27 มิถุนายน 2567, 21:41:41
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 70 71 [72] 73 74 ... 681   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: คุย กับ คุณมานพ กลับดี อดีตประธานชมรม ๓ สมัย  (อ่าน 3329105 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 3 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #1775 เมื่อ: 07 เมษายน 2554, 12:56:38 »

สวัสดีค่ะ คุณน้องอ้อย 17 ที่รัก
                         ถ้าวันที่ ๑๓ เมษายนนี้ เธอไปบ้านพี่สิงห์ มีขนมจีนเลี้ยงแน่นอน เพราะทุกปีพี่สาวจะทำขนมจีนเลี้ยงน้องๆ หลานๆ ครับ แต่ฝีมือลดลงเพราะทำไม่ไหว ได้แต่สั่งลูกสาวตัวเองและหลานๆช่วยกันทำแทน เท่านั้นครับ
                         สำหรับน้ำยาที่แม่พี่สิงห์ทำนั้นจะเลือกปลายกรายตัวใหญ่ๆ และต้องใช้เวลาทำสองวัน คือต้องต้มปลาให้เนื้อเปื่อยเป็นน้ำจริงๆ ใช้เวลาต้มนานและต้องไฟอ่อนๆ ด้วยจะหอมเนื้อปลามาก ส่วนน้ำพริกนั้นแม่บอกว่าถ้าจะให้อร่อยต้องใส่เนื้อกุ้งก้ามกามแม่น้ำด้วยจะอร่อยมาก ส่วนขนมจีนโบราณนั้นทำลำบากมาก พี่สิงห์จำได้ทุกคนต้องตื่นนอนก่อนตีสี่ของวันโกน และทำบ้านเดียวไม่ได้ต้องอาศัยพี่ๆ-น้องๆ สามสี่บ้านช่วยกัน อุปกรณ์ก็มีกระทะใบบัวสำหรับต้มแป้งและต้มน้ำสำหรับโรยขนมจีน ตัวโรย อ่างดินเผาสำหรับโน้มแป้งหรือขย่ำแป้งให้เหนี๋ยว ครกและสากตำแป้งซึ่งต้องใช้คนเป็นอย่างมากในการตำแป้งทำขนมจีนให้ละเอียด กระจาดและใบมะยมสำหรับใส่ขนมจีนที่จับแล้ว เป็นงานที่ต้องใช้ความสามัคคีช่วยกันทำ แต่ละคนมีหน้าที่ต่างกันไป พ่อพี่สิงห์แข็งแรงจะเป็นคนโน้มแป้งและโรยเส้น ส่วนสตรีจะทำหน้าที่จับให้เป็นหัว หนุ่มๆ มีหน้าที่ตำแป้งอย่างเดียวเป็นงานที่หนัก ต้องโครกแบบมีจังหวะ เพราะจะโครกสามคนมีจังหวะไม่ให้โดนกัน ทุกอย่างการทำขนมจีนนั้น เป็นวัฒนธรรมที่ทำตามกันมาโดยเฉพาะ ตื่นตีสี่กว่าจะเสร็จครบเป็นขนมจีนได้ก้ประมาณสามโมงเช้า ทันเอาไปทำบุญเพลถวายพระ ส่วนอาหารเช้านั้นใช้แป้งขนมจีนทำเป็นแผ่นไปเผาในเตาไฟเรียกว่าแป้งจี่ รับประทานกับเกลือป่นและมะพร้าวเป็นอาหารเช้าครับ จะเห็นว่าขนมจีนนั้นทำอยากมาก ต้องใช้เวลา ความสามัคคี ดัวนั้น จึงทำกินกันปีละครั้งเท่านั้นคือ หน้าสงกรานต์ ขนมจีนโบราณสีไม่สวยแต่ไม่บูดสามารถอยู่ได้สาม-สี่วัน ถ้ามีเหลือก็ตากแห้งเอาไว้ทำหมี่ผัดกินกับข้าว ครับ
                          ขนมจีนไทย คนแก่จะกินกันเป็นกะละมังเลย ครับ คนแก่เคยพูดไว้ "ไอ้หนูเอ๋ย ถ้าขนมจียมันปลุกได้แบบผัก ตาจะปลุูกกินทุกวันเลย"
                          สวัสดี
      บันทึกการเข้า
เอมอร 2515
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu 2515
คณะ: รัฐศาสตร์(นิติศาสตร์)
กระทู้: 4,562

« ตอบ #1776 เมื่อ: 07 เมษายน 2554, 13:02:10 »

สวัสดีคะ พี่สิงห์
 พี่สิงห์ กำลังยุ่งกับน้ำ
น้องๆช่วยกันมาคุยเรื่องอาหารการกินให้พี่สิงห์แก้หิวค่ะ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #1777 เมื่อ: 07 เมษายน 2554, 13:10:29 »

สวัสดีค่ะ คุณน้องเอมอร ที่รัก
                          พี่สิงห์กำลังที่จะไปสนามบิน boarding 15:30 น. ครับ
                          เมี่ยงพี่สิงห์ทำไม่เป็นครับ แม่ไม่ค่อยได้ทำให้เห็นเลย แม่จะทำขนมตามฤดู หรือเทศกาล ครับ เช่น สงกรานต์ก็ ขนมกวน ข้าวเหนี๋ยวแดง ขนมจีนน้ำยา-น้ำพริก ข้าวเหนี๋ยวมะม่วง ถ้าเอาไปทำบุญจะเป็นข้าวเหนี๋ยวแบบมูล แต่ถ้ากินเองจะทำเป็นข้าวเหนี๋ยวหุงแบบเคี้ยวจะทำให้อยู่ได้สอง-สามวันไม่บูด สำหรับข่าวเหนี๋ยวแม่จะทำหน้าปลาแห้ง สังขยา หน้ากระฉีก ขนุน ครับ
                           ถ้ามีกล้าวน้ำหว้าสุกแม่จะทำกล้วยแขก แต่ผมต้องโม่แป้ง ออกพันสาจะทำข้าวต้มลูกโยน หน้าสารทไทย ก็ทำกระยาสารท แม่ไม่นิยมซื้อขนมมาให้ลูก แต่จะใช้วิธีทำกินเอง และเหลือแจกญาติๆ ครับ เพราะแม่เก็บเงินเอาไว้ให้ลูกได้เรียนหนังสือ จึงต้องใช้เงินอย่างประหยัดซื้อเท่าที่จำเป็นเท่านั้น อย่างบะหมี่ จะได้กินก็ต่อเมื่อพ่อไปตลาดที่อำเภอเท่านั้น ซึ่งปีหนึ่งพ่อไปเพียงสอง สามครั้งเท่านั้น แต่ก็มีความสุขครับ
                           หน้านี่ผลไม้ท้องถิ่นอุดมสมบูรณ์ คือมะม่วง มะปราง แตงโม แตงไทย แต่ปัจจุบันไม่มีแล้วครับ มีแต่ขนมตามห้างและผลไม้แบบเดิมๆ คือ กล้วย มะละกอ แตงโม .... ซ้ำซาก ครับสู่สมัยเก่าไม่ได้ มะม่วงก็เหมือนกันเมื่อก่อนมีหมด เช่นมะม่วงกะล่อน ขี้ใต้ แก้ว ไอ็ฮวบ อกร่อง พิมเสน อร่อยทั้งนั้น แต่ไม่มีราคา ชาวบ้านโค่นทำฟืนหมด แทบจะหายไปหมดแล้วไม่มีเหลือเลย ครับ เสียดายพันธ์ดีๆ ทั้งนั้น
                           สวัสดี
      บันทึกการเข้า
เอมอร 2515
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu 2515
คณะ: รัฐศาสตร์(นิติศาสตร์)
กระทู้: 4,562

« ตอบ #1778 เมื่อ: 07 เมษายน 2554, 13:20:46 »

สวัสดีค่ะพี่สิงห์
พูดถึงความเป็นอยู่สมัยก่อน
สงสารเด็กสมัยนี้และสมัยต่อไป
ที่เขาจะไม่มีความสุขกับธรรมชาติ และ ชีวิตของครอบครัวใหญ่ที่มีกความสุข
อย่างที่เราได้รับแล้ว
ทำให้คนรุ่นต่อไป จะมีความเอื้อเฟื้อ และอยู่กับคนอื่นได้น้อยกว่า ร่นเรามาก
พูดถึงมะม่วง ที่บ้านเดิมของยาย มีต้น มะม่วงสำปั้น หรือกำปั้น ลูกคล้ายมะม่วงแก้ว แต่ลูกเล็กกว่า
แต่ใหญ่กว่า มะม่วงกระล่อน หรือกระพรวนค่ะ
เนื้อมีกลิ่นหอมค่ะ แต่จางกว่ามะม่วงขี้ไต้
ตามหาพันธุ์มาปลูกอีกไม่ได้ ตามมาหลายปี แล้วหน้ามะม่วงก็ไปดู ตามตลาด ก็ไม่เห็น
ที่เมืองนนท์ มีมะม่วงพื้นบ้าน ชื่อมะม่วงนางกล่ำ เหมือนกันค่ะ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #1779 เมื่อ: 07 เมษายน 2554, 13:26:52 »

                          พี่สิงห์ก็ไม่รู้จะคุยเรื่องอะไรแล้ว ได้แต่มีอดีตที่น่าจดจำ และไม่ก่อทุกข์กับใคร นอกจากคำว่าเสียดาย ภูมิปัญญาไทย เท่านั้น ครับ
                          เรื่องเจริญสติ ก็ปฏิบัติ เป็นปรกติ เพียงแต่ว่าระยะหลัง ไม่เป็นแบบนาฬิกา คือไม่ต่อเนื่อง 24 ชั่วโมง ได้แต่ปลอบตัวเอง ยังมีเวลาอีกทั้งชีวิต มันลืมตัวไปบ้องไม่เป็นไร? เพียงแต่คิดเรื่อยเปื่อยไปบ้าง ไม่อยู่กับปัจจุบัน ความคิดมันก็ร่องลอยไปเรื่อย จิตมันเป็นอย่างนี้ แต่ก้กลับมาได้ใหม่ รู้ตัว ว่าลืมตนไป ก็ตั้งต้นใหม่ ดังนั้นจึงได้ข้อสรุปที่ว่า ถ้าเราจะปฏิบัติเจริญสติให้ดีจริงๆ จำเป็นต้องปลีกวิเวก เพื่อให้ข้องเกี่ยวน้อยๆ จิตจะได้ไม่มีอะไร คอยทำให้วอกแวก
                           สำหรับพวกเธอไม่ใช่มาร มารของพี่สิงห์ก็คือ ความฝันที่มายั่วให้พี่สิงห์โกรธ ให้โลภ ให้หลงกระทำตามที่มายั่วยวน ซึ่งสองตัวแรกทำอะไรพี่สิงห์ไม่ได้ แต่ความหลงนี่ลำบากหน่อย ชอบให้เราคิดเป็นตุเป็นตะไปนานๆ แต่ก็มีสติกลับมาได้ว่าเราหลงไปแล้ว ส่วนมารที่เป็นผู้หยิงนั้น คือ มนุษย์มันหนีเรื่องเพสไม่ออกหรอกมันเป็นธรรมชาติที่ต้องดำรงค์เผ่าพันธุ์เอาไว้ มันย่อมมีอารมณ์คล้อยตาม เป็นธรรมดา แต่มันเป็นเพียงความคิดที่จิตและร่างกายมันต้องการ แต่พี่สิงห์ไม่ได้เสียท่าที่จะประพฤติผิดในกาม หรือผิดศิลห้า สามารถยับยั้งชั่งใจได้ มีสติเอาชนะได้ ไม่หลงกลตามที่จิตมันอยากให้กระทำ  ได้แต่เตือนตัวเอง หรือภาวนา "พุทธธ" อย่างหนักเพื่อไม่ให้จิตมันคิด วางอุเบกขาเอาไว้ สักพักมันก็ไม่คิด ยังเอาไหวอยู่ไม่เพรี่ยงพร้ำ ครับ หลวงพ่อชา ท่านเคยบอกไว้จะเอาชนะมารพวกนี้ได้ต้องพิจารณาซากศพ ของความหน้าเกลียดหน้ากลัวของมนุษย์ภายใต้ผิวหนังมีแต่เส้นเอ็น น้ำเหลือง กล้ามเนื้อ ไม่มีอะไรหน้ายินดีเลย ดังนั้นอย่าไปคล้อยตามจิตที่มันคิด
                           ทุกสิ่งทุดอย่างมันเป็นความคิดที่มาทางฝัน เป็นมารผจญ ยั่วยวนเรา แต่ถ้าเรามีสติที่กล้าแข็ง มันจะไม่มาราวีเลย ครับ หรือมีจิตที่อ่อน มันก็ไม่มาราวีเพราะจิตมันชนะอยู่แล้วจะไม่มาเลย ถึงเคยบอกว่า ความอดทน อุเบกขา ปัญญา เป็นสิ่งจำเป็นที่สามารถจะเอาชนะจิตตัวเองได้ครับ
                            สวัสดี
      บันทึกการเข้า
อ้อย17
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,908

« ตอบ #1780 เมื่อ: 07 เมษายน 2554, 14:41:49 »

    พี่สิงห์คะ...
       วันที่13นี้ว่าจะกลับบ้านไปหาพ่อหน่อยค่ะ...คงไม่ได้ไปกินขนมจีนสูตรบ้านพี่สิงห์
     ไว้โอกาสเหมาะๆคงได้ไปชิมสักวัน...
              ว่าแต่เส้นขนมจีนตากแห้งแล้วเอาไปผัด รสชาติ หน้าตาเป็นยังไงคะ...ไม่เคยเห็น
      ทุกทีถ้าเส้นเหลือ หนูมักจะเอาไปทิ้งค่ะ...บางทีก็เสียดายของ แต่เก็บไม่ได้ค่ะ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #1781 เมื่อ: 07 เมษายน 2554, 14:42:27 »

สวัสดีคุณน้องป้อม ที่รัก
                          สงสัยเธอเป็นหมอดู จิตพี่สิงห์กำลังฟุ้งซ่านจริงๆ เพราะโดยนิสัยแล้วพี่สิงหือยู่เฉยๆ ไม่ได้ เป็นคนชอบคิดชอบทำ อยู่บ้านไม่มีอะไรทำ จริงๆมีแต่ยังไม่อยากทำเสียอย่างนั้น มันก็เลยฟุ้งซ่าน
                          แต่แก้ใหม่แล้ว ถ้าว่างก็นั่งเจริญสติ ไม่ปล่อยให้ "จิตมันส่งออก" คือไม่ให้มันคิด จะไม่ให้มันคิดก็ต้องนั่งเจริญสติสิบสี่จังหวะ หรือเดินจงกรมแทน พอสติอยู่กับอิริยาบถของเรา มันก็ไม่คิด ไม่ฟุ้งซ่าน เพราะแก้ที่ต้นเหตุ
                          เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา สามารถที่จะเห็นความคิดของตัวเองเวลา ใจฟุ้งซ่าน เดือดดาลใจ ขึ้นมาแต่สติสามารถที่จะกำจัดมันให้หายได้ด้วยการมีจิตที่มั่นคงอยู่กับ ความอดทน  อุเบกขา  ปัญญาหาหเตุผลที่แท้จริง ก็สามารถระงับความพรุ่งพร่าน เดือดดาลใจ ไม่ให้มันแสดงออกมาได้ และสามารถจะรู้ต้นเหตุของการฟุ้งซ่าน เดือดดาลใจ ว่ามันเกิดขึ้นอย่างไร และระงับ ให้ดับได้อย่างไร?
                          ความคิด มันเป็นอย่างนี้ จิตคนมันเป็นอย่างนี้
                          วันนี้ที่นั่งบนเครื่องบินเต็มครับ พี่สิงห์รออยู่ที่สนามบิน
                          สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #1782 เมื่อ: 07 เมษายน 2554, 14:49:48 »

สวัสดี คุณน้องอ้อย 17
                         ถ้าเป็นขนมจีนปัจจุบัน คงไม่สามารถทำได้ คงบูด แต่ขนมจีนที่ทำจากการหมักแป้งสูตรดั่งเดิมนั้น ถ้าเหลือสามารถเอาไปตากให้แห้ง เก็บไว้ได้ มันก็เหมือนเส้นหมี่นั่นแหละ เอาไปผัดน้ำมันใส่ไข่ ใส่ใบหอม หรือจะเติมถั่วงอกเพิ่มก็ได้ สามารถรับประทานเปล่าๆ หรือกับข้าวก็ได้ ดีกว่าเอาไปทิ้งครับ แต่ต้องตากให้แห้งจริงๆ แต่ทุกบ้านส่วนใหญ่ไม่เหลือครับ ยกเว้นที่วัดพระท่านฉันไม่หมดจะเหลือมาก
                         พี่สิงห์กลับบ้านเช้ามืดวันที่ ๑๓ เมษายน เพื่อไปทำบุญที่วัดตอนเช้า บังสกุลที่อนุสาวรีย์พ่อ อาน้ำแม่และพี่ๆ สังสรรค์กับหลานๆ เพลไปวัดเพื่อถวายผ้าป่า และสงน้ำพระและอาบน้ำผู้สูงอายุประจำหมู่บ้าน กลับกรุงเทพฯค่ำๆ
                         สวัสดี
      บันทึกการเข้า
อ้อย17
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,908

« ตอบ #1783 เมื่อ: 07 เมษายน 2554, 15:58:00 »

   มิน่า....อ้อยถึงต้องทิ้งทุกทีที่เส้นเหลือ...ไม่กล้ากินกลัวท้องเสียค่ะ...

    ตารางวันสงกรานต์พี่สิงห์ยาวเหยียดเลยนะเนี่ย....
    ฝากรดน้ำขอพรแม่พี่ด้วยนะคะ...ขอบคุณค่ะ...
    วันที่ 27 งานที่หอ พี่สิงห์มาด้วยใช่ไหมคะ?...
      บันทึกการเข้า
pusadee sitthiphong
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: พาณิชยศาสตร์และการบัญชี
กระทู้: 4,689

« ตอบ #1784 เมื่อ: 07 เมษายน 2554, 18:02:15 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 07 เมษายน 2554, 14:42:27
สวัสดีคุณน้องป้อม ที่รัก
                          สงสัยเธอเป็นหมอดู จิตพี่สิงห์กำลังฟุ้งซ่านจริงๆ เพราะโดยนิสัยแล้วพี่สิงหือยู่เฉยๆ ไม่ได้ เป็นคนชอบคิดชอบทำ อยู่บ้านไม่มีอะไรทำ จริงๆมีแต่ยังไม่อยากทำเสียอย่างนั้น มันก็เลยฟุ้งซ่าน
                          แต่แก้ใหม่แล้ว ถ้าว่างก็นั่งเจริญสติ ไม่ปล่อยให้ "จิตมันส่งออก" คือไม่ให้มันคิด จะไม่ให้มันคิดก็ต้องนั่งเจริญสติสิบสี่จังหวะ หรือเดินจงกรมแทน พอสติอยู่กับอิริยาบถของเรา มันก็ไม่คิด ไม่ฟุ้งซ่าน เพราะแก้ที่ต้นเหตุ
                          เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา สามารถที่จะเห็นความคิดของตัวเองเวลา ใจฟุ้งซ่าน เดือดดาลใจ ขึ้นมาแต่สติสามารถที่จะกำจัดมันให้หายได้ด้วยการมีจิตที่มั่นคงอยู่กับ ความอดทน  อุเบกขา  ปัญญาหาหเตุผลที่แท้จริง ก็สามารถระงับความพรุ่งพร่าน เดือดดาลใจ ไม่ให้มันแสดงออกมาได้ และสามารถจะรู้ต้นเหตุของการฟุ้งซ่าน เดือดดาลใจ ว่ามันเกิดขึ้นอย่างไร และระงับ ให้ดับได้อย่างไร?
                          ความคิด มันเป็นอย่างนี้ จิตคนมันเป็นอย่างนี้
                          วันนี้ที่นั่งบนเครื่องบินเต็มครับ พี่สิงห์รออยู่ที่สนามบิน
                          สวัสดี
ไม่ใช่หมอดูหรอกค่ะ เพียงแต่เห็นว่าจิตพี่สิงห์กำลังวอกแวกออกนอกทางที่อยากเป็น ก็พี่สิงห์บอกว่าต้องทำจิตให้นิ่งคุมจิตให้ดี ใช่มั๊ยคะ
      บันทึกการเข้า

pom shi 2516
ติ๋ม จันทร์ฉาย
Hero Cmadong Member
***


เป็นญาติพี่น้องกับซีมะโด่ง
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2516
กระทู้: 1,692

« ตอบ #1785 เมื่อ: 08 เมษายน 2554, 02:28:29 »

พี่สิงห์ที่เคารพ
ติ๋มมีคำถามสำหรับพี่สิงห์ ซึ่งไปปฏิบัติธรรมมาแล้ว ติ๋มเพิ่งเสียคุณแม่ผู้เป็นที่รักและบูชาของติ๋มมาตลอด 56 ปี นั่นคือทุกข์อันหาที่เปรียบไม่ได้ แต่ตอนนี้เริ่มมีเวลามากขึ้น เลยอ่านหนังสือเพิ่มขึ้น ที่จับมาชุดแรกคือ หนังสือธรรมะ หลายเล่ม จุดมุ่งหมายคือ อยากได้เป้าหมายที่ถูกต้องกับธรรมชาติของติ๋มเองในการปฏิบัติธรรม ที่เน้นของติ๋มเองเพราะเข้าใจว่าแต่ละคนมีเป้าหมายต่างกันในการปฏิบัติ แต่ทั้งที่ติ๋มก็ยังเชื่อว่า "จุดมุ่งหมายของศาสนาพุทธมีอยู่เพียงประการเดียวคือการหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวงจากการฝึกปฏิบัติตนเอง"
คำถามคือ พี่สิงห์มีเป้าหมายของพี่เองไหมคะ หรือค้นหาเป้าหมายไปพร้อมกับปฏิบัติธรรม
      บันทึกการเข้า

ติ๋ม จันทร์ฉาย
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #1786 เมื่อ: 08 เมษายน 2554, 07:58:25 »

สวัสดีค่ะ คุณน้องติ๋ม(จันทร์ฉาย) ที่รัก
                         ขอบคุณมากที่เข้ามาทักทาย พูดคุย และหางานให้พี่สิงห์ต้องคิด ต้องทำ ครับ
                         คุณน้องจันทร์ฉาย พลัดพราก หรือสูญเสียสิ่งที่รัก จึงเป็นทุกข์ ซึ่งเป็นทุกข์ประการสุดท้ายที่พระพุทธเจ้าท่าน ทรงบัญญัติไว้ คือการสูญเสียผู้มีพระคุณสูงสุด คือมารดา พี่สิงห์ขอแสดงความเสียใจด้วยครับ แต่อย่าลืม มันเป็นอดีตไปแล้ว ไม่สามารถหวนคืนมาได้ ตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า ควรจะให้มันผ่านไป ถ้านึกถึงท่านขึ้นมา ก็ให้นึกถึงสิ่งที่ท่านทำให้เรา เราก็จะมีความสุข และนึกถึงสิ่งที่เราเคยทำให้ท่านมีความสุขเช่นกัน ความทุกข์ในส่วนที่เรายังไม่ได้ทำให้ท่านก็จะไม่เกิดขึ้น ความทุกข์ที่เสียดายจะไม่เกิดขึ้น ทุกข์ก็จะไม่บังเกิดขึ้นกับเรา เพราะทุกข์จากเหตุการที่ผ่านไปแล้วนั้น ส่วนใหญ่เกิดจากการเสียดายที่ไม่ได้ทำบางสิ่งบางอย่างให้ท่าน เพราะเราเองก็ต้องดูแลครอบครัวเหมือนกัน เลยไม่มีเวลาดูแลท่านเท่าที่ควรจะเป็น พอท่านจากไปก็เสียดาย จึงเป็นทุกข์  แต่ถ้าเราปฏิบัติต่ิท่านครบถ้วนแล้ว ความทุกข์ของเราก็ไม่บังเกิดขึ้น เพราะธรรมชาติของชีวิตมันต้องเกิด แก่ เจ็บ และตาย เป็นเรื่องธรรมดาของชีวิตบนโลกนี้ นี่คือสัจจะธรรม ให้คิดแบบนี้ เธอจะหายโศกเศร้า ครับ
                        จุดมุ่งหมายในการปฏิบัติธรรมของพี่สิงห์คือ ทำอย่างไร? พี่สิงห์จะอยู่อย่างพอเพียงได้ มีจิตใจที่สงบ มีความอยากต่างๆ ให้น้อยลง สามารถอยู่คนเดียว ไม่เบียดเบียนใคร จนกระทั้งเสียชีวิตอย่างสงบ ปราศจากโรค และทุกข์ ซึ่งพี่สิงห์ค้นพบแล้ว คือ การควบคุมดูแลเรื่องอาหาร การออกกำลังกายที่ถูกสุขลักษณะของตัวเอง การพักผ่อนที่เพียงพอ และการฝึกจิตให้มีจิตใจที่บริสุทธิ์ผ่องใส
                        ส่วนจุดมุ่งหมายถึงนิพพาน นั้น แล้วแต่วาสนา ความเพียร และปัญญา ที่จะต้องกระทำต่อไป นิพพาน คือ ความสงบแห่งจิต ที่ไม่ฟุ้งซ่าน ถ้าจิตไม่ฟุ้งซ่าน(ส่งออกนอก หรือ ควบคุมไม่ได้ และหลงตามความคิด) มันก็ไม่มีทุกข์ คนเราทุกข์เพราะคิด คิดจนจิตฟุ้งซ่าน เดือดดาลใจต่างๆ หลงเป็นทาษของความคิดทั้งนั้น
                        ถ้าจะอ่านหนังสือธรรมะ หรือปฏิบัติธรรมะ ต้องอ่านจากพระอริยะเจ้า ที่แท้จริงเท่านั้น แต่ก็จะพบความจริงว่า ท่านไม่ได้สอนอะไร? ท่านให้ปฏิบัติง่ายๆ ไม่พิสดาร นี่ละของจริง ส่วนนอกนั้นของเทียม ครับ
                         สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #1787 เมื่อ: 08 เมษายน 2554, 08:17:25 »

คุณน้องจันทร์ฉาย(ต่อ)
                         การปฏิบัติธรรมะนั้น ก่อนอื่นต้องรู้ก่อนว่าพระพุทธเจ้าท่านทรงตรัสรู้และสอนอะไร? ท่านทรงตรัสรู้จากสิ่งที่เกิดขึ้น หรือพึงมีอยู่แล้วในธรรมชาติ เพียงแต่ท่านทรงค้นพบหลักธรรมนั้น และเอามาสอนเป็นท่านแรก ความจริงอันนั้น มีอยู่ก่อนแล้วทั้งสิ้นแต่มนุษย์มองไม่เห็น คือ
                         สิ่งแรกที่พระองค์ตรัสรู้และอุทานกับพระองค์เองคือ "ความไม่รู้"และต้นเหตุแห่งทุกข์ คือ"ตัณหา" ท่านสามารถหักยอดเรือนทิ้งคือความไม่รู้เสียได้ และท่านทรงถอนรากของทุกข์คือ "ตัณหา" ได้ ท่านจึงพ้นทุข์ คือ "นิพพาน" ซึ่งเป็นจุดสูงสุดของศาสนาพุทธ
                         ประการที่สองท่านทรงอุทานกับพระองค์เองภายหลังจากตรัสรู้ในสัปดาห์แรกที่ควงต้นโพธิ์ คือ ทุกสิ่งทุกอย่างที่บังเกิดขึ้นนั้น ย่อมมีเหตุปัจจัยทั้งสิ้น ไม่สามารถเกิดขึ้นเองได้ ดังนั้นถ้าจะให้พ้นทุกข์ต้องแก้ที่สาเหตุ คือ ละตัณหา นั่นเองจึงพ้นทุกข์ ลองทบทวนดูจะรู้ความจริงอันนี้คือ
                         - คนเราคิด เพราะ สัมผัสจากอายตนะ(ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ) เมื่อรับรู้แล้ว เพราะความไม่รู้นี่ละ จึงคิดมาก คิดไม่ตก จึงก่อทุกข์
                         - ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น ล้วนมีเหตุปัจจัยทั้งสิ้น เพราะมีเหตุ เป็นปัจจัย จึงมี....เกิดขึ้น ถ้าเหตุดับ  สิ่งที่เกิดขึ้น....จึงดับ
                         นั่นคือท่านทรงค้นพบวงจรทุกข์ เพราะความไม่รู้เป็นปัจจัย จึงเกิดสังขาร เพราะมีสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ เพราะมีวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีรูป-นาม เพราะมีรูป-นาม เป็นปัจจัย จึงมี สฬายตนะ เพราะมีสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีสัมผัส เพราะมีสัมผัสเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา เพราะมีเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา เพราะมีตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน เพราะมีอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ เพราะมีภพเป็นปัจจัย จึงมี ชาติ ชรามรณะ เพราะมีชาติ ชรา มรณะเป็นปัจจัย จึงมีความไม่รู้ เกิดขึ้น ความคิดของคนเราเกิดขึ้นแบบนี้ทุกวินาทีที่คิด และในวัฏสงสารแต่ละภพที่เกิด
                          จะเห็นว่า ความไม่รู้ สังขาร วิญญาณ รูป-นาม สฬายตนะ สัมผัส เวทนา อุปาทาน ภพ ชาติ ชรา มรณะ ล้วนเป็นสิ่งที่พึงมีพึงเป็น เป็นธรรมชาติทั้งสิ้น ที่เราไม่สามารถจะตัดทิ้งได้ แม่พระองค์เอง พระอรหันต์ ก็ยังไม่สามารถตัดได้ แต่จิตท่านอยู่เหนือสิ่งเหล่านั้น จึงไม่บังเกิดผล
                          สิ่งที่เราสามารถตัดได้ คือ "ตัณหา" (ความอยาก)
                        
      บันทึกการเข้า
เอมอร 2515
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu 2515
คณะ: รัฐศาสตร์(นิติศาสตร์)
กระทู้: 4,562

« ตอบ #1788 เมื่อ: 08 เมษายน 2554, 08:31:08 »

สวัสดี ค่ะพี่สิงห์
ได้ไปนครฯไหมคะ ที่นั่งเต็มหมดหรือคะ
      บันทึกการเข้า
เอมอร 2515
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu 2515
คณะ: รัฐศาสตร์(นิติศาสตร์)
กระทู้: 4,562

« ตอบ #1789 เมื่อ: 08 เมษายน 2554, 08:35:19 »

อ้างถึง
ข้อความของ จันทร์ฉาย เมื่อ 08 เมษายน 2554, 02:28:29
พี่สิงห์ที่เคารพ
ติ๋มมีคำถามสำหรับพี่สิงห์ ซึ่งไปปฏิบัติธรรมมาแล้ว ติ๋มเพิ่งเสียคุณแม่ผู้เป็นที่รักและบูชาของติ๋มมาตลอด 56 ปี นั่นคือทุกข์อันหาที่เปรียบไม่ได้ แต่ตอนนี้เริ่มมีเวลามากขึ้น เลยอ่านหนังสือเพิ่มขึ้น ที่จับมาชุดแรกคือ หนังสือธรรมะ หลายเล่ม จุดมุ่งหมายคือ อยากได้เป้าหมายที่ถูกต้องกับธรรมชาติของติ๋มเองในการปฏิบัติธรรม ที่เน้นของติ๋มเองเพราะเข้าใจว่าแต่ละคนมีเป้าหมายต่างกันในการปฏิบัติ แต่ทั้งที่ติ๋มก็ยังเชื่อว่า "จุดมุ่งหมายของศาสนาพุทธมีอยู่เพียงประการเดียวคือการหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวงจากการฝึกปฏิบัติตนเอง"
คำถามคือ พี่สิงห์มีเป้าหมายของพี่เองไหมคะ หรือค้นหาเป้าหมายไปพร้อมกับปฏิบัติธรรม

น้องติ่มคะ
พี่ขอแสดงความเสียใจด้วย
ช่วงที่ติ๋มอยู่ที่โรงเรียนกล่อม ติ๋มมักจะต้องแสดง ต่างๆมาก พี่ได้พบกับคุณแม่บ่อยๆ มากับคุณพ่อ นั่งรถแลนด์มาด้วยกัน
และช่วงที่ติ๋มอยู่จุฬา ตอนปิดเทอม ที่เราจัดงานจุฬาชล ที่โรงหนังเมืองชลรามาหาเงินให้ชมรมชลฯ
ติ๋มได้ไปช่วยเล่นดนตรีไทยจำได้ไหม
พี่ไปหาติ๋มที่บ้าน คุณแม่เอาขนมมาเลี้ยง
คุณแม่น่ารักมาก พี่เชื่อว่า
ท่านได้พบกับความสุข ความสงบในสัมปรายภพแน่นอนค่ะ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #1790 เมื่อ: 08 เมษายน 2554, 08:36:24 »

คุณน้องจันทร์ฉาย(ต่อ)
                         ตัวตัณหานี้ละ คือต้องอาศัยการปฏิบัติธรรม(การบำเพ็ญความเพียรทางจิต) คือการมี "สติ"(ความระลึกได้) จึงจะสามารถเอาชนะจิตใจตัวเองได้
                         สิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านทรงสอนต่อมาคือ วงจรทุกข์นั้นอยากเกินกว่าปุถุชนม์ทั่วไปจะเข้าใจได้ ท่านจริงทรงสอนให้อยู่ในรูป ความจริงสี่ประการ คือ"อริยสัจ ๔" คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค
                          ๑. ทุกข์ คือ สิ่งที่ทนได้อยาก เกิดขึ้นจาก ความเกิด๑ ความแก่๑ ความเจ็บ๑ ความตาย๑ ปราถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้น๑ ประสพกับสิ่งที่ไม่รักไม่ชอบ๑ และพลัดพราจากสิ่งที่รัก๑ ความทุกข์ในโลกใบนี้มีเพียงเท่านี้ครับครอบคลุมทั้งหมด
                          ๒. สมุทัย คือ ต้นเหตุแห่งการเกิดทุกข์ คือ ตัณหา(ความอยาก) ซึ่งเกิดขึ้นจาก
                               - กามตัณหา คือความอยากจากอายตนะ ๕ที่สัมผัสได้จาก ตา หู จมูก ลิ้น กาย นั่นเอง
                               - ภวตัณหา คือความอยากที่เกิดจากใจ
                               - วิภวตัณหา คือความอยากที่จิตไม่อยากหลุดพ้น(จากความอยาก)
                          ๓.นิโรธ คือ การดับทุกข์ เมื่อเราทราบว่าต้นเหตุแห่งการเกิดทุกข์ต้นมีตัณหาเป็นปัจจัย ดังนั้น ถ้าจะให้พ้นทุกข์ได้นั้นก็ต้องแก้ที่ต้นเหตุ คือ การละตัณหา(ความอยาก) ให้ได้นั่นเองวึ่งอยากมากๆ เพราะคนยึดติดกับสิ่งต่างๆ ที่เคยได้รับความสะดวกสบายมาตั้งแต่เกิด(ยึดมั่นในอุปทานขันธ์ ๕)
                          ๔.มรรค ๘ คือ วิธีปฏิบัติให้พ้นทุข์ คือ ความเห็นชอบ ความคิดชอบ มีวาจาชอบ มีกายชอบ มีอาชีพชอบ มีความเพียรชอบ มีสติ มีสมาธิ
                           จะเห็นว่า ทุกข์ สมุทัย นิโรธ เป็นทางทฤษฎี แต่มรรค ๘ เป็นวิธีปฏิบัติที่พระพุทธเจ้าทรงแนะให้มนุษย์กระทำ ใครทำได้ก็พ้นทุกข์
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #1791 เมื่อ: 08 เมษายน 2554, 08:42:24 »

สวัสดี คุณน้องเอมอร ที่รัก
                          พี่สิงห์อยู่นครศรีธรรมราช อยู่ที่โรงแรม กำลังรอลุกน้องมารับ อากาศที่นครศรีธรรมราช แดดจัด ไม่มีฝน เพราะเป็นหน้าฝน ตัวเมือง สนามบิน ไม่มีคราบของน้ำท้วมเกิดขึ้นเลย เพราะน้ำมันผ่านมาแล้วก้ผ่านไป อย่างรวดเร็ว ครับ
                          สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #1792 เมื่อ: 08 เมษายน 2554, 09:09:33 »

คุณน้องจันทร์ฉาย(ต่อ)
                         ประการต่อมาที่พระพุทธเจ้าท่านทรงตรัสรู้ คือ กฎไตรลักษณ์ ซึ่งมีอยู่แล้วตามธรรมชาติ แต่พระองค์ท่านมองว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ ล้วนมีปัจจัยเป็นเหตุ ดังนั้น ทุกสิ่งทุกอย่าง เป็น "อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา" หมายควมว่า ทุกสิีงทุกอย่างที่เกิดขึ้น(โดยเฉพาะ ความคิด)นั้นไม่เที่ยง ไม่สามารถคงสภาพอยู่ได้ อะไรที่คงสภาพเดิมไม่ได้ล้วนเป็นทุกข์ อะไรที่เป็นทุกข์มันไม่มีตัวไม่มีตน ดังนั้น อย่าไปยึดติดกับมัน(อุปาทานขันธ์ ๕ ที่เคยได้รับ ความสะดวกสบายต่างๆ) เราก็ไม่มีทุกข์ แต่ทุกวันนี้มนุษย์คิดว่า สิ่งที่เคยได้รับนั้น มีตัวมีตนคือ เป็น "อัตตา" เราจึงได้รับทุกข์ คืไปยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่เคยได้รับ จะต้องมี จะต้องเป็น จึงขวนขวายหามาให้ได้ จึงบังเกิดทุกข์
                         ประการสุดท้ายที่พระพุทธเจ้าท่านทรงสอนคือ ทางพ้นทุกข์ ของเพียงมีสติ(ความระลึกได้) ณ ปัจจุบันเพียงเท่านั้น และทำสตินี้ให้เป็นสมาธิ(อยู่ในอารมณ์เดียว) ตาปัญญา หรือ ปัญญาญาณ จะบังเกิดขึ้นเอง จะทำให้เรารู้ รู้ๆๆๆๆๆๆ จนสามารถพ้นทุกข์คือนิพพานได้ ไม่ต้องไปอ่านหนังสือที่ไหน เราสามารถหาได้จากการมีสติมาดูกาย มาดูใจของเรานี่ละ จะพบ จะเห็น ต้นเหตุ สาเหตุของความคิดที่บังเกิดขึ้น เห็นกายในกาย เห็นเห็นเวทนาในเวทนา เห็นจิตในจิต เห็นธรรมในธรรม จากการเจริญสติดูกาย ดูใจนี่ละจะเห็นจะรู้ด้วยตัวเอง จากปัญญาณที่บังเกิดขึ้นทั้งสิ้น ไม่ต้องไปอ่านหนังสือ พิจารณาธรรมที่ไหน ดูจิต ดูกายนี่ละ สามารถค้นพบได้หมด เพราะพระพุทธเจ้าท่านทรงบอกไว้แล้วว่า มีอยู่ในคนทุกคน คำว่า "พุทธะ" คือผู้รู้ แต่เพราะความ "ไม่รู้" และหลงติดอยู่ใน "ความคิด" จึงทำให้เราไม่รู้จักมัน ดังนั้นถ้าใครปฏิบัติ ผู้นั้นสามารถรู้ได้ด้วยตัวเอง ไม่จำกัดเวลาทั้งสิ้น
                          ดังนั้น ถ้าเธอได้ดวงตาเห็นธรรม คือรู้ เข้าใจ ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านทรงตรัสรู้ ท่านทรงสั่งสอน ตามที่ได้บอกมาเพียงเท่านี้ นี่ละแก่นของพระพุทธศาสนาที่แท้จริง เธอก็จะค้นพบหนทาง "นิพพาน" ได้ แต่เป็นเพียงรู้ เข้าใจเท่านั้น ต้องเอาชนะใจตนเองอีกมากจึงจะถึง "นิพพาน" แต่ถึงจะไม่ถึง เธอก็จะได้รับแต่ความสงบ สุขใจ ไม่ก่อทุกข์ นี่ละคือนิพพานตัวจริงที่เราต้องการจริงๆ ในชาตินี้ละ เพราะเราก็ไม่รู้ว่า ชาติหน้ามีจริงหรือไม่ ไม่ต้องไปกังวลทั้งสิ้น ถ้ามีเราก็คงดีกว่าคนอื่น ถ้าไม่มีเราก็สุขกว่าคนอื่น คือ ความสงบแห่งจิต ที่ไม่ฟุ้งซ่าน ครับ
                            สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #1793 เมื่อ: 08 เมษายน 2554, 09:16:46 »

คุณน้องจันทร์ฉาย(ต่อ)
                         ถ้าเธอมีคำถามสามารถถามมาได้ พี่สิงห์ยินดีจะตอบในสิ่งที่พี่สิงห์รู้ให้ทราบ หรือไม่ วันที่ ๒๗ เมษายน ที่หอพัก พี่สิงห์จะไปบรรยายเรื่อง "สาระดีๆ จากพี่สิงห์" คือจะพูดในสิ่งที่พี่สิงห์ได้ปฏิบัติกับตัวเอง ได้รู้ ได้ก่อประโยชน์กับตัวเอง ให้สามารถอยู่อย่างพอเพียง ละความโลภ ความโกรธ ความหลง ได้ ก็สุขแล้วครับ ในชาตินี้ ไม่รอชาติไหนทั้งสิ้น นิพพาน จะมีจริงหรือไม่ ก็ไม่ได้สนใจทั้งสิ้น ครับ
                        อย่าลืม คำของหลวงปู่ดุลย์ "คนเราทุกข์เพราะความคิด ถ้าอยุดคิดก็ไม่ทุกข์ แต่เพราะความคิดจึงรู้" และ "ไม่ส่งจิตออกนอก"
                        สรุปคือ คนเราคิดกังวลไปในเรื่องที่ยังมาไม่ถึง เสียดายกับอดีตที่ผ่านมา หลงละเริงยึดติดกับสิ่งที่ได้รับ ณ ปัจจุบัน ดังนั้น "ปัญญาญาณ" จึงไม่บังเกิดขึ้น คือยังประสพแด่ "ความทุกข์" ไม่รู้จบรู้สิ้น ครับ
                         หลักการของพุทธศาสนา ที่ควรจำให้ขึ้นใจ ตามที่พระองค์ทรงบัญญัติขึ้น คือ
                                ๑. ไม่ทำชั่วทั้งปวง
                                ๒. กระทำแต่ความดีให้ถึงพร้อม
                                ๓. ทำจิตใจให้บรัสุทธิ์ผ่องใส
                         ให้นำหลักการนี้ไปปฏิบัติในการดำรงค์ชีวิต ณ ปัจจุบัน ก็พ้นทุกข์ แล้วครับ
                         สวัสดี
      บันทึกการเข้า
too_ploenpit
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2514
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 7,778

เว็บไซต์
« ตอบ #1794 เมื่อ: 08 เมษายน 2554, 09:28:23 »

...สวัสดีค่ะ...พี่สิงห์และน้องติ๋ม...และน้องๆทุกท่านค่ะ...
...พี่ตู่เสียใจด้วยค่ะที่น้องติ๋มเสียคุณแม่ไป...เวลาเท่านั้นที่จะเยียวยาได้...และหมั่นทำบุญให้ท่านค่ะจะรู้สึกว่ามีความสุขขึ้น...
...สิ่งที่พี่สิงห์บอก...ภาษาธรรมะเรียกว่า...ปฎิษจสมุปบาท...ใช่มั้ยคะ...สะกด...ษ...ถูกหรือเปล่า...ถ้าผิดขอโทษค่ะ...
...เคยอ่านจากหนังสือหลายครั้งแล้ว...แต่ไม่เข้าใจค่ะ...
...ขอความกรุณาพี่สิงห์ช่วยอธิบายอย่างละเอียด...ไม่ต้องครบรอบก็ได้...เอาแค่ขั้นเดียว...
...เช่น...มีอุปาทาน...จึงมีภพ...ค่ะ...
...ขอบพระคุณล่วงหน้าค่ะ...พี่สิงห์
      บันทึกการเข้า

i love pink, you are pink = i love you
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #1795 เมื่อ: 08 เมษายน 2554, 09:54:15 »

คุณน้องจันทร์ฉาย(ต่อ)

แก่นของศาสนาพุทธ


                          นี่ละแก่นของศาสนาพุทธ ที่แท้จริง คำสอนของพระองค์จำนวน ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์นั้น รวมอยู่ที่ "รู้" ในกระดาษแผ่นนี้แผ่นเดียวเท่านั้น  ไม่ต้องไปขวนขวายที่ไหนอีกแล้วครับ
                          ในสมัยพุทธกาล ถ้าผู้ใดรู้และเข้าใจ กระดาาแผ่นนี้ อย่างแท้จริง ก็ได้ชื่อว่า ได้ "ดวงตาเห็นธรรม" และถ้าผู้ใดน้อมนำคำสอนนี้ไปปฏิบัติในชีวิตประจำวันในการดำงค์ชีวิต ถ้าเป็นปุถุชนม์ธรรดา ก็บรรลุขั้น "โสดาบัน" แล้วครับ
                          สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #1796 เมื่อ: 08 เมษายน 2554, 09:56:27 »

อ้างถึง
ข้อความของ too_ploenpit เมื่อ 08 เมษายน 2554, 09:28:23
...สวัสดีค่ะ...พี่สิงห์และน้องติ๋ม...และน้องๆทุกท่านค่ะ...
...พี่ตู่เสียใจด้วยค่ะที่น้องติ๋มเสียคุณแม่ไป...เวลาเท่านั้นที่จะเยียวยาได้...และหมั่นทำบุญให้ท่านค่ะจะรู้สึกว่ามีความสุขขึ้น...
...สิ่งที่พี่สิงห์บอก...ภาษาธรรมะเรียกว่า...ปฎิษจสมุปบาท...ใช่มั้ยคะ...สะกด...ษ...ถูกหรือเปล่า...ถ้าผิดขอโทษค่ะ...
...เคยอ่านจากหนังสือหลายครั้งแล้ว...แต่ไม่เข้าใจค่ะ...
...ขอความกรุณาพี่สิงห์ช่วยอธิบายอย่างละเอียด...ไม่ต้องครบรอบก็ได้...เอาแค่ขั้นเดียว...
...เช่น...มีอุปาทาน...จึงมีภพ...ค่ะ...
...ขอบพระคุณล่วงหน้าค่ะ...พี่สิงห์

สวัสดีค่ะ คุณน้องตู่
                  ให้กลับไปอ่านย้อนใหม่(คุณน้องจันทร์ฉาย) จะค้นพบได้ด้วยตัวเอง พี่สิงห์อธิบายไปแล้ว หรือไม่ พบกันวันที่ ๒๗ เมษายน รดน้ำดำหัวพี่ผู้อาวุโส ที่หอพักครับ
                   สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #1797 เมื่อ: 08 เมษายน 2554, 11:13:31 »

สวัสดีครับ ชาวซีมะโด่ง ที่รักทุกท่าน
            นี่คือภาพความเสียหายที่เกิดขึ้นกับสำนักงานของบริษัท SICON ที่พี่สิงห์ทำงานอยู่ที่อำเภอท่าศาลา จังหวัดนครศรีธรรมราชครับ















ห้องกรรมการผู้จัดการ



ห้องทำงานของพี่สิงห์ จะใช้ห้องประชุม ไม่มีห้องเป็นส่วนตัว





แอร์เสียหายทั้งหมด
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #1798 เมื่อ: 08 เมษายน 2554, 11:37:48 »

ทฤษฎี "ฝนตกสามวัน" แก้ปัญหาน้ำท้วม ของพี่สิงห์
            ๑. ฝนตกทั้งวันทั้งคืน วันที่ ๑ ปริมาณน้ำฝนทั้งหมด จะซึมหายลงไปในพื้นดินทั้งหมด
            ๒. ฝนตกทั้งวันทั้งคืน วันที่ ๒ ปริมาณน้ำฝนทั้งหมด จะระบายลงตามคูคลอง แม่น้ำ ขังอยู่ในแก้มลิงธรรมชาติ(ที่ลุ่ม) และไหลลงทะเล
            ๓. ฝนตกทั้งวันทั้งคืน วันที่ ๓ ปริมาณน้ำฝนทั้งหมด จะท้วมขัง ล้นถนน ทำความเสียหาย แน่นอน
                 จะเห็นว่าน้ำท้วมนครศรีธรรมราชที่ผ่านมาเป็นเช่นนี้จริงๆ จึงสามารถตั้งเป็นทฤษฎีบปฏิบัติได้เลย ถ้าฝนตกสามวันสามคืน น้ำท้วมแน่นอน และถ้าฝนหยุดตกติดต่อกันสามวัน ณ ปัจจุบัน น้ำสามารถไหลลงทะเลได้หมดเป็นส่วนใหญ่แน่นอน
                 ดังนั้นผู้ที่เดินทางมาถึงนครศรีธรรมราชแบบพี่สิงห์ จึงไม่พบร่องลอยของน้ำท้วมตัวเมืองนครศรีธรรมราช สนามบินเลย ทั้งที่ตอนน้ำท้วมนั้น น้ำล้นถนนทั้งหมดในนครศรีธรรมราช คือสนามบิน ตัวเมือง ตัวอำเภอ เต็มไปด้วยน้ำท้วม แต่พอฝนหยุดตกสามวัน น้ำลงทะเลหมดเหมือนกัน ไม่มีน้ำเหลืออยู่เลย แม้กระทั้งในคลองก็ไม่มีน้ำ ยกเว้นที่อำเภอปาดพนังเพราะเป็นที่ลุ่ม มีถนนเป็นตาตะรางกั้นน้ำ และเป็นที่รับน้ำทั้งหมดที่ผ่านตัวเมืองนครศรีธรรมราช จึงยังมีน้ำท้วมขังอยู่ เพราะระบายลงทะเลได้ช้า
                 ทางแก้ไขก็คือ ต้องหาวิธีระบายน้ำที่ ตกทั้งวันทั้งคืนวันที่สาม ลงทะเลให้ได้เร็วที่สุด ก็คือ ทำคลองรับน้ำจากเขาหลวงขนานกับถนนที่เป็นคันกั้นน้ำ ระบายออกทะเล ทางทิศเหนือของสนามบิน ที่เป็นป่าที่ราชพัสดุ เป็นจุดใกล้ทะเลที่สุดไม่เกินสองร้อยถึงสามร้อยเมตร และอพยพคนน้อยที่สุด ใช้งบน้อยที่สุด ที่จะระบายน้ำลงทะเล น้ำก็จะไม่ท้วม ในขณะเดียวกันก็ต้องเพิ่มช่องทางคือทำสะพานให้กับถนนเป็นการระบายน้ำเพิ่มให้ลงทะเลตามธรรมชาติ ไม่ใช่ไปกั้นมันไว้แบบปัจจุบันนี้ ที่เป็นแบบทำนาบนไหล่เขา คือสร้างคันนารับน้ำเป็นขั้นๆ แบบขั้นบันได แบบนั้น คือ ถนนจะกั้นน้ำเป็นชั้นๆ ทำให้น้ำไหลลงทะเลช้า ต้องรอให้น้ำล้นถนนไปเรื่อยๆ จนกว่าจะถึงทะเล เพราะการท้วมของน้ำครั้งนี้เป็นแบบนั้น คือน้ำจากเขาหลวงโดนถนนกั้นไว้ทั้งหมด พอถนนกั้นไม่ไหวก็ล้นเข้าตัวเมืองไล่ไปทีละถนน จนกว่าจะถึงทะเล ครับ
                  สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #1799 เมื่อ: 08 เมษายน 2554, 11:56:39 »

ทฤษฎี "สมดุลย์การพัฒนาประเทศ" ป้องกันน้ำท้วม

 "มนุษย์จะต้องไม่ไปทำให้ธรรมชาติเสียหาย  ถ้าทำการเปลี่ยนแปลงธรรมชาติ ก็ต้องสร้างสิ่งทดแทนให้กับธรรมชาติที่เสมอกัน"

ตัวอย่าง เช่น
                       กรณีทำหมู่บ้านจัดสรรค์ โรงงานอุตสาหกรรม ที่ถมที่ดินสูงกว่าที่ทั่วๆ ไป ทำให้พื้นที่รับน้ำหายไป ผู้ที่ทำโรงงาน หมู่บ้านจัดสรรค์ ก็ต้องขุดสระ เพื่อรองรับปริมาณน้ำที่จะล้นในบริเวณที่ของตัวเองทั้งหมดมาเก็บไว้ในสระ(รวมทั้งน้ำเสียจากการใช้ด้วย) ไม่ให้ไปทำความเดือดร้อนให้คนอื่น ไม่เอาแต่ตัวเองรอด แต่คนอื่นเดือดร้อนเพราะน้ำท้วมจากตัวเองที่ถมที่ดินให้สูง เป็นการรักษาสมดุลย์ตามธรรมชาติเอาไว้ ไม่เอาเปรียบสังคม เพราะตัวเองจะทำให้ผู้อื่นถูกน้ำท้วม เป็นต้น ควรจะแชร์ความเดือดร้อนให้เท่าๆกันทุกวันนี้น้ำท้วม มาจากถนน พื้นที่ที่ถมดิน ทั้งนั้น และจะรุนแรงเพิ่มขึ้น เพราะน้ำไม่สามารถลงตามแม่น้ำ ทะเลได้อย่างเป็นธรรมชาติเหมือนเมื่อก่อน โดยมีถนนเป็นเขื่อนกั้นน้ำเป็นชั้น ๆ ขณะเดียวกันพื้นที่รับน้ำ ระบายน้ำตามธรรมชาติ หายไปจำนวนมากเพราะการไปถมพื้นที่ให้สูงขึ้น และยังไปกักน้ำอีก แต่ไม่ได้ไปขุดสระเก็บน้ำจำนวนดังกล่าวไว้ ปล่อยให้น้ำจำนวนดังกล่าวไปท้วมผู้อื่นเกิดความเสียหายแด่ผู้อื่น ดังนั้นสมควรที่จะออกกฎหมายให้ผู้ลงทุนก่อสร้างโรงงาน บ้านจัดสรรค์ต้องขุดสระทำเป็นแก้มลิง เก็บปริมาณน้ำที่ตัวเองต้องรับผิดชอบเอาไว้ด้วย จึงจะยุติธรรม ครับ
                       สวัสดี
      บันทึกการเข้า
  หน้า: 1 ... 70 71 [72] 73 74 ... 681   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

สมาคมนิสิตเก่าหอพักนิสิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มวลสมาชิกสมาคม คณาจารย์ และนิสิตเก่าทุกคน ขอน้อมเกล้าถวายความอาลัย  พระผู้เสด็จสู่สวรรคาลัย ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ <;))))><