05 กรกฎาคม 2567, 03:25:02
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 206 207 [208] 209 210 ... 681   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: คุย กับ คุณมานพ กลับดี อดีตประธานชมรม ๓ สมัย  (อ่าน 3351774 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 8 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
เอมอร 2515
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu 2515
คณะ: รัฐศาสตร์(นิติศาสตร์)
กระทู้: 4,562

« ตอบ #5175 เมื่อ: 23 มกราคม 2555, 11:55:25 »

สวัสดีค่ะพี่สิงห์
สวัสดีตรุษจีน
เริ่มปีที่สดใสค่ะ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5176 เมื่อ: 23 มกราคม 2555, 14:04:07 »

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน                      

                       ผมนั่งอ่านหนังสือ "ทุกข์สำหรับเห็น  แต่สุขสำหรับเป็น" ของพระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.  ปยุตฺโต)  เฝ้าแม่อยู่ที่โรงพยาบาลสิงห์บุรี ฟังน้องสาวชวนแม่สวดมนต์ อิติปิโส  ยี่สิบจบ  น้องสาวสวดไปก็สะอื่นไป และแม่ก็สวดตามบางช่วงเท่าที่พอมีแรง น้องสาวรู้ว่าเหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว  ผมปล่อยให้น้องสาวสวดมนต์ไป  เพราะผมรู้ว่า จิตคนกระทำสองอย่างไม่ได้ ขณะสวดมนต์ จะทำให้จิตไม่ปรุงแต่งเกี่ยวกับแม่ จะทำให่เขาดีขึ้น

                       แม่บอกว่าพ่อมารับแล้ว ไม่ห่วงอะไรทั้งสิ้น

                       วันนี้ คุณหมอวิทิต  สั่งให้เจาะเลือดดูผลทางเคมี  อยากจะรู้ว่าที่แม่หงอยลงไปนั้นมาจากสาเหตุอะไร

                        แม่ยังมีสติ  รู้เรื่อง คุยได้  ตอบได้ เป็นปกติ

                       ถ้าเป็นเมื่อก่อนภาพที่เห็น ผมคงไม่สามารถกลั่นน้ำตาได้แน่นอน  แต่ปัจจุบัน  มีแต่อาการสงบทั้งสิ้น ไม่ปรุงแต่งจิตในสิ่งที่เห็น ในสิ่งที่ได้ยิน  เพราะรู้ว่าถ้าปรุงแต่ง เราจะตกอยู่ในโมหะทันที  จึงวางอุเบกขาโดยอัตโนมัติ

                       ผมเลยอำสิ่งที่ผมอ่านนั้น มาเขียนให้ทุกท่านได้อ่าน เพราะวันนี้เป็นวันพระ ครับ

                       สวัสดี




หัวใจพุทธศาสนา


หัวใจพุทธศาสนาคืออะไร  ว่ากันไปหลายอย่าง

ถูกทั้งนั้น  อันไหนก็ได้


      พอดีเมื่อวานเป็นวันมาฆบูชา  ก็ชวนให้นึกถึงคำสอนของพระพุทธเจ้าในวันมาฆบูชา  เพราะว่าวันมาฆบูชานั้น  ชาวพุทธจำกันมาว่าเป็นวันที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงหลักการที่เรียกกันว่า “หังใจพุทธศาสนา” ซึ่งเป็นคำไทยที่เราพูดกันง่าย ๆ  ถ้าพูดเป็นภาษาบาลีก็คือ “โอวาทปาฏิโมกข์”

      เมื่อพูดถึงคำว่า “แก่น”  ก็ใกล้กับคำว่า “หัวใจ”  และเราได้พูดถึงหัวใจพระพุทธศาสนากันมาเมื่อวาน  จึงขอนำมาทบทวนกันนิดหน่อย  แต่ไม่ได้หมายความว่าจะจับเอาคำสอนที่เรายึดถือกันว่าเป็นหัวใจพระพุทธศาสนา มาว่าเป็นแก่นในที่นี้  แต่เรียกว่าเอามาเป็นอารัมภบท  เพราะไหน ๆ เมื่อวานนี้เป็นวันที่เราได้ฟังเรื่องหัวใจพระพุทธศาสนามาแล้ว  ก็เอามาทบทวนกันดู

      หลักที่เราถือว่าเป็นหัวใจพระพุทธศาสนา ก็คือคำไทยที่สรุป  พุทธพจน์ง่าย ๆ สั้น ๆ ว่า “เว้นชั่ว  ทำดี  ทำใจให้บริสุทธิ์”  ภาษาพระ หรือบาลีว่า

         สพฺพปาปสฺส   อกรณํ      กุสลสฺสูปสมฺปทา
         สจิตฺตปริโยทปนํ      เอตํ   พุทฺธานสาสนํ

      แปลให้เต็มเลยว่า  “การไม่ทำความชั่วทั้งปวง  การทำความดีให้เพรียบพร้อม  การชำระจิตของตนให้บริสุทธิ์ผ่องใส  นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย”

      คำลงท้ายว่า  “นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย”  ทำให้เราคิดว่านี่แหละเป็นคำสรุป  แสดงว่าเนื้อแท้ของพระพุทธศาสนาอยู่ที่นี่  เราก็เลยเรียกว่า “หัวใจ”  นี่ว่าตามเรื่องวันมาฆบูชา  เอามาเป็นจุดเริ่มต้น

      แต่กระนั้นชาวพุทธผู้ได้ยินได้ฟังพระสอนมามาก ๆ  บางทีก็ได้ยินพระอาจารย์ หรือพระเถระผู้ใหญ่บางท่านพูดถึงหลักการอื่นว่า  อันโน้นสิ  อันนี้สิ  เป็นหัวใจพระพุทธศาสนา  เมื่อได้ฟังอย่างนั้น  บางทีโยมก็ชักงง  จึงขอยกเอาเรื่องนี้มาพูดเสียในตอนปรารภนี้  ว่า  อะไรกันแน่ที่เรียกว่าเป็นหัวใจพระพุทธศาสนา

      บางท่านบอกว่า  “อริยสัจ ๔”  เป็นหัวใจพระพุทธศาสนา  เพราะว่าคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหมดรวมอยู่ในอริยสัจ ๔

      เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว  เสด็จไปแสดงปฐมเทศนา  พระธัมมจักกัปปวัตตนสูตร  พระองค์ตรัสพุทธพจน์ตอนหนึ่งมีความว่า  ตราบใดที่เรายังไม่มีญาณทัศนะที่มีปริวฏฺฏ์ ๓  มีอาการ  ๑๒  ในอริยสัจ ๔  (จตูสุ  อริยสจฺเจสุ  ติปริวฏฺฏํ  ทวาทสาการํ  ยถาภูตํ  ญาณทสฺสนํ) เราก็ยังปฏิญาณไม่ได้ว่าได้ตรัสรู้  ต่อเมื่อเรามีญาณทัศนะนั้น  จึงปฏิญาณได้ว่าตรัสรู้

      หมายความว่า  ตรัสรู้ อริยสัจ ๔ ครบ ๓ ด้าน  คือทั้งรู้ว่าคืออะไร  แล้วก็รู้ว่าหน้าที่ต่ออริยสัจแต่ละอย่างนั้นคืออะไร  และรู้ว่าได้ทำหน้าที่ต่ออริยสัจนั้นแล้ว  เวียนไปในทุกข้อ  เรียกว่า ๓ ปริวัฏฏ์

      อธิบายว่า  รู้อริยสัจ ๔  แต่ละอย่าง  เริ่มตั้งแต่รู้ว่าทุกข์คืออะไร  รู้ว่าเราจะต้องทำอะไรต่อทุกข์  แล้วก็รู้ว่าหน้าที่ต่อทุกข์นั้นเราได้ทำแล้ว  และต่อไปในข้อสมุทัย  นิโรธ  มรรค  ก็เช่นเดียวกัน

      ถ้ายังไม่รู้อริยสัจด้วยญาณทัศนะครบทั้ง ๓  ในแต่ละอย่าง (รวมทั้งหมดเป็น ๑๒ เรียกว่ามีอาการ ๑๒) ก็ยังไม่สามารถปฏิญาณว่า  ได้ตรัสรู้เป็นสัมมาสัมพุทธะ

      ต่อเมื่อได้ตรัสรู้อริยสัจโดยมีญาณในอริยสัจแต่ละข้อครบทั้ง ๓ รวมเป็น ๑๒  จึงปฏิญาณได้ว่าเป็นสัมมาสัมพุทธะ

      พุทธพจน์นี้มาในพระธัมมจักกัปปวัตตนสูตร  จึงทำให้กำหนดเอาว่านี่แหละคือตัวหลักใหญ่ที่เป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา  ท่านที่สวดธรรมจักรได้คงนึกบาลีออกว่า ยาวกีวญฺจ  เม  ภิกฺขเว  อิเมสุ  จตูสุ  อริยสจฺเจสุ

      รัชกาลที่ ๖  ทรงมีงานพระราชนิพนธ์เล่มหนึ่งชื่อว่า “พระพุทธเจ้าตรัสรู้อะไร”  ซึ่งก็ทรงจับเอาที่จุดนี้ คือ  อริยสัจ ๔  ทำให้เป็นพระพุทธเจ้า  อริยสัจ ๔  จึงเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา

      บางท่านไปจับเอาที่พระไตรปิฎกอีกตอนหนึ่ง  ซึ่งพระพุทธเจ้าตรัสไว้กะทัดรัดมากว่า “ปุพฺเพจาหํ  ภิกฺขเว  เอตรหิ  จทุกฺขญฺเจว  ปญฺญาเปมิ  ทุกฺขสฺส  จ  นิฌรธํ”  (ภิกษุทั้งหลาย  ทั้งในกาลก่อนแลบัดนี้  เราบัญญัติแต่ทุกข์และความดับทุกข์เท่านั้น)  ถ้าจับตรงนี้ก็แสดงว่า ที่พระพุทธเจ้าทรงสอนทั้งหมดนั้น  หลักการของพระพุทธศาสนาก็มีเท่านี้  คือ  ทุกข์และความดับทุกข์

      ท่านพุทธทาสกล่าวถึงหลักอีกข้อหนึ่ง  ให้ถือว่าเป็นหัวใจพระพุทธศาสนา คื “สพฺเพ  ธมฺมา  นาลํ  อภินิเวสาย”  แปลว่า  “ธรรมทั้งปวงไม่ควรยึดมั่น”

      คำว่า “นาลํ”  แปลวาไม่ควรหรือไม่อาจ  ไม่สามารถ  คำว่า “ไม่ควร”  ในที่นี้หมายความว่าเราไม่อาจไปยึดมั่นมันได้  เพราะมันจะไม่เป็นตามใจเราแน่นอน  เมื่อมันไม่อาจจะยึดมั่น  เราก็ไม่ควรจะยึดมั่นมัน  อันนี้ท่านก็ว่าเป็นหัวใจพระพุทธศาสนา

      เมื่อได้ฟังอย่างนี้ก็ทำให้เรามาสงสัยกันว่า  จะเอาหลักไหนดี เป็นหัวใจพระพุทธศาสนา  ก็เลยขอให้ความเห็นว่า อันไหนก็ได้


“ ทุกข์สำหรับเห็น   แต่สุขสำหรับเป็น ”

พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.  ปยุตฺโต)
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5177 เมื่อ: 23 มกราคม 2555, 14:12:44 »

อ้างถึง
ข้อความของ เอมอร 2515 เมื่อ 23 มกราคม 2555, 11:55:25
สวัสดีค่ะพี่สิงห์
สวัสดีตรุษจีน
เริ่มปีที่สดใสค่ะ

สวัสดีค่ะ คุณน้องเอมอร ที่รัก

            ขอบคุณมากค่ะ สำหรับคำอวยพร

            วันนี้สำหรับพี่สิงห์ คือ ไปทำบุญที่วัด นอนเฝ้าแม่ที่โรงพยาบาล ครับ

            สวัสดี
      บันทึกการเข้า
swsm
Cmadong Member
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
****


@@ ยาหยี @@
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: Rcu2523
คณะ: Comm Arts
กระทู้: 28,369

« ตอบ #5178 เมื่อ: 23 มกราคม 2555, 18:26:55 »

กราบสวัสดีพี่สิงห์ ในวันตรุษจีนค่ะ      sorry
      บันทึกการเข้า

.. don't play with me, cos I know how to play it too .. may be better than you do ..
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5179 เมื่อ: 23 มกราคม 2555, 19:10:59 »

อ้างถึง
ข้อความของ swsm เมื่อ 23 มกราคม 2555, 18:26:55
กราบสวัสดีพี่สิงห์ ในวันตรุษจีนค่ะ      sorry
新正如意 新年發財 / 新正如意 新年发财

แต้จิ๋ว: ซิงเจี่ยยู้อี่ ซิงนี้หวกไช้

จีนกลาง: ซินเจิ้งหรูอี้ ซินเหนียนฟาฉาย

ฮกเกี้ยน:ซินเจี่ยหยู่อี่ ซินนี่ฮวดจ๋าย

แปลว่า ขอให้ประสบโชคดี ขอให้มั่งมีปีใหม่


สวัสดีค่ะ คุณน้องยาหยี ที่รัก

                 พี่สิงห์ อยู่เฝ้าแม่ ที่โรงพยาบาลสิงห์บุรี ก็ดีเหมือนกัน ทำให้อยู่สิงห์บุรีมากขึ้น  อยู่กับพี่-น้อง มากขึ้น  ได้คุยกับแม่  ได้พลิกตัวให้แม่  ได้จับมือแม่ไว้ เวลาท่านตื่น และได้ปลง "รูป-นาม" สักวันหนึ่งเราก็ต้องประสบแบบนี้เช่นเดียวกัน ดังนั้นต้องอยู่ด้วยความไม่ประมาท ทั้งการควบคุมอาหาร  ต้องออกกำลังกาย  นอนหัวค่ำ และปฏิบัติธรรม  ให้มากเข้าไว้

                  พี่สิงห์ ช่วงนี้เดินออกกำลังกายน้อย เพราะตอนเช้าต้องคอยรับ-ส่ง ลูกสาวของคนดูแลแม่ประจำ ไปส่งที่โรงเรียน เพื่อช่วยภาระน้องสาว  แต่ก็ได้อาศัยตอนสี่โมงเย็นไปไดร์ฟกอล์ฟ เป็นการออกกำลัง ได้เหงื่อพอสมควร เป็นการพัฒนาวงสวิงอีกด้วยไปในตัว ทำให้วงสวิงดีขึ้น

                  ช่วงอยู่บ้าน  อยู่คนเดียว เพราะน้องสาวย้ายไปนอนที่ห้องแถวใกล้ๆ โรงพยาบาล ก็จึงได้ปฏิบัติธรรม ก่อนนอน และเช้าตรู่  ไม่ปล่อยจิตให้ปรุงแต่ง

                   สวัสดีค่ะ
      บันทึกการเข้า
KUSON
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,125

« ตอบ #5180 เมื่อ: 23 มกราคม 2555, 20:18:55 »

พี่สิงห์ครับ
ขอบคุณที่กรุณาช่วยให้งานของผมสำเร็จอีกครั้ง
เสร็จจากงานที่นครศรีธรรมราช ผมเดินทางไปจังหวัดตรังเพื่อดูการซ่อมแซมที่บรรจุกระดูกของคุณตาและคุณยาย
แต่ก็ต้องผิดหวังเพราะลูกหลานที่นั่นขาดผู้ดูแล
ผมจำเป็นต้องลงไปดำเนืนการเองในครั้งต่อไปสำหรับการซ่อมแซมพระด้านที่นครศรีธรรมราช
ช่างกรมศิลป์เขาคิดราคาเดิมมากว่า10ปี
การที่เขาช่วยเจาะช่องพิเศษให้ผมต้องขอบคุณและสมนาคุณเป็นพิเศษครับ
      บันทึกการเข้า
พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #5181 เมื่อ: 24 มกราคม 2555, 00:55:31 »

ขอเป็นกำลังใจให้ผู้ป่วย และผู้พยาบาลดูแล ให้ทุกท่านแข็งแรง มีความสุขกายสุขใจครับ
 
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5182 เมื่อ: 24 มกราคม 2555, 07:41:21 »

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน

                       เช้านี้ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากนักสำหรับแม่ เมื่อคืนแม่บอกพี่สาวว่า "จะไปแล้ว  พ่อมารับแล้ว  ไม่มีอะไรต้องห่วงอีกแล้ว"  ผมก็บอกพี่สาวว่า  "แม่ก็พูดอย่างนี้ ประจำ" อยู่แล้ว เพื่อให้ทุกคนสบายใจ  แม่เป็นคนอดทน ไม่บ่น ไม่ร้องจากการเจ็บแผลเลย

                       เมื่อสักครู่แม่ตื่น บอกผมว่า "กลับบ้าน พาแม่ไปด้วย" ผมก็บอกว่า บ้านเราไม่มีแล้ว ที่นี่ก็เหมือนบ้านขอเรา อยู่สบายแล้ว อยากไปก็ไปได้เลย แล้วแต่แม่  แม่ก็นอนต่อ

                       วันนี้ผมต้องไปทำงานที่ PSTC สระบุรี บ่ายมีประชุมคุณภาพ  ดังนั้น เช้านี้ผมเลยเอา "หัวใจพุทธศาสนา" ของพระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.  ปยุตฺโต) มาเขียนต่อให้ทุกท่านได้อ่าน เพื่อเจริญปัญญา  บังเกิดดวงตาเห็นธรรมที่แท้จริง  จะทำให้ท่านเข้าใจ  แท้จริง พระพุทธเจ้าท่านสอนอยู่เรื่องเดียวจริงๆ คือ "ทุกข์และทางพ้นทุกข์" เพียงแต่ท่านมีวิธีการสอนที่ต่างออกไป มีโวหารแตกต่างออกไป เท่านั้น แต่เป็นเรื่องเดียวจริง ๆ ถ้าท่านเข้าใจแล้ว  ไม่ต้องท่อง  ท่านจะจดจำอยู่ในใจเสมอ ไม่มีลืม ด้วย "ตาปัญญา" คือปัญญาภายใน ที่ท่านมีอยู่แล้วทุกคน ไม่ยกเว้น เป็นเพียง "อวิชชา" ท่านจึงมองไม่เห็น

                       ลองอ่านดูนะครับ อย่าลืม เช้านี้  "งดการทำชั่ว  กระทำแต่ความดี  ทำจิตให้บริสุทธิ์ผ่องใส" เป็นสิ่งที่ชาวพุทธ ควรปฏิบัติอยู่เป็นนิจ

                       สวัสดี



หัวใจพุทธศาสนา

ตอน ๒

แต่ต้องระวัง    อันไหนก็ได้    จะทำให้พุทธศาสนาง่อนแง่น

ชาวพุทธต้องมีหลักที่แน่ชัด  ให้ปฏิบัติเด็ดแน่วเป็นหนึ่งเดียว

      
                             แต่การพูดว่า “อันไหนก็ได้” นี่ก็ไม่ดีเหมือนกัน  เพราะทำให้ชาวพุทธเหมือนว่าไม่มีอะไรลงตัวแน่นอน  แล้วก็เลยกลายเป็นคนที่เอาอย่างไรก็ได้  โงนเงน ง่อนแง่น หรือแกว่งไป แกว่งมา  เหมือนไม่มีหลัก  ก็จะกลายเป็นไม่ได้เรื่อง  เราต้องชัดเจนว่า  ที่ว่าอันไหนก็ได้นั้น  ทั้งหมดคืออันเดียวกัน

      ทำไมจึงว่าเป็นอันเดียวกัน  เพราะว่าการพูดถึงหลักคำสอนเหล่านี้นั้น เป็นการพูดโดยจับแง่ จับมุมต่าง ๆ กัน ของคำสอน  ซึ่งที่จริงทั้งหมดอยู่ในระบบเดียวกัน  โยงถึงกัน  มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน  เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะจับที่จุดไหนก็โยงถึงกันได้ทั้งนั้น  ขอชี้แจงอย่างง่าย ๆ
 
      ถ้าเราพูดว่าหัวใจพระพุทธศาสนาคือ “ เว้นชั่ว  ทำดี  ทำใจให้ผ่องใส ”  ก็จะเห็นว่าหัวใจที่ว่านี้ เป็นหลักในเชิงปฏิบัติทั้งนั้น  คือ  เป็นเรื่องของการดำเนินชีวิตว่า  เราจะไม่ทำชั่ว  ทำดี  และทำใจให้ผ่องใส

      ทีนี้ลองหันไปดูหลักอริยสัจ ๔ ซึ่งมีทุกข์  สมุทัย  นิโรธ  มรรค  จะเห็นว่า ข้อที่ ๔  คือ “มรรค”  เป็นข้อปฏิบัติ

      ถ้าพูดว่า มรรค มีองค์ ๘  มีสัมมาทิฏฐิเป็นต้น  และสัมมาสมาธิเป็นข้อสุดท้าย  องค์ทั้ง ๘ นี้ มีตั้ง ๘ ข้อ  ก็จำยาก  จึงย่อง่าย ๆ เหลือ ๓ เท่านั้น  คือ  ศีล  สมาธิ  ปัญญา

      ชาวพุทธจำกันแม่นว่า  มรรค มีองค์ ๘  จำให้ง่ายก็สรุปเหลือ ๓ คือ ศีล  สามธิ  ปัญญา

      ศีล นั้นอธิบายง่าย ๆ ว่า “เว้นชั่ว”  สมาธิ ก็คือ “ทำความดีให้ถึงพร้อม”  เพราะความดีแท้จริงที่สุดก็เป็นคุณสมบัติ คือคุณธรรมต่าง ๆ อยู่ในจิตใจ  ซึ่งจะต้องบำเพ็ญขึ้นมาให้พร้อม  แล้วสุดท้าย ปัญญา ก็ได้แก่ “ชำระจิตใจให้บริสุทธิ์”  เพราะการที่จิตจะบริสุทธิ์ หมดจดสิ้นเชิง ก็ต้องหลุดพ้นจากกิเลสและความทุกข์ด้วยปัญญา

      ฉะนั้น  เว้นชั่ว  ทำดี  ทำใจให้บริสุทธิ์ นี้ก็คือ  ศีล  สมาธิ  ปัญญา  นั่นเอง  “เว้นชั่ว” เป็นศีล  “ทำดี” เป็นสมาธิ  “ชำระจิตใจให้บริสุทธิ์” เป็นปัญญา  พอแยกแยะอย่างนี้ก็เห็นแล้วว่า  อ๋อ  เว้นชั่ว  ทำดี  ทำใจให้บริสุทธิ์  ที่ว่าเป็นหัวใจพระพุทธศาสนานั้น ก็อยู่ใน มรรค นี่เอง  เป็นอริยสัจ ข้อที่ ๔ คือข้อสุดท้าย

      ตกลงว่าหลักหัวใจพระพุทธศาสนาในวันมาฆบูชานี้ เป็นส่วนหนึ่งใน อริยสัจ  คือเป็นอริยสัจข้อสุดท้าย  ได้แก่ มรรค  ซึ่งเป็นภาคปฏิบัติ  อริยสัจ จึงกว้างกว่าและครอบคลุมหลักหัวใจพระพุทธศาสนาในวันมาฆบูชา

      ทุกข์ คือตัวปัญหา  เป็นสิ่งที่เราไม่เอา  แต่เราก็ยังไม่ต้องปฏิบัติ  เราต้องรู้ให้ชัดว่าอะไรเป็นปัญหาที่เราจะต้องพ้นไป

      สมุทัย คือตัวเหตุแห่งทุกข์  ซึ่งต้องสืบสาวให้รู้ตามหลักความจริงที่เป็นไปตาม เหตุ-ปัจจัย ว่า  อ๋อ  ทุกข์เกิดจากเหตุ  และเหตุนั้นคืออะไร  เหตุนั้นเรารู้ว่าจะต้องกำจัด  แต่เราก็ยังไม่ได้ทำอะไร

      จากนั้น เราก็รู้ด้วยว่า เมื่อกำจัดเหตุแห่งทุกข์ได้  เราจะเข้าถึงจุดหมาย คือ นิโรธ

      แต่ทั้งหมดนี้ จะสำเร็จได้ก็ด้วย การลงมือทำในข้อสุดท้าย คือ มรรค

      ฉะนั้น  ทุกข์  สมุทัย  นิโรธ  สามอย่างนี้ เราเข้าใจว่ามันคืออะไร  และเราจะต้องทำอะไรต่อมัน  แต่เราปฏิบัติไม่ได้  สิ่งที่จะปฏิบัติได้คือข้อที่ ๔  ได้แก่ มรรค

      เมื่อเราปฏิบัติตาม มรรค  เราก็กำจัด สมุทัย...แก้เหตุแห่งทุกข์ได้  เราก็พ้นจาก ทุกข์ ... หมดปัญหา  และเราก็บรรลุ นิโรธ...เข้าถึงจุดหมายได้

      เพราะฉะนั้น ด้วย มรรค ข้อเดียวนี้ สามารถทำให้สำเร็จงานสำหรับ ๓ ข้อแรก ทั้งหมด

      เป็นอันว่า สิ่งที่เราต้องปฏิบัติอยู่ข้อเดียว คือข้อ ๔ แต่เราต้องรู้ ๓ ข้อต้นด้วย

      ถึงตอนนี้ก็หันกลับไปดูหลัก เว้นชั่ว  ทำดี  ทำใจให้บริสุทธิ์  จะเห็นว่าเป็นหลักการในภาคปฏิบัติทั้งหมดของพระพุทธศาสนา ซึ่งอยู่ในข้อ มรรค คือข้อที่ ๔ ของอริยสัจ เพราะ มรรค เป็นฝ่ายลงมือปฏิบัติ  ส่วนแง่ของหลักความจริงตามสภาวะว่าเป็นย่างไร จุดหมายคืออย่างไร  ก็อยู่ในข้อ ๑-๒-๓ ของอริยสัจ

      เพราะฉะนั้น อริยสัจ กว้างกว่าและครอบคลุม  คือครอบคลุมหลัก เว้นชั่ว  ทำดี  ทำใจให้บริสุทธิ์ ด้วย

      ถ้าเราต้องการจะพูดเฉพาะในเชิงปฏิบัติ  ในภาคลงมือทำ หรือในการดำเนินชีวิต  เราก็พูดในแง่ เว้นชั่ว  ทำดี  ทำใจให้บริสุทธิ์  เอาแค่นี้  ว่าหัวใจพระพุทธศาสนาอยู่ตรงนี้  ปฏิบัติเท่านี้ก็ครบหมด  เพราะเป็นของที่ให้ลงมือทำ  ปฏิบัติได้ทันที

      ถ้าพูดถึงอริยสัจ ก็กว้างและต้องทำความเข้าใจกันมากสำหรับชาวพุทธทั่วไป  เริ่มต้นก็ให้เห็นก่อนว่าจะปฏิบัติอย่างไร  แม้เมื่อปฏิบัติไปถึงระดับหนึ่งก็จะเกิดความจำเป็นต้องรู้หลักการ หรือหลักความจริงทั่วไปด้วย  มิฉะนั้นการปฏิบัติก็ไปไม่ตลอด  ถึงตอนนั้นก็ต้องรู้หลัก อริยสัจ ๔  แต่เบื้องต้นนี้พอพูดขึ้นมาก็ให้เริ่มปฏิบัติได้เลย

      เป็นอันว่า เริ่มต้น  เราบอกว่า...เอานะ  เว้นชั่ว  ทำดี  ทำใจให้บริสุทธิ์  ก็เข้าใจง่าย  แล้วจากหลักปฏิบัตินี้ เราก็ก้าวไปสู่หลักการที่ใหญ่ขึ้นไป  คือ ก้าวไปสู่หลักอริยสัจ  ซึ่งเป็นหลักที่ครอบคลุมสมบูรณ์ไปเลย

      พูดอย่างนี้ก็เหมือนกับบอกว่า  หลัก เว้นชั่ว  ทำดี  ทำใจให้ผ่องใส  นี้เป็นหัวใจพระพุทธศาสนาภาคบทนำ  หรือเป็นบทนำที่เปิดเข้าสู่หัวใจพระพุทธศาสนา

      อย่าลืมว่าได้หลักแน่ชัดแล้วนะ  เริ่มด้วย “เว้นชั่ว  ทำดี  ทำใจให้บริสุทธิ์ผ่องใส”  นี่แหละเอาเป็นหัวใจพระพุทธศาสนาไว้ก่อน  แล้วก้าวต่อไปให้ครบ “อริยสัจ ๔” ให้ได้  จึงจะเป็นชาวพุทธที่แท้จริงและสมบูรณ์



“ ทุกข์สำหรับเห็น  แต่สุขสำหรับเป็น ”

  พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.  ปยุตฺโต)
   
   
      บันทึกการเข้า
suriya2513
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,457

« ตอบ #5183 เมื่อ: 24 มกราคม 2555, 10:55:48 »

วันหลังจะเอา "แก่นพุทธศาสน์" ของท่านพุทธทาส มาพิมพ์แข่ง
      บันทึกการเข้า

[โบราณคดี]จุดกำเนิดเริ่มต้นของ cmadong.com by : มานพ กลับดี  คลิ๊ก->
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5184 เมื่อ: 24 มกราคม 2555, 13:42:48 »

อ้างถึง
ข้อความของ suriya2513 เมื่อ 24 มกราคม 2555, 10:55:48
วันหลังจะเอา "แก่นพุทธศาสน์" ของท่านพุทธทาส มาพิมพ์แข่ง
              มีความอุตสาหะในการพิมพ์ได้  ขออนุโมทนา
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5185 เมื่อ: 24 มกราคม 2555, 20:30:31 »

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน

                        พี่สิงห์ กลับจากประชุมที่ PSTC สระบุรี มาถึงสิงห์บุรี 20:00 น. อาบน้ำเสร็จก็มาทักทายกับทุกท่านก่อน ปฏิบัติธรรม ก่อนนอน ครับ   เมื่อกลางวันไปรับประทานที่ร้านชาบูผัก ร้านประจำมา เลยเย็นนี้ งดรับประทานอาหารเย็น เพราะมื้อกลางวันกินมามากเพียงพอแล้ว

                        ตอนนี้ที่ PSTC กำลังเร่งผลิตชิ้นส่วนคอนกรีต คือ ผนัง-คาน สำเร็จรูป เพื่อส่งให้กับโครงการบ้านเอื้ออาทร ที่นิคมอุตสาหกรรมโรจนะ อย่างเร่งรีบอยู่ครับ

                        พรุ่งนี้บ่าย เข้า กทม. เพื่อไปพบหมอฟันที่คณะทันตแพทย์ศาสตร์ จุฬาฯ เวลา 18:30 น. จะได้เสร็จสิ้นการทำฟันเสียที เกือบครบหนึ่งปีครับ ฟันซี่เดียวจริง ๆ

                        ช่วงนี้ ออกกำลังกายน้อย รู้สึกว่าน้ำหนักจะขึ้นเล็กน้อย หน้าตาดูโทรมลง  จากที่วิศวกรที่ PSTC เขาบอกอาจารย์ดูสดใสน้อยลง  จริง ๆ ไม่ได้กังวลอะไรเลย  เป็นปกติดี  จิตใจดีขึ้น  ไม่ยินดียินร้ายอะไรมากนัก  สามารถรับฟังได้ทุกเรื่อง  ไม่หงุดหงิดในจิตทั้งสิ้น  อยู่อย่างอุเบกขา ให้มากเป็นพอ มันจะผ่านไปเองโดยธรรมชาติของจิต

                        เรื่องอื่น ๆ ที่นอกตัวผม  อย่ามาถามเลยครับ  ผมไม่ได้ติดต่อ  ติดตามอะไรทั้งสิ้น

                        พรุ่งนี้จะนำ หัวใจของพุทธศาสนา มาเขียนให้อ่านกันต่อ แก้เหงา เป็นการเจริยปัญญา ครับ

                        ราตรีสวัสดิ์ทุกท่านครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5186 เมื่อ: 24 มกราคม 2555, 20:33:56 »

อ้างถึง
ข้อความของ พธู ๒๕๒๔ เมื่อ 24 มกราคม 2555, 00:55:31
ขอเป็นกำลังใจให้ผู้ป่วย และผู้พยาบาลดูแล ให้ทุกท่านแข็งแรง มีความสุขกายสุขใจครับ
 

               
                 ขอบคุณมากครับ พธู 2524 ที่ติดตาม เป็นห่วง พี่สิงห์และแม่

                 สวัสดีครับ
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #5187 เมื่อ: 24 มกราคม 2555, 20:59:29 »

สวัสดีครับพี่สิงห์

3 วันที่ผ่านมา ผมกลับไปตรุษจีนที่นครปฐม
เยี่ยมคุณแม่ของผม และคุณแม่ของนายแต๋ง-วัฒนา ซึ่งไม่ได้เจอกันมาเกือบ 39 ปีแล้วครับ

ทักทาย จดจำกันได้ครับ


http://www.cmadong.com/board/index.php/topic,5699.5200.html

คุณแม่ของผม



คุณแม่ของ แต๋ง-วัฒนา โอภานนทอมตะ



      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #5188 เมื่อ: 24 มกราคม 2555, 21:00:07 »

และขณะนี้ครับ

ข่าวร้ายครับ...ณ เวลานี้ เกิดเหตุพลุระเบิดในงานตรุษจีนที่ศาลหลักเมืองสุพรรณบุรี
ซึ่งเมื่อช่วงก่อนหนึ่งทุ่มมีการถ่ายทอดผ่าน ทีวี ช่อง 3
ไฟไหม้บ้านเรือนราษฎรบริเวณใกล้เคียง รวมทั้งมีผู้บาดเจ็บจากไฟพลุกว่า 30 รายแล้ว
รถดับเพลิงยังไม่สามรารถเข้าไปยังที่เกิดเหตุได้ เนื่องจากประชาชนล้นหลามและวิ่งหนีกันชุนมุล
      บันทึกการเข้า
pusadee sitthiphong
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: พาณิชยศาสตร์และการบัญชี
กระทู้: 4,689

« ตอบ #5189 เมื่อ: 24 มกราคม 2555, 21:54:54 »

http://www.cmadong.com/board/index.php/topic,17490.msg550606.html

ลุงสิงห์ ลุงป๋อง ลุงปี๊ด  และลุงๆป้าๆน้าๆอาๆ ทุกท่าน ขอเชิญตามไปดูรูปหลานหน่อยค่า
นานๆมีรูปมาอวดทีนึง อิๆ
      บันทึกการเข้า

pom shi 2516
แจง-24
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: RCU2524
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 10,028

« ตอบ #5190 เมื่อ: 24 มกราคม 2555, 22:18:44 »

แวะมาติดตามข่าวคุณแม่พี่สิงห์ และขอส่งกำลังใจให้ครอบครัวพี่สิงห์ด้วยค่ะ
      บันทึกการเข้า

   อยู่อย่างต่ำ กระทำอย่างสูง
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5191 เมื่อ: 25 มกราคม 2555, 07:43:48 »

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน

                       เมื่อคืนนอนไม่ค่อยหลับ คือตื่นเป็นช่วง ๆ สี่ช่วง แต่พอตื่นก็สร้างความรู้สึกตัวทุกครั้ง จนมันหลับไปทุกครั้งเช่นเดียวกัน  ตื่นครั้งแรกนั้นสะดุ้งขึ้นมา ฝันเห็นพ่อแต่งชุดขาวมาหา  มารับแม่ แต่ไม่สามารถมารับเอาไปด้วยได้ พ่อบอกถึงสาเหตุที่ยังไปไม่ได้..... จิตนึกกลัวเหมือนกัน เพราะอยู่บ้านคนเดียว  แต่ตัวสติเตือนว่า มันเป็นเรื่องของจิต ที่ไม่มีตัวตนอะไร  จะไปกลัวอะไร  ไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้น อยู่กับการมีสตินี่ละ  ไม่มีอะไรทั้งสิ้น  แม้กระทั่งผีเย้าผีเรือน  จิตมันปรุงแต่งไปเองทั้งนั้น มันเป็นมารมาผจญ มีสติเข้าไว้

                       เช้านี้ผมมาอยู่กับแม่ก่อนเจ็ดโมงเช้านิดหน่อย  แม่ได้กลิ่นข้าว ก็ขอข้าวกินทันที  และพูดไม่หยุด อยากกลับบ้าน  ไปอยู่บ้านพ่อ  แต่บ้านพ่อไม่มีแล้ว รื้อไปตั้งแต่พ่อจากไปนานมากแล้ว  ผมจึงไม่มีบ้านที่สิงห์บุรี  มีแต่บ้านพี่สาว-หลานสาว เท่านั้น เลยไม่รู้จะพาไปอยู่ที่ไหน และยังไม่ถึงเวลา  ปกติแม่ก็พูดแบบนี้ของท่านไปทั้งวัน เพราะความคิดมันเหลือเพียงเท่านั้น ครับ

                       เช้านี้ผมนำเอา "หัวใจพุทธศาสนา" ของพระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.  ปยุตฺโต) มาเขียนให้ทุกท่านได้อ่านอีกตอนหนึ่ง

                       อย่าลืมเช้านี้เริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วย "งดทำชั่ว  ทำดี  ทำจิตให้บริสุทธิ์ผ่องใส"  ซึ่งเป็นหัวใจพุทธศาสนา แบบง่ายๆ ที่ปุถุชนม์ ทั่วไปสามารถเข้าใจได้ครับ

                       สวัสดี
                     


หัวใจพุทธศาสนา

ตอน ๓

ว่ากันไป   กี่หลักกี่หัวใจ

ในที่สุดก็หลักเดียวกัน

      
                            ทีนี้ลองเทียบหลักอื่นอีก  เมื่อกี้บอกว่า พระพุทธเจ้าตรัสไว้ “ ทั้งในกาลก่อนและบัดนี้  เราบัญญัติแต่ทุกข์และความดับทุกข์เท่านั้น ”  อันนี้ก็เป็นการพูดถึง อริยสัจ ๔ นั่นเอง คืออริยสัจ ๔ แบบสั้นที่สุด ย่อเป็น ๒ คู่ คือ

      ทุกข์  และ  สมุทัย  เหตุแห่งทุกข์  อันนี้ ๑ คู่

      นิโรธ  ความดับทุกข์  และ มรรค  ทางให้ถึงความดับทุกข์ ก็ ๑ คู่

      รวมแล้วมี ๒ คู่

      เพราะฉะนั้น  เวลาพูดสั้น ๆ ก็บอกว่า เรื่องทุกข์ (พร้อมทั้งเหตุของมันในวงเล็บ  ละไว้ในฐานเข้าใจ) อย่างหนึ่ง  แล้วก็ เรื่องความดับทุกข์ (พร้อมทั้งวิธีปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์) อย่างหนึ่ง  ตกลงพูดง่าย ๆ อริยสัจ ๔ ก็ย่อเป็น ๒

      ฉะนั้น  ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ว่า  ทั้งในกาลก่อนและบัดนี้  เราบัญญัติแต่ทุกข์และความดับทุกข์  ก็อันเดียวกัน  คืออริยสัจ ๔ นั่นเอง ไม่ได้ไปไหน

      ยังมีอีก...เมื่อกี้ลืมพูดไป  คือ  เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว  ตอนจะออกประกาศพระพุทธศาสนา  พระองค์ได้ทรงพระดำริ  ซึ่งมีความตอนนี้ในพระไตรปิฎกบอกว่า  “ อธิคโต  โข  มฺยายิ  ธมฺโม ” ธรรมที่เราบรรลุแล้วนี้  “ ทุรนุโพโธ ” เป็นของที่รู้ตามได้ยาก  กล่าวคือ  หนึ่ง...อิทัปปัจจยตาปฏิจจสมุปบาท   สอง...นิพพาน
 
      แล้วพระองค์ก็ตรัสเล่าต่อไปว่า  พระองค์ทรงดำริว่า  หมู่สัตว์ทั้งหลายมัวหลงระเริงกันอยู่ในสิ่งที่ล่อให้ติด  ยากที่จะเข้าใจหลักการทั้ง ๒ นี้  จึงน้อมพระทัยไปในทางที่จะไม่ทรงสั่งสอน

      ถ้าดูตรงนี้ก็จะเห็นชัดตามที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า  “ ธรรมที่เราบรรลุ  คือ  อิทัปปัจจยตาปฏิจจสมุปบาทและนิพพาน ”  ถ้าจับตรงนี้ก็บอกได้ว่า  นี่ก็หัวใจพระพุทธศาสนาเหมือนกัน

      แต่ถ้าเราโยงดูก็บอกได้ว่า สาระไม่ไปไหน  ที่แท้ก็อันเดียวกันนั่นแหละ  อิทัปปัจจยตาปฏิจจสมุปบาท คืออะไร  คือ หลักความจริงของธรรมชาติ  ในแง่ที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์ที่เราเรียกว่า ความทุกข์  คือจับที่ตัวกฏธรรมชาติแห่งความเป็นไปของการที่มีทุกข์  มีปัญหาต่าง ๆ เกิดขึ้น

      ฉะนั้น  อิทัปปัจจยตาปฏิจจสมุปาบาท ก็เป็นเรื่องของทุกข์และสมุทัย  แต่แทนที่จะจับที่ปรากฏการณ์คือทุกข์  ก็ไปจับที่กระบวนการของกฏธรรมชาติ  เริ่มที่ข้อสมุทัย  ดูเหตุปัจจัยที่เป็นไปจนปรากฏทุกข์เป็นผลขึ้น  จึงรวมทั้งข้อทุกข์และสมุทัย

      ดังจะเห็นได้ว่า  เวลาตรัส ปฏิจจสมุปาบาท  พระพุทธเจ้าทรงสรุปว่า “ เอวเมตสฺส  ทุกฺขกฺขนธสฺส  สมุทโย  โหติ ”  แปลว่า  “ สมุทัย  คือการเกิดขึ้นพร้อมแห่งทุกข์  จึงมีด้วยประการฉะนี้ ”  หมายความว่า  จากความเป็นไปตามกระบวนการของกฏธรรมชาตินี้  จึงเกิดมีทุกข์ขึ้น

      เพราะฉะนั้น  ข้อว่า  อิทัปปัจจยตาปฏิจจสมุปบาท  ก็คือตรัสเรื่องทุกข์และสมุทัย

      จากนั้นอีกอย่างหนึ่งที่ตรัสไว้คือ  นิพพาน  ซึ่งก็คือข้อ นิโรธ ซึ่งเราจะต้องบรรลุถึงด้วยการปฏิบัติตามมรรค  การที่จะบรรลุนิพพานที่เป็นจุดหมาย  ก็เรียกร้องหรือเป็นเงื่อนไขอยู่ในตัวให้ต้องปฏิบัติตามมรรค  ดังนั้น  การตรัสถึง  นิพพาน  คือข้อ นิโรธ  ก็โยงเอา  มรรค เข้ามาพ่วงไว้ด้วย

      พูดให้ลึกลงไป  ข้อแรก  อิทัปปัจจยตาปฏิจจสมุปบาท  ก็คือ  สังขตธรรม  พร้อมทั้งกระบวนความเป็นไปของมันทั้งหมด  ส่วนข้อหลัง นิพพาน  ก็คือ  อสังขตธรรม  ที่พ้นไปจากสังขตธรรมนั้น
 
      ในพุทธพจน์นี้จับที่ตัวความจริงของกฏธรรมชาติกับสภาวะธรรมสุดยอดที่ต้องการ  จึงเอา อิทัปปัจจยตา  ที่เรียกกันง่าย ๆ ว่ากฏ ปฏิจจสมุปาบาท  กับเรื่อง นิพพาน  มาเป็นหัวใจพระพุทธศาสนา

      แต่สองอย่างนี้  เวลาขยายออกมาก็เป็น อริยสัจ นั่นเอง  เพราะฉะนั้น ก็จึงไม่ไปไหน  ที่แท้ก็อันเดียวกัน

      อริยสัจ นั้นเป็นวิธีพูดหรือวิธีแสดงกฏธรรมชาติในแง่ที่มาเกี่ยวข้องกับมนุษย์  ซึ่งมนุษย์จะนำมาใช้ประโยชน์ในการดำเนินชีวิตหรือแก้ปัญหาชีวิตของตน  พระพุทธเจ้าตรัสวางไว้ในรูปที่ใช้การได้เรียกว่า ทุกข์  สมุทัย  นิโรธ  มรรค

      แต่ตัวความจริงในกฏธรรมชาติก็คือ  อิทัปปัจจยตาปฏิจจสมุปาบาท  และสภาวะที่เป็นจุดหมาย  คือ  นิพพาน  ก็มีเท่านี้  เพราะฉะนั้นจึงบอกว่าไม่ไปไหน

      ส่วนอีกหลักหนึ่งคือ  “ สพฺเพ  ธมฺมา  นาลํ  อภินิเวสาย ”   แปลว่า  “ ธรรมทั้งปวงไม่ควรยึดมั่น ”  คือ  เราไม่อาจจะยึดมั่นถือมั่นไว้ได้  อันนี้ก็เป็นการสรุปหัวใจของการปฏิบัติที่โยงไปหาตัวความจริงของธรรมชาติหรือสภาวธรรมว่า  สิ่งทั้งหลายหรือปรากฏการณ์ทั้งหลายทั้งปวง  หรือสิ่งที่แวดล้อมชีวิตของเรา  หรืออะไรก็ตามที่เราเกี่ยวข้องนี้  มันไม่ได้อยู่ใต้อำนาจความปรารถนาของเรา  แต่มันเป็นไปตามกฏธรรมชาติ  เป็นไปตามเหตุปัจจัย  หรือมีอยู่ ดำรงอยู่ตามสภาวะของมัน  เพราะฉะนั้นเราจึงไม่สามารถยึดมั่นถือมั่นมันได้  เราจะต้องวางใจปฏิบัติต่อมันให้ถูก

      หลักนี้เป็นการโยงธรรมชาติ หรือความเป็นจริงของสิ่งทั้งหลายมาสู่ท่าทีปฏิบัติของมนุษย์ต่อสิ่งเหล่านั้น  ซึ่งรวมสาระสำคัญว่า...เราต้องรู้ทันว่า สิ่งเหล่านี้มันไม่เป็นไปตามใจปรารถนาของเรานะ  มันเป็นไปตามเหตุปัจจัยของมัน  เราจะไปยึดมั่นถือมั่นตามใจของเราไม่ได้  แต่ต้องปฏิบัติด้วยปัญญา  คือด้วยความรู้เท่าทันและให้ตรงตามเหตุปัจจัย

      เพราะฉะนั้น  หลักนี้ก็เป็นแง่มุมหนึ่งของการประมวลวิธีปฏิบัติทั้งหมดต่อสิ่งทั้งหลาย  ซึ่งก็เป็นพุทธพจน์เหมือนกัน

      เรื่องมีอยู่ว่า  พระสาวก (พระมหาโมคคัลลานะ)  ทูลถามพระองค์ว่า “สังขิตเตนะ” ด้วยวิธีการอย่างย่นย่อ  ทำอย่างไรภิกษุจะเป็นผู้ที่หลุดพ้นแล้วโดยความสิ้นไปแห่งตัณหา  หมายความว่า  โดยย่อทำอย่างไร ภิกษุจะเป็นผู้บรรลุ นิพพาน

      รู้ว่าธรรมทั้งปวงไม่อาจยึดมั่นได้  ก็คือรู้สภาวะของมันที่เป็น ทุกข์  ความยึดมั่นที่จะต้องละนั้นคือ สมุทัย  ปัญญาที่ทำให้ละความยึดมั่นนั้นเสียได้ก็เป็น มรรค  เมื่อละความยึดมั่นได้ก็สงบเย็น  นิพพาน  คือข้อ  นิโรธ

      หลักนี้นับว่าเป็นจุดยอดของการปฏิบัติต่อสิ่งทั้งหลายในขั้นที่ถึงปัญญาเลย  ซึ่งให้รู้เท่าทันความจริง ว่าสิ่งทั้งหลายมันเป็นของมันตามสภาวะของธรรมชาติ  เช่น  เป็นไปตามเหตุปัจจัยของมันเอง  เราจะเอาความยึดมั่นถือมั่นของเราไปกำหนดมันไม่ได้

      ตกลงว่า  เท่าที่มีการกล่าวถึงหัวใจพระพุทธศาสนากันหลายแบบหลายแนวนั้น  ทั้งหมดก็เป็นอันเดียวกัน  ซึ่งในที่สุดหลักใหญ่ที่ครอบคลุมก็คือ อริยสัจ ๔ นี่แหละ  ไม่ไปไหน

      ที่พูดมาในตอนนี้ทั้งหมดก็เป็นการแยกแยะและเชื่อมโยงให้เห็นชัดลงไปว่า  หลักหัวใจพระพุทธศาสนาที่พูดกันหลายอย่างนั้น  ที่จริงก็อันเดียวกัน  ต่างกันโดยวิธีพูดเท่านั้น  และขอย้ำว่า

      อย่ามัวพูดว่า  อย่างนั้นก็ได้  อย่างนี้ก็ได้  ขอให้จับหลักลงไปให้ชัดและปฏิบัติให้มั่น ให้เด็ดเดี่ยว แน่ลงไปอย่างที่ว่าแล้วข้างต้น


“ ทุกข์สำหรับเห็น   แต่สุขสำหรับเป็น ”

พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.  ปยุตฺโต)
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5192 เมื่อ: 25 มกราคม 2555, 07:59:48 »

อ้างถึง
ข้อความของ แจง-24 เมื่อ 24 มกราคม 2555, 22:18:44
แวะมาติดตามข่าวคุณแม่พี่สิงห์ และขอส่งกำลังใจให้ครอบครัวพี่สิงห์ด้วยค่ะ

                พี่สิงห์ ขอบคุณ  คุณน้องแจง 24 มากค่ะ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5193 เมื่อ: 25 มกราคม 2555, 08:08:25 »

                       
                        ขอบคุณ  คุณเหยงมาก  ที่นำภาพของคุณแม่ ทั้งของคุณเหยง  และคุณแต๋ง  มาให้ได้ชื่นชม  ได้รู้จัก  สุขภาพของทั้งสองท่านยังดี  ยังสามารถช่วยตัวเองได้  ขอยินดีด้วย

                        สำหรับเรื่องพลุ นั้น มันก็เป็นของมันอย่างนั้น เพราะความประมาท

                        สวัสดีครับ
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #5194 เมื่อ: 25 มกราคม 2555, 18:35:44 »

ภาพและข่าวจาก ผู้จัดการออนไลน์ครับ

ประมวลภาพ : ความเสียหายเหตุพลุระเบิดงาน “ตรุษจีนสุพรรณบุรี”
25 มกราคม 2555 14:42 น.


       จนท.เร่งเก็บหลักฐานเพิ่มเติม เหตุพลุระเบิดงาน “ตรุษจีนสุพรรณบุรี” พบผู้เสียชีวิต 4 ราย บาดเจ็บเกือบ 80 คน ขณะที่บ้านเรือน ปชช.ถูกเพลิงเผาวอดหลายสิบหลังคาเรือน รวมถึงวัดพระศรีรัตนมหาธาตุได้รับความเสียหายหนักหลายจุด ผู้ว่าฯ สุพรรณ พร้อมเยียวยาช่วยเหลือ “บรรหาร” สั่งจัดงานต่อแต่ห้ามจุดพลุอีก
       
   
   
      วันนี้ (25 ม.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้าเหตุพลุระเบิดกลางงาน “ตรุษจีนสุพรรณบุรี ปีทองมังกรสวรรค์” ที่พิพิธภัณฑ์ลูกหลานพันธุ์มังกร (อุทยานมังกรสวรรค์) ศาลหลักเมือง จ.สุพรรณบุรี ว่าตำรวจได้เข้าเก็บหลักฐานเพิ่มเติมบริเวณที่มีการติดตั้งและจุดพลุ เพื่อรวบรวมหลักฐานว่า เหตุที่เกิดขึ้นเป็นความบกพร่องของอุปกรณ์ หรือผู้จุดพลุ เพราะเมื่อเกิดอุบัติเหตุมีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตเกิดขึ้นถือมีความผิดทางอาญาที่ต้องดำเนินคดีทางกฎหมายต่อไป ขณะที่บ้านเรือนบริเวณดังกล่าวในรัศมี 4 กิโลเมตร ได้รับความเสียหายจากไฟไหม้ประมาณ 20 หลังคาเรือน รวมถึงได้รับความเสียหายจากแรงอัด เช่น กระจกแตก หลังคาแตก อีกมากกว่า 100 หลังคาเรือน มีผู้บาดเจ็บประมาณ 70-80 ราย และยอดผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นเป็น 4 ศพแล้ว
       
         
       
       นอกจากบ้านเรือนประชาชนที่ได้รับความเสียหายแล้ว วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ ซึ่งอยู่ติดกับศาลเจ้าพ่อหลักเมืองก็ได้รับความเสียหายอย่างหนัก และคาดอาจต้องใช้งบหลายสิบล้านบาทในการบูรณะ เพราะกุฏิสงฆ์ซึ่งเป็นอาคารไม้เสียหายทั้งหมด นอกจากนี้ ศาลาการเปรียญ และหลังคาพระอุโบสถก็ได้รับแรงกระแทกและหล่นลงมาเสียหายมากกว่า 70%
       
        ทั้งนี้ ความเสียหายที่เกิดขึ้น กรรมการศาลเจ้าพ่อหลักเมืองพร้อมเป็นผู้รับผิดชอบทั้งหมด โดยได้จัดตั้งกรรมการขึ้นมาเพื่อดูแลและชดเชยผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บ ขณะที่ชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากเหตุเพลิงไหม้ได้อพยพเข้ามาอยู่ในศูนย์พักพิงชั่วคราว วัดพระศรีมหาธาตุ ซึ่งมีชาวบ้านมาลงทะเบียนแล้วประมาณกว่า 200 ราย
       
       ด้าน นายสมศักดิ์ ภูรีศรีศักดิ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสุพรรณบุรี กล่าวว่า เบื้องต้นมอบเงินช่วยเหลือเยียวยาในรายที่บาดเจ็บจำนวน 3,000 บาท และบาดเจ็บสาหัสอีก 5,000 บาท ส่วนกรณีบ้านเรือนเสียหาย ผู้ที่ได้รับความเสียต้องไปแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจก่อน โดยรับแจ้งความที่วัดพระธาตุได้เลย และจะสัมภาษณ์ผู้ที่ได้รับความเสียหายและประเมินผลความเสียหาย และจะได้รับความช่วยเหลือตามระเบียบของกระทรวงการคลัง ส่วนของทางมูลนิธิจะได้รับความช่วยเหลือภายหลังอีกครั้ง ซึ่งบ้านเรือนที่เสียหายบางส่วนจะได้รับความช่วยเหลือรายละ 20,000 บาท ตามสภาพจริง
       
       ส่วนบ้านเรือนที่ได้รับความเสียหายทั้งหลังจะได้รับการช่วยเหลือหลังละ 30,000 บาท ส่วนผู้ที่เสียชีวิตจะได้รับค่าทำศพรายละ 25,000 บาท ถ้าเป็นหัวหน้าครอบครัวจะได้รับเพิ่มอีก 25,000 บาท
       
       สำหรับเหตุพลุระเบิดดังกล่าว เกิดขึ้นประมาณ 19.30 น.ของวานนี้ (24 ม.ค.) ระหว่างการจัดแสดงพลุชุดสุดท้ายของงาน เป็นเหตุให้ลูกไฟจากการระเบิดของพลุได้ตกใส่บ้านเรือนประชาชนที่ตั้งอยู่ใกล้เคียงกับอุทยานมังกรสวรรค์ จนเกิดเหตุเพลิงไหม้ขึ้นและลามไปยังวัดพระธาตุ ทำให้กุฏิพระถูกไฟไหม้ และมีพระสงฆ์ได้รับบาดเจ็บกว่า 10 รูป โดยทางเจ้าหน้าที่ได้เร่งเข้าควบคุมเพลิงไว้ได้ และทยอยลำเลียงผู้บาดเจ็บส่งโรงพยาบาลใกล้เคียง
       
       ส่วนสาเหตุของการระเบิดครั้งนี้ จากการสอบถามเกิดจากการวางท่อในแนวเอียง ทำให้พลุพุ่งเข้าไปในกองของพลุที่ยังไม่ได้ยิงทำให้พลุเกิดการระเบิดขึ้น กระทั่งเกิดเหตุไฟไหม้อย่างรุนแรง ส่วนพลุที่เหลือที่ยังไม่ได้จุดอีกหลายร้อยชุด เจ้าหน้าที่ได้เข้าทำการเก็บกู้ไปไว้ในที่ๆปลอดภัยแล้ว

       
         
       
       ด้านนายบรรหาร ศิลปอาชา ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา กล่าวว่า งานฉลองตรุษจีนที่พิพิธภัณฑ์ลูกหลานพันธุ์มังกร จัดขึ้นระหว่างวันที่ 24-29 ม.ค.นี้ จะให้ดำเนินการจัดงานต่อ แต่สั่งให้งดจุดพลุอีก

 
จาก http://www.manager.co.th/asp-bin/mgrView.asp?NewsID=9550000011098
 
ชมภาพในบรรยากาศต่างๆ ครับ

   

   

 
   

   

   

   

   

 
   

   

   

   

   

 


   

 

   

 
   
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5195 เมื่อ: 25 มกราคม 2555, 20:42:08 »

  


สงสัย หลวงพ่อท่านไม่ช่วยคุณบรรหาร  สิลปอาชา
                 

  

                        ขอบคุณมากครับ คุณเหยง  เห็นภาพแล้วเศร้าในความประมาท จริงๆ ปกติเวลาเขาจุดพลุ เขาจะไปจุดที่โล่งๆ เห็นกุฏิพระ  ศาลา เสียหายยับเยิน แล้วใครรับผิดชอบค่าทำใหม่  นี่และกรรมของคุณบรรหาร  ศิลปอาชา  ที่เป็นผลมาจากเป็นผู้ทำให้คนอื่นฉิบหาย  จากมหาน้ำท้วม  มันก็มีผลทำให้ สุพรรณบุรี  ต้องเจอแบบนี้ละ กรรมใครก่อไว้อย่างไร  ย่อมหนีกรรมนั้นไม่พ้น  จะช้าจะเร็วเท่านั้น

                        สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5196 เมื่อ: 25 มกราคม 2555, 21:06:57 »


                     
                       เมื่อไรหนอ ดร.สุริยา จะนำ "แก่นพุทธศาสน์" ของท่านพุทธทาส มาพิมพ์ ให้อ่านเสียที


                       วันนี้ภายหลังจะไปทำฟันที่คณะทันตแพทย์ศาสตร์ จุฬาฯ ผมมีนัดกับ อดิศร 19:30 น. ที่จตุรัสจามจุรี มีเวลาหนึ่งชั่วโมงกว่า ๆ และต้องกัดผ้าก๊อสทิ้งไว้หนึ่งชั่วโมง เลยถือโอกาสเดินออกกำลังจากคณะทันตฯ ไปที่จตุรัสจามจุรี เดินไปเรื่อยๆ ตามถนนพญาไท ผ่านเสาธงหอประชุมได้เห็นการเปลี่ยนแปลงภายในจุฬาฯ ที่มีตึกเพิ่มขึ้นมาก ๔๐ ปีผ่านไป มันช่างเร็วจริงๆ เห็นต้นจามจุรีที่แผ่กิ่งก้านกว้างมากขึ้น สามย่านเปลี่ยนไปหมดแล้ว ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว  แต่ภายในจุฬาฯ ดูครึ้มดีเพราะต้นไม้โตหมดแล้ว  จะไม่ให้โตอย่างไรได้มันตั้ง ๔๐ ปีแล้วนี่

                        ต้องยอมรับสภาพว่าเราแก่จริงๆ แล้ว ต้องปลดเกษียรตัวเอง เป็นปูชนียบุคคล  ที่ถูกลืมแล้ว

                        ขณะนั่งรออดิศร  ไม่รู้จะทำอะไรดี ทำไม่ถูกที่จตุรัสจามจุรี เพราะไม่คุ้นเคย  เลยแวะเข้าร้านอาหารญี่ปุ่น สั่งสะเต็กปลาแซลมอนมารับประทาน พร้อมชาเขียวร้อนหนึ่งถ้วย โดยเลือกเอาร้านที่ไม่มีคน หรือคนน้อยๆ เพราะไม่คุ้นสถานที่  แถมซื้อก็ไม่เป็น ต้องจ่ายเงินก่อน แล้วไปนั่งรอที่โต๊ะอาหาร  เราแก่ไปจริงๆ

                        ก่อนกลับได้ยืนคุยกับอดิสร ตรงข้ามวัดหัวลำโพง และขึ้นรถไฟฟ้าใต้ดินกลับบ้าน เวลาซื้อตั๋ว ผมส่งบัตรประชาชนให้ดูเพื่อซื้อตั๋วครึ่งราคาตามสิทธิผู้สูงวัยย์  คนขายตั๋วยิ้มๆ ไม่รู้เขาคิดอะไรกับเราเป็นสุภาพสตรี

                        ราตรีสวัสดิ์ทุกท่านครับ
      บันทึกการเข้า
ดร.มนตรี
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,540

« ตอบ #5197 เมื่อ: 26 มกราคม 2555, 09:48:04 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 24 มกราคม 2555, 07:41:21
                   

                       "งดการทำชั่ว  กระทำแต่ความดี  ทำจิตให้บริสุทธิ์ผ่องใส" เป็นสิ่งที่ชาวพุทธ ควรปฏิบัติอยู่เป็นนิจ
                       




สวัสดีครับพี่สิงห์ ... ตามความเข้าใจของผม ....


"งดการทำชั่ว  กระทำแต่ความดี  ทำจิตให้บริสุทธิ์ผ่องใส"  ปิ๊งๆ


น่าจะเป็น แก่นของ พุทธศาสนา หรือเปล่าครับ ?
      บันทึกการเข้า
ดร.มนตรี
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,540

« ตอบ #5198 เมื่อ: 26 มกราคม 2555, 10:43:28 »

แต่ถ้าเป็น ...

แก่นพุทธศาสน์  ตามนัย ของท่านพุทธทาส  ก็รอพี่ป๋อง นำมาแชร์ นะครับ


เป็นเรื่องราวที่น่าสนใจครับ ... ท่านพุทธทาสภิกขุ ได้เคยเขียนเป็นหนังสือไว้

โดยเป็นหนังสือที่ได้รับรางวัลชนะเลิศจากองค์การ Unesco แห่งสหประชาชาติ

      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #5199 เมื่อ: 26 มกราคม 2555, 10:44:38 »

อ้างถึง
ข้อความของ ดร.มนตรี เมื่อ 26 มกราคม 2555, 09:48:04
อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 24 มกราคม 2555, 07:41:21
                   

                       "งดการทำชั่ว  กระทำแต่ความดี  ทำจิตให้บริสุทธิ์ผ่องใส" เป็นสิ่งที่ชาวพุทธ ควรปฏิบัติอยู่เป็นนิจ
                       




สวัสดีครับพี่สิงห์ ... ตามความเข้าใจของผม ....


"งดการทำชั่ว  กระทำแต่ความดี  ทำจิตให้บริสุทธิ์ผ่องใส"  ปิ๊งๆ


น่าจะเป็น แก่นของ พุทธศาสนา หรือเปล่าครับ ?

               
                 ถ้าติดตามอ่าน พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.  ปยุตฺโต) ท่านบอกเป็นหัวใจของพุทธศาสนา

                 แก่นจริงๆ ก็ต้อง "ทุกข์และทางพ้นทุกข์" เพราะพระพุทธองค์ท่านสอนอยู่เรื่องเดียว ครับ

                 สวัสดี
      บันทึกการเข้า
  หน้า: 1 ... 206 207 [208] 209 210 ... 681   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

ทำไมหอพักนิสิตจุฬาจึงเป็นดินแดนมหัศจรรย์            " ไม่ได้เป็นแค่หอให้นอนพัก  แต่เป็นบ้านอบอุ่นรักให้อาศัย  ไม่เป็นแค่ที่ซุกหัวยามหลบภัย  แต่สร้างใจให้เข้มแข็งแกร่งการงาน"  <))))><