01 กรกฎาคม 2567, 16:46:10
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 394 395 [396] 397 398 ... 681   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: คุย กับ คุณมานพ กลับดี อดีตประธานชมรม ๓ สมัย  (อ่าน 3339021 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 5 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #9875 เมื่อ: 14 สิงหาคม 2556, 23:17:01 »


พี่สิงห์ที่เคารพ,
หนิงเดาว่าบ้านไทยเลิกใช้มุ้ง
หันมาใช้มุ้งลวดแทน...
ไข้เลือดออกจึงระบาดเร็ว?
รึเพราะกำลังหน้าฝนคะ??
น่ากลัวจังคะ...โรคนี้ไม่ควรเสียชีวิต

      บันทึกการเข้า


เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #9876 เมื่อ: 15 สิงหาคม 2556, 06:59:14 »

"อูตอร์" ขึ้นฝั่งประเทศจีนในมณฑลกวางตุ้งแล้ว และลดระดับลงเป็นพายุโซนร้อน และจะลดลงเป็นดีเปรสชั่นและหย่อมความกดอากาศต่ำตามลำดับ ผู้จะเดินทางไปจีนตอนใต้ เกาะฮ่องกง มาเก๊า ต้องตรวจสอบอากาศก่อนเดินทาง
ประเทศไทยยังได้รับอิทธิพลจากมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดจากทะเลอันดามันและอ่าวไทย
ฝนมีปริมาณร้อยละ 40-60 ของพื้นที่ คลื่นสูง ลมแรง การท่องทะเลยังต้องระวัง


พยากรณ์อากาศ ประจำวันพุธที่ 15 สิงหาคม 2556
ประกาศกรมอุตุนิยมวิทยา
"พายุ “อูตอร์” (UTOR) "

ฉบับที่ 11 ลงวันที่ 15 สิงหาคม 2556

ลักษณะอากาศทั่วไปเมื่อเวลา 04:00 น.  พายุไต้ฝุ่น “อูตอร์” (UTOR) ได้เคลื่อนขึ้นฝั่งประเทศจีนตอนใต้ เมื่อบ่ายวานนี้ (14 ส.ค.56) และได้อ่อนกำลังลงเป็นพายุโซนร้อนแล้ว โดยเมื่อเวลา 04.00 น. วันนี้ (15 ส.ค.56) มีศูนย์กลางอยู่บริเวณด้านตะวันตกของมณฑลกวางตุ้ง ประเทศจีน หรือที่ ละติจูด 22.6 องศาเหนือ ลองจิจูด 110.8 องศาตะวันออก มีความเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลาง ลดลงจาก 150 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เป็น 95 กิโลเมตรต่อชั่วโมง พายุนี้กำลังเคลื่อนตัวทางทิศตะวันตกเฉียงเหนืออย่างช้าๆ และคาดว่าจะอ่อนกำลังลงเป็นพายุดีเปรสชันและหย่อมความกดอากาศต่ำ ตามลำดับ ขอให้ผู้ที่จะเดินทางไปประเทศจีนตอนใต้ มาเก๊า และเกาะฮ่องกง ตรวจสอบสภาพอากาศก่อนเดินทางด้วย สำหรับพายุนี้ไม่มีผลกระทบต่อลักษณะอากาศของประเทศไทย
อนึ่ง มรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังแรงพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย ลักษณะเช่นนี้ทำให้ภาคใต้ฝั่งตะวันตก และภาคตะวันออก มีฝนตกหนักบางแห่ง ขอให้ประชาชนบริเวณจังหวัดจันทบุรี ตราด ระนอง และพังงา ระวังอันตรายจากฝนตกหนัก ส่วนคลื่นลมในทะเลอันดามันและอ่าวไทยตอนบนสูง 2-3 เมตร ขอให้ชาวเรือเพิ่มความระมัดระวังในการเดินเรือในระยะนี้ไว้ด้วย
 
พยากรณ์อากาศสำหรับประเทศไทยตั้งแต่เวลา 06:00 วันนี้ ถึง 06:00 วันพรุ่งนี้.

ภาคเหนือ มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 60 ของพื้นที่ส่วนมากบริเวณจังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ พะเยา
น่าน แพร่ ตาก พิษณุโลก และเพชรบูรณ์

อุณหภูมิต่ำสุด 23-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-34 องศาเซลเซียส
ลมตะวันตก ความเร็ว 10-30 กม./ชม.
 
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ  มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 40 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดหนองคาย
บึงกาฬ สกลนคร นครพนม ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี

อุณหภูมิต่ำสุด 24-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-34 องศาเซลเซียส
ลมตะวันตก ความเร็ว 10-30 กม./ชม.
 
ภาคกลาง  มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 40 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดนครสวรรค์ อุทัยธานี กาญจนบุรี และราชบุรี
อุณหภูมิต่ำสุด 24-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 34-35 องศาเซลเซียส
ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-30 กม./ชม.
 
ภาคตะวันออก  มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 60 ของพื้นที่และมีฝนตกหนักบางแห่ง
บริเวณจังหวัดจันทบุรี และตราด

อุณหภูมิต่ำสุด 23-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 30-34 องศาเซลเซียส
ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 20-35 กม./ชม.
ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณฝนฟ้าคะนองมีคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร
 
ภาคใต้ (ฝั่งตะวันออก)  มีเมฆมากกับมีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 40 ของพื้นที่
ส่วนมากบริเวณจังหวัดเพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี และนครศรีธรรมราช

อุณหภูมิต่ำสุด 24-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 31-33 องศาเซลเซียส
ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร
 
ภาคใต้ (ฝั่งตะวันตก)  มีเมฆมากกับมีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 60 ของพื้นที่
และมีฝนตกหนักบางแห่งบริเวณจังหวัดระนอง และพังงา

อุณหภูมิต่ำสุด 23-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 30-32 องศาเซลเซียส
ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 20-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 2-3 เมตร
 
กรุงเทพมหานครและปริมณฑล  มีเมฆมาก โอกาสมีฝนตก ร้อยละ 60
อุณหภูมิต่ำสุด 24-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-34 องศาเซลเซียส
ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ชม.

      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #9877 เมื่อ: 15 สิงหาคม 2556, 11:59:06 »

อ้างถึง
ข้อความของ khesorn mueller เมื่อ 14 สิงหาคม 2556, 23:17:01

พี่สิงห์ที่เคารพ,
หนิงเดาว่าบ้านไทยเลิกใช้มุ้ง
หันมาใช้มุ้งลวดแทน...
ไข้เลือดออกจึงระบาดเร็ว?
รึเพราะกำลังหน้าฝนคะ??
น่ากลัวจังคะ...โรคนี้ไม่ควรเสียชีวิต



สวัสดีค่ะ คุณน้องหนุ๋งหนิ๋ง ที่รัก

                     วันนี้ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ขอให้ประกาศว่า จังหวัดเชียงรายเป็นจังหวัดที่ได้รับภัยพิบัติทางโรคไข้เลือดออก  คือจังหวัดควบคุมไม่อยู่ มีผู้ป่วยไข้เลือดออกประมาณเกือบหมื่นคน และตายยี่สิบกว่ารายแล้ว โรงพยาบาลอำเภอเมือง และเชียงแสน คนไข้ล้นโรงพยาบาลด้วยโรคไข้เลือดออก เตียงไม่พอรับคนไข้ ขอรับการช่วยเหลือจากรัฐบาลเป็นการด่วน

                     ขณะนี้ทาง อบต. ต่าง ๆ ในเชียงรายระดมฉีดควันทำลายยูงลาย อาทิตย์ละสี่วัน เพื่อควบคุมโรคให้อยู่ไม่ให้ขยายวงมากกว่านี้  ช่วงนี้ใครไปเชียงรายมีโอกาสเป็นไข้เลือดออกมาก

                     โรคไข้เลือดออกถ้ารู้ตัวว่าเป็นไปหาหมอ  จะหายได้  แต่ถ้าไม่รู้ตัวนึกว่าเป็นไข้ธรรมดา  ไปหาหมอช้า  หรือหมอวินิจฉัยผิด  ก็มีสิทธิตายได้ง่าย ๆ ครับ

                      ปีนี้ระบาดร้ายแรงกว่าโรคซา  ไข้หวัดนกแยะ  แต่บุคคลทั่วไป  ไม่รู้  ไม่สนใจ  สุดท้ายต้องประกาศให้เป็นภัยพิบัติเพื่อขอรับการช่วยเหลือจากส่วนกลาง  เพราะเอาไม่อยู่  อย่างจังหวัดเชียงรายเป็นต้น

                      ดังนั้น  อย่าปล่อยให้ยุงกัด ครับระยะนี้

                      สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #9878 เมื่อ: 15 สิงหาคม 2556, 12:03:32 »

สวัสดีครับ คุณเหยง

                    ขอบคุณมากสำหรับข้อมูลอากาศ

                    พี่สิงห์ ไปทำงานที่นครศรีธรรมราช เช้าวันศุกร์ boarding 09:15 น. เพื่อว่า ตอนเช้าจะได้หุงข้าวใส่บาตรพระ  อย่างน้อยในหนึ่งอาทิตย์อยากหุงข้าวใส่บาตรพระที่หน้าบ้าน ๒ วัน ขึ้นไป

                   จังหวัดนครสวรรค์ นอกจากน้ำท้วมเพราะฝนตก  ไม่มีทางน้ำไหลลงแม่น้ำแล้ว  สถานการณ์โรคไข้เลือดออกเป็นอย่างไรบ้าง  ระบาดหนักไหม  หรือจะเป็นแบบจังหวัดเชียงรายที่ต้องประกาศให้เป็นภัยพิบัติไข้เลือดออก  ไปแล้ว เพราะเอาไม่อยู่

                   สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #9879 เมื่อ: 15 สิงหาคม 2556, 12:07:10 »


ดร.สุริยา

                  บ.เอเซียกรุ๊ป(1999) จำกัด  ที่ผมเป็นที่ปรึกษา มีศักยภาพทางการผลิตเสาเข็ม Hollow core slab ผนัง-เสา-คานสำเร็จรูป วันละประมาณ 600-800 cu.m. คอนกรีต ต่อวัน  อาจจะว่าใหญ่ที่สุดก็ว่าได้ ณ ขณะนี้

                  อยากใช้บริการบอกมาเลย  มีปั้นจั่นเอง

                  สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #9880 เมื่อ: 15 สิงหาคม 2556, 12:21:08 »

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่งและแขกผู้มาเยือน ที่รักทุกท่าน

                         วันนี้มาสายไปหน่อยเพราะ เช้ามืดได้แต่สวดมนต์ทำวัตรเช้า หุงข้าวใส่กล่องไปกินในสนามกอล์ฟตอนเช้า และต้องออกเดินทางไปสนามกอล์ฟ ตอนตีห้า  จึงไม่มีเวลาเขียนเรื่องธรรมะ

                          การตีกอล์ฟ นอกจากเป็นการออกกำลังกายตอนเช้าแล้ว ยังเป็นการปฏิบัติธรรม คือเวลาเดินก็ภาวนาไป  สร้างความรู้สึกตัวในขณะเดิน  ดรรชนีตัวชี้วัดคือ การไม่คิด  หรือคิดน้อย

                         ชาวซีมะโด่ง ท่านใดมีลูกเล่นกอล์ฟ  ผมยินดีจะสอนจิตวิทยาในการเล่นกอล์ฟแบบให้มีสติ ความรู้สึกตัวครับ  จะได้เล่นกอ์ฟได้ดีขึ้น หรือติดทีมชาติในอนาคต  อย่าลืมผมเป็นนักปฏิบัติธรรม เป็นนักกอล์ฟอาชีพ  และยังแข่งขันอยู่ด้วย  ย่อมมีประสบการณ์เพียงพอที่จะสอนได้   ส่วนพระท่านปฏิบัติธรรม  อย่างเดียว  แต่ไม่ใช่นักกอล์ฟอาชีพ  ท่านจึงไม่รู้อะไรเกี่ยวกับกอล์ฟ  ผมย่อมรู้ดีกว่าท่าน

                         เมื่อเช้าขณะขับรถไปสนามกอล์ฟ ได้ฟังรายการพังชีวิต ของคุณอำมร  บรรจง  เป็นรายการเทศนาสอนการปฏิบัติธรรม  ของหลวงพ่อองค์ไหน ไม่ทราบ แต่เป็นสายหลวงพ่อเทียน  จิตตฺสุโภ   ก็ดีครับ เป็นการทบทวนตัวเองไปในตัว  และขอรับรองคำสอนของหลวงพ่อองค์นั้น  ว่าเป็นแบบท่านท่านสอนจริง  เพราะผมพบมาแล้วทั้งนั้น  นับว่าหลวงพ่อท่านสอนได้ดี และท่านประสบมาแล้วเช่นเดียวกับผม แล้วเอามาบอกต่อ

                         วันนี้อยู่บ้าน เพื่อนั่งทำงานอยู่บ้านอีกหนึ่งวัน  อาทิตย์นี้ตั้งแต่วันอาทิตย์ อยู่บ้านตลอด เพราะหลานสาวครูแพรว  กลับไปสิงห์บุรี  เลยอยู่เฝ้าบ้านดีกว่า

                         สวัสดี
      บันทึกการเข้า
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #9881 เมื่อ: 15 สิงหาคม 2556, 17:55:39 »


พี่สิงห์ที่เคารพ,
จังหวัดเชียงรายป้องกันโดยฉีดไล่ยุงลาย
ไล่ไม่หมดหรอกคะ ถ้าไม่กำจัดที่แหล่ง
แจกมุ้งไงพี่ ถูกกว่าซื้อเคมีมาฉีด!

ลูกๆหนิงยังไม่สนใจเล่นกอล์ฟคะ!
พี่สิงห์สอนพวกเค้าทำจิตตอนเล่นเทนนิสดีกว่าคะ
พวกเค้าไปกันพ่อลูก3คน..จองคอร์ตเล่นช่วงนี้
โรบินสนใจจะไปเล่นกะหนุ่มๆเพื่อนๆคะ
เห็นถามจัง จองยังไง จ่ายเท่าไหร่
ส่วนหนิงว่ายน้ำค่ะ มีสมาธิอยู่แล้ว ไม่ต้องทำจิต!
      บันทึกการเข้า


Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #9882 เมื่อ: 15 สิงหาคม 2556, 18:12:48 »

สวัสดีค่ะ คุณน้องหนุ๋งหน้๋ง ที่รัก

                            ทุกบ้านเขามีมุ้งอยู่แล้ว  แต่ประชาชนขาดความรู้ในการป้องกัน และไม่มีการประชาสัมพันธ์ให้ทราบต่างหาก

                            เพราะความไม่รู้  จึงโดนไข้เลือดออกโจมตี

                            กทม. ก็มีผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกมาก วันนี้ กทม. ได้ออกมาเตือนให้ระวังกันแล้ว

                            สัปดาห์นี้ สภากำลังพิจารณาร่างกฏหมายงบประมาณ สองล้านล้านบาท(ต้องกู้ส่วนหนึ่ง เพราะรายรับไม่พอรายจ่ายที่สูงมากปีนี้)

                            สัปดาห์หน้า รัฐบาลเสนอร่างกฏหมายกู้เงินสองล้านล้านบาท มาให้การรถไฟทำรางคู่  ส่วนรถไฟความเร็วสูง นั้นต้องตั้งบริษัทมารับผิดชอบและให้เอกชนประมูลสัมปทาน

                            ถัดไปรัฐบาลก็เสนองบเงินกู้อีกสามแสนล้านบาทมาทำระบบป้องกันน้ำท้วม

                            มีแต่กู้ทั้งนั้น ลูกหลานคนไทยเป็นหนี้หัวโต และเงินเฟ้อแน่นอน

                            ก็บอกให้เธอทราบ

                            สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #9883 เมื่อ: 15 สิงหาคม 2556, 18:19:54 »

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน

                              วันนี้พี่สิงห์ ส่ง ดร.สุริยา  ไปประชุมแทนกับท่านอธิการ

                               ณ  ปัจจุบัน พี่สิงห์  ไม่อยากให้ใครเดือดร้อนทั้งสิ้น  พี่สิงห์เข้าใจดี  จึงไม่ได้เป็นตัวตั้งตตัวตีในการระดมเงินทุนใด ๆ

                               พี่สิงห์  ก็บริจาคเท่าที่สามารถบริจาคได้เท่านั้น และเชิญชวนทุกท่านบริจาคทำได้เพียงเท่านี้  หรับรับใช้ด้วยตัวเอง

                               อย่างอื่น ๆ  จะไม่ทำเพราะจะไปสร้างความลำบากใจกับเพื่อน ๆ

                               ก็เรียนให้ทราบทั่วกัน

                                  สวัสดี                                             
                                         
      บันทึกการเข้า
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #9884 เมื่อ: 15 สิงหาคม 2556, 18:58:07 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 15 สิงหาคม 2556, 18:12:48
สวัสดีค่ะ คุณน้องหนุ๋งหน้๋ง ที่รัก

                           

                       สัปดาห์นี้ สภากำลังพิจารณาร่างกฏหมายงบประมาณ สองล้านล้านบาท(ต้องกู้ส่วนหนึ่ง เพราะรายรับไม่พอรายจ่ายที่สูงมากปีนี้)

                        สัปดาห์หน้า รัฐบาลเสนอร่างกฏหมายกู้เงินสองล้านล้านบาท มาให้การรถไฟทำรางคู่  ส่วนรถไฟความเร็วสูง นั้นต้องตั้งบริษัทมารับผิดชอบและให้เอกชนประมูลสัมปทาน

                        ถัดไปรัฐบาลก็เสนองบเงินกู้อีกสามแสนล้านบาทมาทำระบบป้องกันน้ำท้วม

                        มีแต่กู้ทั้งนั้น ลูกหลานคนไทยเป็นหนี้หัวโต และเงินเฟ้อแน่นอน

                         ก็บอกให้เธอทราบ

                       สวัสดี


พี่สิงห์ที่เคารพ
ทำไมกู้เยอะจัง!
นี่งบกู้ปีเดียวนะคะ?
เอาต่อหัว 50ล้านคนเข้าหาร!
โอพณฯท่าน...ยังไม่เกิดก็เป็นหนี้แล้ว?
ที่ว่ารายจ่ายมากกว่ารายรับ...
ภาษาชาวบ้านคือมือเติบ ใช้มากกว่าหาได้??
อืมมม นึกย้อนดูการใช้ชีวิตคน..
ก็เหมาะสมกันดีคะ!
อยากอวดว่ารวยแต่เป็นหนี้ล้นพ้นตัว..
ไม่รู้ใครจะได้หน้าอะไรขึ้นมาตรงไหนคะ

ประหยัดที่รายจ่ายสิพี่...หากปัญหาอยู่ที่
รายจ่ายมากกว่ารายรับ!
      บันทึกการเข้า


Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #9885 เมื่อ: 15 สิงหาคม 2556, 19:46:36 »

สวัสดีค่ะ คุณน้องหนุ๋งหนิ๋ง ที่รัก

                                 ต้องไปถามรัฐบาล นายกยิ่งล้กษณ์ และ ดร.สุริยา

                                 อีกสาเหตุเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ  ด้วยการลงทุนในสาธารณูประโภค รถไฟรางคู่

                                  เป็นการใชเงินในอนาคตของลูกหลาน

                                  เป็นหนี้ไม่กลัว  แต่กลัว ค่าต๋ง 20% อย่างน้อยมากกว่า

                                  สำหรับพี่สิงห์  ไม่ขอใช้เงินอนาคต  ขอใช้เงินสด เท่าที่มี อยู่อย่างพอเพียง  ไม่ต้องการอะไรมากกว่านี้อีกแล้วในทุกด้าน

                                  ลุงไหม  สานกระบุง  กระด้ง ขายและทำขวัญนาค  ยังเลั้ยงลูกได้ ๕ คน  ไม่มีก็ไม่ซื้อ  ยึดหลักให้มั่น

                                  ความสุขที่ปราณีต  คือการไม่ปรุงแต่ง ต่างหาก

                                  สวัสดี
      บันทึกการเข้า
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #9886 เมื่อ: 15 สิงหาคม 2556, 20:19:36 »


พี่สิงห์ที่เคารพ,
รถไฟขนผักเหรอพี่?
หนิงเห็นด้วยในสาธารณูปโภค-สาธารณูปการ
เห็นด้วยในสิ่งปลูกสร้างคงทนถาวร...แต่,
มีแต่นะคะ...กระจายกระจายความเจริญออกข้างนอก
ไม่ใช่อะไรก็อุดกันแต่ในกรุงเทพ!ชาวกอทอมอ จาหลง
หลงว่าเมืองไทยคือกรุงเทพ!! ไม่ได้รู้เลยที่อื่นเค้าอะไรยังไง

พวกฉ้อ พวกกิน ต้องสาปแช่งค่ะพี่ท่าน!
กินเงินราษฎร์ กินเงินหลวง กินเงินแผ่นดิน
ขอให้มะเร็ง ขอให้เป็นโรคห่า....คะ.

ต้องจ้องกันไว้คะ
สร้างไม่เสร็จ...
เสร็จก็คุณภาพไม่ดี
ใช้ไม่ได้เงินลงทุนก็สูญ
ก็?กู้ใหม่...
อิหร็อบเดิมตั้งแต่หนิงยังเด็กๆ
จนหัวจะหงอกแล้วคะ!!
เหมือนรับมรดกยังไงไม่ทราบคะ
มรดกหนี้???
      บันทึกการเข้า


Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #9887 เมื่อ: 15 สิงหาคม 2556, 20:58:38 »

สวัสดีค่ะ คุณน้องหนุ๋งหนิ๋ง ที่รัก

                     ตราบใดที่ยังใช้นโยบายทุนนิยม และใช้ตัวชี้วัดที่การเจริยเติบโตของเศรษฐกิจ เป็นตัวชั้วัด เมื่อนั้นประเทศไทยจะมีแต่หนี้ ใช้เงินอนาคต  ทั้งๆ ที่การใช้เงินอนาคตนั้น  ถ้าเป็นบุคคลธรรมดา  หรือบริษัท มีแต่เจ้งลูกเดียว เพราะดอกเบี้ย และรายรับไม่สมดุลย์กับรายจ่าย  ทำงานเหนื่อยแทบตาย คนอื่นเอาไปกินหมด(ดอกเบี้ย)

                     ระบบเศรษฐกิจ มีแต่คนเห็นแก่ตัว  เอารัดเอาเปรียบในทางการค้า  เห็นแก่ตัว

                     ถึงจุด ๆ หนึ่งระบบเศรษฐกิจก็จะพัง  ต้องมีคนเจ็บตัว  และเริ่มต้นใหม่

                     ในชีวิตที่ผ่านมาเราก็เห็นไม่ต่ำกว่า สาม-สี่ครั้ง มาแล้ว

                     การอยู่อย่างพอเพียง เราก็สามารถอยู่ได้

                     เราไปห้าม ไม่ให้เขาคิดค่าต๋งนั้นลำบาก มันเป็นค่านิยมของคนเป็นรัฐบาลไปเสียแล้ว เพราะไม่มีใครลงทุนเล่นการเมืองแล้วไม่เอาคืนหรอก มันไม่มีแล้ว  มีแต่มาตั้งหน้าตั้งตาหาผลประโยชน์กันทั้งนั้น  โดยมีข้ออ้างเพื่อปีะชาชน และประชนก็ชื่นชม

                      ความจริงเหล่านี้ ทุกคนรู้แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะไก่เห็นตีนงู  งูเห็นนมไก่  มันจึงเป็นพวกเดียวกันได้  ก็ต้องปล่อยไป เราทำอะไรไม่ได้  ได้แต่ดูแลตนเอง ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน  และช่วยเหลือเท่าที่จะกระทำได้ เท่านั้น

                      เธออย่าถามมากเลย  เดี๋ยวผิดศีล เพราะทำให้ผู้อื่นเสียหาย ไม่สำรวมกาย วาจา ใจ และพี่สิงห์ ไม่รู้อะไรหรอก ไม่ได้ฟังข่าวสาร ครับ

                      สวัสดี 
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #9888 เมื่อ: 15 สิงหาคม 2556, 21:14:56 »

สวัสดียามค่ำครับ ชาวซีมะโด่ง และแขกผู้มาเยือน ที่รักทุกท่าน

                       อาทิตย์นี้อยู่บ้านเสียหลายวัน  มีความสุข ที่ไม่ต้องเดินทาง

                       วันนี้ตอนเย็นได้เดินจงกรมออกกำลังกายที่หน้าบ้าน และฝึกชิกง  รู้สึกว่าร่างกายเรานั้น มีข้อบกพร่องเกิดขึ้นแล้ว  คงต้องหาเวลาไปตรวจร่างกายชุดใหญ่ประจำปีแล้ว เพราะไม่ได้ตรวจมาสองปีแล้ว

                       พรุ่งนี้ได้หุงข้าวใส่บาตรพระที่หน้าบ้านก่อนที่จะเดินทางไปสนามบินดอนเมือง เพื่อไปทำงานที่นครศรีธรรมราช

                       เดินทาง เดินทาง และก็เดินทาง  นี่ละชีวิต

                       กลางเดือนกันยายน ก็ต้องเดินทางไปกับ SIW ที่พาลูกค้าไปเที่ยว ที่เกาะฮอกไกโด ประเทศญี่ปุ่น คงประมาณ 4-5 วัน คงต้องละเมิดศีลอีกแล้วหนอเรา คือ รับประทานอาหารกลางวันเลยเที่ยงวัน และอยู่ในช่วงเข้าพรรษาด้วย คงต้องซื้ออาหารกลางวันจากโรงแรมเป็นอาหารเพล เพราะภัตตาคารในญี่ปุ่นนั้น เราไม่กินเขาไม่ว่า และไม่อนุญาติให้ห่อกลับบ้านด้วย มีบทเรียนมาแล้ว  จะไม่ไปก็เกรงใจคนเชิญ

                        ทำจิตให้ผ่องใสด้วยการมีสติ-สัมปชัญญะ ครับ

                         ราตรีสวัสดิ์ทุกท่านครับ
      บันทึกการเข้า
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #9889 เมื่อ: 15 สิงหาคม 2556, 22:26:23 »

พี่สิงห์ที่เคารพ,
พี่สิงห์จะได้เที่ยว?
ผิดศีลหลายข้อนะคะ!
แต่ความจริง พี่ยังไม่ละทางโลกทีคะ
พระสงฆ์นุ่งห่มจีวร ท่องขึ้นเครื่องบินกันโครมๆ
ในเมื่อพี่สิงห์ยังเป็นฆราวาส ก็ไม่มีความจำเป็น
จะต้องรักษาบริสุทธิ์อะไรลักษณะนั้น!
เที่ยวค่ะ ไม่ต้องคิดเรื่องผิดศีล...ถึงผิดพี่ก็ผิดคนเดียว
ไม่มีใครมาว่าพี่ผิดคะ

แล้วตกลง...นี่หนิงกำลังคุยกะพี่สิงห์นุ่มห่มขาว
รึกำลังคุยกะพระคะเนี่ย?

ว่าจะไม่ถามแล้วเชียว!!
      บันทึกการเข้า


suriya2513
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,457

« ตอบ #9890 เมื่อ: 16 สิงหาคม 2556, 00:02:58 »



งั้นอย่างงี้ การที่เรานอนดึก ก็มาถูกทางแล้วสิเรา
      บันทึกการเข้า

[โบราณคดี]จุดกำเนิดเริ่มต้นของ cmadong.com by : มานพ กลับดี  คลิ๊ก->
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #9891 เมื่อ: 16 สิงหาคม 2556, 05:53:18 »

อ้างถึง
ข้อความของ khesorn mueller เมื่อ 15 สิงหาคม 2556, 22:26:23
พี่สิงห์ที่เคารพ,
พี่สิงห์จะได้เที่ยว?
ผิดศีลหลายข้อนะคะ!
แต่ความจริง พี่ยังไม่ละทางโลกทีคะ
พระสงฆ์นุ่งห่มจีวร ท่องขึ้นเครื่องบินกันโครมๆ
ในเมื่อพี่สิงห์ยังเป็นฆราวาส ก็ไม่มีความจำเป็น
จะต้องรักษาบริสุทธิ์อะไรลักษณะนั้น!
เที่ยวค่ะ ไม่ต้องคิดเรื่องผิดศีล...ถึงผิดพี่ก็ผิดคนเดียว
ไม่มีใครมาว่าพี่ผิดคะ

แล้วตกลง...นี่หนิงกำลังคุยกะพี่สิงห์นุ่มห่มขาว
รึกำลังคุยกะพระคะเนี่ย?

ว่าจะไม่ถามแล้วเชียว!!


สวัสดีค่ะ คุณน้องหนุ๋งหนิ๋ง ที่รัก และชาวซีมะโด่ง - แขกผู้มาเยือนที่รักทุกท่าน

                    เป็นคำถามที่ดีมาก

                   มีพระ ดร.ท่านรูปหนึ่ง อยู่อินเดีย ท่านชวนพี่สิงห์ ให้ไปเที่ยวที่ดาลัต และแคชเมียร์ พี่สิงห์ ถามท่านว่า ไปทำไม ท่านก็ตอบตรง ๆ ไปพักผ่อนซิโยม  วิวมันสวย  อากาศก็ดี คนก็อารมณ์ดี  ผิวพรรณดี  น่าเที่ยวจะตาย  ปีหนึ่ง ๆ ต้องไปพักผ่อนบ้าง!

                    พี่สิงห์ ก็ได้รับรู้เอาไว้

                    ในสมัยพุทธกาลพระสงฆ์ที่ยังเป็นพระเสขะ คือยังเรียนอยู่ ยังไม่ได้เป็นพระอริยะบุคคล คือชั้นโสดาบัน สกคามี อนาคามี และพระอรหันต์นั้น เขาเรียกว่า "สมมติสงฆ์"

                    ส่วนพระอริยะบุคคล ที่บรรลุโสดาบัน สกคามี อนาคามี และพระอรหันต์ นั้น จะเป็นบุคคลธรรมดาที่ไม่ได้บวช หรือบวชเป็นสมมติสงฆ์แล้วก็ตาม ถึงจะเรียกว่า "พระสงฆ์" นี่คือความหมายของพระภิกษุสงฆ์ที่บันทึกไว้ในพระไตรปิฎก

                     พี่สิงห์ นุ่งขาว เพื่อบอกกับตนเองว่า เราถือศีล ๘ เป็นสรณะ จะต้องรักษาศีล ๘ ให้สมบูรณ์ รักษากาย  วาจา  ใจ  ให้เป็นปกติ  ให้งานในที่สาธารณะ ถือศีลให้งดงามสมบูรณ์ ตามที่พระพุทธองค์ได้ทรงสอนเอาไว้

                     นอกจากนี้หลังจากสวดมนต์ทำวัตรเช้าเสร็จ จะต้องสวดบทขอยึดเอาพระพุทธ พระธรรมและ พระสงฆ์ เป็นสรณะ สามครั้ง และตามด้วย ข้อศีลทั้ง ๘ ทั้งภาษาบาลี และความหมายภาษาไทย  เพื่อให้จิตตนเองได้ทบทวนทุกวัน เพื่อไม่ให้หลงลืม และหย่อนยาน เป็นการรักษาศีลให้สมบูรณ์ มันเป็นหนทางหนึ่งในการปล่อยวางในทุกสิ่ง ไม่ยึดถือสิ่งใด  ต้องฝึกให้จิตมันเห็น

                     การรักษาศ๊ลให้งามนั้น  เราละเมิดศีล คนภายนอกไม่รู้แต่เราก็รู้ได้ด้วยตนเอง  ถ้าไม่โกหกตนเอง 

                     อย่าลืมถ้าเราละเมิดศีลข้อใดข้อหนึ่งได้ โดยมีข้ออ้างที่เข้าข้างตนเอง  พระพุทธองค์ทรงสอนว่า ศีลข้ออื่น ๆ ก็ละเมิดได้ มันเป็นความจริง 

                     ดังนั้น ในเมื่อตั้งใจรักษาศีลแล้ว สู่ไม่ละเมิดเสียดีกว่า เราสามารถจัดการกับตัวเองได้ คือสำรวมกาย  วาจา  ใจ  ไม่นึกปรุงแต่ง  ไม่ยินดีในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสทางกาย และเมื่อใจคิดก็รู้ เรื่องอาหารเราก็ซื้อของเราไปได้ ถึงจะไม่อร่อย ไม่หรู  มันก็กินได้ เพราะไม่ได้กินที่รสชาด กินเพื่อร่างกาย  ที่นอนเราก็นอนพื้นได้  การแสดง เราก็หนี เราสามารถสำรวม ตา หู  จมูก ลิ้น กาย ได้เวลาสัมผัสก็ให้รู้เท่านั้น ไม่ยินดี  ไม่เพลินเพลิน  เราก็อยู่ในสังคมได้  ไม่ต้องสนใจใคร ระวังแต่ตนเอง ไม่ให้ใครเดือดร้อนเท่านั้น

                   เช้านี้ ได้นั่งภาวนาเรียบร้อยแล้ว ได้หุงข้าวเพื่อใส่บาตรพระที่หน้าบ้านแล้ว ได้สวดมนต์ทำวัตรเช้าแล้ว  ได้ทบทวนศีล ๘ แล้ว และได้สอนธรรมะ แล้ว

                         ต้องไปทำกิจธุระส่วนตัวให้เสร็จ รับประทานอาหารตอนพระอาทิตย์ขึ้น คือหกโมงเช้า  เดินไปซื้อกับข้าวใส่บาตรพระที่ตลาดลุงเพิ่ม ใส่บาตรพระ ตอนเจ็ดโมงเช้า แล้วต้องจรรีไปสนามบินดอนเมืองทันที ในช่วงรถติด  ไม่มีเวลามากนัก

                          นี่คือสิ่งที่ต้องกระทำเช้านี้ แข่งกับเวลา  ทำจิตให้ผ่องใสด้วยการมีสติ-สัมปชัญญะ ครับ

                           สวัสดี         
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #9892 เมื่อ: 16 สิงหาคม 2556, 06:35:19 »

มรสุมตะวันตกเฉียงใต้จากทะเลอันดามัน และอ่าวไทยแรงขึ้น ปกคลุมภาคใต้ฝั่งอันดามัน, ภาคตะวันออก และ กทม.และปริมณฑล ส่งผลให้ทั้ง 3 ภาคมีฝนร้อยละ 60 คลื่นในทะเลสูง ลมแรง ชาวเรือต้องระวัง

พยากรณ์อากาศ ประจำวันพฤหัสบดีที่ 16 สิงหาคม 2556
ลักษณะอากาศทั่วไปเมื่อเวลา 04:00 น.  มรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังค่อนข้างแรงพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย ลักษณะเช่นนี้ทำให้ภาคใต้ฝั่งตะวันตก และภาคตะวันออก มีฝนตกหนักบางแห่ง ขอให้ประชาชนบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนัก ส่วนคลื่นลมในทะเลอันดามันและอ่าวไทยตอนบนสูงประมาณ 2 เมตร ขอให้ชาวเรือเพิ่มความระมัดระวังในการเดินเรือ
 
พยากรณ์อากาศสำหรับประเทศไทยตั้งแต่เวลา 06:00 วันนี้ ถึง 06:00 วันพรุ่งนี้.

ภาคเหนือ  มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 40 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงใหม่
ตาก กำแพงเพชร พิษณุโลก และเพชรบูรณ์

อุณหภูมิต่ำสุด 23-24 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-33 องศาเซลเซียส
ลมตะวันตก ความเร็ว 10-30 กม./ชม. 

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 40 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดหนองคาย
อุดรธานี สกลนคร นครพนม สุรินทร์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี

อุณหภูมิต่ำสุด 23-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-33 องศาเซลเซียส
ลมตะวันตก ความเร็ว 10-30 กม./ชม. 

ภาคกลาง  มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 40 ของพื้นที่
ส่วนมากบริเวณจังหวัดนครสวรรค์ อุทัยธานี กาญจนบุรี และราชบุรี

อุณหภูมิต่ำสุด 24-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-34 องศาเซลเซียส
ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-30 กม./ชม. 

ภาคตะวันออก มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 60 ของพื้นที่และมีฝนตกหนักบางแห่ง
บริเวณจังหวัดจันทบุรี และตราด

อุณหภูมิต่ำสุด 24-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 30-33 องศาเซลเซียส
ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-35 กม./ชม.
ทะเลมีคลื่นสูง 1- 2 เมตร บริเวณฝนฟ้าคะนองมีคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร 

ภาคใต้ (ฝั่งตะวันออก)  มีเมฆมากกับมีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 40 ของพื้นที่
ส่วนมากบริเวณจังหวัดเพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี และนครศรีธรรมราช

อุณหภูมิต่ำสุด 24-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-33 องศาเซลเซียส
ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร
 
ภาคใต้ (ฝั่งตะวันตก)  มีเมฆมากกับมีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 60 ของพื้นที่
และมีฝนตกหนักบางแห่งบริเวณจังหวัดระนอง และพังงา

อุณหภูมิต่ำสุด 24-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 30-33 องศาเซลเซียส
ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 20-35 กม./ชม.
ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณฝนฟ้าคะนองมีคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร 

กรุงเทพมหานครและปริมณฑล มีเมฆมาก โอกาสมีฝนตก ร้อยละ 60
อุณหภูมิต่ำสุด 25-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-33 องศาเซลเซียส
ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ชม
 
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #9893 เมื่อ: 16 สิงหาคม 2556, 11:31:53 »

สวัสดีครับ คุณเหยง

                       ขอบคุณมากสำหรับข้อมูลข่าวอากาศ

                       พี่สิงห์ อยู่นครศรีธรรมราช  ท้องฟ้าแจ่มใส มีแสงแดดจ้ามาก ไม่มีเมฆฝนให้เห็นเลย มันตรงกันข้ามกับคำพยากรณ์อากาศ

                       ตอนลงเครื่องบิน และเดินไปอาคารผู้โดยสาร คนส่วนมากต้องกางร่ม เพราะแดดร้อนจัด ส่วนพี่สิงห์ ไม่กาง เพราะต้องการแสงแดด

                       สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #9894 เมื่อ: 16 สิงหาคม 2556, 11:47:48 »

อ้างถึง
ข้อความของ suriya2513 เมื่อ 16 สิงหาคม 2556, 00:02:58

งั้นอย่างงี้ การที่เรานอนดึก ก็มาถูกทางแล้วสิเรา




                   คิดแบบนั้น มันคิดแบบแมว  ไม่ใช่คิดแบบวิญญูชนม์

                  "จงใช้ชีวิต  ราวกับว่าคุณจะตายในวันพรุ่งนี้"

                   หมายความว่า เมื่อคุณรู้ว่าจะต้องตายแน่ๆ วันพรุ่งนี้ คุณควรที่จะปล่อยวางในทุกสิ่ง ไม่มีอะไรต้องกระทำอีกแล้ว หมดเวลาแล้ว ควรทำใจให้สงบ มีสติ-สัมปชัญญะ จะได้ไม่คิด เมื่อไม่คิดก็ไม่ทุกข์ สามารถปล่อยวางลงได้ อะไรที่ยังไม่ได้กระทำ หรือยังทำไม่สำเร็จ ก็ทำไม่ได้แล้ว เพราะไม่มีเวลา  อย่าไปยึดติด หรือกังวล ต้องปล่อยมันไปจริง ๆ พร้อมที่จะตาย โดยไม่มีอะไรต้องคิด ต้องห่วง ต้องกระทำ  ต้องกังวลทั้งสิ้น เพราะมันหมดเวลา

                   "จงเรียนรู้  ราวกับว่า  คุณจะมีชีวิตอยู่ตลอดกาล"

                    หมายความว่า เมื่อคุณยังต้องมีชีวิตอีกยาวนาน คุณจะต้องฝึกฝนตนเองตลอดเวลาในการเรียนรู้ที่จะเอามาใช้ประโยชน์ต่อตนเอง  ต่อสังคม ต่อเพื่อนมนุษย์ แต่จะต้องเรียนรู้ไปในทางกุศลธรรม  ประกอบไปด้วยประโยชน์ ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน  อย่าหยุดนิ่ง เพราะถ้าหยุดนิ่งมีแต่ทรุด เท่ากับรอความตาย  คนที่รอความตาย เขาจะไม่คิดทำอะไร  แต่คนที่คิดว่าจะมีอายุอีกยาวนาน จะใฝ่ศึกษา กระทำ เรียนรู้ตลอดเวลา เพราะยังมีเวลาเอาสิ่งที่เรียนรู้นั้นไปใช้ประโยชน์ได้อีกมากมายนัก

                    มนุษย์เรานั้น  ถ้าจะเป็นคนใฝ่การศึกษา ต้องมีความคิดเป็นคนแบบ "น้ำไม่เต็มแก้ว" คือไม่มีทิฏฐิ ยอมรับการสอนสั่ง ติเตียน  นินทา  ว่ากล่าว ตักเตือน และใช้ปัญญาไตร่ตรอง ด้วยมีอิทธิบาท ๔ ครองใจ

                    ต้องขอขอบคุณ ดร.สุริยา  เพราะทำให้เราได้ฝึกสมอง เอาสิ่งที่อยู่ในจิต ออกมาอธิบาย

                    สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #9895 เมื่อ: 16 สิงหาคม 2556, 12:12:36 »



                    สำหรับผมนั้น พร้อมที่จะจากร่างนี้ได้ตลอดเวลา ไม่มีสิ่งที่จะต้องกังวล  ไม่มีใครให้ห่วงทั้งสิ้น ไม่ไม่สิ่งอะไรที่ยังไม่ได้ทำ หรือทำไม่สำเร็จ นอกจากการภาวนา  ซึ่งได้แค่ไหนก็เอาแค่นั้น มีสติ-สัมปัญญะให้มาก ๆ ไม่หลงในความคิด อยู่ในกรอบของศีล ๘ ระวังตนเอง ไม่ทำให้ใครเดือดร้อนเพราะเรา  ขอเป็นผู้ให็ ไม่เป็นผู้เอา จะกระทำสิ่งใดก็กระทำในสิ่งที่วิญญูชนม์พึงกระทำ ไม่ทำตามความคิดตนเองเป็นส่วนใหญ่

                     การสวดมนต์พิจารณาสังขารกระทำทุกเช้า เย็น เพื่อให้จิตมันเห็นความจริงตามนี้  จึงจะปล่อยวางได้ พร้อมที่จะตายทุกเมื่อ



                     แต่ในขณะเดียวกัน ผมยังอยู่ในสังคม  ยังมีความต้องการทางปัจจัย ๔ ในการดำรงค์ชีวิต  ไม่พึ่งใครทั้งสิ้น  จึงต้องเรียนรู้ในทุกด้าน โดยเฉพาะการทำงานในหน้าที่วิศวกร ไม่หยุดนิ่งที่จะคิด  ที่จะประดิษฐ์ ที่จะพัฒนา ตลอดเวลา  ไม่หล้าสมัย มีความรู้ทันเด็กสมัยใหม่พอสมควร  การเรียนรู้เป็นสิ่งที่จำเป็นต่อชีวิต ถ้าเราหยุดก็เท่ากับเราถอยหลัง แล้ว  แต่ขอเรียนรู้ในสิ่งที่ก่อประโยชน์ เป็นไปในทางก่อกุศล  ช่วยสังคม  แต่ต้องไม่ทำให้ใครเดือดร้อน

                      ยิ่งการเรียนรู้ทางการภาวนา ติดตาจิต นั้น ไม่สิ้นสุดจริง ๆ(จิตภายนอก)

                      สิ่งที่มหาตมะคานธี  กล่าวไว้นี้ เป็นความจริง มีประโยชน์เสมอ ต้องพิจารณาให้เห็นจริง ตามนั้น

                     สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #9896 เมื่อ: 16 สิงหาคม 2556, 14:20:03 »

ยาวหน่อย แต่อยากให้อ่านให้จบ และพิจารณาตาม




แด่เธอ...ผู้รู้สึกตัว
วิถีแห่งการเจริญสติ
หนังสือแห่งการฝึกฝนตนเอง
 


                    
                    ของที่คว่ำอยู่
                    ย่อมถูกแผดเผา
                    ของที่หงายแล้ว
                    ย่อมไม่ถูกแผดเผา

 
วันนี้เราจะพูดกันถึงเรื่องการดับทุกข์ (ความทุกข์, สภาพที่ทนได้ยาก) ตามทัศนะของพุทธศาสนา พระพุทธองค์ทรงสอนว่า เราทุกคนสามารถมาถึงจุดที่สำคัญยิ่งแห่งการดับทุกข์ ดังนั้นข้าพเจ้าจะได้กล่าวถึงวิธีปฏิบัติที่ง่ายๆ และลัดตรงตามประสบการณ์ของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าสามารถให้คำมั่นแก่เธอทั้งหลายได้ว่า วิธีนี้จะสามารถปลดปล่อยเธอให้พ้นจากกองทุกข์ได้อย่างแท้จริง
 
เมื่อเราพูดกันถึงวิธีสู่ความดับทุกข์ (คำพูดนั้นเป็นเรื่องหนึ่ง และการปฏิบัตินั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง) วิธีปฏิบัติคือวิธีการเจริญสติในทุกๆอิริยาบถ กล่าวคือ การยืน การเดิน การนั่ง และการนอน การปฏิบัตินี้เรียกกันบ่อยๆว่า สติปัฏฐาน (ที่ตั้งของความรู้สึกตัว) แต่ไม่ว่าเราจะเรียกมันอย่างไรก็ตาม ประเด็นสำคัญอยู่ที่ความรู้สึกสำนึกที่ตัวเราเอง ถ้าเรารู้สึกตัวแล้ว โมหะ (ความหลง) ก็จะหายไป เธอควรจะเจริญความรู้สึกตัวนี้ให้มาก ด้วยการมีความรู้สึกตัวในการเคลื่อนไหวทางร่างกายของเธอทั้งหมด เช่น การพลิกมือ การยกแขนขึ้นและลง   การก้าวเท้าไปข้างหน้าและการก้าวเท้ากลับ การหมุนศีรษะและการพยักหน้า การกะพริบตา การอ้าปาก การหายใจเข้า การหายใจออก การกลืนน้ำลาย และอื่นๆ เธอจะต้องรู้สึกตัวในการเคลื่อนไหวทั้งหมดนี้ และความรู้สึกตัวนี้เรียกว่าสติ เมื่อเธอรู้สึกที่เนื้อที่ตัวของเธอ ความไม่รู้สึกตัวซึ่งเรียกว่าโมหะหรือความหลงก็จะหายไป
 
การรู้สึกถึงความเคลื่อนไหวของร่างกาย คือการเจริญสติ เราควรจะพยายามเจริญความรู้สึกตัวนี้ในทุกๆ อิริยาบถของการเคลื่อนไหว เมื่อเรามีความรู้สึกตัวทั่วพร้อมจะเกิดปัญญา (การรู้) ชนิดหนึ่งขึ้นในจิตใจ ซึ่งรู้ความจริงตามที่มันเป็น การเห็นตัวเราตามที่เป็นจริงคือการเห็นธรรมะ การเห็นธรรมะ มิใช่การเห็นเทวดา นรก หรือสวรรค์ แต่เป็นการเห็นตัวเราเองในขณะที่พลิกมือ ยกมือขึ้นและลง การเดินไปข้างหน้าและกลับ หมุนศีรษะ พยักหน้า กะพริบตา อ้าปาก หายใจเข้า หายใจออก กลืนน้ำลาย และอื่นๆ นี้คือ รูป-นาม รูป คือ ร่างกาย นาม คือ จิตใจ ร่างกายและจิตใจอิงอาศัยซึ่งกันและกัน สิ่งที่เราสามารถเห็นคือ รูป และจิตใจที่นึกคิดคือ นาม เมื่อเรารู้รูป-นาม เรารู้สิ่งที่เป็นจริงตามที่มันเป็น เมื่อเธอเห็นด้วยตา เธอควรจะมีความรู้สึกตัวถึงการเห็นนั้น เมื่อเธอเห็นด้วยจิตใจ เธอก็ควรจะมีความรู้สึกตัวถึงการเห็นนั้นเช่นเดียวกัน
 
ธรรมะคือตัวเรานี่เอง ทุกๆ คนคือธรรมะ ไม่ว่าจะเป็นเพศชายหรือเพศหญิง คนไทย คนจีน หรือชาวตะวันตก ทั้งหมดคือธรรมะ การปฏิบัตินั้นอยู่ที่ตัวเรา และคำสอนของพระพุทธเจ้าสามารถนำเราไปสู่สภาพของการดับทุกข์อย่างแท้จริง มนุษย์ก็คือธรรมะ ธรรมะก็คือมนุษย์ เมื่อเรารู้ธรรมะ เราก็จะเข้าใจว่า ทุกๆ สิ่งนั้น มิได้เป็นอย่างที่เราคิด ทุกๆ สิ่งคือ สมมติ (สิ่งที่ยอมรับตกลงกัน) นี้คือปัญญาที่เกิดขึ้น เพื่อที่จะประจักษ์แจ้งในคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า ไม่ว่าพระพุทธเจ้าจะอุบัติขึ้นหรือไม่ก็ตาม พระธรรมนั้นมีอยู่ก่อนแล้ว เมื่อเราเห็นสิ่งนี้อย่างแท้จริง เราจะอยู่เหนือความเชื่อที่งมงายทั้งหลาย เพราะเรารู้ว่าธรรมะก็คือตัวเรา ตัวเราเท่านั้นที่จะนำชีวิตของเราเอง มิใช่ใดอื่น นี้คือจุดเริ่มต้นของความสิ้นสุดแห่งทุกข์
 
ขั้นต่อไปเราพยายามเจริญสติ ในทุกๆ อิริยาบถของการเคลื่อนไหวของเราในชีวิตประจำวัน ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเรากำมือ หรือเหยียดมือ เรารู้สึกตัวถึงการกระทำนั้น และเมื่อเรารู้สึกตัวถึงการเคลื่อนไหวของเราทั้งหมด ความไม่รู้สึกตัว หรือโมหะ ก็จะหายไปเอง เมื่อเรามีความรู้สึกตัวอยู่ จะไม่มีความหลง เปรียบเหมือนกับการเทน้ำลงไปในถ้วยแก้ว ขณะที่เราเทน้ำลงไปน้ำจะเข้าไปแทนที่อากาศ และเมื่อเราเทน้ำจนเต็มแล้ว อากาศทั้งหมดในถ้วยแก้วก็จะหายไป แต่ถ้าเราเทน้ำออกอากาศก็จะเข้าไปในถ้วยแก้วทันที ฉันใดก็ฉันนั้น เมื่อมีโมหะอยู่ สติและปัญญาไม่สามารถเข้ามาได้ แต่เมื่อเราปฏิบัติการเจริญสติ ทำความรู้สึกที่ตัวของเราเอง ความรู้สึกตัวนี้จะเข้ามาแทนที่โมหะ เมื่อมีสติอยู่ โมหะก็ไม่สามารถจะเกิดขึ้นได้ อันที่จริงแล้ว สิ่งที่เรียกว่า โทสะ โมหะ โลภะ (ความโกรธ ความหลง ความโลภ) มิได้มีอยู่จริง ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ขณะที่เธอทั้งหลายกำลังฟังข้าพเจ้าพูดอยู่นี้ จิตใจของเธอเป็นอย่างไร จิตใจของเธอที่กำลังฟังอยู่นี้เป็นธรรมชาติ และเป็นอิสระจากโทสะ โมหะ โลภะ


บัดนี้ เรามารู้จักศาสนา (“คำสอน”) พุทธศาสนา (“คำสอนของพระพุทธเจ้า”) บาป (“ความชั่ว, ความมัวหมอง”) และบุญ (“ความดี, คุณงามความดี”) บาปคือความโง่ บุญคือความฉลาดหรือความรู้ เมื่อเธอรู้เธอย่อมสามารถสละ ละวางได้ ศาสนาคือตัวมนุษย์นี้เอง และพุทธศาสนา ก็คือสติปัญญา (การรู้ถึงความรู้สึกตัว) ซึ่งเกิดขึ้น และรู้อยู่ที่จิตใจ คำว่า “พุทธะ” หมายถึง บุคคลผู้รู้ในการเจริญสติ ในทุกๆ อิริยาบถการเคลื่อนไหวของเรา เราเจริญความรู้สึกตัวทั่วพร้อมตลอดทั้งร่างกาย เมื่อความคิดเกิดขึ้น เราเห็นความคิดนั้น เรารู้และเราเข้าใจ แต่ในกรณีของบุคคลธรรมดา เขาเหล่านั้นเข้าไปอยู่ในความคิดและเป็นส่วนหนึ่งของความคิด ดังนั้นเขาจึงไม่เห็นความคิด สมมติว่าเราเข้าไปอยู่ในมุ้งซึ่งอยู่ในห้องของบ้านหลังหนึ่ง ขั้นแรกที่สุดเราจะต้องออกมาอยู่นอกมุ้ง เพื่อที่จะเห็นขอบเขตของมุ้งนั้น และในทำนองเดียวกัน เราจะต้องออกมาอยู่นอกห้องและมาอยู่นอกบ้านเพื่อที่จะเห็นว่า เราถูกขังอยู่ในนั้นมาก่อน ความคิดก็เช่นเดียวกัน เราไม่สามารถจะเห็นความคิด ถ้าเราเป็นส่วนหนึ่งของความคิด เราจะต้องออกจากความคิดเพื่อที่จะเห็นความคิดได้อย่างชัดเจน เมื่อเราเห็นความคิดก็จะหยุด
 
เปรียบเหมือนกับการนำแมวมาไว้ในบ้านของเรา ให้คอยกำจัดหนูซึ่งกำลังรบกวนเราอยู่ แมวและหนูนั้นเป็นศัตรูกันโดยธรรมชาติ ในตอนแรกแมวอาจจะตัวเล็กและอ่อนแอมาก ในขณะที่หนูตัวโตและมีพละกำลัง เพราะฉะนั้นถ้าแมวกระโดดเข้าตะครุบหนู แมวก็จะถูกลากไปในขณะที่หนูวิ่งหนี และหลังจากที่เกาะไว้ได้สักพักหนึ่งก็ต้องปล่อยไป เราไม่สามารถตำหนิแมว แต่เราจะต้องให้อาหารแก่แมวนั้น เราให้อาหารแก่แมวนั้นบ่อยๆ และในไม่ช้าแมวก็จะมีพละกำลังมากและเข้มแข็ง และเมื่อหนูมาแมวก็สามารถจับหนูได้ เมื่อหนูถูกจับได้ มันจะหัวใจวายตายทันทีก่อนที่แมวจะกินมัน ความคิดก็เช่นเดียวกัน ถ้าเราเจริญสติ แล้วเมื่อความคิดเกิด เราจะรู้สึกถึงความคิดนั้นและความคิดก็จะหยุด ความคิดจะไม่ติดต่อเพราะเรารู้สึกถึงมัน ความคิดหายไปเพราะเรามีสติ สมาธิ (การตั้งจิตใจ) และปัญญา พร้อมกันในขณะนั้น สติหรือความรู้สึกตัว หมายถึงการตื่นตัว เช่นเดียวกับแมวที่จ้องจะจับหนู เมื่อความคิดเกิดขึ้นเราไม่ต้องไปเป็นส่วนหนึ่งของความคิดนั้น ความคิดจะเกิดและดับด้วยตัวของมันเอง เมื่อมีสติอยู่จะไม่มีโมหะ เมื่อไม่มีโมหะ ก็จะไม่มีโทสะ โมหะ โลภะ นี้เรียกว่า นาม-รูป เมื่อนามคิด และเรารู้เท่าทันถึงความลวงหลอก เรารู้ทัน เรารู้การป้องกัน เรารู้การแก้ สิ่งนี้คือ สติ
 
ศีล (การรักษากายวาจาให้เรียบร้อย, ความประพฤติถูกต้องดีงาม) คือความปกติ ศีล คือผลของจิตใจที่เป็นปกตินี้เป็นสิ่งเดียวกับสติ สมาธิ ปัญญา วิธีของการเจริญความรู้สึกตัวทั่วพร้อมที่สามารถสิ้นสุดทุกข์ได้ ตามที่ข้าพเจ้าเข้าใจและที่ข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่าพระพุทธเจ้าทรงสอนนั้น คือการปฏิบัติในชีวิตประจำวันนี้เอง ดังนั้นเราไม่จำเป็นต้องนั่งขัดสมาธิหลับตา ถ้าเรานั่งหลับตาเราก็ไม่สามารถทำงานได้ ถ้าขโมยมาเขาก็จะขโมยของเราได้ ดังนั้นเราควรจะลืมตาและเราก็สามารถทำงานทุกชนิดได้ และทุกขณะเราสามารถปฏิบัติการเจริญสติ ไม่ว่าเราจะเป็นนักศึกษา ครูอาจารย์ พ่อแม่ บุตรธิดา ตำรวจ ทหาร หรือข้าราชการ เราทุกคนสามารถปฏิบัติหน้าที่ตามความรับผิดชอบได้ในขณะที่ปฏิบัติการเจริญสติ ทุกๆ คนสามารถกระทำหน้าที่ของตนเองในขณะเจริญสติ กระทำได้อย่างไร เพราะเรามิได้นั่งหลับตา เราจึงสามารถทำหน้าที่ของเราไปตามปกติและเห็นจิตใจของเราในขณะเดียวกัน
 
จิตใจมิได้มีตัวตนที่แท้จริง ทันทีที่จิตใจนึกคิดเราเห็น เรารู้ เราเข้าใจ การเจริญสติ คือการเขย่าธาตุรู้ในตัวของบุคคล ทุกคนมีสิ่งที่เป็นจริงในจิตใจของตนอยู่แล้ว แต่ถ้าเราไม่สามารถเห็นมันเราก็จะไม่เข้าใจมัน แต่มันก็คงยังอยู่ ณ ที่นั้น บัดนี้  ถ้าเราดูเราก็จะเห็น เมื่อเราเห็นโดยอาการเช่นนี้เรียกว่าการเห็นธรรมะ การเห็นธรรมะชนิดนี้สามารถกำจัดโทสะ โมหะ โลภะได้
 
มรรค (วิถีทางอันสูงส่ง, การดูชีวิตจิตใจ) คือวิถีแห่งการปฏิบัติอันนำไปสู่ความสิ้นสุดของทุกข์ วิถีแห่งการปฏิบัติคือการรู้สึกตัวเท่าทันความคิด ร่างกายของเราทำงานไปตามหน้าที่และความรับผิดชอบ แต่จิตใจของเราจะต้องดูความคิด ทุกข์เกิดขึ้น และเพราะเราไม่เห็นมัน มันจึงชนะเรา และยังเราให้เป็นทาส มันนั่งอยู่บนศีรษะของเราและตบหน้าเรา แต่ถ้าเราสามารถเห็น รู้ และเข้าใจมันแล้ว มันก็ไม่สามารถทำอะไรเราได้ ทุกข์เปรียบเหมือนกับปลิงที่เกาะติดแน่นกับตัวเราและดูดเลือดของเรา ถ้าเราพยายามดึงมันออก มันก็ยิ่งจะเกาะแน่นขึ้นและเราก็จะเจ็บปวดยิ่งขึ้น แต่ถ้าเราฉลาด เราเพียงแต่ใช้
 
วิธีของการเจริญความรู้สึกตัวทั่วพร้อม
ที่สามารถสิ้นสุดทุกข์ได้ ตามที่ข้าพเจ้าเข้าใจ
และที่ข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่าพระพุทธเจ้าทรงสอนนั้น
คือการปฏิบัติในชีวิตประจำวันนี้เอง

 
น้ำผสมกับใบยาและปูนกินหมาก และบีบน้ำที่ผสมแล้วนั้นลงบนตัวปลิง ปลิงมันกลัวและมันจะหลุดของมันไปเอง ดังนั้นเราไม่ต้องไปแกะมันออกหรือไปดึงมัน เพื่อที่จะกำจัดมัน เช่นเดียวกันบุคคลที่ไม่รู้พยายามจะหยุดโทสะ โมหะ โลภะ เขาเหล่านั้นพยายามต่อสู้และกดมันไว้ แต่สำหรับบุคคลผู้รู้เพียงมีสติเข้าไปดูจิตใจและเห็นความคิด
 
            เปรียบเหมือนกับการเปิดไฟฟ้า บุคคลที่ไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับไฟฟ้าจะพยายามหมุนที่หลอดไฟ แทนที่จะไปแตะที่สวิตช์ หลอดไฟจึงไม่ติด แต่สำหรับบุคคลผู้ซึ่งรู้เกี่ยวกับไฟฟ้า จะรู้จักเกี่ยวกับวิธีใช้สวิตช์ไฟและดวงไฟก็สว่างขึ้น โทสะ โมหะ โลภะ เปรียบเหมือนกับหลอดไฟฟ้า ความคิดเปรียบเหมือนกับสวิตช์ ความคิดเป็นต้นเหตุของความผิดปกติเหล่านี้ ถ้าเราต้องการขจัดความยุ่งเหยิงผิดปกติเหล่านี้ ให้เรามาจัดการที่ความคิด เมื่อเรามีสติ เฝ้าดูความคิดอยู่ โทสะ โมหะ โลภะ ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ แท้จริงแล้วนั้นไม่มีโมหะ ไม่มีโลภะ และไม่มีโทสะ เราแตะสวิตช์ไฟที่นี่เพื่อให้เกิดความสว่างขึ้นที่นั่น เราเจริญสติที่นี่เพื่อยังความสิ้นสุดแก่ทุกข์ทั้งปวง ทุกข์เกิดจากโมหะ เมื่อเรามีสติ ก็ย่อมจะไม่มีโมหะ และดังนั้นก็ย่อมจะไม่มีทุกข์ด้วย เมื่อเราเคลื่อนมือของเรา เรารู้สึก และการรู้ถึงความรู้สึกนี้คือสติ และเมื่อเรามีสติ เราจะแยกออกจากความคิดและสามารถเห็นความคิด
 
            เธอไม่ควรจะใส่ใจมากเกินไปต่อการเคลื่อนไหว แต่ใช้สติเฝ้าดูความคิดปรุงแต่ง เพียงเฝ้าดูความคิดเฉยๆ อย่าไป “จ้อง” มัน เมื่อความคิดเกิดขึ้นจงปล่อยให้มันผ่านไปทันที แท้จริงแล้วนั้นไม่มีสิ่งที่เรียกว่าโมหะ โมหะเกิดขึ้นเมื่อเราไม่รู้สึกตัว เปรียบเหมือนกับเมื่อเราสร้างบ้านหลังใหม่หนูยังไม่มี แต่เมื่อเรานำสิ่งของต่างๆ มาไว้ในบ้านหนูก็มา บางครั้งเมื่อคนมาวิพากษ์วิจารณ์มาตำหนิเรา เราจะรู้สึกผิดหวังท้อแท้ ด้วยการปฏิบัตินี้ความรู้สึกตัวถึงความท้อแท้ผิดหวังจะเกิดขึ้นในเวลาเดียวกันดุจดั่งแมวตะครุบหนู เมื่อเราสามารถรักษาจิตใจของเราให้อยู่ในสภาพเช่นนี้ โทสะ โมหะ โลภะ ไม่สามารถจะเกิดขึ้นได้ เมื่อความคิด ความทุกข์ หรือความสับสนเกิดขึ้น อย่าได้พยายามหยุดมันแต่ให้สังเกตมัน และเราจะเข้าใจถึงธรรมชาติของมัน ทันทีที่ความคิดเกิดขึ้นปัดมันทิ้งออกไปทันที และให้มาอยู่กับความรู้สึกตัว ความคิด ความทุกข์ จิตใจที่สับสนก็จะอันตรธานไปโดยตัวของมันเอง
 
            ทุกครั้งที่ความคิดอุบัติขึ้นเรารู้มัน แม้เมื่อขณะนอนหลับ เมื่อเราเคลื่อนไหวร่างการของเราขณะนอนหลับนั้น เราก็รู้สึกตัวด้วย นี้เป็นเพราะความรู้สึกตัวของเราสมบูรณ์ เมื่อเราเห็นความคิดในทุกขณะ ไม่ว่ามันจะคิดเรื่องใดก็ตาม เราเอาชนะมันได้ทุกครั้งไป บุคคลที่สามารถเห็นความคิดเป็นผู้ที่อยู่ใกล้กระแสของนิพพาน (กิเลสดับเชื้อ) และแล้วเราจะมาถึงจุดหนึ่ง ที่บางสิ่งในภายในจะเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน ถ้าความคิดรวดเร็ว ปัญญาก็จะรวดเร็วด้วย  ถ้าความคิดหรืออารมณ์ลึกมาก ปัญญาก็จะลึกมากด้วยเช่นกัน และถ้าทั้ง ๒ สิ่งนี้ลึกเท่าๆ กัน และปะทะกันก็จะเกิดการแตกออกอย่างฉับพลันของสภาวะที่มีอยู่แล้วในคนทุกคน ด้วยการอุบัติขึ้นนี้ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และจิตใจจะไม่ยึดติดอยู่กับรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส และวัตถุแห่งการนึกคิด เช่นเดียวกันกับการถอดกลไกการขับเคลื่อนของรถยนต์ เมื่อชิ้นส่วนต่างๆ ถูกถอดออกจากกัน รถยนต์แม้จะยังดำรงอยู่แต่ก็ไม่สามารถจะขับเคลื่อนได้อีกต่อไป
 
            เมื่ออาการปรากฏนี้เกิดขึ้น เราไม่ได้ตาย เราก็ยังสามารถทำงานไปตามหน้าที่ของเรา เราสามารถกินดื่มและนอนหลับ แต่บัดนี้โดยกฎของธรรมชาติทุกสิ่งเป็นความว่าง และนี้คือกฎที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ สมมติว่ามีเชือกเส้นหนึ่ง ขึงตึงระหว่างเสา ๒ ต้น และเราตัดมันขาดที่กึ่งกลาง เชือกก็จะขาดออกจากกัน ถ้าเราต้องการจะผูกมันเข้าด้วยกันอีก เราไม่สามารถที่จะกระทำได้ ถ้าเราแก้เชือกออกจากเสาต้นหนึ่งเพื่อนำไปผูกที่กึ่งกลางแล้ว เราก็ไม่สามารถผูกมันเข้าที่เสาต้นเดิมได้อีก เรื่องนี้เปรียบเหมือนกับประสาทสัมผัสทั้งหกของบุคคลที่ประจักษ์แจ้งธรรมชาติดั้งเดิมของเขา เมื่อตาของเขากระทบเข้ากับวัตถุสิ่งหนึ่ง จะไม่มีความยึดติด เช่นเดียวกับน็อตที่เกลียวหวานไม่สามารถทำหน้าที่ยึดเกาะได้อีก
 
            คำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหมดนั้น มีจุดมุ่งหมายเพื่อยังความสิ้นสุดแก่ความทุกข์ ถ้าเราไม่เข้าใจสิ่งนี้ เราจะเกิดความลังเลสงสัยเกี่ยวกับคำสอนของพระองค์ และจะคาดคิดเกี่ยวกับเรื่องการเกิดใหม่ สวรรค์ นรก และอื่นๆ การคาดคิดซึ่งควรจะละทิ้งนั้นกลับระบาดอยู่ในใจของเรา คำสอนของพระพุทธเจ้านั้นไร้กาลเวลา และไม่ถูกจำกัดอยู่ด้วยภาษา เชื้อชาติ สัญชาติหรือศาสนาใดๆ ตามหลักฐานในสติปัฏฐานสูตร ถ้าเธอปฏิบัติสติปัฏฐานอย่างต่อเนื่องดุจดังลูกโซ่ นั้นคือเจริญสติในทุกขณะแล้ว ความเป็นพระอรหันต์ (ผู้ดับกิเลสได้ ดับเชื้อได้ เห็นจริงรู้แจ้งในตัวของตัว) หรือภาวะแห่งพระอนาคามี (“ผู้ไม่หวนกลับ”) เป็นสิ่งที่หวังได้ อย่างนานภายใน ๗ ปี อย่างกลาง ๗ เดือน และอย่างเร็วที่สุด ๗ วัน ถ้าเธอเจริญสติตามวิธีที่ข้าพเจ้าอธิบายให้ฟัง และมีสติอย่างต่อเนื่องติดต่อกันเป็นลูกโซ่แล้ว อย่างนานที่สุดภายใน ๓ ปี ความทุกข์ก็จะลดน้อยลงถึง ๖๐ เปอร์เซ็นต์ และในบางกรณีอาจจะหมดสิ้นโดยสมบูรณ์ สำหรับบุคคลบางคนนั้น อาจจะได้รับผลนี้ภายในเวลา ๑ ปี หรือภายในเวลา ๙๐ วัน จะไม่มีความดีใจหรือเสียใจ ความพอใจหรือความไม่พอใจ หนทางไปสู่ความสิ้นสุดของทุกข์นี้เป็นหนทางที่ง่าย เหตุที่ยากก็เพราะเราไม่รู้มันอย่างแท้จริง เราจึงมีแต่ความสงสัยและลังเล
 
            เมื่อเรามีความมั่นใจในทุกๆก้าวของการปฏิบัติ มันก็ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ยากเย็นอะไร เธอสามารถปฏิบัติมันได้ในที่ทุกหนทุกแห่ง แต่เธอควรจะรู้ถึงการปฏิบัติอย่างถูกต้องและแท้จริง ถ้าเธอสามารถรับรองตัวของเธอเองได้แล้ว ก็หมายความว่าเธอมีที่พึ่งในตัวเอง ศาสนาหมายถึงที่พึ่ง อันนี้หากว่าเธอได้ศึกษาตำรามาเป็นเวลาหลายปี นั้นก็ยังคงเป็นเพียงทฤษฎีอยู่ แต่ถ้าเธอได้ปฏิบัติอย่างแท้จริง เธอจะไม่ต้องเสียเวลานานถึงเพียงนั้น และสิ่งที่เธอรู้ก็จะเป็นสิ่งที่ดีกว่านักทฤษฎีอย่างเปรียบเทียบกันไม่ได้ ในภาษาบาลีมีคุณภาพทางจิตใจที่สำคัญอยู่สองสิ่ง สิ่งแรกคือ สติ การเรียกกลับมาที่จิตใจ และสิ่งที่สองคือสัมปชัญญะ ความรู้สึกตัวที่ตัวของเราเอง เมื่อเรามีความรู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของมือของเรา เรามีทั้งสติและสัมปชัญญะ ผลแห่งการกระทำนี้เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่มาก เป็นสิ่งที่มีอาจหาค่าได้ เราไม่อาจซื้อความไม่ทุกข์ แต่จะต้องลงมือปฏิบัติด้วยตัวของเราเองจนกระทั่งสิ่งนี้เกิดขึ้นด้วยตัวของมันเอง เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่มีอยู่ก่อนแล้ว
 
            พระธรรมที่ตถาคตรู้นั้น
มีมากเปรียบเหมือนใบไม้ทั้งป่า
แต่พระธรรมที่ตถาคต
สอนแก่พวกเธอทั้งหลายนั้น
เปรียบเหมือนใบไม้กำมือเดียว


การทำบุญและการรักษาศีลเปรียบประดุจดั่งข้าวเปลือกซึ่งไม่อาจจะกินได้แต่ก็เป็นประโยชน์ เพราะเราจะใช้มันสำหรับการเพาะปลูกในปีถัดไป การทำตนเองให้สงบนั้นเปรียบดั่งเช่นข้าวสารที่ยังมิได้หุงและก็ยังคงกินไม่ได้ ความสงบนั้นมี ๒ อย่างด้วยกัน อย่างแรกคือ ความสงบแบบสมถะ (ความจดจ่ออยู่กับอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งหรือสงบแบบไม่รู้) อย่างที่สองคือ ความสงบแบบวิปัสสนา (ปัญญาญาณ, เห็นแจ้งรู้จริงสัมผัสได้ ไม่ทุกข์) ในการกระทำสมถภาวนานั้น เธอจะต้องนั่งนิ่ง หลับตาและเฝ้าดูลมหายใจเข้าและลมหายใจออกของเธอ เมื่อลมหายใจละเอียดอ่อนมากเข้าบางครั้งเธอจะไม่รู้สึกถึงลมหายใจนั้น และเธอรู้สึกสงบมาก แต่โทสะ โมหะ โลภะ ไม่สามารถถูกขจัดออกไป เพราะยังคงมีความไม่รู้อยู่ และเธอเองก็ไม่รู้สึกถึงตัวความคิดของเธอ แต่วิปัสสนาภาวนานั้นสามารถขจัดโทสะ โมหะ โลภะ และความสงบชนิดนี้สามารถมีได้ในที่ทุกหนทุกแห่ง และในทุกเวลา ดังนั้นแล้วเราจึงไม่จำเป็นต้องนั่งปิดหูปิดตา ตาของเราสามารถดู หูของเราสามารถได้ยิน แต่เมื่อความคิดเกิดขึ้นเราเห็นมัน ความสงบแบบนี้เป็นศักยภาพที่ซ่อนอยู่ในตัวคนทุกคน
 
จิตใจดั้งเดิมของเรานั้นสะอาด สว่าง และสงบ สิ่งซึ่งมิได้สะอาด สว่างและสงบนั้น มิใช่จิตใจของเรา มันคือกิเลส (ยางเหนียว) เราพยายามที่จะเอาชนะกิเลสนี้ แต่แท้ที่จริงแล้วนั้นกิเลสมิได้มีอยู่จริง แล้วเราจะไปชนะมันได้อย่างไร สิ่งที่เราต้องกระทำเพียงอย่างเดียวคือ เราเพียงแต่ดูจิตใจโดยชัดเจน เผชิญหน้ากับความคิดโดยแจ่มชัด เมื่อเราเห็นจิตใจอย่างชัดเจนโมหะก็จะไม่มีอยู่
 
คำว่า “สะอาด” ชี้เฉพาะไปที่ภาวะธรรมชาติของจิตใจ ซึ่งไม่ถูกแปดเปื้อนหรือถูกครอบคลุมโดยสิ่งใด เรามีสติปัญญาแทงตลอดเข้าไปถึงจิตใจ และเห็นจิตใจอย่างชัดเจน รู้ว่าจิตใจนั้นมีความสมดุล และไม่มีสิ่งใดมากระทบมันได้ นี้คือความสะอาดของจิตใจ ความ “สว่าง” ของจิตใจเปรียบดั่งแสงที่ส่องสว่างซึ่งช่วยให้เราเกิดความปลอดภัย ไม่ว่าเราจะไป ณ ที่ใด ในภาวะแห่งความสว่างแจ่มจรัสนี้ เราเห็นชีวิตจิตใจของเราเองตลอดเวลาทุกๆ นาที ทุกๆ วินาที และทุกๆ ขณะ นี้ความสว่างของจิตใจ ความ “สงบ” หมายถึงการหยุด ความสิ้นสุดของโทสะ โมหะ โลภะ ความเร่าร้อนปั่นป่วนและความทุกข์ยากทั้งมวล อีกทั้งยังหมายถึงการยุติการแสวงหาวิธีหรือระบบต่างๆ อีกด้วย เราไม่จำเป็นต้องออกเสาะแสวงหาครูอาจารย์อีก เพราะเรารู้อย่างแท้จริงเพื่อตัวเราเอง โดยตัวเราเอง และในตัวเราเอง เมื่อเรารู้จักจิตใจเราอย่างแท้จริง เรารู้ว่าจิตใจนั้นสะอาด สว่าง และสงบในทุกเวลา
 
เมื่อเรารู้จักจิตใจ เราจะรู้ถึงภาวะที่ความทุกข์เกิด และภาวะที่ความทุกข์ดับ เรารู้ความคิดทุกครั้งที่มันคิด เรารู้แม้กระทั่งเสียงหัวใจเต้น และไม่ว่าเราจะเคลื่อนไหวด้วยอิริยาบถใด เรารู้มันทั้งหมด เรารู้ด้วยการเฝ้าดูโดยปกติธรรมดา โดยไม่จำต้องพยายามหรือฝืน การรู้นี้เป็นสิ่งที่รวดเร็วมาก มันรวดเร็วยิ่งกว่าสายฟ้า ยิ่งกว่าไฟฟ้า และยิ่งกว่าสิ่งใดๆ การรู้เป็นสิ่งเดียวกับปัญญา เป็นสิ่งเดียวกับสติปัญญา สติและสมาธิและปัญญา ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งเดียวกัน ปัญญารอบรู้ทุกสิ่งทุกอย่างจริงๆ แม้แต่ว่าเสียงที่แผ่วเบาที่สุดเกิดขึ้นเราก็รู้ เมื่อลมพัดมาถูกผิวหนังของเราเราก็รู้ ความคิดไม่ว่าจะเกิดในลักษณะอาการเช่นใดเราก็รู้ เมื่อความคิดอยู่ลึกปัญญาก็ลึกด้วย เมื่อความคิดว่องไวกิเลสก็ว่องไวและปัญญาก็ว่องไวด้วย ไม่ว่าความคิดจะเกิดโดยรวดเร็วเพียงใด ปัญญาจะรู้ความคิดนั้น
 
นี้คือสิ่งที่เรียกว่า ปฏิจจสมุปบาท (“การเกิดขึ้นพร้อมแห่งธรรมทั้งหลายเพราะอาศัยกัน”) เมื่อไม่มีอวิชชา (การไม่รู้) สายโซ่ซึ่งยังให้เกิดทุกข์ก็ขาดสะบั้นลง เพราะการรู้เข้าไปแทนที่ เธออาจจะเคยได้ยินมาว่าพระพุทธเจ้าทรงตัดผมของพระองค์เพียงครั้งเดียว และผมของพระองค์ก็ไม่ขึ้นมาอีกเลย ข้อนี้เป็นปริศนาธรรม เมื่อผมถูกตัดออกไป มันไม่อาจจะกลับมาติดได้ดั่งเดิม ข้อนี้ฉันใด การตัดอวิชชาออกไปอย่างเด็ดขาด โดยที่มันไม่อาจจะหวนกลับมาได้อีก ก็เป็นฉันนั้น นี้คือกฎตายตัวของธรรมชาติ ดุจดั่งเชือกที่ขึงตึงไว้กับเสาสองต้น เมื่อเราตัดให้ขาดออกจากกันที่ตรงกลางก็ไม่อาจจะกลับเข้ามาผูกติดกันได้อีก เมื่อเราเห็นมาถึงจุดนี้เราจะรู้ว่า ภาวะเช่นนี้เป็นสิ่งที่มีอยู่แล้วในคน แล้วทำไมมันจึงกลายเป็นเรื่องที่ยากเย็น มันไม่ใช่เป็นสิ่งที่ยากแต่ก็ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ง่าย มันเป็นสิ่งที่ทั้งยากและง่าย
 
มีภาษิตบทหนึ่งทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย กล่าวไว้ว่า “คนจนมั่งมี เศรษฐีทุกข์ไส้” ทำไมจึงทุกข์ ทำไมจึงจน เศรษฐีนั้นรวยเฉพาะแต่ในเรื่องเงินทองเท่านั้น แต่ยากจนเพราะไม่เห็นธรรมชาติที่แท้จริงของตน ส่วนคนยากจนใดที่เห็นถึงกฎของธรรมชาติข้อนี้ ถือว่าเป็นผู้มั่งคั่งโดยแท้ เงินทองไม่อาจจะนำใครมาถึงจุดนี้ได้ คนทุกคนมีความสามารถทัดเทียมกันที่จะมาถึงจุดนี้ เพราะว่าทุกคนมีเหมือนกัน ไม่ว่าเราจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย คนไทย คนจีน หรือชาวตะวันตก และไม่เกี่ยวข้องกับความเชื่อทางศาสนาใดๆ ด้วย เราทั้งหมดมีจิตใจดั้งเดิมเป็นสิ่งเดียวกัน ข้อนี้เป็นกฎธรรมชาติเช่นเดียวกับที่ร่างกายของคนทุกคนประกอบด้วยธาตุทั้ง ๔ อย่างเดียวกัน ข้าพเจ้าสามารถให้คำมั่นแก่พวกเธอทั้งหลายได้ว่า ตัวเธอทุกคนนี้แหละปฏิบัติได้ แต่เธอจะต้องมีความจริงใจ
 
ข้าพเจ้าเชื่อในคำพูดที่ว่า พระธรรมนั้นมีอยู่ก่อนการอุบัติขึ้นของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเป็นเพียงบุคคลแรกที่ทรงค้นพบ ก่อนการอุบัติของพระพุทธเจ้านั้น พระธรรมถูกปกปิดอยู่ พระพุทธเจ้าเพียงแต่ทรงเปิดเผยพระธรรมนั้น ธรรมชาติที่แท้จริงนี้ดำรงอยู่แล้วในคนทุกคน เมื่อเธอลุกขึ้นยืน ธรรมชาติที่แท้จริงนี้ก็ลุกขึ้นยืนพร้อมกับเธอ เมื่อเธอนั่งลง มันก็นั่งตามด้วย เมื่อเธอนอนหลับมันก็นอนหลับพร้อมๆ กับเธอ และเมื่อเธอไปเข้าห้องน้ำ มันก็ยังติดตามเธอไปที่นั่นด้วย มันไปทุกหนทุกแห่งพร้อมกับเธอ ดังนั้นเธอจึงสามารถปฏิบัติได้ในทุกสถานที่ เธอควรจะรู้ถึงวิธีการปฏิบัติ เธอควรจะรู้ถึงวิธีการดูความคิด เมื่อเธอรู้ถึงต้นตอหรือแหล่งที่มาของความคิด นี้เป็นจุดที่สำคัญยิ่ง จากจุดนี้หนทางอันยิ่งใหญ่จะเปิดเผยตัวของมันเอง
 
            เมื่อเรามีทัศนะที่ถูกตรงและหนทางที่ถูกตรงแล้ว แน่นอนที่สุดเราย่อมจะลุถึงเป้าหมายในการฟังเทศนา การบริจาคทาน การรักษาศีล การปฏิบัติสมถภาวนา หรือแม้แต่วิปัสสนาภาวนา ถ้าเราไม่สามารถลุถึงที่หมายนี้ สิ่งเหล่านั้นเป็นเพียงความดีอย่างโลกๆ เท่านั้น แต่มิใช่ความดีอันแท้จริง แต่ถ้าเรามิได้บริจาคทานหรือรักษาศีลหรือปฏิบัติการภาวนา และก็ยังคงบรรลุถึงจุดนี้แล้ว กิจที่ต้องทำทั้งหมดเป็นอันสิ้นสุด ประดุจดังฟ้าที่ครอบคลุมดิน มันครอบคลุมหมดทุกสิ่งทุกอย่าง ดังนั้นพระไตรปิฎกทั้ง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ซึ่งรวมคำสอนของพระพุทธเจ้าไว้ทั้งหมดได้รวมอยู่ที่จุดนี้ ถ้าเธอศึกษาพระไตรปิฎกจนจบ เธอควรที่จะมาถึงจุดนี้ แต่ถ้าเธอผ่านพระไตรปิฎกทั้งหมดแล้ว แต่มิได้มาถึงจุดนี้ เธอก็ยังคงมีแต่ความลังเลสงสัยและก็ยังคงมีแต่ทุกข์
 
            บัดนี้ เราไม่ต้องศึกษาพระสูตร พระวินัย หรือพระอภิธรรม (พระไตรปิฎก) แต่เราต้องมีความรู้สึกตัวมาถึงที่จุดนี้ เมื่อเรามาถึงจุดนี้เราก็จะรู้พระไตรปิฎกทั้งหมด ครั้งหนึ่งพระพุทธเจ้าเสด็จไปยังป่าแห่งหนึ่ง พร้อมด้วยภิกษุจำนวนหนึ่ง พระองค์ทรงหยิบใบไม้แห้งกำมือหนึ่งขึ้นมา แล้วตรัสถามแก่ภิกษุว่า “ใบไม้ทั้งหมดในป่าและในมือของเราตถาคต เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วอย่างไหนจะมีมากกว่ากัน” ภิกษุทั้งหลายตอบว่า “ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ใบไม้ทั้งหมดในป่าย่อมมีมากกว่าใบไม้ที่อยู่ในมือของพระองค์อย่างเปรียบเทียบกันมิได้ พระเจ้าข้า” พระพุทธองค์จึงตรัสว่า “พระธรรมที่ตถาคตรู้นั้นมีมากเปรียบเหมือนใบไม้ทั้งป่า แต่พระธรรมที่ตถาคตสอนแก่พวกเธอทั้งหลายนั้น เปรียบเหมือนใบไม้กำมือเดียว” โปรดเข้าใจความหมายนี้ให้ถูกต้อง พระพุทธเจ้าทรงสอนเฉพาะเรื่องทุกข์และการดับไปของทุกข์เท่านั้น มิได้มีสิ่งใดอื่น การศึกษาตำรา การบริจาคทาน  การรักษาศีล การปฏิบัติสมถภาวนา หรือวิปัสสนาภาวนา ควรจะนำเรามาถึงที่จุดนี้ มิฉะนั้นแล้วก็เป็นสิ่งที่ไร้ค่า เมื่อเรามาถึงที่จุดนี้ กิจที่ต้องทำทั้งหมดก็เป็นอันสิ้นสุด
 



            ผมกล้ายืนยันได้เลยว่า ถ้าท่านปฏิบัติตามที่หลวงพ่อเทียน  จิตตฺสุโภ ได้แนะนำ

ไม่ต้องรู้อะไรในพระไตรปิฎก ขอเพียงมีศรัทธา มีวิริยะ ตั้งใจจริง คือมีอิทธบาท ๔ เท่านั้น

ท่านจะเห็นได้(รู้สึกตัว เห็นความคิด) ตามนั้นจริงแท้ แน่นอน

เพราะผมก็ได้ประสบ รู้มาตามนั้น เหมือนกัน

ท่านจะอยู่ในโลกของการรู้สึกตัวเป็นส่วนใหญ่

ไม่หลงอยู่ในความคิด  จะกระทำในสิ่งที่วิญญูชนม์กระทำ

และจะเข้าใจธรรมะของพระพุทธองค์ได้ดีพอสมควรในจิต

แต่สุดท้ายท่านต้องมารู้ในพระไตรปิฎก เพราะนั่นคือ คำสอนที่แท้จริง ให้เรามีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน

เพราะท่านจะคิดในธรรม  ที่ไม่มีทุกข์เลย พิจารณาเห็นได้จริง ตามนั้น

ดร.สุริยา  อาจจะถามว่า มึงมีความโลภ  ความโกรธ  ความหลงไหม ?

ตอบว่ามี แต่เพราะรู้สึกตัว ความโลภ  ความโกรธ  ความหลง มันจึงไม่บังเกิด ต่างหาก  
              
              สวัสดี
      บันทึกการเข้า
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #9897 เมื่อ: 16 สิงหาคม 2556, 17:00:20 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 16 สิงหาคม 2556, 05:53:18
สวัสดีค่ะ คุณน้องหนุ๋งหนิ๋ง ที่รัก และชาวซีมะโด่ง - แขกผู้มาเยือนที่รักทุกท่าน

                    เป็นคำถามที่ดีมาก

                   มีพระ ดร.ท่านรูปหนึ่ง อยู่อินเดีย ท่านชวนพี่สิงห์ ให้ไปเที่ยวที่ดาลัต และแคชเมียร์ พี่สิงห์ ถามท่านว่า ไปทำไม ท่านก็ตอบตรง ๆ ไปพักผ่อนซิโยม  วิวมันสวย  อากาศก็ดี คนก็อารมณ์ดี  ผิวพรรณดี  น่าเที่ยวจะตาย  ปีหนึ่ง ๆ ต้องไปพักผ่อนบ้าง!

                    พี่สิงห์ ก็ได้รับรู้เอาไว้

                    ในสมัยพุทธกาลพระสงฆ์ที่ยังเป็นพระเสขะ คือยังเรียนอยู่ ยังไม่ได้เป็นพระอริยะบุคคล คือชั้นโสดาบัน สกคามี อนาคามี และพระอรหันต์นั้น เขาเรียกว่า "สมมติสงฆ์"

                    ส่วนพระอริยะบุคคล ที่บรรลุโสดาบัน สกคามี อนาคามี และพระอรหันต์ นั้น จะเป็นบุคคลธรรมดาที่ไม่ได้บวช หรือบวชเป็นสมมติสงฆ์แล้วก็ตาม ถึงจะเรียกว่า "พระสงฆ์" นี่คือความหมายของพระภิกษุสงฆ์ที่บันทึกไว้ในพระไตรปิฎก

                     พี่สิงห์ นุ่งขาว เพื่อบอกกับตนเองว่า เราถือศีล ๘ เป็นสรณะ จะต้องรักษาศีล ๘ ให้สมบูรณ์ รักษากาย  วาจา  ใจ  ให้เป็นปกติ  ให้งานในที่สาธารณะ ถือศีลให้งดงามสมบูรณ์ ตามที่พระพุทธองค์ได้ทรงสอนเอาไว้

                     นอกจากนี้หลังจากสวดมนต์ทำวัตรเช้าเสร็จ จะต้องสวดบทขอยึดเอาพระพุทธ พระธรรมและ พระสงฆ์ เป็นสรณะ สามครั้ง และตามด้วย ข้อศีลทั้ง ๘ ทั้งภาษาบาลี และความหมายภาษาไทย  เพื่อให้จิตตนเองได้ทบทวนทุกวัน เพื่อไม่ให้หลงลืม และหย่อนยาน เป็นการรักษาศีลให้สมบูรณ์ มันเป็นหนทางหนึ่งในการปล่อยวางในทุกสิ่ง ไม่ยึดถือสิ่งใด  ต้องฝึกให้จิตมันเห็น

                     การรักษาศ๊ลให้งามนั้น  เราละเมิดศีล คนภายนอกไม่รู้แต่เราก็รู้ได้ด้วยตนเอง  ถ้าไม่โกหกตนเอง  

                     อย่าลืมถ้าเราละเมิดศีลข้อใดข้อหนึ่งได้ โดยมีข้ออ้างที่เข้าข้างตนเอง  พระพุทธองค์ทรงสอนว่า ศีลข้ออื่น ๆ ก็ละเมิดได้ มันเป็นความจริง  

                     ดังนั้น ในเมื่อตั้งใจรักษาศีลแล้ว สู่ไม่ละเมิดเสียดีกว่า เราสามารถจัดการกับตัวเองได้ คือสำรวมกาย  วาจา  ใจ  ไม่นึกปรุงแต่ง  ไม่ยินดีในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสทางกาย และเมื่อใจคิดก็รู้ เรื่องอาหารเราก็ซื้อของเราไปได้ ถึงจะไม่อร่อย ไม่หรู  มันก็กินได้ เพราะไม่ได้กินที่รสชาด กินเพื่อร่างกาย  ที่นอนเราก็นอนพื้นได้  การแสดง เราก็หนี เราสามารถสำรวม ตา หู  จมูก ลิ้น กาย ได้เวลาสัมผัสก็ให้รู้เท่านั้น ไม่ยินดี  ไม่เพลินเพลิน  เราก็อยู่ในสังคมได้  ไม่ต้องสนใจใคร ระวังแต่ตนเอง ไม่ให้ใครเดือดร้อนเท่านั้น

                   เช้านี้ ได้นั่งภาวนาเรียบร้อยแล้ว ได้หุงข้าวเพื่อใส่บาตรพระที่หน้าบ้านแล้ว ได้สวดมนต์ทำวัตรเช้าแล้ว  ได้ทบทวนศีล ๘ แล้ว และได้สอนธรรมะ แล้ว

                         ต้องไปทำกิจธุระส่วนตัวให้เสร็จ รับประทานอาหารตอนพระอาทิตย์ขึ้น คือหกโมงเช้า  เดินไปซื้อกับข้าวใส่บาตรพระที่ตลาดลุงเพิ่ม ใส่บาตรพระ ตอนเจ็ดโมงเช้า แล้วต้องจรรีไปสนามบินดอนเมืองทันที ในช่วงรถติด  ไม่มีเวลามากนัก

                          นี่คือสิ่งที่ต้องกระทำเช้านี้ แข่งกับเวลา  ทำจิตให้ผ่องใสด้วยการมีสติ-สัมปชัญญะ ครับ

                           สวัสดี          


พี่สิงห์ที่เคารพ,
ฟังแล้วก็น่าจะดีต่อผู้ประพฤติ ผู้ปฏิบัตินะคะ
แต่หนิงมองว่าการคาบลู่คาบเกี่ยว...
จะสละแล้วก็ไม่ใช่ จะละเลิกอย่างสิ้นเชิงก็ไม่เชิง
การยังต้องใช้ชีวิตอยู่ในโลกฆราวาส..
ขณะเดียวกันก็ต้องการเหมือน/คล้ายสงฆ์ในแนวปฏิบัติ
สงบร่มเย็นก็ได้ต่อตัวผู้ปฏิบัติใช่มั้ยคะพี่?
ธรรมเนียม กาละ ภาพที่ต้องเป็น ต้องอยู่ภายนอก
ไม่ต้องคำนึง เพราะตัดแล้ว ปิดแล้วซึ่งตัวเองจากโลก
แม้ยังอยู่ในโลก แต่เราไม่สนไม่ยินไม่ยลเสียอย่าง,
อะไรเราก็ไม่แคร์ใช่มั้ยคะ...ตรงนี้คะที่หนิงกลับเมืองไทย
ทุกครั้ง พบความเปลี่ยนแปลงในรอบๆตัว...คนนุ่งขาวห่มขาว
ทำมาหากินปกตินี่แหละพี่ ค้าๆขายๆหากำรี้กำไรจากผู้อื่น
เพื่อความอยู่รอด ถามว่าเราคนธรรมดาต้องยินยอม ยอมรับ
เค้าๆว่าทำดี ปฏิบัติดี ถือศีล รักษาความบริสุทธิ์ สะอาด
เพื่อแบ่ง/กันตัวเองออกจากคนอื่นๆ...คล้ายlabelอีกอย่าง??
ว่าถ้าเค้าๆแต่งตัว/ปฏิบัติลักษณะนั้น เค้าๆสะอาดบริสุทธิ์กว่า
ส่วนที่เหลือ??รึเราต้องนอบต้องน้อมพวกเค้าๆ ไม่หัวไม่ฮา
สำรวมดั่งกำลังปฏิบัติต่อสงฆ์?กึ่งสงฆ์?พวกเค้าต้องการสื่ออะไร
บอกอะไรต่อคนรอบๆ?

ตรงนี้คะพี่ท่าน..
ที่หนิงตัดแล้ว ปิดแล้วซึ่งการต้องขบคิด
ในเมื่อยังอยู่ในโลกเดียวกัน..โลกแห่งปุตุชน
ก็...
ต้องเป็นไปตามที่รอบๆตัวเค้าเป็นกัน
ม่ายงั้นก็ต้องเปลี่ยนโลก เปลี่ยนที่คะ

บอกไม่ถูกคะพี่สิงห์
หนิงก็เกิดมาเป็นพุทธอย่างพี่นั่นแหละ
ถูกสอนถูกสั่งมาเท่ากัน ไม่ได้เคยคิดว่า
จะบริสุทธิ์สะอาดน้อยกว่าอะไรตรงไหน


ทำต่อไปคะพี่ หากพี่ยังค้นคำตอบนี้ไม่เจอ.
      บันทึกการเข้า


Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #9898 เมื่อ: 16 สิงหาคม 2556, 20:29:32 »

สวัสดีค่ะ คุณน้องหนุ๋งหนิ๋ง ที่รัก

                     สมัยที่รัชกาลที่ ๔ ทรงผนวช อยู่นั้น ได้เรียนภาษาบาลี สามารถอ่านพระไตรปิฎกได้ด้วยภาษาบาลี พระองค์ท่านก็ได้พบความจริงว่า ภิกษุนั้น ไม่ได้ปฏิบัติตามพระวินัยเท่าที่ควร  คือหย่อนยานในพระวินัย และไม่ปฏิบัติ ยังหลงเชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ นี่ละคือเหตุที่พระองค์ทรงตั้ง ธรรมยุตินิกายขึ้นมา เพื่อปฏิบัติให้เคร่งในพระวินัย ตามแบบที่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติเอาไว้

                     จริง ๆ มันขึ้นอยู่กับตัวเรา  อย่างที่บอกเราระวังคนอื่นไม่ได้  แต่เราสามารถระวังตัวของเราได้ เราจะทำดีไม่ดี ตัวเรารู้ดี  แต่ถ้าเราประพฤติธรรมตามที่พระพุทธองค์บัญญัติไว้นั้น ดีที่สุด  พี่สิงห์ ก็พบความจริงในพระไตรปิฎก พุทธศาสนาในประเทศไทยนั้น มันเพี้ยนไปจากที่พระพุทธองค์ทรงสอนไว้มาก  เราก็อย่าไปเอาอย่างเลย  ปฏิบัติตามที่พระไตรปิฎกระบุไว้ดีที่สุด  อดเปรี้ยวกินหวาน ดีกว่า

                      นี่ละคือสาเหตุ ที่พี่สิงห์  ไม่อ่านหนังสือจากพระ เพราะมันผิดไปจากคำสอน  สู้ศึกษาจากพระไตรปิฎก และปฏิบัติให้รู้ของเราดีกว่า

                      ราตรีสวัสดิ์ค่ะ

               
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #9899 เมื่อ: 17 สิงหาคม 2556, 08:45:24 »



สวัสดียามเช้าครับ ชาวซีมะโด่ง และแขกผู้มาเยือน ที่รักทุกท่าน

                       เช้านี้มาสวัสดีกับท่านสายไปหน่อย มีสาเหตุมาจาก มารมารบกวนมากและเราก็หลงอยู่ในความฝันนานไปจนเกือบเพลี่ยงพล้ำ แต่ก็ไม่เพลี้ยงพล้ำ คือ ไม่คิดกระทำตามที่มารมันอยากให้กระทำ(จิตตนเอง) เกี่ยวกับความโลภ  ความโกรธ และความหลง

                       ดังนั้น เมื่อตื่นขึ้นมาในอมฤติกาล ก็นั่งภาวนาไปนาน ๆ จนจิตมันตื่น คือสว่าง สงบ เบา ใส แจ่มจ้าในจิต ไม่ตรึก ไม่ตรอง มีปีติ ละปีติ ไม่ทุกข์ ไม่สุขได้ มีอารมณหนึ่งเดียวมีแต่สติ-สัมปชัญญะ  จนเลยเวลาที่จะเขียน  คือการเขียนธรรมะ ของพี่สิงห์ นั้นต้องให้จิตมันพิจารณา และเอาที่พิจารณานั้นมาเขียน  จึงต้องเขียนจากนั่งภาวนา หรือเดินจงกรม

                       พอหลุดออกมาจากการนั่งภาวนาก็หมดเวลา ได้แต่นั่งสวดมนต์ทำวัตรเช้า พิจารณาสังขาร และแผ่เมตตาให้สรรพสัตว์ ที่กระทำเป็นกิจวัตรประจำวัน  ก็ได้เวลาไปเดินจงกรมออกกำลังกายต่อทันที คือหกโมงเช้า และต่อด้วยชิกง-โยคะ

                      เช้าวันนี้อากาศที่นครศรีธนรรมราช ดีมาก คือเห็นแสงเงินแสงทองยามเช้า เห็นพระอาทิตย์ขึ้น ท้องฟ้าไร้เมฆมาบดบัง มีลมเย็นพัดผ่าน เหมาะกับการเดินจงกรมออกกำลังกาย และขณะฝึกชิกง-โยคะ ก็มีแสดงแดดยามเช้าเที่เต็มไปด้วยวิตามีนดี ทำให้กระดูกแข็งแรง

                      ได้พิจารณาถึงมารที่มารังควานในรูปของความฝัน (จิตมันคิด) เมื่อก่อนเรารู้ตัวเร็วกว่านี้มากมายนัก แต่ตอนนี้เราปล่อยให้มารมันรังความนนานเกินไป  แต่ก็ไม่ได้หลงอยู่กับมัน  รู้สึกตัวถอดถอนออกมาได้ไม่เพลี่ยงพล้ำตามที่มันอยากจะให้เป็น คือ โลภ  โกรธ  หลง ไปกับมัน ที่ประสบมากับความฝัน

                      เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา นอนหลับด้วยสติที่สงบไม่ฝันเลย  โดยเฉพาะช่วงห้าทุ่มถึง ตีหนึ่งหลับสนิท ชนิดที่ว่าขโมยขึ้นบ้านก็ไม่รู้สึกตัว ไม่มีมารมารบกวนใด ๆ ทั้งสิ้น  ดีต่อตัวเรา  แต่ต้องระวังขโมย

                      สิ่งที่เป็นอุปสรรคระยะแรกในการภาวนาคือ ความคิดปรุงแต่งหรือนิวรณ์ ๕ คือ ยังชื่นชอบในตา หู จมูก ลิ้น กาย และคิด  ยังคิดพยาบาท ปองร้ายผู้ที่มาทำให้เราโกรธ ยังมีอารมณ์พรุ่งพร่านเดือดดารใจ  ยังหดหู่ ง่วงเงาหาวนอน และยังมีความลังเลสงสัย  แต่เมื่อผ่านไปสักครึ่งชั่วโมง ที่เราใช้วิริยะ เราจะเอาชนะความตรึก ความตรอง ได้ คือไม่คิด มีสติ-สัมปชัญญะ และจะตามมาด้วยปีติ เกิดแสงสว่างวูขเข้ามาในจิต ปรอดโปร่ง เบา หวิว แช่มชื่นจิต อยู่นาน จนเราสามารถละปีติได้  ดำรงค์อยู่ได้ด้วยสติ-สัมปชัญญะ ละทุกข์ที่เกิดขึ้นในจิตจากการนั่งภาวนานาน ๆ ได้ ไม่ยินดียินร้ายอะไร มีสติสมบูรณ์ เป็นอารมณ์เดียว  นี่ละความสุขที่ปราณีต ที่เราต้องการ

                      ต้องเตรียมตัวเดินทางออกจากโรงแรมแล้วครับ

                      สวัสดี
      บันทึกการเข้า
  หน้า: 1 ... 394 395 [396] 397 398 ... 681   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

สมาคมนิสิตเก่าหอพักนิสิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มวลสมาชิกสมาคม คณาจารย์ และนิสิตเก่าทุกคน ขอน้อมเกล้าถวายความอาลัย  พระผู้เสด็จสู่สวรรคาลัย ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ <;))))><