26 พฤศจิกายน 2567, 14:16:26
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 189 190 [191] 192 193 ... 681   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: คุย กับ คุณมานพ กลับดี อดีตประธานชมรม ๓ สมัย  (อ่าน 3581415 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 6 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #4750 เมื่อ: 21 ธันวาคม 2554, 19:48:06 »

สวัสดีครับ ดร.มนตรี

              ถ้ามองในอีกแง่มุมหนึ่ง กุฏินั้น มันก็เป็นของพระหนุ่ม ที่กำลังปฏิบัติธรรมเรื่องการปล่อยวาง ท่านเว่ยหลางท่านก็ไม่ได้เดือดร้อนเพราะอยู่กันคนละกุฏิ พระหนุ่มนั้นถึงแม้จะเดือดร้อนที่หลังคากุฏิมันรั่วมีน้ำฝนมาเปียกท่าน แต่ท่านก็สามารถอยู่ได้ไม่เดือดร้อน อาจารย์เว่ยหลางท่านคิดไปเอง ว่ามันไม่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม เป็นพระขี้เกียจ  มันมองคนละมุมครับ แล้วแต่จะคิด แต่ถ้าพระท่านมีนิสัยแบบนั้น มันก็ต้องตำหนิกันครับ

             ผมเองคงไม่ได้จัดอยู่ใน "อุเบกขาควาย" เป็นแน่ครับเกี่ยวกับงานชมรมฯ หรือพวกเราชาวซีมะโด่ง ครับ

              สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #4751 เมื่อ: 21 ธันวาคม 2554, 19:54:28 »

               
                 วันนี้คุณกรองอร  ได้โทรศัพท์มาหา เกี่ยวกับเรื่องจะไปทำบุญให้คุณน้องแดง(ฉันทนา) ครบ ๕๐ วัน  ผมก็เลยบอกว่า มีคนจะไปร่วมงานน้อย เลยได้งดไปแล้วสำหรับงาน นั้น

                 ส่วนผมนั้น จะทำบุญไปให้ ครับ และจะปฏิบัติธรรมอุทิศส่วนกุศลไปให้ด้วยในวันนั้น

                 สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #4752 เมื่อ: 21 ธันวาคม 2554, 20:19:08 »

               
                 วันนี้คุณน้องหนุ๋งหนิ๋ง คงไม่ได้อยู่บ้าน จึงไม่ได้เข้ามาทักทายกัน  ผมเองวันนี้อยู่นอกบ้านทั้งวัน ก็ไม่ได้นั่งปฏิบัติธรรม ให้จิตมันนึกคิดอะไรทั้งสิ้น จึงไม่มีเรื่องมาเล่าสู่กันฟัง ได้แต่ประครองจิตตัวเอง ไม่ให้คิดนอกกาย-ใจที่กระทำอยู่เท่านั้น คือไม่ปล่อยให้ใจร่องลอยไปตามยถากรรม คิดไปเองครับ

                  ขออนุญาติไปรีดผ้าดีกว่าครับ

                  ราตรีสวัสดิ์ทุกท่านครับ
      บันทึกการเข้า
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #4753 เมื่อ: 21 ธันวาคม 2554, 22:28:54 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 21 ธันวาคม 2554, 07:37:16
         
             อยู่คอนโด กับอยู่บ้าน ความรู้สึกมันต่างกันเลย สำหรับคนที่ยังยึดติดกับอัตตาตัวเอง นอกจากนี้อยู่คอนโด ต้องเสียค่าใช้จ่ายส่วนกลางสูงมาก ถ้าไม่มีสตางค์เหลือใช้จริงๆ คอนโดโดนตัดน้ำ-ไฟฟ้า และในที่สุดก็โดนยึดแน่นอน

             วันนี้หลังจากไปจ่ายสตางค์ค่าทัวร์อินเดียแล้ว ว่าจะแวะไปดูบ้านอาจารย์ถาวร ครับ

              สวัสดี

พี่สิงห์,
คนข้างบ้านหนิง ผู้หญิง..
เค้าปูกระเบื้องห้องใต้ดินเอง!
หนิงไปถามว่าทำไง?
เค้าว่าซื้อปูนสำเร็จมาผสมน้ำ กวนๆ
เนียนได้ที่ ตักใส่ถาดพร้อมที่ปาด
แหมะลงพื้น ใช้ไม้เมตรครูดให้เรียบ
วางเรียงกระเบื้อง ทิ้งช่วงห่างนิดนึง
ครึ่งซม.ได้...ปูถอยหลัง...ทิ้งให้แห้ง
วันนึงจึงผสมปูนสำเร็จละเอียดอีกชนิด
ที่เลือกสี..เข้ม จาง...ได้ เจียดลงระหว่างช่อง
กระเบื้องปาดผิวเรียบ เช็ดด้วยผ้าชุบน้ำ
ทิ้งให้แห้ง...
เธอบอกว่ายุ่งยากตรงต้องตัดกระเบื้องคะ!
ตรงมุม ตรงปลาย...เธอเช่าเครื่องตัดกระเบื้องมา!
ที่โน่นมีให้เช้าคะ เมืองไทยคงไม่มี??

ดีนะคะ,บ้านหนิงเหมาจ้างงานมืด รับกับมือ
จากช่างจริงที่รับจ๊อบนอกเวลางาน...
มีพี่คนไทยให้เบอร์มา...เลยจ้างเค้าเหมาทั้ง
2ห้องใต้ดิน (อีกห้องปูพรม อีกห้องปูอิฐ
เป็นnature celler)เค้าคิดค่าแรงเป็นตารางเมตรค่ะ

งานปูกระเบื้องจะสกปรกพี่!
เขรอะ ตอนตัดจะฟุ้งฝุ่นกระเบื้อง
ปูนก็เขรอะคะตอนทา Fugenร่องกระเบื้อง.


หนิงพูดได้เป็นฉากๆ เพราะตอนทำบ้าน1998
หนิงเฝ้าเอง ดูเอง ขาดแต่ลงมือเองคะ.
      บันทึกการเข้า


khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #4754 เมื่อ: 21 ธันวาคม 2554, 22:37:21 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 21 ธันวาคม 2554, 20:19:08
               
                 วันนี้คุณน้องหนุ๋งหนิ๋ง คงไม่ได้อยู่บ้าน จึงไม่ได้เข้ามาทักทายกัน  ผมเองวันนี้อยู่นอกบ้านทั้งวัน ก็ไม่ได้นั่งปฏิบัติธรรม ให้จิตมันนึกคิดอะไรทั้งสิ้น จึงไม่มีเรื่องมาเล่าสู่กันฟัง ได้แต่ประครองจิตตัวเอง ไม่ให้คิดนอกกาย-ใจที่กระทำอยู่เท่านั้น คือไม่ปล่อยให้ใจร่องลอยไปตามยถากรรม คิดไปเองครับ

                  ขออนุญาติไปรีดผ้าดีกว่าครับ

                  ราตรีสวัสดิ์ทุกท่านครับ



พี่สิงห์คะ,

วันนี้มีเรื่องตกใจแต่เช้าคะ
หนิงได้รับเมล์จากพี่คนรู้จัก
ว่าเค้าได้รับเมล์จากหนิง
หนิงส่งอะไรไป เค้าCLICKเปิดไม่ได้!

accountหนิงคงถูกhack
เลยวุ่นวายเปลี่ยนpasswordใหม่
ความจริงข้อมูลในคอมหนิง
ก็ไม่เคยสำคัญที่ต้องมีเรื่องโอนเงิน
หรือมอบอำนาจonlineในเรื่องใดๆคะ
เพราะหนิงยอมวิ่งไปทำที่ธนาคาร
ดีกว่าจะเสี่ยง..ทางinternet-

หากพี่สิงห์ได้รับเมล์อะไรจากหนิง
อย่าเปิดนะคะ!
ลบทิ้งเลย.

เพราะมีอะไรหนิงแจ้งที่นี่อยู่แล้ว
ไม่ค่อยหลังไมค์อีกต่อ.
      บันทึกการเข้า


khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #4755 เมื่อ: 21 ธันวาคม 2554, 22:44:16 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 21 ธันวาคม 2554, 20:19:08
               
                 วันนี้คุณน้องหนุ๋งหนิ๋ง คงไม่ได้อยู่บ้าน จึงไม่ได้เข้ามาทักทายกัน  ผมเองวันนี้อยู่นอกบ้านทั้งวัน ก็ไม่ได้นั่งปฏิบัติธรรม ให้จิตมันนึกคิดอะไรทั้งสิ้น จึงไม่มีเรื่องมาเล่าสู่กันฟัง ได้แต่ประครองจิตตัวเอง ไม่ให้คิดนอกกาย-ใจที่กระทำอยู่เท่านั้น คือไม่ปล่อยให้ใจร่องลอยไปตามยถากรรม คิดไปเองครับ

                  ขออนุญาติไปรีดผ้าดีกว่าครับ

                  ราตรีสวัสดิ์ทุกท่านครับ

พี่สิงห์คะ

หนิงไปว่ายน้ำค่ะวันนี้
ลงลู่แยกที่พวกsportlerว่ายกัน
ไม่ได้ดูให้ดีๆว่า2หนุ่มที่ว่ายน่ะ
วัยไหน....ว้ายยย หนุ่มเชี๊ยะ!
30ได้ว่ายfree styleเร็วเป็นบร้าาา
ว่ายวนตามกันจึงต้องรักษาspeed
หนิงเหนื่อยซี่โครงบานคะ แถม
ตะคริวจับ ต้องยืนยืดขาท่ากินรี
ให้พวกเค้าแซง...สักพัก เด็กนักเรียนมา
ลู่นึงคนว่าย2คนมาสมทบ เป็น5แน่นแทบ
ว่ายไม่ทัน หนุ่มนึงจึงขึ้น เหลืออึดอยู่ 4 คน
หนิงว่าย 60 นาที รีบกลับบ้านคะ.

วันนี้รับโรบินไปว่ายด้วย
แกว่าย20นาทีก็ขึ้นไปนอนอ่านหนังสือคะ.
      บันทึกการเข้า


khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #4756 เมื่อ: 21 ธันวาคม 2554, 22:57:52 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 21 ธันวาคม 2554, 08:15:54
               
                                    การแสดงความเห็น  ออกความเห็นให้กระทำนั่น กระทำนี่  โดยที่ตัวเราเองไม่ได้กระทำ หรือทำไม่ได้ อย่าเลย ๆ ดีกว่า จะทำให้คนอื่นได้รับทุกข์ เปล่า ๆ อยู่แบบอุเบกขา นี่ละปล่อยให้เป็นเรื่องของคนรุ่นใหม่  ถ้าเขาอยากให้เราทำอะไรให้ เขาก็คงบอกมาเอง เราไม่เคยขัดเลยกระทำให้มาตลอด และนี่ไม่ใช่เป็นการเห็นแก่ตัว หรือขาดความรับผิดชอบ หรือขาดความกตัญญูกับน้องๆ ซีมะโด่งที่เคยร่วมทำงานกันมา แต่ประการใดไม่ ต้องการเพียงให้น้อง ๆ ทำงานกันอย่างเป็นอิสสละ   ชมรมฯ มันอยู่ได้ด้วยตัวมันเองอยู่แล้ว เพียงแต่จะถอยลง หรืออยู่กับที่ หรือพัฒนาให้ดีขึ้น เท่านั้น

                  สวัสดี



ปล่าวคะปล่าว!
หนูไม่มีความเห็นคะ
แค่เข้ามาตรวจปรู๊ฟ.


พี่สิงห์ต่อเลยค่ะ
อิสระนี้...เป็นของพี่!
      บันทึกการเข้า


khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #4757 เมื่อ: 21 ธันวาคม 2554, 23:08:45 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 21 ธันวาคม 2554, 19:13:38
อ้างถึง
ข้อความของ suriya2513 เมื่อ 21 ธันวาคม 2554, 08:33:05
ต้องระวังการใช้คำว่า "อุเบกขา" ให้จงหนัก
มีอยู่ครั้งหนึ่ง หลวงพ่อชา วัดหนองป่าพง ไปเห็นพระหนุ่มเอาถังน้ำไปรองน้ำฝนที่หยดลงมาจากหลังคาเพราะกระเบื้องชำรุด
จึงถามว่า ทำไมไม่ซ่อมแซมเสีย พระหนุ่มตอบว่า "ผมถืออุเบกขา"
หลวงพ่อชาสวนกลับอย่างเปี่ยมเมตตาว่า "อุเบกขาควาย"

              ผมมีแผ่น CD ที่พระฝรั่งได้ทำเป็นโน๊ต ที่หลวงพ่อชาได้ตอบคำถามในการปฏิบัติธรรม ๒๔ ข้อ นำไปเขียนเป็นหนังสือ ต่อมาแปลเป็นไทย หลวงพ่อชาท่านให้พระที่วัดตรวจทานแล้ว จึงให้พิมพ์หรือทำ CD ได้ อาจารย์ถาวร  เอามาให้ ผมฟังมาแล้วครับ พระท่านนั้นท่านตอบว่า "ผมกำลังฝึกการปล่อยวาง" คือไม่ทำอะไรเลยทั้งนั้น หลวงพ่อชา ท่านนำเอามาจากท่านเว่ยหลาง อีกทีหนึ่งครับ และหลวงพ่อไพศาล ก็เอาไปเป็นตัวอย่างในการสอนเหมือนกัน แบบนั้นเขาไม่เรียกปล่อยวาง ครับ มันไม่ถูกกาละเทสะที่ควรจะกระทำ ครับ
   
                  สวัสดี


ตกลงหนิงยังไม่เข้าใจที!
ว่า"อุเบกขาควาย"
กระแทกแดกดัน หรือตำหนิ?
ว่าเป็นการปล่อยวางที่ไร้สติ?
ไม่ได้คิด?
      บันทึกการเข้า


khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #4758 เมื่อ: 21 ธันวาคม 2554, 23:29:13 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 21 ธันวาคม 2554, 19:40:22
               
                                   - ผมไม่รู้ว่าทางชมรมฯจัดงานคืนสู่เหย้าวันไหน แต่ผมไปอินเดีย 8 - 17 กุมภาพันธ์ ถ้าตรงกันก็ต้องขออภัยด้วยที่ไม่สามารถไปร่วมงานได้ครับ  สำหรับงานหอนั้น ผมไม่ได้วางอุเบกขาใดๆทั้งสิ้น ไปร่วมกิจกรรมเป็นส่วนใหญ่เกือบทั้งสิ้น ไม่บกพร่องยกเว้นการไปประชุม ที่อยากปลีกตัวให้เขาเป็นอิสสละ ส่วนอื่นสั่งมาผมก็ไปร่วมทุกครั้ง ดร.สุริยา  จะมาหาว่าผมเป็น "อุเบกขาควาย" มันก็ไม่ถูกต้องนัก เพราะผมไม่อยากไปขัดอะไรทั้งสิ้น มันพ้นวาระไปแล้ว ขอเป็นผู้ร่วมกิจกรรมต่างๆ หรือกรรมการให้ทำอะไรก็ทำให้ทุกครั้งไม่บกพร่อง ขอให้บอกมาเท่านั้นทำให้ทั้งหมด  แล้วจะเอาอะไรกันอีก

                   สวัสดี

อยู่ต่อดูลาดเลาอีกนิด
เดี๋ยวได้ดูเค้าชกกันแน่!!

น้องมนตรี พี่สมชาย วางใคร ลงมาเลย
หนิงล้วง๑๐ € วางก่อน วางพี่สิงห์!
เพราะดูหน่วยก้านทั้งกอล์ฟ ทั้งวิปัสนา
ต้องแรงดี หลบหมัดเก่งแน่.
      บันทึกการเข้า


พธู ๒๕๒๔
Administrator
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ซื่อต่อนายไม่หน่ายมิตรใกล้ชิดลูกน้องคุ้มครองชาวBan
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 64
คณะ: niti
กระทู้: 7,842

เว็บไซต์
« ตอบ #4759 เมื่อ: 22 ธันวาคม 2554, 02:20:07 »

พี่สิงห์ ครับ   เสื้อ ๙๔ปี ซีมะโด่งจะให้ส่งไปให้ที่ไหนครับ
      บันทึกการเข้า

เว้นชั่ว ประพฤติชอบประกอบแต่สิ่งดีงาม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #4760 เมื่อ: 22 ธันวาคม 2554, 07:45:13 »

อ้างถึง
ข้อความของ khesorn mueller เมื่อ 21 ธันวาคม 2554, 23:08:45
อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 21 ธันวาคม 2554, 19:13:38
อ้างถึง
ข้อความของ suriya2513 เมื่อ 21 ธันวาคม 2554, 08:33:05
ต้องระวังการใช้คำว่า "อุเบกขา" ให้จงหนัก
มีอยู่ครั้งหนึ่ง หลวงพ่อชา วัดหนองป่าพง ไปเห็นพระหนุ่มเอาถังน้ำไปรองน้ำฝนที่หยดลงมาจากหลังคาเพราะกระเบื้องชำรุด
จึงถามว่า ทำไมไม่ซ่อมแซมเสีย พระหนุ่มตอบว่า "ผมถืออุเบกขา"
หลวงพ่อชาสวนกลับอย่างเปี่ยมเมตตาว่า "อุเบกขาควาย"

              ผมมีแผ่น CD ที่พระฝรั่งได้ทำเป็นโน๊ต ที่หลวงพ่อชาได้ตอบคำถามในการปฏิบัติธรรม ๒๔ ข้อ นำไปเขียนเป็นหนังสือ ต่อมาแปลเป็นไทย หลวงพ่อชาท่านให้พระที่วัดตรวจทานแล้ว จึงให้พิมพ์หรือทำ CD ได้ อาจารย์ถาวร  เอามาให้ ผมฟังมาแล้วครับ พระท่านนั้นท่านตอบว่า "ผมกำลังฝึกการปล่อยวาง" คือไม่ทำอะไรเลยทั้งนั้น หลวงพ่อชา ท่านนำเอามาจากท่านเว่ยหลาง อีกทีหนึ่งครับ และหลวงพ่อไพศาล ก็เอาไปเป็นตัวอย่างในการสอนเหมือนกัน แบบนั้นเขาไม่เรียกปล่อยวาง ครับ มันไม่ถูกกาละเทสะที่ควรจะกระทำ ครับ
  
                  สวัสดี


ตกลงหนิงยังไม่เข้าใจที!
ว่า"อุเบกขาควาย"
กระแทกแดกดัน หรือตำหนิ?
ว่าเป็นการปล่อยวางที่ไร้สติ?
ไม่ได้คิด?


               ถูกทุกข้อ ที่เธอตอบตัวเองครับ ในความหมาย "อุเบกขาควาย" ของ ดร.สุริยา

               (วิธีนี้ เป็นวิธีที่พระพุทธองค์ทรงใช้ ในเมื่อมีพราหมณ์มาตั้งคำถามต่อพระพุทธองค์ หรือสงสัยในธรรมที่พระพุทธองค์ทรงสอน นั้นว่าผิด-ถูก  ดร.สุริยา  ก็นำมาใช้ด้วย คือ ให้ผู้ตั้งข้อสงสัย ตอบตามความคิดของตัวเองที่สงสัยนั้นให้จบเสียก่อน แล้วพระพุทธองค์จึงจะแสดงทัศนคติของพระองค์ออกมา และให้ผู้ตั้งข้อสงสัยนั้นสามารถตอบข้อสงสัยของตนนั้นด้วยตนเองได้ ว่าผิด-ถูก  โดยที่พระพุทธองค์ไม่เคยต้องลำบากใจว่าจะบอกว่าข้อสงสัยนั้นผิดหรือถูก เพราะข้องสงสัยนั้น ปกติคนที่ถามเป็น "วิญญูชน" สามารถพิจารณาด้วยตัวเองได้ว่าผิด-ถูก เช่น สัจจกนิครนย์ ที่ถามพระพุทธองค์ เรื่องที่พระพุทธองค์ทรงสอนว่า "ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา" แต่สัจกนิครนย์ค้านว่า "ธรรมทั้งหลายเป็นอัตตา" พระพุทธองค์ก็ให้สัจจกนิครนย์ตีความเห็นขอตนออกมาก่อนจนจบ แล้วพระพุทธองค์ก็ตั้งคำถามกลับไปให้สัจจกนิครนย์ตอบ จนสัจจกนิครนย์ตอบไม่ได้ ต้องยอมรับโดยดุษฎีว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ตามที่พระพุทธองค์ทรงสอนนั้นถูกต้องแล้ว ตนเองเข้าใจไปผิดเอง ดังนี้เป็นต้น ครับ)

                กรณี "อุเบกขาควาย" ก็เหมือนกัน ดร.สุริยา วางเฉย บอกให้พวกเราออกมาแสดงความเห็น ตีความให้เรียบร้อย และสามารถหาคำตอบที่แท้จริงได้ด้วยตัวเอง โดยที่ ดร.สุริยา  ไม่ต้องออกมาเฉลยเลย และก็ไม่เปลืองตัวทั้งสิ้น เพราะพวกเราตีความกันเอง ดร.สุริยา  อาจจะเลี่ยงบาลีว่า "อุเบกขาควาย" ที่ยกมานั้น เป็นคำกล่าวของหลวงพ่อชา ต่อพระหนุ่มลูกศิษย์ของท่าน ผม(ดร.สุริยา)ยกเอามาให้พิจารณาเฉยๆ พวกคุณไปตีความ(ปรุงแต่ง) กันเอง ในสิ่งที่เห็นนั้น มันไม่เกี่ยวกับ ผม(ดร.สุริยา) ทั้งสิ้น

                 มันก็ถูกต้องครับ ดร.สุริยา

                 สวัสดียามเช้าครับ

                 สวัสดี    
 
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #4761 เมื่อ: 22 ธันวาคม 2554, 07:48:52 »

อ้างถึง
ข้อความของ patooman 64 เมื่อ 22 ธันวาคม 2554, 02:20:07
พี่สิงห์ ครับ   เสื้อ ๙๔ปี ซีมะโด่งจะให้ส่งไปให้ที่ไหนครับ

สวัสดีครับ ป๋าทู

              ส่งมาที่ 190 ซอย 22 ถนนวิภาวดี-รังสิต  แขวงจอมพล  เขตจตุจักร กทม. 10900 ไม่ต้องลงทะเบียน หรือ โทรศัพท์มานัดกันที่ 0817000760 แล้วผมไปรับเอง ที่จุดนัดพบสักแห่งหนึ่ง จะได้นำเงินไปให้ด้วย  ขอบคุณมากครับ

              สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #4762 เมื่อ: 22 ธันวาคม 2554, 08:05:28 »

สวัสดีค่ะ คุณน้องหนุ๋งหนิ๋ง ที่รัก

                 วิธีการปูกระเบื้องตามที่เธอบอกมานั้น ถูกต้องทุกอย่าง ที่เมืองไทย ก็เป็นเช่นเดียวกันทุกประการ แต่ อาจารย์ถาวร  ท่านรู้มากเกินไปเพราะมีคนแนะนำไปต่างๆ นาๆ อาจารย์ถาวร  ก็เกิดการปรุงแต่งตาม(คิดตาม) พอจิตมันคิดตามก็เกิดวิจิกิจฉา(ข้อลังเลสังสัย) ว่าวิธีไหนหนอที่ถูกต้องกันแน่ ที่จริงแล้วไม่ยาก ใช้หลักธรรม เท่านั้น ก็ไปหาความรู้จากทางไหนก็ได้มีหลายวิธี ดูว่าวิธีที่ถูกต้องนั้น คืออะไรกันแน่ เพราะมันควรจะมีการเขียนเป็นเชิงวิชาการ ความจริงกันเอาไว้

                   แต่อาจารย์ถาวร  คงไม่สามารถปูกระเบื้องด้วยตัวเองได้แน่นอนครับ และท่านก็มีสตางค์เหลือเฝือ จ่ายได้อยู่แล้ว ผมจึงบอกอาจารย์ถาวรว่า เมื่องช่างปูกระเบื้องมาก็ลองคุยกับเขาถึงวิธีการปูกระเบื้องของเขา เพราะมันเป็นอาชีพของเขา ย่อมมีความชำนาญในอาชีพ มีประสพการณ์มามาก รู้ปัญหา แก้ปัญหามาแล้ว พอได้คำตอบจากเขาก็พิจารณาด้วยปัญญา เอาเอง มันก็จะสิ้นข้อสงสัย อย่าไปคิดปรุงแต่งขึ้นมาก่อน ก่อนที่ยังไม่เจอกับช่างปูกระเบื้องตัวจริงเลย มันก็เกิดความกังวล(คิดไปเองในอนาคต ทั้งๆ ที่เหตุยังไม่เกิด) มันไม่ถูกต้องตามที่พระพุทธองค์ทรงสอน ให้จิตอยู่กับสิ่งที่ตรงหน้า คือ ณ ปัจจุบัน ครับ

                   ขอบคุณมาก

                   สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #4763 เมื่อ: 22 ธันวาคม 2554, 08:22:09 »

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน

              วันนี้รอดตัวไปที  มีสิ่งที่สามารถเขียนมาให้พวกเราได้เรียนรู้กันไปอีกวันหนึ่งครับ

              วันนี้ผมไม่ได้ไปตีกอล์ฟเช้าที่สนามกอล์ฟ President ขออยู่บ้านเพื่อหุงข้าวใส่บาต และเช้านี้ได้อุทิศส่วนกุศลให้กับน้องแดง (ฉันทนา  รวมเมฆ) เป็นการทำบุญไปให้ก่อนที่จะครบ ๕๐ วัน ที่จากไปของน้องแดง เพื่อความไม่ประมาท ครับ

              วันนี้ผมต้องเดินทางไปทำงานที่นครศรีธรรมราช Boarding 12:15 น. โดย Nok Air ครับ หวังว่าอากาศที่นครศรีธรรมราชคงจะดีสามารถให้เครื่องบินลงได้ และทางนครดีซี ได้โทรศัพท์มาเตือนว่า พอลงเครื่องแล้วให้แวะไปรับ ของขวัญปีใหม่ ที่คุณสุภา(น้องเปี๊ยก แห่งการบินไทย กระบี่) ฝากเอาไว้ให้ที่เค้าเตอร์เช็คอิน ด้วย  พี่สิงห์ ต้องขอขอบคุณ  คุณน้องเปี๊ยก ด้วยครับที่กรุณา

               เมื่อวานได้นั่งคุยกับ ดร.กุศล  อาจารย์พินิจ  ที่บ้านอาจารย์ เสียสองชั่วโมง ด้วยความคิดถึง คุยกันไม่รู้ว่าคุยอะไรไปบ้าง สุดท้ายอาจารย์พินิจ บอกว่า ทีหลังจะมาบ้าน โทรศัพท์มาบอกก่อนสักหนึ่งวัน

               และเมื่อวานก็ได้มีโอกาส ออกไปซ้อมไดรฟ์กอล์ฟที่สนามออลสตาร์กับคุณหมอสรรเสริญ  สุขพอดี  เซียนพระตัวจริง เอาหลวงพ่อทวดที่พ่อ ดร.กุศล ทิ้งเอาไว้ให้ ไปให้ดู คุณหมอบอกว่า ของจริงแน่นอน อายุมากกว่า ๕๐ ปีขึ้นไปโดยดูจากคราบมันดินที่องค์พระ  ปีใหม่นี้ คุณหมอสรรเสริญ จะพาลูกๆ ไปเชียงใหม่ ลูกอยากนั่งเครื่องบิน เพราะไม่เคยนั่ง และจะไปชมงานพืชสวน ที่เชียงใหม่ด้วย

               สวัสดีทุกท่านครับ อย่าลืมเช้านี้ทำจิตให้ผ่องใส ความกังวลหรือทุกข์จะไม่เกิดครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #4764 เมื่อ: 22 ธันวาคม 2554, 08:46:49 »

รู้ประวัติพุทธสาวก ภิกษุณี อรหันต์ เอตทัคคะ

ลำดับที่ ๙

พระภัททากุณฑลเกสาเถรี

เอตทัคคะในฝ่ายผู้ตรัสรู้เร็วพลัน


                  พระภัททากุณฑลเกสาเถรี เป็นธิดาของเศรษฐี ในกรุงราชคฤห์ บิดามารดาตั้งชื่อให้ว่า “ภัททา”

            • ลูกปุโรหิตเกิดฤกษ์โจร

                 ในวันที่นางเกิดนั้น ได้มีบุตรของปุโรหิตในกรุงราชคฤห์เกิดในวันเดียวกันนี้ด้วย ขณะที่เขาคลอดจากครรภ์มารดา ได้เกิดเหตุอัศจรรย์ คือ บรรดาอาวุธทั้งหลายในบ้านของปุโรหิตเองและในบ้านคนอื่น ๆ ตลอดจนถึงในพระราชนิเวศน์ต่าง ๆ ก็เกิดแสงประกายรุ่งโรจน์ไปทั่วพระนครตลอดคืนยันรุ่ง ปุโรหิตทราบในบุพนิมิตดีว่า บุตรของตนเกิดฤกษ์โจร เมื่อเขาโตขึ้นจะต้องเบียดเบียนทำความเดือดร้อนฉิบหายแก่ชาวเมือง จึงเข้าเฝ้าพระราชาแต่เช้าตรู่กราบทูลความให้ทรงทราบโดยตลอดแล้วทูลเสนอแนะว่า ขอพระองค์โปรดรับสั่งให้ประหารชีวิตเขาเสีย เพื่อมิให้เป็นภัยแก่ ชาวเมืองในอนาคต แต่พระราชาตรัสว่า เมื่อเขาไม่ได้เบียดเบียนเราก็ไม่เป็นไร อย่าไปฆ่าเขาเลย ปุโรหิตจึงเลี้ยงดูบุตรต่อไป โดยได้ตั้งชื่อให้ว่า “สัตตุกะ”
                  สัตตุกะเมื่อโตขึ้นอยู่ในวัยเด็ก นายสัตตุกะก็ได้ ตัดช่องย่องเบาลักขโมยทรัพย์และสิ่งของมีค่าน้อยบ้างมากบ้างตามแต่จะได้มาเป็นเครื่องเลี้ยงชีพจนได้ชื่อว่าไม่มีบ้างหลังใดที่ไม่ถูกย่องเบาลักขโมยเลย ความเดือดร้อนของชาวเมืองทราบไปถึงพระราชา จึงรับสั่งให้เจ้าหน้าที่ติดตามจับกุมโจรชั่วนั้นให้ได้ พวกเจ้าหน้าที่ทั้งหลา ยจึงออกติดตามสืบพบหาจนจับตัวได้ แล้วนำมาถวายพระราชาเพื่อทรงวินิจฉัยตัดสินโทษ พระราชา รับสั่งให้โบยโจรพร้อมทั้งนำตัวตระเวนออกไปตามถนน ให้ทั่วทั้งพระนครก่อนแล้วจึงนำออกไปประหารที่เหวสำหรับทิ้งโจร

            • ดอกฟ้าในมือโจร

                 ขณะนั้น นางภัททา ธิดาเศรษฐีมีอายุย่างเข้าวัย ๑๖ ปี มีรูปร่างสวยงาม บิดามารดาจึง ระวังรักษาให้อยู่บนปราสาทชั้นที่ ๗ ให้หญิงรับใช้หนึ่งคนคอยดูแลรับใช้ของนาง ก็เป็นธรรมดาของหญิงสาวในวัยนี้ ย่อมมีความฝักใฝ่ในชายหนุ่ม ดังนั้น เมื่อเจ้าหน้าที่นำโจรหนุ่มตระเวนมาทางบ้านของนาง พอนางเปิดหน้าต่างมองลงไปเห็นโจรเท่านั้นก็เกิดจิตปฏิพัทธ์รักใคร่ ในตัวโจรทันทีคิดว่า
                “ชาตินี้ถ้าไม่ได้โจรหนุ่มมาเป็นคู่ครองก็จะไม่ขอมีชีวิตอยู่”
                 และรู้ว่าพวกเจ้าหน้าที่กำลังนำโจรไปประหาร ความรู้สึกของนางเหมือนกับกำลังสูญเสียสามีสุดที่รัก ความทุกข์เศร้าโศกเสียใจสุดจะห้ามก็ตามมา ฝ่ายสาวใช้ เห็นเช่นนั้นจึงรีบแจ้งให้เศรษฐีผู้เป็นบิดามารดาทราบโดยด่วน บิดามารดาของนางพอมาถึง ก็ได้ไต่ถามทราบจากปากของธิดาว่า
                “ถ้าไม่ได้โจรหนุ่มคนนั้นมาเป็นคู่ ก็จะไม่ขอมีชีวิตอยู่อีกต่อไป” แล้วก็นอนกลิ้งเกลือกอยู่บนเตียนนอนนั้น มารดาจึงพูดอ้อนวอนว่า:-
                “ภัททา ลูกแม่ อย่าทำอย่างนี้เลย อีกไม่นานเจ้าก็จะได้สามีที่มีทรัพย์สมบัติและชาติสกุลเสมอกัน”
                “คุณแม่ค่ะ ดิฉันไม่ต้องการชายอื่น ถ้าไม่ได้ชายคนนี้จะขอตายดีกว่า”
                 บิดามารดาทั้งสอง ช่วยกันพูดอ้อนวอนอยู่เป็นเวลานาน แต่ก็ไม่เป็นผลด้วยคามรักและห่วงใยในลูกสาว จึงติดสินบนเจ้าหน้าที่ด้วยทรัพย์จำนวนหนึ่งพันกหาปณะ ขอไถ่ชีวิตโจรหนุ่มคนนั้นโดยให้นำมาส่งที่บ้าน ฝ่ายเจ้าหน้าที่ราชบุรุษทั้งหลาย รับทรัพย์ไปแล้วทำเป็นถ่วงเวลารอจนมืดค่ำ จากนั้นได้นำโจรหนุ่มคนนั้นมามอบให้แก่เศรษฐีแล้ว นำนักโทษอีกคนหนึ่งไปประหารชีวิตแทน แล้วกราบทูลพระราชว่า ฆ่าโจรสัตตุกะเรียบร้อยแล้ว เศรษฐีรับตัวโจรหนุ่มสัตตุกะไว้แล้ว ให้อาบน้ำชำระร่างกายและมอบเสื้อผ้าชั้นดีสวมใส่ พร้อมทั้งอาภรณ์เครื่องประดับชั้นดีต่าง ๆ นำไปยังปราสาทของลูกสาว ทำพิธีส่งตัวให้เป็นคู่ผัวเมียกันแล้ว บิดามารดาทั้งสองก็กลับไปยังที่พักของตน

          • สันดานโจรไม่เจือจาง

               โจรสัตตุกะมีความสุขอยู่ในบ้านของเศรษฐีซึ่งมีให้พรั่งพร้อมทุกอย่างได้ทั้งภรรยาที่แสนสวย ทรัพย์สินเงินทองก็มีให้ใช้อย่างสุขสบายไม่ขัดสน การงานก็มีคนรับให้ทำให้ ไม่ต้องดิ้นรนขวนขวยใด ๆ ทั้งสิ้น แต่เขาก็อยู่ได้ไม่นานเพราะนิสัยสันดานโจรอดที่จะทำชั่วไม่ได้ เขาคิดวางแผนฆ่าภรรยาเพื่อจะนำเอาเครื่องประดับอันมีค่านั้นไปขายแล้วนำเงินมาหาความสุขด้วยการดื่มสุรา แล้วเขาก็เริ่มดำเนินการตามแผน ด้วยการแสดงกิริยาให้ภรรยาพอใจแล้วกล่าวว่า:-
                “น้องหญิง การที่พี่รอดชีวิตจากการถูกประหารอย่างหนึ่ง และการที่ได้มาแต่งงานอยู่กับน้องหญิงอีกอย่างหนึ่ง ก็ด้วยอานุภาพของเทวดาที่สิงสถิต ณ ภูเขาทิ้งโจร เพราะพี่ได้บนบานบวงสรวงกับท่านเข้าไว้ ขณะนี้ก็สำเร็จสมประสงค์ทั้ง ๒ ประการแล้ว พี่เห็นว่าควรจะทำการแก้บนถวายเครื่องพลีกรรมแก่เทวดานั้น ขอให้น้องหญิงจงจัดเครื่องพลีกรรมสังเวยให้พร้อมแล้ว ประดับอาภรณ์ให้สวยงามไปร่วมทำพิธีพลีกรรมที่ภูเขาทิ้งโจรนี้กับพี่เถิด”
                 นางภัททา ด้วยความรักสามีสุดหัวใจ จึงเห็นชอบเชื่อตามคำสามีทุกประการ โดยให้ทาสชายหญิงจัดเครื่องพลีกรรมเรียบร้อยแล้ว ขึ้นนั่งรถคันเดียวกันกับสามีไปยังเหวที่ทิ้งโจร เมื่อมาถึงเชิงเขา โจรสัตตุกะบอกกับภรรยาว่า
                 “ให้เหล่าบริวารที่ติดตามมานั้นกลับไปก่อน เราสองคนเท่านั้นที่จะขึ้นไปทำพลีกรรม”
                 เมื่อบริวารแยกทางกลับไปแล้วก็ช่วยกันถือเครื่องสักการะสังเวยขึ้นไปบนยอดเขา นางภัททารู้สึกมีความสุข ความอิ่มใจที่ได้ช่วยกิจของสามี และได้โอกาสมาทัศนาโลกภายนอก แต่พอถึงยอดเขา โจรสัตตุกะก็พูดกับนางด้วยเสียงอันแข็งกร้าวเด็ดขาดว่า:-
                “ภัททา เจ้าจงเปลื้องผ้าห่มออกแล้วถอดเครื่องประดับทั้งหมดมัดห่อรวมกันไว้เดี๋ยวนี้” นางภัททา ได้ฟังคำและเห็นกิริยาของสามีเปลี่ยนไปเช่นนั้นก็ตกใจ ทำอะไรไม่ถูก ละล่ำละลักถามสามีว่า:-
                “นายจ๋า ดิฉันทำอะไรผิดหรือ ?” “นางหญิงโง่ ความจริงเราจะควักตับกับหัวใจของเจ้าถวายแก่เทวดาที่นี่แล้วยึดเอาเครื่องอาภรณ์ของเจ้าทั้งหมดไปใช้จ่ายหาความสุข” “นายจ๋า ก็ทั้งตัวดิฉันกับเครื่องประดับทั้งหมดนี้ก็เป็นของท่านอยู่แล้วทำไมท่านจะต้องฆ่าฉัน เพื่อยึดเครื่องประดับด้วยอีกเล่า”

           • ปัญญามิได้มีไว้เพื่อต้มแกงกิน

               แม้นางจะอ้อนวอนชี้แจงอย่างไร เข้าโจรโง่ใจร้ายก็ไม่ยอมรับฟัง ตั้งหน้าแต่จะฆ่านางเอาเครื่องประดับอย่างเดียว นางตกอยู่ในสถานการณ์จนตรอกมองเห็นความตายอยู่แค่เอื้อม จึงรวบรวมสติไว้แล้วคิดว่า
               “ขึ้นชื่อว่าปัญญาที่ติดกับตัวมาตั้งแต่เกิดนั้น มิได้มีไว้เพื่อต้มแกงกิน แต่มีไว้เพื่อพิจารณาหาหนทางดำเนินชีวิตและแก้ปัญหาชีวิต เราควรจะทำอะไรสักอย่างเพื่อเอาชีวิตรอด” เมื่อคิดดังนี้แล้ว จึงกล่าวกับสามีโจรชั่วว่า:-
               “เอาละนายจ๋า วันท่านท่านถูกราชบุรุษเจ้าหน้าที่บ้านเมืองจับกุมพาตระเวนประจานไปทั่วเมืองก่อนนำมาประหารที่ภูเขาทิ้งโจรนี้ ดิฉันได้อ้อนวอนบิดามารดาให้สละทรัพย์เป็นอันมากไถ่ชีวิตท่านแล้วนำมาแต่งงานกับดิฉัน และดิฉันก็มีความรักต่อท่านอย่างสุดหัวใจ วันนี้ท่านมีความประสงค์จะฆ่าดิฉันให้ได้ เพื่อต้องการเครื่องประดับ แต่ก็ไม่เป็นไร ก่อนที่ดิฉันจะตายขอให้ดิฉันได้แสดงความรักต่อท่านเป็นครั้งสุดท้ายสักหน่อยเถิด เพราะเป็นโอกาสสุดท้ายที่จะได้ใกล้ชิดท่าน ขอให้ท่านจงยืนตรงนั้นแล้วดิฉันจะขอสวมกอดท่านทั้ง ๔ ทิศหลังจากนั้นท่านก็จงประหารดิฉันเถิด”

•   โจรชั่วสิ้นชีพ

              โจรชั่วสัตตุก ะเห็นกิริยาอาการและฟังคำพูดของนางดูเป็นปกติสมจริ งจึงอนุญาตให้นางกระทำตามที่ขอแล้วไปยืนตรงที่นางบอกบนยอดเขา ขณะนั้น นางภัททาผู้เป็นภรรยาได้ทำการประทักษิณเดินเวียนขวารอบสามี ๓ รอบ แล้วไหว้ทั้ง ๔ ทิศ พร้อมกับกล่าวว่า “นายจ๋า นี่เป็นการเห็นท่านเป็นครั้งสุดท้าย นับต่อแต่นี้การที่ดิฉันจะได้เห็นท่าน และท่านจะได้เห็นดิฉันก็คงไม่มีอีกแล้ว” เมื่อกล่าวจบนางก็สวมกอดข้างหน้าแล้วก็เปลี่ยนมากอดข้างหลัง ขณะที่โจรชั่วเผลอตัวอยู่นั้น นางได้ผลักโจรตกลงไปในเหว ร่างของโจรชั่วแหลกเหลวเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย จบชีวิตอันชั่วร้ายของเขาที่เหวทิ้งโจรนั้นนางภัททา หลังจากผลักโจรชั่วผู้สามีตกลงไปในเหวแล้ว คิดว่า “ถ้าเรากลับบ้านไป บิดามารดาก็จะถามว่า สามีเจ้าหายไปไหน ถ้าเราบอกความจริงว่าเราฆ่าเขาตายแล้ว ก็จะพากันประณามติเตียนว่า นางเด็กดือ เจ้าอ้อนวอนพ่อแม่ให้เสียทรัพย์เพื่อไถ่ชีวิตโจรเอามาทำผัว แต่พอได้เขามาแล้วกลับฆ่าเขาตาย เจ้าทำอย่างนี้ได้อย่างไร แม้เราจะบอกว่าเขาต้องการฆ่าดิฉันเพื่อต้องการเครื่องประดับท่านทั้งสองก็จักไม่เชื่อเรา เมื่อเป็นเช่นนี้ เราไม่ควรกลับบ้าน ควรจะไปบวชในสำนักใดสำนักหนึ่งดีกว่า”

         • ถอนผมบวชเป็นเดียรถีย์

              ครั้นนางภัททาคิดดังนี้แล้ว ก็ทิ้งห่อเครื่องประดับไว้บนยอดเขานั้นแล้วเดินลงจากภูเขาไป เดินลัดเลาะไปตามป่า ได้พบสำนักของพวกนิครนถ์ (นักบวชนอกพระพุทธศาสนา) ขอบรรพชาในสำนักนั้น พวกนิครนถ์ถามนางว่า “จะบวชโดยวิธีไหน ?” นางจึงตอบวา “วิธีใดที่จัดว่าเป็นสิ่งสูงสุดในสำนักของท่าน ก็ขอให้ดิฉันบรรพชาด้วยวิธีนั้นนั่นแหละ” พวกนิครนถ์จึงเอาก้านตาลถอนผมนางจนหมดศีรษะ ถือว่าเป็นวิธีบวชที่สูงสุดของสำนัก เมื่อนางบวชแล้วผมที่งอกขึ้นมาใหม่ก็ม้วนกลมเป็นกลุ่มเป็นก้อนไม่เหยียดยาวเหมือนเดิม ดังนั้น นางจึงได้ชื่อว่า “กุณฑลเกสา”

               เมื่อนางบวชแล้ว ได้ศึกษาศิลปะวิทยาการต่าง ๆ ในสำนักนั้นจนจบสิ้นนางเห็นว่าสำนักนี้ไม่มีศิลปะวิทยาที่สูงไปกว่านี้อีกแล้ว จึงออกเที่ยวแสวงหาบัณฑิตผู้รู้ทั้งหลายแล้วขอศึกษาสิ่งที่บัณฑิตเหล่านั้นรู้ทั้งหมด นางเที่ยวแสวงหาบัณฑิตด้วยการโต้วาทะ โดยวิธีใช้กิ่งหว้าปักบนกองทรายแล้วประกาศว่า
              “ถ้าผู้ใดสามารถที่จะโต้วาทะกับเราได้ก็จงเหยียบกิ่งหว้านี้” โดยมีข้อตกลงกันว่า “ถ้าผู้ที่โต้วาทะชนะนางเป็นคฤหัสถ์ นางก็จะขอยอมเป็นทาสรับใช้ แต่ถ้าผู้โต้วาทะชนะเป็นนักบวช นางก็จะขอบวชเป็นศิษย์ในสำนักนั้น”

                นางถือกิ่งหว้าเที่ยวประกาศท้าได้วาทะไปตามหมู่บ้านตำบลต่าง ๆ ชาวบ้านพอได้ทราบข่าวว่านางภัททามาทางบ้านของตนก็จะพากันหลีกหนีไป นางเข้าไปถึงตำบลใดก็จะปักกิ่งหว้าบนกองทรายแล้ว นั่งรอผู้ที่รับคำท้ามาเหยียบกิ่งหว้าของนาง บางตำบลนางรอถึง ๗ วัน ก็ไม่มีผู้ใดกล้ามาเหยียบกิ่งหว้าของนางเลย นางจึงต้องถอนกิ่งหว้าแล้วหลีกต่อไปที่อื่น นางได้ถือกิ่งหว้าท่องเที่ยวไปโดยทำนองนี้ จนได้ชื่อใหม่ว่า “นางชัมพุปริพาชิกา” (นางปริพาชิกาไม้หว้า, ชัมพุ = ไม้หว้า)

         • โต้วาทีกับพระสารีบุตร 

             ครั้งนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้า เสด็จประทับอยู่ที่พระเชตะวันวิหาร กรุงสาวัตถี ฝ่ายนางกุณฑลเกสา ก็ดินทางมาถึงกรุงสาวัตถีแล้วปักกิ่งหว้าบนกองทราย ประกาศท้าโต้วาทะเหมือนเดิมแล้วออกไปหาอาหารบริโภค
               ขณะนั้น พระธรรมเสนาบดีสารีบุตร เดินผ่านมาเห็นเด็ก ๆ กำลังยืนรุมล้อมดูกิ่งหว้าบนกองทรายพร้อมกับวิจารณ์กันเซ็งแซ่ เกิดความสงสัยจึงเข้าไปถามเด็ก ๆ ได้ทราบความโดยตลอดแล้วจึงบอกกับเด็ก ๆ ว่า:-
 
              “เจ้าหนูทั้งหลาย ถ้าอย่างนั้น พวกเจ้าจงเหยียบกิ่งหว้านั้นเถิด”
              “พวกกระผมกลัวขอรับ พระคุณเจ้า”
              “ไม่ต้องกลัวหรอก พวกเจ้าเป็นคนเหยียบ เราจะเป็นผู้แก้ปัญหาเอง”
               เด็กบางพวกไม่กล้า บางพวกก็กลัว ๆ กล้า ๆ แต่ผลที่สุดก็ช่วยกันเหยียบกิ่งหว้าและกองทรายนั้นจนกระจัดกระจาย นางชัมพุปริพาชิกา มาเห็นแล้วก็ดุต่อว่าเด็กเหล่านั้น แต่พอเด็ก ๆ บอกว่า “พระคุณเจ้ารูปนั้น ใช้ให้เหยียบ” นางจึงเข้าไปถามพระเถระว่า:-

              “พระคุณเจ้าผู้เจริญ ท่านจักโต้วาทะถามปัญหากับดิฉันหรือ ?”
              “ใช่แล้ว น้องหญิง” พระเถระตอบ
                นางฟังคำของพระเถระแล้วคิดว่า “เราควรจะให้ชาวพระนครสาวัตถีได้รู้กำลังปัญญาของเราว่ายิ่งใหญ่หาผู้เทียมทานไม่ได้” จึงแจ้งให้ชาวเมืองมาชมมาฟังกันให้มาก ๆ ชาวพระนครพอทราบข่าวต่างก็พากันไปห้อมล้อมจนแน่นขนัด

                ลำดับนั้น พระเถระได้ให้โอกาสแก่นางชัมพุปริพาชิกา เป็นผู้ถามปัญหาขึ้นก่อน นางก็ถามศิลปวิทยาที่ตนเรียนรู้มาตามลัทธิตน ถามจนหมดความรู้ที่นางมีอยู่ พรเถระก็ตอบแก้ได้ทั้งหมด นางก็ตกใจเพราะไม่เคยถามใครมากอย่างนี้มาก่อนเลย จึงนิ่งเฉยอยู่ พระเถระจึงกล่าวว่า
                “ท่านถามเราหมดแล้ว ต่อไปนี้เราจะขอถามท่านบ้าง”
                “ถามเถิด พระคุณเจ้า”
                “ที่ชื่อว่าหนึ่ง นั้นคืออะไร ?”
                “พระคุณเจ้า ดิฉันไม่ทราบ เจ้าข้า”

          • ขอบวชในพระพุทธศาสนา

               นางชัมพุปริพาชิกา ยอมพ่ายแพ้ต่อพระเถระด้วยปัญหาเพียงข้อเดียวเท่านั้น นางหมอบลงกราบแทบเท้าพระเถระ ขอศึกษาวิชาพุทธมนต์ในพระพุทธศาสนา พร้อมทั้งขอบรรพชาและถึงพระเถระเป็นสรณะ แต่พระเถระบอกว่าขอให้นางถึงพระพุทธองค์เป็นสรณะเถิด แล้วพานางไปยังพระวิหารเชตวัน นำเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาค พระพุทธองค์ทรงทราบจริยาอัธยาศัยของนางดีแล้ว จึงตรัสพระธรรมเทศนาคาถาภาศิตว่า:-

               “ผู้ใดกล่าวคาถาที่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ แม้ตั้ง ๑,๐๐๐ คาถา ผู้กล่าวคาถาที่ประกอบด้วยประโยชน์แม้เพียงคาถาเดียว ยังผู้ฟังให้สงบระงับได้ ชื่อว่า ประเสริฐกว่าแล”

                พอจบพระธรรมเทศนาคาถาภาษิต ทั้งที่นางกำลังยืนอยู่นั้น ยังไม่ทันจะนั่งลงก็ได้บรรลุพระอรหัตผล พร้อมด้วยปฏิสัมภิทาทั้งหลาย ในขณะนั้น แล้วกราบทูลขอบรรพชา พระพุทธองค์ ทรงอนุญาตแล้วส่งนางให้ไปบวชในสำนักภิกษุณีสงฆ์

                เมื่อนางบวชแล้ว ได้ชื่อว่า “กุณฑลเกสาเถรี” ภิกษุทั้งหลายสนทนากันในโรงธรรมว่า

               “พระภัททากุณฑลเกสาเถรีนี้ ยิ่งใหญ่จริงหนอ บรรลุพระอรหัตผลในเวลาจบคาถาเพียง ๔ บาท
เหล่านั้น”

                พระศาสดาทรงปรารภเหตุนี้ จึงทรงสถาปนาพระภัททากุณฑลเกสาเถรี ในตำแหน่งเอตทัคคะ เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุณีทั้งหลายในฝ่าย ผู้ตรัสรู้เร็วพลัน
      บันทึกการเข้า
ดร.มนตรี
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,540

« ตอบ #4765 เมื่อ: 22 ธันวาคม 2554, 08:47:07 »

สวัสดีตอนเช้าครับพี่สิงห์ ... และพี่น้องทุกท่าน


อนุโมทนาบุญ ด้วยครับ ...


เช้าวันนี้สำหรับผมแล้ว เป็นเช้าที่ภาษาวัยรุ่นเรียกว่างานเข้า ... ( มาเยอะแยะเลย ^_^ ) เข้ามาอ่านข้อคิดดีๆ จากพี่สิงห์ก่อน จะได้ตั้งสติ ให้มีสมาธิ และใช้ปัญญา จัดการกับงาน ให้ผ่านไปได้ อย่างสบายๆ  ....  รักนะ


ปล.

งานคืนสู่เหย้า ประกาศหน้าเว็บแล้วครับ  จัดวันเสาร์ที่ 11 ก.พ.  .... ซึ่งช่วง 10-18 ก.พ. ปีหน้า ผมจะอยู่ที่ประเทศ อังกฤษ  ... คงได้ติดตามบรรยากาศผ่านหน้าเว็บ  ครับ
หึหึ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #4766 เมื่อ: 22 ธันวาคม 2554, 10:04:37 »

คำสอนของ

พระพระโพธิญารเถระ (หลวงพ่อชา สุภัทโท) วัดหนองป่าพง

เรื่องคำถามและคำตอบแนวทางการปฏิบัติธรรม


                 
                    พระสุญโญภิกษุ  ภิกษุชาวอเมริกาได้ ถามหลวงพ่อชา  สุภัทโท ในระหว่างที่มาบวช เรียน ปฏิบัติธรรม ที่วัดหนองป่าพง ภายหลังจากลาสิกขอบทแล้ว ได้เขียนเป็นหนังสือ  หลวงพ่อชา  ได้ให้พระวีระพล แห่งวัดหนองป่าพง ได้ตรวจสอบแล้ว และได้พิมพ์ขึ้นเป็นภาษาไทย ออกเผยแผ่

                  คำถาม-คำตอบ ข้อที่ ๑๔

                     "ท่านอาจารย์เคยพิจารณาสูตรของท่านเว่ยหลาง สังคปรินายก นิกายเซน องค์ที่ ๖ บ้างไหม?"

                     ท่านฮุยหนึ่ง มีปัญญาเฉียบแหลมมาก คำสอนของท่านลึกซึ้งยิ่งนัก ซึ่งไม่ใช่ของง่ายที่ผู้เริ่มต้นปฏิบัติจะเข้าใจมากนัก แต่ถ้าท่านปฏิบัติตามศีล  ด้วยความอดทน และถ้าท่านฝึกที่จะไม่ยึดมั่นถือมั่น ท่านก็จะเข้าใจได้ในที่สุด

                     ครั้งหนึ่งลูกศิษย์ อาศัยกุฏิอยู่ในหลังคามุงแฝก ฤดูฝนนั้น ฝนตกชุก แล้ววันหนึ่งพายุก็ได้พัดเอาหลังคากุฏิโหว่ไปครึ่งหนึ่ง เขาไม่ขวนขวายที่จะมุงมันใหม่  จึงปล่อยให้ฝนรั่วอยู่อย่างนั้น  หลายวันผ่านไป  ได้ถามถึงกุฏิของเขา  เขาตอบว่า “เขากำลังฝึกการไม่ยึดมั่นถือมั่น”

                     นี่เป็นการฝึกการยึดมั่นถือมั่นโดยไม่ใช้หัวสมอง มันก็เกือบจะเหมือนกับ  "การวางเฉยของควาย"

                     ถ้าท่านมีความเป็นอยู่ดี อยู่แบบง่ายๆ ไม่เห็นแก่ตน ท่านก็จะรู้ซึ้งของปัญญาของท่านฮุยหนึงได้ เอง
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #4767 เมื่อ: 22 ธันวาคม 2554, 10:09:27 »

สวัสดีครับ ท่านขุน

              เมื่อวานพี่สิงห์ได้ไปเปิดอ่านดูพระไตรปิฎก ของ ดร.พระมหาสุเทพ ชอบใจ จึงอยากจะถามว่า พี่สิงห์ จะสามารถสั่งซื้อ หนังสือพระไตรปิฎก ที่เป็นภาษาไทย ทั้งหมดประมาณ ๔๐ กว่าเล่ม เอามาไว้ศึกษา เป็นการส่วนตัวที่บ้าน ได้ที่ไหนครับ

              ขอบคุณมาก

              สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Khun28
Full Member
**


ดูกายเห็นจิต ดูคิดเห็นธรรม
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: RCU2528
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์
กระทู้: 784

« ตอบ #4768 เมื่อ: 22 ธันวาคม 2554, 10:21:22 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 22 ธันวาคม 2554, 10:09:27
สวัสดีครับ ท่านขุน

              เมื่อวานพี่สิงห์ได้ไปเปิดอ่านดูพระไตรปิฎก ของ ดร.พระมหาสุเทพ ชอบใจ จึงอยากจะถามว่า พี่สิงห์ จะสามารถสั่งซื้อ หนังสือพระไตรปิฎก ที่เป็นภาษาไทย ทั้งหมดประมาณ ๔๐ กว่าเล่ม เอามาไว้ศึกษา เป็นการส่วนตัวที่บ้าน ได้ที่ไหนครับ

              ขอบคุณมาก

              สวัสดี


เรียนพี่สิงห์
           ผมจะสอบถามให้ครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #4769 เมื่อ: 22 ธันวาคม 2554, 13:12:29 »

อ้างถึง
ข้อความของ Khun28 เมื่อ 22 ธันวาคม 2554, 10:21:22
อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 22 ธันวาคม 2554, 10:09:27
สวัสดีครับ ท่านขุน

              เมื่อวานพี่สิงห์ได้ไปเปิดอ่านดูพระไตรปิฎก ของ ดร.พระมหาสุเทพ ชอบใจ จึงอยากจะถามว่า พี่สิงห์ จะสามารถสั่งซื้อ หนังสือพระไตรปิฎก ที่เป็นภาษาไทย ทั้งหมดประมาณ ๔๐ กว่าเล่ม เอามาไว้ศึกษา เป็นการส่วนตัวที่บ้าน ได้ที่ไหนครับ

              ขอบคุณมาก

              สวัสดี


เรียนพี่สิงห์
           ผมจะสอบถามให้ครับ


                   
                   รับทราบ ขอบพระคุณมากครับ

                   สวัสดี
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #4770 เมื่อ: 22 ธันวาคม 2554, 18:10:23 »

เฉลยคำตอบ! ทำไมน้ำไม่ท่วม "รพ.อินทร์บุรี" และที่มาของ "นักต่อสู้ชลประทาน" 2 เดือน 3 เทคนิค
วันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2554 เวลา 17:00:00 น.
 
จังหวัดสิงห์บุรีเป็นจังหวัดเล็กๆ ซึ่งทุกคนคงจำได้ดี เพราะสิงห์บุรีเป็นจังหวัดหนึ่งที่ถูกน้ำท่วมหนัก เกือบทุกพื้นที่

โดยเฉพาะข่าวใหญ่ นั่นก็คือประตูระบายน้ำบางโฉมศรี อ.อินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี

ขณะเดียวกัน ยังเป็นจังหวัดที่มีแม่น้ำเจ้าพระยาไหลผ่าน

ขึ้นชื่อว่าอยู่ติดแม่น้ำ ก็คงเป็นเรื่องแกติที่สิ่งปลูกสร้างทั้งหลายจะถูกน้ำท่วมในฤดูน้ำหลาก

ทำให้ได้รับความเสียหายไม่น้อย

แต่จะมีซักกี่ที่ล่ะ ที่จะอยู่กับน้ำได้อย่างมีความสุข และไม่คิดว่า น้ำท่วมเป็นปัญหา หรือจะมีซักกี่ที่ล่ะ จะสามารถป้องกันน้ำท่วมได้

ก่อนจะได้รับฉายานามว่า "นักต่อสู่้น้ำชลประทาน"


เหตุที่ได้รับฉายานามดังกล่าว เจ้าตัวเล่าให้ฟังว่า น้ำจะท่วมหรือไม่ท่วมขึ้นอยู่กับกรมชลประทาน เพราะว่าอยู่ริมแม่น้ำ โดนน้ำจากชลประทานท่วม และอยู่ในแม่น้ำในสายตาชลประทาน น้ำขึ้นมาตรงนี้ไม่ถือว่าน้ำท่วม แต่ถือว่าน้ำล้นตลิ่ง


นี่คือเหตุผลง่ายๆ ก่อนจะเปรียบเทียบกับ "นักต่อสู้น้ำป่าไหลหลาก" และถามว่าทำไมถึงได้รับฉายานามนั้น
 

ก็เพราะว่า ต้องต่อสู้กับน้ำป่านั่นเอง


เห็นแบบนี้แล้ว ใครจะเชื่อว่านักต่อสู้น้ำชลประทานผู้นั้น คือ "เภสัชกร" ประจำโรงพยาบาลอินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี
 

ซึ่งเป็นโรงพยาบาลหนึ่งที่ติดริมแม่น้ำเจ้าพระยา และผ่านเหตุการณ์น้ำท่วมมาหลายต่อหลายครั้ง หรือนับเป็นสิบๆ ปี แต่น้ำยังไม่เคยท่วมในโรงพยาบาล ในทั้งๆ พื้นที่อื่นแทบจะต้องหนีตายกันอย่างโกลาหล

คำถามก็คือว่า แล้วเป็นเพราะอะไร? "มติชนออนไลน์" มีคำตอบ และจะได้รู้เทคนิคว่ามีวิธีในการรับมือกับสถานการณ์น้ำท่วมอย่างไร

"ทิพย์พร สุคติพันธ์" ให้สัมภาษณ์กับ "มติชนออนไลน์" ไว้อย่างน่าสนใจว่า เรียนรู้ที่จะรับมือกับน้ำมาตั้งแต่เมื่อปี 2538 หรือเมื่อเกิดอุทกภัยครั้งใหญ่ และโรงพยาบาลนี้ มีจุดต่างจากที่อื่นคือ เวลาน้ำท่วมบุคลากรทุกคนจะออกมาช่วยกัน ไม่ว่าจะเป็นหมอ พยาบาล ทุกๆ คนจะช่วยกันป้องกันไม่ให้น้ำท่วม และโรงพยาบาลนี้การที่หมอหรือพยาบาลจะออกมากรอกทรายใส่กระสอบถือเป็นเรื่องปกติ ใครที่มีแรงพอก็จะออกมาช่วยกันทำ


เมื่อถามว่าการวางแผนป้องกันน้ำท่วมมีจุดเริ่มต้นอย่างไรนั้น ทิพย์พร บอกว่า เริ่มที่การศึกษาเรื่องน้ำท่วมว่าเกิดอะไรขึ้น คือ จะเริ่มดูจากแผนที่ทางอากาศประกอบกับการคาดเดาสถานการณ์ ไล่ตั้งแต่ภาคเหนือลงมาจนถึงจังหวัดพิจิตร ตั้งแต่ช่วงเดือนมิถุนายน ซึ่งเป็นช่วงก่อนเข้าฤดูฝน และที่ จ.พิจิตร จะเป็นที่ราบกว้างใหญ่ น้ำจากแม่น้ำยมและแม่น้ำน่านจะไหลลงมากองรวมกันและค่อยๆ เคลื่อนที่อย่างช้าๆ ลงมาที่ อ.ชุมแสง โดยจะอำเภอนี้เป็นจุดชี้ว่าน้ำจะท่วมโรงพยาบาลหรือไม่ พอหลังจากที่ชุมแสงท่วมแล้วนั้น น้ำก็จะค่อยๆ ไหลลงมาท่วมที่จ.นครสวรรค์ แล้วก็จะมาถึงเขื่อนเจ้าพระยา


ขณะเดียวกัน ก็ได้มีการหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ตประกอบ โดยเฉพาะการใช้ข้อมูลของกรมชลประทาน ( http://water.rid.go.th/waterreport/ )โดยเว็บไซต์นี้จะมีหัวข้อสำคัญ ไม่าจะเป็นภาพถ่ายดาวเทียมของพายุ ปริมาณน้ำในเขื่อน รายงานสถานการณ์ทั่วประเทศ ซึ่งสิ่งนี้สำคัญที่สุด เพราะนายทิพย์พร บอกว่า จะสามารถเห็นได้เลยว่าน้ำที่ตรงจุดนั้นมีเท่าไรบ้าง


มีวิธีการเตรียมตัวป้องกันน้ำท่วมต่างจากที่อื่นอย่างไร?


นายทิพย์พร กล่าวว่า แผนของโรงพยาบาลอินทร์บุรีนั้น พอถึงเดือนมิถุนายนฝนเริ่มตก ก็จะเริ่มดูข้อมูลน้ำจากชลประทานถ้าหากช่วงเดือนมิถุนายนถึงเดือนกรกฎาคม น้ำเริ่มท่วมพิจิตร ทีมงานก็จะเริ่มเฝ้าติดตามสถานการณ์ ถ้าหากว่าท่วมเยอะ ที่นี่ก็จะไม่รอดแน่ๆ เช่นเดียวกับปีนี้ แต่จะโดนหนักหรือโดนน้อยขึ้นอยู่กับว่าน้ำจะอยู่นานหรือไม่นาน ของแถมเพิ่มมาก็คือ น้ำจากเขื่อนสิริกิต์ ซึ่งในปีนี้มีน้ำเยอะมากถึง 70 - 80% ตั้งแต่ต้นปี ยิ่งพอเจอพายุไหหม่า พายุนกเตน น้ำก็ยิ่งเยอะ เราก็มองแล้วว่า เขื่อนนี้จะต้องปล่อยน้ำมาเพิ่มอีกแน่ๆ

หลังจากพอเรารู้ปริมาณน้ำแล้ว ก็เข้าสู่การต้องเริ่มเตรียมตัว โดยการเตรียมกระสอบทรายพร้อมๆ กับการเช็คอุปกรณ์ เครื่องสูบ ทางเดิน และอื่นๆ สิ่งสำคัญ เราต้องอ่านใจสำนักชลประทานที่ 12 ว่าจะมีการปล่อยน้ำอย่างไร ชลประทานทำอะไร ซึ่งปีนี้เดาใจถูก เพราะอย่าลืมว่าน้ำที่ท่วมนั้น เป็นน้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยา โดยเฉพาะการสังเกตุถนนเลียบฝั่งแม่น้ำทั้ง 2 ข้าง ขณะเดียวกัน ก็มีการศึกษาเรื่องภาพถ่ายดาวเทียมต่างๆ ประกอบ แต่ตอนนี้ยังอ่านไม่ขาดว่า ถ้าน้ำท่วมจ.พิจิตรเท่านี้แล้ว จะรู้ได้ว่าจะท่วมโรงพยาบาลอินทร์บุรีขนาดไหน
 

คิดว่าในปีถัดๆ ไปจะพยายามศึกษาเรื่องนี้ให้มากขึ้น ซึ่งตอนนี้นั้นระยะเวลาจากเขื่อนเจ้าพระยามาถึงที่นี่จะใช้เวลาประมาณ 5 - 6 ชั่วโมง ถ้าจากนครสวรรค์จะมาถึงที่โรงพยาบาลอินทร์บุรี ภายใน 9 ชั่วโมง โดยจะรู้แค่ว่าจะท่วมสูงเท่าไร โดยการใช้จุดวัดที่นครสวรรค์ ก่อนจะสามารถยกของหนีน้ำล่วงหน้าได้ แต่หลังๆ มานี้สามารถตอบคำถามได้ว่า พรุ่งนี้น้ำจะขึ้นเท่าไร
 

จุดเด่นคือการเรียงกระสอบทราย

นายทิพย์พร ยังกล่าวอีกว่า ที่นี่เรียงกระสอบทรายไม่เหมือนที่อื่น คือที่อื่นเห็นนำมากองๆ กันไว้ เช่นเดียวกับทหารเรียงกระสอบแบบบังเกอร์ ซึ่งน้ำรั่วซึมได้ และจากประสบการณ์แล้ว จะเรียงกระสอบแบบบางๆ แบนๆ ทราย 2 พลั่วต่อกระสอบหนึ่งถุง ไม่ปิดปากถุงกระสอบแล้ววางลงไป แล้วใบที่ 2 ก็วางทับตรงปากถุงใบแรกไปเรื่อยๆ ชั้นที่ 2 ชั้นที่ 3 ก็จะมีคนเดินบนย่ำให้แนบติดกัน พอ 4 - 5 ชั้น ก็จะทำแถวสอง เมื่อถามว่าวิธีการนี้มาจากไหนนั้น ก็ยังไม่รู้ว่าใครเป็นคนเริ่มต้น และเริ่มทำมาตั้งแต่ปี 2545 ซึ่งกล้าบอกได้เลยว่าที่อื่นหรือที่ตามข่าวเรียงไม่เป็น


ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งนั่นก็คือ การเลี้ยงน้ำ ซึ่งน้ำที่ผุดจากใต้ดินก็จะมีการสร้างบ่อล้อมไว้ ความสูงเท่าน้ำข้างนอก แล้วปูผ้าพลาสติกไว้ข้างใน พอน้ำข้างในกับข้างนอกเท่ากัน น้ำก็จะหยุดซึม นอกจากนี้แล้วยังมีวิวัฒนาการในเรื่องของการสร้างทางเข้าออก สิ่งนี้ไม่เหมือนใครจริงๆ ซึ่งแต่เดิมนั้นในปี 2538 ใช้การพายเรือ ปี 2545 ใช้ไม้มาทำสะพานเหมือนที่ทำกันทั่วๆ ไป ลงทุนครั้งละ 4 - 5 หมื่นบาท พอน้ำแห้งไม้พวกนี้ก็จะเสียหายใช้การไม่ได้อีก พอปี 2549 ก็ใช้ขอบบ่อซีเมนต์รองไม้กระดานแทน แต่สิ่งที่ตามมาคือการยกหนีน้ำยาก ก่อนจะเปลี่ยนมาใช้เหล็กนั่งร้านที่สามารถยกขึ้นหรือ โดยเชื่อว่าที่อื่นไม่ได้ทำ


มากกว่านั้น นายทิพย์พร กล่าวต่อว่ายังใช้รถอีแต๋นในการสัญจร คือ เวลาน้ำท่วมไม่สูงเรือยังวิ่งไม่ได้ รถก็ลุยน้ำลำบาก รถอีแต๋นจึงมีประโยชน์ รถอีแต๋นใช้ขนกระสอบทรายดีกว่ารถกระบะมาก
 

การรู้ล่วงหน้าคือหัวใจสำคัญในการรับมือน้ำท่วม


ส่วนการรับมือกับคนไข้นั้น เมื่อน้ำใกล้ถึงระดับ 80 เซนติเมตร จะมีการสั่งออกซิเจนมาสำรองไว้ ไม่ว่าที่โรงพยาบาลจะเหลือเท่าไหร่ ซึ่งปกติแล้วออกซิเจน 1 ถึงใช้ได้ 20 วัน ขระเดียวกันรถออกซิเจนจะวิ่งเข้ามาได้ที่น้ำลึกไม่เกิน 80 เซนติเมตร เมื่อนี้น้ำท่วม 70 วัน ทำให้ต้องย้ายผู้ป่วยหนักออกจากโรงพยาบาลช่วงตอนน้ำท่วมกลางๆ แต่ที่เหลือก็พออยู่ได้ เช่นเดียวกับยาและเวชภัณฑ์อื่นๆ


อีกเรื่องหนึ่งก็คือ เมื่อระดับน้ำภายนอกท่วมสูงถึง 130 เซนติเมตร ซึ่งเป็นระดับเดียวกับเตียงคนไข้ในโรงพยาบาล ก็จะมีการอพยพทุกอย่างที่อยู่ต่ำกว่าระดับดังกล่าว เราจะไม่เสี่ยง ทั้งนี้ถือว่า คนไข้สำคัญที่สุด และเรื่องไฟก็ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ เพราะโรงพยาบาลต้องใช้ไฟกันทั้งโรงพยาบาล ฉะนั้น เมื่อคนยังอยู่ในพื้นที่จะเกิดความวุ่นวาย ซึ่งจะเห็นได้ว่า พอน้ำมาจะมุ่งแต่อพยพคนไข้โดยไม่ได้ย้ายอย่างอื่น จนได้รับความเสียหาย


เมื่อถามว่าอะไรลำบากที่สุด นายทิพย์พร กล่าวว่า ช่วงต้นหรือช่วงประมาณ 10 วันแรกของน้ำท่วม เพราะน้ำจะขึ้นเรื่อยๆ จะต้องต่อสู้ตลอด ต้องกรอกทราย เรียงกระสอบ สูบน้ำ ต้องทำสะพาน คือช่วงดังกล่าวจะเป็นภาคแรงงานทั้งหมด ต้องเฝ้าระดับน้ำจนถึงช่วงดึก

 
ฉะนั้น การสร้างสะพาน การเรียงกระสอบ และการพยากรณ์ล่วงหน้า คือจุดเด่นหรือเทคนิคสำคัญที่เชื่อว่าที่อื่นไม่มี ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา

คิดว่าชลประทานไม่ได้โกหก แต่ประชาชนไม่เข้าใจมากกว่า


ที่ผ่านมานั้นเป็นการแจ้งเตือนที่ผิด ข้อมูลบิดเบือน ซึ่งคิดว่าที่ผ่านมากรมชลประทานไม่ได้โกหก เพียงแต่ประชาชนไม่เข้าใจ เพราะมีการรายงานแบบนักวิชาการ อย่างเช่นน้ำจะไปที่นั่น 50 คิว แล้วประชาชนจะรู้ได้อย่างไรว่ามีปริมาณน้ำเท่าไหร่ จะทำอะไรกับบ้านได้บ้าง ซึ่งกรมชลประทานควรจะมีวิธีรายงานที่ทำให้ประชาชนเข้าใจได้ง่ายกว่านี้ เปลี่ยนจากภาษาวิชาการให้เป็นภาษาชาวบ้าน ขณะเดียวกัน ที่ผ่านมานั้น เห็นความเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับน้ำท่วมนั่นก็คือ น้ำมีเยอะขึ้น ฝนตกเยอะขึ้น และน้ำท่วมถี่มากขึ้น


เวลาน้ำจะท่วมไม่ได้เริ่มที่เขื่อนเจ้าพระยา แต่น้ำจะเริ่มก่อนถึงเขื่อนเจ้าพระยาก่อนจะมาท่วมในพื้นที่ไต้เขื่อนอีก 2 - 3 เดือน แต่คนจำนวนมากจะเริ่มขยับตัวก็ต่อเมื่อน้ำเริ่มมาอยู่ที่ปากเขื่อนเจ้าพระยาแล้ว แต่ทางเราจะเริ่มขยับตัวก่อน ดูง่ายๆ คือโรงพยาบาลจะซื้อกระสอบในราคา 4 บาท แต่คนกรุงเทพฯ จะซื้อกระสอบแพงกว่านี้หลายเท่าตัว


"เช่นเดียวกับชาวนา ภาคกลางจะทำนาปีละ 2 - 3 ครั้งๆ ละ 100 วัน และเมื่ออีก 3 เดือนน้ำจะท่วม ทำไมถึงไม่บอกชาวนาว่าไม่ต้องลงข้าว โดยชดเชยให้เท่าไรก็ว่าไป ไม่ได้ทำนาแต่ได้เงิน ดีกว่าการที่ชาวนาลงเมล็ดพันธุ์ไปแล้ว ก่อนจะถูกน้ำท่วมแล้วค่อยมาชดเชยให้ทีหลัง ซึ่งขาดทุน เช่น ปีนี้รัฐบาลจ่ายให้ 2 พันบาทต่อไร่ แต่ลงทุนมากกว่านั้น เมื่อบอกชาวนาว่าไม่ต้องลงทุนทำนาแต่จะจ่ายให้ 2 พันบาท จะดีกว่านี้เยอะ ควรจะบอกเขาได้ว่าที่ตรงนี้ของคุณท่วมแน่ๆ ไม่ต้องลงข้าว ก็ถือเป็นการเช่าที่นาแล้วแล้วระบายน้ำลงไปซะ ก็จะไม่ทำให้ชาวบ้านเดือดร้อนหนักไปกว่านี้" นายทิพย์พร อธิบาย


พอจะยกระดับเป็น "อินทร์บุรีโมเดล" ได้หรือไม่?


ก็พอได้นะ นายทิพย์พร ตอบอย่างไม่ลังเล อย่างน้อยที่สุดเรามีกลไก มีการวางระบบ มีแผน ซึ่งหลายๆ ส่วนนั้น กระทรวงสาธารณสุขก็นำไปเป็นแบบอย่าง เพราะในส่วนของเราคือแผนป้องกัน ที่สำคัญ คนไทยไม่เคยเรียนรู้การรับมือกับสถานการร์น้ำท่วม

ปีถัดไปวิเคราะห์สถานการณ์น้ำท่วมอย่างไรบ้าง?

นายทิพย์ กล่าวว่า ปีหน้า "ลานีญ่า" ยังอยู่ ซึ่งจะต้องเฝ้าระวังตั้งแต่เดือนมิถุนายนเป็นต้นไป พอเดือนพฤษภาคมก็ต้องเริ่มประชุมได้แล้วว่า จะปรับแก้อะไรบ้าง และปีนี้เองก็ไม่คิดว่าน้ำจะท่วมด้านหน้าโรงพยาบาลสูงถึง 160 เซนติเมตร แม้มีคนเสนอให้ทำถนนยกสูงเท่ากับความสูงถนนด้านหน้าโรงพยาบาลเพื่อให้ช่วงน้ำท่วมสามารถสัญจรไปมาได้ แต่ชาวบ้านที่อยู่บริเวณนั้น ก็ไม่ยอมอยู่ดี

ทั้งหมดนี้จึงอาจเรียกได้ว่าเขาคือ "นักสู้น้ำชลประทาน" ตัวจริง ก่อนจะสามารถรับมือกับสถานการณ์น้ำและป้องกันโรงพยาบาลแห่งนี้ไว้ได้สำเร็จ

ซึ่งน้อยนักที่สถานพยาบาลไม่กี่แห่งจะป้องกันน้ำท่วมได้

ขณะเดียวกัน คงจะเป็นคำตอบได้ว่า ทำไมโรงพยาบาลอินทร์บุรีน้ำถึงไม่ท่วม !



เรื่อง: วุฒิพงษ์ ภาชนนท์, ทิพาภรณ์ สุคติพันธ์
 
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1324458028&grpid=&catid=09&subcatid=0905



นายทิพย์พร สุคติพันธ์ เภสัชกร รพ.อินทร์บุรี





สะพานปรับระดับได้







  วิธีเรียงกระสอบทราย





      บันทึกการเข้า
khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #4771 เมื่อ: 22 ธันวาคม 2554, 18:33:32 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 22 ธันวาคม 2554, 10:09:27
สวัสดีครับ ท่านขุน

              เมื่อวานพี่สิงห์ได้ไปเปิดอ่านดูพระไตรปิฎก ของ ดร.พระมหาสุเทพ ชอบใจ จึงอยากจะถามว่า พี่สิงห์ จะสามารถสั่งซื้อ หนังสือพระไตรปิฎก ที่เป็นภาษาไทย ทั้งหมดประมาณ ๔๐ กว่าเล่ม เอามาไว้ศึกษา เป็นการส่วนตัวที่บ้าน ได้ที่ไหนครับ

              ขอบคุณมาก

              สวัสดี


พี่สิงห์คะ,

ก่อนจะซื้อ,พี่สิงห์โหลดมาอ่านก่อน
ทางหน้าจอเอามั้ยคะ?

หากพี่มีคอม มีlaptop,notebookติดตัว
clickอ่านเมื่อไหร่ได้ทุกเมื่อ.

พี่แกะzipเองนะคะ


http://www.mediafire.com/?q064xm70pbb95qh
      บันทึกการเข้า


khesorn mueller
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2527
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 71,885

« ตอบ #4772 เมื่อ: 22 ธันวาคม 2554, 18:41:25 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 22 ธันวาคม 2554, 08:22:09
สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน

                                      วันนี้ผมต้องเดินทางไปทำงานที่นครศรีธรรมราช Boarding 12:15 น. โดย Nok Air ครับ หวังว่าอากาศที่นครศรีธรรมราชคงจะดีสามารถให้เครื่องบินลงได้ และทางนครดีซี ได้โทรศัพท์มาเตือนว่า พอลงเครื่องแล้วให้แวะไปรับ ของขวัญปีใหม่ ที่คุณสุภา(น้องเปี๊ยก แห่งการบินไทย กระบี่) ฝากเอาไว้ให้ที่เค้าเตอร์เช็คอิน ด้วย  พี่สิงห์ ต้องขอขอบคุณ  คุณน้องเปี๊ยก ด้วยครับที่กรุณา

                                          สวัสดีทุกท่านครับ อย่าลืมเช้านี้ทำจิตให้ผ่องใส ความกังวลหรือทุกข์จะไม่เกิดครับ



พี่สิงห์ถึงนครดีซีโดยสวัสดิภาพรึยังคะ?
ช่างเรียกคะ!
ฟังดูหรูไปเลย..

ที่ฝั่งขะโน้นฝนตกค่ะ
อากาศมัวซัว
      บันทึกการเข้า


Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #4773 เมื่อ: 22 ธันวาคม 2554, 20:57:50 »

สวัสดีค่ะ คุณน้องหนุ๋งหนิ๋ง และชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน

            - พี่สิงห์ ถึงนครศรีธรรมราช เรียบร้อยแล้ว วันนี้เครื่องบินช้าตามเคย คือ ต้องเสียเวลานั่งอยู่บนเครื่อง ๒๐ นาที เขาจึงอนุญาติให้ติดเครื่อง Taxi มารันเวย์ได้ และมาเข้าคิวรอบินขึ้นอีก ๑๕ นาที ผลคือ ล่าช้ากว่ากำหนด ตามเคย แต่โชคดี ที่สามารถลงได้ทันเพราะกึ่งๆ พายุกำลังจะมาฝนตกหนัก อากาศอยู่กรุงเทพฯ กำลังสบาย แต่พอมาถึงนครศรีธรรมราช ฝนตก ไม่เห็นตะวันเลย คนละเรื่องเลย วันนี้

            - เมื่อสักครู่น้องสาวได้โทรศัพท์มาขอความเห็นเรื่องแม่ คือแผลที่เป็นรองช้ำที่นิ้วเท้าเนื่องจากเส้นเลือดตีบอุดตัน ไม่สามารถไปเลี้ยงเซลต่างๆ ได้ ทำให้แผลเขียวช้ำ ถ้าปล่อยไว้เนื้อจะตาย และจะรามมากขึ้น มีทางเลือกสองทาง คือ ปล่อยรักษาตามอาการ หรือ เข้ากรุงเทพฯไปโรงพยาบาลทรวงอก เพื่อสวนหลอดเลือดบอลลูน และต้องตัดนิ้วเท้าทิ้ง  ความเห็นน้องสาวคือ อยากปล่อยตามธรรมชาติ รักษาตามอาการ เพราะผ่าตัดต้องวางยาสลบ แม่อาจจะทนไม่ได้เพราะอายุมากแล้ว น้องสาวบอกว่ายังสามารถคุยกับแม่ได้ทุกวัน ยังสงสาร ยังห่วงอยู่  อยากให้แม่อยู่นานๆ   ความเห็นผมคือ ปล่อยตามธรรมชาติ รักษาตามอาการ ถ้าไม่ดีขึ้นให้บอก  ผมจะพาแม่กลับบ้าน ตามที่ได้รับปากแม่เอาไว้ ผมรับได้ทุกสถานะการณ์ และได้ถามพี่ชายที่เป็นหมอ อดีตรองปลัดกระทรวงสาธารณสุข พี่หมอ บอกว่า ถ้าเราไปตัดก็เหมือนไปเร่งให้แม่ไปเร็วเกินไป อยากจะปล่อยให้เป็นไปแบบนั้นคือ รักษาตามอาการ แต่จะขอไปดูแม่ก่อน แล้วจะตัดสอนใจ

               เป็นอันว่า อาทิตย์หน้า ผมคงไม่สามารถไปปฏิบัติธรรมที่วัดป่าสุคะโตได้  ขอไปอยู่กับแม่ ดีกว่า วันที่ ๑ มกราคม เป็นวันเกิดแม่ ครบ ๙๓ ปี ครับ

               ราตรีสวัสดิ์ทุกท่าน ครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #4774 เมื่อ: 23 ธันวาคม 2554, 08:05:29 »

สวัสดีคุณน้องหนุ๋งหนิ๋ง ดร.สุริยา และชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน

                เรื่องแม่ ผมคิดถูกหรือผิด โปรดแนะนำ ที่ผมอยากปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ เพราะถ้าทำบอลลูนขยายหลอดเลือดที่ขา ก็ทำได้เฉพาะเส้นเลือดใหญ่ แต่เส้นเลือดฝอยคงตีบเช่นเดิม ถ้าตัดนิ้วเท้าที่ไม่มีเลือดไปเลี้ยง ต้องวางยาสลบ และจะลามขึ้นมาเรื่อยๆ จ้องตัดร่ำไป และปัญหาการวางยาสลบแล้ว จะฟื้นหรือไม่ เพราะอายุมาก และร่างกายมันจะรับไม่ไหว แบบคุณ John Skinner  หรือคุณพ่อ ดร.กุศล  ที่ผ่าตัดลำไส้ แล้วติดเชื้อ จะทำให้ท่านจากเราไปเร็วขึ้น แต่ถ้าปล่อยไว้อย่างนี้ อยู่ได้อีกพอสมควร แต่แผลจะตาย เพราะไม่มีเลือดไปเลี้ยง และได้รับทุกขเวทนาพอสมควร แม่ยังคุยรู้เรื่อง มีสติ เจอหน้าผมจะต้องบอกทันทีอย่าลืมพาแม่ไปบ้านนะ ทุกครั้ง ไม่คุยเรื่องอื่นทั้งสิ้น เพราะกลัวผมลืม

                 ประวัติแม่เคยเป็นง่อย(ในภาษาชาวบ้าน ตั้งแต่คลอดลูกคนแรก และเสียชีวิต  ยายของแม่ก็เป็นง่อย และแม่เส้นเลือดในสมองตีบ มาตั้งแต่อายุประมาณ ๔๐ ปี แบบอัมพฤกษ์ย่อยๆ มานาน แต่ก็มีวินัยในการกินยา และดูแลตัวเอง จนไม่สามารถช่วยตัวเองได้)

                เช้านี้อากาศที่นครศรีธรรมราชท้องฟ้าคลึ้ม เมฆมาก ฝนคงตกทั้งวัน ครับ

                เมื่อเช้าผมนั่งปฏิบัติธรรมในห้องตั้งแต่ 04:45 น. และเวลาหกโมงเช้าไปเดินจงกรมบนที่เดินสายพานห้องฟิตเนส เพราะที่เทอเรสโรงแรมฝนตก ขระเดินจงกรมจิตมันคิดเรื่อง "อัตตา" เลยปล่อยให้มันเพ่ง เป็นอารามณืเดียวอยู่อย่างนั้น เดินได้หนึ่งชั่วโมง เหงื่อออก พอสมควร จึงรำชีกง และโยคะ และไปรับประทานอาหารเช้า ครับ

                สวัสดี
      บันทึกการเข้า
  หน้า: 1 ... 189 190 [191] 192 193 ... 681   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

ทำไมหอพักนิสิตจุฬาจึงเป็นดินแดนมหัศจรรย์            " ไม่ได้เป็นแค่หอให้นอนพัก  แต่เป็นบ้านอบอุ่นรักให้อาศัย  ไม่เป็นแค่ที่ซุกหัวยามหลบภัย  แต่สร้างใจให้เข้มแข็งแกร่งการงาน"  <))))><