06 ตุลาคม 2567, 00:23:38
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 350 351 [352] 353 354 ... 472   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: คุยกับ เหยง 16 - พิเชษฐ์ เชื่อมฯ-เตรียมฉลอง 100 ปี หอซีมะโด่ง จุฬาฯ  (อ่าน 2541202 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 21 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #8775 เมื่อ: 07 มิถุนายน 2556, 07:54:58 »

นครสวรรค์แดดดีมาก


เดี๋ยวจะขอตัวออกไปตลาดปากน้ำโพ ทำธุระสักหน่อยครับ
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #8776 เมื่อ: 07 มิถุนายน 2556, 20:52:55 »

สวัสดีครับทุกท่าน


ช่วงเย็น เห็นฟ้าออกมืดมา นึกว่าจะมีฝน เลยไม่ออกไปเดินออกกำลังกายที่อุทยานสวรรค์
แต่จนถึงบัดนี้ ไร้วี่แววฝน แม้แต่หยดเดียวจริงๆ ??
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #8777 เมื่อ: 07 มิถุนายน 2556, 21:12:12 »

ปัญหาที่มีมาอย่างต่อเนื่อง..เกิดจากวลีนี้ครับ.........

ปิดท้ายด้วยวาทะวันนี้ จาก Larry Mcmurtry... Incompetents invariably make trouble for people other than themselves. - ผู้ที่ไร้ความสามารถนั้น ย่อมสร้างปัญหาให้กับประชาชนอย่างเป็นนิจศีล ยกเว้นแต่ตนเองเท่านั้น...


http://www.thaipost.net/news/070613/74669
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #8778 เมื่อ: 07 มิถุนายน 2556, 21:39:39 »

ข้าวล้นโกดัง18ล้านตัน อคส.ประจานของบเพิ่มเพื่อดูแล/ละเลงแล้ว6.1แสนล.
ข่าวหน้า 17 June 2556 - 00:00


     “บุญทรง” ปั้นตัวเลขจำนำข้าวมอบให้ “สุรนันทน์” ตรวจแล้วก่อนแถลง 7 มิ.ย. ที่ปรึกษา พณ. แถไม่ได้ล้มเหลวเพราะได้แวตเพิ่มจากชาวนา! คลังรับใช้เงินละเลงแล้ว 6.1 แสนล้านบาท น้ำท่วมปากไม่กล้าแจงมูดีส์เพราะไร้ข้อมูล “ธีระชัย” จัดหนักชี้ต้องใช้อภินิหารถึงเจ๊งต่ำกว่า 2 แสนล้าน ซัดหากมั่วหรือหมกเม็ดข้อเท็จจริงเละแน่ “อคส.” เปิดตัวเลขสต็อกข้าวประจาน ทำสถิติค้างโกดังมากสุด 18 ล้านตัน เตรียมของบเพิ่มอีก 2 พันล้านเพื่อดูแล
     เมื่อวันพฤหัสบดี นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ให้สัมภาษณ์ถึงโครงการรับจำนำข้าวทุกเมล็ดของรัฐบาลว่า ได้ร่วมกับกระทรวงการคลังรวบรวมและสรุปข้อมูลตัวเลขรับจำนำข้าวทั้งหมดแล้วคาดว่าจะได้ข้อมูลที่ชัดเจนในวันที่ 7 มิ.ย. ซึ่งจะนำเสนอนายกรัฐมนตรีและสาธารณชนรับทราบต่อไป ซึ่งโครงการรับจำนำข้าวเปลือกตั้งแต่ปี พ.ศ.2546 ถึงปัจจุบัน มีทั้งสิ้น 17 โครงการ โดยโครงการรับจำนำของรัฐบาลมีอยู่ 3 โครงการเท่านั้น แต่ข้อมูลที่จะชี้แจง จะมีรายละเอียดตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ
     “ตัวเลขภาพรวมการส่งออกข้าวของไทยช่วงที่ผ่านมา สถานการณ์ยังเป็นไปด้วยดี และยืนยันเป้าหมายส่งออกข้าวในปีนี้จะได้ไม่ต่ำกว่า 8.5 ล้านตัน ตามที่ตั้งไว้แน่นอน  เพราะยังเหลือเวลาอีกถึง 7-8 เดือน” นายบุญทรงกล่าวและว่า การจำนำในฤดูการผลิต 2555/2556 นั้น รอบ 1 มีปริมาณข้าวเข้าโครงการทั้งสิ้น 14.3 ล้านตัน ส่วนรอบที่ 2 อยู่ระหว่างดำเนินการ ล่าสุดมีปริมาณข้าวเข้าโครงการมาแล้วอยู่ที่ 4.08 ล้านตัน จากเป้าหมายที่ 7 ล้านตัน
     นายภาคิน สมมิตร ที่ปรึกษา รมว.พาณิชย์ กล่าวว่า แนวทางการชี้แจงของกระทรวงจะระบุให้เห็นว่าการดำเนินการโครงการรับจำนำไม่ได้ล้มเหลว เพราะรัฐบาลได้รายได้เพิ่มขึ้นจากการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มที่มาจากการใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นของชาวนา รวมทั้งมีรายได้จากการขายข้าวของรัฐบาล ซึ่งเชื่อว่าผลขาดทุนไม่สูงมากตามที่หลายฝ่ายประเมินไว้
     “การระบายข้าวขึ้นอยู่กับปัจจัยภายในและนอกประเทศ ซึ่งที่ผ่านมาต้องเจอกับการแข่งขันขายตัดราคาจากประเทศผู้ผลิตข้าวและเงินบาทที่แข็งค่า โดยแนวทางการระบายข้าวรัฐบาลจะไม่เน้นระบายข้าวโดยส่งออกอย่างเดียว แต่จะเน้นการระบายข้าวในประเทศด้วยเพื่อให้คนไทยสามารถบริโภคข้าวในราคาถูกได้ด้วย” นายภาคินระบุ

     ต่อมาในเวลา 18.20 น. นายบุญทรงได้เดินทางเข้าพบนายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ เลขาธิการนายกฯ ซึ่งได้นำเอกสารสรุปตัวเลขผลการดำเนินการโครงการรับจำนำข้าวทั้ง 3 โครงการมามอบให้ เพื่อจัดทำพรีเซนเทชั่นประกอบการแถลงชี้แจงในวันที่ 7 มิ.ย. และเพื่อส่งข้อมูลให้บริษัท มูดีส์ อินเวสเตอร์ส เซอร์วิส โดยในวันที่ 7 มิ.ย. เวลา 10.00 น. นายบุญทรงจะบันทึกรายการรัฐบาลยิ่งลักษณ์ พบประชาชน ที่ตึกไทยคู่ฟ้า เพื่อชี้แจงเรื่องดังกล่าวด้วย

อ้างสต็อกเยอะเป็นข้อดี
     นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ยืนยันว่า ความเสียหายในโครงการยังอยู่ในระดับหลักหมื่นล้านบาท ไม่ใช่ 2.6 แสนล้านบาทแน่นอน ซึ่งจำนวนที่แน่ชัดนั้นในวันที่ 7 มิ.ย. นายบุญทรงจะเป็นผู้ชี้แจงตัวเลขเอง ซึ่งเรื่องข้าวจริงๆ แล้วมี 2 ล็อต ล็อตแรกคือ ก่อนหน้ารัฐบาลชุดนี้จะมาบริหารประเทศ ซึ่งมีข้าวค้างสต็อกอยู่จำนวนมาก แต่เราได้ระบายออกมาได้เยอะแล้ว  และข้อดีที่ไม่ได้พูดถึงกัน และล็อตที่สองในรัฐบาลชุดนี้มาบริหารประเทศในปี 2554-2555 รับจำนำหมดแล้ว เหลือแต่ขายออก และปี 2555-2556 ยังรับจำนำได้ไม่หมด แต่กับมาตีกันได้อย่างไรว่าขาดทุน 2.6 แสนล้านบาท
     ส่วนนายบุญไทย แก้วขันตี รองผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) กล่าวว่า ธนาคารได้ใช้สภาพคล่องดำเนินโครงการรับจำนำข้าวทั้งสิ้น 2 แสนล้านบาท โดยเป็นเงินสภาพคล่อง 9 หมื่นล้านบาท และเงินสำรองจ่ายอีก 1.1 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี โดยธนาคารได้รับเงินคืนจากการระบายข้าวของกระทรวงพาณิชย์แล้ว 1.2 แสนล้านบาท เพื่อใช้หมุนเวียนในโครงการรับจำนำข้าวรอบใหม่ ทำให้ยังไม่มีเงินไปใช้คืนเงินสภาพคล่องและเงินสำรองจ่ายของธนาคารได้
     “โครงการรับจำนำข้าวนาปรัง ฤดูผลิต 2556 ยังมีเงินเพียงพอดำเนินการ เพราะมีเงินจากการระบายข้าวเหลือ และเงินกู้ที่กระทรวงการคลังยังค้างจ่ายให้ธนาคารอีก 4 หมื่นล้านบาท” นายบุญไทยกล่าว
     แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลังเผยว่า เงินกู้ 4 หมื่นล้านบาทนั้น เป็นเงินที่ตั้งไว้ใช้ในโครงการรับจำนำข้าวนาปีฤดูกาลผลิต 2555/56 หากจะนำวงเงินดังกล่าวมาใช้รับจำนำข้าวนาปรังฤดูผลิต 2556 พณ.ต้องทำเรื่องให้ ครม.มีมติเห็นชอบก่อน โดย ครม.มีมติให้โครงการรับจำนำข้าวดำเนินการ วงเงินไม่เกิน 5 แสนล้านบาท โดยเป็นเงินกู้จากกระทรวงการคลัง 4.1 แสนล้านบาท แต่ พณ.ไม่สามารถนำเงินจากการระบายข้าวมาชำระคืนได้เลย และเมื่อรวมกับเงินสภาพคล่อง ธ.ก.ส. 9 หมื่นล้านบาท และเงินสำรองอีก 1.1 แสนล้านบาท ทำให้เงินที่ใช้ในโครงการนี้สูงถึง 6.1 แสนล้านบาท หากไม่ควบคุมจะเพิ่มขึ้นอีก เพราะ พณ.ระบายข้าวไม่ได้

น้ำท่วมปากแจงมูดีส์
     "การทำหนังสือชี้แจงมูดีส์ กระทรวงการคลังยังไม่สามารถดำเนินการได้ เพราะไม่รู้ตัวเลขที่ขาดทุนแท้จริงว่าเป็นจำนวนเท่าไร และโครงการรับจำนำข้าวฤดูการผลิต 2556/57 ก็ยังไม่ชัดเจนว่าจะใช้เงินจากแหล่งไหน ต้องกู้เพิ่มหรือไม่ ซึ่งเป็นประเด็นที่มูดีส์ติดตามและเป็นปัจจัยสำคัญที่จะลดเครดิตประเทศไทย” แหล่งข่าวระบุ
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวในเรื่องนี้ว่า โครงการรับจำนำข้าวเป็นนโยบายหลักที่รัฐบาลใช้หาเสียงและแถลงนโยบายต่อสภา ซึ่งนายกฯ เป็นประธานคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) ที่รับผิดชอบเรื่องนี้โดยตรง ไม่ใช่กระทรวงพาณิชย์ ไม่ใช่รองนายกฯ จึงไม่เหมาะสมที่จะพยายามหลีกหนีความรับผิดชอบ และอยากให้นายกฯ มีความชัดเจนว่าจะเอาอย่างไร แม้ในทางการเมืองมีความพยายามให้นายกฯ ลอยตัว แต่ในทางบริหารจะมีปัญหาใหญ่คือผลกระทบที่เกิดขึ้นของประเทศ
     “เป็นไปไม่ได้ อย่างไรก็ต้องเกิน 6 หมื่นล้านบาท เฉพาะค่าบริหาร 3-4 หมื่นล้านบาท คิดง่ายๆ ว่าจำนำข้าวตันละ 15,000 บาท แต่ราคาอยู่ประมาณ 10,000-11,000 บาท แปลว่า 1 ตันขาดทุนประมาณ 4-5 พันบาท ซึ่งมีคำถามว่าจำนำกี่ตันก็คูณเข้าไป ไม่มีทางต่ำกว่าหลักแสนล้านบาท เพราะต้องรวมกับค่าบริหารด้วย” นายอภิสิทธิ์กล่าวถึงกรณีนายบุญทรงระบุว่าโครงการขาดทุนเพียง 6-8 หมื่นล้านบาท
     นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีต รมว.การคลัง โพสต์ในเฟซบุ๊กเช่นกันว่า มติ ครม.ที่ได้อนุมัติใช้เงินในโครงการจำปีในปีผลิต 2554/55 ใช้เงิน 269,160 ล้านบาท , ปี 2555/56 ครั้งที่ 1 ใช้ 240,000 ล้านบาท และปี 2555/56 ครั้งที่ 2 ใช้ 105,000 ล้านบาท รวมวงเงินทั้ง 2 ปีกว่า 6 แสนล้านบาท ซึ่งคิดแบบง่ายๆ ถ้ารับจำนำ 15,000 บาทต่อตัน ขณะที่ราคาตลาดโลก 10,000 บาทต่อตัน ก็มีโอกาสจะขาดทุนเฉพาะจากส่วนต่างราคาเป็นสัดส่วน 1 ใน 3 อยู่แล้ว วงเงิน 6 แสนล้านบาท ก็มีโอกาสขาดทุน 2 แสนล้านบาทเข้าไปแล้ว และยังจะขาดทุนอีก จากค่าบริหาร ข้าวเสื่อมสภาพ ข้าวหาย ฯลฯ

ซัดต้องใช้อภินิหารถึงเจ๊งน้อย
     “ข้อมูลเหล่านี้ปิดบังไม่ได้ ถ้าจะขาดทุนน้อยกว่านี้ รัฐบาลต้องแสดงอภินิหาร ขายข้าวให้ได้ราคาสูงกว่าตลาดโลก ซึ่งเป็นไปได้ยาก ใครเขาจะมาช่วยซื้อข้าวของเราแพงกว่าที่เขาจะซื้อจากคู่แข่ง” นายธีระชัยโพสต์
อดีต รมว.การคลังยังโพสต์ว่า เมื่อรัฐบาลไม่เปิดเผยข้อมูล นักวิเคราะห์ทั่วไปจึงประเมินอย่างนี้ และมองในทางร้ายไว้ก่อน แต่หากรัฐบาลบอกว่าขาดทุนน้อยกว่านี้ ก็ต้องชี้แจงโดยให้ตัวเลขทั้งหมดอย่างโปร่งใส ถ้ากั๊กตัวเลข โดยอ้างว่ายังประเมินขาดทุนไม่ได้ เพราะขายออกไปไม่หมด หรือให้ตัวเลขแบบบางส่วน เช่น เปิดเฉพาะปีที่หนึ่ง แต่ปิดตัวเลขปีที่สอง นักวิเคราะห์เขาก็จะไม่เชื่อถือ และการให้ข้อมูลที่ไม่ครบถ้วน จะยิ่งตอกย้ำให้เขาใช้ตัวเลขที่เลวร้ายที่สุดที่เขาประเมินเอง
       นายธีระชัยยังเปรียบเทียบจำนำกับประกันรายได้ว่า ต้องใช้ฐานเดียวกัน โดยหากเป็นกรณีรับจำนำ 15,000 บาท ซึ่งข้อมูลในสื่อระบุว่าชาวนาได้เงินเฉลี่ย 10,000 บาท คือ 2 ใน 3 ถ้าวงเงิน 6 แสนล้าน ชาวนาก็ได้ 4 แสน ถ้าราคาตลาด 10,000 บาท รัฐขาดทุน 2 แสนล้านบาท แต่ถ้าประกันเท่ากัน 15,000 บาท ถ้าวงเงิน 6 แสน ชาวนาก็ได้ 6 แสน ถ้าราคาตลาด 10,000 บาท รัฐต้องชดเชย 2 แสนล้าน ซึ่งค่าใช้จ่ายกรณีประกันน้อยกว่ามาก และเสี่ยงทุจริตน้อยกว่า ปัญหาข้าวจากประเทศเพื่อนบ้านไม่มี รัฐไม่ต้องปวดหัววิ่งขายข้าว ระบบส่งออกเป็นไปตามปกติ
     นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ชี้ว่า หากมีการปรับลดเครดิตประเทศไทยลง ย่อมส่งผลต่อภาพลักษณ์ และส่งผลไปยังการลงทุนและการระดมทุนทั้งภาครัฐและเอกชน โดยหากปรับลดจากระดับ Baa1 เป็น Baa 2 แสดงว่ามูดีส์กังวลต่อไทยสูงมาก

อคส.เปิดตัวเลขสต็อก
      วันเดียวกัน นายสมศักดิ์ วงศ์วัฒนศานต์ รองผู้อำนวยการองค์การคลังสินค้า (อคส.) ได้แถลงเป็นครั้งแรกถึงปริมาณสต็อกข้าวสารในโครงการรับจำนำข้าวทุกเมล็ดว่า มีประมาณ 17-18 ล้านตัน โดยเป็นข้าวในโครงการรับจำนำนาปี 2554/55 ประมาณ 2.3 ล้านตัน, โครงการรับจำนำนาปรังปี 2555 ประมาณ 7.2 ล้านตัน และโครงการรับจำนำนาปี ปี 2555/56 ประมาณ 8 ล้านตัน โดยมีภาระผูกพันต้องขายให้กรมราชทัณฑ์ และนำมาผลิตเป็นข้าวถุงออกขายประมาณ 2 ล้านตัน ทำให้เหลือสต็อกประมาณ 15 ล้านตัน
     นายสมศักดิ์กล่าวต่อว่า อคส.ยังมีค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษาข้าวประมาณเดือนละ 100 บาทต่อตัน เช่น ค่าแบกหามกรรมการกระสอบละ 3 บาท หรือตันละ 30 บาท ค่าผู้ตรวจสอบคุณภาพข้าว 16 บาทต่อตัน ค่ารมยา อบยา 6 บาทต่อตันต่อเดือน โดยรมยาทุก 2 เดือนครั้ง เป็นค่าใช้จ่ายตันละ 12 บาทต่อตันต่อ 2 เดือน และค่าเบี้ยประกัน ซึ่งคิด 10% ของมูลค่าราคาข้าวที่จำนำและแปรเป็นข้าวสาร ซึ่งข้าวขาว 5% ตกตันละ 17,000-18,000 บาท หรือเป็นค่าเบี้ยประกันประมาณตันละ 1,700-1,800 บาท
     “ตอนนี้ อคส.จ่ายค่าเช่าโกดังเก็บข้าวประมาณตันละ 20 บาทต่อเดือน ซึ่งนาปรังปี 2555 จ่ายไปแล้วประมาณ 1,400 ล้านบาท นาปี ปี 2555/56 จ่ายไปแล้ว 400 ล้านบาท และคาดว่าต้องเก็บข้าวต่อไปจนกว่ารัฐบาลจะขายได้ ซึ่งจะตั้งงบค่าใช้จ่ายไว้เป็นปีต่อไป โดย อคส.ได้ทำเรื่องไปยังสำนักงบประมาณ เพื่อของบประมาณอีก 2,000 ล้านบาท เพื่อมาเป็นค่าใช้จ่ายหลังจากนี้” นายสมศักดิ์กล่าว
     รองผู้อำนวยการ อคส.ระบุด้วยว่า โครงการรับจำนำมาตั้งแต่ปี 2544 ถึงปัจจุบัน ถือว่าขณะนี้เก็บสต็อกมากพอสมควร โดยปี 2544-2550 มีสต็อกค้าง 12 ล้านตัน โดยรัฐบาลประชาธิปัตย์ช่วงปี 2551 ที่มีนายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ เป็นรองนายกฯ ไม่ได้ระบายออกไปเลย ต่อมาในสมัยนายไตรรงค์ สุวรรณคีรี เป็นรองนายกฯ ระบายไปประมาณ 4-5 ล้านตัน แต่สมัยรัฐบาลนี้เพียง 3 โครงการ แต่มีสต็อกถึง 17-18 ล้านตัน เพราะรับจำนำข้าวทุกเมล็ด ผิดกับรัฐบาลก่อนๆ ที่กำหนดปริมาณรับจำนำไว้ที่ 4-5 ล้านตันเท่านั้น ทำให้ตัวเลขสต็อกมีสูง

     นายกรณ์ จาติกวณิช ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กว่า อคส.แฉเองข้าวเหลือล้นโกดังรัฐบาล 18 ล้านตัน มัดปากรัฐบาลบอกขายหมดแล้ว และยังมีค่าดูแลข้าวตันละ 20 บาทต่อเดือน คูณ 18 ล้านตัน เท่ากับเสียค่าเก็บข้าวไว้เน่าฟรีๆ 360 ล้านบาทต่อเดือน
“เรื่องจำนำข้าว ผุดขึ้นมาเรื่อยๆ ครับ กับนโยบายสนิมร้ายทำลายประเทศจากเนื้อในตน ผลาญงบปีกว่าไปแล้ว 6.6 แสนล้านบาท ขาดทุน 2.6 แสนล้านบาท ถึงมือชาวนาแค่ 30%” นายกรณ์โพสต์.

http://www.thaipost.net/news/070613/74677
      บันทึกการเข้า
ti2521
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,987

« ตอบ #8779 เมื่อ: 08 มิถุนายน 2556, 07:35:41 »


.....สวัสดีครับ พี่เหยง  ข่าวสยองขวัญครับ.....
      บันทึกการเข้า

เพื่อซีมะโด่งจุฬาฯ
สำหรับผม
อย่างไรก็ได้
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #8780 เมื่อ: 08 มิถุนายน 2556, 09:58:17 »

ฟังไทยรัฐ ซึ่งญาติดีกับรัฐบาลอยู่แล้ว วิจารณ์เอาก็แล้วกัน...ว่า สยองจริงหรือเปล่า ??

เคลียร์แบบลิงแก้แห

คงต้องร้องว่า “เจ๊แดง” ช่วยด้วยซะแล้ว

ถ้าเป็นผู้ป่วยก็ต้องบอกว่า วันนี้อาการ “บุญทรง เตริยาภิรมย์” รมว.พาณิชย์ เด็กในคาถาของ “เจ๊แดง” เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย น่าเป็นห่วง ในการแถลงข่าวชี้แจงปมร้อนโครงการรับจำนำข้าวทุกเม็ดของรัฐบาล กับตัวเลขขาดทุนที่ยังไม่กระจ่างชัด

จำนำข้าวเจ๊งยับ 260,000 ล้านบาท จริง-ไม่จริง?

โดยสรุปจากการแถลงที่ “รมต.บุญทรง” เคียงข้างเพื่อนรัฐมนตรีร่วมสายเจ๊

“ทนุศักดิ์ เล็กอุทัย” รมช.คลัง ที่รับผิดชอบกำกับดูแล ธ.ก.ส. รวมทั้ง “ดาวสภาโจ๊ก”  ฝีปากเจ๋ง “เดอะเต้น” ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รมช.พาณิชย์ และบิ๊กข้าราชการที่เกี่ยวข้องร่วมตั้งโต๊ะแถลง

เปิดฉากมาก็ต้องลบล้างข้อกล่าวหา “ตัวเลขขาดทุน” ที่อนุกรรมการปิดบัญชีโครงการรับจำนำพืชผลการเกษตร กระทรวงการคลัง สรุปตัวเลขขาดทุนจำนำข้าว 2.6 แสนล้านบาท โดยนายบุญทรง และนายณัฐวุฒิประสานเสียงปฏิเสธ ตัวเลขขาดทุนดังกล่าวไม่เป็นความจริง

เป็นตัวเลขลอยๆ ข้อมูลไม่เป็นทางการ ยังไม่ผ่านการพิจารณา “ปรับปรุงแก้ไข” โดยคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ ที่มี “นายกฯปู” น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นประธาน

รมต.ยึดหลักโต้ปมร้อน ดาหน้าเปิดตัวเลขหักล้างทันที

ก่อนจะแจกแจงรายละเอียด อ้างว่าเป็นข้อมูล ณ วันที่ 31 ม.ค.2556 สรุปคือ โครงการจำนำข้าวมีกรอบวงเงิน 6 แสนล้านบาท ตัวเลขการใช้งบฯในโครงการ 3 ปี คือ 42,000 ล้านบาท 90,000 ล้านบาท และ 84,000 ล้านบาท รวมใช้งบประมาณจำนำข้าวไปแล้ว 2.1 แสนล้านบาท

และเปิดตัวเลขปริมาณรับจำนำข้าวที่แปรเป็นข้าวสารทั้งหมด 25 ล้านตัน ระบายไปแล้ว 7 ล้านกว่าตัน ขายข้าวและใช้เงินคืน ธ.ก.ส.ไปแล้ว 1.2 แสนล้านบาท และยังเหลือข้าวในสต๊อกรอระบาย 10 กว่าล้านตัน

หรือเป็นสินค้ามูลค่าคงคลัง ประมาณการมูลค่าแล้วหากขายได้เป็นเงินถึง 2.2 แสนล้านบาท

ย้ำเสียงแข็ง ฉะนั้นจำนำข้าวไม่มีทางขาดทุนถึง 2.6 แสนล้านบาท

โดยไม่ลืมโต้ในมุมการเมือง ตัวเลขขาดทุนไม่มีทางเกินโครงการประกันราคาสมัยรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์

โดยงานนี้ “รมต.บุญทรง-รมต.ณัฐวุฒิ” สลับกันแถลงตัวเลขกันชนิดหน้าดำหน้าแดง โดยเฉพาะช่วงไคลแม็กซ์ เจอนักข่าวที่นั่งบวก ลบ คูณ หารตัวเลขตาม และเริ่มยิงคำถามก็ทำเอา 2 รมต.อ้ำอึ้ง

ยิ้มแหยๆสู้สื่อ ย้ำข้อมูลเป็นตัวเลขประมาณการ ยังสรุปยอดไม่ได้เพราะโครงการยังเดินหน้าอยู่

ที่ดูเหมือนจะเคลียร์ แต่เมื่อตัวเลขคลุมเครือก็เลย “ไม่เคลียร์”

ทั้งเรื่องการระบายข้าว ที่ไม่มีรายละเอียดมาชี้แจงว่าส่งออกรูปแบบรัฐต่อรัฐไปยังประเทศใดบ้าง ข้าวในสต๊อกที่เหลือเท่าไหร่ เป็นมูลค่าเท่าใด รวมทั้งปมสต๊อกข้าว ค่าใช้จ่ายในการจัดเก็บ ค่าเสื่อมมูลค่า หรือค่า “ข้าวเน่า”

เจอนักข่าวยิงรัวคำถาม 2 รมต.ถึงขั้นเหงื่อตกซิก ซดน้ำโฮกๆ

นอกจากนี้ที่ยังไม่มีการชี้แจง ยังมีเรื่องคำถามจากการตรวจสอบของฝ่ายค้าน นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ เปิดโพยการระบายข้าวไม่โปร่งใส มีเครือข่ายผู้มีอำนาจได้ประโยชน์

เอาเป็นว่าโครงการจำนำข้าว จากที่เป็นนโยบายโกยแต้มจากชาวนา ได้กลายเป็นโปรเจกต์ร้อน

เวลานี้เสี่ยงกลายเป็น “จุดสลบ-จุดตาย” ของรัฐบาลไปแล้ว

ชนิดที่ล่าสุดก่อน 3 รัฐมนตรีมาแถลงข่าวข้อมูลตัวเลขโครงการ “นายกฯปู” เรียกประชุมรัฐมนตรีด่วนที่บ้านพิษณุโลก ระดมทีมรับสถานการณ์ร้อน ช่วงรัฐบาลถูกถล่มในหลายปมหลายประเด็น รวมทั้งโครงการจำนำข้าว

ที่ขาดไม่ได้ “บุญทรง” รมต.ขวัญใจ “เจ๊แดง” เป็นรัฐมนตรีที่ “นายกฯปู” ต้องเรียกคุยส่วนตัว

หลังจากไล่บี้ไล่เข็นให้ออกมาชี้แจงหลายรอบ

เพราะงานนี้ถ้าขืนยังนิ่ง ไม่ระดมรัฐมนตรีตั้งแนว “บัฟเฟอร์โซน” แนวกันไฟให้  เรื่องนี้ก็ต้องถึงตัว “นายกฯปู” ในฐานะประธาน กขช.แน่ๆ

ไม่วายเจอพายุคำถามจากสื่อต้องตีกรรเชียงกันเป็นรายวัน

นายกฯ “ก้นร้อน” นั่งไม่ติด กลัว “ไฟจำนำข้าว” จะเป็นเพลิงเผารัฐบาล บรรดารัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องเลยต้องจัดคิวด่วนตั้งโต๊ะแถลง แม้จะเปิดข้อมูลที่เคย “ปิดลับ” ออกมาแบบไม่ชัดเจน

ลุยแบบวัวพันหลัก-ลิงแก้แห เร่งแก้สถานการณ์ร้อนไปก่อน.

 
ทีมข่าวการเมือง

http://www.thairath.co.th/column/pol/wikroh/349867
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #8781 เมื่อ: 08 มิถุนายน 2556, 10:32:24 »

มีคำเตือน พรุ่งนี้เป็นต้นไป ถึงวันพุธ 13 มิถุนายน
ฝนจะตกมากขึ้นในทุกภาคของประเทศ รวมทั้งฟ้าคะนองและลมกระโชกแรง


พยากรณ์อากาศ ประจำวันเสาร์ที่ 8 มิถุนายน 2556
ประกาศกรมอุตุนิยมวิทยา
"ฝนตกหนักและคลื่นลมแรง"

ฉบับที่ 1 ลงวันที่ 08 มิถุนายน 2556


ลักษณะอากาศทั่วไปเมื่อเวลา 04:00 น.  มรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังปานกลางพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย
ทำให้ประเทศไทยมีฝนอยู่ในเกณฑ์เป็นแห่งๆ ในระยะนี้
ในช่วงวันที่ 9-13 มิ.ย. มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย
มีกำลังแรง ประกอบกับบริเวณความกดอากาศสูงจากประเทศจีนแผ่ลงมาปกคลุมประเทศลาวและเวียดนาม
ทำให้มีร่องมรสุมกำลังแรงพาดผ่านประเทศไทยตอนบนเข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณทะเลจีนใต้ ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยตอนบนมีฝนตกชุกหนาแน่น และมีฝนตกหนักหลายพื้นที่ โดยมีฝนฟ้าคะนองและลมกระโชกแรงเกิดขึ้นได้ในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สำหรับทะเลอันดามัน และอ่าวไทยตอนบน
จะมีคลื่นสูง 2-3 เมตร ขอให้ประชาชนระวังอันตรายจากฝนตกหนัก ส่วนชาวเรือบริเวณทะเลอันดามัน
และอ่าวไทยตอนบน ขอให้เพิ่มความระมัดระวังอันตรายในการเดินเรือ และเรือเล็กในทะเลอันดามัน
ควรงดออกจากฝั่ง
 
พยากรณ์อากาศสำหรับประเทศไทยตั้งแต่เวลา 06:00 วันนี้ ถึง 06:00 วันพรุ่งนี้.   [/size]

ภาคเหนือ  มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 40 ของพื้นที่
ส่วนมากบริเวณจังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ เชียงราย ตาก กำแพงเพชร และเพชรบูรณ์

อุณหภูมิต่ำสุด 24-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 34-35 องศาเซลเซียส
ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-30 กม./ชม.  

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ  มีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆ ร้อยละ 30 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดหนองคาย
เลย หนองบัวลำภู ชัยภูมิ และนครราชสีมา

อุณหภูมิต่ำสุด 24-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 34-36 องศาเซลเซียส
ลมใต้ ความเร็ว 10-30 กม./ชม.  

ภาคกลาง  มีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆ ร้อยละ 30 ของพื้นที่
ส่วนมากบริเวณจังหวัดนครสวรรค์ อุทัยธานี กาญจนบุรี และราชบุรี

อุณหภูมิต่ำสุด 23-26 องศาเซลเซียส
อุณหภูมิสูงสุด 33-36 องศาเซลเซียส
ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ชม.  

ภาคตะวันออก  มีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆ ร้อยละ 30 ของพื้นที่
ส่วนมากบริเวณจังหวัดปราจีนบุรี สระแก้ว ชลบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด

อุณหภูมิต่ำสุด 24-27 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-35 องศาเซลเซียส
ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ชม.
ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร  

ภาคใต้ (ฝั่งตะวันออก)  มีเมฆเป็นส่วนมาก กับมีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆ ร้อยละ 30 ของพื้นที่
ส่วนมากบริเวณจังหวัดเพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฏร์ธานี และสงขลา

อุณหภูมิต่ำสุด 24-26 องศาเซลเซียส
อุณหภูมิสูงสุด 33-35 องศาเซลเซียส
ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ชม.
ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร  

ภาคใต้ (ฝั่งตะวันตก)  มีเมฆเป็นส่วนมาก กับมีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆ ร้อยละ 30 ของพื้นที่
ส่วนมากบริเวณจังหวัดระนอง และพังงา

อุณหภูมิต่ำสุด 23-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-35 องศาเซลเซียส
ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-35 กม./ชม.
ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร  

กรุงเทพมหานครและปริมณฑล  มีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆ ร้อยละ 30 ของพื้นที่ส่วนมากในช่วงบ่ายถึงค่ำ
โดยกลุ่มฝนจะเคลื่อนจากทางด้านตะวันตกไปทางด้านตะวันออก

อุณหภูมิต่ำสุด 24-27 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 34-35 องศาเซลเซียส
ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ชม.  
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #8782 เมื่อ: 08 มิถุนายน 2556, 20:19:42 »

รายละเอียดในบทสัมภาษณ์อดีตเลขา สมช. พี่ถวิล เปลี่ยนศรี เศรษฐ & RCU 2515

'ถวิล เปลี่ยนศรี' สมช.ทำงานให้บ้านเมือง ไม่ได้ทำงานให้การเมือง
8 มิถุนายน 2556 06:06 น.


       ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-คำพิพากษาของศาลปกครองกลางเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ที่มีคำสั่งให้นายกรัฐมนตรีคืนตำแหน่ง 'เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ' ให้แก่ 'นายถวิล เปลี่ยนศรี' อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ที่ถูกย้ายให้ไปนั่งตบยุง ในตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ฝ่ายข้าราชการประจำ ตั้งแต่เดือน ก.ย. 2554 ตามที่เขาร้องขอต่อศาลนั้น นับเป็นประเด็นที่ทำให้ 'น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร' นายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นผู้เซ็นคำสั่งแต่งตั้งโยกย้ายดังกล่าว นั่งไม่ติดเลยทีเดียว
       
       งานนี้แม้บรรดาลิ่วล้อและนายกฯยิ่งลักษณ์เองจะกระเหี้ยนกระหือ ต้องการยื้อให้นายถวิลนั่งตบยุงต่อไปเหมือนเดิม แต่ก็ยังละล้าละลัง ไม่กล้ายื่นอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุงเพื่อคัดค้านคำสั่งของศาลปกครองกลาง ด้วยเกรงว่าแรงกระแทกกลับจากกระบวนการต่อสู้ของนายถวิลที่จะเกิดขึ้นนับจากนี้อาจส่งผลถึงขั้นที่นายกฯหญิงขวัญใจไพร่แดงต้องถูกดำเนินคดีอาญาในข้อหาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ !!
       
       หลายคนอาจอยากรู้ว่าเรื่องนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร และอะไรที่ทำให้อดีตเลขาธิการ สมช. ผู้นี้กล้าลุกขึ้นมาคัดง้างต่อกรกับรัฐบาลเผด็จการภายใต้ระบอบทักษิณ ? ลูกผู้ชายที่ชื่อ 'ถวิล เปลี่ยนศรี' มีคำตอบ
       
       อยากทราบว่าตอนที่ท่านถูกโยกย้ายจากเลขา สมช.ไปเป็นที่ปรีกษานายกรัฐมนตรี เกิดอะไรขึ้น
       
       ตอนนั้นกระแสข่าวเรื่องการโยกย้ายข้าราชการมันมีมาตลอด เพราะเป็นช่วงที่เพิ่งมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล หลังจากผ่านเหตุการณ์ชุมนุม เม.ย.-พ.ค. 53 บุคคลที่ตกเป็นเป้าหมายก็คือคุณธาริต (ธาริต เพ็งดิษฐ์อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ) รองนายกฯบางท่านก็ให้สัมภาษณ์สื่อเลยว่าคนแรกที่ต้องดำเนินการก็คือคุณธาริต แต่สุดท้ายคุณธาริตไม่โดน ซึ่งข่าวที่ออกมาเนี่ยเราในฐานะที่เป็นข้าราชการประจำเราก็เสียใจ เพราะเราข้าราชการต้องทำงานกับทุกรัฐบาล รัฐบาลหนึ่งมาก็เช็คบิลเรา อีกรัฐบาลมาก็เช็คบิลเรา มันก็ระส่ำระสายเพราะเรารับราชการเป็นอาชีพ อยู่ไปจนเกษียณ เราทำงานตามหน้าที่ เราไม่ได้ไปฝักใฝ่ทางการเมือง แล้วตอนนั้นเรื่องก็ไปเกิดที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ คงจำกันได้ว่าตอนนั้นมีคลิปเรื่องบ่อนออกมา เขาก็จะย้ายผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ คือฝนตกที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ แต่ฟ้ามาผ่าที่บ้านผมคือที่ สมช.
       
       ตอนนั้นมีความพยายามโยก พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ออกจากตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ โดยหาตำแหน่งอื่นให้ท่านวิเชียร เพื่อเปิดทางให้ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ขึ้นมาเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จึงมีการโยกคุณถวิลจากเลขาธิการ สมช.ไปเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี เพื่อให้ พล.ต.อ.วิเชียร ได้มานั่งเป็น เลขา สมช.
       
       ครับ หลายท่านก็พูดอย่างนั้น รองนายกฯเฉลิม (ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง) ก็บอกว่าจะเอาท่านวิเชียร ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติในขณะนั้นออก แล้วจะตั้งท่านเพรียวพันธ์ขึ้นไป ตอนแรกคุณวิเชียรก็บอกว่าไม่ไปนอกจากจะมีตำแหน่งที่มีศักดิ์ศรี มีความสำคัญเท่าเทียมกัน ก็เลยมีการโยกย้ายกันเป็นลูกระนาด ย้ายผมออก เอาคุณวิเชียรมาแทน ตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติก็ว่าง ต่อมา กตช.(สำนักงานคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ) ก็แต่งตั้งคุณเพรียวพันธ์ซึ่งเป็นญาติท่านนายกฯ (น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี) ขึ้นไปเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
       
       ผมคิดว่านั่นคือที่มา และในคำพิพากษาของศาลปกครองกลางซึ่งพิจารณาคดีการแต่งตั้งโยกย้ายไม่เป็นธรรมซึ่งผมร้องไปนั้น ศาลท่านก็เชื่อว่ามีเหตุดังกล่าวข้างต้นด้วย โดยในคำพิพากษาของศาลปกครองกลาง ระบุชัดเจนว่า “ จึงเชื่อได้ว่าปัจจัยอันเป็นที่มาของการเปลี่ยนแปลงผู้ฟ้องคดี (นายถวิล เปลี่ยนศรี) จากตำแหน่งเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ไปดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจำ คือความประสงค์ให้ตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติที่ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ดำรงอยู่ในขณะนั้นว่างลง เพื่อแต่งตั้งบุคคลอื่นให้ดำรงตำแหน่งดังกล่าวแทน ” ซึ่งนี่น่าจะเป็นที่มาเบื้องต้น
       
       ฝ่ายการเมืองบางคนก็กล่าวหาว่าคุณถวิลใกล้ชิดกับพรรคประชาธิปัตย์
       
       ครับ หลังจากนั้นก็มีการพูดถึงผมว่าผมทำงานให้กับพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งใครๆก็รู้ว่าผมทำงานให้กับพรรคการเมืองไม่ได้ ผมทำงานให้กับรัฐบาลเท่านั้น ที่สำคัญคือผมทำงานให้กับพี่น้องประชาชนที่เขาเสียภาษี บางคนก็บอกว่าผมไว้ใจไม่ได้เพราะผมอยู่ใน ศอฉ.(ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน) ทั้งๆ ที่ตอนนั้นก็มีข้าราชการระดับสูงหลายท่านที่อยู่ใน ศอฉ.เหมือนกัน แล้วก็บอกว่าผมเป็นตัวตั้งตัวตี เป็นเลขานุการใน ศอฉ. ก็กฎหมายเขาเขียนไว้ โดยพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ปี 2548 กำหนดไว้ชัดเจนว่าคณะกรรมการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินต้องประกอบด้วยใครบ้าง 1 ,2 ,3, 4 ซึ่งก็มีอธิบดีและปลัดกระทรวงต่างๆ แล้วก็มีเลขา สมช.เป็นกรรมการและเลขานุการ มันระบุไว้ในกฎหมายอยู่แล้ว ซึ่งไม่ว่าจะมี ศอฉ.เกิดขึ้นเมื่อไหร่ มันก็ต้องตั้งแบบนี้
       
       ทราบว่าก่อนที่จะยื่นเรื่องต่อศาลปกครอง คุณถวิลได้ร้องไปยังคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม (ก.พ.ค.)
       
       ใช่ครับ อย่างที่ผมเรียนแล้วว่าเรารับราชการเราก็มีระบบคุณธรรมอยู่ เพราะการแต่งตั้งโอนย้าย หรือการบริหารงานบุคคลมันจะใช้ความรัก ความชัง หรือว่าความโน้มเอียงทางการเมืองมาเป็นเหตุผลไม่ได้ ซึ่งเรื่องนี้ถูกเขียนไว้ทั้งในรัฐธรรมนูญ เขียนไว้ในประมวลจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เขียนไว้ในกฎหมายระเบียบข้าราชการพลเรือนปี 51 ว่าระบบคุณธรรมเป็นอย่างนี้ การแต่งตั้งโยกย้ายต้องพิจารณาถึงความรู้ความสามารถ จะเอาเรื่องทางการเมืองมาพิจารณาไม่ได้ จะทำด้วยความเกลียดชังอำเอียงไม่ได้ทั้งสิ้น ผมก็เลยเห็นว่าการแต่งตั้งโยกย้ายผมนั้นไม่เป็นไปตามระบบคุณธรรมจึงไปร้องที่ ก.พ.ค. ซึ่งเมื่อ ก.พ.ค.มีมติอย่างไรก็ถือว่าเป็นที่สุดสำหรับผู้ที่ออกคำสั่ง แต่ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากคำสั่งนั้นสามารถไปร้องศาลปกครองต่อได้
       
       เรื่องผมก็ไปอยู่ที่ ก.พ.ค. 7 เดือน ซึ่งหลังจากรับเรื่อง ก.พ.ค.ก็ตั้งคณะกรรมการชุดเล็กขึ้นมา เรียกว่าคณะกรรมการร้องทุกข์คณะที่ 2 โดยมีกรรมการ 3 คน ซึ่ง 2 คนเป็นผู้ทรงคุณวุฒิอยู่ใน ก.พ.ค. ส่วนอีก 1 ท่านเป็นหัวหน้าคณะกรรมการ ก็คือท่านศราวุธ เมนะเศวต ซึ่งเป็นประธาน ก.พ.ค.คนที่แล้ว ก็มีการเรียกผมไปแถลงข้อเท็จจริง ไต่สวนจนกระทั่งได้ข้อเท็จจริง
       
       จากนั้นคณะกรรมการชุดเล็กก็ทำรายงานถึงคณะกรรมการชุดใหญ่ว่าคำฟ้องของผมเนี่ยฟังขึ้น การโยกย้ายนั้นไม่เป็นธรรม คณะกรรมการชุดใหญ่ก็พิจารณาอีกที ซึ่งคณะกรรมการชุดใหญ่นั้นปกติมี 7 ท่าน แต่ช่วงที่เรื่องของผมเข้าไปเนี่ยเหลือกรรมการอยู่ 6 ท่านเพราะเสียชีวิตไปท่านหนึ่ง แล้วกระบวนการสรรหากรรมการท่านใหม่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ ซึ่งผลการพิจารณาออกมา 3 : 3 โดย 3 เสียงเห็นว่าการโยกย้ายผมไม่เป็นธรรม แต่อีก 3 ท่านเห็นว่ารัฐบาลทำถูกขั้นตอนแล้ว ประธานก็เข้ามาชี้ขาด
       
       ซึ่งก็น่าเสียดายที่ ก.พ.ค.ดูความชอบด้วยกฎหมายเฉพาะประเด็นเรื่องกระบวนการและขั้นตอน แต่ไม่ได้ดูว่าการใช้ดุลยพินิจนั้นชอบธรรมหรือไม่ ในขณะที่ศาลปกครองดูทั้งสองส่วนคือดูทั้งเรื่องกระบวนการขั้นตอนและความชอบด้วยคุณธรรม สุดท้าย ก.พ.ค.ก็ชี้ว่าการโยกย้ายผมถูกต้อง และยกคำร้อง ตรงนี้ผมได้ฝากไปถึง ก.พ.ค.แล้วว่าถ้ายังพิจารณาอยู่แค่นี้ความเป็นธรรมมันก็ไม่เกิดขึ้น อย่างไรก็ตามผมก็ขอบคุณกรรมการใน ก.พ.ค.หลายท่านซึ่งท่านได้พิจารณาในแนวทางที่จะคุ้มครองพวกเราซึ่งเป็นข้าราชการ แต่สุดท้าย ก.พ.ค.ก็ไม่ได้เป็นที่พึ่งของข้าราชการที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม เราก็ผิดหวัง เรื่องต้องไปถึงศาลปกครอง
       
       ท่านจึงไปร้องต่อศาลปกครอง
       
       ครับ ศาลปกครองท่านก็ใช้ระบบไต่สวน ศาลก็มีสิทธิ์แสวงหาข้อเท็จจริงเพื่อประกอบการพิจารณาของท่านได้ เรื่องของผมก็ไปอยู่ที่ศาลปกครอง 1 ปี 1 เดือน รวมกับระยะเวลาที่เรื่องอยู่ที่ ก.พ.ค.อีก 7 เดือน รวมเป็น 1 ปี 8 เดือน สุดท้ายก็มีคำพิพากษาว่า
       
       1) เมื่อดูในขั้นตอนที่มีการโอนผมจากเลขาธิการ สมช.มาเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ฝ่ายข้าราชการประจำนั้น กระบวนการโอนไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากการโอนย้ายข้าราชการนั้นตามมาตรา 63 ตามพระราชบัญญัติข้าราชการพลเรือน ปี 2551 ระบุว่า..การจะโอนย้ายข้าราชการต้องเป็นการตกลงระหว่าง 2 หน่วยงาน คือหน่วยงานที่จะโอน กับหน่วยงานที่รับโอน หมายความว่าทาง สมช.ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ผมสังกัดอยู่ในขณะนั้น กับสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ซึ่งจะรับโอนตัวผม จะต้องตกลงกันก่อนว่ามีตำแหน่งว่างไหม โอนมาแล้วจะมีผลเสียหายต่อราชการไหม
       
       แต่มันเกิดพิรุธและความไม่ชอบด้วยกฎหมายตรงที่เลขาธิการนายกฯซึ่งทำหน้าที่เป็นคนกลางในการประสานงานเรื่องนี้ ได้ทำหนังสือ ลงวันที่ 4 ก.ย.2554 ถึงรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีฉบับหนึ่ง ทาบทามว่าสำนักนายกฯมีตำแหน่งว่างไหม พร้อมที่จะรับโอนผมจากทาง สมช.ไหม ท่านรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯก็ลงนามในหนังสือวันที่ 5 ก.ย.54 ตอบกลับว่ามีตำแหน่ง พร้อมรับโอนคือตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีซึ่งผมนั่งอยู่ในปัจจุบันเนี่ยแหล่ะ ขณะเดียวกันในวันที่ 4 ก.ย.54 เลขาธิการนายกฯก็ทำหนังสือถึงรองนายกฯ ซึ่งกำกับดูแล สมช.คือท่าน พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ ว่าทางรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯพร้อมจะรับโอนแล้ว มันก็เลยเกิดพิรุธว่าหนังสือที่แจ้งไปยังท่านโกวิทวันที่ 4 แล้วรู้ได้ยังไงว่าสำนักนายกฯพร้อมรับโอน ในเมื่อรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯตอบกลับมาในวันที่ 5
       
       ซึ่งประเด็นนี้ทาง ก.พ.ค.บอกว่าไม่เป็นสาระสำคัญเพราะในที่สุดทั้งสองฝ่ายก็ยินดีให้มีการโอนย้าย ก.พ.ค.บอกตรงนี้ถูก และ ก.พ.ค.ก็ไม่ปต่อ ไม่พิจารณาว่าการโยกย้ายครั้งนี้สอดคล้องกับระบบคุณธรรมหรือไม่ ก.พ.ค.ยกคำร้องของผมเลย แต่ทางศาลปกครองกลางเห็นว่าตรงนี้เป็นการปกปิดข้อเท็จจริงซึ่งทำให้สาระของการโอนไม่เป็นไปโดยถูกต้อง เพราะผู้ที่จะอนุญาตให้โอนหรือไม่นั้นจะต้องรู้เสียก่อนว่าหน่วยงานที่จะรับโอนนั้นเขามีตำแหน่งว่างหรือเปล่า เป็นประโยชน์ต่อทางราชการหรือไม่ เขาถึงจะพิจารณาได้ หมายความว่าข้อมูลของท่านโกวิทซึ่งป็นหน่วยที่รับโอนเนี่ยไม่สมบูรณ์เพราะมีการปกปิดข้อเท็จริง เพราะฉะนั้นกระบวนการโอนจึงไม่ชอบด้วยสาระสำคัญของการโอนแล้ว..อันนี้ไม่ชอบทั้งวิธีการ ขั้นตอน และไม่ชอบด้วยกฎหมายด้วย
       
       2) ศาลปกครองกลางวินิจฉัยว่าการโยกย้ายครั้งนี้ไม่ชอบด้วยการใช้ดุลยพินิจ เพราะการใช้ดุลยพินิจไม่เป็นไปตามระบบคุณธรรม ซึ่งศาลพิจารณาใน 2 ประเด็น คือ
       
       2.1) เนื่องจากศาลเห็นว่าการย้ายผมจากตแหน่งเลขาธิการ สมช.ไปเป็นที่ปรึกษานายกฯ เนี่ย ตำแหน่ง เลขาฯ สมช.มีบทบาทและความสำคัญสูงกว่าตำแหน่งที่ปรึกษานายกฯ โดยศาลดูในแง่กฎหมายว่าตำแหน่งเลขาฯ สมช.นั้นเป็นหัวหน้าหน่วยราชการ มีอำนาจการบริหาร มีเจ้าหน้าที่ในสังกัด ส่วนตำแหน่งที่ปรึกษานายกฯเป็นตำแหน่งทางวิชาการเท่านั้น ไม่มีเจ้าหน้าที่ในสังกัด ไม่มีอะไรทั้งนั้น แล้วในข้อเท็จจริงก็ไม่มีใครมาปรึกษากับผมด้วย จึงถือเป็นย้ายผมไปสู่ตำแหน่งที่มีบทบาทและความสำคัญต่ำกว่าตำแหน่งเดิม ศาลจึงมองว่านี่เป็นการใช้ดุลยพินิจที่ไม่ชอบด้วยระบบคุณธรรม
       
       2.2) ศาลเห็นว่าเหตุผลที่นายกฯอ้างในคำสั่งที่ย้ายผม เพราะผมมีความรู้ความสามารถด้านความมั่นคง หากไปอยู่ในตำแหน่งที่ปรึกษานายกฯจะสามารถช่วยงานด้านนโยบายความมั่นคงที่รัฐบาลแถลงต่อสภาได้เป็นอย่างดี ซึ่งศาลท่านพิจารณาว่าโดยหลักการมันไม่ใช่ เพราะตอนผมอยู่ในตำแหน่งเลขาฯ สมช.ผมก็ทำงานดังกล่าวได้อยู่แล้ว และทำงานได้ดีกว่าด้วยเพราะมีศักยภาพของหน่วยงาน มีเครื่องไม้เครื่องมือมารองรับ และโดยข้อเท็จจริงเมื่อโอนย้ายผมมาเป็นที่ปรึกษานายกฯแล้วก็ไม่ปรากฎว่าได้มีการทำงานอย่างที่อ้างไว้ ศาลจึงเห็นว่าเป็นการใช้ดุลยพินิจที่ไม่ชอบด้วยระบบคุณธรรม
       
       3) ศาลวินิจฉัยว่าเหตุที่ย้ายผมออกจากตำแหน่ง เลขา สมช.เพราะมีความประสงค์จะหาตำแหน่งให้กับ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี เพื่อให้ พล.ต.อ.วิเชียร ลาออกจากตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เพื่อเปิดทางให้คนใกล้ชิดรัฐบาลเข้ามาเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ซึ่งเป็นการโยกย้ายที่ขัดกับหลักคุณธรรม
       
       จึงสรุปได้ว่านายกฯซึ่งเป็นผู้ถูกฟ้องที่ 1 มีคำสั่งย้ายผมโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลจึงมีคำสั่งให้นายกฯยกเลิกคำสั่งโยกย้ายดังกล่าว และคืนตำแหน่งให้ผมกลับไปเป็นเลขาธิการ สมช.ดังเดิม โดยถือว่าผมไม่เคยพ้นจากตำแหน่งเลขา สมช.มาก่อน และให้ดำเนินการโดยเร็ว อีกทั้งยังให้ ก.พ.ค.ซึ่งเป็นผู้ถูกฟ้องที่ 2 เพิกถอนคำวินิจฉัยที่ยกคำร้องของผม
       
       แล้วจากนี้ขั้นตอนต่อไปจะเป็นอย่างไร
       
       คือถึงแม้ว่าศาลจะมีคำสั่งให้คืนตำแหน่งเลขาฯ สมช.ให้ผม แต่ว่าคดียังไม่ถึงที่สุด ยังสามารถยื่นอุทธรณ์ได้ เพราะคดีทางปกครองจะมี 2 ศาล คือศาลปกครองกลาง และศาลปกครองสูงสุด ขณะนี้นายกฯ และ ก.พ.ค. ซึ่งเป็นคู่ความก็มีเวลาอีก 30 วัน(นับจากวันที่ศาลตัดสิน) ที่จะพิจารณาว่าจะยื่นอุทธรณ์หรือไม่ ถ้าไม่อุทธรณ์ทุกอย่างก็จบ ก็ต้องคืนตำแหน่งให้ผม ยกเลิกคำสั่งย้ายผม แล้วออกคำสั่งให้ผมกลับไปเป็นเลขาฯสมช. ส่วนผู้ที่ดำรงตำแหน่งเลขาฯ สมช.อยู่ในขณะนี้จะโยกย้ายไปที่ไหน นายกรัฐมนตรีก็ต้องไปดำเนินการ คือศาลปกครองกลางมีคำสั่งให้คืนตำแหน่งเลขาฯ สมช.ให้ผม ประหนึ่งว่าผมไม่เคยพ้นจากตำแหน่งมาตั้งแต่แรก ดังนั้นทั้งสองท่านที่มาดำรงตำแหน่งเลขาฯ สมช.หลังจากมีการโยกย้ายผม คือ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี และ พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร นั้น นายกฯก็ต้องออกคำสั่งย้อนหลังให้เขามีตำแหน่งอื่นในช่วงเวลาดังกล่าวแทน ส่วนการดำเนินการใดๆในระหว่างที่ทั้งสองท่านดำรงตำแหน่งเลขาฯสมช.ก็ให้ถือว่าชอบด้วยกฎหมาย
       
       ซึ่งตรงนี้เรามีคดีตัวอย่างของท่านพีรพล ไตรทศาวิทย์ อดีตปลัดกระทรวงมหาดไทย ซึ่งยื่นฟ้องต่อศาลปกครองกลางกรณีถูกโยกย้ายให้ไปดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายกฯ ฝ่ายข้าราชการประจำ ไม่เป็นธรรมเหมือนกัน (นายพีรพลยื่นฟ้อง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมตรีในขณะนั้น) เพียงแต่ความไม่ชอบด้วยกฎหมายวิธีการปฏิบัติในกรณีท่านพีรพลนั้นแตกต่างจากผม ของท่านพีรพลเป็นเรื่องของความเร่งรีบดำเนินการ คือใช้เวลาเพียง 1 วัน ชงเรื่องจากกระทรวงมหาดไทยมายังสำนักนายกฯ จากสำนักนายกฯเข้า ครม.ในวาระจร และนายกฯก็เห็นชอบทันที ซึ่งศาลตั้งข้อสังเกตว่ารวดเร็วผิดปกติจนเห็นได้ว่ามีการเตรียมการไว้ก่อนแล้วที่จะย้ายท่านพีรพล เพื่อที่จะแต่งตั้งคนของตนเองเข้าไปเป็นปลัดกระทรวงมหาดไทยแทน ซึ่งท่านพีรพลก็เกษียณไปก่อนที่ศาลปกครองกลางจะมีคำพิพากษา และรัฐบาลขณะนั้นก็ไม่ได้ยื่นอุทธรณ์
       
       ท่านคิดว่านายกฯยิ่งลักษณ์จะยื่นอุทธรณ์หรือไม่
       
       ผมก็ไม่ทราบเหมือนกัน แต่ผมก็ยังไม่เห็นเหตุผลว่าท่านนายกฯจะอุทธรณ์เพราะอะไร หากจะยื่นอุทธรณ์เพราะผมยังไม่เกษียณ แต่กรณีท่านพีรพลเกษียณไปแล้ว อย่างนั้นก็ไม่เป็นธรรมกับผม บางคนก็ถึงขนาดมาพูดว่าให้ผมเกษียณดีกว่า โอ้..ยิ่งหนักเข้าไปใหญ่ ยิ่งไม่เป็นธรรมกับผม คือจะอุทธรณ์หรือไม่ก็เป็นสิทธิของท่านนายกฯ เห็นว่าตอนนี้ท่านนายกฯได้ตั้งคณะทำงานขึ้นมาศึกษารายละเอียด และท่านก็คงพิจารณาอีกที ซึ่งผมเนี่ยไม่ได้ไม่เสีย ไม่ว่าท่านนายกฯจะอุทธรณ์หรือไม่อุทธรณ์ ผมอยู่ได้ แล้วก็เป็นปกติสุขทุกอย่าง ถ้าท่านไม่อุทธรณ์ผมก็กลับไปทำงานที่ สมช. และผมก็ต้องอยู่ภายใต้บังคับบัญชาของท่านนายกฯ แต่ถ้าท่านอุทธรณ์ผมก็ต้องไปสู้ต่อเพื่อปกป้องสิทธิอันชอบธรรมของข้าราชอย่างผม ผมถูกกระทำ ผมก็ต่อสู้เพื่อความเป็นธรรม แล้วผมผิดอะไร ผมไม่ได้ไปรังแกใคร
       
       ถ้านายกฯยื่นอุทธรณ์ ท่านจะทำอย่างไรต่อไป
       
       คือผมก็เตรียมไว้หมดแล้วว่าถ้าท่านไม่อุทธรณ์ผมก็กลับเข้ารับตำแหน่ง ถ้าท่านอุทธรณ์ผมก็ต้องไปต่อสู้เพื่อปกป้องสิทธิของผม เหมือนที่ผมสู้มา 1 ปี 8 เดือนที่ผ่านมา และถ้ามีเครื่องไม้เครื่องมืออะไรที่ผมจะเอามาต่อสู้ได้ผมก็ต้องเอามาใช้ทั้งหมด แต่ผมยังไม่อยากพูดถึงในรายละเอียด ผมก็คงต้องไปต่อสู้ในชั้นศาลปกครองสูงสุด จะต้องทำอะไรยังไงบ้างเราก็เตรียมการไว้แล้วแต่ยังไม่อยากจะพูด เพราะเดี๋ยวจะกลายเป็นว่าผมไปขู่นายกฯ ด้วยความเคารพ ผมไปขู่นายกฯไม่ได้ แต่อย่างไรก็ตามผมก็อยากเรียนไปถึงท่านนายกฯว่าการตัดสินใจของท่านนายกฯนั้นผูกพันเฉพาะตัวท่านนายกฯ ไม่ได้ส่งผลต่อคนที่มาร่วมให้ข้อสังเกตกับท่านนะครับ แล้วก็ไม่รู้ว่าเขาให้ข้อเสนอแนะโดยยึดถือประโยชน์ของท่านนายกฯเป็นเกณฑ์หรือไม่ หรือว่ามีผลประโยชน์อื่นใด เพราะผมก็เห็นอยู่บ่อยๆว่าก็มีข้าราชการของเราเองที่ยืมมือฝ่ายการเมืองเพื่อเขย่าให้คนอื่นร่วงลงมาเหมือนกัน เพื่อที่ตัวเองจะได้ประโยชน์ ที่สำคัญอย่าลืมว่าท่านนายกฯต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองตัดสินใจตามลำพังนะครับ
       
       แปลว่าถ้ามีคำตัดสินออกมาว่าการแต่งตั้งโยกย้ายครั้งนี้ท่านนายกฯปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และมีผลทางกฎหมายอย่างไร ท่านนายกฯก็ต้องรับผิดชอบเอง
       
       ใช่ครับ ถ้านายกฯมีความผิดทางแพ่ง ทางอาญา ท่านก็ต้องรับผิดชอบเอง คนที่เสนอแนะเขาไม่ได้มารับผิดชอบด้วย
       
       หลายคนมองว่าการยื่นฟ้องครั้งนี้เป็นการสร้างบรรทัดฐานให้ระบบราชการไทยซึ่งมักได้รับผลกระทบจากการแต่งตั้งโยกย้ายที่ไม่เป็นธรรม
       
       คือระบบคุณธรรมมันเป็นหัวใจและวิญญาณของระบบราชการไทยเพราะเราอยู่มาได้ด้วยระบบคุณธรรม เรามีความเข้มแข็ง เรามีบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถ พัฒนาขึ้นมารับผิดชอบงานเป็นขั้นเป็นตอน ในตำแหน่งแห่งที่ต่างๆ มีคนเก่งๆ ขึ้นมาก็เพราะเราใช้ระบบคุณธรรมคัดเลือก ไม่ใช่เพราะใครผลักดันแต่งตั้งขึ้นมาแล้วทำงานได้หรือไม่ได้อีกเรื่องหนึ่ง ถ้าอย่างนั้นงานราชการก็เสียหาย ประชาชนก็ไม่มีที่พึ่ง เมื่อระบบคุณธรรมเป็นหัวใจและวิญญาณของระบบราชการไทยเราก็ต้องรักษามันไว้ให้ดี เพราะนี่คือสิ่งสำคัญที่ทำให้บ้านเมืองเราอยู่รอดมาได้ ถามว่าเมื่อเราลุกขึ้นมาต่อสู้แล้วข้าราชการคนอื่นเขามีขวัญกำลังใจดีขึ้นไหม ก็แน่นอนเพราะเขาก็เห็นว่ายังมีกระบวนการยุติธรรมเป็นที่พึ่ง
       
       ท่านคิดว่าการโยกข้าราชการจากหน่วยงานอื่นขึ้นมาเป็น เลขาฯสมช.จะส่งผลอย่างไรต่อการทำงานของหน่วยงานนี้
       
       ผมว่ามันกระทบต่อขวัญและกำลังใจของคนทำงาน หลายคนอาจจะคิดว่าทหารกับตำรวจเป็นหน่วยงานด้านความมั่นคงเหมือนกันเอามานั่งเป็นเลขาฯ สมช.ได้ แต่จริงๆ มันเป็นงานคนละแบบกัน ทหารเขาดูเรื่องการป้องกันประเทศ ตำรวจดูแลเรื่องความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ส่วนงานของ สมช. เป็นหน่วยงานของข้าราชการประจำที่ทำงานด้านความมั่นคงโดยเฉพาะ แล้วก็มีหน่วยที่ทำงานข้างเคียงกันอย่างสำนักข่าวกรอง ขณะที่ในส่วนของตำรวจ-ทหารนั้นเราก็ทำงานร่วมกันอยู่แล้ว ที่ผ่านมาเราก็ผลิตบุคลากรขึ้นมาเพื่อให้รัฐบาลเอาไปใช้ ดังนั้นเป็นไปได้อย่างไรที่หน่วยงานที่มีรากฐานตั้ง 40-50 ปี มีคนเข้ามาทำงานตั้งแต่ ซี 3 ซี 4 อายุงาน 20-30 ปี อย่าง สมช.กลับไม่สามารถหาคนที่มีความเชี่ยวชาญด้านความมั่นคงขึ้นมาทำงานได้ ต้องไปเอาบุคลากรจากหน่วยอื่นที่ไม่ได้ทำงานด้านความมั่นคงมาเป็นนั่งบริหาร
       
       บ้างคนอ้างว่าทหารจะรู้งานด้านความั่นคงมากกว่าคนของ สมช. เขาจะรู้ดีกว่าได้อย่างไร เขาทำงานด้านการป้องกันประเทศ แล้วถ้ารู้งานด้านการป้องกันปนะเทศ ทำไมไม่ทำงานที่กองทัพล่ะ แต่ปัญหาพวกนี้เป็นเรื่องของทหารส่วนน้อย ไม่ใช่ทหารส่วนใหญ่ ผมก็มีเพื่อนเป็นทหาร ก็ได้พูดคุยกัน เขาไม่ได้มีความภาคภูมิใจกับการออกไปล่าอาณานิคมข้างนอกเลย การที่มีทหารผ่าเหล่าผ่ากอบางคนไปใช้ระบบเส้นสายต่างๆเข้าไปเติบโตในหน่วยงานอื่นๆ ทหารส่วนใหญ่เขาไม่ได้เห็นด้วย อย่าง สมช.เนี่ย มาถึงมาเป็นเลขาฯ มาเป็นรองเลขาฯแล้วคนข้างในเขาทำยังไงล่ะ เขาไม่ได้กินข้าวหรือไง เขาทำงานมาเป็น 10 ปี เขาก็หวังจะเติบโตในหน้าที่การงานของเขา ถ้ารับราชการไปแล้วมีคนมาบอกว่าคุณเติบโตไม่ได้นะ คุณอยู่ได้แค่นี้ แล้วใครมันจะทำงาน
       
       กลายเป็นว่าปัจจุบันมักมีการแต่ตั้งคนใกล้ชิดของนักการเมืองขึ้นมานั่งในระดับบริหารของหน่วยงานราชการ แทนที่จะคัดเลือกจากข้าราชการที่อยู่ในหน่วยงานนั้นๆ
       
       คือเดี๋ยวนี้การแต่งตั้งคนขึ้นมาเป็นผู้บริหารระดับสูงของหน่วยงานราชการมันใช้ระบบอื่นในการพิจารณา ไม่ได้พิจารณาจากความรู้ความสามารถ อยู่ๆ เอาคนอื่นมาเป็น มันเป็นธรรมตรงไหน มันสอดคล้องกับระบบคุณธรรมตรงไหน ฝ่ายการเมืองบอกต้องเอาคนที่ไว้ใจได้ ผมก็ถามว่าแล้วผมไว้ใจไม่ได้ตรงไหน ข้าราชการในหน่วยงานนี้ไว้ใจไม่ได้ตรงไหน แล้วก็ต้องถามต่อว่าไว้ใจได้เรื่องอะไร ถ้าเรื่องความมั่นคง เรื่องผลประโยชน์ของชาติบ้านเมือง พวกผมไว้ใจได้ตั้งแต่เข้ามาทำงานที่นี่แล้ว พวกผมมีระบบการคัดกรองกันเอง ทั้งในเรื่องของความรู้ความสามารถและจิตวิญญานในการทำงาน คนที่ไม่มีฝีมือ ไม่มีความรู้ความสามารถ หรือไม่มีจิตวิญญานที่จะรักษาผลประโยชน์ของชาติบ้านเมืองจะไม่สามารถเติบโตขึ้นมาเป็นผู้อำนวยการ รองผู้อำนวยการ หรือเป็นเลขาฯ สมช.ได้อยู่แล้ว แต่ถ้าไว้ใจได้ในความหมายว่าต้องทำตามที่ฝ่ายการเมืองบอก ต้องไปช่วยรักษาเสถียรภาพของรัฐบาลเนี่ยมันไม่ใช่หน้าที่ของเรา
       
จาก http://www.manager.co.th/asp-bin/mgrView.asp?NewsID=9560000068865
 
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #8783 เมื่อ: 09 มิถุนายน 2556, 08:22:38 »

ฝนเพิ่มชึ้นจากเมื่อวานนี้ในหลายพื้นที่
ยกเว้นภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่อยู่ในเกณฑ์เดิม แต่กลับจะมีลมกระโชกแรงและฟ้าคะนอง
ภาคใต้ฝั่งอันดามัน ฝนเพิ่มขึ้น คลื่นสูงกว่า 2 เมตรและลมแรง
กทม.และปริมณฑล ฝนตกในช่วงบ่ายถึงค่ำ


พยากรณ์อากาศ ประจำวันอาทิตย์ที่ 9 มิถุนายน 2556
ประกาศกรมอุตุนิยมวิทยา
"ฝนตกหนักและคลื่นลมแรง"

ฉบับที่ 3 ลงวันที่ 09 มิถุนายน 2556

ลักษณะอากาศทั่วไปเมื่อเวลา 04:00 น.  มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทยเริ่มมีกำลังแรง ประกอบกับบริเวณความกดอากาศสูงจากประเทศจีนจะแผ่ลงมาปกคลุมตอนบนของประเทศไทย ทำให้ร่องมรสุมจะพาดผ่านประเทศไทยตอนบน ลักษณะเช่นนี้ทำให้ทั่วประเทศมีฝนหนาแน่นเพิ่มมากขึ้น และมีฝนตกหนักในหลายพื้นที่ โดยจะมีฝนฟ้าคะนองกับลมกระโชกแรงเกิดขึ้นได้ในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ขอให้ประชาชนระวังอันตรายจากฝนฟ้าคะนองกับลมกระโชกแรงและฝนตกหนักในช่วงวันที่ 9-14 มิถุนายน 2556 สำหรับทะเลอันดามัน และอ่าวไทยตอนบนจะมีคลื่นสูง 2-3 เมตร ขอให้ชาวเรือบริเวณดังกล่าวเพิ่มความระมัดระวังอันตรายในการเดินเรือ และเรือเล็กในทะเลอันดามันควรงดออกจากฝั่งในช่วงวันดังกล่าวไว้ด้วย 

พยากรณ์อากาศสำหรับประเทศไทยตั้งแต่เวลา 06:00 วันนี้ ถึง 06:00 วันพรุ่งนี้.

ภาคเหนือ  มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 40 ของพื้นที่ กับมีลมกระโชกแรงบางแห่ง
ส่วนมากบริเวณจังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ พะเยา น่าน ตาก อุตรดิตถ์
พิษณุโลก และเพชรบูรณ์

อุณหภูมิต่ำสุด 24-27 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 31-34 องศาเซลเซียส
ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ชม.
 
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ  มีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆ ร้อยละ 30 ของพื้นที่ กับมีลมกระโชกแรงบางแห่ง
ส่วนมากบริเวณจังหวัดหนองคาย บึงกาฬ เลย หนองบัวลำภู อุดรธานี
สกลนคร นครพนม และมุกดาหาร

อุณหภูมิต่ำสุด 25-27 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 34-36 องศาเซลเซียส
ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ชม.
 
ภาคกลาง  มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 40 ของพื้นที่
ส่วนมากบริเวณจังหวัดนครสวรรค์ อุทัยธานี กาญจนบุรี และราชบุรี

อุณหภูมิต่ำสุด 24-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 35-36 องศาเซลเซียส
ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-35 กม./ชม.
 
ภาคตะวันออก  มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 60 ของพื้นที่
และมีฝนตกหนักบางแห่งบริเวณจังหวัดจันทบุรี และตราด

อุณหภูมิต่ำสุด 24-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-35 องศาเซลเซียส
ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-35 กม./ชม.
ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณฝนฟ้าคะนองมีคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร
 
ภาคใต้ (ฝั่งตะวันออก)  มีเมฆเป็นส่วนมาก กับมีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 40 ของพื้นที่
ส่วนมากบริเวณจังหวัดเพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร และสุราษฏร์ธานี

อุณหภูมิต่ำสุด 25-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 34-36 องศาเซลเซียส
ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-35 กม./ชม.
ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร ห่างฝั่งมีคลื่นสูง 1-2 เมตร
 
ภาคใต้ (ฝั่งตะวันตก)  มีเมฆมาก กับมีฝนฟ้าคะนองเกือบทั่วไป ร้อยละ 70 ของพื้นที่
และมีฝนตกหนักบางแห่งบริเวณจังหวัดระนอง พังงา ตรัง และสตูล

อุณหภูมิต่ำสุด 24-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-35 องศาเซลเซียส
ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 20-35 กม./ชม.
ทะเลมีคลื่นสูง ประมาณ 2 เมตร บริเวณฝนฟ้าคะนองมีคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร
 
กรุงเทพมหานครและปริมณฑล  มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 40 ของพื้นที่ส่วนมากในช่วงบ่ายถึงค่ำ
โดยกลุ่มฝนจะเคลื่อนจากทางด้านตะวันตกไปทางด้านตะวันออก

อุณหภูมิต่ำสุด 25-27 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 35-36 องศาเซลเซียส
ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-35 กม./ชม.
 
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #8784 เมื่อ: 09 มิถุนายน 2556, 09:02:17 »

ไม่มีฝนมา 3 วันเต็มๆแล้วครับ

ขอไปดูต้นไม้ที่ปลูกไว้สักหน่อย เดี๋ยวจะเฉาแดดตายซะหมด
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #8785 เมื่อ: 09 มิถุนายน 2556, 14:57:17 »

ไปให้น้ำต้นประดู่ ต้นสัก ต้นยางนา และต้นพยุง ซึ่งเป็นต้นเล็กมาก โตสู่ต้นหญ้่าไม่ไ่ด้
ต้นนี้คือ ประดู่ มีอายุ 2 ปี เหลือรอดมาต้นเดียวหลังน้ำท่วมใหญ่ในปี 2554




      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #8786 เมื่อ: 09 มิถุนายน 2556, 14:59:50 »

ต่อเรื่องข้าวในโครงการรับจำนำอีกสักนิดครับ....

ตอกฝาโลง “พาณิชย์” ตายคาบัญชีจำนำข้าว “ธีระชัย” เผย “บุญทรง” แถลง...ฟังแล้วลมจับ!
8 มิถุนายน 2556 23:40 น.


       “ธีระชัย” อดีต รมว.คลัง ลมแทบจับหลังฟัง “บุญทรง-ณัฐวุฒิ” แถลงจำนำข้าว ยอมรับรู้สึกผิดหวัง 2 บิ๊กอ้างไม่สามารถคำนวณกำไรขาดทุนได้ เพราะต้องขายข้าวให้หมดก่อน คงต้องรอไปถึงรุ่นลูกรุ่นหลาน ชี้ “พาณิชย์” มีบทบาทกำกับนักบัญชี แต่กลับทำผิดหลักเสียเอง พร้อมถามย้อนให้เอกชนรอปิดบัญชีก่อนเสียภาษีบ้างได้หรือไม่ พร้อมสอนมวย 6 ข้อ ปิดบัญชีจำนำข้าว
       
       นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีต รมว.คลัง แสดงความคิดเห็นผ่านเว็บไซต์สังคมออนไลน์ เฟซบุ๊ก เกี่ยวกับการแถลงชี้แจงผลการดำเนินงานในโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาล เมื่อวานนี้ (7 มิ.ย.) ที่กระทรวงพาณิชย์ โดยยอมรับว่า ผิดหวังกับการชี้แจงในครั้งนี้ โดยเฉพาะที่ระบุว่า ยังไม่สามารถคำนวณกำไรขาดทุนได้ เพราะต้องรอให้ขายข้าวหมดก่อนจึงยังขอไม่ปิดบัญชี ซึ่งถือว่ากระทรวงพาณิชย์ที่กำกับดูแลนักบัญชีทั่วประเทศผิดหลักการบัญชีเสียเอง
       
       นอกจากนี้ นายธีระชัย ยังแนะนำแนวทางการคำนวณบัญชีจำนำข้าวออกเป็น 6 ข้อ และขอให้เร่งปิดบัญชี เพื่อชี้แจงให้ประชาชนผู้เสียภาษีได้รับทราบความเสียหาย พร้อมระบุนับตัวเลขกลมๆ ขาดทุน 2 แสนล้านบาท ภาระจะตกกับผู้เสียภาษีทั้ง 5 ล้านคนอยู่ที่คนละ 4 หมื่นบาทที่ต้องแบกรับไว้
       
       “เมื่อวานนี้ รัฐมนตรีพาณิชย์แถลงว่า ยังไม่สามารถคำนวนกำไรขาดทุนจำนำข้าวได้ เพราะต้องรอให้ขายข้าวจนหมดเสียก่อน เฮ้อ!!! ฟังแล้วลมจับ สงสัยจะต้องรอไปถึงรุ่นลูกรุ่นหลานเสียแล้ว
       
       กระทรวงพาณิชย์ มีหน้าที่กำกับดูแลนักบัญชีทั่วประเทศ แต่กลับไม่ปฏิบัติตามหลักการบัญชีเสียเอง เป็นที่น่าละอายมากนะครับ
       
       ถ้าบริษัทธุรกิจเอกชนขอใช้หลักการนี้บ้าง จะได้หรือไม่ กรณีบริษัทซื้อสินค้ามาล็อตใหญ่ ขายไปเพียงบางส่วน ที่เหลือยังค้างอยู่ในสต๊อก จะขออ้างว่า เนื่องจากยังมีสินค้าที่ขายไม่หมดก็เลยขอยังไม่ปิดบัญชีประจำปี
       
       ธุรกิจเอกชนจะขอทำเหมือนกระทรวงพาณิชย์ ได้หรือไม่ครับ
       
       ข้าราชการกระทรวงการคลัง ควรจะชี้แนะ หรือประท้วงพฤติกรรมของข้าราชการกระทรวงพาณิชย์นะครับ เพราะหากบริษัทเอกชนต่างหันใช้หลักการเดียวกันนี้ บริษัทจะไม่มีการปิดบัญชีกำไรขาดทุน แล้วกระทรวงการคลังจะเก็บภาษีประจำปีกันอย่างไรเล่าครับ
       
       ผมก็บังเอิญเคยเรียนวิชาสอบบัญชีที่ประเทศอังกฤษ จึงขออธิบายหลักวิธีทางบัญชีไว้ เพื่อให้ประชาชนทั่วไปเข้าใจนะครับ
       
       ก. ทุกองค์กรต้องมีการปิดบัญชีเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอ อาจจะเป็นทุกเดือน หรือทุกสามเดือน ทุกหกเดือน หรือทุกสิบสองเดือนก็ได้ แต่โดยทั่วไปต้องไม่เกินรอบสิบสองเดือน
       
       ต่อไปนี้ สมมติต้องการปิดบัญชี ณ วันที่ 31 มกราคม 2556 (เพื่อให้ตรงกับของคณะกรรมการปิดบัญชี) ก็ให้หาข้อมูลสามบรรทัดตามนี้
       
       ข. จนถึงวันที่ดังกล่าว รัฐบาลใช้เงินไปในการรับจำนำสะสมเป็นจำนวนเท่าใด ก็ตั้งไว้เป็นบรรทัดแรก
       
       ค. จนถึงวันที่ดังกล่าว รัฐบาลขายข้าวไปทั้งสิ้นได้เงินเท่าใดก็ใส่เป็นบรรทัดที่สอง
       
       ง. ณ วันที่ดังกล่าว มีการตรวจนับสต๊อกโดยบุคคลที่เชื่อถือได้หรือยัง เขาพบว่ามีข้าวอยู่จริงๆ เท่าใด ให้ใช้เฉพาะตัวเลขที่นับสต๊อกเหลืออยู่จริงๆ
       
       จ. สต๊อกข้าวที่มีอยู่ ณ วันที่ดังกล่าว มีคุณสมบัติ และสภาพเฉลี่ยอย่างไร ให้ตีตามราคาตลาดในวันนั้น โดยลดทอนราคาตลาดลงตามสภาพเฉลี่ย เป็นบรรทัดที่สาม
       
       ช. กำไรขาดทุน ก็คือคำนวณโดยเอาบรรทัดแรก ลบด้วย บรรทัดที่สอง และบรรทัดที่สาม เท่านั้นเอง
       
       ท่านผู้อ่านจะเห็นได้นะครับ ว่าถ้าจะตั้งใจทำกันจริงๆ แล้ว จะไม่ยากเย็นอะไรเลย
       
       วันนี้มีผู้สื่อข่าวถามผมว่า กรณีนี้จะเป็นต้นเหตุให้รัฐบาลพังหรือไม่ ผมตอบว่าไม่ทราบ เพราะไม่ชำนาญด้านการเมือง
       
       แต่ผมอยากจะตอบในที่นี้ ถึงแม้ผมไม่ทราบว่ารัฐบาลจะพังหรือไม่ แต่ที่ผมทราบแน่ๆ ก็คือ ในฐานะประชาชนผู้เสียภาษีพวกเราพังกันหมดแล้วครับ
       
       ถ้าใช้ตัวเลขขาดทุนแบบกลมๆ 2 แสนล้าน เฉลี่ยต่อคนสำหรับคนไทยทั้ง 67 ล้านคน ก็เป็นเงินคนละเกือบ 3 พันบาทแล้วครับ นี่นับหัวเฉลี่ยลูกเด็กเล็กแดงไปด้วยทุกๆ คน
       
       แต่ผมคิดว่าคนที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในแต่ละปี ซึ่งส่วนใหญ่เป็นลูกจ้างกินเงินเดือนนั้น คงมีไม่ถึง 5 ล้านคน ถ้าใช้ตัวเลข 5 ล้านคนที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเป็นตัวหาร ภาระจะตกคนละ 4 หมื่นบาททีเดียวครับ
       
       ถ้าขาดทุนบานออกไปเป็น 3 แสนล้าน ภาระก็จะเพิ่มเป็นคนละ 6 หมื่นบาท
       
       รัฐมนตรีคลัง กับรัฐมนตรีพาณิชย์ ร่วมกันสร้างภาระให้แก่ประชาชนมากขนาดนี้ ก็ควรจะปิดบัญชีให้เขาดูกันหน่อยสิครับ ประชาชนเขาจะได้รู้สึกว่ามันคุ้มค่ากับเลือดที่ไหลออกไปกันหน่อย”
 
     
จาก http://www.manager.co.th/asp-bin/mgrView.asp?NewsID=9560000069164
 
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #8787 เมื่อ: 09 มิถุนายน 2556, 17:22:22 »

ข่าวอาคารที่ทำการของพี่อี๊ด สุภาณี RCU 2514

ระทึก! เพลิงไหม้อาคาร “วีรสุ” ถ.วิทยุ โชคดีไร้คนเจ็บ-ตาย
9 มิถุนายน 2556 14:08 น.


       เกิดเหตุเพลิงไหม้อาคาร “วีรสุ” ถ.วิทยุ เจ้าหน้าที่ดับเพลิงใช้รถกระเช้าช่วยคนติดอยู่ชั้นดาดฟ้า 5 ราย ก่อนใช้เวลากว่า 1 ชม.ควบคุมเพลิงไว้ได้ โชคดีไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต
       
       วันนี้ (9 มิ.ย.) เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ลุมพินี รับแจ้งเกิดเหตุเพลิงไหม้อาคารวีรสุ เลขที่ 83/2 ถนนวิทยุซอย 1 แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กทม. จึงประสานรถน้ำดับเพลิงจากสำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจำนวน 20 คัน และรถกระเช้า 5 คันไปทำการดับเพลิง
       
       ที่เกิดเหตุเป็นอาคารสูง 7 ชั้น โดยชั้น 1 กับ 2 เป็นร้านขายกาแฟ ส่วนชั้น 3 เป็นร้านขายอาหาร ขณะที่ชั้น 4 เป็นห้องเรียนเบเกอรี และจำหน่ายอุปกรณ์เครื่องครัว ชั้น 5 เป็นโถงโล่ง และชั้น 6-7 เป็นอาคารสำนักงาน เจ้าหน้าที่พบแสงเพลิง และกลุ่มควันพวยพุ่งออกมาจากชั้นที่ 5 ขณะเดียวกันได้รับแจ้งว่ามีผู้ติดอยู่บนดาดฟ้าของอาคารจำนวน 5 ราย จึงได้ใช้รถกระเช้าทำการช่วยลงมาได้ พร้อมระดมฉีดน้ำสกัดเพลิง โดยใช้เวลาประมาณ 1 ชม.30 นาทีจึงสามารถควบคุมเพลิงไว้ได้ อย่างไรก็ตามไม่มีใครรับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตแต่อย่างใด
       
       สอบสวน น.ส.วิภาวรรณ ไพศาลคงทวร อายุ 33 ปี ให้การว่า ก่อนเกิดเหตุตนเองกำลังนั่งทำงานอยู่ที่โต๊ะทำงานอยู่ที่ชั้น 6 ระหว่างนั้น เกิดมีเหตุไฟดับอยู่ 7-8 ครั้ง จากนั้นก็ได้ยินเสียงระเบิดดังขึ้น ก่อนที่จะมีคนตะโกนว่ามีไฟไหม้จึงรีบวิ่งลงมาดูชั้นที่ 5 ซึ่งเป็นห้องโล่ง มีเอกสารวางไว้ พบมีกลุ่มควันหนาทึบ จากนั้นทุกคนในอาคารต่างก็ได้วิ่งหนีตายออกมาจากตัวอาคาร
       
       ด้าน พ.ต.ท.อัครวัฒน์ พุ่งไพศาลชัย รอง ผกก.สส.สนลุมพินี กล่าวว่า จากการสอบสวนเบื้องต้นพนักงานให้การตรงกันว่า ต้นเพลิงเกิดขึ้นที่ชั้นที่ 5 ซึ่งไม่มีใครทำงานอยู่ เพราะใช้เป็นที่วางเก็บเอกสาร จึงมีความเป็นไปได้ว่าจะเกิดไฟฟ้าลัดวงจร เพราะก่อนเกิดเหตุมีไฟดับ 7-8 ครั้ง อย่างไรก็ตามจะประสานให้ทางเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐานเข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุเพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงต่อไป

จาก http://www.manager.co.th/asp-bin/mgrView.asp?NewsID=9560000069294
 


      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #8788 เมื่อ: 09 มิถุนายน 2556, 18:32:54 »

กรมชลประทานแจ้งฝนปีนี้มาช้า
พร้องแจ้งระดับน้ำในอ่างสำคัญ และปริมาณฝนที่ตกในปีนี้


วันที่ 09 มิถุนายน พ.ศ. 2556 เวลา 03:34 น.  ข่าวสดออนไลน์
ฤดูฝนมาช้าชาวนาส่อเจอหลายเด้ง เหลือน้ำป้อนไม่ถึง2เดือน-ปลูกช้ามีสิทธิ์เจอน้ำท่วม

ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ : ฤดูฝนปีนี้มาช้า กรมชลฯเผยน้ำในอ่างเหลือน้อยไม่ถึงครึ่งของความจุ ภาคกลางมีน้ำพอใช้เพียง 30-40 วัน รอลุ้นน้ำฝน ยืนยันฝนตกไม่เต็มอ่าง น่าเป็นห่วงเรื่องน้ำแล้งแต่ไม่กังวลน้ำท่วม หวั่นผลผลิตข้าวเสียหายหากปลูกช้ามีสิทธิ์เจอน้ำหลากเดือนกันยายนนี้
นาย เลิศวิโรจน์ โกวัฒนะ อธิบดีกรมชลประทาน กล่าวว่า การจัดการน้ำในปีนี้ไม่น่าห่วงเรื่องอุทกภัย แต่น่าเป็นห่วงเรื่องน้ำแล้ง ต้นฤดูฝนน้ำน้อยอาจจะมีปัญหาด้านการบริหารจัดการ ขณะนี้กรมชลประทานสำรองน้ำต้นฤดูฝนไว้สำหรับใช้ได้ 2 เดือน ซึ่งตามปกติแล้วในช่วง 2 เดือนแรกของต้นฤดูฝนจะมีฝนตกลงมาเติมน้ำในอ่าง แต่ในปีนี้ฝนล่าช้า ต้องรอติดตามว่าจะมีฝนลงอ่างมากน้อยเท่าใด

เขื่อน หลัก ๆ ที่มีปัญหาในขณะนี้อยู่ในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา และภาคอีสาน ซึ่งมีน้ำน้อยต่อเนื่องมาตั้งแต่ปลายฤดูฝนปีที่แล้ว แต่ยังพอมีน้ำระบายให้เกษตรกรทำการเพาะปลูกได้ ซึ่งกรมชลประทานได้เริ่มส่งน้ำตั้งแต่ต้นเดือนพฤษภาคมแล้ว แต่ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องลงไปดูแลอย่างใกล้ชิด ให้จ่ายน้ำเท่าที่จำเป็นและประชาสัมพันธ์ให้เกษตรกรใช้น้ำอย่างประหยัด

อย่าง ไรก็ตาม ปริมาณน้ำที่มีน้อยในตอนนี้ไม่ส่งผลให้พื้นที่เกษตรลดลงไปจากปีที่แล้ว แต่บางพื้นที่จะเริ่มเพาะปลูกล่าช้า การเพาะปลูกล่าช้าจะทำให้ผลผลิตเสี่ยงต่อความเสียหายเมื่อมีน้ำหลากหลัง เดือนกันยายน ดังนั้นกรมจึงพยายามอยากให้เริ่มเพาะปลูกเร็ว เพื่อที่จะได้เก็บเกี่ยวภายในเดือนสิงหาคมจะได้ไม่มีปัญหา

นายสุเทพ น้อยไพโรจน์ รองอธิบดีกรมชลประทาน กล่าวว่า ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่อยู่ในเกณฑ์น้ำน้อยและพอใช้ กรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์ว่าสภาพฝนปีนี้อยู่ในเกณฑ์ปกติค่อนไปทางฝนน้อย ปัจจุบันฝนยังตกไม่ต่อเนื่องและอาจมีฝนน้อยปลายฤดู และมีความเสี่ยงต่อการขาดน้ำ จึงจำเป็นต้องประหยัดน้ำต้นทุนในอ่าง

ปริมาณ น้ำในภาคกลางสามารถส่งน้ำในอัตราปกติ 40 ล้าน ลบ.ม./วันได้อีก 30-40 วันเท่านั้น ต้องรอฝนที่จะตกมาในเดือนมิถุนายน ซึ่งโดยปกติแล้วฝนจะตกในเดือนพฤษภาคมและมิถุนายนแล้วเว้นช่วงประมาณ 20 วัน ส่วนภาคตะวันออกน้ำน้อย ขณะนี้สั่งให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบระบบการผันน้ำให้มีประสิทธิภาพ และจะผันน้ำจากลุ่มน้ำอื่นที่มีน้ำมากเข้าไป

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ น่าเป็นห่วงที่สุด เพราะน้ำน้อยตั้งแต่ปลายฤดูฝนปีที่แล้ว ขณะนี้ฝนตกแถบริมแม่น้ำโขงเท่านั้น ส่วนลุ่มน้ำชีและลุ่มน้ำมูลซึ่งเป็นพื้นที่ตอนกลางของภาคและมีพื้นที่เพาะ ปลูกมากฝนยังไม่ตก ต้องรอดูว่าจะมีพายุเข้ามาหรือไม่ ถ้ามีพายุเข้ามาจะส่งผลดีให้มีน้ำเหลือใช้ถึงปีหน้า

สำหรับแนวทาง ปฏิบัติและบริหารจัดการน้ำของกรมชลประทาน ขณะนี้ได้กำชับเจ้าหน้าที่ให้เฝ้าระวัง ติดตามสถานการณ์น้ำฝนและน้ำท่าอย่างใกล้ชิด ตรวจสอบพื้นที่อย่างสม่ำเสมอและจัดเตรียมเครื่องสูบน้ำ

ในบางจุดที่ จำเป็นต้องใช้ และให้ส่งน้ำเพื่อการเพาะปลูกข้าวนาปีเท่าที่จำเป็น ซึ่งการเพาะปลูกข้าวนั้น ให้น้ำขังในนาเพียง 5-6 ซม.จะให้ผลผลิตดี ไม่จำเป็นต้องให้น้ำขังมาก

ปริมาณฝนสะสมวันที่ 1 มกราคม-26 พฤษภาคม 2556 พบว่า
ภาคเหนือมีฝน 200.9 มม. ลดลงจากปีที่แล้ว 40%
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 272.6 มม. ลดลงจากปีที่แล้ว 28%
ภาคกลาง 195.4 มม. ลดลงจากปีที่แล้ว 21%
ภาคตะวันออก 310.8 มม. ลดลงจากปีที่แล้ว 24%
ภาคใต้ฝั่งตะวันออก 433.7 มม. ลดลงจากปีที่แล้ว 31%
ภาคใต้ฝั่งตะวันตก 661.4 มม. ลดลงจากปีที่แล้ว 36%
เฉลี่ยรวมทั้งประเทศ 311.8 มม. ลดลงจากปีที่แล้ว 32%
เปรียบเทียบปริมาณฝนเดือนพฤษภาคม 2556 กับค่าเฉลี่ย 30 ปี (พ.ศ. 2524-2553) พบว่า
ภาคเหนือมีฝนต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 45.3%
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีฝนต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 8.7%
ภาคกลางมีฝนต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 56.6%
ภาคตะวันออกมีฝนน้อยกว่าค่าเฉลี่ย 63.2%
ภาคใต้ฝั่งตะวันออกมีฝนน้อยกว่าค่าเฉลี่ย 35.6%
ภาคใต้ฝั่งตะวันตกมีฝนน้อยกว่าค่าเฉลี่ย 1.9%

ปริมาตรน้ำในอ่างเก็บ น้ำขนาดใหญ่และขนาดกลางเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2556 เปรียบเทียบกับเวลาเดียวกันของปี 2555 ภาคเหนือปริมาตรน้ำน้อยลง 12% ภาคตะวันออกเฉียงเหนือน้อยลง 12% ภาคกลางน้อยลง 2% ภาคตะวันตกเพิ่มขึ้น 1% ภาคตะวันออกลดลง 1% ภาคใต้ลดลง 3% รวมทั้งประเทศลดลง 6% โดยสรุปอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่และขนาดกลางทั่วประเทศรวม 33 แห่ง มีความจุรวม 74,524 ล้าน ลบ.ม. ปัจจุบันมีปริมาตรน้ำ 34,803 ล้าน ลบ.ม. สามารถรับน้ำได้อีก 39,721 ล้าน ลบ.ม.

คาดการณ์ปริมาณน้ำในอ่างขนาด ใหญ่ 33 แห่งทั่วประเทศ ณ วันที่ 1 พฤศจิกายน 2556 ภาคเหนือจะมีน้ำเฉลี่ย 77% ของความจุอ่าง โดยเขื่อนภูมิพลจะมีน้ำ 54% ของความจุ เขื่อนสิริกิติ์จะมีน้ำ 69% ของความจุ ส่วนเขื่อนแม่กวงอุดมธาราจะมีน้ำน้อยที่สุดเพียง 12% ของความจุอ่าง

ภาค ตะวันออกเฉียงเหนือจะมีน้ำเฉลี่ย 79% ของความจุอ่าง โดยเขื่อนอุบลรัตน์และเขื่อนลำตะคองจะมีน้ำน้อยเพียง 50% ของความจุอ่าง ภาคกลางจะมีน้ำเฉลี่ย 83% ของความจุอ่าง ภาคตะวันตกจะมีน้ำเฉลี่ย 81% ของความจุอ่าง ภาคตะวันออกจะมีน้ำเฉลี่ย 64% ของความจุอ่าง และภาคใต้จะมีน้ำเฉลี่ย 68% ของความจุอ่าง

http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRNM01EY3lNemd4Tnc9PQ==&sectionid=
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #8789 เมื่อ: 09 มิถุนายน 2556, 20:27:51 »

ได้นำเรื่องข้อมูลน้ำของกรมชลประทาน ไปแจ้งให้ปลัดอำเภอท่าตะโก จังหวัดนครสวรรค์ ผญบ. และชาวบ้านทราบ
เรื่องปริมาณฝนที่ตกในเดือนพฤษภาคม ที่ผ่านมา ซึ่งปริมาณน้ำต่ำกว่าเกณฑ์ถึงร้อยละ 23 แสดงถึงกระทบภัยแล้ง
ชาวบ้านทำประชาคมขอขุดคลอง เพื่อให้น้ำผ่านได้ง่ายไม่เกิดน้ำท่วม รวมถึงได้ใช้น้ำในการทำนาอย่างมีประสิทธิภาพ



ลำคลองกว้างกว่า 10 เมตร มีช่องระบายน้ำเป็นท่อขนาด 1.20 เมตร เพียง 3 ช่อง น่าจะไม่เพียงพอ
และหากน้ำป่ามามาก จะกัดเซาะท่อรวมไปถึงถนนจนขาด
ส่วนนี้ต้องไปของบในการปรับเปลี่ยนท่ออีกครั้งหนึ่ง ให้เป็นท่อลอดเหลี่ยมขนาดใหญ่ขึ้น




ขอบคลองชันมาก กลัวว่าน้ำฝนจะชะดินกลับลงไปกองก้นคลอง
เสนอให้ปลูกหญ้าแฝก โดยอาศัยวันเฉลิมพระชนมพรรษา 12 สิงหา โดยชาวบ้านทั้งหมดช่วยกัน
ให้กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน (ผญบ) สมาชิก อบตง ช่วยเรื่องอหารเลี้ยงชาวบ้านแบบ ข้าวหม้อ-แกงหม้อ
งานก็น่าจะลุล่วงไป



จุดนี้คือหมู่บ้านหมู่ที่ 6 บ้านคอกควายใหญ่ ตำบลดอนคา อ.ท่าตะโก นครสวรรค์ครับ
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #8790 เมื่อ: 09 มิถุนายน 2556, 20:44:35 »

เช่นเดียวกับ หมู่ที่ 7 บ้านพุขาม ต.หนองหลวง อ.ท่าตะโก นครสวรรค์
ชาวบ้านขอขุดลอกสระพุขาม ซึ่งมีน้ำซึมขึ้นมาทั้งปี ให้ลึกลงเพื่อรับน้ำซึมและน้ำฝนให้ได้มากขึ้น
โดยดินตะกอนก้นสระให้ชาวบ้านที่ต้องการ เพราะอุดมไปด้วยแร่ธาตุสำหรับพืช
สระพุขามช่วยให้ชาวบ้านมีน้ำใช้ในช่วงหน้าแล้ง รวมทั้งใช้ในการเพาะปลูกทั้งปี
รวมทั้งชาวบ้านหมู่ที่ 6 ซึ่งอยู่ใกล้กันได้ใช้ไปด้วย







      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #8791 เมื่อ: 09 มิถุนายน 2556, 21:48:30 »

เช่นเดียวกับที่อำเภอหนองบัว นครสวรรค์
โชคดีที่มีโครงการพระรราชดำริ นั่นคือขุดลอกคลองเพื่อให้มีความลึกในการกักเก็บน้ำไว้ให้พอใช้




      บันทึกการเข้า
เริง2520
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 6,341

« ตอบ #8792 เมื่อ: 09 มิถุนายน 2556, 21:52:14 »

ดีมากมาก
ช่วยเรื่องน้ำได้อย่างยั่งยืน
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #8793 เมื่อ: 09 มิถุนายน 2556, 21:58:49 »

น้องเริง

ในความเป็นจริง รัฐบาลไม่อยากให้กรรมการธรรมาภิบาลเข้าไปตรวจตราเรื่องน้ำมากนัก
เนื่องจากงบฯ มาก เห็นได้จากการได้รับเลือกตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2555 แต่เพิ่มยอมแต่งตั้งเมื่อเมษายน ที่ผ่านมา
และจนถึงบัดนี้ ข้อมูลเกี่ยวกับงบป้องกันน้ำท่วม 3.5 แสนล้านบาทก็ยังไม่ปรากฎ
นครสวรรค์เป็นจังหวัดหลักจังหวัดหนึ่งที่งบฯจะลงในพื้นที่
แต่ทุกอย่างยังวังเวง ??
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #8794 เมื่อ: 09 มิถุนายน 2556, 22:03:27 »

มีโพลล์ที่ชี้ว่ารัฐบาลนี้กำลังมีอุปสรรคอย่างหนักหนา.....

เผือกร้อนการเมือง 6 ปม เขย่าเก้าอี้รัฐบาล
ปชช.ส่วนใหญ่ ชี้ไม่ควรยื่นอุทธรณ์คดี "ถวิล" แนะคุมม็อบ

วันที่ 09 มิถุนายน พ.ศ. 2556 เวลา 10:15:15 น


วันที่ 9 มิ.ย. นายเทวินทร์ อินทรจำนงค์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยผลวิจัยเชิงสำรวจเรื่อง "เผือกร้อนทางการเมือง" กรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนทั่วไปใน  17 จังหวัดของประเทศ จากประชาชนในพื้นที่ กรุงเทพมหานคร สมุทรสาคร กาญจนบุรี สุพรรณบุรี สมุทรปราการ พะเยา เพชรบูรณ์ เชียงใหม่ นครพนม สกลนคร สุรินทร์ บุรีรัมย์ ขอนแก่น นครราชสีมา ชุมพร ตรัง และนครศรีธรรมราช จำนวนทั้งสิ้น 2,156 ตัวอย่าง ดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 3-8 มิถุนายน 2556 ที่ผ่านมา โดยใช้การเลือกตัวอย่างแบบแบ่งกลุ่มเชิงชั้นภูมิหลายชั้น โดยสุ่มเลือกจังหวัด อำเภอ ตำบล ชุมชน ครัวเรือน และประชาชนที่ตอบแบบสอบถามระดับครัวเรือน

ปรากฎการณ์เผือกร้อนทางการเมืองเป็นปรากฎการณ์ปัญหาที่เกิดขึ้นที่ไม่ค่อยมีใครอยากจะเข้าไปเป็นเจ้าภาพในการแก้ไข คลี่คลายปัญหาสักเท่าไหร่นัก ส่งผลทำให้เกิดการ "โยนปัญหา" หรือ "ผลักปัญหา" ไปให้คนอื่นๆ เข้าคลี่คลาย ซึ่งมีอยู่ด้วยกันหลายกรณี

กรณีที่แรก กลุ่มมวลชนที่ออกมาเคลื่อนไหวสนับสนุนและต่อต้านรัฐบาลในขณะนี้ (เช่น กลุ่มหน้ากากแดง หน้ากากขาว) พบว่า กลุ่มตัวอย่างประชาชนเกือบครึ่ง หรือร้อยละ 47.6 ไม่เห็นด้วยกับการเคลื่อนไหว เพราะกลัวจะเกิดความวุ่นวายรุนแรงบานปลาย สร้างความเดือดร้อนให้กับผู้สัญจรไปมา กระทบต่อชีวิตประจำวันของประชาชนทั่วไป เป็นต้น ขณะที่ร้อยละ 29.9 เห็นด้วยกับการเคลื่อนไหวเพราะ เป็นไปตามระบอบประชาธิปไตย เป็นเรื่องสิทธิเสรีภาพ เป็นต้น และร้อยละ 22.5 ไม่มีความเห็น

กรณีที่สอง กลุ่มมวลชน (คนท่าน) ออกมาเคลื่อนไหวต่อต้านศาลรัฐธรรมนูญที่ผ่านมานั้น เมื่อสอบถามความน่าเชื่อถือของศาลรัฐธรรมนูญในสายตาของประชาชนปรากฏว่าส่วนมากร้อยละ 57.8 ระบุว่า ยังคงเชื่อถือต่อศาลรัฐธรรมนูญอยู่ ขณะที่ร้อยละ 19.6 ไม่เชื่อถือ และร้อยละ 22.6 ไม่มีความเห็น

กรณีที่สาม ความขัดแย้งในกระทรวงสาธารณสุข (ระหว่างรัฐมนตรีกับแพทย์ชนบทและกลุ่มต่างๆ) พบว่า กลุ่มตัวอย่างเกือบครึ่ง หรือร้อยละ 45.7 กังวลว่าความขัดแย้งดังกล่าวอาจจะมีผลนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงนโยบายด้านสาธารณสุขที่กระทบต่อผลประโยชน์ของประชาชน ในขณะที่ร้อยละ 26.6 ไม่กังวล และร้อยละ 27.7 ไม่มีความเห็นในกรณีดังกล่าว

กรณีที่สี่ ปัญหาระหว่างธนาคารแห่งประเทศไทยกับรัฐบาล เมื่อสอบถามความน่าเชื่อถือระหว่างแนวทางการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กับแนวทางของรัฐบาล พบว่ากลุ่มตัวอย่างประชาชนมากกว่า 1 ใน 3 หรือร้อยละ 37.7 เชื่อถือแนวทางของธปท. มากกว่า ร้อยละ 15.8 เชื่อถือแนวทางของรัฐบาลมากกว่า ในขณะที่ร้อยละ 26.9 เชื่อถือทั้งสองฝ่ายพอๆ กัน และร้อยละ 19.6 ไม่มีความเห็น

กรณีที่ห้า ปัญหาการโยกย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรีจากตำแหน่งเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติให้ไปปฏิบัติราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรีตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 152/2554 เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2554 ที่ผ่านมา ซึ่งศาลปกครองกลางได้พิพากษาสั่งให้เพิกถอนคำสั่งนายกรัฐมนตรีครั้งนั้น และต่อมานายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายให้ตั้งคณะทำงานศึกษาคำสั่งศาลปกครองดังกล่าว รวมทั้งมีข่าวความสงสัยว่าหลังจากที่นายกรัฐมนตรี ได้ฟังคำแนะนำของที่ปรึกษาด้านกฎหมายแล้วจะตัดสินใจยื่นอุทธรณ์ต่อศาลปกครองกรณีการที่ถูกเพิกถอนคำสั่งหรือไม่ คณะผู้วิจัยได้สอบถามความคิดเห็นของกลุ่มตัวอย่างประชาชนพบว่าเกือบ 1 ใน 3 หรือร้อยละ 31.9 เห็นว่ารัฐบาล "ไม่ควร" ยื่นอุทธรณ์ ในขณะที่ร้อยละ 16.5 เห็นว่า ควรยื่นอุทธรณ์ อย่างไรก็ตาม ร้อยละ 51.6 ไม่มีความเห็นในกรณีนี้

กรณีที่หก การที่มีนักวิชาการออกมาเตือนให้ทบทวนนโยบายประชานิยมของรัฐบาล กลุ่มตัวอย่างประชาชนส่วนมาก หรือร้อยละ 56.8 เห็นว่ารัฐบาลจำเป็นต้องทบทวนแก้ไขเปลี่ยนแปลงนโยบายประชานิยม (เช่นจำนำข้าว 30 บาทรักษาทุกโรค น้ำไฟฟรี รถคันแรก   บ้านหลังแรก) ในขณะที่ร้อยละ 23.8 เห็นว่า ไม่จำเป็นต้องทบทวน และร้อยละ 19.4 ไม่มีความเห็น


http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1370747718&grpid=00&catid=&subcatid=  


 


      บันทึกการเข้า
เอมอร 2515
Cmadong พันธุ์แท้
****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu 2515
คณะ: รัฐศาสตร์(นิติศาสตร์)
กระทู้: 4,562

« ตอบ #8795 เมื่อ: 09 มิถุนายน 2556, 22:54:41 »

สวัสดีค่ะน้องเหยง
มารายงานอากาศค่ะ
ที่บ้านมาแต่พายุ
ไม้มีฝนแม้แต่เม็ดเดียวค่ะ
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #8796 เมื่อ: 10 มิถุนายน 2556, 07:45:29 »

ฝนเพิ่มขึ้นในภาคใต้ฝั่งอันดามัน คลื่นสูงเกิน 2-3 เมตร ลมแรง
ในขณะที่ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง
11 - 14 มิถุนายน ต้องระมัดระวัง


 

  ประจำวันที่ 10 มิถุนายน 2556
ประกาศกรมอุตุนิยมวิทยา
"ฝนตกหนักและคลื่นลมแรง"

ฉบับที่ 6 ลงวันที่ 10 มิถุนายน 2556

ลักษณะอากาศทั่วไปเมื่อเวลา 04:00 น.  มรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังค่อนข้างแรงพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย ประกอบกับบริเวณความกดอากาศสูงจากประเทศจีนจะแผ่ลงมาปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ลักษณะเช่นนี้ทำให้ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีฝนฟ้าคะนองกับลมกระโชกแรงบางแห่ง สำหรับบริเวณรับลมมรสุมด้านตะวันตกของภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ จะมีฝนเพิ่มมากขึ้น และมีฝนตกหนักบางแห่ง
ส่วนในช่วงวันที่ 11-14 มิ.ย. ร่องมรสุมพาดผ่านประเทศไทยตอนบน ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย มีกำลังแรง ทำให้ทั่วทุกภาคของประเทศมีฝนตกหนาแน่น และมีฝนตกหนักในหลายพื้นที่ ส่วนคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามัน และอ่าวไทยตอนบน มีกำลังแรง โดยมีคลื่นสูง 2-3 เมตร ขอให้ประชาชนระวังอันตรายจากฝนตกหนักในระยะนี้ และชาวเรือควรเพิ่มความระมัดระวังอันตรายในการเดินเรือ และเรือเล็กควรงดออกจากฝั่งไว้ด้วย
 
พยากรณ์อากาศสำหรับประเทศไทยตั้งแต่เวลา 06:00 วันนี้ ถึง 06:00 วันพรุ่งนี้.

ภาคเหนือ มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 40 ของพื้นที่ กับมีลมกระโชกแรงบางแห่ง
ส่วนมากบริเวณจังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ เชียงราย พะเยา น่าน ตาก กำแพงเพชร และเพชรบูรณ์

อุณหภูมิต่ำสุด 24-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-35 องศาเซลเซียส
ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ชม. 

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 40 ของพื้นที่ กับมีลมกระโชกแรงบางแห่ง
ส่วนมากบริเวณจังหวัดหนองคาย บึงกาฬ เลย หนองบัวลำภู อุดรธานี สกลนคร นครพนม และมุกดาหาร

อุณหภูมิต่ำสุด 25-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 34-36 องศาเซลเซียส
ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ชม.
 
ภาคกลาง  มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 40 ของพื้นที่
ส่วนมากบริเวณจังหวัดนครสวรรค์ อุทัยธานี สุพรรณบุรี กาญจนบุรี และราชบุรี

อุณหภูมิต่ำสุด 24-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 35-36 องศาเซลเซียส
ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-35 กม./ชม. 

ภาคตะวันออก  มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 60 ของพื้นที่
และมีฝนตกหนักบางแห่งบริเวณจังหวัดจันทบุรี และตราด

อุณหภูมิต่ำสุด 24-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-35 องศาเซลเซียส
ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-35 กม./ชม.
ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณฝนฟ้าคะนองมีคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร
 
ภาคใต้ (ฝั่งตะวันออก)  มีเมฆเป็นส่วนมาก กับมีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 40 ของพื้นที่
ส่วนมากบริเวณจังหวัดเพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร และสุราษฏร์ธานี

อุณหภูมิต่ำสุด 25-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 34-36 องศาเซลเซียส
ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-35 กม./ชม.
ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร ห่างฝั่งมีคลื่นสูง 1-2 เมตร 

ภาคใต้ (ฝั่งตะวันตก)  มีเมฆมาก กับมีฝนฟ้าคะนองเกือบทั่วไป ร้อยละ 80 ของพื้นที่
และมีฝนตกหนักบางแห่งบริเวณจังหวัดพังงา ภูเก็ต กระบี่ ตรัง และสตูล

อุณหภูมิต่ำสุด 24-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 30-31 องศาเซลเซียส
ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 20-35 กม./ชม.
ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณฝนฟ้าคะนองมีคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร 

กรุงเทพมหานครและปริมณฑล  มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 60 ของพื้นที่ ส่วนมากในช่วงบ่ายถึงค่ำ
โดยกลุ่มฝนจะเคลื่อนจากทางด้านตะวันตกไปทางด้านตะวันออก

อุณหภูมิต่ำสุด 26-27 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 34-35 องศาเซลเซียส
ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-35 กม./ชม. 
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #8797 เมื่อ: 10 มิถุนายน 2556, 07:53:26 »

กำลังเตรียมตัวไปตรวตตราโครงการก่อสร้างตามงบฯ ปี 2556 ที่อำเภอไพศาลี ครับ

เย็นๆ จะได้กลับมาเข้าเว็ป



18400  win
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #8798 เมื่อ: 10 มิถุนายน 2556, 07:54:43 »

อ้างถึง
ข้อความของ เอมอร 2515 เมื่อ 09 มิถุนายน 2556, 22:54:41
สวัสดีค่ะน้องเหยง
มารายงานอากาศค่ะ
ที่บ้านมาแต่พายุ
ไม้มีฝนแม้แต่เม็ดเดียวค่ะ


พี่'อร


แปลกมาก ช่วงนี้อุตุฯ พยากรณ์ไม่ค่อยจะตรงกับความเป็นจริงนัก
ฝนไม่ค่อยจะตกตรงตามที่พยากรณ์เลย
      บันทึกการเข้า
หนุน'21
Global Moderator
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
*****


ซีมะโด่ง'จุฬาฯ ที่มาของผม
ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: "ครุศาสตร์"
กระทู้: 26,927

« ตอบ #8799 เมื่อ: 10 มิถุนายน 2556, 10:03:49 »



สวัสดีครับพี่เหยง
เข้ามาติดตาม หลายสถานการณ์ครับ
ขอบคุณ ที่ให้ข่าวสารข้อมูล ความเป็นไปในหลายด้าน...


 ปิ๊งๆ รักนะ
      บันทึกการเข้า

“สิ่งที่ล้ำค่าที่สุดในใต้หล้า ทั้งมิใช่ชื่อเสียง และไม่ใช่ทรัพย์ศฤงคาร หากแต่เป็นน้ำใจระหว่างคน ท่านหากได้มา พึงทะนุถนอมไว้
อย่าได้สร้างความผิดหวังต่อตนเองและผู้อื่น.” “วีรบุรุษสำราญ” “โกวเล้ง”
  หน้า: 1 ... 350 351 [352] 353 354 ... 472   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

ทำไมหอพักนิสิตจุฬาจึงเป็นดินแดนมหัศจรรย์            " ไม่ได้เป็นแค่หอให้นอนพัก  แต่เป็นบ้านอบอุ่นรักให้อาศัย  ไม่เป็นแค่ที่ซุกหัวยามหลบภัย  แต่สร้างใจให้เข้มแข็งแกร่งการงาน"  <))))><