23 พฤศจิกายน 2567, 15:11:21
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 60 61 [62] 63 64 ... 681   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: คุย กับ คุณมานพ กลับดี อดีตประธานชมรม ๓ สมัย  (อ่าน 3559383 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 42 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #1525 เมื่อ: 28 กุมภาพันธ์ 2554, 17:42:09 »

สวัสดีค่ะ คุณน้องเอมอร ที่รัก
                        นั่นละเป็นสิ่งที่จะทดสอบตัวเราเอง  พี่สิงหืเคยเป็นมาก่อนแล้วครับ เพราะจิตมันไม่อยากหลุดพ้น จึงพยายามทำให้เรายังยึดติดกับสิ่งที่เคยกระทำ คือไม่อยากหลุดพ้น เธอต้องใช้ปัญญาหาเหตุผลมาเอาชนะมันให้ได้ว่าถ้าอยากหลุดพ้นต้องกระทำ อันนี้ถือเป็นมารอย่างหนึ่ง คือนาม-รุป มันกำลังจะมีอิทธิพลเหนือ รูป-นาม ที่มันเคยสั่งได้ทุกอย่างให้เป็นทาษหรือหลงในความคิดของมัน ทางแก้คือต้องเอาชนะมันด้วยการกระทำเจริญสติสร้างจังหวะ สักพัหหนึ่งจิตมันจะแพ้ไปเองครับ ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ทำสบายๆ แบบไม่สนใจอะไรเลย ก็จะผ่านพ้นไปได้ครับ คือจิตแจ่มใส สงบ
                       ขณะนี้พี่สิงห์นั่งอยู่สนามบินอุบลราชธานี คอยเครื่องบินขึ้น พี่สิงห์นั่งรถจากสุรินทร์มาอุบล เกือบสามชั่วโมง ได้แต่นั่งภาวนา "พุทโะ" มาตลอดทางเพราะไม่สามารถกระทำสร้างจังหวะได้ แต่จิตก็นิ่งไม่ง่วงนอนแต่ประการใด ครับ และก้ดูทิวทัศน์ไปด้วย มีแต่ทุ่งนาที่แล้ง มีแต่วังข้าวที่ติดดินสุดลูกหูลูกตา และมีฝูงวัว ควาย กินซังกอข้าวอยู่กลางทุ่ง บ้านเรือนไม่มีเลย แลดูแห้งแล้งไม่มีสีเขียวเลย ฝนไม่ตก จึงไม่มีน้ำให้เห็นเลย ครับ เข้าหน้าแล้งของอิสานแล้ว ร้อน แต่กลางคืนเย็นสบาย
                       พี่สิงห์ไม่ได้นัดใครเลย เพราะเกรงใจ รวมถึงน้องนุชด้วย
                       สวัสดี
      บันทึกการเข้า
เอมอร 2515
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu 2515
คณะ: รัฐศาสตร์(นิติศาสตร์)
กระทู้: 4,562

« ตอบ #1526 เมื่อ: 28 กุมภาพันธ์ 2554, 20:17:05 »

ขอบคุณ สำหรับคำแนะนำ ค่ะพี่สิงห์
เดินทางปลอดภัยนะคะ
ไม่รบกวนเวลาของพี่แล้วค่ะ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #1527 เมื่อ: 01 มีนาคม 2554, 07:21:15 »

สวัสดียามเช้าค่ะ คุณน้องเอมอร และชาวเวบที่รักทุกท่าน
                         วันนี้พี่สิงห์ต้องไปประชุมเรื่อง คุณภาพประจำเดือนที่โรงงาน PSTC สระบุรี กลับมืด ขอนำ "ปรารภธรรมะให้ฟัง" ของหลวงปู่ดูลย์  อตุโล  มาบอกกล่าวให้พวกเราได้ทราบ เพื่อเป็นการเตือนผู้ที่หลงผิดให้มาปฏิบัติธรรม และให้กำลังใจผู้ที่กำลังปฏิบัติธรรมอยู่ให้มีความเพียร ครับ
                        
                         "คำสอนทั้ง ๘๔๐๐๐ พระธรรมขันธ์นั้น เป็นเพียงอุบายให้คนทั้งหลายหันมาดูจิตนั่นเอง คำสอนของพระพุทธองค์มีมากมาย ก็เพราะกิเลสมีมากมาย แต่ทางที่ดับทุกข์ได้มีทางเดียวคือ พระนิพพาน การที่เรามีโอกาสปฏิบัติธรรมที่ถูกทางเช่นนี้มีน้อยนัก หากปล่อยโอกาสให้ผ่านไปเราจะหมดโอกาสพ้นทุกข์ได้ทันในชาตินี้ แล้วจะต้องหลงอยู่ในความเห็นผิดอีกนานแสนนาน เพื่อจะพบธรรมอันเดียวกันนี้ ดังน้ัน เมื่อเราเกิดมาพบพระพุทธศาสนาแล้วรีบปฏิบัติให้หลุดพ้นเสีย มิฉะนั้นจะเสียโอกาสอันนี้ไป เพราะว่าเมื่อสัจธรรมถูกลืม ความมืดมนย่อมครอบงำปวงสัตว์ให้อยู่ในกองทุกข์สิ้นกาลนาน"

                         จิตที่ส่งออกนอก                               เป็นสมุทัย
                         ผลอันเกิดจากจิตที่ส่งออกนอก           เป็นทุกข์
                         จิตเห็นจิต                                        เป็นมรรค
                         ผลอันเกิดจากจิตเห็นจิต                    เป็นนิโรธ
                          
                         นี่คือสัจธรรมของหลวงปู่ดูลย์   อตุโล มันก็คือความจริง ดังนั้นทุกข์ที่เกิดขึ้นกับเราเป็นผลมาจากจิตที่ปรุงแต่งจาก ความคิดที่หมักดองในสันดานตามประสพการณ์อดีตที่ผ่านมา คิดกังวลไปในอนาคตที่ยังมาไม่ถึง คิดไปในสิ่งที่สัมผัสทางอายตนะทั้ง ๖ ณ ปัจจุบัน บวกกับความไม่รู้ในวงจรทุกข์ ไม่รู้หลักอิทัปปัจจยะตา ไม่รู้กฏไตรลักษณ์ ไม่รู้อริยสัจ ๔ ผลคือ ทุกข์ มนุษย์ได้รับทุกข์อยู่ทุกวันและจะยังวนเวียนอยู่ในวัฏสงสารไม่จบไม่สิ้น
                          ขอเพียงแค่เรามาดู "จิตในจิต" เท่านั้น เราก็จะพบความจริง และพ้นทุกข์ได้ด้วยตัวเอง คือ พระนิพพาน

                          สวัสดี
      บันทึกการเข้า
too_ploenpit
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2514
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 7,778

เว็บไซต์
« ตอบ #1528 เมื่อ: 01 มีนาคม 2554, 11:16:44 »

...สาธุ...
...เข้ามาตามดูรูปที่พี่สิงห์ไปอินเดียแล้วค่ะ...แต่ไม่เห็น ดร.กุศลเลยค่ะ...
      บันทึกการเข้า

i love pink, you are pink = i love you
เอมอร 2515
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu 2515
คณะ: รัฐศาสตร์(นิติศาสตร์)
กระทู้: 4,562

« ตอบ #1529 เมื่อ: 01 มีนาคม 2554, 13:58:11 »

อ้างถึง
ข้อความของ too_ploenpit เมื่อ 01 มีนาคม 2554, 11:16:44
...สาธุ...
...เข้ามาตามดูรูปที่พี่สิงห์ไปอินเดียแล้วค่ะ...แต่ไม่เห็น ดร.กุศลเลยค่ะ...

มีรูป กุศลอยู่ รูปหนึ่งค่ะพี่ตู่
      บันทึกการเข้า
เอมอร 2515
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu 2515
คณะ: รัฐศาสตร์(นิติศาสตร์)
กระทู้: 4,562

« ตอบ #1530 เมื่อ: 01 มีนาคม 2554, 14:02:05 »







รูปนี้ค่ะ พี่ตู่
      บันทึกการเข้า
too_ploenpit
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2514
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 7,778

เว็บไซต์
« ตอบ #1531 เมื่อ: 01 มีนาคม 2554, 17:37:20 »

...อ้อ...เห็นแว้ว...
      บันทึกการเข้า

i love pink, you are pink = i love you
อ้อย17
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,908

« ตอบ #1532 เมื่อ: 02 มีนาคม 2554, 09:22:00 »


         สวัสดีค่ะ พี่สิงห์....
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #1533 เมื่อ: 02 มีนาคม 2554, 19:52:04 »

สวัสดีค่ะ คุณน้องอ้อย 17
                         พี่สิงห์ต้องขออภัยด้วยที่ไม่สามารถไปร่วมวงกาแฟด้วย เพราะเหนื่อยจากการเดินทาง เลยอยู่พักผ่อนที่บ้าน เพื่อชาร์จพลัง เพราะไม่ได้พักนิดต่อกันมานาน อยู่บ้านไม่ได้ทำอะไรเลย ได้แต่พยายามภาวนา และดูใจตนเองยังทำไม่ได้ทั้งวันเลย เพราะร่างกายมันฟ้องครับ
                         วันจันทร์กลับจากสุรินทร์ถึงบ้านสี่ทุ่ม ได้นอนห้าทุ่ม
                         วันอังคารประชุมที่สระบุรี เสร็จ 18:00 น. ก็นั่งคุย ซักถาม ความก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรมของคุณดิเรก(MD ของ PSTC) และคุณภูดิษฐ์ เขาเล่าให้ฟังทั้งหมด ยังไม่ก้าวหน้า และหลงทาง จึงต้องบอกกล่าวกันใหม่ กลับมาถึงบ้าน สี่ทุ่มครึ่งเพลียมาก  จริง ๆ ตั้งใจจะเอาหมูยอที่คุณน้องนุชให้พี่สิงห์มาเอาไปรับประทานกัน แต่ก็ไม่สามารถกระทำได้ตามที่ตั้งใจไว้ ต้องขออภัยจริงๆ ครับ เวลาร่างกายไปไม่ไหว เราสังเกตดู จะรู้ด้วยตัวเอง ถ้าไม่พักผ่อน มันก็จะเจ็บป่วยไปเลย ตอนนี้ก็ดูดีขึ้น และอีกอย่างเสื้อผ้ากองเต็มไปหมดรอซัก เลยอยู่บ้านซักเสื้อผ้า รีดผ้า ทำความสะอาดบ้านเสร็จก็ได้เวลาออกกำลังกายตอนเย็นพอดี  และพรุ่งนี้ต้องไปนครศรีธรรมราชเช้า ชีวิตพี่สิงห์มันก็เป็นอย่างนี้ละ ครับ

                          สวัสดี
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #1534 เมื่อ: 02 มีนาคม 2554, 20:07:52 »

สวัสดีค่ะ คุณน้องเอมอร ที่รัก
                         ต้องขออภัยที่ไม่ได้เข้ามาในเวบตอนเช้า ครับ ตอนนี้พี่สิงห์ก็ชักเอาตัวไม่รอดในเรื่องการปฏิบัติ เพราะมีหลายเรื่องต้องกระทำ แต่ก็ยังมีสติเวลาว่าง คอยดูกาย-ดูใจ(ดูความคิด ไม่ให้ส่งออกไปไกลตัว พยายามอยู่กับ ปัจจุบัน แต่ก็เผลอบ้าง แต่กลับมาได้) จึงต้องขอผึ้งธรรมะของหลวงปู่ดูลย์  อตุโล  มาเป็นตัวกระตุ้นครับ

                        
โลกนี้มันก็มีเท่าที่เราเคยรู้มาแล้วนั้นเอง      
                   
                          บางครั้งที่หลวงปู่สังเกตเห็นว่า  ผู้มาปฏิบัติธรรมยังลังเลใจ เสียดายในความสนุกเพลิดเพลินแบบโลกล้วน จนไม่อยากจะมาปฏิบัติธรรม ฯ  
                          ท่านแนะนำชวนคิดให้เห็นชัดว่า                          
                          
                          "ขอให้ท่านทั้งหลาย จงสำรวจดูความสุขว่า ตรงไหนที่ตนเห็นว่ามันสุขที่สุดในชีวิต ครั้นสำรวจดูแล้ว มันก็แค่นั้นแหละ  แค่ที่เราเคยพบมาแล้วนั่นเอง ทำไมจึงไม่มากกว่านั้น มากกว่านั้นไม่มี โลกนี้มีอยู่แค่นั้นเอง แล้วก็ซ้ำ ๆ ซาก ๆ อยู่แค่นั้น เกิดแก่เจ็บตายอยู่ร่ำไป มันจึงน่าจะมีความสุขชนิดพิเศษกว่า ประเสริฐกว่านั้น ปลอดภัยกว่านั้น พระอริยเจ้าทั้งหลาย ท่านจึงสละสุขส่วนน้อยนั้นเสีย เพื่อแสวงหาสุขอันเกิดจากความสงบกาย สงบใจ สงบกิเลส เป็นความสุขที่ปลอดภัยหาสิ่งใดเปรียบมิได้เลย"                          
                          
                           สำหรับท่านที่อยากชมรูปไปจาริกแสวงบุญอินเดีย-เนปาล จะทะยอยลงในอาทิตย์นี้ครับ
                           ราตรีสวัสดิ์ครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #1535 เมื่อ: 03 มีนาคม 2554, 07:28:23 »

สวัสดียามเช้าครับ คุณน้องเอมอร และชาวเวบที่รักทุกท่าน
                          เช้านี้พี่สิงห์นั่งคอยเครื่องบินขึ้นที่สนามบินดอนเมือง เพื่อที่จะเดินทางไปนครศรีธรรมราช ครับ วันนี้ที่ท่าอากาศยานดอนเมืองผู้โดยสารแน่นมาก ต่อแถวยาวมาก ๆ กว่าจะผ่านช่อง X-ray ได้ใช้เวลาไม่ต่ำกว่า ๒๐ นาที ครับ

                          คนเรานั้นทุกข์จาก การเกิด แก่ เจ็บ ตาย ปราถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้น  ประสพกับสิ่งที่ไม่รักไม่ชอบ และพลัดพรากจากสิ่งที่รักที่ชอบ หรือความสุขต่างๆ ที่เคยได้รับก็ดี ล้วนเกิดจากจิต ทั้งสิ้นทั้งๆที่จิตมันไม่มีตัวมีตน เป็นเพียงความคิด แต่เพราะเราไปยึดมั่นว่ามันเป็น "อัตตา" คือมีตัวมีตน เราจึงได้รับทั้งความทุกข์และความสุข เวียนว่ายอยู่อย่างนี้ในวัฏสงสาร
                         จริงๆ แล้วความคิดของคน หรือ จิต นั้นมันเป็น "อนัตตา" คือไม่มีตัวไม่มีตน ดังนั้นเราอย่าไปยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่เราได้รับ เมื่อไม่มีตัวมีตน ความทุกข์ก็ไม่ควรที่จะเกิดกับเรา แต่ที่เราทุกข์อยู่ทุกวันนั้น เรา "ส่งจิตออกนอก" ตามที่หลวงปู่ดูลย์ ท่านว่า หรือเราไปคิดปรุงแต่ง ต่างๆนาๆ เกิดขึ้น วิตกกังวล กลัวผลที่เราจะได้รับ ต่างๆ.........อีกมากมาย เราจึงทุกข์
                         ขอเพียงเรามีสติ  ใช้ปัญญาไตร่ตรองดู เราก็สามารถที่จะทำให้ความทุกข์นั้นลดน้อยลง หรือไม่มีทุกข์เลยได้ เพราะมันเป็นเพียงความคิดเท่านั้น ไม่ใช่รูปหรือร่างกายของเรา มันไม่ควรจะมีผลได้รับทุกข์
                         ในเมื่อมันเป็นเพียงความคิด ขอเพียงเรามีสติ  เพียงแต่ดูมัน รู้จักมันเท่านั้น ปล่อยมันไปตามธรรมชาติ ความคิดอันนั้นถ้าเราไม่คิดตาม คือตกเป็นทาษหรือหลงอยู่ในความคิดนั้น เจ้าความคิดมันก็จะค่อยๆจางลง ดับไปเอง ตามกฎไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง  ทุกขัง  อนัตตา และมันก็เป็นความจริงฉะนั้นแล
                         สวัสดี




      บันทึกการเข้า
อ้อย17
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,908

« ตอบ #1536 เมื่อ: 03 มีนาคม 2554, 08:21:30 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 02 มีนาคม 2554, 19:52:04
สวัสดีค่ะ คุณน้องอ้อย 17
                         พี่สิงห์ต้องขออภัยด้วยที่ไม่สามารถไปร่วมวงกาแฟด้วย เพราะเหนื่อยจากการเดินทาง เลยอยู่พักผ่อนที่บ้าน เพื่อชาร์จพลัง เพราะไม่ได้พักนิดต่อกันมานาน อยู่บ้านไม่ได้ทำอะไรเลย ได้แต่พยายามภาวนา และดูใจตนเองยังทำไม่ได้ทั้งวันเลย เพราะร่างกายมันฟ้องครับ
                         วันจันทร์กลับจากสุรินทร์ถึงบ้านสี่ทุ่ม ได้นอนห้าทุ่ม
                         วันอังคารประชุมที่สระบุรี เสร็จ 18:00 น. ก็นั่งคุย ซักถาม ความก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรมของคุณดิเรก(MD ของ PSTC) และคุณภูดิษฐ์ เขาเล่าให้ฟังทั้งหมด ยังไม่ก้าวหน้า และหลงทาง จึงต้องบอกกล่าวกันใหม่ กลับมาถึงบ้าน สี่ทุ่มครึ่งเพลียมาก  จริง ๆ ตั้งใจจะเอาหมูยอที่คุณน้องนุชให้พี่สิงห์มาเอาไปรับประทานกัน แต่ก็ไม่สามารถกระทำได้ตามที่ตั้งใจไว้ ต้องขออภัยจริงๆ ครับ เวลาร่างกายไปไม่ไหว เราสังเกตดู จะรู้ด้วยตัวเอง ถ้าไม่พักผ่อน มันก็จะเจ็บป่วยไปเลย ตอนนี้ก็ดูดีขึ้น และอีกอย่างเสื้อผ้ากองเต็มไปหมดรอซัก เลยอยู่บ้านซักเสื้อผ้า รีดผ้า ทำความสะอาดบ้านเสร็จก็ได้เวลาออกกำลังกายตอนเย็นพอดี  และพรุ่งนี้ต้องไปนครศรีธรรมราชเช้า ชีวิตพี่สิงห์มันก็เป็นอย่างนี้ละ ครับ

                          สวัสดี

     สวัสดีค่ะพี่สิงห์....
            ไม่เป็นไรค่ะ...ไว้เจอกันตอนที่พี่สบายๆก็ได้...
     พี่หาแม่บ้านสักคนสิ จะได้มีคนมาซักผ้าทำอาหารทำความสะอาดให้....
    พี่จะหายเหนื่อยกาย....แต่...อาจจะต้องเหนื่อยใจแทน.....555
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #1537 เมื่อ: 03 มีนาคม 2554, 09:57:44 »

สวัสดีค่ะ คุณน้องอ้อย 17
                          การหาแม่บ้านนั้น เปรียบเสมือนพญามารเลยเชียวละ ทำให้พี่สิงห์ต้องกลับไปประพฤติตามปุถุชนม์คนธรรมดา ยังติดอยู่ในกาม(ติดอยู่ใน รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสทางกาย สัมผัสทางวาจา) จะติดในความมักมาก มีแต่ตัณหา(ความอยาก)ไปหมด พี่สิงห์อายุมากแล้ว กลับไปแบบนั้น ชีวิตจะมีแต่ความทุกข์เพิ่มขึ้นครับ ไม่ขอเลือกดีกว่า
                          การซักผ้า  รีดผ้า  ทำความสะอาดบ้าน เป็นอีกหย่างหนึ่งที่เป็นการฆ่าเวลาให้หมดไปวัน ๆ ไม่เดือดร้อนมากนัก และไม่เสียเงินแต่ประการใด  พี่สิงห์ทำได้สะบาย ไม่เดือดร้อนมากครับ และไม่ทุกข์ เพราะมันพุดไม่ได้ จะทำก็ได้ ไม่ทำรอเวลาก็ได้ ไม่ปวดหัวครับ
                          พี่สิงห์ถึงนครศรีธรรมราชแล้วครับ โรงแรมทวินโลตัส คือบ้านพี่สิงห์ ไม่ต้องซักผ้า ไม่ต้องทำความสะอาด มีคนคอยทำให้ทุกอย่าง มีสถานที่สงบ ออกกำลังกาย ปฏิบัติธรรมในห้องพัก ทำงาน มีข้าวกิน มีลูกศิษย์คอยดูแล(พนักงานโรงแรม) เหมาะแก่การปฏิบัติธรรม สำหรับพี่สิงห์ มีความเป็นส่วนตัวไม่มีใครรบกวนทั้งสิ้น ถ้าแขกไม่เต็มจริงๆ ห้องข้างๆ ห้องพี่สิงห์จะไม่มีใครพัก เพราะเขาอยากให้พี่สิงห์ไม่มีสิ่งรบกวน ครับ
                          สวัสดี
      บันทึกการเข้า
เอมอร 2515
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu 2515
คณะ: รัฐศาสตร์(นิติศาสตร์)
กระทู้: 4,562

« ตอบ #1538 เมื่อ: 03 มีนาคม 2554, 10:26:00 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 02 มีนาคม 2554, 19:52:04
สวัสดีค่ะ คุณน้องอ้อย 17
                         พี่สิงห์ต้องขออภัยด้วยที่ไม่สามารถไปร่วมวงกาแฟด้วย เพราะเหนื่อยจากการเดินทาง เลยอยู่พักผ่อนที่บ้าน เพื่อชาร์จพลัง เพราะไม่ได้พักนิดต่อกันมานาน อยู่บ้านไม่ได้ทำอะไรเลย ได้แต่พยายามภาวนา และดูใจตนเองยังทำไม่ได้ทั้งวันเลย เพราะร่างกายมันฟ้องครับ                         วันจันทร์กลับจากสุรินทร์ถึงบ้านสี่ทุ่ม ได้นอนห้าทุ่ม
                         วันอังคารประชุมที่สระบุรี เสร็จ 18:00 น. ก็นั่งคุย ซักถาม ความก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรมของคุณดิเรก(MD ของ PSTC) และคุณภูดิษฐ์ เขาเล่าให้ฟังทั้งหมด ยังไม่ก้าวหน้า และหลงทาง จึงต้องบอกกล่าวกันใหม่ กลับมาถึงบ้าน สี่ทุ่มครึ่งเพลียมาก  จริง ๆ ตั้งใจจะเอาหมูยอที่คุณน้องนุชให้พี่สิงห์มาเอาไปรับประทานกัน แต่ก็ไม่สามารถกระทำได้ตามที่ตั้งใจไว้ ต้องขออภัยจริงๆ ครับ เวลาร่างกายไปไม่ไหว เราสังเกตดู จะรู้ด้วยตัวเอง ถ้าไม่พักผ่อน มันก็จะเจ็บป่วยไปเลย ตอนนี้ก็ดูดีขึ้น และอีกอย่างเสื้อผ้ากองเต็มไปหมดรอซัก เลยอยู่บ้านซักเสื้อผ้า รีดผ้า ทำความสะอาดบ้านเสร็จก็ได้เวลาออกกำลังกายตอนเย็นพอดี  และพรุ่งนี้ต้องไปนครศรีธรรมราชเช้า ชีวิตพี่สิงห์มันก็เป็นอย่างนี้ละ ครับ

                          สวัสดี
  สวัสดีค่ะ พี่สิงห์
  พีสิงห์ก็เป็นหรือคะ
 อรก็ไม่แย่นักสิคะ
 ไม่ก้าวหน้ามา ๒-๓ วันแล้วค่ะ
แต่กลางคืนก็พยายามทำก่อนนอน
จนหลับ ก็ทำได้บ้างค่ะ แต่ไม่ดี เหมือนก่อน
พี่สิงห์ ซักรีดเสื้อผ้าเองหรือคะ ขยันจัง
 ขนาดเดินทางบ่อย ไม่ค่อยมีเวลานะคะนี่
      บันทึกการเข้า
เอมอร 2515
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu 2515
คณะ: รัฐศาสตร์(นิติศาสตร์)
กระทู้: 4,562

« ตอบ #1539 เมื่อ: 03 มีนาคม 2554, 10:37:51 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 02 มีนาคม 2554, 20:07:52
สวัสดีค่ะ คุณน้องเอมอร ที่รัก
                         ต้องขออภัยที่ไม่ได้เข้ามาในเวบตอนเช้า ครับ ตอนนี้พี่สิงห์ก็ชักเอาตัวไม่รอดในเรื่องการปฏิบัติ เพราะมีหลายเรื่องต้องกระทำ แต่ก็ยังมีสติเวลาว่าง คอยดูกาย-ดูใจ(ดูความคิด ไม่ให้ส่งออกไปไกลตัว พยายามอยู่กับ ปัจจุบัน แต่ก็เผลอบ้าง แต่กลับมาได้) จึงต้องขอผึ้งธรรมะของหลวงปู่ดูลย์  อตุโล  มาเป็นตัวกระตุ้นครับ

                         
โลกนี้มันก็มีเท่าที่เราเคยรู้มาแล้วนั้นเอง     
                     
                          บางครั้งที่หลวงปู่สังเกตเห็นว่า  ผู้มาปฏิบัติธรรมยังลังเลใจ เสียดายในความสนุกเพลิดเพลินแบบโลกล้วน จนไม่อยากจะมาปฏิบัติธรรม ฯ 
                          ท่านแนะนำชวนคิดให้เห็นชัดว่า                         
                           
                          "ขอให้ท่านทั้งหลาย จงสำรวจดูความสุขว่า ตรงไหนที่ตนเห็นว่ามันสุขที่สุดในชีวิต ครั้นสำรวจดูแล้ว มันก็แค่นั้นแหละ  แค่ที่เราเคยพบมาแล้วนั่นเอง ทำไมจึงไม่มากกว่านั้น มากกว่านั้นไม่มี โลกนี้มีอยู่แค่นั้นเอง แล้วก็ซ้ำ ๆ ซาก ๆ อยู่แค่นั้น เกิดแก่เจ็บตายอยู่ร่ำไป มันจึงน่าจะมีความสุขชนิดพิเศษกว่า ประเสริฐกว่านั้น ปลอดภัยกว่านั้น พระอริยเจ้าทั้งหลาย ท่านจึงสละสุขส่วนน้อยนั้นเสีย เพื่อแสวงหาสุขอันเกิดจากความสงบกาย สงบใจ สงบกิเลส เป็นความสุขที่ปลอดภัยหาสิ่งใดเปรียบมิได้เลย"                           
                           
                           สำหรับท่านที่อยากชมรูปไปจาริกแสวงบุญอินเดีย-เนปาล จะทะยอยลงในอาทิตย์นี้ครับ
                           ราตรีสวัสดิ์ครับ
สวัสดีค่ะ พี่สิงห์
 จริงแล้วที่ทำไม่ได้ไม่ใช่เพราะไปยึดกับอะไร หรอกคะ
แต่ที่นั่งไม่ได้ เหมือนกับมันขี้เกียจทำแค่นั้นเอง
แต่ยังเห็นคุณค่าของการทำเหมือนเดิม
เพียงแต่ความมุมานะลดลงเท่านั้น
จะกลับไปทำแล้วค่ะ แล้วค่อยๆ เพิ่มเวลาขึ้นไป
หากไม่ท้อ ไม่เลิก ก็คงจะดีขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อวานก็ไม่ได้เข้าweb เหมือนกันค่ะ
ว่างๆพี่สิงห์ เห็นว่าธรรมใด ที่จะกระตุ้นให้หายขี้เกียจ ก็บอกมาเพิ่มเติมได้นะคะ
ตอนนี้กำลังพยายามสลัดตัวขี้เกียจให้หลุดค่ะ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #1540 เมื่อ: 03 มีนาคม 2554, 12:27:10 »

ตามรอยบาทพระศาสดา นมัสการสังเวชนียสถาน ๔ แห่ง

                         สวัสดีทุกท่านครับ การไปอินเดีย-เนปาลของพี่สิงห์ครั้งนี้ จุดประสงค์เพื่อไปรำลึกถึงพระพุทธเจ้าตามที่พระอานนท์ได้ ถามพระพุทธเจ้าก่อนปรินิพพานว่า เมื่อพระองค์ปรินิพพานแล้ว จะระลึกถึงพระองค์ได้อย่างไร พระพุทธเจ้าทรงบอกว่า ให้ไประลึกถึงพระองค์ที่ ประสูติ ตรัสรู้ ปฐมเทศนา และที่ปรินิพพาน พี่สิงห์จึงไปตามนั้นเนื่องในอายุครบ ๖๐ ปี ครับ การไปครั้งนี้ไปกับ ทับทิมเทศ ทัวร์ โดยมี ดร.พระมหา สุเทพ  อกิญฺจโน หรือ พระปลัดสุวัฒน  โพธิคุณ เป็นวิทยากรบรรยาย นำเที่ยว และนำสวดมนต์ ดร.พระมหาสุเทพ เป็นประธานผู้สร้างวัด วัดไทยมคธพุทธวิปัสสนา ที่พุทธคยา รัฐพิหาร และ วัดไทยสาวัตถีพุทธวิปัสสนา เมืองบาห์ไรจ์ รัฐอุตตรประเทศ อินเดีย
                         คณะออกเดินทางจากสุวรรรภูมิ โดย Jet Airways ของสายการบินอินเดีย เวลา 20:15 น. รับประทานอาหารเย็นบนเครื่องบิน ถึงสนามบินโกลกัตต้า ประเทสอินเดีย 21:15 น.(เวลาในอินเดีย ซึ่งช้ากว่าไทย หนึ่งชั่วโมงครึ่ง) และออกเดินทางไปวัดไทยมคธพุทธวิปัสสนา รับพิหาร ระยะทาง ๔๕๐ กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทาง ๑๒ ชั่วโมงนอนบนรถ ปัสสาวะที่ห้องน้ำล้านดาว(กลางทุ่ง ริมถนน เพราะอินเดียไม่มีห้องน้ำ) รับประทางอาหารเช้าบนรถเป็นข้าวเหนียว หมูทอด ไปถึงวัดไทยมคธประมาณสามโมงเช้า รับประทานอาหารเช้า เข้าที่พักเพื่ออาบน้ำ พักผ่อน
                         ห้าโมงรับประทานอาหารกลางวันที่วัด บ่ายสองโมงออกเดินทางไป เจดีย์พุทธคยา ต้นพระศรีมหาโพธิ์
                         เสาที่ ดร.กุศล ปิดทองนั้น เป็นจุดที่พระพุทธเจ้าทรงยืน(ทดลองยืนจะรู้สึกว่าเย็นที่เท้า)  และต้นทางขวาเป็นจุดที่มารยืน(ทดลองยืนจะรู้สึกว่าร้อน) มารมาขอให้พระพุทธเจ้าปรินิพพาน ภายหลังพระองค์ทรางตรัสรู้แล้ว





















      บันทึกการเข้า
เอมอร 2515
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu 2515
คณะ: รัฐศาสตร์(นิติศาสตร์)
กระทู้: 4,562

« ตอบ #1541 เมื่อ: 03 มีนาคม 2554, 12:38:50 »

เวลานั่งสมาธิ ก็นั่งตรงที่เขานั่งอ่านหนังสือ หรือสวดมนต์ หรือคะ
 คนเดินไปมา จะมีสมาธินั่งได้หรือคะ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #1542 เมื่อ: 03 มีนาคม 2554, 12:54:32 »

                          ต้นพระศรมหาโพธิ ต้นปัจจุบันเป็นต้นที่สี่ปลูกโดยเซอร์คันนิ่งแฮม ที่ทำการบูรณะพุทธคยา คือไปพบต้นโพธิ์ตายแล้ว แต่มีหน่ออยู่สองหน่อ จึงขุดต้นเดิมทิ้งเอาหน่อที่ขึ้นปลูกไว้ที่เดิมหนึ่งต้น และแยกไปปลุกด้านทิศเหนืออีกหนึ่งต้น
                          พระมหาโพธิวิหารนี้ ติดกับต้นพระศรีมหาโพธิ์ สถานที่ตรัสรู้ของพระพุทธองค์ตั้งอยู่ที่ ต.พุทธคยา เมืองคยา รัฐพิหาร พระวิหารสูง ๑๗๐ ฟุต เชื่อกันว่าสร้างตั้งแต่สมัยพระเจ้าอโศกมหาราช พ.ศ. ๒๑๘ สภาพปัจจุบันได้รับการบูรณะให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์
                          พระแท่นวัชรอาสน์ อยู่ระหว่างต้นพระศรีมหาโพธิ์กับพระมหาโพธิวิหาร เป็นที่ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า สร้างด้วยแท่นศิลาขนาดกว้าง ๔ ฟุต ยาว ๗ ฟุต สร้างในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ซึ่งในพระพุทะประวัติเดิมเรียกว่า รัตนบัลลังก์
                           บริเวณนี้เดิมเป็นของ มหันต์เจ้าผู้ครองอินเดีย ท่านธัมมปาละ บิรุษใจสิงห์แห่งลังกา เป็นผู้เสียสละ จนสามารถซื้อที่ดินคืนจากมหันต์ได้ อาจพูดได้ว่าเป็นผู้ที่ทำให้ มีเจดีย์พุทธคยาในปัจจุบัน
                          คณะของเราได้ไปนั่งด้านเหนือภายใต้ร่มเงาของต้นพระศรีมหาโพธิ์ ดร.กุศล นั่งติดรั้วต้นพระศรีมหาโพธิ เราได้สวดมนต์ สวดธรรมจักรกัปวันตนสูตร อื่นๆๆๆ นั่งเจริญสติ วิปัสสนาครึ่งชั่วโมง เวียนเทียนรอบต้นพระศรีมหาโพธิ์และรอบพระเจดีย์(อาสัยเส้นใหญ่มียามมาอำนวยความสะดวก จึงสามารถสวดมนต์ วิปัสสนาได้นานๆ) ผู้คนแน่นมากแบบเก้าอี้ดนตรี ครับ







รัตนบัลลังก์ หรือพระแท่นวัชรอาสน์







พี่สิงห์ ยืนตรงที่พระพุทธเจ้ายืน(จะรู้สึกว่าเท้าเย็น) คุยกับพญามาร ที่มาขอร้องให้พระองค์ปรินิพพาน ภายหลังทรงตรัสรู้ใหม่ๆ



หน่อที่สองที่ เวอร์คันนิ่งแฮมปลูกด้านทิศเหนือ

      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #1543 เมื่อ: 03 มีนาคม 2554, 13:00:33 »

อ้างถึง
ข้อความของ เอมอร 2515 เมื่อ 03 มีนาคม 2554, 12:38:50
เวลานั่งสมาธิ ก็นั่งตรงที่เขานั่งอ่านหนังสือ หรือสวดมนต์ หรือคะ
 คนเดินไปมา จะมีสมาธินั่งได้หรือคะ


                   เป็นการฝึกไปในตัว ที่จะต้องทำให้ได้ เพราะผู้คนแออัดมาก ๆ จิตต้องนิ่ง ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น แม้แต่คนเดินผ่าน ส่งเสียงสวดมนต์ ดังไปหมด ครับ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #1544 เมื่อ: 03 มีนาคม 2554, 13:21:42 »

                         พระเมตตา เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย เป็นพระพุทธรูปกาหลั่ยทอง ผินพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออกหะนพระปฤษฎางสู่ฝาผนังซึ่งมีต้นโพธิ์อยู่ทางทิศตะวันตก คือมีลักษณะเดียวกับที่พระบรมศาสดาประทับผินพระปฤษฎางให้ต้นโพธิ์ในคืนวันตรัสรู้ เชื่อกันว่าเป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ ในประวัติผศาสตร์เคยบันทึกไว้ว่า สมัยหนึ่ง กศัตริย์ชาวฮินดูแห่งแคว้นเบงกอลพระนามว่า สสังการ์ ได้ยกทัพมาบริเวณนี้และสั่งให้ทำลายทั้งต้นโพธิ์ และพระพุทธรูปปางมารวิชัยองค์นี้ โดยสั่งให้เสนาบดีนำไปทำลาย แต่เสนาบดีเกรงกลัวต่อบาป จึงขอเวลาในการทำลาย ๗ วัน ในระหว่าง ๗ วันนั้น เสนาบดีก็ได้สร้างกำแพงปิดกั้นพระพุทธรูปองค์นี้ไว้เพื่อพรางตาว่าได้ยกพระพุทธรูปออกไปทำลายแล้ว เมื่อกษัตริย์ฮินดูไปดูที่ประตูวิหาร เห็นที่ว่างก็เข้าใจว่าได้นำพระพุทธรูปออกไปทำลายแล้วจริง จึงหัวเราะชอบใจ ทันใดนั้นเอง กษัตริย์ฮินดูนี้ก็อาเจียนออกมาเป็นโลหิต และถึงแก่สวรรคตในเวลาต่อมา
                         พี่สิงห์นำพระสีวลีไปวางบนแท่น สวดมนต์ ขอพร จากพระเมตตา
                         หน้าพระเมตตามีหีบรับบริจาคเงิน พี่สิงห์ใส่เงินที่อาจารย์ถาวรฝากไปทำบุญ ๑๐๐๐ บาทในหีบใบแรก และพี่สิงห์บริจาคเงิน ๑๐๐๐ บาท ในหีบใบที่สอง เพื่อเอาไว้บูรณะเจดีย์ ครับ
                         ที่หน้าแท่นพระเมตตา คณะได้สิทธิพิเศษ ยืนสวดมนต์ แผ่เมตตา ปิดทอง ขอพร ผู้คนแน่นมากๆๆๆ ต้องเดินวยเป็นวงกลมทางซ้าย เบียดกันไปครับ เพราะผู้แสวงบุญมากันจำนวนมาก คณะของพี่สิงห์มาที่นี่สองวัน คืมาอีกครั้งวันมาฆบูชา ครับ











อยู่อินเดีย พี่สิงห์  ถือ ศิลแปด







      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #1545 เมื่อ: 03 มีนาคม 2554, 13:42:26 »


พุทธคยา

 
********
ที่ตั้งปัจจุบัน
   พุทธคยา อยู่ในแคว้นมคธ มีเมืองหลวงชื่อ ราชคฤห์ เป็นแคว้นมหาอำนาจหนึ่งในสี่ของชมพูทวีป อันมี แคว้นโกศล วังสะ และ อวันตี มีเมืองหลวงคือ สาวัตถี โกสัมพี และอุชเชนี
พุทธคยา  ถือว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดแห่งหนึ่งในสี่แห่งของพุทธศาสนิกชนทั่วโลก เพราะเป็นสถานที่ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเนรัญชรา  ณ ตำบลโพธิคยา  หรือ  พุทธคยา  มีอาณาเขตติดต่อกับตำบลตารดิตถ์  จังหวัดคยา  รัฐพิหาร  ซึ่งมีเมืองปัตนะเป็นเมืองหลวงอยู่ห่างจากตัวเมืองคยาไปทิศใต้ประมาณ ๑๒ กม. ห่างจากเมืองกัลกัตตา ๔๕๘ กม. (โดยทางรถไฟ) และห่างจากกรุงเดลีไปทางตะวันออกประมาณ ๙๘๕ กม. (โดยทางรถไฟ) ก่อนจะเดินทางถึงบริเวณสถานที่ตรัสรู้คือ  ต้นพระศรีมหาโพธิ์  เราจะมองเห็นพระวิหารมหาโพธิ์  (พระเจดีย์  ๔  เหลี่ยม)  ตั้งตระหง่านสูงประมาณ  ๑๗๐  ฟุต  จากพื้นดิน
   เมื่อเดินเข้าใกล้เราจะมองเห็นว่าสถานที่รอบ ๆ  ที่ตรัสรู้นี้  ตั้งอยู่ในที่ต่ำลึกจากระดับพื้นดิน บริเวณรอบ ๆ  ที่ถูกสร้างเป็นกำแพงในปัจจุบันประมาณ  ๕  เมตร  ที่เป็นเช่นนี้เพราะบริเวณพระศรีมหาโพธิ์ในอดีต  มีวิหารใหญ่  ๓  หลัง  เฉพาะทางประตูด้านทิศเหนือของต้นพระศรีมหาโพธิ์มีวิหารชื่อมหาโพธิสังฆาราม  ซึ่งกษัตริย์ชาวศรีลังกาได้มาสร้างไว้  มี  ๖  ห้อง  ๔  ยอด  มีพระสงฆ์อยู่อาศัยถึง  ๑,๐๐๐  รูป  แต่ใน พ.ศ. ๑๗๔๗  วิหารทั้ง  ๓  หลัง  รวมทั้งกำแพงได้ถูกทำลายลงโดยกษัตริย์มุสลิม  ดังนั้น  บรรดาซากอาคารวัตถุที่ปรักหักพังได้แตกสลายไป  ทำให้เกิดการทับถมกันของแผ่นดิน  บริเวณนี้ จึงอยู่ต่ำจากระดับกำแพงและบริเวณโดยรอบ  ซึ่งเป็นซากวัดในอดีต และประมาณ  ๕  เมตร
   เมื่อวันที่  ๒๗  มิถุนายน  พ.ศ. ๒๕๔๕  ที่ผ่านมาองค์การสหประชาชาติ  ได้ประกาศยกย่องให้บริเวณเจดีย์พุทธคยา  เป็นมรดกโลก  (World  heritage)

 
สถานที่ตรัสรู้
   เจ้าชายสิทธัตถะ  หรือดาบสสิทธัตถะ  ในขณะนั้นหลังจากที่ทรงใช้ความวิริยะอุตสาหะ  เพื่อแสวงหาโมกขธรรมอยู่เป็นเวลา  ๖  ปี  จึงทรงตรัสรู้ อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระพุทธเจ้า  ณ  ภายใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์  เมื่อวันพุธ  ขึ้น  ๑๕  ค่ำ  เดือน  ๖  ปีระกา  (วันวิสาขบูชา)  ก่อนพุทธศักราช  ๔๕  ปี  พุทธคยาจึงจัดเป็นสถานที่สำคัญของพุทธศาสนิกชนตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา  บริเวณสถานที่ตรัสรู้นี้  ในครั้งพุทธกาลเรียกว่า  ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม
                 
   ๑. ต้นพระศรีมหาโพธิ์
   ต้นพระศรีมหาโพธิ์  เป็นสถานที่ที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ประทับนั่งตรัสรู้ในคืน วันเพ็ญวิสาขปุรณมีก่อนพุทธศักราช  ๔๕  ปี  ณ  สถานที่นี้ได้เคยมีพระพุทธ เจ้าองค์อื่น ๆ  ในอดีตกาล ได้ทรงมาตรัสรู้แล้วถึง ๓  พระองค์  คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  พระนามว่า กกุสันธะ  พระนามว่า  โกนาคมนะ  พระนามว่า  กัสสปะ  ส่วนพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันมีพระนามว่า   โคตมะ  และในอนาคตกาลจะเป็นที่ตรัสรู้ของ พระศรีอริยเมตไตรย ต้นพระศรีมหาโพธิ์ที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบันเป็นต้นที่ ๔  มีประวัติโดยสังเขป  ดังนี้   
   
   ต้นพระศรีมหาโพธิ์ต้นที่ ๑
   คือต้นพระศรีมหาโพธิ์ที่พระพุทธองค์ได้ประทับนั่ง   เพื่อตรัสรู้  พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ  เป็นสหชาติกับพระพุทธเจ้า  เมื่อพระศรีมหาโพธิ์ต้นนี้อายุประมาณ  ๓๕๒  ปี  ก็ถูก พระนางมหิสุนทรี  มเหสีองค์ที่ ๔  ของพระเจ้าอโศกมหาราช  ราดยาพิษและน้ำร้อนจนตาย  พระเจ้าอโศกทรงเสียพระทัยมาก  ทรงอธิษฐานและสั่งให้เอาน้ำนมวัวถึง  ๑๐๐  ตัวมารดหน่อ ของพระศรีมหาโพธิ์จึงงอกขึ้นมาใหม่

   ต้นพระศรีมหาโพธิ์ต้นที่ ๒
   คือต้นพระศรีมหาโพธิ์ที่แตกหน่อจากต้นเดิม  ด้วยอำนาจสัตยาอธิษฐานของพระเจ้าอโศก  เมื่อ พ.ศ. ๒๗๒
   เมื่อปี  พ.ศ.  ๑๑๔๓ - ๑๑๖๓  ต้นพระศรีมหาโพธิ์ต้นที่  ๒  มีอายุ ประมาณ  ๘๗๑ - ๘๙๑  ปี  กษัตริย์ชาวฮินดูแห่งแคว้นเบงกอลชื่อศะศางกา  ได้ทำลายเสีย  ต่อมากษัตริย์แคว้นมคธ  ชื่อ  พระเจ้าปูรณวรมัน  กษัตริย์องค์สุดท้ายในราชวงศ์ของพระเจ้าอโศกทรงทราบข่าว  จึงเสด็จมาที่พุทธคยา  ได้ทรงเห็นต้นพระศรีมหาโพธิ์ถูกทำลาย  จึงทรงให้เอาน้ำนมวัว  ๑,๐๐๐  ตัว มารดจนหน่อของพระศรีมหาโพธิ์เกิดใหม่อีก

   ต้นพระศรีมหาโพธิ์ต้นที่ ๓
   ต้นพระศรีมหาโพธิ์ต้นที่ ๓  ได้เจริญงอกงามมาตามลำดับ  มีอายุ ประมาณ  ๑,๒๕๖ - ๑,๒๗๖  ปี  ก็ตายลงด้วยถูกพายุพัดโค่น  เพราะอายุแก่มากแล้ว ต่อมา  เซอร์  คันนิ่งแฮม  นักโบราณคดีชาวอังกฤษ (พ.ศ.๒๔๒๓)  ได้เห็นหน่อของต้นพระศรีมหาโพธิ์งอกขึ้นมา  ๒  หน่อ  จึงเอาหน่อที่สูง ประมาณ  ๖  นิ้ว  ปลูกไว้ที่เดิมหน่อที่สูง  ประมาณ  ๔  นิ้ว  ปลูกไว้ทางทิศ เหนือขององค์พระเจดีย์

   ต้นพระศรีมหาโพธิ์ต้นที่ ๔
   ท่าน  เซอร์  คันนิ่งแฮม  ได้นำมาปลูกไว้  เมื่อ  พ.ศ. ๒๔๒๓  ณ  ตำแหน่งเดิมของต้นพระศรีมหาโพธิ์ต้นแรก  พระศรีมหาโพธิ์ต้นนี้มีอายุ ประมาณ  ๑๒๔  ปี  (พ.ศ. ๒๕๔๗)  นับแต่ปลูกมา  ปัจจุบันต้นพระศรีมหาโพธิ์ก็ยังแข็งแรงและสมบูรณ์ดี  มีการกั้นรั้วทองเหลืองไว้โดยรอบ  มีประตูเหล็ก ดัดสูง  ๒  เมตร  สร้างถวายโดยชาวพุทธศรีลังกา
                         
   ๒. พระแท่นวัชรอาสน์
   ที่ประทับนั่งตรัสรู้ของสมเด็จพระ สัมมาสัมพุทธเจ้าที่ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ในครั้งนั้น  พระพุทธองค์ทรงใช้หญ้ากุสะ  ๘  กำมือ  (คล้ายหญ้าคา)  ที่โสตถิยะพราหมณ์ถวายให้มาปูลาดนั่ง  และเมื่อพระองค์ได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วบัลลังก์ที่นั่งนั้น  จึงถูกเรียกว่า  อปราชิต บัลลังก์  หรือ  รัตนบัลลังก์ ต่อมาพระเจ้าอโศกมหาราชทรงสร้างเป็นแท่นหินสลักเรียกว่า  พระแท่นวัชรอาสน์  ประดิษฐานไว้ระหว่างต้นพระศรีมหาโพธิ์กับองค์   พระเจดีย์  เพื่อให้เป็นอนุสรณ์สถานที่ถาวรยาวนาน  พระแท่นนี้สร้างขึ้น โดยใช้แผ่นหินทรายเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า  ยาวประมาณ  ๗  ฟุต  ๑๐ นิ้วครึ่งกว้าง  ๔  ฟุต  ๗  นิ้วครึ่ง  ความหนา  ๖  นิ้วครึ่ง  แกะสลักเป็นรูปแหวนเพชร  นอกจากนั้นยังมีรูปดอกบัว  รูปพญาหงษ์  และดอกมณฑารพด้วย
   ๓. พระมหาเจดีย์พุทธคยา  หรือพระวิหารโพธิ์
   พระมหาเจดีย์พุทธคยานี้  ก่อสร้างด้วยหินทรายสีน้ำตาลนวล  มีลักษณะเป็นทรงสี่ เหลี่ยมจัตุรัส  ยอด แหลม  คล้ายยอดพระเจดีย์ทั่วไป  มีความ สูงประมาณ  ๑๗๐  ฟุต  ฐานวัดโดยรอบ ได้  ๑๒๑  เมตร  พระเจ้า   หุวิชกะทรงสร้าง ต่อมาจากสมัยพระเจ้า อโศกมหาราชและมี การซ่อมแซมบูรณะ โดยท่านผู้เลื่อมใส ในพระพุทธศาสนา เรื่อยมานอกจากนี้  ยังมีองค์ เจดีย์เล็ก ๆ  ลดหลั่นกันไปอยู่โดยรอบพระเจดีย์องค์ใหญ่  จึงทำให้พระเจดีย์ มีความงามยิ่งขึ้น  มีห้องสำหรับปฏิบัติธรรมอยู่ชั้นบน
                                                                     
ส่วนชั้นล่างนั้นประดิษฐาน  พระพุทธรูปปางมารวิชัยขนาดใหญ่  สูงประมาณ  ๑.๖๖  เมตร หน้าตักกว้าง  ๑.๔๗  เมตร  แกะสลักด้วยด้วยหินตามแบบศิลปะสมัยปาละ มีอายุประมาณ  ๑,๔๐๐  ปี  องค์พระพุทธรูปทาด้วยสีทองสวยงามมาก  คนไทยนิยมเรียกว่า  พระพุทธเมตตา
๔.      สถานที่เสวยวิมุตติสุข ๗ สัปดาห์
   หลังจากตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว   พระองค์ประทับนั่งเสวยวิมุตติสุขอยู่ ๗ แห่ง ตลอด ๗ สัปดาห์ ดังนี้
                   
สัปดาห์ที่ ๑  ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ประทับนั่งที่พระแท่นวัชรอาสน์พระองค์ได้ประทับนั่งใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์พิจารณาปฏิจจสมุปบาท โดยอนุโลมและปฏิโลมตลอดสัปดาห์
สัปดาห์ที่ ๒ ที่อนิมิสเจดีย์ เทวดาบางพวกเกิดความปริวิตกว่า  “แม้วันนี้พระสิทธัตถะยังมีกิจที่จะต้องทำอยู่เป็นแน่  เพราะยังไม่ละความอาลัยใน บัลลังก์  ด้วยพระองค์ทรงตั้งสัตยาธิษฐานไว้ก่อนประทับนั่งว่า  ถ้าไม่ได้ ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ  จะไม่เสด็จลุกขึ้นจากบัลลังก์นี้”   ในวันที่ ๘  ทรงออกจากสมาบัติ  ทรงทราบความปริวิตกของเทวดาเหล่านั้น  แล้วเหาะขึ้นไปในอากาศ  เพื่อกำจัดความสงสัยของเทวดาเหล่านั้น  ทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์
   ครั้นแสดงยมกปาฏิหาริย์กำจัดความสงสัยของเทวดาเหล่านั้นแล้ว จึงประทับยืนทางด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือเยื้องจากบัลลังก์เล็กน้อย  ทรงจ้องดูบัลลังก์และต้นโพธิ์สถานที่บรรลุผล  แห่งพระบารมีทั้งหลายที่ ทรงบำเพ็ญมาถึงสี่อสงไขยแสนกัปป์  ด้วยดวงพระเนตรที่ไม่กระพริบว่า   “เราบรรลุสัพพัญญุตญาณเหนือบัลลังก์นี้”  ทรงยับยั้งอยู่  ๗  วัน  สถานที่นั้น จึงชื่อว่า  อนิมิสเจดีย์
   ปัจจุบันได้สร้างเป็นเจดีย์องค์ใหญ่มีสีขาว  อยู่ทางด้านขวามือของ บันไดที่จะลงสู่มหาโพธิสถาน  หรือทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของพระ เจดีย์มหาโพธิ์  ดูผิวเผินมีรูปทรงคล้ายกับเจดีย์องค์ใหญ่  แต่ลวดลายหยาบกว่า
                                                   
   
   สัปดาห์ที่ ๓  ที่รัตนจงกรมเจดีย์ พระองค์ทรงเนรมิตที่จงกรมระหว่างบัลลังก์ที่ ประทับนั่งตรัสรู้กับ อนิมิสเจดีย์  ทรงจงกรมบนรัตนจงกรม  จากทิศตะวันออกจรดทิศตะวันตกอยู่ตลอดสัปดาห์  สถานที่นั้นจึงชื่อว่า  รัตนจงกรมเจดีย์    ปัจจุบันมีหินแกะสลักทำเป็นดอกบัวศิลปะภารหุต  ๑๙  ดอก  บนแท่นหินสูง  ๑  เมตร  ยาว  ๑๒  ศอก  วางเรียงกันเป็นแนวยาวตลอดอยู่ทางด้านซ้ายมือ ข้างองค์พระมหาเจดีย์พุทธคยาหรืออยู่ทางทิศเหนือ  สร้างเป็นแท่นหินสูง  ๑  เมตร  มี  ๑๙  ดอก
   สัปดาห์ที่ ๔  ที่รัตนฆรเจดีย์ เทวดาทั้งหลายเนรมิตเรือนแก้วด้านทิศตะวันตก เฉียงเหนือของต้นพระศรีมหาโพธิ์พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงนั่งขัดสมาธิใน เรือนแก้วนั้นทรงพิจารณาอภิธรรมคือ  พระสมันตปัฏฐานอนันตนัยในพระ อภิธรรมปิฎกโดยพิเศษทรงยับยั้งอยู่ตลอดสัปดาห์
   ส่วนนักอภิธรรมกล่าวว่า  ที่ชื่อว่า  เรือนแก้ว  ไม่ใช่เรือนที่ทำด้วยแก้ว  ๗  ประการ  แต่สถานที่ที่ทรงพิจารณาปกรณ์ทั้ง  ๗  เรียกว่า  เรือนแก้ว   ท่านประยุกต์เรื่องทั้งสองเข้าไว้ในที่นี้โดยปริยาย  จึงควรถือเอาทั้งสองนัย สถานที่นั้นจึงชื่อว่า  รัตนฆรเจดีย์
   ลักษณะที่ปรากฏในปัจจุบัน  เจดีย์นี้สร้างเป็นทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า  หลังคาตัดตรงด้านหน้า มีประตูทางเข้าหันหน้าไปทางกำแพงด้านทิศเหนือ  ภายในมีพระพุทธรูปทองเหลืองขนาดใหญ่องค์หนึ่ง  ประดับอย่างสวยงาม ประดิษฐานอยู่
                             
สัปดาห์ที่ ๕  ที่ต้นอชปาลนิโครธ (ต้นไทร)  พระพุทธเจ้าประทับอยู่ใกล้ ๆ  ต้นพระศรีมหาโพธิ์  ๔  สัปดาห์  แล้วในสัปดาห์ที่  ๕  เสด็จออกจากบริเวณควงไม้โพธิ์เสด็จข้ามแม่น้ำเนรัญชรา ไปทางทิศตะวันออก  ประทับนั่งพิจารณาพระธรรม  และเสวยวิมุตติสุขที่ต้นอชปาลนิโครธนั้น  ณ  ที่ตรงนี้  พราหมณ์ผู้ทิฏฐมังคลิกะ  เที่ยวตวาดว่า  หึ  หึ   ด้วยอำนาจความถือตัวได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า  “บุคคลชื่อว่าเป็น พราหมณ์ด้วยเหตุเพียงเท่าไร ธรรมเหล่าไหนทำให้บุคคลเป็นพราหมณ์” พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเปล่งอุทาน แสดงเหตุและธรรมที่ทำให้บุคคลเป็นพราหมณ์ และได้มีธิดามาร ๓ นาง คือ นางตัณหา นางอรตี นางราคา มาแสดงอาการยัวยวนพระพุทธองค์ทรงเอาชนะด้วยพระพุทธบารมี
                                 
   สัปดาห์ที่ ๖  ที่สระมุจจลินท์ ครั้นประทับนั่ง  ณ  อชปาลนิโครธตลอด  ๗  วัน  ในสัปดาห์ที่  ๕  แล้ว  จึงเสด็จไปประทับ  ณ  โคนต้นมุจจลินท์ (ต้นจิกนา)  อีกสัปดาห์หนึ่ง  พอประทับนั่งในที่นั้นเท่านั้น  มหาเมฆซึ่งมิใช่ ฤดูกาลก็เกิดขึ้น  เมื่อมหาเมฆเกิดขึ้นแล้ว  พญานาคชื่อมุจจลินท์คิดว่า  “เมื่อพระพุทธเจ้ามาสู่สถานที่ของเรา  มหาเมฆก็เกิดขึ้น  พระองค์ควรได้อาคารที่ประทับ”  พญานาคแม้จะสามารถเนรมิต  วิมานทิพย์เหมือนกับเทพวิมาน  แต่คิดว่า  “เมื่อเราสร้างวิมานอย่างนี้  จักไม่มีผลมากแก่เรา  เราจะขวนขวายด้วยกายตนเองเพื่อพระทศพล”  จึงทำอัตภาพให้ใหญ่ยิ่งล้อมพระพุทธเจ้าไว้ด้วย  ขนด  ๗  ชั้น  แผ่พังพานไว้ข้างบน  พระผู้มีพระภาคประทับอยู่  ณ  บัลบังก์ก็มีค่ายิ่ง
   เมื่อฝนหยุดแล้ว  พญานาคราชจึงคลายขนดจำแลงเป็นมาณพยืน ประคองอัญชลีถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าทางเบื้องพระพักตร์ ลำดับนั้น  พระพุทธองค์ได้ทรงเปล่งอุทานปรารภความสุข  ๔  ประการ
   สระมุจจลินท์อยู่ห่างจากเจดีย์พุทธคยาไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ประมาณ  ๒  กิโลเมตร  ห่างจากแม่น้ำเนรัญชราประมาณครึ่งกิโลเมตร  มี สระน้ำอยู่ใกล้หมู่บ้านชื่อมุจจลินท์  ในปัจจุบันทางการได้จำลองสระมุจจลินท์ไว้ที่บริเวณเจดีย์พุทธคยา  มีพระพุทธรูปปางนาคปรกอยู่กลางสระติดกับ กำแพงด้านวัดป่าพุทธคยา
                                           
   สัปดาห์ที่ ๗ ที่ต้นราชายตนะ ในสัปดาห์สุดท้ายแห่งการเสวยวิมุตติสุขพระพุทธองค์เสด็จเข้าไป  ประทับนั่ง  ณ  ราชายตนะ (ต้นเกด)  ทรงยับยั้งอยู่ด้วยสุขในฌานและสุขในผล
   สมัยนั้นพ่อค้า  ๒  คน  ชื่อ  ตปุสสะ  และ  ภัลลิกะ  ได้เข้าไปถวาย สัตตุผงและสัตตุก้อน  พระพุทธองค์ทรงอธิษฐานบาตรทั้ง  ๔  ที่ท้าวมหาราชทั้ง  ๔  นำมาถวายให้เป็นบาตรเดียว  แล้วรับสัตตุผงและสัตตุก้อนมาเสวย ครั้งนั้นพ่อค้าทั้ง  ๒  ก็เปล่งวาจาขอถึงพระพุทธเจ้าและพระธรรม เป็นสรณะ
                     
   ๕. แม้น้ำเนรัญชรา
   แม่น้ำเนรัญชรา (ยาวประมาณ  ๑๕๐  ไมล์) หรือที่ชาวบ้านแถวนั้นเรียกว่า “ลิลาจัน” ซึ่งเป็นคำเพี้ยนมาจากคำในสันสฤตคือ “ไนยุรัญจนะ” แปลว่า แม่น้ำที่มีสีใสบริสุทธิ์สะอาด แม่น้ำสายนี้ไหลมาจากเมืองฮาชารบัด ซึ่งอยู่ทางใต้ของเมืองคยา ไหลคดเคี้ยวมาบรรจบกับแม่น้ำโมหนี ห่างจากที่ตรัสรู้ประมาณ ๒ ไมล์ครึ่ง ที่บรรจบของแม่น้ำสองปัจจุบันเรียกว่า “แม่น้ำฟันกุ” แล้วไหลผ่านตัวเมืองคยา  เป็นแม่น้ำที่พระโพธิสัตว์ได้ทรงลอยถาดทอง  (ที่นางสุชาดาได้มาถวายข้าวมธุปายาส  ในวันขึ้น  ๑๔  ค่ำ  เดือน  ๖  ก่อนพุทธศักราช  ๔๕  ปี)  แล้วทรงอธิษฐานว่า  “ถ้าแม้จะได้ ตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้วไซร์  ก็ขอให้ถาดทองนี้  จงลอยทวนกระแสน้ำขึ้นไป” ทันใดนั้น ถาดทองคำก็ลอยทวนกระแสน้ำไปได้ประมาณ ๘๐ ศอก และไปหยุดจมลงในเส้นดิ่ง ให้พระองค์ทรงเชื่อมั่นว่า  ต้องได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแน่นอน
   จากนั้นพระองค์จึงได้เสด็จมายังฝั่งตรงข้ามซึ่งอยู่ตรงทางทิศตะวันตกอันเป็นตำบลพุทธคยา เสด็จมายังต้นพระศรีมหาโพธิ์
   แม่น้ำเนรัญชราในปัจจุบันช่วงฤดูร้อน  น้ำจะแห้งไปหมด  เหลืออยู่แต่ทรายเท่านั้น  แต่ในฤดูฝนก็จะมีน้ำไหลมากท่วมล้นตลิ่งทุกปี บางปีเกือบท่วมสะพานที่ญี่ปุ่นสร้างให้ความกว้างของแม่น้ำประมาณครึ่งกิโลเมตร  แม่น้ำเนรัญชรากว้างแต่ไม่ลึกนัก  เพราะทรายที่พัดมาจากบริเวณที่ราบสูง ทับถมกันนาน ๆ  เข้า  ทำให้แม่น้ำนี้ตื้นเขินมากขึ้น  จนในที่สุดก็เกือบจะไม่เป็นร่อง หรือทางให้น้ำได้ไหล  เมื่อสังเกตดูจะเห็นว่า  ท้องน้ำกับฝั่งมีพื้น ราบเกือบจะเสมอกัน
                 
                   
   ๖. บ้านนางสุชาดา
   ข้ามสะพานแม่น้ำเนรัญชรา ไปฝั่งตรงข้ามของพระเจดีย์ จากฝั่งแม่น้ำไปประมาณ ๒๐๐ เมตร จะมองเห็นเนินดินสูงกว้างใหญ่ ซึ่งมีอิฐที่เรียงทับถมพื้นที่ดินอยู่ ตามหลักฐานยืนยันว่า ณ บริเวณนี้ คือบ้านนางสุชาดา  ซึ่งเป็นบุคคลที่ร่ำรวยคนหนึ่งในตำบลอุรุเวลาเสนานิคม เป็นธิดาของนายบ้าน สังเกตได้จากที่นางถวายถาดทองแก่พระโพธิสัตว์โดย มิได้เสียดาย  หรือจากข้อความในที่หลาย ๆ  แห่งนั้น  บ่งบอกอย่างชัดเจนว่า นางเป็นธิดาของบุคคลที่ร่ำรวยคนหนึ่ง  มีบ้านใหญ่โต
   นางสุชาดาเป็นผู้ถวายข้าวมธุปายาสแด่พระโพธิสัตว์ที่ใต้ต้นไทร เพื่อแก้บนที่ตนเองได้ แต่งงานกับชายที่มีชาติเสมอกัน  และได้บุตรชายในครรภ์แรก  และอาหารมื้อนี้เป็นอาหารมื้อสุดท้ายก่อนที่พระโพธิสัตว์จะได้ ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
   ในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชทรงสร้างสถูปเพื่อเป็นเกียรติแก่นางสุชาดาด้วย  แต่สถูปนั้น ได้พังทลายด้านบนยอดสถูป  แต่ฐานสถูป ยังสมบูรณ์อยู่  ปัจจุบันทางการได้ล้อมรั้วรอบบริเวณ เนินดินของบ้าน  และได้ขุดดินที่อยู่รอบบริเวณสถูปออก  เห็นแล้วมีความสวยงาม
   ๗.  ต้นไทรที่นางสุชาดาถวายข้าวมธุปายาส
   จากบ้านนางสุชาดา  ต้องเดินผ่านหมู่บ้านที่เต็มไปด้วยสัตว์เลี้ยง  พืชผักสวนครัว  ปศุสัตว์  ทุ่งนาที่เต็มไปด้วยข้าวกล้าในฤดูฝน  แต่ถ้าฤดูร้อน ก็จะร้อนอบอ้าว  ประมาณครึ่งกิโลเมตร  ก็จะถึงต้นไทรที่เชื่อกันว่าเป็น  ต้นไทรที่ประทับของพระโพธิสัตว์  และนางสุชาดาได้ถวายข้าวมธุปายาส ที่แห่งนี้
   ๘. เสาหินพระเจ้าอโศก
        เสาหินพระเจ้าอโศกอยู่บริเวณหน้าวิหารสระมุจจลินท์เป็นเสาที่เป็นสัญลักษณ์ที่โสตถิยพราหมณ์ถวายหญ้ากุสะ ๘ กำมือ เพื่อเป็นที่ปูลาดประทับนั่งตรัสรู้  ส่วนยอดได้ชำรุดแล้ว  เหลือแต่ตัวเสาสูงประมาณ  ๔  เมตร มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ  ๒  ฟุต 
   ๙. อาศรม  “อุรุเวลกัสสปะ”
   อาศรมอุรุเวลกัสสปะ (พี่คนโต) เป็นที่บำเพ็ญเพียรของพวกชฎิล  ๕๐๐  คน มีอุรุเวลกัสสปะเป็นหัวหน้า ถือลัทธิบูชาไฟ ต่อมาถูกพระพุทธเจ้าทรงทรมานจนยอมและได้ฟังธรรมจนเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา  จึงได้ขอบวชในปัจจุบันอาศรมนั้นมีทรายมาก  และมีต้นตาลขึ้นเต็ม  มีสิ่งก่อสร้างของชาว ฮินดู  เป็นบ่อน้ำสำหรับทำพิธีกรรม  และยังเป็นที่ประกอบพิธีทางศาสนา ของชาวฮินดูด้วย
   ๑๐. อาศรม “นทีกัสสปะ”
   อาศรมของนทีกัสสปะ  เป็นอาศรมที่ตั้งอยู่ตรงที่แม่น้ำเนรัญชรากับ แม่น้ำโมหณีบรรจบกัน  มีนทีกัสสปะเป็นหัวหน้า  ปกครองชฎิล  ๓๐๐  คน
   ๑๑. อาศรม “คยากัสสปะ”
   อาศรมของคยากัสสปะ  ตั้งอยู่ตรงกับบริเวณศาสนสถานของชาว ฮินดูในปัจจุบัน คือ  วิษณุบาท     มีคยากัสสปะเป็นหัวหน้า  ปกครองชฎิล  ๒๐๐ คน
   ๑๒. ภูเขาดงสิริ หรือถ้ำดงคศิริ
   เป็นถ้ำที่อยู่ในภูเขาดงคสิริ  มีขนาดเล็กพอบรรจุคนได้  ๕  คน  เป็นสถานที่พระมหาบุรุษทรงบำเพ็ญเพียรของพระโพธิสัตว์  เพื่อทรงทำทุกรกิริยา ทรมานพระวรกายอยู่นานถึง ๖ ปี ซึงมีพระปัญจวัคคีย์คอยปรนนิบัติ  ในปัจจุบันมีวัดธิเบตสร้างอยู่หน้าปากถ้ำ ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของพระเจดีย์ อยู่ห่างกันประมาณ ๗ กิโลเมตร

   ๑๓. วัดไทยพุทธคยา
   วัดไทยพุทธคยา ตั้งอยู่บริเวณมณฑลพุทธคยา  อำเภอคยา  รัฐพิหาร  ประเทศอินเดีย  ห่างจาก สถานที่ตรัสรู้ประมาณ  ๕๐๐  เมตร  บนเนื้อที่  ๑๒  ไร่  ซึ่งรัฐบาลอินเดีย จัดสรรให้เช่า  ในระยะ เวลา  ๙๙  ปี  ต่อสัญญา ได้คราวละ  ๕๐  ปี  นับได้ว่าเป็นวัดไทยแห่งแรกในต่างประเทศ  ที่อยู่ในความอุปถัมภ์ของรัฐบาล ไทย  ภายใต้พระบรมโพธิสมภารของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวองค์ ปัจจุบัน (รัชกาลที่ ๙)
   วัดไทยพุทธคยาเป็นไทยแห่งแรกในต่างประเทศ ภายใต้การอุปถัมภ์ของรัฐบาลไทย ได้สร้างขึ้นในดินแดนพุทธภูมิ ถือว่าเป็นต้นกำเนิดพระพุทธศาสนา ในโอกาสที่เป็นมงคลสมัยแห่งปีฉลอง ๒๕ พุทธศตวรรต พุทธศักราช ๒๕๐๐ ซึ่งได้ดำเนินการก่อสร้างตามคำเชิญของรัฐบาลอินเดียสมัยนั้น คือ ฯพณฯ  ศรี  เยาวหราล  เนห์รูห์  นายกรัฐมนตรี เพื่อน้อมถวายเป็นพุทธบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  และเป็นศูนย์กลางในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาศิลปวัฒนธรรมและประเพณีไทยในแดนพุทธภูมิคือ การก่อสร้างเริ่มเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๐ เสร็จตามโครงการขั้นแรกเมื่อ ปลายปี พ.ศ. ๒๕๐๓  การก่อสร้างเป็นรูปแบบสถาปัตยกรรมศิลปไทย  พระอุโบสถจำลองแบบมาจากวัดเบญจมบพิตร กรุงเทพฯ และมีภาพวาดศิลปกรรมภาพพระมหาชนก ซึ่งได้รับพระบรมราชานุญาตจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นวัดแรกในต่างแดน โดยช่างจากกรมศิลปากร 
   ปัจจุบันมีพระธรรมทูตประจำ ๕ รูป  มีพระเดชพระคุณพระเทพโพธิวิเทศ  (ทองยอด  ภูริปาโล  ป.ธ.๙, Ph.D.)  เป็นเจ้าอาวาสวัดไทยพุทธคยา และเป็นหัวหน้าพระธรรมทูตสายประเทศอินเดีย  โดยมีพระครูปลัด ดร.ฉลอง  จนฺทสิริ (ป.ธ.๔, Ph.D.)  เป็นเลขานุการพระธรรมทูต และมีพระราชรัตนรังสี (วีรยุทธ์ วีรยุทฺโธ Ph.D.) พระสมุทร ถาวรธมฺโม Ph.D. และพระมหาพิรุฬห์ พทฺธสีโล ปธ. ๕, M.A.
   การทอดกฐินประจำปี เป็นกฐินพระราชทาน เริ่มมาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๔๖ เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน
   ๑๙. พระพุทธรูปใหญ่  วัดญี่ปุ่น
   พระพุทธรูปองค์นี้ สร้างจำลองจากพระพุทธรูป ใหญ่ในประเทศ ญี่ปุ่น  เป็น พระพุทธรูป แกะสลักสูง ประมาณ  ๘๐  ฟุต  ด้วยหิน ทรายแดง  เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๘ มีรูปของพระมหาสาวกอยู่ รอบ ๆ  ปัจจุบันจัดเป็น  สัญลักษณ์อย่างหนึ่งของพุทธคยา คนทั่วไปเรียกว่า หลวงพ่อใดบุตสุ
   ๒๐. วัดชาวพุทธนานาชาติ
   วัดต่าง ๆ  ที่อยู่ในบริเวณพุทธมณฑล  สร้างขึ้นด้วยแรงศรัทธาของชาวพุทธ ตามแบบ ศิลปะของแต่ละ ประเทศ และตามคำเชิญชวน ของประเทศอินเดีย  ตั้งแต่  พ.ศ. ๒๕๐๐  จนถึงปัจจุบันมี วัดทั้งหมด  ๒๒  วัด  ดังนี้  คือ :-
   วัดไทยพุทธคยา วัดป่าพุทธคยา (ไทย)  วัดเนรัญชราวาส (ไทย)  วัดไทยมคธพุทธวิปัสสนา(ไทย) วัดมหารัชมังคลาจารย์ (ไทย) วัดสิขิม (มหายาน)  วัดภูฐาน  (มหายาน)  วัดญี่ปุ่น  ๒  วัด  (มหายาน)   วัดธิเบต  ๓  วัด (มหายาน)  วัดพุทธอินเดีย  (ชาวพุทธใหม่)  วัดพุทธอินเดียบารัว  (International  Buddhist  Centre)  วัดจักม่า  (ชาวพุทธ เก่าอินเดีย)  วัด บังคลาเทศ  วัดจีน  (มหายาน)  วัดไต้หวัน  (มหายาน)  วัดศรีลังกา  วัดพม่า  วัดไทโพธิคำ  วัดเวียดนาม  (มหายาน)  วัดเกาหลี (ใต้) (มหายาน)




 

  
   

   
  


คืนวันมาฆะบูชา พี่สิงห์นั่งตรงป้ายธงชาติริมกำแพงที่เห็นทั้งคืนครับ

 
                         ต้นพระศีมหาโพธินี้เป็นต้นที่สี่ในปัจจุบันที่ปลุกโดยท่านเซอร์คันนิ่งแฮม ชาวอังกฤต ผู้บูรณะปฏิสังขร
                         พุทธศาสนาต้องขอบคุณ
                         - พระเจ้าอโศกมหาราชที่เปลี่ยนจากการใช้ดาบ มาเป็นใช้พุทธศาสนาในการขยายดินแดน พระเจ้าอโศกมหาราชโดยการชักนำของพระโมคคัลลีบุตรติสสเถระ พระอรหันต์ ที่ได้โปรดจนพระเจ้าอโศกมานับถือพุทธศาสนา และได้ไปยังที่ประสูต ตรัสรู้ ปฐมเทศนาปรินิพพาน และทุกที่ได้ไปกับพระเถระ ไปปักเสาอโศกที่ทำด้วยหินทราย บูรณะพุทธสถานทั้งหมด
                         - พระสังกำจั๋ง พระภิกษุ จีนที่ไปศึกษาที่มหาวิทยาลัยนาลันทา และได้บันทึกเรื่องราวพุทธศาสนาตามที่พระเจ้าอโศหมหาราชได้ไปบูรณะและปักเสาอโศกไว้ ทำบันทึกไว้ทั้งหมดที่ประเทศจีน
                         - เซอร์คันนิ่งแฮมที่ไปพบบันทึกของพระสังกำจั๋ง แล้วได้ไปสำรวจพุทธสถานทั้งหมด พบว่าเป็นจริงตามที่พระสังกำจั๋งได้บันทึกไว้ ได้ทำการปฏิสังขรณ์ขึ้นมาใหม่
                         - ท่านธัมมปาละ ที่พยายามทุกวิธีที่จะเอาพุทธคยา กลับคืนมาจากพวกมหันต์เจ้าของพื้นที่
                         วันแรกคณะเพียงไปนมัสการพระเมตตา พ้นพระศรีมหาโพธิ์ สวดมนต์ วิปัสสนา เวียนเทียน เท่านั้น เพราะเหนื่อยจากการเดินทางไกลทั้งคืน คณะมารับประทานอาหารเย็น พักผ่อน ยกเว้นพี่สิงห์อดอาหารเย็นแต่นั่งเจริญสติอยู่บนห้องพักโดยหันหน้าไปที่ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ครับ
                         รูปถ่ายน้อยเพราะ ตั้งใจปฏิบัติธรรม ส่วนรูปทั่วไปไม่ได้ถ่ายครับ เพราะไม่ควรกระทำ แออัดไปด้วยผู้คน ขอทาน ขายของ เต็มไปหมด เราต้องมีขันติ เขามีหน้าที่ขอทาน ขายของ เรามีหน้าที่ขันติ อดทน ไม่ซื้อ ไม่ให้ แล้วแต่ใครจะมีขันติแรงกว่ากัน
                          สวัสดี
      บันทึกการเข้า
เอมอร 2515
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu 2515
คณะ: รัฐศาสตร์(นิติศาสตร์)
กระทู้: 4,562

« ตอบ #1546 เมื่อ: 03 มีนาคม 2554, 16:13:57 »

ขอบคุณสำหรับรูปและเรื่องอย่างละเอียดค่ะ พี่สิงห์
ฟังพี่สิงห์เล่าครั้งแรกที่ว่าไปนั่งสมาธิที่ต้นโพธิ์ ตอนคืนวันมาฆบูชา
มองไปว่าน่าจะสงบ ส่วาง และร่มเย็น  จนทำให้นั่งสมาธิได้อย่างสงบและนาน
ไม่คิดว่าวุ่นวาย คนแน่นอย่างนี้ ค่ะ
      บันทึกการเข้า
Manop Klabdee
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


พอเพียง มีสติ เกิดปัญญา
ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: 2513 วศ. รุ่นที่ 54
คณะ: วิศวกรรมศาสตร์ แผนกวิชาวิศวกรรมโยธา
กระทู้: 11,644

« ตอบ #1547 เมื่อ: 03 มีนาคม 2554, 16:56:44 »

อ้างถึง
ข้อความของ เอมอร 2515 เมื่อ 03 มีนาคม 2554, 16:13:57
ขอบคุณสำหรับรูปและเรื่องอย่างละเอียดค่ะ พี่สิงห์
ฟังพี่สิงห์เล่าครั้งแรกที่ว่าไปนั่งสมาธิที่ต้นโพธิ์ ตอนคืนวันมาฆบูชา
มองไปว่าน่าจะสงบ ส่วาง และร่มเย็น  จนทำให้นั่งสมาธิได้อย่างสงบและนาน
ไม่คิดว่าวุ่นวาย คนแน่นอย่างนี้ ค่ะ

สวัสดีค่ะ คุณน้องเอมอร ที่รัก
                   ชาวพุทธ ทุกประเทศก็ปราถนาจะมานั่งสมาธิที่ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ กันทั้งนั้น โดยเฉพาะการสาธยายพระไตรปิฎก หรือสวดมนต์ โดยเฉพาะบทอิติปิโส เพราะทุกชาติสวดเหมือนกันหมด จะได้ยินทั้งวัน ดังนั้นผู้ที่มาทำสมาธิจะต้องมีจิตนิ่งจริงๆ ต้องตัดอารมณ์ให้ได้ ได้ยินก็จริง แต่จิตไม่ปรุงแต่งตาม มันก็ไม่ได้ยินไปเอง เห็นคนเดินผ่านหน้า เห็นแต่ไม่ปรุงแต่งตามมันก็ไม่เห็น คนมันแยะจริงๆ ที่นั่งใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์เพื่อนั่งสวดมนต์เป็นเก้าอี้ดนตรีเลย ต้องอาศัยเส้นใหญ่ ติดสินบนยาม(แขกชอบการติดสินบน) ถึงจะนั่งได้นาน ครับ โดยเฉพาะพระธิเบต สวดเสียงดัง แถมมีปี่ ฉาบ ผสมเข้าไปด้วย คนไทยเรานั้นไม่เคร่งเหมือนชาวศรีลังกา พม่า ธิเบต หรอกครับ
                   กลางคืนสามทุ่มจะปิดประตู ถ้าใครต้องการค้างคืนต้องเสียเงิน ๑๐๐ รูปี ทำหนังสือขออนุญาติอย่างเป็นทางการต่อสมาคมพระศรีมหาโพธิ์ ครับ นี่เป็นกฎ และตรงทางเข้าประตูใหญ่ ต้องถอดรองเท้าเก็บ ประตูชั้นในต้องผ่านเครื่องตรวจระเบิด ขอทานห้ามเข้าตั้งแต่ประตูใหญ่ มียามตลอด ๒๔ ชั่วโมง แต่ขอทานจะมาในรูปพระนักบวชศรีลังกาปลอม มาแกล้งตีสนิทขอให้เราช่วย คือเป็นพระปลอมปะปนจำนวนมาก เพื่อขอเงิน ดังนั้นต้องระวังพระปลอม พี่สิงห์ใจดี เสียไปหลายสตางค์ เพราะไม่รูมาก่อนว่าพระปลอม ในสมัยพระเจ้าอโศก ก็มีพระปลอมมาหากินแบบนี้จนพระเจ้าอโศกฆ่าเสียเป็นจำนวนมากเพราะไม่รู้ ตอนหลังพระอรหันต์ท่านหนึ่งจึงตั้งคำถามทางธรรม ใครตอบได้คือพระแท้ ตอบไม่ได้จับสึก มันมีพระปลอมมาหากินนานมาแล้วครับ
                       สวัสดี
      บันทึกการเข้า
เอมอร 2515
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu 2515
คณะ: รัฐศาสตร์(นิติศาสตร์)
กระทู้: 4,562

« ตอบ #1548 เมื่อ: 03 มีนาคม 2554, 18:06:38 »

อ้างถึง
ข้อความของ Manop  Klabdee เมื่อ 03 มีนาคม 2554, 16:56:44
อ้างถึง
ข้อความของ เอมอร 2515 เมื่อ 03 มีนาคม 2554, 16:13:57
ขอบคุณสำหรับรูปและเรื่องอย่างละเอียดค่ะ พี่สิงห์
ฟังพี่สิงห์เล่าครั้งแรกที่ว่าไปนั่งสมาธิที่ต้นโพธิ์ ตอนคืนวันมาฆบูชา
มองไปว่าน่าจะสงบ ส่วาง และร่มเย็น  จนทำให้นั่งสมาธิได้อย่างสงบและนาน
ไม่คิดว่าวุ่นวาย คนแน่นอย่างนี้ ค่ะ

สวัสดีค่ะ คุณน้องเอมอร ที่รัก
                   ชาวพุทธ ทุกประเทศก็ปราถนาจะมานั่งสมาธิที่ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ กันทั้งนั้น โดยเฉพาะการสาธยายพระไตรปิฎก หรือสวดมนต์ โดยเฉพาะบทอิติปิโส เพราะทุกชาติสวดเหมือนกันหมด จะได้ยินทั้งวัน ดังนั้นผู้ที่มาทำสมาธิจะต้องมีจิตนิ่งจริงๆ ต้องตัดอารมณ์ให้ได้ ได้ยินก็จริง แต่จิตไม่ปรุงแต่งตาม มันก็ไม่ได้ยินไปเอง เห็นคนเดินผ่านหน้า เห็นแต่ไม่ปรุงแต่งตามมันก็ไม่เห็น คนมันแยะจริงๆ ที่นั่งใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์เพื่อนั่งสวดมนต์เป็นเก้าอี้ดนตรีเลย ต้องอาศัยเส้นใหญ่ ติดสินบนยาม(แขกชอบการติดสินบน) ถึงจะนั่งได้นาน ครับ โดยเฉพาะพระธิเบต สวดเสียงดัง แถมมีปี่ ฉาบ ผสมเข้าไปด้วย คนไทยเรานั้นไม่เคร่งเหมือนชาวศรีลังกา พม่า ธิเบต หรอกครับ
                   กลางคืนสามทุ่มจะปิดประตู ถ้าใครต้องการค้างคืนต้องเสียเงิน ๑๐๐ รูปี ทำหนังสือขออนุญาติอย่างเป็นทางการต่อสมาคมพระศรีมหาโพธิ์ ครับ นี่เป็นกฎ และตรงทางเข้าประตูใหญ่ ต้องถอดรองเท้าเก็บ ประตูชั้นในต้องผ่านเครื่องตรวจระเบิด ขอทานห้ามเข้าตั้งแต่ประตูใหญ่ มียามตลอด ๒๔ ชั่วโมง แต่ขอทานจะมาในรูปพระนักบวชศรีลังกาปลอม มาแกล้งตีสนิทขอให้เราช่วย คือเป็นพระปลอมปะปนจำนวนมาก เพื่อขอเงิน ดังนั้นต้องระวังพระปลอม พี่สิงห์ใจดี เสียไปหลายสตางค์ เพราะไม่รูมาก่อนว่าพระปลอม ในสมัยพระเจ้าอโศก ก็มีพระปลอมมาหากินแบบนี้จนพระเจ้าอโศกฆ่าเสียเป็นจำนวนมากเพราะไม่รู้ ตอนหลังพระอรหันต์ท่านหนึ่งจึงตั้งคำถามทางธรรม ใครตอบได้คือพระแท้ ตอบไม่ได้จับสึก มันมีพระปลอมมาหากินนานมาแล้วครับ
                       สวัสดี
สงสัยพระปลอมที่บ้านเรา
ศึกษาประวัติพุทธศาสนามามาก
ไปเลียนแบบมาตั้งแต่พระเจ้าอโศก เลยค่ะ
เห็นอยู่เกลื่อนเมือง จนตอนเช้าจะใส่บาตร ต้องเล็งดีๆ
ไม่รู้ว่าใส่พระปลอมมามากเท่าไหร่แล้วคะ
แต่ก็ทำใจคิดเสียว่าไม่ได้บุญก็ทำทานค่ะ
พี่สิงห์
      บันทึกการเข้า
too_ploenpit
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2514
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 7,778

เว็บไซต์
« ตอบ #1549 เมื่อ: 03 มีนาคม 2554, 18:37:08 »

...สาธุ...อนุโมทนาบุญกับ...พี่สิง์,เอมอร,ดร.กุศล...ด้วยนะคะ...
...วันละ 30 เพอร์เซ็น...ก็ยังดีค่ะ...สะสมเรื่อยๆ...
หลั่นล้า
      บันทึกการเข้า

i love pink, you are pink = i love you
  หน้า: 1 ... 60 61 [62] 63 64 ... 681   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

ทำไมหอพักนิสิตจุฬาจึงเป็นดินแดนมหัศจรรย์            " ไม่ได้เป็นแค่หอให้นอนพัก  แต่เป็นบ้านอบอุ่นรักให้อาศัย  ไม่เป็นแค่ที่ซุกหัวยามหลบภัย  แต่สร้างใจให้เข้มแข็งแกร่งการงาน"  <))))><