27 มิถุนายน 2567, 14:12:06
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 238 239 [240] 241 242 ... 681   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: คุย กับ คุณมานพ กลับดี อดีตประธานชมรม ๓ สมัย  (อ่าน 3328375 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 10 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5975 เมื่อ: 19 เมษายน 2555, 08:13:04 »

อ้างถึง
ข้อความของ ทราย 16 เมื่อ 19 เมษายน 2555, 08:00:37
อ้างถึง
ข้อความของ suriya2513 เมื่อ 18 เมษายน 2555, 22:59:00
แล้วทำไมพี่ป๋องน่ากลัวกว่า ถึงได้ไม่เคยกลัว ฮึ
สิ่งที่เห็น ... อาจไม่ใช่สิ่งที่เป็น ...
สวัสดีค่ะ คุณน้องทราย ที่รัก

                              มันก็จริงของเธอ "สิ่งที่เห็น...อาจไม่ใช่สิ่งที่เป็น..." มันเป็นความจริงเสมอ เพราะบางคนนั้น จิตคิดไปอย่าง แต่การกระทำของตัวเองตรงกันข้ามเลย 

                              "น้อยคนนักที่กระทำตามที่จิตตนเองคิดและมีความรู้สึกตัวด้วย(สติ)"  จึงมีแต่ความว่างเปล่า ! มองสิ่งรอบตัวมีแต่ความสวยงาม  สงบ เป็นธรรมชาติ เพราะไม่ได้เป็นคิดในสิ่งที่รับรู้เหล่านั้นเลยเพียงแต่รับทราบเท่านั้น"

                               บางคนเสแส้งเป็นที่หนึ่งในสายตาคนภายนอก  แต่ตัวเองก็รู้ว่าไม่จริงใจ  ใจกลับคิดไปในทางตรงกันข้าม  พวกนี้ต้องพึงระวังให้ดี  ถ้าเป็นลูกน้องตัวเอง จงระวัง จะโดนเลื่อยเก้าอี้ ! ไม่รู้ตัว

                               ต่างๆ นา อีกมาก พฤติกรรม สันดานของคน  นี่ละเจตสิกที่แท้จริง

                               ดังนั้นพึงสำเนียกไว้เสมอว่า "จิตของคนทุกคน  จะคิดเข้าข้างตนเองเสมอ  โดยหาเหตุ-ผลมาประกอบให้เป็นเช่นนั้น  และจิตคนนั้นคิดไม่เหมือนกัน  เมื่อเห็นแจ้งแล้ว ก็จงจำไว้ว่า จิตคนนั้นมันเป็นเช่นนี้เอง  อย่าไปยึดมั่นกับมันเลย ปล่อยมันไป เพราะมันเป็นเช่นนั้นเอง  ควาทุกข์ก็ไม่เกิดกับเราเพราะเรา ไม่คิดปรุงแต่งตาม"

                                สวัสดีค่ะ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5976 เมื่อ: 19 เมษายน 2555, 08:24:57 »

อ้างถึง
ข้อความของ พธู ๒๕๒๔ เมื่อ 18 เมษายน 2555, 22:45:11
อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 18 เมษายน 2555, 20:22:04
ขอบคุณมากครับ ป๋าธู

ที่เอาประวัติท่านผู้ว่าปรีชา   เรียงจันทร์  มาลงให้รับทราบ 

ดีกว่าปล่อยผมอยู่คนเดียว  ชักเบื่อตัวเองเหมือนกัน

จะทิ้งไป  ก็กลัวเพื่องฝูง  พี่-น้อง ว่าเอา

เลยทนๆ ไป ด้วยความวิริยะ เอาชนะจิตตนเอง

สวัสดี
ผมชอบอ่านของพี่มากกว่า แต่กรณีพี่รุ่งเนี่ย สนิทกัน เลยเอาประวัติยาวมาให้อ่านกันครับ
สำหรับพี่สิงห์ สามปีที่รู้จักแบบห่าง ๆ พี่เปลี่ยนไปในทางดีกว่าเดิมมาก ใหม่ ๆ ผมยังกลัวพี่เลยครับ
แต่เดี๋ยวนี้ เลิกกลัว เหลือแต่ชื่นชมอย่างเดียว


สวัสดีครับ ป๋าพธู

                         หัวใจค่อยแช่มชื่น ขึ้นบ้าง ที่ยังมีคนตามอ่าน

                         ส่วนใหญ่พี่สิงห์  จะคิดเสมอว่า สิ่งที่เอามาเขียนนั้น เป็นการสอนตัวเอง เป็นหลัก เพื่อให้ไม่ประมาท และเพื่อให้ตัวเองรู้  จนติดเป็นหนึ่งเดียวกับตัวเอง  มันจะได้รูสึกตัว หรือพี่สิงห์ขอใช้คำว่า ทำให้จิตมันตื่นอยู่เสมอ เพราะถ้าจิตมันตื่นขึ้นแล้ว เราจะมีความรู้สึกตัว มีปัญญา  ไม่หลงไปกระทำตามที่จิตตัวเองคิด ไม่กระทำในอกุศลกรรมต่างๆ

                         มีอยู่เรื่องหนึ่ง มีคนมาปรึกษาแต่เขาไม่กล้าบอกความจริง แต่เราก็รู้ได้ว่า  เขากำลังไม่ชอบหน้าภรรยา  อยากจะย่าภรรยา  เพราะเห็นหน้าภรรยาแล้วทุกข์  ไม่มีความสบายใจเลย  แต่เขาก็ไม่กล้าบอกตรงๆ

                         สำหรับผมนั้น การที่จะบอกให้คนย่าล้างกันนั้น ถือว่ามันเป็นบาป  ยิ่งมีลูกด้วยกันแล้วไม่สมควรอย่างยิ่ง  ผมก้เลยแนะนำไปว่า  ไหนๆ ผมก้ได้สอนปฏิบัติธรรมให้มากแล้ว  อะไรๆ ก็สอนไปมากแล้ว ลองเสียเวลาปฏิบัติธรรมให้ต่อเนื่องสักระยะหนึ่งก่อน  จนจิตมันตื่น แล้วจะได้คำตอบที่แท้จริง  สมควร ว่าจะทำอย่างไรดีกับภรรยาของเรา

                          มันเป็นความจริงครับ เขาสามารถจะเห็นจิตของเขาได้ และสามารถหาคำตอบให้ตัวเองได้  ในทางที่ถุกที่ควร เมื่อจิตมันตื่น คือมีปัญญา มีความรู้สึกตัว(สติ) มากขึ้น  ผมไม่ได้แนะนำเกินเลยทั้งสิ้น  มันสามารถค้นพบได้ด้วยตัวเอง  เพราะผมก็สามารถค้นคำตอบนั้นได้แล้วด้วยการมีสตินี่ละ

                          สวัสดี
                       
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5977 เมื่อ: 19 เมษายน 2555, 08:36:12 »

   
                                                         ความกลัว                                              

                                                ความกลัวย่อมเกิดขึ้นและดำรงอยู่

                                                ด้วยความนึกคิด ที่ไม่รู้จริง

                                                เราจะเอาชนะความกลัว

                                                ด้วยการพยายามไม่กลัวนั้นหาได้ไม่

                                                เมื่อความกลัวเกิดขึ้นแล้ว

                                                จงกล้าที่จะค้นให้พบว่าทำไม

                                                ความกลัวเป็นเรื่องเกินความเป็นจริง

                                                เมื่ออยู่กับความเป็นจริงเฉพาะหน้า

                                                ก็ยังไม่มีอะไรต้องกลัว

                                                จงกล้าที่จะเผชิญหน้ากับความกลัว

                                                ความปรารถนาที่จะพ้นความกลัว

                                                เป็นหนทางโน้มเอียงสู่ชีวิตนิรันดร์

                                                “เมื่อเราไม่รู้จริง สิ่งที่เรากลัว ก็คือตัวเราเอง”


                            สมัยที่พระพุทธองค์ บรรพชาใหม่ๆ อยู่ในป่าคนเดียวกลางคืน มีเสียงต่างๆ เกิดขึ้นจนทำให้พระพุทธองค์กลัวสุดขีด  แต่พระพุทธองค์ มีสติได้ตั้งปณิธานขึ้นว่า "ถึงแม้เราจะเกิดความกลัวขึ้นในจิต  เราจะไม่ไปไหนทั้งสิ้น  ถ้าเรายังไม่สามารถหาสาเหตุในสิ่งนั้นที่ทำให้พระองค์กลัว"

                            ผมเองปัจจุบันก็กลัว เพราะมันเป็นอารมณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเรา  เราบังคับไม่ได้มันเป็นธรรมชาติของจิต  แต่ผมจะนึกถึงปณิธาน ของพระพุทธองค์นั้นมาเป็นแบบอย่าง  ทำให้ใจสู้เพื่อค้นหาความจริงให้ได้ ความกลัวก็จะคลายไป เพราะมันเป็นเรื่องของจิตเราปรุงแต่งไปเองทั้งนั้น                      
                      
                             สวัสดี
 
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5978 เมื่อ: 19 เมษายน 2555, 19:36:08 »

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน

                              ผมอยู่ที่นครศรีธรรมราชครับ

                              อยู่ กทม. อากาศร้อนจัด แดดจ้า  มาอยู่นครศรีธรรมราช ท้องฟ้ามีเมฆมาก ฝนตกในทะเล โดยพัดมาทางเขาหลวง  พอเจออากาศเปลี่ยนแบบนี้ แย่เหมือนกัน  ต้องปรับตัวยอมรับสภาพ

                              วันนี้ทางพนักงานห้องฟิตเนสของโรงแรมมาปรึกษา ขอให้ผมสอนชิกงวันพฤหัสบดี และวันศุกร์สอนโยคะ  เพราะมีคนต้องการเรียนมาก และทางฟิตเนสต้องการจัดเป็นกิจกรรมดูแลสุขภาพช่วง 18:00 - 19:00 น. ผมก็ตอบว่ายินดีที่จะเป็นคนสอนให้ ส่วนวันอื่นๆ ที่ผมไม่ได้มานั้น จะเป็นกิจกรรมเต้นแอโรบิก   แต่ยังหาคนสอนไม่ได้  สำหรับผมนั้นสอนให้ฟรีๆ เพื่อความสุขตนเองที่ได้สอน

                              พรุ่งนี้ทางโรงแรมทวินโลตัสจัดรดน้ำท่านประธานฯ และมีการแจกเงิน ๕๐๐ บาท แด่ผู้สูงอายุที่มีอายุมากกว่า ๖๐ ปีทุกคนและเป็นชาวปากพนัง พร้อมทั้งเลี้ยงอาหารกล่อง เป็นกิจกรรมที่จัดมาอย่างต่อเนื่องทุกปี

                              โรงแรมได้เปิด Fusion Pub ขึ้นมาใหม่ภายหลังปรับปรุงเสร็จเรียบร้อยแล้ว  ได้ข่าวว่ามีสาวมานั่งดริ้ง ด้วย ซึ่งสาวพวกนี้หลบภัยมาจากภูเก็ต  ผมคงไม่มีโอกาสเข้าไปใช้บริการ  ปัจจุบันอยู่แต่ในห้อง และห้องฟิตเนส ชั้น 3 เท่านั้น

                              สวัสดีครับ
                             

                             
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5979 เมื่อ: 19 เมษายน 2555, 19:38:32 »

วันที่ ๒๙ เมษายน  ดร.สุริยา  ทำบุญเพลอุทิศส่วนกุศลให้คุณพ่อ-คุณแม่ ที่วัดทับทัน อุทัยธานี

  ใครจะไปบ้างครับ !
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5980 เมื่อ: 19 เมษายน 2555, 19:44:25 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 19 เมษายน 2555, 08:36:12
 
                                                          ความกลัว                                                

                                                ความกลัวย่อมเกิดขึ้นและดำรงอยู่

                                                ด้วยความนึกคิด ที่ไม่รู้จริง

                                                เราจะเอาชนะความกลัว

                                                ด้วยการพยายามไม่กลัวนั้นหาได้ไม่

                                                เมื่อความกลัวเกิดขึ้นแล้ว

                                                จงกล้าที่จะค้นให้พบว่าทำไม

                                                ความกลัวเป็นเรื่องเกินความเป็นจริง

                                                เมื่ออยู่กับความเป็นจริงเฉพาะหน้า

                                                ก็ยังไม่มีอะไรต้องกลัว

                                                จงกล้าที่จะเผชิญหน้ากับความกลัว

                                                ความปรารถนาที่จะพ้นความกลัว

                                                เป็นหนทางโน้มเอียงสู่ชีวิตนิรันดร์

                                                “เมื่อเราไม่รู้จริง สิ่งที่เรากลัว ก็คือตัวเราเอง”


                            สมัยที่พระพุทธองค์ บรรพชาใหม่ๆ อยู่ในป่าคนเดียวกลางคืน มีเสียงต่างๆ เกิดขึ้นจนทำให้พระพุทธองค์กลัวสุดขีด  แต่พระพุทธองค์ มีสติได้ตั้งปณิธานขึ้นว่า "ถึงแม้เราจะเกิดความกลัวขึ้นในจิต  เราจะไม่ไปไหนทั้งสิ้น  ถ้าเรายังไม่สามารถหาสาเหตุในสิ่งนั้นที่ทำให้พระองค์กลัว"

                            ผมเองปัจจุบันก็กลัว เพราะมันเป็นอารมณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเรา  เราบังคับไม่ได้มันเป็นธรรมชาติของจิต  แต่ผมจะนึกถึงปณิธาน ของพระพุทธองค์นั้นมาเป็นแบบอย่าง  ทำให้ใจสู้เพื่อค้นหาความจริงให้ได้ ความกลัวก็จะคลายไป เพราะมันเป็นเรื่องของจิตเราปรุงแต่งไปเองทั้งนั้น                     
                       
                             สวัสดี
 


คาถาแก้ความกลัว


                                ใช้คาถาง่ายๆ คือสวดมนต์ทำวัตรเย็นก่อนนอน พร้อมทั้งอุทิศส่วนกุศล  แผ่เมตตา

                                กระทำเพียงเท่านี้  ความกลัวที่นอนต่างสถานที่ จะหายไป และหลับสบาย

                                 ราตรีสวัสดิ์ทุกท่านครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5981 เมื่อ: 20 เมษายน 2555, 11:07:50 »

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน

                             เช้านี้ผมได้รับเชิญจากคุณจักรพรรดิ์   ลีเลิศพันธุ์  กรรมการผู้จัดการโรงแรมทวินโลตัส  ให้เข้าร่วมเป็นเกียรติในงานแจกเงินแด่ผู้สูงอายุชาวอำเภอปากพนัง ประจำปี โดยมี ดร.สุนันทา  ลีเลิศพันธุ์ (คุณแม่) ประธานโรงแรมทวินโลตัส และท่านผู้ว่าวิโรจน์ ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นประธาน  พิธีเริ่มขึ้นเมื่อเวลา 09:00 น.

                             ปีนี้มีผู้สูงอายุมาร่วมงาน ประมาณ ๕๐๐๐-๖๐๐๐ คน ผู้สูงอายุแต่ละคนจะได้รับเงิน ๕๐๐ บาท สบู่-ยาสีฟันดอกบัวคู่ และข้าวหนึ่งกล่อง ทุกคน  เป็นกิจกรรมดีๆ ที่ทาง ดร.บุญกิจ  ลีเลิสพันธุ์  ผู้ก่อตั้งโรงแรมทวินโลตัส  ได้เป็นผู้ริเริ่มจัดมาทุกปี เนื่องในเทศกาลสงกรานต์ของจังหวัดนครศรีธรรมราช

                             เป็นกิจกรรมที่ดี  คืนกำไรสู่สังคม  สร้างสิ่งดีๆ ให้สังคมผู้สูงอายุ  นับวันจะถูกลืม (ขอยืมคำของท่านผู้ว่าวิโรจน์)

                             ปีหน้า คุณจักรพรรดิ์  ลีเลิสพันธุ์  บอกว่าจะเพิ่มทุนการศึกษาให้กับเด็กนักเรียน ผู้ยากไร้ชาวปากพนัง อีกจำนวนหนึ่ง

                             เชิญชมภาพครับ  



 




ดร.บุญกิจ   ลีเลิสพันธุ์



คณะกลองยาว พนักงานโรงแรมทวินโลตัส  ต้อนรับคณะของ

ดร.สุนันทา  ลีเลิศพันธุ์  ประธาน โรงแรมทวินโลตัส ที่มาจากรุงเทพฯ เช้านี้





คุณจักรพรรดิ์  ลีเลิศพันธุ์  กรรมการผู้จัดการโรงแรมทวินโลตัส ให้การต้อนรับ



พนักงานโรงแรมทวินโลตัส เตรียมพร้อมสำหรับการแจกข้าวกล่อง สบู่ - ยาสีฟันดอกบัวคู่ แด่ผู้สูงอายุ ชาวอำเภอปากพนัง





คุณจิราพร   แม่งานใหญ่ในการจัดงาน ท่านหนึ่ง ตรวจสอบความพร้อมเพรียงของโตีะหมู่บูชาพระ





จัดเก้าอี้ไว้ทั้งหมดจำนวน ๕๕๐๐ ตัว ไม่พอ







ผู้สูงอายุ อำเภอปากพนัง อายุมากกว่า ๖๐ ปีขึ้นไป จะได้รับ เงิน ๕๐๐ บาท สบู่ ยาสีฟันดอกบัวคู่ และข้างกล่อง









ชาวบ้านปากพนังแต่งกลอน และร้องทำนองเพลงบอก แด่ ดร.สุนันทา  ลีเลิสพันธุ์





ชาวบ้านปากพนัก ร้องเพลงให้กับ คุณจักรพรรดิ์  ลีเลิศพันธุ์



ท่านวิโรจน์  ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช มาเป็นประธาน



ดร.สุนันทา  ลีเลิศพันธุ์  กล่าวรายงานถึงวัตถุประสงค์ในการจัดงานครั้งนี้





ท่านผู้ว่าวิโรจน์  กล่าวเปิดงาน และขอบคุณการจัดงานดีๆ แบบนี้เนื่องในเทศกาลสงกรานต์ แด่ผู้สูงอายุ





คุณจักรพรรดิ์  ลีเลิสพันธุ์  กรรมการผู้จัดการโรงแรมทวินโลตัส กับ ท่านผู้ว่าวิโรจน์









ดร.สุนันทา  ลีเลิศพันธุ์  ให้สัมภาษย์  ผู้สื่อข่าว



ผู้แจกเงิน พร้อมแล้ว





พิธีแจกเงินแด่ผู้สูงอายุชาวอำเภอปากพนัง









คุณแหวน  พิธีกรคนสวย (ผู้สื่อข่าวช่อง 7 อดีตพนักงานโรงแรมทวินโลตัส ตัวจริงไม่สวยเท่าในรูป)  พูดเก่ง และพูดไม่หยุด

ขวัญใจผู้สูงอายุชาวอำเภอปากพนัง
 
พบกันปีหน้า
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5982 เมื่อ: 20 เมษายน 2555, 13:55:31 »

คนกับสัตว์


                                                            ไม่มีสัตว์ชนิดใดฉลาดกว่าคน

                                                แต่แปลกไหมที่หมาไม่กลัวผี

                                                             ไม่มีสัตว์ชนิดใดที่มีความรู้มากกว่าคน

                                                แต่แปลกหนอที่นกไม่เคยบ้า

                                                              สัตว์ทั้งหลายไม่กลัวในสิ่งที่มองไม่เห็น

                                                และไม่กลัวในสิ่งที่มิได้เผชิญอยู่เฉพาะหน้า

                                                              แปลกแต่จริง คนเรากลับกลัวสิ่งที่ยังไม่เคยเกิดขึ้น

                                                และกลัวมากขึ้นต่อสิ่งที่ตัวเองก็ไม่เคยประสบ

                                                               สัตวแทั้งหลายต่างก็รักชีวิต แต่มันไม่กลัวตาย

                                                แปลกนักที่คนมักกลัวความตาย แต่ไม่รักชีวิต

                                                               เช่นนี้

                                                               คนทั้งหลายเอาสิ่งใดกัน

                                                มาดูถูกสรรพสัตว์ว่าโง่เขลา ต่ำต้อย
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5983 เมื่อ: 21 เมษายน 2555, 09:42:57 »

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน

                               นครศรีธรรมราช เช้า กลางวันแดดร้อนจัด  ท้องฟ้าไม่มีเมฆ  แต่เย็นค่ำ มีเมฆฝนที่พักผ่านเขาหลวง มาตกในอ่าวไทยเป็นประจำทุกวัน แต่บนแผ่นดินไม่ตก

                               เมื่อวานตอนค่ำมีสาว มาเรียนโยคะ และชิกงกับผม ที่ห้องฟิตเนสชั้น ๓ โรงแรมทวินโลตัส  ซึ่งผมรับปากว่าจะสอนให้ทุกครั้งที่ผมมาที่นครศรีธรรมราช  สมาชิกฟิตเนสของโรงแรมจะได้มีกิจกรรมทำร่วมกัน

                               วันนี้ Boarding 15:55 น. กลับกรุงเทพฯ

                               วันนี้ผมมีคติธรรมที่ดีๆ จากท่าน  ว.วชิรเมธี  มาฝาก แปลกตรงที่ผมอ่านแล้วเข้าใจอย่างลึกซึ้งโดยถ่องแท้ทันที

                               เชิญทุกท่าน พิจารณาด้วยปัญญา ครับ

                               สวัสดี



30 คำคมจากธรรมะโมบาย โดย ว.วชิรเมธี



                                   1. ครั้งที่แม่ตบลงไปบนหน้าลูกอาจก่อให้เกิดความสั่นสะเทือนลึกลงไปสุดใจของลูกทั้งชีวิต หนึ่งอ้อมกอดที่แม่บรรจงหยิบยื่นให้ลูกอาจก่อให้เกิดความพันผูกข้ามกาลเวลา ทุกๆ ปฏิสัมพันธ์เป็นได้ทั้งบาดแผลและดอกไม้สำหรับลูก

                                   2. คนใกล้ชิดเป็นศัตรูแม้กำแพง 7 ชั้น ก็ป้องกันไม่ได้ ศัตรูที่มาจากภายนอกต่อให้ยกมาถึง 9 ทัพ เราก็มองเห็นและเตรียมตัวทัน แต่ศัตรูที่มาจากคนในด้วยกันคือศัตรูที่อันตรายที่สุดเพราะเรามักมองไม่เห็น และไหวตัวไม่ทัน

                                   3. เวลาเรือเอียงเรามักจะมองเห็นและแก้ไขได้ทันท้วงที แต่ความลำเอียงในใจคนมักถูกปกปิดอย่างมิดชิดและแสดงออกอย่างแยบยล กว่าจะรู้ว่าคนที่เรารักมากด้วยความลำเอียงบางครั้งมันก็สายเกินไป

                                   4. ไม่มีแรงใดเสมอด้วยแรงกรรม แรงฟ้ามนุษย์แก้ได้ด้วยสายล่อฟ้า แรงน้ำมนุษย์แก้ด้วยการเปลี่ยนเส้นทางหรือสร้างกำแพงกั้นน้ำ แรงพายุมนุษย์แก้ได้ด้วยการปลูกป่า แต่แรงกรรมมีแต่ต้องก้มหน้ารับโดยส่วนเดียว

                                   5. อยู่คนเดียว จงระวังความคิด อยู่กับมิตร จงระวังวาจา อยู่กับมารดา บิดา จงระวังการปฏิบัติตน ถ้าคิดไม่ระวัง จะกลายเป็นคิดฟุ้งซ่าน ถ้าพูดไม่ระวัง มิตรจะเข้าใจผิด ถ้าปฏิบัติไม่ดีต่อมารดา บิดา จะเป็นการสร้างบาปให้ตนเอง

                                   6. ทำบาตรแตก ถ้วยแตก ชามแตก แก้วแตก ยังดีกว่าทำให้คนแตกกัน เนื่องเพราะวัตถุที่แตกแล้วสามารถประสานให้ดีดังเดิม ได้อย่างง่ายดาย .แต่ถ้าคนแตกสามัคคีกันเป็นฝักฝ่ายแล้ว บางทีทั้งชีวิตก็ไม่สามารถสนิทสนมกันได้อีก

                                   7. สิ่งที่เราให้คนอื่นแท้จริงแล้วคือของที่เราฝากให้แก่ตนเองในวันข้างหน้า เช่น วันนี้เราด่าเขา วันข้างหน้าเราจะถูกเขาด่า วันนี้เราโกงเขา วันข้างหน้าเราจะถูกเขาโกง วันนี้เราเนรคุณเขา วันข้างหน้าเราจะถูกเขาเนรคุณ

                                   8. ความดีที่ทำไว้ในหมู่คนพาลถึงมากมายมหาศาลก็สูญเปล่า การทำสิ่งดีๆให้แก่คนที่ไม่เห็นคุณค่าก็ไม่ต่างอะไรกับการเทน้ำลงกองทราย ถึงเทอย่างไรก็ซึมหายหมด ดังนั้นจะทำดีกับใครควรใช้ปัญญาคิดให้รอบคอบ

                                   9. การมีความสุขที่ก่อความทุกข์ให้คนอื่นนั้นไม่ใช่ความสุขที่แท้ มันเป็นได้แค่ความสุขจากการเกาขอบแผลที่กำลังคัน ยิ่งเกาดูเหมือนยิ่งสุข แต่แท้ที่จริงมันคือความทุกข์ที่แฝงมาอย่างแนบเนียน

                                 10. ดูข่าวการเมืองยิ่งดูยิ่งวุ่นวาย ยิ่งดูยิ่งฟุ้งซ่าน แต่หากกลับมาดูใจของตนอย่างมีสติ รู้เท่าทันทุกเรื่องที่คิด ทุกจิตที่ทำ ทุกคำที่พูด ทุกครั้งที่เคลื่อนไหว ความทุกข์มากมายจะดับลง ดูจิตวันละนิดจิตแจ่มใส

                                 11. น้ำขุ่นที่ใส่สารส้มลงไป น้ำที่ขุ่นนั้นก็ใสได้เหมือนกัน  ใจขุ่นหากใส่สารแห่งความรู้สึกตัวลงไป ไม่นานเท่าไรใจนั้นก็แจ่มกระจ่างเหมือนกัน น้ำขุ่นแก้ได้ฉันใด ใจขุ่นก็แก้ได้ฉันนั้น

                                 12. คนที่ทำงานผิดพลาดแล้วป่าวประกาศว่าเป็นความผิดของคนอื่น คือคนที่มีแต่จะผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ส่วนคนที่ทำงานผิดพลาดแล้วลุกขึ้นมายอมรับอย่างองอาจเปิดเผย คือคนที่ไม่มีโอกาสผิดพลาดซ้ำอีกเลยในชีวิต

                                 13. ความไม่ประมาทเป็นทางแห่งความไม่ตาย ความประมาทเป็นทางแห่งความตาย ผู้ไม่ประมาทไม่มีวันตาย ผู้ประมาทไม่ต่างอะไรกับคนที่ตายแล้ว กวีบทนี้ทำให้พระเจ้าอโศกเปลี่ยนจากกษัตริย์ที่ดุร้ายมาเป็นชาวพุทธชั้นนำ

                                 14. คนไทยไปงานศพแทบทุกเย็นโดยไม่เคยรู้สักนิดว่าวันหนึ่งตัวเราจะเป็นศพ ดังนั้นเราควรฝึกไปงานศพตัวเองทุกวันด้วยการบอกกับตัวเองว่า  “ความตายอยู่ใกล้แค่ปลายจมูก”

                                 15. อยากโชคดีไม่ใช่ไปหาวิธีลอดท้องช้าง แต่อยากโชคดี เริ่มกันที่การมีสติปใญญาในการดำเนินชีวิตประจำวัน ขอเพียงมีปัญญาโชคดีก็ไหลเข้ามาไม่ขาดสาย แต่ถ้าไร้ปัญญาโชคร้ายจะไหลเข้ามาเหมือนห่าฝน

                                 16. อ่านหนังสือเล่มนอกมากมายอาจทำให้รู้จักใครทั่วทั้งโลก แต่ไม่รู้วิธีดับทุกข์ในใจตัวเอง ส่วนการอ่านหนังสือเล่มใน แม้ทำให้ไม่รู้จักใครอย่างกว้างขวาง แต่นำไปสู่การรู้จักตนอย่างลึกซึ้ง ดับทุกข์ได้อย่างเด็ดขาด

                                 17. ในตัวเรามีทั้ง 3 ฤดู เมื่อความโกรธเข้าครอบงำจิต ใจร้อนเป็นไฟดั่งฤดูร้อน เมื่อใดความโลภเข้าครอบงำอยากได้ จิตใจก็เพลิดเพลินเหมือนฤดูฝนเย็นฉ่ำ เมื่อใดความหลงเข้าครอบงำจิตใจ ก็มืดมนไหวสะท้านเหมือนเดินอยู่กลางฤดูหนาว

                                 18. แม้ประตูปิดล็อกอย่างแน่นหนา แต่คนพาลมากมายทยอยสู่ที่คุมขัง ความเลวร้ายประดาในชีวิตเราไม่ได้เกิดจากมือที่มองไม่เห็นดลบันดาลให้เป็นไป แต่เกิดจากตัวเราพาตัวเข้าไปแส่หาด้วยความขลาดเขลาเบาปัญญาทั้งสิ้น

                                 19. ชีวิตแสนสั้นอยู่กันไม่นานก็ลาจาก ชีวิตเหมือนน้ำค้างสดใสในยามเช้า พอยามสายก็หายไป ชีวิตเหมือนพยับแดด มองไกลๆเหมือนมีตัวตน น่าสนใจ แต่พอเข้าไปใกล้กลับเหมือนแต่ความว่างเปล่า

                                 20. นิ้วทั้ง 5 ไม่เท่ากันฉันใด ความสามารถของแต่ละคนมีไม่เท่ากันฉันนั้น  ธรรมชาติต้องการสอนให้เราอยู่ร่วมกันอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัย บางสิ่งที่เขาขาดเราอาจมี บางสิ่งที่เขาดีเราอาจด้อย เราเกิดมาเพื่อเติมเต็มกันและกัน

                                 21. ในใจเรามีทั้งตัวสร้างและตัวเสื่อม ตัวสร้างคือธรรมมะ ตัวเสื่อมคือกิเลส  เวลาอยากทำอะไรดีๆนั่นคือบทบาทของตัวสร้าง แต่ในขณะที่เราอยากทำดีกลับรู้สึกว่าไม่ควรจะทำ นั่นคือบทบาทของตัวเสื่อม

                                 22. วิกฤตมีเพื่อพิสูจน์ปัญญา ป่าใหญ่มีเพื่อพิสูจน์ความสามารถ สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในชีวิตเราล้วนมีความหมาย ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นมาอย่างว่างเปล่า ถ้าใช้ปัญญาพิจารณาอย่างลึกซึ้งจะเห็นคุณค่าของทุกสิ่งที่เข้ามาในชีวิต

                                 23. น้ำที่ไหลแรงที่สุดคือน้ำใจ น้ำใจที่ปรารถนาจะช่วยคนทำให้คนจำนวนมากข้ามน้ำข้ามทะเลไปช่วยเพื่อนมนุษย์ ที่ตกยากได้อย่างไม่กลัวเหนื่อยล้า พรมแดนของประเทศก็ไม่สามารถขัดขวางน้ำใจคน

                                 24. ไฟจากเตาเผาไหม้มีแค่บางเวลา แต่ไฟกิเลสเผาไหม้อยู่ในใจตลอดเวลา ไฟที่ร้ายแรงที่สุดจึงเป็นไฟแห่งกิเลส กล้องที่ส่องได้ไกลที่สุดคือ กล้องปัญญา ที่ส่องทะลุทะลวงไปถึงอดีต ปัจจุบัน และ อนาคต

                                 25. นัยอันลึกล้ำของคำว่าขอบคุณ  ขอบคุณความไม่มีที่ทำให้รู้วิธีลุกขึ้นสู้ ขอบคุณความยากจนที่ทำให้เป็นคนมุมานะ ขอบคุณความล้มเหลวที่ทำให้เกิดความเชี่ยวชาญ

                                 26. คนที่ปล่อยตัวปล่อยใจให้ตกเป็นทาสของความโกรธ ต่อให้นอนบนเตียงราคาแพงลิบลิ่ว ปูด้วยพรมขนสัตวแที่มีลวดลายบุปผชาติประดับไปทั้งผืน ก็ไม่อาจทำให้หลับตาลงอย่างเป็นสุขได้เลยตลอดรัตติกาลอันยาวนาน

                                 27. นัยอันลึกล้ำของคำว่าขอบคุณ ขอบคุณความผิดพลาดที่ทำให้ฉลาดยิ่งกว่าเดิม ขอบคุณความริษยาที่ทำให้กล้าสร้างสรรค์สิ่งใหม่  ขอบคุณคำวิพากษ์วิจารณ์ที่ทำให้ผลิบานอย่างไร้ข้อตำหนิ

                                 28. แก้วที่คว่ำอยู่กลางสายฝน ต่อให้ฝนตกกระหน่ำทั้งคืนก็ไม่อาจเต็มไปด้วยน้ำ คนที่ไม่ยอมเปิดใจเรียนรู้ ต่อให้คลุกคลีอยู่กับนักปราชญ์ทั้งคืนก็ยังคงโง่เท่าเดิม

                                 29. นัยอันลึกล้ำของคำว่าขอบคุณ ขอบคุณความไม่รู้ที่ทำให้รู้จักครูที่ชื่อประสบการณ์ ขอบคุณความผิดหวังที่ทำให้ตั้งสติเพื่อลุกขึ้นใหม่ ขอบคุณ ศัตรูที่แกร่งกล้าที่ทำให้รู้ว่าเรายังไม่ใช่มืออาชีพ

                                 30. อยู่ให้คนเขารัก จากไปให้คนเขาอาลัย ล่วงลับไปให้คนเอ่ยอ้างถึง อยู่ให้คนรักคืออยู่อย่างผู้ให้ จากไปให้คนอาลัยคือก่อนจากสร้างสรรค์แต่สิ่งมีคุณค่า ล่วงลับไปให้คนระลึกถึงคือ เวลามีชีวิตทำแต่คุณงามความดีจนเป็นที่จดจำ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5984 เมื่อ: 21 เมษายน 2555, 13:20:14 »

สวัสดีค่ะ คุณน้องป้อม(ผุสดี) ที่รัก

                             วันที่ ๓๐ เมษายน พี่สิงห์ ไปเชียงใหม่ นอนที่โรงแรม The Park หนึ่งคืน กลางวันไปทำงานที่ PPS จอมทอง

                             วันที่ ๑ พฤษภาคม เดินทางไปเชียงราย
 
                             วันที่ ๑ - ๓ พฤษภาคม  อยู่เชียงราย ไปทำงานที่ แม่จัน พาพรรคพวกที่สุรินทร์ไปดูโรงงาน และตีกอล์ฟที่สนามสันติบุรี  ไปพบคุณพัชรีที่แม่อาย  อาจจะเลยไปพบคุณนา ที่เชียงคำ  ถ้ามีเวลาพอ  กำลังจัดโปรแกรมกับทางคุณสุธี  พนักงาน SIW อยู่

                             สวัสดีค่ะ
      บันทึกการเข้า
pusadee sitthiphong
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: พาณิชยศาสตร์และการบัญชี
กระทู้: 4,689

« ตอบ #5985 เมื่อ: 21 เมษายน 2555, 13:34:41 »

ตอนเย็น 30 ไปกินข้าวฟังเพลงเพราะๆที่ the sister ใกล้ the park ไม๊คะ
      บันทึกการเข้า

pom shi 2516
ทราย 16
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,838

« ตอบ #5986 เมื่อ: 21 เมษายน 2555, 13:45:27 »

อ้างถึง
ข้อความของ pusadee sitthiphong เมื่อ 21 เมษายน 2555, 13:34:41
ตอนเย็น 30 ไปกินข้าวฟังเพลงเพราะๆที่ the sister ใกล้ the park ไม๊คะ
กินเผื่อด้วยน่ะป้อม
อยากกินน้ำพริกหนุ่ม ข้าวเหนียว ....
      บันทึกการเข้า
pusadee sitthiphong
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: พาณิชยศาสตร์และการบัญชี
กระทู้: 4,689

« ตอบ #5987 เมื่อ: 21 เมษายน 2555, 17:05:07 »

มันน่าจะมีออเดิฟเมืองนิ  แต่ถ้าวันไหนได้กินจะกินเผื่อนะ แล้วอย่ามาหาว่านู๋น้ำหนักเกินหล่ะ ทำเพื่อเพื่อนฝูงท้างน๊าน
(พี่สิงห์ก็จะหาว่า เราพยายามหาเหตุผลเข้าข้างตัวเองอีกแล้วนะเนี่ย 555)
      บันทึกการเข้า

pom shi 2516
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5988 เมื่อ: 21 เมษายน 2555, 20:42:15 »

อ้างถึง
ข้อความของ pusadee sitthiphong เมื่อ 21 เมษายน 2555, 17:05:07
มันน่าจะมีออเดิฟเมืองนิ  แต่ถ้าวันไหนได้กินจะกินเผื่อนะ แล้วอย่ามาหาว่านู๋น้ำหนักเกินหล่ะ ทำเพื่อเพื่อนฝูงท้างน๊าน
(พี่สิงห์ก็จะหาว่า เราพยายามหาเหตุผลเข้าข้างตัวเองอีกแล้วนะเนี่ย 555)

สวัสดีค่ะ คุณน้องป้อม ที่รัก

                             ขอบคุณมากที่สามารถเข้าใจจิตมนุษย์ได้  แสดงว่าที่พี่สิงห์บ่นไปนั้นได้ผล  อย่างน้อยมันก็เป็นเครื่องเตือนใจไว้ก็ยังดี   ดีกว่าทำตามจิตตนเองเสมอ  ลองหาเวลาดูจิตตนเอง  แล้วจะรู้อะไรดีๆ ครับ

                             พี่สิงห์เอง ลืมไปแล้วเรื่องร้องเพลงคาราโอเกะ  ขอห่างไกลดีกว่า  หาร้านใหม่ได้ไหม ?  

                             ว่าจะโทรศัพท์ไปหา คุณอ้อมทิพย์ และคุณน้องจุ๋ม  เพราะมันหน้าจะเป็นปีกว่าแล้ว ครับ  แต่มีข้อแม้ พี่สิงห์ต้องเป็นผู้จ่ายสตางค์  ส่วนพวกเธอและครอบครัวถือว่ามาให้เห็นหน้า เพราะคิดถึง แบบพี่หมอหาญพูด  นั้นถูกเสมอ ครับ

                              ราตรีสวัสดิ์ทุกท่านครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5989 เมื่อ: 21 เมษายน 2555, 20:44:44 »

อ้างถึง
ข้อความของ ทราย 16 เมื่อ 21 เมษายน 2555, 13:45:27
อ้างถึง
ข้อความของ pusadee sitthiphong เมื่อ 21 เมษายน 2555, 13:34:41
ตอนเย็น 30 ไปกินข้าวฟังเพลงเพราะๆที่ the sister ใกล้ the park ไม๊คะ
กินเผื่อด้วยน่ะป้อม
อยากกินน้ำพริกหนุ่ม ข้าวเหนียว ....

                เธอจะไปด้วยก็ได้  เรียนเชิญ  ช่วงนี้ปิดเทอมแล้ว
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5990 เมื่อ: 23 เมษายน 2555, 08:04:09 »

สวัสดียามเช้าครับ ชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน

                              เมื่อวานสี่โมงเย็นได้มีโอกาสไปเดินที่สวนรถไฟ สวนโมกข์ กรุงเทพฯ เป็นครั้งแรก งงครับ ! เพราะไม่เคยไปมาก่อน คนแน่นมาก  ที่จอดรถมีไม่เพียงพอ แต่เป็นอะไรๆ ที่ดี  ดีกว่าเป็นสนามกอล์ฟแบบเมื่อก่อน ที่จะเป็นสถานที่จำเพาะเฉพาะนักกอล์ฟ เท่านั้น ซึ่งก็มีปริมาณไม่มาก เป็นสถานที่ผู้มีเงินเล่นพนัน ดื่มสุรา เล่นไผ่  ต่างๆ อีกมาก  ไม่น่าภิรมย์เลย เมื่อเปรียบเทียบกับปัจจุบัน

                              เมื่อได้เอามาเป็นสวนสาธารณะ ได้เห็นครอบครัว เอาเสื่อมาปูนั่งพักผ่อน  รับประทานอาหารร่วมกัน ออกกำลังกาย  ขี่จักรยาน มีกลุ่มปฏิบัติธรรม  ต่างๆ นาๆ อีกมาก และมีคนจำนวนมากมาใช้บริการเพื่อสุขภาพที่ดี  เป็นสิ่งที่ดีมากครับ 

                              สนามกอล์ฟในเมื่องเช่น สนามกอล์ฟกรมชลประทาน สนามกอล์ฟทหารบาก สนามกอล์ฟทหารอากาศ  หน้าที่จะแปลงมาเป็นสวนสาธารณะ ให้ประชาชนได้ใช้บริการแบบสวนสาธารณะรถไฟ ครับ มันจะดีด้วยประการทั้งปวง  สว่นสนามกอล์ฟก็ให้ไปอยู่นอกเมือง หรือพื้นที่ที่ไม่ก่อประโยชน์  ซึ่งผู้ที่เล่นกอล์ฟมีสตางค์เพียงพอที่จะไปเล่นได้อยู่แล้ว

                              ผมมีนัดกับคุณสุนทร  ที่ไปผ่ามะเร็งต่อมลูกหมากทิ้งมาแล้ว  คุณหมอบรรจบ แห่งบาวารีสอนมาให้ฝึกจิต  ออกกำลังกาย คุณสุนทร ยังไม่เชื่อ กระทำบ้าง ไม่กระทำบ้าง  ดีที่ยังเดินทุกเช้า  ผมเลยนัดเพื่อไปสอนรำมวยจีน  โยคะ  ปฏิบัติธรรมทางจิต คุยกันตั้งแต่สี่โมงเย็นถึงทุ่มครึ่ง ครับ ทำให้คุณสุนทร  ได้เข้าใจชิกง  โยคะ มากขึ้น และวิธีที่คุณหมอบรรจบ ให้ปฏิบัติธรรมตามแบบหลวงพ่อเทียน แต่คุณสุนทร  ไม่เชื่อ  ผมเลยไปย้ำเตือนให้กระทำตามนั้นอีกแรงหนึ่ง  ทำให้คุณสุนทร ได้ตาสว่างขึ้นแล้ว

                              ผมคงต้องสละเวลาไปสอนทั้งชิกง  โยคะ  การปฏิบัติธรรม และตอบคำถาม บรรยายเพื่อให้ครอบครัวเขากลับมามีความสุขอีกครั้งหนึ่ง ทุกเย็นวันอาทิตย์ที่สวนรถไฟ  ชาวซีมะโด่ง ท่านใดจะมาร่วมวงกับผมยินดีครับ บรรยากาศดีด้วย  ไม่ต้องอายใครทั้งสิ้น  และทุกคนมองเป็นตาเดียวด้วยความสนใจที่อยากมาร่วมวงออกกำลังกายกับผมสองคน แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร !

                              คราวหลังผมจะเอาป้ายไปติดเชิญชวนทุกคนมารำชิกง  โยคะ ทุกเย็นวันอาทิตย์ พร้อมทั้งสิ่งที่จะต้องเตรียมคือ อาสนะปูออกกำลังกาย มันเป็นอะไรที่ทำให้ผมทำแล้วมีความสุขที่ได้ทำ ก็อยากจะทำตามจิตมันคิด แต่เป็นประโยชน์ส่วนรวม ครับ

                              สำหรับเรื่องครอบครัวคุณสุนทร ที่หมดความสุขนั้นต้องให้เวลา  ผมได้บอกแนวทางไปแล้ว และจะเล่าให้ทุกท่านได้รับทราบ เพราะว่าเป็นปัญหาโลกแตก ที่พึงเกิดขึ้นกับครอบครัวใดครอบครัวหนึ่งเสมอ  แล้วเราจะหาทางออกอย่างไรดี  ที่จะนำความสุขของครอบครัวคืนมา

                             เชิญติดตาม

                             สวัสดีครับ
      บันทึกการเข้า
ทราย 16
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,838

« ตอบ #5991 เมื่อ: 23 เมษายน 2555, 08:07:05 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 21 เมษายน 2555, 20:44:44
อ้างถึง
ข้อความของ ทราย 16 เมื่อ 21 เมษายน 2555, 13:45:27
อ้างถึง
ข้อความของ pusadee sitthiphong เมื่อ 21 เมษายน 2555, 13:34:41
ตอนเย็น 30 ไปกินข้าวฟังเพลงเพราะๆที่ the sister ใกล้ the park ไม๊คะ
กินเผื่อด้วยน่ะป้อม
อยากกินน้ำพริกหนุ่ม ข้าวเหนียว ....
                เธอจะไปด้วยก็ได้  เรียนเชิญ  ช่วงนี้ปิดเทอมแล้ว
ข้อย บ่มีปิดเทอมอ่ะค่ะ
ขอให้พี่ทั่นสนุกสนานและเดินทางปลอดภัยน่ะค่ะ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5992 เมื่อ: 23 เมษายน 2555, 08:27:21 »

ปัญหาโลกแตก !

                             ภรรยาคุณสุนทร  ได้ไปเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อเกษม โดยนำสิ่งที่หลวงพ่อสอนนั้น มาบังคับให้สามี ลูกๆ ปฏิบัติตาม ทั้งๆ ที่สามี ลูกๆ   รู้ว่าสิ่งที่แม่ ภรรยา บังคับให้ทำนั้น มันไม่หน้าที่จะถูกต้อง เลยทำให้คนในครอบครัวรู้สึกอึดอัด หมดความสุข ที่จะต้องไปกระทำรับรู้ในสิ่งที่ตนไม่ชอบ  แต่ก็ต้องจำยอมเพราะถ้าไม่ทำตาม จะมีแต่ทุกข์เสียงว่ากล่าวตักเจือน ดู  จนหน้ารำคาญ  จะทำอย่างไรดีในเมื่องต้องนอนเตียงเดียวกัน  อยู่บ้านเดียวกัน และตอนนี้ภรรยาคุณสุนทร ได้เกษียรอายุเพื่อที่จะปฏิบัติธรรมกับหลวงพ่อ และกำลังไปปลุกบ้านอยู่กับหลวงพ่อ ?

                             คำถามที่คุณสุนทร ถามผม

                             ๑. หลวงพ่อเกษม และลูกศิษย์ ท่านบอกว่า หลวงพ่อเป็นพระอรหันต์  เห็นนรก  เห็นสวรรค์ มาแล้ว

                             ๒. เมื่อรู้แนวทางหลวงพ่อแบบนั้น เราควรจะส่งเสริม(ทำบุญ) ด้วยไหม

                             ๓. พระพุทธเจ้าสอนให้ทำบุญแบบไหน  การทำบุญแบบหลวงพ่อเกษม(ตามที่เล่าให้ฟัง) สมควรไหม

                             ๔. การทำบุญแบบหลวงพ่อเกษม นั้นถูกต้องไหม  เวรกรรมมีจริงไหม  ทำบุญให้กันได้ไหม

                             ๕. การที่หลวงพ่อไม่รับเงิน รับทองนั้น เป็นคุณสมบัติที่ทำให้เป็นพระอรหันต์ พระรับเงินได้ไหม  การที่หลวงพ่อเอามือกวาดอาหารที่ญาติโยมเอามาถวายสังฆทานทิ้ง เพราะมันไม่ถุกต้องตามแนวทางของหลวงพ่อ  การใช้วาจาที่หยาบโลนของหลวงพ่อ และการกระทำของหลวงพ่อที่โดนชาวบ้านฟ้องศาลที่ไปลบหลู่พระพุทธชินราชจนแพ้ และสั่งให้ศึก นั้น เป็นพระอรหันต์ หรือ

                             ๖. ผมจะต้องนอนเตียงเดียวกับภรรยา  กินข้าวด้วยกัน  ต้องพิจารณา ปฏิบัติตามแนวทางหลวงพ่อเกษม  ผมจะทำอย่างไรดี  จะอยู่กันได้ไหม และอยู่อย่างไรให้มีความสุขดังเดิม

                                 และอีกหลายข้อที่ผมลืมไปแล้ว  จะเห็นได้ว่า มันเป็นปัญหาโลกแตกจริงๆ  สำหรับครอบครัวที่ สามี หรือภรรยา ไปปฏิบัติธรรมมาแล้ว และเอามาบังคับให้คนที่บ้านต้องปฏิบัติและเห็นตามนั้น  มันสมควรแล้วหรือ  มันผิดหรือถูกหลักศาสนาพุทธที่พระพุทธองค์ทรงสอนแล้วหรือ ?

                                 ผมได้ตอบทุกคำถาม  โดยอ้างอิงพุทธพจน์  พระสุตันปิฎก เป็นหลัก ให้คุณสุนทรคิด ว่าใช่หรือไม่ และบอกแนวทางปฏิบัติไปให้ โดยเน้นว่า อะไรที่ทำให้สังคมแตกแยก ไม่ใช่พุทธศาสนาแน่นอน  มีแต่พวกตู่คำสอนของพระพุทธองค์  โดยเฉพาะพระสงฆ์ที่มีคนนับถือนี่ละเป็นพวกที่ตู่คำสอนของพระพุทธองค์มากที่สุดในสมัยนี้ คนก็หลงเชื่อสิ่งที่ผิดๆ เป็นผู้ทำลายศาสนาพุทธ ตามที่พระพุทธองค์ได้พยากรเอาไว้ให้แล้ว

                                 มันน่าสนใจหรือไม่ครับ  น่าติดตามหรือไม่  ถ้าไม่น่าสนใจก็บอก ผมจะได้ไม่ต้องเสียเวลามาเขียนครับ

                                 สวัสดี


                                 ดร.สุริยา  ลองตอบแทนผมที !
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5993 เมื่อ: 23 เมษายน 2555, 09:08:55 »

แม่ของฉัน กับเจ้านายของฉันใครสาคัญกว่ากัน

 นำมาจากเวปบอร์ดแห่งหนึ่งครับ

                              ทุกวัน ฉันต้องตื่นเช้า เข้างานแปดโมง วันนี้..ก็เหมือนเคย แต่เมื่อคืนฉันทำงานจนดึก ตื่นสาย.. อารมณ์ตอนนั้น โมโหตัวเองมาก ที่ลืมตั้งนาฟิกาปลุก (โดนเจ้านายด่าแน่ๆ )

                              แม่มาเคาะประตูห้อง .... “ ตื่นหรือยังลูก หกโมงแล้ว “

                              ฉันหงุดหงิดมาก ...........

                              โธ่ !! แล้วทำไมแม่ไม่ปลุกหนูให้เร็วกว่านี้เนี่ย..

                              หนูไปทำงานไม่ทันแล้ว วันนี้..มีประชุมด้วย < BR>

                             “ แม่ทำข้าวต้มให้หนูอยู่ เมื่อคืนเห็นนอนดึกอยากให้กินอะไรร้อนๆหน่อย

                             “ ........ แม่ไม่ต้องมาพูดเลย ไม่กง ไม่กินมันแล้ว

                                .....แม่จับแขนฉันเบาๆก่อนเดินออกจากห้อง อาบน้ำ แต่งตัวเสร็จ ลงมาข้างล่าง แม่นั่งรออยู่ที่โต๊ะกินข้าว

                             “ กินข้าวต้มกับแม่ก่อนนะลูกนะ แม่รอหนูอยู่ “

                               หนูไม่กิน พูดโดยไม่มองหน้าแม่ เดินออกมาจากบ้านทันที

                               ถึงที่ทำงาน

                             “ ไม่รู้หรืองัย ว่าวันนี้มีประชุม แล้วรายงานอยู่ไหน “

                               ยกมือไหว้ .. ขอโทษค่ะพี่ ....รีบส่งรายงานให้อย่างอ่อนน้อมถ่อมตน

                             “ พี่เลื่อนประชุมไปเป็น 10 โมงนะ เดี๋ยวช่วยไปหาอะไรให้พี่กินหน่อยสิ

                             “ ... ได้ค่ะพี่ ...

                               วิ่งเข้าห้องครัว หยิบโจ๊กกึ่งสำเร็จรูป รีบ รีบ รีบ เติมน้ำร้อน ... ว๊า !! น้ำร้อนลวกมือ

                               มาแล้วค่ะพี่ โจ๊กร้อนๆเลยค่ะ....

                              ออกจากห้องประชุมเกือบเที่ยง แม่โทรมาจากบ้าน

                           “ เมื่อเช้า.. หนูวางผ้าเช็ดหน้าไว้ตรงไหนลูก แม่หาในตะกร้าไม่เจอ จะเอาไปซักน่ะ “

                             หาไม่เจอก็ไม่ต้องซักหรอก หนูจำไม่ได้ คงโยนไว้ที่ไหนน่ะแหละ เมื่อเช้าหนูรีบ .......

                           “ ไม่เป็นไรลูก แล้วเย็นนี้..กลับกี่โมง มากินข้าวกับแม่นะ”

                             ยังไม่รู้หรอกแม่ ว่างานเสร็จเมื่อไหร่ ยังงัย..แม่กินไปก่อนเลยแล้วกัน ไม่ต้องรอ .....

                             วางหูโทรศัพท์ ก้มหน้า ก้มตาทำงาน เอาใจเจ้านาย ....

                            “เอ!! พี่วางบัญชีรายชื่อลูกค้าทิ้งไว้แถวนี้มั่งรึเปล่า ไม่รู้ไปลืมไว้ที่ไหน หาไม่เจอ..

                             ไม่เป็นไรค่ะพี่ เดี๋ยวหนูช่วยหา พี่ลงไปทานข้าวเถอะค่ะเที่ยงกว่าแล้วนะคะ

                             .... หา หา หา หาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ

                             โธ่..พี่ขา ก็พี่มาทำหล่นไว้ใต้เก้าอี้ในห้องประชุมนี่นา

                             โอย !! เที่ยงครึ่งแล้ว ลงไปกินข้าวไม่ทันแน่ๆ

                             ไม่เป็นไร..บะหมี่ซักห่อพออิ่มก็แล้วกัน

                             ....พี่คะ เจอแล้วนะคะ พี่ทำหล่น ไว้ที่ห้องประชุมค่ะ

                           “ อ่าว..เหรอ “ รับเอกสารคืน ไม่มีแม้แต่ขอบใจสักคำ

                             แต่ฉันกลับปลื้ม ที่ทำให้เจ้านายพอใจได้ ใกล้เลิกงานแล้ว.. รีบกลับบ้านไปนอนดีกว่า

                            “ ชวยแก้งานตรงนี้ให้พี่หน่อยนะ เสร็จแล้ววางไว้บนโต๊ะพี่เลย พี่กลับก่อนล่ะ

                              ว่าแต่ว่า เราน่ะมีธุระอะไรรึเปล่า คงต้องกลับช้านิดนึงนะวันนี้ “

                              ... ยิ้มรับ.. ไม่มีธุระอะไรค่ะพี่ เดี๋ยวหนูพิมพ์ให้เลยค่ะ

                              โทรหาเจ้านายตอนเกือบทุ่ม .. พี่ขา หนูแก้ไข และตรวจทานเรียบร้อยแล้วค่ะ หนูวางไว้บนโต๊ะนะคะ

                            “ กลับดึกจังลูก จะอาบน้ำก่อน หรือ กินข้าวก่อนล่ะ ?? “

                               ....เงียบไม่มีเสียงตอบ ไม่มีรอยยิ้ม . ..

                            “ มา มา แม่ช่วย “ แม่ รวบของจากมือฉันไปวางบนโต๊ะ
                              
                              ... หนูเหนื่อยมากเลยแม่ หนูอยากพักผ่อน กำลังจะเดินขึ้นห้อง ...

                             ฮัลโหล..สวัสดีค่ะ..เจ้านายเหรอคะมีอะไรรึเปล่าคะ ...

                             เออ !! ไม่ยุ่งค่ะ เดี๋ยวหนูจัดการให้เลยค่ะ กุลี กุจอ เปิดคอมพิวเตอร์

                             ...เจ้านายคะ เรียบร้อยแล้วค่ะ

                             แม่..หายไปไหน ในครัวไม่มี ห้องนอนไม่มี

                             . . . แม่นั่งอยู่หลังบ้านเหงา ๆ คนเดียว . . .

                             แม่แอบร้องไห้ ... เพราะฉันสินะ ฉันทำให้แม่ต้องร้องไห้ แม่..ดูแลฉันมาทั้งชีวิต เป็นห่วงฉัน รักฉันมากกว่าใครๆ

                             แต่..ฉันตอบแทนได้สาสมเหลือเกิน ฉันเริ่มทบทวน... เจ้านายคนที่ให้เงินเดือนฉัน กับ แม่คนที่ให้ความเป็นคนแก่ฉันเพื่อประจบสอพลอเจ้านาย ฉันทำร้ายผู้ให้กำเนิดได้เพียงนี้เลยหรือ..

                             แม่ ...หนูขอโทษ

                            ใคร Huh? เคยเป็นแบบฉันบ้าง .............................................................

                                    ใน ชั่วชีวิตของคุณ คุณอาจจะเปลี่ยนงานหลายๆ ครั้ง คุณอาจจะมีเจ้านายนับไม่ถ้วน แต่ตลอดชีวิตของคุณ.....คุณมีแม่มีเพียงคนเดียวครับ คนเดียวจริงๆ ทาดีกับท่านไว้เถอะครับ อย่าทาให้ท่านต้องร้องไห้เพราะการกระทาของคุณเลย....คุณอาจจะรักท่านน้อยลง ทุกๆ วัน แต่ท่านไม่เคยรักคุณลดลงเลย ตรงกันข้ามท่านกลับรักและเป็นห่วงคุณมากขึ้นทุกๆ    วัน....
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5994 เมื่อ: 23 เมษายน 2555, 20:49:30 »

สวัสดียามค่ำ ครับ ชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน

                             วันนี้ผมไปตีกอล์ฟกับพี่พงษ์ศักดิ์ ประธาน PSTC พร้อมด้วย คุณดิเรก MD ของ PSTC และคุณทรงศักดิ์  ผู้จัดการฝ่ายการตลาดของ SIW ที่สนามกอล์ฟราชคราม และเย็นได้ไปรับประทานอาหารริมแม่น้ำเจ้าพระยา ไปรับประทานปลาและกุ้งแม่น้ำ ที่อยุธยา มาครับ เนื่องจากลูกๆ ของพี่กุ้ง(ผู้ล่วงลับ) พอเจอหน้าผมก็จะพยายามให้ผมชวนพ่อ(พี่พงษ์ศักดิ์) ไปตีกอล์ฟ เพื่อให้พี่พงษ์ศักดิ์  ได้มีอะไรทำ ไม่ต้องอยู่บ้าน พออยู่บ้านก็จะคิดถึงแต่พี่กุ้ง  เพราะว่าถ้าไปกับผมนั้นทุกคนสบายใจ และพี่พงษ์ศักดิ์ ก็อยากไปตีกอล์ฟกับผม  ผมเลยต้องแบ่งเวลาไปตีกอล์ฟกับพี่พงษ์ศักดิ์ ทุกอาทิตย์ ครับ

                             สงสัย ดร.สุริยา  งานมากเลยไม่มาตอบคำถามของคุณสุนทร ที่ถามผม และผมตอบไปแล้วให้ทราบและปฏิบัติ เพื่อให้ครอบครัวได้กลับมาสุขอีกครั้ง

                              พรุ่งนี้ผมก็ยังต้องไปตีกอล์ฟกับพี่พงษ์ศักดิ์ อีกหนึ่งวัน โดยมีคุณผลินเมธ เป็นเจ้าภาพที่สนามกอล์ฟริเวอเดล ปทุมธานี เวลาบ่ายครับ  ผมเองถือว่าเป็นการเตรียมความพร้อมให้กับตัวเองไปด้วย เพราะวันที่ ๑๕-๑๘ พฤษภาคม มีรายการแข่งขันกอล์ฟอาชีพ ของสมาคมกอล์ฟอาชีพผู้อาวุโสไทย  ที่สนามบลูวัลไฟล์ กาญจนบุรี  จึงต้องซ้อมให้มากเข้าไว้

                              ราตรีสวัสดิ์ทุกท่านครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5995 เมื่อ: 24 เมษายน 2555, 07:52:41 »

สวัสดียามเช้าครับ ชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน

                             เช้านี้ผมก็ยังตื่นเช้าขึ้นมาหุงข้าว เดินไปซื้อกับข้าว และใส่บาตรเณร ที่หน้าบ้านเป็นประจำวัน ทุกครั้งที่อยู่บ้าน วันนี้ เมื่อวาน มีเณร มาบิณฑบาตร ๓ องค์ เป็นเณรในโครงการบวชเณรภาคฤดูร้อน หรือช่วงปิดเทอม ของวัดลาดพร้าว ครับเพื่อให้เด็กนักเรียนรอบๆ วัดลาดพร้าวได้ ใกล้ชิดวัด ห่างไกลสิ่งยั่วยุต่างๆ เพื่อจะได้เป็นคนดีของประเทสไทยต่อไปในอนาคต

                            วันนี้ ๐๙:๐๐ น. ผมมีนัดที่ SIW มีลูกค้าทางจังหวัดสุรินทร์ มาพบผม

                            บ่ายไปตีกอล์ฟกับพี่พงษ์ศักดิ์  จะทำให้พี่พงษ์ศักดิ์ผ่อนคลาย  ห่างไกลบ้าน  จะได้มีอะไรทำ ไม่คิดถึงพี่กุ้ง  ซึ่งไม่ดีเลยเพราะจะทำให้จิตเกิดการปรุงแต่ง  ไม่หยุดและอาจจบด้วยการเป็นมะเร็ง เช่นเดียวกับพี่กุ้งได้  ซึ่งผมเห็นมาหลายคู่แล้ว  จึงไม่ปราถนาให้พี่พงษ์ศักดิ์ เป็นเช่นนั้น

                             และเมื่อวานคุณก้อย  ลูกสาวคนเดียวของพี่พงษ์ศักดิ์ และเป็นลูกสาวคนเล็กโทรศัพท์มา  ผมจึงขอร้องคุณก้อย ไปว่า อย่าลืม เธอต้องคอยดูแลพ่อในทุกเรื่อง เพราะสมัยแม่เธออยู่นั้น แม่ทำให่พ่อ  เธอต้องทำหน้าที่แทนแม่  แม่ที่จากไปจะได้สบายใจ  อย่าหวังพึ่งพี่ชายทั้งสองและพี่สะไภ้ จะช่วยดูแลเลย เธอดูแลพ่อ เป็นดีที่สุด และหางานให้พ่อทำด้วยการให้พ่อไปรับ-ส่ง หลานๆ ไปโรงเรียนแทนเธอ  จะทำให้ตา-หลานมีความผูกพันธ์กัน และจะเป็นผลดีต่อพ่อเธออย่างมาก อย่าลืมนะ  ยกเว้นเรื่องเดียว ห้ามบ่นแบบแม่เท่านั้น

                             ผมก็ทำได้เท่านี้ ครับ สำหรับครอบครัวที่อุปการะผม ให้งานทำ ให้เงินเดือนผม และมีความผูกพันธ์กันพอสมควร ทั้งครอบครัว

                             อย่าลืมนะครับ การรักษากาย  วาจา  ใจ ของเราให้เป็นปกติอยู่เสมอนั้น  จะทำให้เรามีแต่สุข  สงบ  อย่าไปสนใจบุคคลอื่นมาดูแลแทนเราเลย  สู้เรารักษา ดูแลของเรานี่ละ เพราะคนอื่นดูแลเราไม่ได้  สังคมรอบข้างจะมีแต่สงบ

                             ใครทำอะไร  ที่เราไม่ชอบใจ  ก็จงปล่อยเขาไป อย่าไปคิดตามทั้งสิ้น  คอยสำรวมกาย  วาจา  ใจ  ของเราอยู่เป็นนิจ  นี่เป็นหนทางแห่งพระพุทธองค์ที่ทรงสอนให้ปฏิบัติ

                             สวัสดีครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5996 เมื่อ: 24 เมษายน 2555, 07:55:22 »

บันทึกสุดท้ายของ ดร.อภิวัฒน์ วัฒนางกูร

จากนิตยสารรายเดือน จีเอ็ม ฉบับเดือน พฤษภาคม 2549 หน฾า232-
233
1)ตอนที่ผมไปเรียนต฽อต฽างประเทศ เราจะกลัวไปหมดทุกเรื่อง แต฽คุณแม฽
เขียนจดหมายมาสอนผมว฽า
อย฽ากลัวในสิ่งที่มองไม฽เห็น เพราะถ฾าเราไปตั้งท฽ากลัวเสียก฽อน มันก็จะไม฽
เกิดสติปใญญาที่จะไปแก฾ไข
ปใญหา สู฾เราทำตัวสบาย ๆ แล฾วแก฾ไขปใญหาไปตามธรรมชาติจะดีกว฽า
2)คนไทยเราเรียนปริญญาโทเพราะคิดว฽าเรียน ๆ ไปเถอะ เราแยกเอา
การเรียนรู฾และชีวิตออกจาก
กัน เชื่อแต฽ว฽าพอจบการศึกษาแล฾วค฽อยใช฾ชีวิต แต฽ในต฽างประเทศการ
เรียนรู฾เป็นการกระทำที่ต฽อเนื่อง
มันเป็นสิ่งที่เคียงคู฽กับการใช฾ชีวิต
3)คุณพ฽อ-คุณแม฽ผมเป็นคนที่เชื่อมั่นในการศึกษา การศึกษาเป็นสิ่งที่ไม฽
สามารถมีใครขโมยไปได฾ การ
ศึกษาเป็นทรัพยแสินที่ต฽อเนื่อง คุณพ฽อ-คุณแม฽จึงพยายามทุกวิถีทางให฾
ผมมีการศึกษาที่ดี ยอมขายที่นาเพื่อ
ให฾สามารถส฽งเสียผมไปเรียนได฾ ทุกครั้งที่เห็นเด็กไม฽สนใจการเรียน ผมจะ
รู฾สึกเศร฾าใจมาก ๆ หากมี
โอกาสได฾ทำบุญ ผมจะเลือกทำบุญกับโอกาสทางการศึกษาของเด็ก
4)การที่คนเราจะมองหาจุดมุ฽งหมายของชีวิตให฾เจอ มันเกิดขึ้นต฽าง
รูปแบบกัน ต฾องถามตัวเองว฽าอะไร
Page 30 of 247
คือสิ่งที่เราอยากจะทำที่สุดในชีวิตกันแน฽ ผมเชื่อว฽าทุกคนต฾องหาให฾เจอ
ไม฽ช฾าก็เร็ว เราจะได฾มีพลังขับ
เคลื่อนให฾ไปถึงจุดมุ฽งหมาย
5)ผมคร่ำเคร฽งกับการเรียนเพราะเป็นสิ่งที่เราไปอยู฽ตรงนั้นเพื่อที่จะทำมัน
เราไม฽ได฾ไปอเมริกาเพื่อ
ท฽องเที่ยว เราไปเพื่อศึกษา อย฽าลืมว฽าผมทำงานไปด฾วย เพราะฉะนั้นผม
ไม฽ได฾พลาดโอกาสที่จะเรียนรู฾
ชีวิตในอีกแบบหนึ่ง ในขณะเดียวกันผมก็ไม฽พลาดโอกาสที่จะเปิดหูเปิดตา
ไปท฽องเที่ยว ผมคิดว฽าชีวิตผม
ค฽อนข฾างจะรอบด฾าน ได฾ศึ่กษาทั้งวิชาการและทำงานแบบผู฾ใช฾แรงงาน
6)มองย฾อนหลับไป ผมจะเลือกเงินหรือชีวิตเหรอ? ก็ผมนี่ไง ผมเป็น
ตัวอย฽างของคนที่มุ฽งหน฾าหาเงิน
เพราะว฽าผมมีแผนการในชีวิตมากมายที่ต฾องสร฾างสมเอาไว฾เพื่อครอบครัว
มันไม฽ถึงกับลืมใช฾ชีวิตหรอก
แต฽ไม฽ค฽อยได฾มีโอกาสใช฾ชีวิตมากกว฽า ที่สุดแล฾วมันก็นำพาซึ่งความ
เจ็บปุวย ที่สุดแล฾วผมก็หาเงินตามจุด
มุ฽งหมายได฾ไม฽มากเท฽าที่ควร เราบอกว฽าเราจะทำงานสัก 20 ปี แต฽ว฽า
โอกาสของเรามีแค฽ 10 ปี
เพราะหลังจากที่ตรากตรำทำงานมาหนัก ร฽างกายบอกว฽ามันทำได฾แค฽นี้
เพราะฉะนั้นก็ลงเอยด฾วยการที่
ไปไม฽ถึงฝใ่งฝใน
7)ถ฾าย฾อนเวลากลับไปได฾ ผมคงเลือกทั้งเงินและชีวิต เพราะว฽าเราปฏิเสธ
ไม฽ได฾ว฽าเงินก็ยังเป็นสิ่งที่
หล฽อเลี้ยงชีวิต แต฽ว฽ามันไม฽ใช฽สรณะ ผมเลือกที่จะกระจายการทำงาน
กระจายความทุ฽มเทนั้นออกไป
Page 31 of 247
เพื่อให฾สามารถทำงานได฾นานมากขึ้น และตัวผมเองสามารถที่จะมีชีวิตอยู฽
ต฽อไปได฾นาน ๆ
8)ความทรงจำที่มีค฽ามากสำหรับผม มักเกิดขึ้นในช฽วงเวลาเล็ก ๆ ที่ผม
อยู฽กับตัวเอง
9)ผมเคยเขียนการแดเล็ก ๆ ให฾ภรรยา สรุปความได฾ว฽า เวลาที่คนสองคน
เดินไปบนชายหาด ตอนที่เรา
หันกลับมามองก็จะเห็นเป็นรอยเท฾าเล็ก ๆ 2 คู฽ เดินไปเดินมา ทำไมเรา
จึงเห็นรอยเท฾าเหลืออยู฽แค฽คู฽
เดียวล฽ะ อีกคนหนึ่งหายไปไหนหรือ คำตอบคือไม฽มีใครหายไปไหนหรอก
แต฽อีกคนกำลังอุ฾มอีกคนหนึ่งเอา
ไว฾ ผมหมายถึงตัวผมอุ฾มเขาอยู฽ เป็นคำมั่นสัญญาว฽าผมจะดูแลเขาไป
จนกว฽าชีวิตจะหาไม฽
10)ครั้งหนึ่งที่ผมฟใงดุริยมนตราซึ่งเป็นเสียงสวดมนตแที่ประกอบไปกับ
ดนตรี ผมฟใงแล฾วผมร฾องไห฾มาก แล฾ว
กอกกับตัวเองว฽าถ฾าชีวิตผมจะหาไม฽จริง ๆ ด฾วยอาการเจ็บปุวยนี้ ผม
อยากจะบอกคุณพ฽อกับคุณแม฽ว฽า ผม
ได฾คุณพ฽อกับคุณแม฽ที่ประเสริฐที่สุด ไม฽ใช฽แค฽เลี้ยงดูสั่งสอนให฾แนวทาง
ชีวิตในยามที่ผมปกติดีอยู฽ แต฽ในยาม
เจ็บปุวยคุณพ฽อ-คุณแม฽ไม฽เคยห฽าง มาหาผมที่โรงพยาบาลทุกวัน อยาก
ให฾ท฽านได฾รู฾ว฽าผมมีคุณพ฽อ-คุณแม฽ที่ผม
ไม฽สามารถเรียกร฾องหาได฾ดีกว฽านี้จากที่ไหน
11)ในความเป็นพ฽อ ผมให฾คะแนนความพยายามมากกว฽าผลสัมฤทธิ์ที่
เกิดขึ้น ผมคิดว฽าคะแนนความ
Page 32 of 247
พยายามของผมที่80 มันไม฽เต็มร฾อยหรอกครับเพราะมีข฾อจำกัดเรื่องเวลา
แต฽ลูก ๆ มีแกนกลางคือเขามี
แม฽ที่ดี เพราะฉะนั้นลูก ๆ จะไม฽เคยรู฾สึกว฽าขาดพ฽อ เพราะว฽าแม฽ทดแทนได฾
หมด แม฽ไม฽ใช฽เพียงแค฽คนที่
พยายามรักษาความสมดุลในครอบครัว แต฽เขาเป็นศูนยแกลางของ
จักรวาลในครอบครัวเรา นี่ไม฽ใช฽การ
ถ฽อมตน แต฽เป็นการพูดในความรู฾สึกที่แท฾จริง เขาเป็นดวงใจของเราทุก
คน ให฾กลับกัน ผมไม฽เชื่อด฾วย
ซ้ำว฽าผมทำได฾ เพราะว฽าผมอาจจะถนัดเรื่องจัดหามากกว฽าการดูแล ใคร
อยากได฾อะไรผมจะหามาให฾
ขอแค฽ให฾รู฾เถอะไม฽ต฾องเอ฽ยปากหรอกผมจะไปหามาให฾
12)ชีวิตผมไม฽มีอะไรนอกจากบริษัท เจเอสแอลและครอบครัว ผมมีแค฽นี้
ผมไม฽มีอย฽างอื่นอีกแล฾ว
13)การเป็นพ฽อเป็นเรื่องของธรรมชาติ ไม฽ต฾องใช฾อะไรเป็นพิเศษ ไป
มากกว฽าความรักทั้งหมด ผมเคย
เซ็นหนังสือให฾ลูกว฽า”สำหรับน฾องเพชร ด฾วยความรักทั้งหมดในหัวใจพ฽อ”
ถ฾าคุณรักลูก คุณก็พร฾อมที่จะทำทุก
อย฽างกับเขา และตรงนี้ต฽างหากที่เพิ่มเติมมาด฾วยสติปใญญา พร฾อมจะ
ทำทุกอย฽างเพื่อที่จะมีเวลาอยู฽ด฾วย
กัน เรียนรู฾ถึงความต฾องการและความฝในของเขา แต฽บางครั้งลูกก็ไม฽ได฾
อยากอยู฽กับเราเสมอไป เขา
อาจจะมีธุระอื่น ฉะนั้นความรักและความเข฾าใจจะต฾องมาเป็นอันดับต฾น
เลย เราต฾องพยายามหาหน
ทางละมุนละไมที่จะโอบแขนของเขาเข฾าไปอยู฽ในชีวิตของเขาให฾ได฾
Page 33 of 247
14)ผมไม฽ขอเปรียบเทียบชีวิตการเป็นพิธีกรของผมกับคนอื่น ๆ ตอนที่
ทำรายการจันทรแกะพริบใหม฽ ๆ ผม
จบดอกเตอรแมา มันยิ่งสร฾างความคาดหวังว฽าจะทำอะไรดี ๆ ได฾อีกเยอะ
ต฾องศึกษาหาความรู฾เยอะ
อ฽านประวัติของแขกรับเชิญมาล฽วงหน฾าซึ่งจะทำให฾เราไม฽รู฾สึกห฽างไกลจาก
เขา รายการจันทรแกะพริบเป็น
งานที่ยาก ผมใช฾เวลากว฽า ๒ ปีจึงจะหาตัวเองพบ ต฾องยอมรับอย฽างหนึ่ง
ว฽าการเป็นพิธีกรมันคือการ
แสดง ในเมื่อมันคือกาแสดง อะไรล฽ะคือบุคลิกภาพจริง ๆของเรา เวลาที่
เราขอคำแนะนำจากใคร 10
คน เราจะได฾คำตอบ 10 อย฽าง เพราะฉะนั้นผมเลยคิดว฽าที่สุดแล฾วผมเชื่อ
ตัวเองอีกว฽า ผมไม฽ใช฽คน
ถามจาบจ฾วงหรืออยากให฾เฮฮากว฽านี้ ผมว฽าไม฽ใช฽ผม ผมเป็นคนที่ให฾เกียรติ
คน เป็นคนที่มีบุคลิกพูดง฽าย ๆ
ว฽านุ฽มนิ่มบางทีมันเป็นจุดอ฽อน แต฽เราต฾องพัฒนาให฾เป็นจุดแข็งให฾ได฾ เอา
ความอ฽อนโยนมาเป็นเสน฽หแ
เอาความนุ฽มนิ่มมาเป็นวิธีการถามคำถามทำให฾เกิดความอบอุ฽นขึ้น
15)ครั้งแรกที่ผมสัมภาษณแ ทอดดแ ทองดี เขาบอกว฽ายูรู฾ไหม ว฽าการที่ยืน
อยู฽ด฾วยกันบนเวที มันมีไออุ฽นของ
คนที่อยู฽ใกล฾กัน เขาไม฽รู฾สึกอบอุ฽นแบบนี้กับใครเท฽าที่ยืนอยู฽ใกล฾ผม ผมมี
ความรู฾สึกว฽านั่นแหละคือการที่เรา
หาตัวเองเจอ ธรรมชาติของผมคือเป็นผู฾ชายที่อบอุ฽นนั่นเอง
16)ทุกวันนี้ผมดูทีวีได฾ไม฽นาน เพราะว฽าเสียงมันดังเกินไป รายการ
โทรทัศนแน฽าจะมีความนุ฽มนวลแล฾วค฽อย
ทะยานขึ้นไปถึงความตื่นเต฾น แต฽ทุกวันนี้มันมีแต฽ความเปรี้ยงปร฾าง อาจ
เป็นเพราะว฽าการแข฽งขันมันสูง
Page 34 of 247
พิธีกรต฾องขุดมุกมาใช฾เพื่อให฾ได฾ชื่อว฽าสามารถสร฾างเสียงฮาได฾ตลอดเวลา
ซึ่งผมคงสอบตกในกรณีนี้ แต฽
ผมเชื่อว฽าความแพรวพราวมันมีได฾หลายลักษณะ เช฽นยิงคำถามแพรว
พราวก็ได฾ หรือบางทีเขาตอบอะไร
มา เราอาจจะแสดงความคิดเห็นอะไรกลับไป เป็นความแพรวพราวตรง
นี้ก็ได฾ ไม฽จำเป็นต฾องมีมุก
ตลอดเวลา
17)การเป็นพิธีกรคือโอาสที่ได฾เรียนรู฾ชีวิตของคน ได฾แบบเรียนชีวิตโดยไม฽
ต฾องซื้อหามา เป็น
ประสบการณแล้ำค฽าที่ไม฽มีอะไรทดแทนได฾ ผมเรียนรู฾ชีวิตของชีวิตของ
ผู฾อื่น ผมได฾ค฾นพบว฽าชีวิตไม฽มีความแน฽
นอน เราต฾องใช฾ชีวิตอย฽างระมัดระวัง ชีวิตเป็นสิ่งที่มีค฽าและในยามที่เรา
ยังมีลมหายใจอยู฽ เราน฽าจะ
ได฾ใช฾โอกาสนั้นทำความดี เป็นสิ่งที่เราจะทิ้งไว฾ในโลกนี้ มันเป็นมรดกของ
มนุษยชาติอย฽างหนึ่งและคนอื่น
อาจจะเรียนรู฾ได฾ในภายหลัง
18)การมีชีวิตอยู฽เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ฽มาก เราทำให฾ห฾วงชีวิตเป็นอะไรก็ได฾
เป็นหนึ่งชีวิตที่เต็มไปด฾วยคุณค฽า
หรือเราทำหนึ่งชีวิตของเราให฾เป็นหนึ่งชีวิตที่สร฾างความทุกขแใจให฾กับใคร
สักคนหนึ่งไปตลอดชีวิตก็ได฾
ความยิ่งใหญ฽ของชีวิตอยู฽ที่ว฽าเราจะเลือกใช฾ชีวิตอย฽างไร
19)ผมไม฽รู฾ว฽าจำนวนของคนที่เห็นแก฽ตัวบนโลกนี้มีเท฽าไหร฽ แต฽ผมว฽า
ความเห็นแก฽ตัวมันเกิดขึ้นได฾กับทุก ๆ
คนแหละ มันคือการชั่งน้ำหนักในสิ่งที่เราจะทำ จริง ๆ แล฾วก็คง
เหมือนกับที่เขาพูดกันว฽า ไม฽ต฾องเป็น
Page 35 of 247
คนดีเท฽าไหร฽หรอก ขอแค฽เป็นคนเลวน฾อยที่สุดก็พอแล฾ว
20)ความกตัญโูรู฾คุณคนเป็นสิ่งที่ผมยึดถือเป็นหลักประจำใจ คนเราถ฾า
ไม฽รู฾จักรู฾พระคุณคน มันทำให฾เรา
หลงลืมไปว฽าเรามีชีวิตอยู฽ทุกวันได฾เพราะอะไร คนที่เขาให฾เรามาบางทีเขา
ไม฽ได฾จดจำเพราะมั่นเป็น
การให฾ที่แท฾จริง แต฽การที่เราได฾รับนั้นหมายถึงการได฾ส฽วนบุญที่ดีมา มัน
เปลี่ยนชีวิตเรามากเพียงพอที่
เราควรจะจดจำว฽าเรามาถึงฝใ่งฝในนี้ได฾อ฽างไร มีใครบ฾างที่ช฽วยพยุงเรา
ขณะ
ที่เราว฽ายน้ำข฾ามมหาสมุทรมา การระลึกถึงพระคุณของคนเป็นสิ่งที่
มนุษยแประเสริฐเขาทำกัน
21)คนที่เป็นผู฾ให฾ ในชีวิตผมมีมากและผมไม฽มีวันที่จะลืมได฾เลย ภรรยาผม
เขาไม฽เคยนึกถึงตัวเองเลย
เขานึกถึงแต฽ว฽าทำอย฽างไรสามีเขาจึงจะหาย ผมเรียนเรื่องธรรมชาติ
บำบัด ผมรู฾สึกเอาเองว฽าผมรับ
พลังดี ๆ จากธรรมชาติมาเยอะ เรียนรู฾ที่จะรับพลังธรรมชาติจากต฾นไม฾
ใบหญ฾า ผมรับรู฾ถึงความ
ปรารถนาดี ความหวังดีของคนจำนวนมาก คนเหล฽านี้เป็นคนที่ผมไม฽มี
วันลืมไปจากชีวิตนี้ แล฾วก็ขอเจอ
กันทุกชาติไป ผมคิดว฽าถ฾าผมจะหาย ก็ได฾ด฾วยพลังรักที่เขามีต฽อผม
22)ทุกวันนี้ผมมองทุกอย฽างด฾วยสายตาเป็นกลางมากขึ้น ผมมองว฽าถ฾า
มันจะเป็นความรู฾สึกที่สุด ผมก็จะไม฽
ดีใจจนเกินเหตุ หรือถ฾ามันจะทุกขแนัก ผมก็จะไม฽ทุกขแมาก ผมจะอยู฽ตรง
กลางด฾วยความหวังว฽า วันของ
Page 36 of 247
เราจะต฾องมาถึง เราได฾ฟใงเรื่องมหัศจรรยแที่เกิดขึ้นกับคนหลายคนที่เป็น
มะเร็ง ใจผมก็อยากให฾สิ่งนี้เกิด
ขึ้นกับผมบ฾าง เมื่อไหร฽ปฏิหาริยแจะเกิดขึ้นกับผมสักที ผมท฾อแท฾บ฾าง แต฽
ผมไม฽ยอมแพ฾พ฽าย ทำไมยังเจ็บปวด
เศร฾า ทุกขเวทนาอยู฽เรื่อย แต฽ผมปฏิเสธ ที่จะตายไปกับโรคนี้
23)ผมเสียใจอยู฽ตลอดมาที่มีเวลาให฾กับครอบครัวน฾อยเกินไป อยากบอก
ลูกว฽า ถ฾าพ฽อเลือกได฾ พ฽อคงอยู฽
บ฾านให฾มากกว฽านี้
      บันทึกการเข้า
อ้อย17
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,908

« ตอบ #5997 เมื่อ: 24 เมษายน 2555, 08:12:07 »


   พี่สิงห์คะ...

      ทำไมเรื่องอ.อภิวัฒน์ สระมันเป็นสี่เหลี่ยมหมดเลยคะ..อ่านยากกกมากกกกค่ะ
      บันทึกการเข้า
Dtoy16
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: อักษรศาสตร์
กระทู้: 1,424

« ตอบ #5998 เมื่อ: 24 เมษายน 2555, 09:51:21 »

                      เป็นเหมือนปริศนาธรรมน่ะน้องอ้อย
                      พี่สิงห์ค่ะ พอนึกถึงคำนี้(ปริศนาธรรม)และสวนรถไฟ สวนโมกข์ ต้อยเองก็เพิ่ง
                      ไปเป็นครั้งแรกได้ยินแต่ชื่อ พอลูกสาวชวนไปรู้จักแนวทางปฎิบัติของท่านติช นัท
                       ก็นัดให้ไปเจอที่นั้น ความที่รู้คร่าวๆว่าอยู่โซนสวนรถไฟพอเห็นป้ายก็เดินเข้าไป
                      ถามคนทำสวน พอชี้ทาง เดินไปเจอสนามเทนนิส ถามอีก ถามหนุ่มเด็กว่า
                      สวนโมกข์อยู่ไหน หนุ่มใหญ่ตอบแทนว่า "เดินตรงไปอย่างเดียว แต่ ถ้ายังมีกิเลสอยู่ก็หาไม่เจอหรอก"
                      เอ้อ ตอบกวนดีจริง   5 ชั่วโมงที่นั่นก็ได้ฝึกสติเป็นหลักมีธรรมะบรรยายศีลห้า ที่ชอบสุดคงเป็น
                      กิจกรรม นอนอย่างมีสติค่ะเพราะหลับสนิทเลยค่ะ
      บันทึกการเข้า

อ้อย17
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,908

« ตอบ #5999 เมื่อ: 24 เมษายน 2555, 15:41:28 »

อ้างถึง
ข้อความของ Dtoy16 เมื่อ 24 เมษายน 2555, 09:51:21
                      เป็นเหมือนปริศนาธรรมน่ะน้องอ้อย
                      พี่สิงห์ค่ะ พอนึกถึงคำนี้(ปริศนาธรรม)และสวนรถไฟ สวนโมกข์ ต้อยเองก็เพิ่ง
                      ไปเป็นครั้งแรกได้ยินแต่ชื่อ พอลูกสาวชวนไปรู้จักแนวทางปฎิบัติของท่านติช นัท
                       ก็นัดให้ไปเจอที่นั้น ความที่รู้คร่าวๆว่าอยู่โซนสวนรถไฟพอเห็นป้ายก็เดินเข้าไป
                      ถามคนทำสวน พอชี้ทาง เดินไปเจอสนามเทนนิส ถามอีก ถามหนุ่มเด็กว่า
                      สวนโมกข์อยู่ไหน หนุ่มใหญ่ตอบแทนว่า "เดินตรงไปอย่างเดียว แต่ ถ้ายังมีกิเลสอยู่ก็หาไม่เจอหรอก"
                      เอ้อ ตอบกวนดีจริง   5 ชั่วโมงที่นั่นก็ได้ฝึกสติเป็นหลักมีธรรมะบรรยายศีลห้า ที่ชอบสุดคงเป็น
                      กิจกรรม นอนอย่างมีสติค่ะเพราะหลับสนิทเลยค่ะ

                  พี่ต้อยคะ...

                     น่าอิจฉาจริง มีลูกสาวน่ารัก พาแม่ไปปฏิบัติธรรมด้วย
                      อ้อยยังไม่เคยไปเลยนะสวนโมกข์กรุงเทพฯน่ะ..ใกล้เกลือกินด่างแท้ๆเลย...ฮือฮือ......
      บันทึกการเข้า
  หน้า: 1 ... 238 239 [240] 241 242 ... 681   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

ทำไมหอพักนิสิตจุฬาจึงเป็นดินแดนมหัศจรรย์            " ไม่ได้เป็นแค่หอให้นอนพัก  แต่เป็นบ้านอบอุ่นรักให้อาศัย  ไม่เป็นแค่ที่ซุกหัวยามหลบภัย  แต่สร้างใจให้เข้มแข็งแกร่งการงาน"  <))))><