกได้ในสิ่งที่จิตมันคิด ขณะนั่งรถไปทำงานจากนครศรีธรรมราช ไปท่าศาลา และกำลังนั่งเจริญสติอยู่นั้นก็เกิดอาการง่วงเหงา หาวนอนขึ้นมาอย่างแรง ตาปรือ ทั้งๆ ที่เมื่อคืนก็นอนแต่หัวค่ำและหลับสนิทมันไม่น่าง่วงนอน แขนยกแทบไม่ขึ้นหนักอึ้ง แต่จิตยังมีสติอยู่ ก็ได้คิดว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับเรากันนี่ ก็พยายามใช้ปัญญาคิดหาสาเหตุที่เกิดขึ้นกับตัวเราพยายามทบทวน ตอนนี้เรากำลังฝึกเจริญสติอยู่ อ๋ออาการเคลื่อนไหวด้วยมือของเรานี้แท้จริงมันก็คือ “รูป” ตอนนี้เรากำลังเคลื่อนไหวอยู่ แต่สิ่งที่ใจหรือจิตมันคิด แสดงอารมณ์ว่า มันทนไม่ไหวแล้ว มือยกจะไม่ขึ้น หนักอึ้ง ง่วงนอน และเหมื่อยหล้าอยู่นี้ มันคือ “นาม” จับต้องไม่ได้ เป็นสิ่งที่ไม่มีตัวตน แต่มันสามารถควบคุมเราได้ ตอนนี้ทั้ง “รูป-นาม” มันกำลังเรียกร้องให้เราหยุดกระทำ เพราะทนไม่ไหว พอดีสติมาเตือนให้รู้ว่า ตอนนี้เรากำลังปฏิบัติธรรมทางจิต ทวนกระแสจิต กำลังทำความเพียรจิต เพื่อให้สามารถเอาชนะจิตของเราให้ได้ จึงไม่ทำตามที่จิตมันต้องการ คือจิตมันให้หยุด แต่เราต้องการเอาชนะจิตของเรา จึงไม่หยุด ยื้อกันอยู่สักพักหนึ่งใหญ่ ๆ โดยพยายามทำจิตให้นิ่ง ให้สงบ ปล่อยวาง ไม่คิดถึงมัน(ความเหมื่อยหล้า) เอาสติไปกำกับจิตไม่ให้มันคิดเรื่องง่วง ยกแขนไม่ขึ้น ทนไม่ไหว ต่าง ๆ นาๆ สักพักหนึ่งปรากฎว่า จิตมันอ่อนลงและยอมแพ้ไปในทันที เรากับมีจิตที่สงบ ไม่ปวดเหมื่อย ไม่ง่วง ยกแขนไม่หนัก หายเป็นปลิดทิ้งทันที จึงมาพิจารณาด้วยปัญญาว่า ทำไมเราผ่านจุดนี้มาได้ คือดื้อรั้นไม่ยอมหยุดเจริญสติ เอาชนะจิตตนเองได้ เพราะเราไม่คิดถึงมัน คือทำจิตให้สงบและปล่อยวาง ให้มันผ่านไป อ๋อ “รูป-นาม” มันเป็นอย่างนี้นี่เอง เรามีความรู้สึกด้วยปัญญาของเราเองจริง ๆ ทั้ง ๆ ที่เมื่อก่อนแถบจะต้องท่องจำ แบบท่องอาขยานเลยทีเดียวจึงจะจำมันได้ แต่ก็ไม่รู้จักเข้าใจมันจริงๆ แต่ตอนนี้เรารู้จักมันจริงๆ แล้วจากการ “เจริญสติ” “รูป” ก็คือร่างกายของเราที่ประกอบด้วยอวัยวะต่างๆตามที่ธรรมชาติกำหนด ที่เรียกว่าร่างกาย “มนุษย์” ที่เราเห็นนี่ละ “นาม” ก็คือ จิตหรือใจของเรา จิตมันสามารถรับรู้หรือสัมผัสได้จากตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ จิตมันสามารถที่จะกำหนดรู้หรือจำได้จากการสัมผัสจากตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ จิตมาสามารถที่จะ คิด(ปรุงแต่ง)ของมันขึ้นมาเองได้จากการรับรู้หรือสัมผัสจากตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ หรือจากที่มันเคยประสพมาก่อนหน้านั้น จิตมันมาสามารถจะรับรู้ได้ถึงความรู้สึกได้ว่านี่คือความสุข นี่คือความทุกข์ หรือรู้สึกเฉย ๆได้ จิตเราไม่สามารถจะควบคุมมันได้ และจิตที่มันคิด มันคิดของมันขึ้นมาอย่างไร ? ทำไมมันต้องคิด? และทำไม?เราควบคุมมันไม่ได้ในบางครั้ง และมากเสียด้วยที่เราควบคุมมันไม่ได้ จะต้องทำตามที่จิตมันคิด เรายังหาไม่พบวิธีที่มันคิดหรือวิธีที่จะควบคุมมัน แต่มันสามารถบงการรูปคือตัวเราได้ หรือบางครั้งมันก็เป็นทั้ง “รูป-นาม” อันเดียวกันเลย เพราะมันกระทำไปพร้อมกันทันทีทั้งกายและจิตเป็นอัตโนมัติ คือเวลาที่เราเผลอตัว หรือลืมตัว คือไม่มีสติ เช่น เวลาโลภ เวลาโกรธ เวลาหลง หรือเวลาพบกับสิ่งที่ไม่ชอบ(ไม่ชอบอย่างมาก) จะเผลอ ลืมตัว ตัวแสดงอาการออกมาทางกายและใจทันทีเลย ชนิดที่ไม่สามารถควบคุมมันได้สร้างความทุกข์ขึ้นมาภายหลัง เป็นต้น จิตบางครั้งเราก็สามารถที่จะควบคุมมันได้ คือไม่กระทำตามที่มันต้องการที่จะทำ ซึ่งเราสามารถที่จะมีความรู้สึกแยกมันออกได้ เปรียบเสมือนเรามี “รูป-นาม” สองตน ในตัวเรานี่ละ คือ “รูป-นาม”ตนหนึ่งอยู่กับ “สติ” แต่ “รูป-นาม” อีกตนหนึ่งอยู่กับ “จิต” จิตมีความรู้สึกเจ็บ ปวด ทรมาน ขณะที่เราเคลื่อนไหวมืออยู่ รู้สึกทรมารในสิ่งที่เรากำลังเจริญสติอยู่ แต่ถ้าเราทำจิตให้สงบเสีย ไม่ไปคิดถึงมัน(ว่ามันทรมาน) คือมีสมาธิ วางเฉยเสีย เราก็ไม่รู้สึกว่าทรมาน หรือง่วงเหงาหาวนอน หรือปวดเหมื่อยขึ้นได้ เมื่อเรามีความรู้สึกเช่นนี้เกิดขึ้น จิตมันก็เลยยอมแพ้ “รูป-นาม” มันเป็นอย่างนี้นี่เอง เรารู้สึกว่ามันปวดเหมื่อยอยู่นี่มันคือ “เวทนา” รู้สึกว่าได้รับทุกข์ ในขณะเดียวกันสิ่งที่เป็นทุกข์นี้ ถ้าเราไปคิดเพิ่มว่าความทุกข์นี้มันทำให้เจ็บปวด เหมื่อยหล้า ถ้าเราไม่หยุดกระทำ มันอาจจะชา เจ็บ พิการตามมาก็ได้ ทำให้เกิดความกังวลใจเป็นทุกข์ขึ้นมาเป็นตุเป็นตะ คิดเรื่อยเปื่อย นี่มัน คือ “สังขาร” จิตที่มันปรุงแต่งความทุกข์ที่เกิดขึ้น สิ่งที่เรารับรู้ได้จากการดูด้วยตา สัมผัสด้วยใจจากการเคลื่อนไหวด้วยมือ อยู่ในท่านั่งอยู่นี้ นี่ละคือ “วิญญาณ” การรับรู้ด้วยตา หรือก็คือสิ่งที่สัมผัสได้จาก “อยาตนะ ๖”(ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ)นั่นเอง เมื่อเรารับรู้แล้ว เราก็เอามันไปเก็บไว้ที่ในสมอง นี่ละคือ “สัญญา” ความจำได้หมายรู้ อ๋อ “รูป-นาม” หรือ “เบญจขันธ์” มันเป็นอย่างนี้นี่เอง และมันทำงานร่วมกับ “อายตนะ ๖” อย่างนี้นี่เอง เราเข้าใจมันแล้ว เราเข้าใจมันแล้ว จริง ๆ หลังจากนั้น เหมือนมีอะไรมากระแทกที่สีข้างผม(ซึ่งความจริงไม่มีเลย เพราะนั่งอยู่คนเดียวในเบาะหลัง และรถก็วิ่งเรียบ) เป็นแต่เพียงความรู้สึกเกิดขึ้นจากอารมณ์เท่านั้น แต่มีจริงๆจนขนลุกซู่ (เลยคิดว่าจิตมันคงเตือนเรา หรือให้เรารับรู้มัน) ทำให้ผมออกจากความคิด หยุดเจริญสติทันที พอดีรถใกล้ถึงโรงงาน จึงหยุดการเจริญสติ สรุป คนเรานั้นที่เขาสมมติว่าเป็น “มนุษย์” มีรูปร่างหน้าตาแบบนี้นั้น พระพุทธเจ้าท่าน บอกว่า ประกอบไปด้วย “รูป-นาม” รูปก็คือตัวร่างกาย นามก็คือใจหรือจิตของเราซึ่งจิตมันไม่มีตัวตน มีแต่อารมณ์หรือความรู้สึกเท่านั้น จิตมันสามารถควบคุมกาย สั่งให้กายมันทำตามสิ่งที่มันคิดได้ แต่กายไม่สามารถสั่งจิตได้ แต่ถ้าเรามี “สติ” คือระลึกได้ เราก็สามารถที่จะเอาสติไปควบคุมจิตของเราให้คิดในสิ่งที่ควรคิดได้ ส่วนจิตนั้นยังแยกออกไปเป็น “เวทนา” คือการเสวยทุกข์ หรือเสวยสุข หรือรู้สึกเฉยๆ “สังขาร” นั้น คือสิ่งที่เราปรุงแต่งอารมณ์ของเราต่อไปอีก(คิดมาก) คือคิดเป็นตุเป็นตะไปของมันเอง ตัวนี้ละจะก่อให้เกิด “ทุกข์ถาวร” ตามมาภายหลังที่เราจะต้องไปดับ ส่วน “สัญญา” คือ ความจำได้หมายรู้ในสิ่งที่เรารับรู้ หรือสัมผัสได้ จาก “อายาตนะ ๖” ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ซึ่งการรับรู้หรือสัมผัสได้จาก “อายาตนะ๖” นี้ก็คือ“วิญญาณ” นั่นเอง มันเป็นอย่างนี้นี่เอง “รูป-นาม” เราเข้าใจมันแล้ว ผมเขียนที่สนามบินนครศรีธรรมราช ขณะนั่งคอยขึ้นเครื่องบิน เนื่องจากเที่ยวบินวันนี้ คือเย็นวันเสาร์ที่ 21 สิงหาคม 2553 ออกเดินทางช้ากว่ากำหนดสองชั่วโมง โดยผมนั่งนึกถึงเหตุการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับ “จิต” ตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้น ขณะ “เจริญสติ” ของผมในวันนั้น ขอให้ทุกท่าน อ่าน และพิจารณาด้วยหลัก “กาลามสูตร” ครับ “กาลามสูตร” ๑. อย่าเชื่อถือโดยการฟังตามกันมา ๒. อย่าเชื่อถือโดยเห็นทำตามกันมา ๓. อย่าเชื่อถือโดยการเล่าลือกันมา ๔. อย่าเชื่อถือโดยการอ้างตำรา ๕. อย่าเชื่อถือโดยนัยหรือความคาดหมาย ๖. อย่าเชื่อถือโดยตรรกคือตรึกคิดเอาเอง ๗. อย่าเชื่อถือโดยคิดตามอาการเป็นไป ๘. อย่าเชื่อถือโดยชอบใจว่าตรงตามหลักของตน ๙. อย่าเชื่อถือโดยเห็นว่าเป็นบุคคลที่น่าเชื่อถือ ๑๐. อย่าเชื้อถือโดยเห็นว่าเป็นครูบาอาจารย์ของเรา
สวัสดี
|
|
|
|
Khun28
Full Member
ดูกายเห็นจิต ดูคิดเห็นธรรม
ออฟไลน์
รุ่น: RCU2528
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์
กระทู้: 784
|
|
« ตอบ #104 เมื่อ: 27 สิงหาคม 2553, 16:17:49 » |
|
ผมยังเป็นขาประจำ มาศึกษาความรู้จากพี่อยู่เสมอครับ ขอบคุณครับ
|
|
|
|
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์
รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644
|
|
« ตอบ #105 เมื่อ: 27 สิงหาคม 2553, 20:55:15 » |
|
ขอบคุณมากครับ ตอนหน้าจะเขียน "วิธีชนะใจตนเอง" ผลจากการปฏิบัติธรรม ครับ แต่ผมก็ยังละความโลภ ความโกรธ ความหลง ไม่ได้ครับ แต่ก็จางไปบ้างครับ ตอนนี้ผมอยากจะให้ผมโกรธจริงๆ แต่มันก็ไม่โกรธขึ้นมาสักที เพราะอยากจะลองดูว่า เราจะมีสติและปัญญาเกิดขึ้นได้เร็วเท่ากับความโกรธของเราหรือไม่ และจะชนะมันได้หรือไม่ และมันเกิดขึ้นอย่างไร? ผมจะชนะมันได้อย่างไร? จะรับรู้และปล่อยวางมันด้วยปัญญาอย่างไร? สวัสดีครับ
|
|
|
|
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์
รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644
|
|
« ตอบ #106 เมื่อ: 27 สิงหาคม 2553, 21:37:00 » |
|
สวัสดีครับ ชาวเวบที่รักทุกท่าน พี่สิงห์อยู่นครศรีธรรมราชครับ เมื่อคืนวานได้นั่งคุยกับสมศักดิ์ วิศวกรรุ่นน้องที่ผมคอยให้คำแนะนำต่างๆ มามาก เมื่อคืนเราคุยกันถึงเรื่องการปฏิบัติธรรม เขาเกิดสับสนขึ้นมามาก ผมเลยได้นั่งอธิบายในหลายๆเรื่องที่เขาสงสัย ตอบเพื่อให้เข้าใจ จะได้นำไปปฏิบัติได้ถูก ไม่เกิด "วิจิกิจฉา" ขึ้น คือความลังเลสงสัยในแนวทางปฏิบัติและข้อกังขาต่างๆ นอกจากนี้ยังได้แนะนำเพิ่มเติมถึงวิธีที่จะชนะใจตนเอง ที่จะต้องดุแลเรื่องอาหารการกินและการออกกำลังกาย TAI CHI ทุกวันต่อไปภายหลังจากที่เขาทำมาสองเดือนผลคือ เขาหายใจคล่องขึ้น เอวลดลงจนมีคนทักว่าผอมลง เดินเหิรคล่องขึ้น ผอมเลยบอกเคล้ดลับหรือเทคนิคต่างๆในการดูแลตัวเองเพิ่มเติม ผมบอกเขาไปว่าวิธีที่จะเอาชนะใจตัวเองนั้นมันอยากแสนอยากเพราะมันเป็นกิเลสอย่างละเอียดในการชนะความหยากของใจเรานั้นต้องใช้ "ปัญญา" คือ - ต้องให้ความสำคัญกับการออกกำลังกาย อาหารการกิน และการพักผ่อน เป็นอันดับแรก เราถึงจะมีเวลาให้มัน ตามหลักการบริหารเวลา - ให้ถือว่าการออกกำลังกายนั้น เป็นการปฏิบัติความเพียรทางจิตอย่างหนึ่ง ที่เราจะต้องเอาชนะใจของเรา เพียงแค่เอาชนะใจตนเองในการออกกำลังกาย และการกินยังไม่ได้ เรื่องการทำความเพียรทางจิต ไม่ต้องพุดถึงทำไม่ได้แน่ ๆ เพราะการทำความเพียรทางจิต อยากกว่าชนิดไม่เห็นวี่แววเลย การออกกำลังกายเป็นการชนะใจตนเองอย่างหนึ่งเพียงขี้ผงเอง ต้องทำให้ได้ทุกวัน ถือเป็นการฝึกจิต เอาชนะใจตนเองไปเรื่อยๆ ทุกวัน จิตมันจะอ่อนไปเอง - ใช้ "ปัญญา" หาเหตุผลทางธรรม หรือทางธรรมชาติ คือความจริง ตอนนี้เรายังมีคนที่เรารักที่สุด คือ ลูก ลูกสมควรจะมีความสุขกับครอบครัว หรือกับการทำงานของเขา แต่ถ้าเราเมื่ออายุมากขึ้นกลับล้มป่วยเป็นโรคเรื้องรังเช่น อ้วน ความดัน เบาหวาน หลอดเลือดหัวใจตีม-ตัน หรืออำมพาธ เป็นต้น เราจะได้รับทุกข์อย่างแสนสาหัส และลูกที่เรารักก็ทุกข์เพราะต้องเอาเวลามาดูแลเราที่ป่วย แทนที่จะสร้างครอบครัวเขา เท่ากับเราไปตัดอนาคตของลูกที่เรารัก แต่ตอนนี้เรายังไม่ได้เป็นอะไรมาก ทำไม?เราไม่ดูแลตัวเราเองให้ห่างไกลจากโรคเรื้อรังเหล่านั้นเสีย ซึ่งเราสามารถทำได้ ถ้าชนะใจตนเอง เพียงแต่เราเสียสละเวลามาดูแลตัวเองวันละชั่วโมงเรื่องการออกกำลังกายและดูแลการกินกับการผักผ่อน ลูกอันเป็นที่รักของเราก็พ้นทุกข์เพราะไม่ต้องเสียเวลามาดูแลเราแล้วครับ พระพุทธเจ้าท่านทรงตรัสไว้แล้วว่า การชนะใจตนเองนั้นต้องใช้"ปัญญา" ครับ สมศักดิ์ ก็บอกผมว่า มันก็จริงตามพี่ว่า ผมจะทำและเอาชนะใจตนเองให้ได้ครับ ถือว่าเป็นการทำความเพียรอย่างหนึ่งซึ่งสามารถกระทำได้ ผมก็หวังว่าผู้ที่ผ่านมาอ่าน คงจะเอาไปคิดด้วยปัญญา นะครับว่า เราอยากไห้ลูกอันเป็นที่รักของเราได้รับทุกข์เพราะเราหรือเปล่าครับ จากการที่เราไม่ดูแลสุขภาพของเรา กลับปล่อยให้เป็นโรคเรื้อรังเมื่อแก่เฒ่า สวัสดี ราตรีสวัสดิ์ครับ
|
|
|
|
khesorn mueller
|
|
« ตอบ #107 เมื่อ: 28 สิงหาคม 2553, 14:42:26 » |
|
พี่สิงห์ที่เคารพ หนิงหวังว่าวันนี้พี่จะมีความสุขเหมือนเมื่อวานนะคะ ร้อนกายแก้ได้คะ อย่าให้ร้อนใจเป็นใช้ได้ กลับมาพักผ่อนครั้งนี้เสมือนหนิงได้มาซ่อมแซมเรือนที่สาม (เรือนที่อยู่ หรือบ้านหลังที่สามก็ได้)คือได้กลับมาเก็บกวาด ทาสี แปะกระเบื้อง แขวนม่านใหม่ ทำหลังคา หลายอย่างทำด้วยตัวเองแล้วมีสมาธิค่ะ เสร็จแล้วอาบน้ำ เป็นอันว่าทั้ง3เรือนสะอาด สว่าง สงบค่ะ วิถีง่ายๆโดยไม่ยุ่งยากซับซ้อนคะพี่
nn
|
|
|
|
ทราย 16
|
|
« ตอบ #108 เมื่อ: 02 กันยายน 2553, 10:28:40 » |
|
คารวะพี่สิงห์ค่ะ ตามที่สัญญาไว้ ... เรื่องการทดสอบสมรรถภาพทางร่างกาย พี่สามารถเข้าไปที่เวปนี้ค่ะ ... www.topendsports.comเพื่อศึกษาและลองทดสอบ ปกติ การตรวจสอบพื้นฐานได้แก่ ... Rest heart rate, blood pressure, flexibility, muscle endurance, muscle strength, body fat, cardiovasculary. บางรายการมี software ให้เราเอาข้อมูล ของเราเข้าไปวิเคราะห์ได้ค่ะ สำหรับภาษาไทยจะส่งให้ภายหลังนะคะ ขอให้พี่สิงห์มีสุขภาพแข็งแรงๆ เป็นขวัญใจชาวเวปต่อไปค่ะ ทราย 16
|
|
|
|
เหยง 16
|
|
« ตอบ #109 เมื่อ: 02 กันยายน 2553, 11:20:14 » |
|
วันที่ 02 กันยายน พ.ศ. 2553 เวลา 08:03:36 น. มติชนออนไลน์ "พระราชินี-พระเทพฯ"เสด็จฯพระราชทานเพลิงศพ"สหัส-โกวิทย์"สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พร้อมด้วยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินทรงเป็นประธานในพิธีพระราชทานเพลิงศพ นายโกวิทย์ ปัญญาตรง ผู้ตรวจราชการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และนายสหัส บุญญาภิวัฒน์ ที่ปรึกษาสำนักพระราชวัง ณ วัดพระศรีมหาธาตุวรมหาวิหาร เมื่อ 1 ก.ย. http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1283389421&grpid=02&catid=00
|
|
|
|
too_ploenpit
|
|
« ตอบ #110 เมื่อ: 02 กันยายน 2553, 13:41:46 » |
|
...สวัสดีค่ะ...พี่สิงห์... ...ดีใจด้วยค่ะที่พี่สิงห์ได้พบทางเดินที่ถูกต้องแล้ว... ...ยังมีอีกหลายคนค่ะที่เค้าน่าจะได้พบกับเส้นทางสายนี้...แต่ก็ยังไม่มีโอกาสสักที... ...เมื่อ 2 อาทิตย์ก่อน...ตู่ได้ไปทำบุญที่วัดญาณมา... ...ท่านเจ้าคุณได้เทศน์ให้ฟังว่าบุญวาสนาของแต่ละคนมันไม่เหมือนกัน... ...บางคนก็ได้พบกับทางธรรมเร็ว...เช่นคนที่บวชตั้งแต่หนุ่มๆ... ...แต่บางคนกว่าจะได้ก็ต้องอ้อมไปอ้อมมา... ...เพราะว่ายังหลงในกิเลศตัณหาอยู่...(อาจจะหมายถึงตู่ด้วยก็เป็นได้...ตอนประเคนของท่านทักค่ะว่าหายไปนานนะเรา) ...ไม่ได้ไปทำบุญกับท่านเกือบ 10 ปีแล้วค่ะ...ซึ่งแต่ก่อนนี้เคยไปปฎิบัติกับท่านมา 1 เดือน... ...พี่สิงห์คะ...ถ้าพี่ชอบทางนี้...ลองหาวัดที่พี่ชอบแล้วไปปฎิบัติ...อาจจะอยากบวชอีกก็ได้... ...แต่คิดว่าพี่สิงห์คงไม่ไปค่ะ...เพราะพี่ต้องบอกว่ายังมีภาระอยู่(งาน,คุณแม่)... ...แต่ทำได้แค่นี้ก็ดีแล้วค่ะ...ขออนุโมทนาบุญด้วย...พี่สิงห์อย่าเครียดมากนะคะ... ...ถ้าใจมันวอกแวก...ก็ปล่อยมันบ้าง...อาจารย์ของตู่เค้าให้ตามดูเท่านั้นค่ะ... ...ตามดูเพื่อให้รู้ว่า...มันเป็นอนิจจัง...ทุกขัง...อนัตตา... ...และถ้าง่วง...ก็นอนค่ะ...เมื่อตื่นมาร่างกายและจิตจะมีกำลังใหม่... ...ก็ขอให้พี่สิงห์ได้มรรคผลนะคะ
|
i love pink, you are pink = i love you
|
|
|
too_ploenpit
|
|
« ตอบ #111 เมื่อ: 02 กันยายน 2553, 13:47:06 » |
|
...ท่านเจ้าคุณเป็นพี่ชายของแอ๊ด-กัลยา16 ค่ะ...เป็นสมณศักดิ์เมื่อหลายปีมาแล้ว...ตอนนี้คงได้เลื่อนเป็นชั้น...แล้วค่ะ(ลืมถามแอ๊ดมา)... ...ส่วนอาจารย์ของตู่ที่ว่านั้น...หมายถึงหลวงพ่อปราโมทย์ค่ะ...
|
i love pink, you are pink = i love you
|
|
|
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์
รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644
|
|
« ตอบ #112 เมื่อ: 02 กันยายน 2553, 20:29:07 » |
|
สวัสดีครับชาวเวบที่รักทุกท่าน ขอกราบขอบคุณ คุณพิเชษฐ์(เหยง) เป็นอย่างมากที่กรุณานำภาพ พระราชทานเพลิงศพพี่โกวิทย์ ปัญญาตรง มาลงครับ ผมก็ถ่ายไว้สองรูปครับ เป็นงานพระราชพิธี จึงไม่กล้าซุ่มซ่ามครับ ดีไปอย่างเจ้าภาพไม่ต้องทำอะไรเลย มีคนจัดการให้ทุกอย่างครับ ตามธรรมเนียมงานศพจะเป็นงานที่ญาติ ๆ พี่ๆ น้องๆ ได้มาเจอกันทีเป็นการรวมญาติครั้งใหญ่เลยทีเดียวก็ว่าได้ แต่ก็ได้แต่นั่งดูและคุย ทักทายกันเท่านั้นครับ เพราะมันเป็นงานใหญ่ มองซ้าย มองขวา ถ้าไม่ใช่ญาติ ก็ไม่รู้จักเลยครับ เป็นเช่นนั้นจริง ๆ ผมไปถึงวัดสี่โมงเช้าเพื่อไปร่วมทำบุญเพล ไปฟังพระท่านเทศน์หน้าศพ สวดมาติกาบังสกุล พิธีเสร็จตอนเที่ยงกว่าๆ ก็รับประทานอาหารกลางวันที่วัดเลย วันนี้มีข้าวเหนี๋ยวหมูปิ้ง ที่พี่โกวิทย์ชอบ มาเสริฟแขกด้วยครับ ร้านที่มาตั้งนั้นเป็นร้านดังๆ ทั้งนั้นและก้อร่อยจริงครับ กินข้าวเสร็จผมก็ไปไหวญาติๆ พี่โกวิทย์ พี่ๆ น้องๆ ทุกท่าน และไปกราบศพ บอกว่าผมอาจจะกลับมาเผาไม่ทันก็ขอกราบตรงนี้เลย เพราะได้รับปากเขาไว้แล้วว่าต้องไปบรรยายให้เด็กนักเรียนโรงเรียรพระตำหนักสวนกุหลาบมัธยม ที่ศาลายา นครปฐม กว่าจะเสร็จก็สี่โมงครึ่ง กลับมาไม่ทันงานแน่ จึงเรียนให้พี่ๆ น้องๆ ทราบ ทุกท่านก็ให้อภัยไม่เป็นไร มันจำเป็นทางนี้เป็นงานพระราชพิธีอยู่แล้วข้าราชการแยะมาก ๆ ผมไปบรรยายให้นักเรียนฟังสามเรื่องด้วยกัน โดยมีอาจารย์ถาวร โชติชื่น และคุณโสภณ สิกขโกศล ร่วมด้วยเสร็จตอนเกือบ ห้าโมงเย็น พอดีอาจารย์ถาวร นัดคุณน้องจินตนา (ทราย) ทานข้าวเย็นจึงไปรับประทานอาหารเย็นและคุยกันต่อที่ร้านสวนพุธ หน้าพุทธมณฑล ครับ กลับมาบ้านได้ทันดูข่าวในพระราชสำนักทันครับ แต่ก่อนหน้านั้นทุกคืนเวลาผมสวดมนต์ก่อนนอนก็ได้กรวดน้ำให้พี่โกวิทย์ทุกคืน ครับ ขอขอบคุณคุณน้องทรายที่เลี้ยงอาหารเย็นพี่สิงห์ครับ และส่งสิ่งที่พี่สิงห์อยากได้มาให้ครับ ขอบคุณมาก ๆๆ ขอบคุณมากครับ คุณน้องตู่ พี่สิงห์คงไม่ไปสำนักไหนหรอกครับ ขอปฏิบัติธรรมอยู่ที่บ้านตามแนวทางของหลวงพ่อเทียนและหลวงพ่อชา ให้ใจสงบ ไม่ต้องมีพิธีอะไรทั้งสิ้น อยากทำก็ทำไม่เลือกเวลา พยายามให้มีสติรู้ตัวตลอกเวลา ดูกาย ดูใจของเราว่าเป็นอย่างไร? ก็สุขแล้วครับ ราตรีสวัสดิ์ครับ
|
|
|
|
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์
รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644
|
|
« ตอบ #113 เมื่อ: 03 กันยายน 2553, 07:42:18 » |
|
สวัสดียามเช้าครับชาวเวบที่รักทุกท่าน ผมอยู่นครศรีธรรมราชครับ เมื่อวานรู้สึกเป็นไข้นิดหน่อยเพราะไปฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่2009 มาพอครบเจ็ดวันออกฤทธิ์ทันที แต่เช้านี้หายแล้วครับไม่ได้ไปหาหมอ เมื่อเช้าตื่นขึ้นมาหกโมงเช้าก็ไปออกกำลังกาย TAI CHI and YOKA และนั่งเจริญสติ จนเจ็ดโมงเช้าจึงไปรับประทานอาหารเช้า ก่อนรับประทานอาหารเช้าได้คั้นน้ำมะนาวสี่ลูกผสมน้ำผึ่งดื่มก่อนรับประทานอาหารเช้า ทำให้รู้สึกสดชื่นขึ้น อาจารย์ถาวร บอกว่ามะนาวเป็นด่าง ร่างกายของเราในกระแสเลือดเป็นกรด ฉนั้นต้องดื่มน้ำมะนาวหรือส้มโอให้มากไว้ ครับ จึงจะทำให้สภาวะเลือดเป็นกลาง นอกจากนี้มะนาวยังช่วยต้านอนุมูลอิสสระได้ คือป้องกันมะเร็ง และมีวิตามีนซีอีกด้วยครับ ระยะหลังผมไม่ได้รับประทานภายหลังออกกำลังกายเสร็จ เพราะรถขายมะนามไม่มาขายสองเดือนแล้วครับ ปกติผมจะซื้อไว้ครั้งละ 200 ลูกเป็นประจำครับ เดิมทีวันนี้ผมต้องไปสอนการออกกำลังกายและ "อยู่อย่างไร?ให้ไร้โรค" ให้กับพนักงาน SCG โรงปูนทุ่งสง ในเวลา 14:00-17:00 น. แต่บังเอิญ กจก. ต้องไปดูงานที่อินโดนิเซียด่วน เลยขอเลื่อนเป็นวันศุกร์ที่ 10 กันยายน แทน
วันนี้ที่นครศรีธรรมราชมีงาน IT และมีการประกวด ธิดา IT ด้วยครับ ผมว่าจะไปเดินดูอุปกรณ์ทาง Computer ครับ อากาศเช้านี้ดี แต่บ่ายๆ เย็นๆ ฝนตกครับ สวัสดี
|
|
|
|
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์
รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644
|
|
« ตอบ #114 เมื่อ: 03 กันยายน 2553, 07:44:50 » |
|
สวัสดีค่ะ คุณน้องทรายขอเป็นภาษาไทยได้ไหมครับ หรือที่เธอสอนหรือที่บรรยายก็ได้ครับ ขอบคุณมาก สวัสดี
|
|
|
|
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์
รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644
|
|
« ตอบ #115 เมื่อ: 03 กันยายน 2553, 08:04:59 » |
|
สวัสดีครับ คุณพรชัย เกตุเล็ก เรื่องที่ถามมานั้น พี่สิงห์อยากให้กรรมการดำเนินการกันเองไปเลยครับ พี่สิงห์ขอเป็นผู้ชม แต่ถ้าไปจริง พี่สิงห์ก็จะทำเป็นอัลบั้มรูปค่ายสมัยนั้นไปมอบให้เป็นสมบัติของโรงเรียน และจะหาทุนการศึกษาไปให้เท่าที่จะหาได้ครับ เราควรที่จะไปพักเขื่อนหรือในตัวเมืองขอนแก่นสักคืนหนึ่งก่อนให้สดชื่น ก่อนไปที่โรงเรียนและไปที่อื่นที่เห็นสมควรครับ เรื่องการหารถทัวร์ จัดทัวร์ ให้คุณน้องTippy คุณหลิว คุณน้องนกและรุ่น 20 ช่วยดำเนินการให้เพราะทำเป็นสบายมาก สวัสดี
|
|
|
|
suriya2513
|
|
« ตอบ #116 เมื่อ: 03 กันยายน 2553, 08:32:57 » |
|
ยินดีด้วยครับที่ W7 เร็วได้เยี่ยงจรวด
|
[โบราณคดี]จุดกำเนิดเริ่มต้นของ cmadong.com by : มานพ กลับดี คลิ๊ก->
|
|
|
suriya2513
|
|
« ตอบ #117 เมื่อ: 03 กันยายน 2553, 09:11:52 » |
|
รบกวนช่วยไปเรียนถามอาจารย์ถาวรให้ด้วยนะครับว่า มะนาวพันธุ์ไหนมันเป็นด่าง จะหาซื้อไปปลูกที่ทัพทันสักสามสี่ต้น
|
[โบราณคดี]จุดกำเนิดเริ่มต้นของ cmadong.com by : มานพ กลับดี คลิ๊ก->
|
|
|
too_ploenpit
|
|
« ตอบ #118 เมื่อ: 03 กันยายน 2553, 09:31:59 » |
|
...จริงด้วยเนอะ...พี่ป๋อง...มะนาวมันรสเปรี้ยว...มันก็น่าจะเป็นกรดด้วย... ...เมื่อกี้ก็เข้ามาอ่านรอบนึงแล้วค่ะ...แต่ไม่ฉุกคิดเหมือนพี่ป๋อง...
|
i love pink, you are pink = i love you
|
|
|
Khun28
Full Member
ดูกายเห็นจิต ดูคิดเห็นธรรม
ออฟไลน์
รุ่น: RCU2528
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์
กระทู้: 784
|
|
« ตอบ #119 เมื่อ: 03 กันยายน 2553, 10:24:26 » |
|
เรียนพี่สิงห์ที่เคารพ การฉีดวัคซีนไข้หว้ดใหญ่ 2009 ตอนนี้เป็นที่แพร่หลายในบ้านเราแล้วเหรอครับ หรือพี่เป็นอาสาสมัครครับ เผื่อถ้าผมกลับเมืองไทย จะได้ไปฉีดมั่งครับ
|
|
|
|
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์
รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644
|
|
« ตอบ #120 เมื่อ: 03 กันยายน 2553, 13:36:35 » |
|
เรียนคุณตู่ และ ดร.สุริยา ผมแย้งเขาแล้วว่ามะนาวเปรี้ยวเป็นกรด แต่วงการวิทยาศาสตร์ที่ อาจารย์ถาวรอ้างถึง เขาบอกว่ามะนาวเป็นด่าง ดร.จินตนา นักโภชนาการ ก็ไม่คัดค้านครับ สวัสดี
|
|
|
|
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์
รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644
|
|
« ตอบ #121 เมื่อ: 03 กันยายน 2553, 13:41:11 » |
|
สวัสดีครับ Khon 28 ทางกระทรวงสาธาณสุขให้ฉีดฟรีในกลุ่มเสี่ยง หรืออายุ 50 ปี ขึ้นไป แต่คนไทยไม่ไปฉีดกันครับ วัคซีนนี้จะมีเชื้อไข้หวัดใหญ่2009 ไข้หวัดใหญ่ Type A&B ด้วยครับ ผมตั้งใจฉีดครับ สวัสดี
|
|
|
|
เหยง 16
|
|
« ตอบ #122 เมื่อ: 03 กันยายน 2553, 16:59:00 » |
|
ผมจำได้ว่า มะนาว มันมี Citric acid และ Tartaric acid เป็นส่วนประกอบ แต่ไม่ทราบว่า ราชบัณฑิต เขาแปลใหม่ว่า acid คือ ด่าง ไปแล้วก็ไม่รู้ได้ เราไปอยู่บ้านนอกนานๆ อาจตามเขาไม่ทันก็เป็นได้ พี่ป๋อง ไม่ลองไปหา พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิต ที่ ท่านรองนายกฯ ถาวร อ้างใช้บ่อยๆ มาดูหน่อยหรือ ??
|
|
|
|
เหยง 16
|
|
« ตอบ #123 เมื่อ: 03 กันยายน 2553, 17:09:53 » |
|
(ต่อ) ขนาดน้ำเปปซี่ ยังปรับสภาพเป็นกรดอ่อนๆ เมื่อดื่มขณะเย็นๆ จะมีผลให้ชื่นใจ ดังที่เราเคยดื่มมาแล้ว แม้กระทั่งน้ำโซดา ตราสิงห์ก็ออกเป็นกรดอ่อนๆ ของ Carbonic acid เวลาชงกับเหล้า หรือดื่มน้ำโซดาเพียวๆ ก็ชื่นใจ ถ้าเราดื่มน้ำในสภาพที่เป็นด่างอ่อนๆ ในขณะที่กระเพาะมีสภาพเป็นกรด หลับตามองภาพไม่ออกครับว่าจะเกิดอะไรขึ้น ใครลองเอาน้ำขี้เถ้าก็ได้ หรือน้ำผสมผงฟู กรองให้สะอาด ดื่มหมดแก้วแล้วบอกผมด้วย เป็นอย่างไร สดชื่นขนาดไหน ?? ผมจะได้ทานเป็นประจำ ??
|
|
|
|
khesorn mueller
|
|
« ตอบ #124 เมื่อ: 03 กันยายน 2553, 20:09:10 » |
|
แต่ท้องร่วง ถ่ายเหลว น้ำหมดตัว ดื่มโค้กผสมน้ำ ทั้งวัน 2 วันเต็มๆ ร่างกายสบายจังคะพี่เหยง
|
|
|
|
|