07 กรกฎาคม 2567, 21:42:38
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 208 209 [210] 211 212 ... 681   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: คุย กับ คุณมานพ กลับดี อดีตประธานชมรม ๓ สมัย  (อ่าน 3358465 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 16 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5225 เมื่อ: 29 มกราคม 2555, 20:05:12 »

อ้างถึง
ข้อความของ เหยง 16 เมื่อ 29 มกราคม 2555, 18:22:36
พี่สิงห์

กรมชลฯ จะสนองนโยบายของ ท่านนายกรัฐมนตรี คนที่ 21 แบบไม่ลืมหูลืมตา ก็คงต้องปล่อย-ไม่ว่ากัน
แต่กรรมที่ทำไว้กับคนทุ่งตะวันออก (สิงห์บุรี ลพบุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา ฯ)
คนสุพรรณบุรี ก็คงจะต้องเป็นผู้รับ แบบเทศกาลตรุษจีนที่ผ่านมา ??
แต่ก็เข้าทำนอง "กรรมใด-ใครก่อ" เพราะตอนนี้ต้องควักตังส์จ่ายค่าซ่อม-ค่าสร้างบ้านกว่า 70 หลัง


                 
                   ไม่เพียงแต่ผมที่คิดว่า กรรมมีจริง ที่คุณบรรหาร  ได้ก่อไว้กับประชาชนชาวไทย มหาน้ำท้วม  จึงทำให้พลุเขาจุดกันมาไม่รู้เท่าไหร่ ทั่วโลกแล้ว ไม่เคยมีอุบัติเหตุ แต่สุพรรณบุรีกับระเบิด  ท่านอื่นๆ ก็คิดแบบผมครับ

                    แล้วกรมชลประทาน คุณบรรหาร  ก็จะให้ทุ่งตะวันออกท้วมต่อไปเรื่อยๆ มันไม่ยุติธรรม และไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุด  ต้องกระจายทั้งสองฝั่งแบบผม  ถึงจะยุติธรรม และไม่เสียหาย ครับ

                    สวัสดี 
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #5226 เมื่อ: 29 มกราคม 2555, 20:10:26 »

พี่สิงห์

เมื่อครู่ ผมโทรคุยกับพี่เป้า ซึ่งกำลังกลับจากทัวร์เขื่อน ขณะนี้แวะทานข้าวอยู่ที่ปากช่องครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5227 เมื่อ: 29 มกราคม 2555, 21:27:26 »

                      
                        - คุณเหยง  เดี๋ยวนี้ ผมอยากอยู่คนเดียว  ไม่อยากเป็นคนของสาธารณา แล้ว เพราะต่างคนต่างมี "อัตตา" ตัวเองทั้งนั้น มีสิ่งที่ต้องกระทำ  แต่บางครั้งเกรงใจ  จำเป็นต้องรับปากไปก่อน(เพราะตอนรับปากยังไม่มีเหตุ ปัจจัยที่สำคัญ)  แต่พอมีเหตุจำเป็นขึ้นมาอย่างผม  ต้องดูแลแม่  เขาจะไม่ฟังเหตุผลของผม  หาว่ารับปากแล้วไม่ไป  เบี้ยว  ครั้งนี้ดีว่า คุณกนกวรรณ(คนจัด)  เธอเข้าใจดี  จึงตัดพี่สิงห์ ออกจากทัวร์  แต่คนอื่น...  ไม่เข้าใจ... ก็ว่ากันไปแล้วแต่จะคิด
 
                          ดังนั้น ต่อไปนี้ ผมตั้งใจไว้ว่า  ใครอย่ามาชวนผมเลย  ปล่อยผมไว้คนเดียว  อย่าหวังดีกับผม  ผมจะได้ไม่ผิดคำพูดกับใคร   เพราะผมก็เป็นคนเกรงใจคนเหมือนกัน  มันอดไม่ได้ที่จะรับปาก เพราะยังเป็นปุถุชนอยู่  อย่ามาชวนผมเป็นสิ่งที่ดีที่สุด   ปกติเรื่องของชาวซีมะโด่ง ถ้าผมไม่ติดอะไร  ผมทำให้เสมออยุู่แล้วในสังคมชาวซีมะโด่ง

                        - จากการตรวจคลื่นหัวใจ  แม่มีปัญหาเรื่องหัวใจเพิ่มขึ้น  เนื่องจากหลอดเลือดตีบตัน  มีโอกาสที่หัวใจจะหยุดเต้นไปเฉย ๆ  ได้  ตอนนี้เลยต้องเพิ่มยามาแป๊ะที่หลัง เพื่อควบคุมหรือกระตุ่นหัวใจ  ป้องกันหัวใจวาย ครับ

                        - คืนนี้ผมมี "แก่นพุทธศาสนา" ของพระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.  ปยุตฺโต) มาฝากเพื่อให้ทุกท่านได้ เจริญปัญญา

                          ราตรีสวัสดิ์ ครับ



-๒-

แก่นแท้ของพระพุทธศาสนา


                     ทีนี้ก็มาถึงตัว  แก่นแท้ของพระพุทธศาสนา  ก็เอาที่พูดเป็นอารัมภบท นั่นแหละมาครอบคลุม  คือสาระอยู่ในเรื่องที่พูดไปแล้วนั่นเอง  เพราะได้พูดแล้วว่า อริยสัจ ๔ ครอบคลุมหลักการของพระพุทธศาสนาทั้งหมด  ไม่ว่าจะเป็น

                        •   หลัก “เว้นชั่ว  ทำดี  ทำใจให้บริสุทธิ์”

                        •   หลัก “ธรรมทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น”

                        •   หลัก “อิทัปปัจจยตาปฏิจจสมุปบาทกับนิพพาน”

                        ทุกหลักรวมอยู่ในหลัก “อริยสัจ ๔” ทั้งนั้น

                        เมื่อรู้ว่าอะไรเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนาแล้ว  ก็เท่ากับจับจุดได้ว่า จะต้องเจาะลงไปหาแก่นในนั้น

                        ขอย้ำว่า “อริยสัจ” คือหลักที่โยงความจริงในธรรมชาติมาสู่การใช้ประโยชน์ของมนุษย์  เพราะลำพังกฏธรรมชาติเอง  มันมีอยู่ตามธรรมดา  ถ้าเราไม่รู้วิธีปฏิบัติ  ไม่รู้จุดที่จะเริ่มต้น  ไม่รู้ลำดับเราก็สับสน

                        พระพุทธเจ้าทรงต้องการให้เราได้ประโยชน์จากกฏธรรมชาติโดยสะดวก  จึงนำมาจัดรูป  ตั้งแบบ  วางระบบ  วางระบบไว้ให้  เรียกว่า อริยสัจ ๔  โดยทำลำดับให้เห็นชัดเจน  เป็นได้ทั้งวิธีสอน  ทั้งวิธีแก้ปัญหา  และวิธีที่จะลงมือทำการต่าง ๆ  เมื่อทำตามหลัก อริยสัจ ๔  ความจริงของธรรมดาที่ยากก็เลยง่ายไปหมด


ตอนที่ ๑

ความจริงมีอยู่ตามธรรมดา

พระพุทธเจ้ามีปัญญา   ก็มาค้นพบและเปิดเผย


                       ต่อไปนี้เมื่อจะดู “แก่นแท้ของพระพุทธศาสนา” ก็ต้องดูที่หลักความจริงอีก  เริ่มด้วยข้อแรก  มองว่าพระพุทธศาสนามีท่าทีหรือทัศนะต่อความจริงอย่างไร  คือมองดูโลก  มองดูธรรมชาติและชีวิตอย่างไร  พูดสั้น ๆ ว่า พระพุทธศาสนามองความจริงของสิ่งทั้งหลายอย่างไร

                       จุดเริ่มต้นนี้ชัดอยู่แล้วในพุทธพจน์ที่พระสวดอยู่เสมอในงานอุทิศกุศลว่า “อุปฺปาทา  วา  ภิกฺขเว  ตถาคตานํ  อนุปฺปาทา  วา  ตถาคตานํ  ฐิตา  ว  สา  ธาตุ...” มีเนื้อความว่า “ตถาคตคือพระพุทธเจ้าจะเกิดขึ้นหรือไม่เกิดขึ้นก็ตาม  ความจริงก็คงอยู่เป็นกฏธรรมดา  เป็นความแน่นอนของธรรมชาติว่าดังนี้ ๆ “

                       นี่คือการมองความจริงตามแบบของพระพุทธศาสนา  พุทธพจน์นี้เป็นหลักพื้นฐาน  เราควรจะเริ่มต้นด้วยหลักนี้  นั่นก็คือ  พระพุทธศาสนามองสิ่งทั้งหลายเป็นเรื่องของธรรมชาติและกฏธรรมชาติ เป็นความจริงที่เป็นอยู่อย่างนั้นตามธรรมดาของมัน ไม่เกี่ยวกับการเกิดขึ้นของพระพุทธเจ้า

                       ในพุทธพจน์นี้เอง  พระพุทธเจ้าตรัสจต่อไปว่า “ตถาคต มารู้ความจริง  ค้นพบความจริงนี้แล้ว จึงบอกกล่าว  เปิดเผย  แสดง  ชี้แจง  ทำให้เข้าใจง่ายว่าดังนี้ ๆ “

                       พุทธพจน์ตอนนี้บอกฐานะของพระศาสดาว่า ฐานะของพระพุทธเจ้าคือ ผู้ค้นพบความจริง  แล้วนำความจริงนั้นมาเปิดเผย แสดงให้ปรากฏ  พระพุทธเจ้าไม่ใช่เป็นผู้บัญญัติหรือเป็นผู้สร้าง ผู้บันดาลอะไรขึ้นมาจากความไม่มี  พระองค์เพียงแต่แสดงความจริงที่มีอยู่  การที่พระองค์บำเพ็ญบารมีทั้งหลายก็เพื่อมาตรัสรู้ เข้าถึงความจริงอันนี้ที่มีอยู่ตามธรรมดา

                       ความจริงนี้มีอยู่ตามธรรมดาตลอดเวลา  ไม่มีใครเสกสรรค์บันดาล (ไม่มีผู้สร้าง  เพราะถ้ามีผู้สร้าง ก็ต้องมีผู้สร้างผู้สร้างนั้น  ถ้าผู้สร้างมีได้เอง  ก็แน่นอนเลยว่า สภาวธรรมก็มีอยู่ได้โดยไม่ต้องมีผู้สร้าง)  มันไม่อยู่ใต้อำนาจบังคับบัญชาของใคร  ไม่มีใครบิดผันเปลี่ยนแปลงมันได้  ผู้ใดมีปัญญาจึงจะรู้เข้าใจและใช้ประโยชน์มันได้

                       ปัญหาอยู่ที่ว่าเราไม่มีปัญญาที่จะรู้  เมื่อเราไม่รู้ความจริงที่เรียกว่า กฏธรรมชาตินี้  เราก็ปฏิบัติต่อสิ่งทั้งหลายไม่ถูกต้อง  เพราะสิ่งทั้งหลายเป็นไปตามความจริงของมัน  เมื่อเราไม่รู้ความจริงของมัน เราก็ปฏิบัติต่อมันไม่ถูก  จึงเกิดปัญหาแก่ตัวเราเอง

                       เพราะฉะนั้น  การรู้ความจริงของธรรมชาติจึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง  เมื่อเรารู้แล้ว  เราก็จะปฏิบัติต่อสิ่งทั้งหลายได้ถูกต้อง คือกฏธรรมชาติบางอย่างหรือบางส่วน  เมื่อค้นพบแล้วก็นำเอากฏธรรมชาติส่วนนั้นมาใช้ทำอะไรต่าง ๆ ได้ เช่นการสร้างสิ่งประดิษฐ์ต่าง ๆ ตั้งแต่เรือกลไฟ  รถยนต์  รถไฟ  เรือบิน  ตลอดจนคอมพิวเตอร์ได้  ก็มาจากการรู้ความจริงของกฏธรรมชาติทั้งนั้น  เมื่อรู้แล้วก็จัดการมันได้  เอามันมาใช้ประโยชน์ได้  ถ้าไม่รู้ก็ตัน  ติดขัด  มีแต่เกิดปัญหา

                       เรื่องนี้ก็ทำนองเดียวกับวิทยาศาสตร์  แต่วิทยาศาสตร์เอาแต่ความจริงของโลกวัตถุ  ส่วนพระพุทธศาสนามองความจริงของโลกและชีวิตทั้งหมด

                        รวมความว่า  พระพุทธศาสนา มองความจริงของสิ่งทั้งหลายว่าเป็นเรื่องของธรรมชาติที่มีอยู่และเป็นไปตามธรรมดาของมัน  แล้วพระพุทธเจ้ามาค้นพบ  แล้วก็ทรงทำให้เข้าใจง่ายขึ้น  โดยมีวิธีจัดรูปร่าง ระบบ แบบแผน ให้เรียนรู้ได้สะดวก  และวางเป็นกฏเกณฑ์ต่าง ๆ

                        นี่ก็คือการจับเอาหลักการของความจริงนั่นเองมาจัดเป็นระบบขึ้น  เพื่อให้ง่ายต่อความเข้าใจของเรา

                        ทีนี้ความจริงของสิ่งทั้งหลายหรือกฏธรรมชาติที่ว่านั้นเป็นอย่างไร  ก็มีตัวอย่างเช่นว่า  สิ่งทั้งหลายเป็น อนิจจัง ไม่เที่ยง  ไม่คงที่  เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป  เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา  เป็น ทุกขัง  คงอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้  และเป็น อนัตตา  ไม่เป็นตัวเป็นตนของใครที่จะไปสั่งบังคับให้เป็นไปตามปรารถนาได้  เราจะไปยึดถือครอบครองมันจริงไม่ได้  เพราะมันเป็นไปตามเหตุปัจจัยของมัน  หรือดำรงอยู่ตามสภาวะของมัน

                        สิ่งทั้งหลายที่เรายึดถือเป็นตัวตนในบัดนี้ก็คือ ภาพปรากฏของเหตุปัจจัยที่เป็นไปตามกระบวนการของมัน  เมื่อเหตุปัจจัยมาสัมพันธ์กันเป็นกระบวนการ  ก็แสดงผลเป็นปรากฏการณ์ที่เราเรียกเป็นตัวเป็นตน  แต่แท้จริงแล้วตัวตนอย่างนั้นไม่มี  มีแต่เพียงภาพปรากฏชั่วคราว

                        ส่วนตัวจริงที่อยู่เบื้องหลัง ก็คือกระบวนการแห่งความสัมพันธ์กันของสิ่งทั้งหลายที่คืบเคลื่อนไปเรื่อย ๆ เมื่อเหตุปัจจัยเหล่านี้สัมพันธ์กันแล้วคืบเคลื่อนต่อไป  ภาพตัวตนที่ปรากฏนั้นก็จะเปลี่ยนแปลงไป

                        ดังนั้นตัวตนที่แท้  ที่ยั่งยืนตายตัว  ที่จะยึดถือครอบครอง บังคับบัญชาอะไร ๆ ได้จึงไม่มี (คำว่า “อัตตา”  ก็คือตัวตนที่เที่ยงแท้ ยั่งยืนตายตัวตลอดไป)
มัน (อัตตา) ไม่มี  เพราะมีแต่ภาพรวมของปรากฏการณ์ที่เกิดจากความสัมพันธ์ของสิ่งทั้งหลายในกระบวนการของมัน  เรียกว่า เป็นเพียงสภาวะธรรม  ไม่เป็นตัวตนของใคร

                        ถ้าเข้าใจเช่นนี้แล้วก็จะเห็นว่า  อ๋อ...อะไรก็ตามที่ปรากฏเป็นตัวเป็นตนก็คือสิ่งที่เป็นปรากฏการณ์ชั่วคราว  หรือสิ่งที่ดำรงอยู่ตามสภาวะของมันเท่านั้น  ซึ่งเราจะต้องรู้ทัน  ถ้าจะรู้ความจริงของปรากฏการณ์  เราต้องสืบสาวดูกระบวนการของเหตุปัจจัยที่อยู่เบื้องหลัง  แล้วเราจะเห็นความจริงและไม่ยึดติดอยู่กับตัวอัตตานี้

                        นี้คือความเป็นจริงของกฏธรรมชาติ  ซึ่งพระพุทธเจ้าได้ทรงสอนเรื่อง “ไตรลักษณ์” ขึ้นไว้เป็นหลักที่เด่นว่า...

                        สิ่งทั้งหลายนี้ อนิจฺจํ ไม่เที่ยง  เกิดขึ้นแล้วก็ดับหาย  มีความเปลี่ยนแปลง ทุกฺขํ  คงอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้  อยู่ในภาวะขัดแย้ง  ถ้าคนเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยความอยาก  มันก็ฝืนความปรารถนา  แล้วก็ อนตฺตา  ไม่เป็นตัวตนของใครได้  ใครจะยึดถือครอบครองสั่งบังคับไม่ได้  เพราะมันเป็นไปตามเหตุปัจจัยของมัน  หรือดำรงอยู่ตามสภาวะของมัน
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5228 เมื่อ: 30 มกราคม 2555, 09:23:48 »



คุณหมอวิทิต - วีรยา  บรรจง

(น้องเขย และน้องสาวที่เป็นพยาบาล)


สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน

                       เมื่อหัวรุ่ง คนดูแลแม่บอกว่า  ยายร้อง ให้พากลับบ้าน พาไปวัดพระนอน และเมื่อหกโมงครึ่งผมมา แม่ก็ร้องว่า "ตายแน่ ๆ " ร้องไม่หยุด เนื่องจากเจ็บแผล  ผมสังเกตเห็นเวลาแม่ร้อง ตายแน่ ๆ ขากระดิก แสดงว่ายังมีความรู้สึกเจ็บ เนื่องจากเมื่อวาน คนดูแลแม่เอาแม่อาบน้ำ แผลที่เท้าอาจจะโดนน้ำ เกิดอักเสบ เลยเจ็บขึ้นมา   ดังนั้น จึงให้แม่กินยาแก้ปวด
                       ผมเปิดธรรมะของหลวงพ่อพระไพศาล ให้แม่ฟัง และให้แม่ร้องภาวนา "ตายแน่ ๆ" ไปตามนั้น เพราะท่านเจ็บก็ต้องให้ภาวนาแบบนั้น  ผมรู้ว่ายังไม่ตายเพราะยังมีความรับรู้(วิญญาณ)จากอายตนะ คือร่างกายที่เจ็บจึงแสดงออกมา และให้ภาวนาอย่างอื่นจิตก็กระทำไม่ได้ในเวลานี้ เลยยุให้ภาวนา "ตายแน่ ๆ" เข้าไว้ พอนานเข้าจิตก็สงบ ลืมความเจ็บ เพลินจากเสียงหลวงพ่อเทศน์ เลยสามารถทำให้จิตเป็นภวังค์ สามารถหลับไปเลยได้ ครับ

                        บ่ายวันนี้ผมเข้า กทม. ไปส่งพี่สาวที่สนามบินสุวรรรภูมิ เพื่อกลับอเมริกา ครับ

                        สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5229 เมื่อ: 31 มกราคม 2555, 07:50:15 »

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน

                       วันนี้เป็นวันพระขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๓ ผมอยู่บ้านที่ กทม. จึงไม่ได้ไปทำบุญที่วัดพระนอน แต่ได้ตื่นเช้ามาปฏิบัติธรรม  หุงข้าว  เดินจงกรมออกกำลังกาย  ไปซื้อกับข้าวที่ตลาดหลังการบินไทย  เอามาใส่บาตรพระที่หน้าบ้านแทน ครับ

                       เวลา 08:30 น. ไปสิงห์บุรี เฝ้าแม่ที่โรงพยาบาล ครับ

                       ณ ปัจจุบัน ผมเห็นความคิด และรู้ความคิดมากขึ้น โดยเฉพาะ การรู้ความคิด ตัวเองก่อนที่จิตมันจะสั่งให้รูปกระทำตามที่จิตมันคิด เพราะมีสติมากขึ้น ๆ  ความคิดเลยช้าลง ๆ ทำให้เราทราบความคิดของเราก่อนที่เราจะกระทำ ทำให้เรามีโอกาสใช้สติไปไตร่ตรอง เพื่อไม่ให้หลงเข้าไปในโมหะ หรือตกเป็นทาสของความคิดตนเองได้

                       สองอาทิตย์ที่ผ่านมา  ผมชอบที่จะยั่วให้จิตผมโกรธ  และผมก็ได้ถือโอกาสนั้น พิจารณาจิตในสภาวะที่มันโกรธ  จิตมันเป็นอย่างไร  และเรารู้ตัวว่ากำลังโกรธนะ  แต่สามารถควบคุมมันได้  ไม่ให้กระทำอะไรที่มันเลยเถิดไปได้  เลยทำให้รู้เลยว่า ขอเพียงมีความรู้สึกตัว คือ สติ  มันจะแก้อะไรต่าง ๆ ในขณะนั้นได้  สามารถควบคุมตัวเองได้  รู้ดีรู้ชอบที่ควรกระทำ

                       เดี๋ยวนี้ผมรู้แล้วว่า ทำไม? หลวงพ่อเทียน  ท่านจึงเน้นเสมอ "ให้ทำความรู้สึกตัวให้มากเข้าไว้ ๆ  ความไม่รู้มันจะหายไปเอง"  มันก็เป็นความจริงขึ้นมาจริง ๆ เพราะสติจะมาเตือนเราทุกสิ่งที่จิตมันคิด  ผลคือ การดำรงชีวิตของเรามีค่ามากขึ้น  ไม่เผลอกระทำตามใจนึกคิด มีเวลาคิด ได้ดู ได้เห็นความคิด ได้ไตร่ตรอง ก่อนที่จะกระทำตามความคิด  และที่สำคัญ "มันไม่ส่งจิตออกนอก"  ถ้าจะส่งก็รู้ตัวว่า มันจะคิดปล่อยใจแล้วนะ  จะยอมให้มันคิดหรือไม่(มันจะถามตัวเอง)

                      เช้านี้ เช่นเคย ผมนำ "แก่นพระพุทธศาสนา" ของพระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.  ปยุตฺโต)  มานำเสนอให้ทุกท่าน เจริญปัญญา ครับ

                      อ้อ ! อย่าลืม "งดทำชั่ว  ทำดี  ทำจิตให้บริสุทธิ์ผ่องใส" ครับ เช้านี้ แล้ววันนี้จะมีค่าสำหรับท่าน ครับ

                      สวัสดี




-๒-

แก่นแท้ของพระพุทธศาสนา

โดย

พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.  ปยุตฺโต)

ตอน ๒

เมื่อคนไม่รู้ทันความจริงของธรรม

เขาก็นำทุกข์ในธรรมชาติ  มาสร้างให้เป็นทุกข์ของตน


      สำหรับ  ทุกข์ ในไตรลักษณ์นี้  เรามักไปมองคำว่าทุกข์เป็นความเจ็บปวดเสีย  ที่จริงทุกข์เป็นสภาพตามธรรมดาของสิ่งทั้งหลายหรือเป็นสภาวะตามธรรมชาติ  คืออาการที่สิ่งทั้งหลายไม่สามารถคงอยู่ในสภาพเดิม  บางทีแปลว่า stress หรือ conflict คือภาวะที่มันมีการเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุปัจจัย หรือองค์ประกอบต่าง ๆ ที่เกิดดับ บีบคั้น ขัดแย้ง กันอยู่ตลอดเวลา  แล้วทุกข์ก็เป็นภาพรวมที่เกิดจากความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งเหล่านั้น

      สิ่งทั้งหลาย เป็นองค์รวม ที่เกิดจากองค์ประกอบต่าง ๆ มาประชุมกัน  เมื่อองค์ประกอบแต่ละอย่างเกิดขึ้นดับไป  เปลี่ยนแปลงตลอเวลา  องค์รวมนั้นจึงไม่สามารถคงสภาพเดิมอยู่ได้  เพราะเมื่อองค์ประกอบแต่ละอย่างนั้นเปลี่ยนแปลงไป ก็จะเกิดการขัดแย้งกัน เป็นความกดดันภายใน  แล้วก็จะต้องคงอยู่ไม่ได้

      สภาพที่ขัดแย้ง  ฝืน  กดดัน  คงอยู่ไม่ได้ ทั้งหมดนี้  เรียกว่า “ทุกข์” ซึ่งเป็นสภาวะธรรมชาติในสิ่งทั้งหลาย  เมื่อเราใช้ศัพท์นี้กับภาวะในใจคน  ก็จะมีความหมายว่า เป็นภาวะที่จิตถูกกดดัน บีบคั้น  ก็คืออันเดียวกัน

      จะเห็นว่าทุกข์ที่มีอยู่ในธรรมชาติ  ในสิ่งทั้งหลายนี้  ก็มีความหมายหนึ่งคล้าย ๆ กับทุกข์ในใจของเรา  ทุกข์ในใจของเราก็คือภาวะที่ถูกบีบคั้น  กดดัน  ขัดแย้ง  ไม่สบาย  ทนไม่ไหว  ทีนี้ในสิ่งทั้งหลาย  ทุกข์ก็คือภาวะที่จะต้องผันแปรเปลี่ยนแปลงไป  เกิดความขัดแย้ง  กดดัน  ทนอยู่ไม่ได้

      ส่วน “อนัตตา” ก็อย่างที่พูดไปแล้วว่า  คือไม่เป็นตัวตนที่ยั่งยืน มั่นคงอยู่อย่างนั้นตลอดไป  แต่เป็นเพียงภาพรวมของปรากฏการณ์แห่งกระบวนการของการเปลี่ยนแปลงนั้น

      เรื่องนี้ก็ทำนองเดียวกับกฏทางวิทยาศาสตร์  ซึ่งมีอยู่ตามธรรมดาในธรรมชาติ  ไม่ว่าใครจะรู้หรือไม่  ใครมีปัญญาสามารถ  ก็ค้นพบ แล้วก็เอามาบอกกัน  เรื่อง  อนิจฺจํ  ทุกฺขํ  อนตฺตา  นี้ พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า  เป็นความจริงที่มีอยู่ตามธรรมดาของมัน  ไม่เกี่ยวกับพระพุทธเจ้าจะเกิดหรือไม่เกิด  พระพุทธเจ้าทรงเป็นผู้มาค้นพบ  เปิดเผย  อธิบาย  วางเป็นระบบไว้

      ตรงนี้แหละที่มาโยงเข้ากับอริยสัจ  คือเมื่อสิ่งทั้งหลายทั้งโลก  รวมทั้งชีวิตของคนเรานี้เป็นธรรมชาติส่วนหนึ่ง ๆ  มันก็เป็นไปตามกฏธรรมชาตินี้  ที่ว่ามีความไม่เที่ยง  เปลี่ยนแปลงทุกเวลา  มีความกดดันขัดแย้งภายใน  คงสภาพเดิมอยู่ไม่ได้  และเป็นไปตามเหตุปัจจัย  ปรากฏรูปลักษณ์ไปต่าง ๆ  ยักย้ายไปตามเหตุปัจจัยที่สัมพันธ์กันนั้น  อย่างร่างกายของเรานี้ก็เปลี่ยนไป  ตอนเป็นเด็กหน้าตาอย่างหนึ่ง  อายุมากขึ้นมาก็เปลี่ยนไปอีกอย่างหนึ่ง

      เมื่อสิ่งทั้งหลายเป็น อนิจฺจํ  ทุกฺขํ  อนตฺตา  ตามธรรมดาของมันอย่างนี้  ก็มีคำถามว่า  มนุษย์จะเข้าไปเกี่ยวข้องกับมันอย่างไร คือจะปฏิบัติหรือสัมพันธ์กับธรรมชาติ  กับโลก  กับชีวิต  ที่เป็นไปตามกฏธรรมชาตินั้นอย่างไร

      มนุษย์อาจจะสัมพันธ์กับมันด้วย อวิชชา  ตัณหา  อุปาทาน

      อวิชชา   คือภาวะที่ขาดความรู้ความเข้าใจ  ไม่รู้ทันความจริงของสิ่งนั้น ๆ

      ตัณหา   คือความอยาก ความปรารถนาต่อสิ่งต่าง ๆ  โดยไม่รู้ทันความจริงของมัน

      อุปาทาน   คือการเข้าไปยึดมั่น ถือมั่น ให้เป็นอย่างที่ตัวต้องการ  เอาความปรารถนาของตนเป็นตัวกำหนด

      ถ้ามนุษย์เข้าไปสัมพันธ์กับสิ่งทั้งหลาย  หรือพูดง่าย ๆ ว่าสัมพันธ์กับโลกและชีวิต  ด้วย อวิชชา  ตัณหา  อุปาทาน  ก็จะเกิดปัญหาขึ้นกับชีวิตของตัวเองทันที  ทุกข์ที่เป็นสภาพอยู่ในธรรมชาติตามธรรมดาของมัน  คือเป็นความขัดแย้ง  คงอยู่ไม่ได้  ในสิ่งที่จะต้องเปลี่ยนแปลงคืบเคลื่อนนั้น  ก็จะเกิดเป็นสภาวะที่กดดัน  ขัดแย้งขึ้นในใจของมนุษย์  ตอนนี้ทุกข์ในธรรมชาติที่มีอยู่ตามธรรมดา  กลายมาเป็น “ทุกข์” ปรุงแต่งในใจของเรา

      ที่จริงมันเป็นทุกข์อยู่ตามธรรมดาในธรรมชาติ  แต่เมื่อเราไปสัมพันธ์ปฏิบัติต่อมันไม่ถูก  จึงเกิดเป็นทุกข์ในใจของเขาขึ้นมา  และเมื่อสืบค้นดูก็จะรู้ว่า อวิชชา  ตัณหา  อุปาทาน  เป็นตัวกำหนดความสัมพันธ์ของเราในกรณีนี้  ตัวนี้แหละที่ท่านว่าเป็น “สมุทัย”  คือเหตุแห่งทุกข์  ตอนนี้ สมุทัย มาแล้ว

      สมุทัย นี้  ถ้าตรัสแค่บทบาทหน้าโรงก็เอาตัณหาเป็นตัวแสดง  แต่ถ้าตรัสแบบเต็มโรง  จะทรงยกเอา อวิชชาเป็นตัวกำกับหลังโรง ขอให้ดูเวลาตรัสว่า อะไร คือสมุทัย  พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ๒ แบบ

      แบบที่ ๑  ตรัสว่า สมุทัย ได้แก่ ตัณหา  คืออธิบายง่าย ๆ สั้น ๆ  ว่า “สิ่งทั้งหลายมันไม่เป็นไปตามใจอยากของคุณหรอก  เมื่อคุณสัมพันธ์กับมันด้วยความอยาก  คุณก็ต้องเป็นทุกข์เอง”

      แต่เบื่องหลังตัณหา คือความอยากหรือความตามใจตัวนี้  ตัวการที่แท้ก็คือความไม่รู้เท่าทันความจริง  ซึ่งเป็นเงื่อนไขเปิดช่องให้ปัจจัยต่าง ๆ เข้ามาหนุนกันในการที่จะให้ปัญหานั้นเกิดขึ้น  เพราะฉะนั้น

      แบบที่ ๒  จึงตรัสแบบกระบวนการที่เริ่มต้นจาก อวิชชา ว่า อวิชชาเป็นปัจจัยพื้นฐานของปัญหาหรือทุกข์  สมุทัยที่แท้จริงเป็นกระบวนธรรม (ธรรมปวัตติ)  ตามกฏปฏิจจสมุปบาท ว่า อวิชฺชา  ปัจฺจยา  สงฺขารา... ซึ่งประมวลว่าทั้งหมดนี้คือ สมุทัย แห่งทุกข์

      ตอนนี้จะเห็นได้ว่า กฏธรรมชาติมาสัมพันธ์กับมนุษย์แล้ว

      ตอนแรก  พูดเริ่มจากกฏธรรมชาติก่อนว่า  ความจริงของธรรมชาติมันมีอยู่ตามธรรมดาของมัน  สิ่งทั้งหลายดำเนินไปตามกฏธรรมชาตินั้นเป็น อนิจฺจํ  ทุกฺขํ  อนตฺตา

      ตอนนี้   มาถึงคน  คือในการที่คนเข้าไปเกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านั้น  ถ้าเกี่ยวข้องโดยมี อวิชชา  ตัณหา  อุปาทาน  เป็นตัวกำหนด  ก็จะเกิดปัญหา  มีทุกข์ขึ้นมา

      อันนี้ คืออริยสัจ ข้อที่ ๑ และข้อที่ ๒ คือการสัมพันธ์กับสิ่งทั้งหลายซึ่งมีศักยภาพที่จะให้เกิดทุกข์  ด้วย อวิชชา  ตัณหา  อุปาทาน   ซึ่งเป็น สมุทัย คือตัวเหตุ  แล้วก็เกิดทุกข์ในตัวคนขึ้นมา  คือก้าวจากทุกข์ในสิ่งทั้งหลายที่มีอยู่ตามธรรมชาติ มาเป็นทุกข์ในใจของเรา

      นี่คือ วิธีพูดแบบย้อนกลับโดยเอากฏธรรมชาติเป็นจุดเริ่มต้น  โดยเริ่มที่ สมุทัย  คือมนุษย์ไปสัมพันธ์กับสิ่งทั้งหลายไม่ถูกต้อง  โดยสัมพันธ์ด้าย อวิชชา  ตัณหา  อุปาทาน  ก็เกิดเป็น ทุกข์ ขึ้นมา
      
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5230 เมื่อ: 31 มกราคม 2555, 13:22:23 »



                        ผมมาถึงโรงพยาบาลสิงห์บุรี ก่อนห้าโมงเช้า  พอขึ้นมา เห็นแม่ลืมตาได้ ดังเดิม  สามารถจำได้  รู้สึกยินดีมาก 

                        คนดูแลบอกว่าเมื่อคืน  ตัวยายเขียว เนื่องจากมีอุจจาระค้างมาก  จึงต้องเอามือล้วงออกเมื่อคืน  การบวม ตัวเขียว จึงหายไป  ผมก็บอกว่า มนุษย์มันเป็นอย่างนี้  กินเข้าไป  ก็ต้องเอากากออก  ถ้าไม่เอาออกก็อยู่ไม่ได้  มันจะแสดงออกมาทางกายทำให้เราสามารถรู้เข้าใจได้  ว่าต้องเอาออกให้ได้ มันเป็นอย่างนี้ละ ธรรมชาติของมนุษย์  เพราะแม่ไม่สามารถถ่ายออกเองได้ ปราสาทมันไม่สั่ง

                        ผมนั่งเขียน "แก่นพระพุทธศาสนา" ไปก็เปิดเทปหลวงพ่อชา  ให้แม่ฟังไปด้วย และได้ทบทวนตัวเองไปด้วย

                        ตอนที่ผมขับรถอยู่นั้น ก็ได้เปิดวิทยุ FM 98 Mhz. ฟัง ท่าน ว.วชิรเมธี บรรยายธรรมเรื่อง สติปัฏฐาน ๔ และอานิสงฆ์ของการเจริญสติปัฏฐาน ๔  ก็ทำให้สามารถทบทวนตัวเองอีกเหมือนกันครับ  แต่ท่านบรรยายในเชิงทฤษฎี  ก็ดีเหมือนกัน ได้เอามาเทียบกับตัวเอง ครับ

                        สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5231 เมื่อ: 31 มกราคม 2555, 19:27:11 »

สวัสดียามค่ำครับ ชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน

                        ผมนอนอยู่สิงห์บุรี ครับ วันนี้ผมได้มีโอกาสคุยกับท่านหลายเรื่องด้วยกัน  ผมถามว่าแม่อาบน้ำไหม ? แม่บอกว่าอาบ  ผมถามว่าทำไม?จึงต้องอาบน้ำ แม่ตอบว่ามันเหม็นสาป แม่ไม่กลัวเจ็บแผลหรือ  แม่บอกไม่กลัว  ผมถามแม่ว่า แม่กลัวตายไหม  แม่บอกว่าไม่กลัวตาย  ตายแล้วแม่จะไปไหน  แม่บอกว่าตายจะได้ไปสวรรค์  ผมบอกแม่ว่า เวลาตาย  แม่ต้องมีสติ  ไม่ต้องคิดกังวลอะไรทั้งสิ้นให้มีสติเข้าไว้นะ  จำได้นะ  แม่รับคำ

                        น้องสาวเข้ามาเมื่อเลิกงานเห็นแม่ลืมตา  มีสติดีมาก  บอกว่าถ้าอย่างนี้อยู่ได้อีกนาน  ไม่เหมือนคนป่วยเลย  ทำให้ผมโลงใจ  สามารถที่จะไปแสวงบุญที่อินเดียได้ ครับ

                        สงสัย ผมคงโดนบอยคอร์ต  ต้องพูดคนเดียว  ไม่เป็นไร  คนเดียวก็คนเดียว ครับ

                         ดังนั้น ผมก็ไม่รู้จะคุยกับใคร  ขอไปปฏิบัติธรรม ก็แล้วกัน ครับ

                        ค่ำนี้ผมเลยนำ "แก่นพระพุทธศาสนา" ของพระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.  ปยุตฺโต) มานำเสนอต่อจากตอนที่แล้ว เพื่อให้ทุกท่านได้เจริญปัญญา ครับ

                        ราตรีสวัสดิ์ทุกท่านครับ




-๒-

แก่นแท้ของพระพุทธศาสนา

โดย

พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.  ปยุตฺโต)

ตอน ๓

เมื่อมีปัญญารู้ความจริง  ก็เลิกพึ่งพาตัณหา

หันมาอยู่ด้วยปัญญา  ที่เอาประโยชน์ได้จากธรรม


      ในทางตรงกันข้าม  ถ้าเรารู้ทันความจริงของโลกและชีวิต แล้วเปลี่ยนวิธีสัมพันธ์เสียใหม่  เราไม่สัมพันธ์ด้วย อวิชชา ตัณหา อุปาทาน  แต่เปลี่ยนจาก อวิชชา เป็น วิชชา และสัมพันธ์กับสิ่งทั้งหลายด้วยปัญญา  สมุทัย ก็หายไป  กลายเป็น นิโรธ

      พอ อวิชชา ตัณหา อุปาทาน  หายไปปั๊บ  สมุทัย หายไป ทุกข์ก็หายไป ด้วย  กลายเป็น นิโรธดับทุกข์หมด  หรือทุกข์ไม่เกิดขึ้นเลย

      ดังนั้น  วิธีแก้ไขก็คือ การพัฒนามนุษย์ให้มีปัญญา จนกระทั่งหมด อวิชชา  ตัณหา  อุปาทาน  เพราะฉะนั้น จึงต้องทำให้เกิด วิชชา เพื่อให้สามารถดำรงชีวิตโดยอาศัย ตัณหา น้อยลงตามลำดับ  จนกระทั่ง อวิชชา หมดไป  เมื่อหมด อวิชชา แล้ว ก็คือนิโรธ  ไม่มีทุกข์เกิดขึ้นอีก

      จากกฏธรรมชาติโยงมาถึง อริยสัจ  เข้าใจว่าชัดพอสมควร  ถ้าไม่ชัดกรุณาถามด้วย

      ย้อนอีกทีหนึ่งว่า กฏธรรมชาติมีอยู่เป็นธรรมดาของสิ่งทั้งหลาย ที่เกิดดับ  เปลี่ยนแปลงไป  คงสภาพเดิมไม่ได้  เป็นปรากฏการณ์ที่ปรากฏภาพออกมาตามเหตุปัจจัยของมัน  เป็นไปตามธรรมดาอย่างนี้

      เมื่อมนุษย์อยู่ในโลกก็ต้องไปสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านั้น  ถ้าเราสัมพันธ์ไม่ถูก  คือใช้ อวิชชา  ตัณหา  อุปาทาน  ก็เกิดปัญหาทันที  คือเกิดเป็นทุกข์ขึ้นมา

      เพราะฉะนั้น  พระพุทธเจ้าจึงสอนให้เรามีความสัมพันธ์ที่ถูกต้องให้ใช้ปัญญาที่จะปฏิบัติต่อสิ่งเหล่านั้นด้วยความรู้เข้าใจ  จนกระทั่งไม่ต้องอาศัย อวิชชา  ตัณหา  อุปาทาน  เมื่อเราพัฒนาปัญญาจนถึงที่สุด  เราก็จะพ้นจาก อวิชชา  ตัณหา  อุปาทาน  เราก็เป็นอิสสระก็คือถึง นิโรธ
      แต่ในการที่จะมีปัญญาจนหมด อวิชชา  ตัณหา  อุปาทาน นั้น มนุษย์ก็ต้องพัฒนาตัวเอง  ซึ่งก็คือ มรรค นั่นเอง

      มรรค  ก็คือกระบวนวิธีพัฒนามนุษย์ไปสู่การมีปัญญาจนกระทั่งไม่ต้องอาศัยอวิชชา  ตัณหา  อุปาทาน ในการดำเนินชีวิต  แต่เป็นอยู่ด้วยปัญญา

                  พอถึงตรงนี้  ก็จบเรื่องของ อริยสัจ

                  เพราะนั้น จึงพูดได้ว่า  พระพุทธศาสนาสอนเรื่องธรรมชาติกับการที่มนุษย์ไปสัมพันธ์กับธรรมชาติเท่านั้นเอง  พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ

                                   ๑. ความจริงของธรรมชาติหรือกฏธรรมชาติ

                                   ๒. การรู้เข้าใจความจริงนั้น  แล้วนำมาใช้ประโยชน์  แต่เป็นประโยชน์ของตัวชีวิตเอง  ที่จะให้ชีวิตของเราหมดปัญหาอย่างแท้จริง

                             พูดอีกอย่างหนึ่งว่า พุทธศาสนา มีเท่านี้ คือ

                                   ๑. ความจริงของธรรมชาติ หรือกฏธรรมชาติ  ซึ่งเราต้องเรียนรู้และใช้ประโยชน์โดยปฏิบัติให้ถูกต้อง

                                   ๒. มนุษย์ เป็นผู้เรียนรู้เข้าใจความจริงนี้  และใช้ประโยชน์จากความรู้นั้น  เราจึงต้องศึกษาธรรมชาติของมนุษย์ด้วย
 
      บันทึกการเข้า
jeam
สมาชิกวิสามัญ
Full Member
**


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 574

« ตอบ #5232 เมื่อ: 31 มกราคม 2555, 19:46:26 »

ผมเข้ามาฟัง (อ่าน) เรื่องที่พี่สิงห์พูด (เขียน) ทุกวัน...
พี่ไม่ได้พูด อยู่คนเดียวครับ....


      บันทึกการเข้า

I think, therefore I am.
suriya2513
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,457

« ตอบ #5233 เมื่อ: 31 มกราคม 2555, 20:42:15 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 31 มกราคม 2555, 13:22:23

                        ผมนั่งเขียน "แก่นพระพุทธศาสนา" ไปก็เปิดเทปหลวงพ่อชา  ให้แม่ฟังไปด้วย และได้ทบทวนตัวเองไปด้วย

                        ตอนที่ผมขับรถอยู่นั้น ก็ได้เปิดวิทยุ FM 98 Mhz. ฟัง ท่าน ว.วชิรเมธี บรรยายธรรมเรื่อง สติปัฏฐาน ๔ และอานิสงฆ์ของการเจริญสติปัฏฐาน ๔  ก็ทำให้สามารถทบทวนตัวเองอีกเหมือนกันครับ  แต่ท่านบรรยายในเชิงทฤษฎี  ก็ดีเหมือนกัน ได้เอามาเทียบกับตัวเอง ครับ

                 

ทำพร้อมกันทีเดียวตั้ง 2 เรื่อง 3 เรื่อง แล้วจะมาคุยว่าอยู่กับปัจจุบันขณะ
      บันทึกการเข้า

[โบราณคดี]จุดกำเนิดเริ่มต้นของ cmadong.com by : มานพ กลับดี  คลิ๊ก->
pusadee sitthiphong
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: พาณิชยศาสตร์และการบัญชี
กระทู้: 4,689

« ตอบ #5234 เมื่อ: 31 มกราคม 2555, 22:03:20 »

พี่สิงห์เปิดฟังข้อความเสียงด้วยนะคะ ติ๋มโทรฯหาค่ะ
      บันทึกการเข้า

pom shi 2516
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5235 เมื่อ: 01 กุมภาพันธ์ 2555, 07:35:30 »

สวัสดียามเช้าครับ ชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน

                        เช้านี้อากาศที่สิงห์บุรี แสงแดดจ้า แสดงว่าวันนี้ร้อนแน่นอน คงเข้าสู่ฤดูร้อนแล้วครับ

                        เวลาปฏิบัติธรรม ผมมีความรู้สึกว่า เดี๋ยวนี้จิตมันชักไหวตัวมากขึ้น แสดงให้เห็นว่า จิตมันมาอาศัยรูปอยู่จริงๆ จิตมันคงไม่ชอบที่เราตามมันทัน  มันเลยพยายามแสดงความรับรู้ออกมาทางกายให้เราสังเกตได้

                        ลืมบอกไป เมื่อวานผมคุยกับแม่ถามท่านว่า แม่งวดนี้หวยออกเลขอะไร  แม่บอกว่า เลข ๕ แล้วอีกตัวหนึ่งล่ะ แม่บอกว่า เลข ๙  ทุกท่านก็เลือกเอาตามชอบใจสำหรับพวกที่รักสนุก ในการแทงหวย มันก็เป็นความสุขอย่างหนึ่ง คือสร้างความหวังให้กับตัวเองว่าจะรวย  ซึ่งตรงกันข้ามกับหลักของพระพุทธศาสนา ที่ไม่ให้เชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธิ์  ไม่ให้รอคอยความหวัง  แต่ให้กระทำด้วยตัวเอง ด้วยปัญญา  ด้วยความเพียร  ตามหลัก "อิทธิบาท ๔" จึงจะประสบความสำเร็จ

                         เช้านี้ผมได้นำ หลักการ "อิทัปปัจจยตา" คือ ธรรมทั้งหลายเกิดขึ้นจากเหตุ ปัจจัยทั้งสิ้น ถ้าเหตุดับ ปัจจัยจะไม่มี ทุกสิ่งไม่สามารถเกิดขึ้นเองได้ ต้องมีเหตุปัจจัย และ "ปฏิจจสมุปบาท" คือวงจรการเกิดทุกข์ มาให้เจริญสติปัญญา อยู่เนือง ๆ

                         และผมก็ใจดี ของนำ "แก่นพระพุทธศาสนา" ของพระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.  ปยุตฺโต) มาให้เจริญปัญญา กันครับเช้านี้

                         และอย่าลืมเช้านี้ "งดชั่ว  ทำดี  ทำจิตให้บริสุทธิ์ผ่องใส" เพื่อชีวิตที่ดีกว่าเมื่อวานที่ผ่านมา ครับ

                         สวัสดี




อิทัปปัจจยตาปฏิจจสมุปบาท  หรือ วงจรทุกข์


-๒-

แก่นแท้ของพระพุทธศาสนา

โดย

พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.  ปยุตฺโต)

ตอน ๔

ธรรมชาติของมนุษย์นั้นพิเศษในแง่ดี

คือ  มนุษย์เป็นสัตว์ที่ศึกษาให้มีปัญญาได้

      ตอนนี้พูดกันมาถึงมนุษย์  ว่าเมื่อมนุษย์จะต้องปฏิบัติต่อกฏธรรมชาติ  เราก็ต้องรู้จักธรรมชาติของมนุษย์ด้วยว่าเป็นอย่างไร  เช่นให้รู้ว่าธรรมชาติของมนุษย์นี้สามารถมีปัญญาที่จะหมด อวิชชา  เป็นไปได้หรือไม่ที่มนุษย์จะอยู่ได้โดยไม่ต้องพึ่งพาอาศัย อวิชชา  ตัณหา  อุปาทาน  ถ้าเป็นไปไม่ได้  การแก้ปัญหาก็เป็นไปไม่ได้

      ถ้ามนุษย์ไม่สามารถพัฒนาให้มีปัญญา  เราก็ต้องอยู่กับ อวิชชา  ตัณหา  อุปาทาน  ตลอดไป  และต้องยอมรับว่า  จะต้องทุกข์ตลอดไปด้วย  ฉะนั้น  เราจึงมาศึกษาธรรมชาติของมนุษย์  คือนอกจากรู้ธรรมชาติของสิ่งของทั้งหลาย  ทั้งโลก  ทั้งระบบ  ก็มารู้ธรรมชาติของตัวมนุษย์เองด้วย

      คราวนี้ ก็มาพูดถึงธรรมชาติของมนุษย์  ซึ่งต้องพูดเป็น ๒ ระดับ

      ระดับที่ ๑  มนุษย์ก็เป็นธรรมชาติส่วนหนึ่งของระบบธรรมชาติทั้งหมด  ย้ำว่าเป็นธรรมชาติเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น  เพราะฉะนั้น ชีวิตของมนุษย์ จึงต้องเป็นไปตามกฏธรรมชาติ เช่นเดียวกับธรรมชาติอย่างอื่น ๆ
      
       ถ้าเราแยกเป็นโลกและชีวิต  ชีวิตของเราก็เป็นไปตามกฏธรรมชาติใหญ่  อันเดียวกันกับกฏธรรมชาติที่ครอบงำโลกทั้งโลกอยู่ คือเป็น อนิจจัง  ทุกขัง  อนัตตา  ต้องเปลี่ยนแปลงไป  คงอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้  และปรากฏรูปขึ้นมาตามกระบวนการของเหตุปัจจัยที่สัมพันธ์กันนั้น  นี่คือธรรมชาติของมนุษย์ด้านหนึ่งที่เป็นชีวิต  เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ

      ระดับที่ ๒  ธรรมชาติพิเศษที่เป็นส่วนเฉพาะของมนุษย์  ตรงนี้แหละเป็นจุดสำคัญที่จะก้าวไปสู่ขั้นที่จะตอบได้ว่า จะสามารถแก้ปัญหาข้างต้นได้หรือไม่  คือ มนุษย์สามารถมีปัญญาที่จะสามารถแก้ปัญหาข้างต้นได้หรือไม่  คือ มนุษย์สามารถมีปัญญาที่จะมีชีวิตโดยไม่ต้องพึ่งพา อวิชชา  ตัณหา  อุปาทาน  ได้หรือไม่

      ธรรมชาติของมนุษย์ตรงนี้ถือเป็นฐานของพระพุทธศาสนาเลยทีเดียว

      ธรรมชาติส่วนพิเศษของมนุษย์ คือเป็นสัตว์ที่ฝึกได้  ตรงนี้สำคัญมาก  ถ้าพูดอย่างภาษาสมัยใหม่ก็ใช้คำว่า “เป็นสัตว์ที่พัฒนาได้” ไม่ใช่จมอยู่กับที่  แต่เปลี่ยนแปลงได้ในเชิงคุณภาพ  หรือเรียกว่า เป็นสัตว์พิเศษก็ได้

      พิเศษคือแปลกจากสัตว์ชนิดอื่น  คือสัตว์ชนิดอื่นไม่เหมือนมนุษย์  สัตว์มนุษย์นี้แปลกจากสัตว์อื่น  แปลกหรือพิเศษอย่างไร  พิเศษในแง่ที่ว่าสัตว์อื่นฝึกไม่ได้ หรือฝึกแทบไม่ได้  แต่มนุษย์นี้ฝึกได้

      คำว่า “ฝึก” นี้พูดอย่างสมัยใหม่ ได้แก่คำว่า เรียนรู้และพัฒนา  พูดตามคำหลักแท้ ๆ คือ ศึกษา หรือ สิกขา  พูดรวม ๆ กันไปว่า  เรียนรู้ฝึกหัดพัฒนา  หรือเรียนรู้ฝึกศึกษาพัฒนา

      พูดสั้น ๆ ว่ามนุษย์เป็นสัตว์ที่ฝึกได้  และต้องฝึก

      สัตว์อื่นแทบไม่ต้องฝึก  เพราะมันอยู่ได้ด้วยสัญชาตญาณ  พอเกิดมาปั๊บ  เรียนรู้จากพ่อแม่นิดหน่อย  เดี๋ยวเดียวมันก็อยู่รอดได้  อย่างลูกวัวคลอดออกมา ๒-๓ นาทีลุกขึ้นเดินได้  ไปกับแม่แล้ว  ห่านออกจากไข่เช้าวันนั้น  พอสายหน่อยวิ่งตามแม่มันลงไปในสระเลย วิ่งได้  ว่ายน้ำได้  หากินตามพ่อตามแม่มันเลย  แต่มันอยู่ได้ด้วยสัญชาตญาณ  เรียนรู้ได้นิดเดียว  แค่พอกินอาหาร  เป็นต้น  แต่ต่อจากนั้นมันฝึกไม่ได้  เรียนรู้ไม่ได้  เพราะฉะนั้นมันจึงอยู่ด้วยสัญชาตญาณตลอดชีวิต  เกิดมาอย่างไรก็ตายไปอย่างนั้น

      แต่มนุษย์นี้ต้องฝึก  ต้องเรียนรู้  ถ้าไม่ฝึก  ไม่เรียนรู้  ก็อยู่ไม่ได้  ไม่ต้องพูดถึงจะอยู่ดี  แม้แต่รอดก็อยู่ไม่ได้  มนุษย์จึงต้องอยู่กับพ่อแม่  อยู่กับพี่เลี้ยงเป็นเวลานับสิบปี  พอออกมาดูโลกยังทำอะไรไม่ได้เลย  ต้องเรียนรู้ทุกอย่าง  กินก็ต้องเรียนรู้  ต้องฝึกต้องหัด นั่ง นอน ขับถ่าย เดิน พูด  ต้องฝึกต้องเรียนรู้ทั้งหมด  นี่คือธรรมชาติของมนุษย์  เป็นสัตว์ที่ต้องหัด ต้องฝึกไปทุกอย่าง  มองในแง่นี้เหมือนเป็นสัตว์ที่ด้อย

      แต่มองในแง่บวก  คือเรียนรู้ได้  ฝึกได้  ตอนนี้เป็นแง่เด่น  คือพอฝึก  เริ่มเรียนรู้  คราวนี้มนุษย์ก็เดินหน้า  มีปัญญาเพิ่มพูนขึ้น  พูดได้  สื่อสารได้  มีความคิดสร้างสรรค์  ประดิษฐ์อะไร ๆ ได้  สามารถพัฒนาโลกของวัตถุ  เกิดเทคโนโลยีต่าง ๆ  มีความเจริญทั้งในทางนามธรรมและทางวัตถุธรรม  มีศีลปวิทยาการ  เกิดเป็นวัฒนธรรม อารยธรรมจนกระทั่งเกิดเป็นโลกของมนุษย์ซ้อนขึ้นมาท่ามกลางโลกของธรรมชาติ

      สัตว์อื่นทั้งหลายมีหรือไม่ ที่สามารถสร้างโลกของมัน ต่างหากจากโลกของธรรมชาติ...ไม่มี  มันเกิดมาด้วยสัญชาตญาณอย่างไร ก็ตายไปด้วยสัญชาตญาณอย่างนั้น  หมุนเวียนกันต่อไป  แต่มนุษย์เป็นสัตว์พิเศษ  คือต้องฝึก  ต้องเรียนรู้  และเรียนรู้ได้  ฝึกได้

      พระพุทธศาสนาจับความจริงของธรรมชาติ ข้อนี้เป็นหลักสำคัญที่สุด  จึงให้กำลังใจกับมนุษย์ว่า  มนุษย์ที่ฝึกแล้วนั้น เลิศประเสริฐ จนกระทั่งแม้แต่เทวดาและพรหมก็น้อมนมัสการ  ดังคาถาว่า

      “มนุสฺสภูตํ  สมฺพุทฺธํ  อตฺตทนฺตํ  สมาหิตํ

      เทวาปิ  นํ  นมสฺสนฺติ ..............................”

      แปลว่า  “พระพุทธเจ้า  ทั้งที่เป็นมนุษย์นี่แหละ  แต่ทรงฝึกพระองค์แล้ว  มีพระหฤทัยที่อบรมมาอย่างดี  แม้เทพทั้งหลายก็น้อมนมัสการ”

      คาถานี้เป็นการเตือนมนุษย์และให้กำลังใจว่า  ความดีเลิศประเสริฐของมนุษย์นั้นอยู่ที่การเรียนรู้ ฝึกศึกษาพัฒนาตนขึ้นไป  มนุษย์จะเอาดีไม่ได้ ถ้าไม่มีการเรียนรู้ฝึกฝนพัฒนาตน  เพราะฉะนั้น เราจึงพูดเต็มว่า

      “มนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐด้วยการฝึก”

      เราจะไม่พูดทิ้งช่องว่าง ว่า มนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐ  ซึ่งเป็นการพูดที่ขาดตกบกพร่อง

      เราพูดได้แค่ว่ามนุษย์เป็นสัตว์พิเศษ  หมายความว่า เป็นสัตว์ที่แปลกกว่าสัตว์อื่น  “พิเศษ”  แปลว่า แปลกพวก  ไม่ได้หมายความว่า ดีหรือร้าย  แต่ “ประเสริฐ” นี่คือดี  ซึ่งมีหลักความจริงว่า มนุษย์ไม่ได้ประเสริฐเองลอย ๆ  ต้องประเสริฐด้วยการฝึก  ถ้าไม่ฝึกแล้วจะด้อยกว่าสัตว์เดรัจฉาน  จะต่ำทรามยิ่งกว่า  หรือไม่ก็ทำอะไรไม่เป็นเลย  แม้จะอยู่รอดก็ไม่ได้

      ฉะนั้น ความประเสริฐเลิศของมนุษย์ จึงอยู่ที่การฝึกฝนพัฒนาตน  และอันนี้เป็นความเลิศประเสริฐที่สัตว์ทั้งหลายอื่นไม่มี  สัตว์อื่นอย่างดีก็ฝึกได้บ้างเล็กน้อย  เช่น  ช้าง  ม้า  เป็นต้น  และมันฝึกตัวเองไม่ได้  ต้องให้มนุษย์ฝึก

                              ๑. ต้องให้มนุษย์ ฝึกให้

                              ๒. แม้มนุษย์จะฝึกให้  ก็ฝึกได้ในขอบเขตจำกัด  เรียนรู้ได้ไม่มาก

                              แต่มนุษย์ฝึกตัวเองได้  และฝึกได้แทบไม่มีที่สิ้นสุด

      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5236 เมื่อ: 01 กุมภาพันธ์ 2555, 07:46:40 »

อ้างถึง
ข้อความของ suriya2513 เมื่อ 31 มกราคม 2555, 20:42:15
อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 31 มกราคม 2555, 13:22:23

                        ผมนั่งเขียน "แก่นพระพุทธศาสนา" ไปก็เปิดเทปหลวงพ่อชา  ให้แม่ฟังไปด้วย และได้ทบทวนตัวเองไปด้วย

                        ตอนที่ผมขับรถอยู่นั้น ก็ได้เปิดวิทยุ FM 98 Mhz. ฟัง ท่าน ว.วชิรเมธี บรรยายธรรมเรื่อง สติปัฏฐาน ๔ และอานิสงฆ์ของการเจริญสติปัฏฐาน ๔  ก็ทำให้สามารถทบทวนตัวเองอีกเหมือนกันครับ  แต่ท่านบรรยายในเชิงทฤษฎี  ก็ดีเหมือนกัน ได้เอามาเทียบกับตัวเอง ครับ

                 

ทำพร้อมกันทีเดียวตั้ง 2 เรื่อง 3 เรื่อง แล้วจะมาคุยว่าอยู่กับปัจจุบันขณะ


             
               เวลาเราเจริญสติ  โอกาสที่จะมีอารมณ์เดียวตลอดเวลานั้น มันยากมาก มันย่อมคิด แต่ ตอนที่เรากลับมารู้ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่นั้น หลวงพ่อไพศาล ท่านว่า คือความรู้สึกตัวสด ๆ ที่สำคัญมากตามหลักสติปัฏฐาน ๔

                เช่นเดียวกัน เวลาขับรถ พยายามมีสติอยู่ที่การขับรถ ถ้ามีสติจริงๆ ความรู้สึกตัวมันจะไม่ง่วงนอน  แต่ที่เราง่วงนอนเพราะขาดสติ ตกอยู่ในความคิด เกิดภวังค์ปรุงแต่ง หลับใน

                การเปิดวิทยุ ฟังธรรม เพื่อเป็นเพื่อนเดินทาง จะทำให้จิตเราสามารถเกาะอยู่กับสติ ทั้งขับรถ และฟัง สลับกันไป  เป็นการเปลี่ยนอิริยาบถ อยู่ที่เรา จะเอาจิตไปพิจารณาสิ่งไหนเป็นหลักใหญ่ พื่อไม่ให้จิตปรุงแต่งเป็นภวังค์ แต่สำหรับผม  ฟังไปอย่างนั้นเองในสิ่งที่รับรู้ทางหู แต่ไม่ปรุงแต่งตามเพียงรับรู้ ปล่อยผ่านไป แต่สายตา มือ เท้า  ยังทำหน้าที่ในการขับรถ ยังสร้างความรู้สึกตัวอยู่ เตือนตัวเอง บางทีจะขยับมือสร้างความรู้สึกที่พวงมาลัย  เพื่อให้มีสติ เพราะถ้าสติมันตื่น  มันจะไม่ง่วงนอน หรือหลับใน  มันจะห่างไกลอุบัติเหตุ

                 สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5237 เมื่อ: 01 กุมภาพันธ์ 2555, 07:59:33 »

อ้างถึง
ข้อความของ jeam เมื่อ 31 มกราคม 2555, 19:46:26
ผมเข้ามาฟัง (อ่าน) เรื่องที่พี่สิงห์พูด (เขียน) ทุกวัน...
พี่ไม่ได้พูด อยู่คนเดียวครับ....




สวัสดีครับ คุณ Jeam

                    อย่าลืมนำหลักการ "อิทัปปัจจยตา" ทุกสิ่งเกิดขึ้นล้วนมีเหตุปัจจัยทั้งสิ้น  ถ้าเหตุดับปัจจัยไม่มี  นำไปใช้ในการแก้ปัญหาทุกชนิด ได้จริงๆ  

                    ถ้าอยากจะประสบความสำเร็จในการทำงานต้องยึดหลัก "อิทธิบาท ๔" และเมื่อไรจิตใจมันเกียจคร้านในการทำ อย่าลืมให้นึกถึง "อินทรีย์ ๕" และ "พละ๕"

                    และในการปกครองคนอย่าลืม "พรหมวิหาร ๔" เมตตา  กรุณา  มุทิตา  อุเบกขา  และทิศ ๖ ครับ

                    แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือ "งดชั่ว  ทำดี  ทำจิตให้บริสุทธิ์ผ่องใส" ครับ

                    สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5238 เมื่อ: 01 กุมภาพันธ์ 2555, 08:04:36 »

อ้างถึง
ข้อความของ pusadee sitthiphong เมื่อ 31 มกราคม 2555, 22:03:20
พี่สิงห์เปิดฟังข้อความเสียงด้วยนะคะ ติ๋มโทรฯหาค่ะ

สวัสดีค่ะ คุณน้องป้อม ที่รัก

                   โทรศัพท์พี่สิงห์  ไม่มี Miss call ครับ

                   ดีที่สุดครับ ส่งมาตาม email หรือ เขียนไว้บนกระทู้นี้ครับ

                   ถึงอย่างไรก็ขอบคุณ คุณน้องจันทร์ฉาย และเธอเป็นอย่างยิ่งค่ะ  พี่สิงห์ คงต้องเพิ่มชื่อ คุณน้องจันทร์ฉาย  อีกหนึ่งท่านที่จะส่งหนังสือสวดมนต์คำแปล ไปให้ ครับ

                    สวัสดี
      บันทึกการเข้า
อ้อย17
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,908

« ตอบ #5239 เมื่อ: 01 กุมภาพันธ์ 2555, 08:27:03 »


   อ้อยก็ตามอ่านที่พี่สิงห์โพสต์...ทุกวัน
      แต่..ไม่ได้ส่งเสียงค่ะ...พี่สิงห์ไม่ได้ถูกบอยคอตค่ะ
      ตามอ่านและให้กำลังใจกับพี่สิงห์และแม่พี่ด้วย
      หวังว่าแม่คงไม่ไปก่อนที่พี่จะกลับจากแสวงบุญ เอาใจช่วยอย่างสุดกำลังค่ะ...
     
      บันทึกการเข้า
สมชาย17
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,300

« ตอบ #5240 เมื่อ: 01 กุมภาพันธ์ 2555, 08:35:08 »

 
อ้างถึง   
อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 01 กุมภาพันธ์ 2555, 07:59:33
อ้างถึง
ข้อความของ jeam เมื่อ 31 มกราคม 2555, 19:46:26
ผมเข้ามาฟัง (อ่าน) เรื่องที่พี่สิงห์พูด (เขียน) ทุกวัน...
พี่ไม่ได้พูด อยู่คนเดียวครับ....




สวัสดีครับ คุณ Jeam

                    อย่าลืมนำหลักการ "อิทัปปัจจยตา" ทุกสิ่งเกิดขึ้นล้วนมีเหตุปัจจัยทั้งสิ้น  ถ้าเหตุดับปัจจัยไม่มี  นำไปใช้ในการแก้ปัญหาทุกชนิด ได้จริงๆ 

                    ถ้าอยากจะประสบความสำเร็จในการทำงานต้องยึดหลัก "อิทธิบาท ๔" และเมื่อไรจิตใจมันเกียจคร้านในการทำ อย่าลืมให้นึกถึง "อินทรีย์ ๕" และ "พละ๕"

                    และในการปกครองคนอย่าลืม "พรหมวิหาร ๔" เมตตา  กรุณา  มุทิตา  อุเบกขา  และทิศ ๖ ครับ

                    แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือ "งดชั่ว  ทำดี  ทำจิตให้บริสุทธิ์ผ่องใส" ครับ

                    สวัสดี


ชอบมากครับ พี่สิงห์
เป็นคำแนะนำที่มีประโยชน์ และนำไปใช้ในชีวิตการทำงานได้จริงๆครับ ปิ๊งๆ
      บันทึกการเข้า
สมชาย17
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,300

« ตอบ #5241 เมื่อ: 01 กุมภาพันธ์ 2555, 08:55:19 »

เนื่องจาก พี่สิงห์จะเดินทางไปอินเดีย ตามรอยพระพุทธเจ้า
ไม่ได้มาร่วมงานคืนสู่เหย้าซีมะโด่ง11 ก.พ  และงานคล้ายวันเกิดพี่สิงห์ 14 ก.พ
ผมขอร่าย กลอน จากใจ ให้กับพี่สิงห์ คนดี ซีมะโด่ง ครับ

      มานพ กลับดี     คนดี     ซีมะโด่ง
   ช่วยจรรโลง      ศิษย์หอพัก     สมัครสมาน
   สร้างชมรม      ให้แข็งแกร่ง     มายาวนาน
   เรา.ซีมะโด่ง     ชื่นบาน     สำราญใจ

      14 กุมภา     เวียนมา     บรรจบ
   วันครบรอบ     คล้ายวันเกิด     เวียนมาใหม่
   ขออำนาจ      คุณพระศรี      รัตนตรัย
   บันดาลให้     พี่สิงห์      สมปรารถนา

       สู่เส้นทาง     สายเอก     สายสว่าง
    เพียรปล่อยวาง     ทั้งกิเลส     ทั้งตัณหา
    ขอกุศล      จงบังเกิด     กับพี่ยา
    สู่มรรคา     ธรรมา     สุขาวดี


จาก สมชาย เสรีรัฐ  1 ก.พ 2555
      บันทึกการเข้า
pusadee sitthiphong
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: พาณิชยศาสตร์และการบัญชี
กระทู้: 4,689

« ตอบ #5242 เมื่อ: 01 กุมภาพันธ์ 2555, 11:51:58 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 01 กุมภาพันธ์ 2555, 08:04:36
อ้างถึง
ข้อความของ pusadee sitthiphong เมื่อ 31 มกราคม 2555, 22:03:20
พี่สิงห์เปิดฟังข้อความเสียงด้วยนะคะ ติ๋มโทรฯหาค่ะ

สวัสดีค่ะ คุณน้องป้อม ที่รัก

                   โทรศัพท์พี่สิงห์  ไม่มี Miss call ครับ

                   ดีที่สุดครับ ส่งมาตาม email หรือ เขียนไว้บนกระทู้นี้ครับ

                   ถึงอย่างไรก็ขอบคุณ คุณน้องจันทร์ฉาย และเธอเป็นอย่างยิ่งค่ะ  พี่สิงห์ คงต้องเพิ่มชื่อ คุณน้องจันทร์ฉาย  อีกหนึ่งท่านที่จะส่งหนังสือสวดมนต์คำแปล ไปให้ ครับ

                    สวัสดี



ติ๋มใช้เครื่องป้อมโทรฯค่ะ ติ๋มทราบจากป้อมและถาวรว่าคุณแม่พี่สิงห์ไม่สบายและพี่สิงห์จะไม่ได้มางานหอปีนี้ ก็เลยอยากเรียนพี่สิงห์ทราบว่าระลึกถึงอยู่เสมอ และขอให้คุณแม่มีสุขภาพดีขึ้นเรื่อยๆค่ะ
      บันทึกการเข้า

pom shi 2516
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5243 เมื่อ: 01 กุมภาพันธ์ 2555, 13:10:55 »

อ้างถึง
ข้อความของ pusadee sitthiphong เมื่อ 01 กุมภาพันธ์ 2555, 11:51:58
อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 01 กุมภาพันธ์ 2555, 08:04:36
อ้างถึง
ข้อความของ pusadee sitthiphong เมื่อ 31 มกราคม 2555, 22:03:20
พี่สิงห์เปิดฟังข้อความเสียงด้วยนะคะ ติ๋มโทรฯหาค่ะ

สวัสดีค่ะ คุณน้องป้อม ที่รัก

                   โทรศัพท์พี่สิงห์  ไม่มี Miss call ครับ

                   ดีที่สุดครับ ส่งมาตาม email หรือ เขียนไว้บนกระทู้นี้ครับ

                   ถึงอย่างไรก็ขอบคุณ คุณน้องจันทร์ฉาย และเธอเป็นอย่างยิ่งค่ะ  พี่สิงห์ คงต้องเพิ่มชื่อ คุณน้องจันทร์ฉาย  อีกหนึ่งท่านที่จะส่งหนังสือสวดมนต์คำแปล ไปให้ ครับ

                    สวัสดี



ติ๋มใช้เครื่องป้อมโทรฯค่ะ ติ๋มทราบจากป้อมและถาวรว่าคุณแม่พี่สิงห์ไม่สบายและพี่สิงห์จะไม่ได้มางานหอปีนี้ ก็เลยอยากเรียนพี่สิงห์ทราบว่าระลึกถึงอยู่เสมอ และขอให้คุณแม่มีสุขภาพดีขึ้นเรื่อยๆค่ะ
                   
                    รับทราบค่ะ แต่โทรศัพท์ เธอก็ไม่มี Miss call ครับ

                    แสดงว่าติ๋มอยู่ประเทศไทยใช่หรือไม่?

                    ถ้าอยู่ ทำอย่างไร? พี่สิงห์  จะฝากหนังสือของหลวงปู่ดูลย์  อตุโล  ตามที่เคยบอกไว้ ครับ

                    ขอบคุณมากที่ยังระลึกถึงกัน

                    สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5244 เมื่อ: 01 กุมภาพันธ์ 2555, 13:18:07 »

อ้างถึง
ข้อความของ อ้อย17 เมื่อ 01 กุมภาพันธ์ 2555, 08:27:03

   อ้อยก็ตามอ่านที่พี่สิงห์โพสต์...ทุกวัน
      แต่..ไม่ได้ส่งเสียงค่ะ...พี่สิงห์ไม่ได้ถูกบอยคอตค่ะ
      ตามอ่านและให้กำลังใจกับพี่สิงห์และแม่พี่ด้วย
      หวังว่าแม่คงไม่ไปก่อนที่พี่จะกลับจากแสวงบุญ เอาใจช่วยอย่างสุดกำลังค่ะ...
     

สวัสดีค่ะ คุณน้องอ้อย17 ที่รัก

                    ตอนนี้แม่ปกติ เหมือนคนที่ไม่ป่วยเลย  ผิวพรรณดี  ถ้าไม่มีแผล สามารถพากลับบ้านได้เลย  แต่ปรึกษากับน้องสาวแล้ว  ต้องให้แผลหายแล้วพิจารณาอีกที เพราะอยู่โรงพยาบาลมีตัวช่วยแยะ คือ คุณหมอวิทิต  มาดูได้ทุกวันตามหน้าที่  มีพยาบาล มาช่วยตลอดตามหน้าที่ น้องสาวสามารถขึ้นมาดูได้ตลอดเพราะใกล้ที่ทำงาน  อาหารสดทุกมื้อไม่ต้องเอาไปใาสตู้เย็น ห้องวิวดีมาก และคนดูแลมีเพื่อนคุย  เสียอย่างเดียว คือคนดูแลไม่สะดวก และต้องจัดคนส่งลูกสาวไปเรียนหนังสือเท่านั้น

                    แต่น้องสาว-ผม อยากให้อยู่ที่นี่ตลอดไปเพราะเรามีสิทธิ์ และค่าใช้จ่ายในส่วนที่จะต้องจ่ายเพิ่มไม่มาก และตึดสำหรับคนไข้แบบแม่  ยังไม่เต็ม  คงจะให้อยู่อย่างนี้ตลอดไปเพราะแม่จะสบายในหลายเรื่อง และไม่สร้างทุกข์ให้กับผู้อื่น ครับ

                    ขอบคุณมาก

                    สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5245 เมื่อ: 01 กุมภาพันธ์ 2555, 13:22:56 »

อ้างถึง
ข้อความของ สมชาย17 เมื่อ 01 กุมภาพันธ์ 2555, 08:55:19
เนื่องจาก พี่สิงห์จะเดินทางไปอินเดีย ตามรอยพระพุทธเจ้า
ไม่ได้มาร่วมงานคืนสู่เหย้าซีมะโด่ง11 ก.พ  และงานคล้ายวันเกิดพี่สิงห์ 14 ก.พ
ผมขอร่าย กลอน จากใจ ให้กับพี่สิงห์ คนดี ซีมะโด่ง ครับ

      มานพ กลับดี     คนดี     ซีมะโด่ง
   ช่วยจรรโลง      ศิษย์หอพัก     สมัครสมาน
   สร้างชมรม      ให้แข็งแกร่ง     มายาวนาน
   เรา.ซีมะโด่ง     ชื่นบาน     สำราญใจ

      14 กุมภา     เวียนมา     บรรจบ
   วันครบรอบ     คล้ายวันเกิด     เวียนมาใหม่
   ขออำนาจ      คุณพระศรี      รัตนตรัย
   บันดาลให้     พี่สิงห์      สมปรารถนา

       สู่เส้นทาง     สายเอก     สายสว่าง
    เพียรปล่อยวาง     ทั้งกิเลส     ทั้งตัณหา
    ขอกุศล      จงบังเกิด     กับพี่ยา
    สู่มรรคา     ธรรมา     สุขาวดี


จาก สมชาย เสรีรัฐ  1 ก.พ 2555

 
สวัสดีครับ คุณสมชาย17

                     พี่สิงห์  ต้องขอขอบคุณมากสำหรับกลอนอวยพรวันเกิด ครับ

                     ไปอินเดียเที่ยวนี้  ตั้งใจไปปฏิบัติธรรม ให้มากไว้ เพราะประวัติพุทธสถาน ๔ แห่ง ทราบดีอยู่แล้ว  ขอเอาเวลาที่มีไปปฏิบัติธรรม ตามสถานที่พระพุทธองค์ และเหล่าพระอรหันต์ทั้งหลาย เคยอยู่ ณ สถานที่ต่าง ๆ เหล่านั้น ครับ

                      สวัสดีครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5246 เมื่อ: 01 กุมภาพันธ์ 2555, 13:31:10 »






                        นี่คือ รูปแม่ถ่ายเมื่อเช้านี้ครับ หน้าเป็นปกติดี  คุยได้ดังเดิม  รู้เรื่อง  หมอวิทิต  ถามเจ็บตรงไหน  แม่สามารถตอบได้ ตรงกับใจแม่  ทำให้น้องสาวดีใจขึ้นมาก  และตัดสินใจไม่ผิดที่นำแม่มาโรงพยาบาล  ไม่ได้เป็นการยื้อ แต่ทำให้ท่านได้สบายขึ้น

                        จิตแม่แข็งมาก ไม่ยอมที่จะจากรูป(ร่างกาย)นี้ไป  ทั้งๆ ที่สภาพร่างกาย ไม่เอื้ออำนวยเท่าไรแล้ว

                        สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5247 เมื่อ: 01 กุมภาพันธ์ 2555, 13:36:07 »

สวัสดีครับ  ชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน

                       เห็ยแผ่นป้ายในห้องน้ำ แสดงหลักการง่าย ๆ เกี่ยวกับ "โรคต่อมลุกหมากโต" ที่สุภาพบุรุษทุกท่าน จะต้องเป็น  ชอบใจเลยขอเอามานำเสมอให้ทุกท่านได้รู้เอาไว้ครับ

                       สวัสดี



ต่อมลูกหมากโต Benigh prostatic hypertrophy

ต่อมลูกหมากโตคืออะไร



                       เมื่อผู้ชายเริ่มย่างเข้าอายุ 40 ปีต่อมลูกหมากจะโตเมื่ออายุมากขึ้นก็จะพบผู้ป่วยที่ต่อมลูกหมากโต จะเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ80จะมีต่อมลูกหมากโต ต่อมลูกหมาก จะเริ่มโตจากด้านในดังนั้นก็จะกดท่อปัสสาวะทำให้ปัสสาวะลำบาก เมื่อปัสสาวะลำบาก ทำให้ปัสสาวะออกไม่หมดเหลือปัสสาวะบางส่วนในกระเพาะปัสสาวะ เกิดการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะได้ นอกจากนี้การที่ทางเดินปัสสาวะถูกกดอาจจะทำให้กระเพาะปัสสาวะบีบตัวไม่ดีและอาจจะเกิดไตวายได้หากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง

ต่อมลูกหมากโตเป็นโรคเดียวกับมะเร็งต่อมลูกหมากหรือไม่

                       ต่อมลูกหมากโตเป็นเพียงมีเซลล์เพิ่มขึ้นไม่ใช่มะเร็งต่อมลูกหมาก ผู้ป่วยส่วนมากแม้จะมีต่อมลูกหมากโตแต่ก็ไม่มีอาการ

ผู้ป่วยต่อมลูกหมากโตจะมีอาการอะไรบ้าง

                       อาการของต่อมลูกหมากโตเกิดจากต่อมลูกหมากโตกดท่อปัสสาวะทำให้ท่อปัสสาวะแคบ ระยะแรกของโรคกระเพาะปัสสาวะยังแข็งแรงสามารถบีบตัวไล่ปัสสาวะออกได้ แต่เมื่อเวลาผ่านไปกระเพาะปัสสาวะอ่อนแรงไม่สามารถบีบตัวไล่ปัสสาวะ ทำให้เกิดอาการปัสสาวะสะดุด ผู้ป่วยบางคนอาจจะไม่มีอาการจนได้รับประทานยาแก้หวัด ผลข้างเคียงของยาแก้หวัดทำให้เกิดอาการปัสสาวะไม่ออก อาการที่พบได้บ่อยคือ

                       •   ปัสสาวะไม่สุดเหมือนคนที่ยังไม่ได้ปัสสาวะ

                       •   ปัสสาวะบ่อย

                       •   ปัสสาวะสะดุดขณะปัสสาวะ

                       •   อั้นปัสสาวะไม่อยู่

                       •   ปัสสาวะไม่พุ่ง

                       •   ปัสสาวะต้องเบ่งเมื่อเริ่มปัสสาวะ

                       •   ต้องตื่นกลางคืนเนื่องจากปวดปัสสาวะ

                       ถ้าหากผู้ป่วยยังไม่รักษาก็อาจจะเกิดโรคแทรกซ้อนตามมาได้แก่ กระเพาะปัสสาวะบีบตัวไม่ดีเกิดการคั่งของปัสสาวะและเกิดการติดเชื้อได้ง่าย ไตเสื่อม กลั้นปัสสาวะไม่ได้ ปัสสาวะเล็ด นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ


การวินิจฉัยโรคต่อมลูกหมากโต

                        •   เมื่อผู้ป่วยที่สงสัยว่าต่อมลูกหมากโตไปพบแพทย์  แพทย์จะถามประวัติเพื่อประเมินความรุนแรงของต่อมลูกหมาก

                        •   ซักประวัติเกี่ยวกับโรคทั่วไป

                        •   ตรวจร่างกายทั่วไป

                        •   ตรวจต่อมลูกหมากโดยการตรวจทางทวารหนัก

                        •   ตรวจปัสสาวะเพื่อหาว่ามีเลือดหรือการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ

                        •   ตรวจเลือดเพื่อประเมินการทำงานของไตและตรวจ Prostate-specific antigen (PSA) ซึ่งเป็นโปรตีนที่ผลิตจากต่อมลูกหมากค่านี้จะสูงในผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก

                        •   การตรวจส่องกล้อง cystoscope เพื่อดูต่อมลูกหมาก กระเพาะปัสสาวะเป็นการตรวจที่ได้ข้อมูลมาก

                        •   การตรวจ x-ray เรียก urogram หรือ IVP [ intravenous pyelography] โดยการฉีดสีเข้าหลอดเลือดดำและเมื่อสีขับเข้ากระเพาะปัสสาวะแพทย์จะสามารถเห็นตำแหน่งและความรุนแรงของการอุดกลั้นปัสสาวะ

                        •   การตรวจ ultrasound สามารถเห็นต่อมลูกหมาก ไต และกระเพาะปัสสาวะโดยทำผ่านทางทวารหนัก

                        •   การตรวจ Uroflowmetry เพื่อดูว่าทางเดินปัสสาวะถูกอุดมากน้อยแค่ไหน

เมื่อไรจะรักษาต่อมลูกหมากโต

                      ต่อมลูกหมากโตหากไม่มีอาการไม่จำเป็นต้องรักษาจะรักษาเมื่อมีอาการมากหรือไตเริ่มทำงานไม่ดี

การรักษาต่อมลูกหมากโตมีได้กี่วิธี

                      1.   Watchful waiting ถ้าต่อมลูกหมากที่โตไม่เกิดอาการท่านและแพทย์ที่ดูแลท่านอาจจะตกลงว่ายังไม่จำเป็นต้องให้ยา หรือการรักษาอย่างอื่นแต่ท่านต้องตรวจตามที่แพทย์นัดอย่างสม่ำเสมอ เพื่อที่จะประเมินว่าต่อมลูกหมากที่โตเกิดปัญหาต่อสุขภาพหรือยัง ผู้ป่วยที่ต่อมลูกหมากโตไม่มากประมาณ1/3อาการจะดีขึ้นเองแพทย์จะแนะนำมิให้รับประทานยาลดน้ำมูกเพราะจะทำให้อาการแย่ลง ผู้ป่วยที่ใช้วิธีเฝ้าคอย บางท่านอาการดีขึ้น บางท่านอาการคงที่บางท่านอาการแย่ลง

                       2.   Alfa blocker drug treatment เป็นยาที่ทำให้กล้ามเนื้อในต่อมลูกหมากคลายตัว ยานี้ไม่ได้โรคแทรกซ้อนหรือทำให้ต่อมลูกหมากลดลงยาที่มีอยู่คือ doxazosin , prazosin

                                    •   terazosin ยาจะขยายกล้ามเนื้อของหลอดเลือดและของต่อมลูกหมากทำให้ความดันโลหิตลดลงและทำให้ปัสสาวะคล่องขึ้น

                                    •   Finasteride ยาตัวนี้ออกฤทธิ์ต่อฮอร์โมนเพศชาย testosterone รับประทานวันละครั้ง ยาตัวนี้จะทำให้ขนาดของต่อมลูกหมากเล็กลงอาการผู้ป่วยจะดีหลังจากรับประทานไป 6 เดือนผลข้างเคียงของยาคือลดความต้องการทางเพศ

                       3.   การรักษาต่อมลูกหมากโตโดยไม่ใช้วิธีผ่าตัดได้แก่

                                    •   Transurethral Microwave Procedures โดยการใช้ความร้อนจาก Microwave ทำลายเนื้อต่อมลูกหมากผ่านทางท่อปัสสาวะเรียกการรักษานี้ว่า transurethral microwave thermotherapy (TUMT) การรักษานี้จะทำให้ปัสสาวะไหลดีขึ้นการรักษาวิธีนี้ไม่ทำให้เกิดปัสสาวะเล็ดหรือความรู้สึกทางเพศลดลง

                                    •   Transurethral Needle Ablation (TUNA) โดยใช้พลังงานความร้อนจากคลื่นความถี่วิทยุทำลายต่อมลูกหมากการรักษาวิธีนี้ไม่ทำให้เกิดปัสสาวะเล็ดหรือความรู้สึกทางเพศลดลง

                       5.   Ballon dilatation โดยการสวนสายเข้าในท่อปัสสาวะและปลายสายมี ballon เพื่อขยายท่อปัสสาวะส่วนที่ต่อมลูกหมากอยู่ผลคือปัสสาวะจะไหลออกดีขึ้น ข้อเสียอาจจะมีเลือดออกและเกิดการติดเชื้อ

                       6.   การผ่าตัดเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการรักษาต่อมลูกหมากโตแต่ก็มีโรคแทรกซ้อนร่วมด้วย

ข้อบ่งชี้ในการผ่าตัดต่อมลูกหมากโต

                                     •   ปัสสาวะไม่ออก

                                     •   ปัสสาวะล้นไปที่ไตทำให้ไตเสื่อม

                                     •   มีการติดเชื้อปัสสาวะบ่อย

                                     •   มีเลือดออกทางเดินปัสสาวะ

                                     •   มีนิ่วทางเดินปัสสาวะ

วิธีการผ่าตัดมีกี่วิธี

                      1.   Transurethral resection of the prostate (TURP) โดยการใส่เครื่องมือเข้าทางท่อปัสสาวะและใช้เครื่องมือตัดชิ้นเนื้อต่อมลูกหมาก หลังจากผ่าตัดผู้ป่วยยังคงต้องคาสายสวนปัสสาวะอีก 2-3 วัน

                      2.   Transurethral incision of the prostate (TUIP) ใช้ในกรณีที่ต่อมลูกหมากไม่โตมากโดยใช้เครื่องมือใส่เข้าท่อปัสสาวะแล้วกรีดต่อมลูกหมาก 2-3 รอยไม่มีการตัดชิ้นเนื้อต่อมลูกหมากซึ่งจะลดความดันในต่อมลูกหมากทำให้ปัสสาวะออกง่ายขึ้น

                      3.   Open prostatectomy ใช้กรณีที่ต่อมลูกหมากโตมากโดยผ่าตัดผ่านทางหน้าท้องแล้วเอาต่อมลูกหมากออก

                      4.   Laser Surgery โดยการใส่เครื่องมือเข้าทางท่อปัสสาวะและปล่อยรังสีที่ต่อมลูกหมากความร้อนจากรังสีจะทำลายเนื้อต่อมลูกหมาก

หลังการผ่าตัดจะต้องปฏิบัติตัวอย่างไร
 
                     หลังการผ่าตัดจะต้องนอนโรงพยาบาล 3-10 วันโดยมีการคาสายสวนปัสสาวะไว้เพื่อล้างกระเพาะปัสสาวะ เนื่องจากหลังการผ่าตัดจะมีเลือดออกได้หลายวัน หลังการผ่าตัดแผลยังอาจจะหายไม่ดีจึงมีข้อควรปฏิบัติดังนี้

                     •   ดื่มน้ำมากกว่าวันละ 8 แก้ว

                     •   เวลาถ่ายอุจาระอย่าเบ่งมาก

                     •   รับประทานผักและผลไม้ให้มากเพื่อป้องกันท้องผูก

                     •   อย่ายกของหนัก

                     •   หลีกเลี่ยงการทำงานเกี่ยวกับเครื่องจักร

โรคแทรกซ้อนหลังผ่าตัด

                     1. หลังจากเอาสายสวนท่อปัสสาวะออกจะรู้สึกปัสสาวะแรงขึ้นและอาจจะมีอาการปวดขัดในช่วงแรก

                     2. กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ซึ่งเป็นช่วงแรกของการผ่าตัด

                     3. อาจจะมีเลือดออกได้ หากปัสสาวะมีเลือดออกไม่หยุดให้ปรึกษาแพทย์

                     4. โรคแทรกซ้อนเกี่ยวกับความรู้สึกทางเพศ

                                    • การแข็งตัวของอวัยวะเพศ ถ้าหากก่อนผ่าตัดอวัยวะเพศสามารถแข็งตัวได้หลังผ่าตัดก็แข็งตัวได้เนื่องจากการผ่าตัดไม่ทำให้ความรู้สึกทางเพศลดลง

                                    • การหลั่งน้ำเชื้อ ผู้ป่วยเมื่อร่วมเพศและถึงจุดสุดยอดแต่จะไม่มีการหลั่งน้ำออกเนื่องจากน้ำเชื้อจะไหลกลับเข้ากระเพาะปัสสาวะซึ่งไม่อันตราย

                                    • การถึงจุดสุดยอด ผู้ป่วยส่วนใหญ่สามารถทำการบ้านได้ดีเหมือนก่อนผ่าตัด
      บันทึกการเข้า
pusadee sitthiphong
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: พาณิชยศาสตร์และการบัญชี
กระทู้: 4,689

« ตอบ #5248 เมื่อ: 01 กุมภาพันธ์ 2555, 14:15:47 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 01 กุมภาพันธ์ 2555, 13:10:55
อ้างถึง
ข้อความของ pusadee sitthiphong เมื่อ 01 กุมภาพันธ์ 2555, 11:51:58
อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 01 กุมภาพันธ์ 2555, 08:04:36
อ้างถึง
ข้อความของ pusadee sitthiphong เมื่อ 31 มกราคม 2555, 22:03:20
พี่สิงห์เปิดฟังข้อความเสียงด้วยนะคะ ติ๋มโทรฯหาค่ะ

สวัสดีค่ะ คุณน้องป้อม ที่รัก

                   โทรศัพท์พี่สิงห์  ไม่มี Miss call ครับ

                   ดีที่สุดครับ ส่งมาตาม email หรือ เขียนไว้บนกระทู้นี้ครับ

                   ถึงอย่างไรก็ขอบคุณ คุณน้องจันทร์ฉาย และเธอเป็นอย่างยิ่งค่ะ  พี่สิงห์ คงต้องเพิ่มชื่อ คุณน้องจันทร์ฉาย  อีกหนึ่งท่านที่จะส่งหนังสือสวดมนต์คำแปล ไปให้ ครับ

                    สวัสดี



ติ๋มใช้เครื่องป้อมโทรฯค่ะ ติ๋มทราบจากป้อมและถาวรว่าคุณแม่พี่สิงห์ไม่สบายและพี่สิงห์จะไม่ได้มางานหอปีนี้ ก็เลยอยากเรียนพี่สิงห์ทราบว่าระลึกถึงอยู่เสมอ และขอให้คุณแม่มีสุขภาพดีขึ้นเรื่อยๆค่ะ
                   
                    รับทราบค่ะ แต่โทรศัพท์ เธอก็ไม่มี Miss call ครับ

                    แสดงว่าติ๋มอยู่ประเทศไทยใช่หรือไม่?

                    ถ้าอยู่ ทำอย่างไร? พี่สิงห์  จะฝากหนังสือของหลวงปู่ดูลย์  อตุโล  ตามที่เคยบอกไว้ ครับ

                    ขอบคุณมากที่ยังระลึกถึงกัน

                    สวัสดี


ติ๋มจะไปทำบุญที่หอเช้าวันที่ 11 ค่ะ แล้วกลับบ้านไปเก็บของเพื่อเดินทางกลับตีสี่วันที่12
      บันทึกการเข้า

pom shi 2516
Khun28
Full Member
**


ดูกายเห็นจิต ดูคิดเห็นธรรม
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: RCU2528
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์
กระทู้: 784

« ตอบ #5249 เมื่อ: 01 กุมภาพันธ์ 2555, 16:37:51 »

นำมาฝากพี่สิงห์ครับ

      บันทึกการเข้า
  หน้า: 1 ... 208 209 [210] 211 212 ... 681   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

สมาคมนิสิตเก่าหอพักนิสิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มวลสมาชิกสมาคม คณาจารย์ และนิสิตเก่าทุกคน ขอน้อมเกล้าถวายความอาลัย  พระผู้เสด็จสู่สวรรคาลัย ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ <;))))><