23 พฤศจิกายน 2567, 19:52:19
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน [สมาชิกเก่าลืมรหัส โทร 081-7611760]
A A A A  ระเบียบปฎิบัติ
   
Languages    
  หน้า: 1 ... 96 97 [98] 99 100 ... 472   ลงล่าง
ผู้เขียน หัวข้อ: คุยกับ เหยง 16 - พิเชษฐ์ เชื่อมฯ-เตรียมฉลอง 100 ปี หอซีมะโด่ง จุฬาฯ  (อ่าน 2602007 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 19 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #2425 เมื่อ: 14 มิถุนายน 2554, 19:22:19 »

บนนี้มีวิหารประดิษฐานพระพุทธรูปและรอบพระพุทธบาท, เจดีย์ทอง และมณฑป







      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #2426 เมื่อ: 14 มิถุนายน 2554, 19:24:44 »

ศาลาชมวิว สามารถมองเห็นอ่าวทั้งสามได้รอบๆ



      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #2427 เมื่อ: 14 มิถุนายน 2554, 19:34:41 »

ซ้ายไปขวา (แต่ผมลืมชื่ออ่าวไปแล้วครับ ??)







      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #2428 เมื่อ: 14 มิถุนายน 2554, 19:40:33 »

นอกจากนี้ ยังมีศาลาอีกหนึ่งหลัง ประดิษฐานพระรูปกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดื์ ทรงชุดพลเรือนและมีร่วมยาวางอยู่ข้างตัว

ท่านมีความรู้เรื่องยาไทย หรือสมุนไพรไทย ซึ่งพระภิกษุผู้มีวิทยาคมต่างมีความรู้ด้านนี้ด้วยและท่านได้รับความรู้นี้ไป

จนมีความสามารถในการรักษาโรคแผนโบราณ และต่างเรียกท่านว่า "หมอพร"





      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #2429 เมื่อ: 14 มิถุนายน 2554, 19:45:04 »

ถ่ายภาพกับป้ายบอกจำนวนขั้นบันไดเป็นที่ระลึก






      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #2430 เมื่อ: 14 มิถุนายน 2554, 19:49:07 »

จากนั้นจึงเริ่มลงบันไดสู่ลานจดรถ แดดแรงขึ้นมาก แทบไม่มีลมเลย

แต่สามารถมองเห็นอาคารศาลากลางจังหวัดได้เต็มหลัง






      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #2431 เมื่อ: 14 มิถุนายน 2554, 19:53:53 »

วัดธรรมมิการาม ในมุมสูงจากยอดเขา



ถัดไปคือ เรือนจำจังหวัดประจวบคีรีขันธ์



ถัดออกไปเป็นบ่อพักน้ำของการประปา







      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #2432 เมื่อ: 14 มิถุนายน 2554, 19:55:20 »

ศาลากลางจังหวัดประจวบคีรีขันธ์อีกครั้ง



      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #2433 เมื่อ: 14 มิถุนายน 2554, 19:58:52 »

จากนั้นจึงขับรถไปทางกองบิน 5 แต่หยุดที่วัดเกาะหลัก ไหว้พระเสร็จ จึงขับออกจากตัวเมืองมุ่งไปที่ทางแยก
ซึ่งเป็นที่ตั้งของ Tesco Lotus เพื่อทานสุกี้ MK จากนั้นจึงเดินทางต่อไปคีรีวารี


ต้นชวนชมบอนไซ ที่ขายอยู่หน้าวัดเกาะหลัก





      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #2434 เมื่อ: 14 มิถุนายน 2554, 20:09:42 »

มีประกาศของอุตุนิยมวิทยา เตือนคลื่นลมแรง ทั้งในอ่าวไทยและทะเลอันดามัน

ประกาศเตือนภัย
"คลื่นลมแรง"
ฉบับที่ 4 ลงวันที่ 14 มิถุนายน 2554

 
     มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทยมีกำลังแรง ลักษณะเช่นนี้ทำให้คลื่นลมในทะเลมีกำลังแรง โดยเฉพาะทะเลอันดามันมีคลื่นสูง 2-4 เมตรและอ่าวไทยตอนบนตั้งแต่จังหวัดสุราษฎร์ธานีขึ้นมามีคลื่นสูง 2-3 เมตร ขอให้ชาวเรือควรระมัดระวังอันตรายในการเดินเรือ เรือเล็กบริเวณดังกล่าวควรงดออกจากฝั่งในช่วงวันที่ 14-16 มิถุนายน 2554
อนึ่ง ร่องมรสุมพาดผ่านทางด้านตะวันออกของภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณแนวร่องมรสุมและด้านรับลมมรสุมในภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ฝั่งตะวันตก ยังมีฝนฟ้าคะนองกระจายถึงเกือบทั่วไปกับมีฝนตกหนักบางแห่ง

      บันทึกการเข้า
Dtoy16
Hero Cmadong Member
***


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: อักษรศาสตร์
กระทู้: 1,424

« ตอบ #2435 เมื่อ: 14 มิถุนายน 2554, 20:35:18 »

                     สวัสดีค่ะเหยง  อ่านเรื่องตัวเลขเกี่ยวกับข้าวแล้วน่าสนใจดี่นะ
                                         ปริมาณของข้าว น้ำหนัก เด็กสมัยนี้บางคนเทียบไม่เป็นนะ
                                          หน่วยระยะทาง มาตราวัด ก็เช่นกัน แต่ต้อยอยากถามว่า
                                         ปริมาณข้าวที่ปลูกทั้งปีทั้งนาปี ปรัง มารวมกันก็พอพอ
                                          กับประเทศอื่นมิใช่หรือ พันกว่าก.ก  แล้วเมื่อก่อนชาวนา
                                          ไม่ใช้ปุ๋ย ไทยก็ผลิตข้าวได้ตั้งเยอะนี่
      บันทึกการเข้า

หนุน'21
Global Moderator
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
*****


ซีมะโด่ง'จุฬาฯ ที่มาของผม
ออฟไลน์ ออฟไลน์

คณะ: "ครุศาสตร์"
กระทู้: 26,927

« ตอบ #2436 เมื่อ: 15 มิถุนายน 2554, 08:00:33 »



สวัสดีครับพี่เหยง
เข้ามาอัพเดทข้อมูล
เลยได้เที่ยวเมืองประจวบเพลินเลย
สวยงามมากครับ
      บันทึกการเข้า

“สิ่งที่ล้ำค่าที่สุดในใต้หล้า ทั้งมิใช่ชื่อเสียง และไม่ใช่ทรัพย์ศฤงคาร หากแต่เป็นน้ำใจระหว่างคน ท่านหากได้มา พึงทะนุถนอมไว้
อย่าได้สร้างความผิดหวังต่อตนเองและผู้อื่น.” “วีรบุรุษสำราญ” “โกวเล้ง”
too_ploenpit
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2514
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 7,778

เว็บไซต์
« ตอบ #2437 เมื่อ: 15 มิถุนายน 2554, 09:07:57 »

อ้างถึง
ข้อความของ เหยง 16 เมื่อ 14 มิถุนายน 2554, 19:34:41
ซ้ายไปขวา (แต่ผมลืมชื่ออ่าวไปแล้วครับ ??)









...ตามมาเที่ยวเขาช่องกระจกค่ะ...ยังไม่เคยไปเลย...

...เห็นเหยงพูดถึง...กองบิน 5...เลยนึกขึ้นได้ถึง...อ่าวมะนาว...

...สมัยพี่ตู่ยังเล็ก...คุณพ่อก็เคยไปอยู่ที่กองบิน 5 ค่ะ...แต่ครอบครัวอยู่ดอนเมือง...

...พอปิดเทอม...พี่ตู่ก็จะได้ติดตามไปด้วย...จำได้ว่าบ้านพักอยู่ติดกับทะเลเลย...

...แต่ทะเลที่นี่มีหอยตาวัวเยอะ...พี่ตู่จะสนุกกับการเก็บมันมาก...

...และสงสัยว่าปูจะมีเยอะด้วย...เพราะเดินไปบนหาดจะมีกองดินเล็กๆเหมือนตัวไส้เดือนกองอยู่เต็มไปหมดเลย...

...จำได้ว่าเล่นน้ำทะเลจนตัวดำค่ะ...แต่ผู้ใหญ่ก็ไม่เคยพาไปเที่ยวเขากระจกเลย...
      บันทึกการเข้า

i love pink, you are pink = i love you
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #2438 เมื่อ: 15 มิถุนายน 2554, 09:26:29 »

สวัสดีครับ พี่ตู่

ภาพที่เห็นตรงที่ราบระหว่างเขา.....ซึ่งมีศาลกรมหลวงชุมพรฯ(เห็นหลังขาวขาวๆ ตรงเชิงเขาลูกที่สูงที่สุด)
และจะเป็นลานบินของกองบิน 5 ที่เป็นทางขับออกมาตัดจนเกือบกับถนนริมชายหาด
และจะเกิดปรากฎการณ์ทะเลแหวกในช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน ของทุกปี
ที่น้ำทะเลจะลดลง เกิดสันดอนทรายเป็นทางเดินไปสู่ศาลกรมหลวงชุมพรฯ ซึ่งเรื่องเวลานี้ต้องถามทหารจากกองบิน 5 ครับ

      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #2439 เมื่อ: 15 มิถุนายน 2554, 09:36:29 »

ภาพวาดของกองบิน 5


      บันทึกการเข้า
too_ploenpit
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2514
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 7,778

เว็บไซต์
« ตอบ #2440 เมื่อ: 15 มิถุนายน 2554, 09:36:49 »


...เสียดายตอนนั้นยังเล็กอยู่...ยังไม่รู้จักเที่ยวค่ะ...

...ได้แต่เล่นน้ำทะเลใกล้ๆบ้านพัก...ความจริงสถานที่ท่องเที่ยวก็อยู่ใกล้ๆกันนั่นเอง...
      บันทึกการเข้า

i love pink, you are pink = i love you
too_ploenpit
Cmadong ชั้นเซียน
*****


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2514
คณะ: รัฐศาสตร์
กระทู้: 7,778

เว็บไซต์
« ตอบ #2441 เมื่อ: 15 มิถุนายน 2554, 09:39:04 »


...พี่ตู่ได้ข่าวว่ากองบิน 5 ก็มีบ้านพักรับรองที่อ่าวมะนาวค่ะ...

...ตอนที่ไปเยี่ยมต้อยที่กระบี่...ขากลับก็ติดต่อจะไปพักค่ะ...แต่ไม่มีห้องว่าง...

...เลยไปพักกับเพื่อนหมอที่ปราณบุรีแทนค่ะ...พักฟรีเพราะเป็นคลีนิคค่ะ...
      บันทึกการเข้า

i love pink, you are pink = i love you
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #2442 เมื่อ: 15 มิถุนายน 2554, 09:39:08 »

ผมคิดว่า หากคราวหน้าไปเที่ยวชะอำ อาจจะจองที่พักในกองบิน 5 หรือในเขตอำเภอเมือง
เพื่อพักและเที่ยวตัวจังหวัดประจวบฯ ให้ทั่ว เนื่องจาก หว้ากอ ด่านสิงขร ฯ ก็ยังไม่ได้ไปครับ
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #2443 เมื่อ: 15 มิถุนายน 2554, 11:58:41 »

คั่นเวลา เชิญชวน : คืนนี้ช่วงตีสามถึงตีสี่กว่า ดูจันทรคราสเต็มดวง


'จันทรุปราคา'กับ'ทางช้างเผือก' 15มิถุนาฯ-ค่ำคืนมองฟ้าสุดอัศจรรย์

ข้อมูล : สดร. , สมาคมดาราศาสตร์ไทย


โลกคั่นกลางระหว่างดวงอาทิตย์กับดวงจันทร์

 
คืนวันที่ 15 ต่อเนื่องข้ามไปสู่วันใหม่ 16 มิถุนายน พ.ศ.2554 นี้ คนไทยจะมีโอกาสตื่นตายลความอัศจรรย์ของปรากฏการณ์สำคัญจากห้วงอวกาศถึง 2 วาระไปพร้อมๆ กัน นั่นคือ "จันทรุปราคาเต็มดวง" ครั้งแรกในรอบ 4 ปี รวมถึงปรากฏการณ์ "จันทรุปราคาบังดาวฤกษ์"

นอกจากนั้น ถ้าท้องฟ้าในพื้นที่ใดมืดมิดเพียงพอ ไม่มีแสงไฟรบกวน ยังจะมีโอกาสมองเห็นความงดงามของ "ทางช้างเผือก" ด้วยตาเปล่าอีกด้วย ขณะที่ดวงจันทร์ถูก "เงาโลก" บดบังทั้งดวง!


ดร.ศรัณย์ โปษยะจินดา รองผู้อำนวยการสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (สดร.) เปิดเผยให้ข้อมูล พร้อมกับชักชวนคนไทยอย่าพลาดชมปรากฏการณ์จากห้วงอวกาศครั้งสำคัญนี้ ระหว่างร่วมงานแถลงข่าว 'จันทรุปราคาเต็มดวง/จันทรุปราคาบังดาวฤกษ์' เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า

คืนวันที่ 15 ถึงเช้ามืดของวันที่ 16 มิ.ย. 2554 เป็นครั้งแรกในรอบ 4 ปี ที่คนไทยจะได้เห็นปรากฏการณ์จันทรุปราคาเต็มดวงในประเทศไทย

โดยดวงจันทร์จะ 'เริ่ม' เข้าสู่เงามืดของโลก เวลาประมาณ 01.22 น. วันที่ 16 มิ.ย.

จากนั้นจะเข้าสู่ช่วง 'คราสเต็มดวง' หรือ บังเต็มดวง ตั้งแต่ 02.22 น. ถึง 04.03 น. ซึ่งจะทำให้เราจะมองเห็นดวงจันทร์เป็น 'สีแดงอิฐ' ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ สูงจาก 'เส้นขอบฟ้า' ราว 30 องศา

คนไทยสามารถชมปรากฏการณ์นี้ได้ด้วยตาเปล่าในทุกภูมิภาคของประเทศ

นอกจากนี้ หากท้องฟ้าใส ไม่มีเมฆ และไม่มีแสงไฟรบกวนจะมีโอกาสเห็น 'ทางช้างเผือก' ในคืนวันเพ็ญขณะที่ดวงจันทร์ถูกเงาโลกบดบังทั้งดวงอีกด้วย

"ปรากฏการณ์ทางช้างเผือกที่เห็นอย่างชัดเจนครั้งนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนัก การเกิดจันทรุปราคา ในวันที่ 16 มิ.ย. คนไทยชมปรากฏการณ์ดังกล่าวได้ด้วยตาเปล่าในทุกภูมิภาคของประเทศค่อนข้างชัดเจน โดยมองไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้

ควรเลือกสถานที่ค่อนข้างมืด ไร้แสงรบกวนจากเมือง? หากใช้กล้องสองตา? หรือกล้องโทรทรรศน์จะเห็นจันทรุปราคาชัดมากขึ้น ส่วนจันทรุปราคาครั้งต่อไปจะเกิดขึ้นในเดือนมหามงคล วันที่ 10 ธ.ค. 2554" รองผอ.สดร.กล่าว

ดร.ศรัณย์ แนะนำว่า สำหรับการตั้งจุดสังเกตปรากฏการณ์จันทรุปราคาเต็มดวงวันที่ 15-16 มิ.ย.นี้ ทางสถาบันวิจัยดารา ศาสตร์แห่งชาติ (สดร.) ร่วมกับเครือข่ายทางดาราศาสตร์ในจังหวัดฉะเชิงเทรา และสงขลา กำหนดตั้งจุดสังเกตปรากฏการณ์ดังกล่าว
1.ทางช้างเผือก เมื่อมองด้วยกล้องโทรทรรศน์

2.ดร.ศรัณย์ โปษยะจินดา

3.ทางช้างเผือก เมื่อมองจากพื้นโลก

 

โดยตั้งกล้องโทรทรรศน์ที่มีความยาว โฟกัสกว่า 800 มิลลิเมตร เพื่อสังเกตปรากฏการณ์จันทรุปราคา และจะถ่ายทอดภาพปรากฏการณ์จันทรุปราคาเต็มดวงจากทั้งสามแห่ง ผ่านระบบอินเตอร์เน็ตของสถาบัน ที่เว็บไซต์ www. narit.or.th

สำหรับผู้สนใจเข้าร่วมกิจกรรมชมจันทรุปราคาเต็มดวงกับสดร. ได้ตามสถานที่ต่อไปนี้

จ.เชียงใหม่ จุดถ่ายทอดสดและตั้งกล้องโทรทรรศน์สังเกตปรากฏการณ์ บริเวณดาดฟ้า ชั้น 3 อาคารสดร. ถนนห้วยแก้ว อำเภอเมืองเชียงใหม่ โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ติดต่อขอรับบัตรเข้าร่วมกิจกรรมได้ที่ สำนักบริการวิชาการและสื่อสารทางดาราศาสตร์ สดร. ถนนห้วยแก้ว จนถึงวันที่ 15 มิ.ย. 2554 หรือสอบถามโทร. 0-5322-5569 ต่อ 305 รับจำนวนจำกัด 100 คน

จ.ฉะเชิงเทรา และชลบุรี จะตั้งจุดถ่ายทอดสด ณ บริเวณหอดูดาวบัณฑิต อำเภอแปลงยาว ฉะเชิงเทรา และจัดกิจกรรมให้ผู้ที่สนใจร่วมสังเกตปรากฏการณ์จากกล้องโทรทรรศน์อีก 3 จุด ได้แก่ โรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์ อำเภอเมือง ฉะเชิงเทรา โรงเรียนไผ่แก้ววิทยา อำเภอแปลงยาว ฉะเชิงเทรา และโรงเรียนชลราษฎรอำรุง อำเภอเมือง ชลบุรี

ส่วนจ.สงขลา จะตั้งจุดถ่ายทอดสดและจัดกิจกรรมให้ผู้ที่สนใจร่วมสัมผัสปรากฏการณ์จันทรุปราคาอย่างใกล้ชิดที่มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา

นอกจากนี้ ดร.ศรัณย์กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า วันที่ 16 มิ.ย. 2554 นอกจากคนไทยจะได้ชมปรากฏการณ์จันทรุปราคาเต็มดวงแล้ว ยังมีอีกหนึ่งปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกัน นั่นคือ

ขณะที่ดวงจันทร์เคลื่อนที่เข้าไปในเงาของโลกเกือบเต็มดวงนั้น ดวงจันทร์ยังเคลื่อนที่ไปบังดาวฤกษ์ที่ชื่อว่า "51 Ophiuchi" (51 โอฟีอุชชี) หรือ "ดาว 51 คนแบกงู" อีกด้วย

เราจะมองเห็นดาวฤกษ์ 51 Ophiuchi เริ่มหายเข้าไปหลังดวงจันทร์สีแดงอิฐ ในเวลาประมาณ 02.08 น. และจะโผล่พ้นดวงจันทร์ออกมาในเวลาประมาณ 02.12 น.

"ดาวฤกษ์ 51 Ophiuchi เป็นดาวฤกษ์สีขาวที่อยู่นอกระบบสุริยะ มีขนาดใหญ่กว่าดวงอาทิตย์มาก แต่อยู่ไกลจากโลกมากถึง 446.35 ปีแสง ดังนั้น เราอาจมองเห็นดาวฤกษ์นี้ด้วยตาเปล่าได้ไม่เด่นชัดมากนัก สำหรับผู้ที่สนใจติดตามปรากฏการณ์บนฟากฟ้าอย่าพลาด เพราะถือว่าเป็นปรากฏการณ์ทางดารา ศาสตร์ที่หาดูได้ไม่ง่ายนัก" ดร.ศรัณย์ เผย

สำหรับจันทรุปราคาครั้งนี้มีระยะเต็มดวงยาวนานถึง 1 ช.ม. 40 นาที 52 วินาที ทำลายสถิติจันทรุปราคาเต็มดวงในไทยในอดีต เมื่อ 16 ก.ค. 2543 หลังจากปี 2554 จันทรุปราคาเต็มดวงที่มีระยะเวลามืดเต็มดวงนานเกิน 100 นาที จะเกิดขึ้นอีกครั้งในวันที่ 28 กรกฎาคม 2561 ซึ่งสามารถเห็นได้ในประเทศไทยอีกเช่นกัน

ด้าน วรเชษฐ์ บุญปลอด กรรมการวิชาการ สมาคมดาราศาสตร์ไทย ระบุว่า นานเกือบ 4 ปีมาแล้วที่ประเทศไทยไม่มีโอกาสได้เห็นจันทรุปราคาเต็มดวง

ปีนี้เกิดจันทรุปราคาเต็มดวงขึ้น 2 ครั้ง ทั้งคู่สามารถเห็นได้ในประเทศไทย

โดยครั้งแรกเกิดขึ้นในเวลากลางดึกของคืนวันพุธที่ 15 มิ.ย. 2554 เข้าสู่เช้ามืดวันที่ 16 มิ.ย. และครั้งที่ 2 ในคืนวันที่ 10 ธ.ค.2554

จันทรุปราคาเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติ เกิดขึ้นเมื่อดวงอาทิตย์ โลก และดวงจันทร์ มาเรียงอยู่ในแนวเดียวกัน จนทำให้ดวงจันทร์ผ่านเงาของโลกซึ่งทอดยาวออกไปในอวกาศ

เงานี้แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ เงามืด และ เงามัว เงามัวเป็นส่วนที่จางมาก เรามักสังเกตไม่เห็นว่ามีการเปลี่ยนแปลงกับดวงจันทร์ขณะที่ดวงจันทร์อยู่ในเงามัว ยกเว้นกรณีที่ดวงจันทร์อยู่ในเงาลึกมากพอ

หากดวงจันทร์ทั้งดวงเคลื่อนผ่านเข้าไปในเงามืด เรียกว่า 'จันทรุปราคาเต็มดวง' เฉลี่ยเกิดขึ้นประมาณ 70 ครั้งต่อศตวรรษ

จันทรุปราคาหลายครั้งที่มีเพียงบางส่วนของดวงจันทร์เท่านั้นที่ผ่านเข้าไปในเงามืด เรียกว่า 'จันทรุปราคาบางส่วน' เฉลี่ยเกิดขึ้นประมาณ 84 ครั้งต่อศตวรรษ (สถิติในช่วง 2,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช ถึงค.ศ.3000)

สถานที่แห่งใดแห่งหนึ่งบนพื้นโลกไม่สามารถสังเกตจันทรุปราคาได้ทุกครั้ง ขึ้นอยู่กับว่าขณะเกิดปรากฏการณ์เป็นเวลากลางคืนในท้องถิ่นนั้นๆ หรือไม่

เพราะเมื่อเกิดจันทรุปราคาแล้ว เฉพาะซีกโลกด้าน 'กลางคืน' เท่านั้นที่สังเกตปรากฏการณ์นี้ได้ แต่นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้เรามีโอกาสเห็นจันทรุปราคาได้บ่อยกว่าสุริยุปราคา

วรเชษฐ์ให้ข้อมูลเกี่ยวกับลำดับการเกิดจันทรุปราคาเต็มดวง 15-16 มิ.ย.นี้ ว่า

คนไทยเฝ้ารอสังเกตการณ์ได้ตั้งแต่คืนวันพุธที่ 15 มิ.ย. โดยดวงจันทร์เริ่มแตะเงามัวในเวลา 00.25 น. ของวันที่ 16 มิ.ย. แต่เราจะสังเกตไม่พบการเปลี่ยนแปลงจนกระทั่งดวงจันทร์เข้าไปในเงามัวลึกมากยิ่งขึ้น

คาดว่าจะเริ่มสังเกตว่าพื้นผิวดวงจันทร์โดยรวมดูหมองคล้ำลง ตั้งแต่เวลาประมาณตี 1 หรือหลังจากนั้นไม่นาน โดยเฉพาะ 'พื้นผิวด้านตะวันออก' ของดวงจันทร์

จันทรุปราคาบางส่วนเริ่มขึ้นเวลา 01.23 น. เป็นจังหวะที่เริ่มเห็นขอบดวงจันทร์แหว่ง เนื่องจากสัมผัสกับเงามืดของโลก ขณะนั้นดวงจันทร์อยู่สูงบนท้องฟ้าทิศใต้ เยื้องไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ เมื่อเวลาผ่านไปดวงจันทร์จะเข้าไปในเงามืดลึกมากขึ้นเรื่อยๆ

เวลาเกือบตี 2 จะเห็นดวงจันทร์ถูกบังครึ่งดวง

จากนั้นเริ่ม 'บังหมดทั้งดวง' ในเวลา 02.22 น.

"ขณะเกิดจันทรุปราคาเต็มดวง ดวงจันทร์ถูกเงาโลกบดบังหมดทั้งดวง แต่ดวงจันทร์ก็ไม่ได้มืดมิด เราสามารถมองเห็นดวงจันทร์มีสีน้ำตาล ส้ม หรือแดง และอาจมีสีฟ้าปะปนอยู่ได้เล็กน้อย

เวลา 03.13 น. ดวงจันทร์เข้าใกล้ศูนย์กลางเงาโลกมากที่สุด คาดหมายได้ว่าเป็นเวลาที่ดวงจันทร์มืดคล้ำที่สุด (หากท้องฟ้าเปิดตลอดปรากฏการณ์) จากนั้นเวลา 04.03 น. เป็นเวลาที่จันทรุปราคาเต็มดวงสิ้นสุดลง รวมแล้วเกิดจันทรุปราคาเต็มดวงยาวนานถึง 1 ชั่วโมง 40 นาที ขณะสิ้นสุดจันทรุปราคาเต็มดวง ดวงจันทร์อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้"

"ช่วงที่เกิดจันทรุปราคา ดวงจันทร์อยู่ในกลุ่มดาวคนแบกงู ตรงกลางระหว่างกลุ่มดาวแมงป่องกับกลุ่มดาวคนยิงธนู หากอยู่ในที่มืด ห่างจากเมืองใหญ่ ไม่มีแสงไฟรบกวนมากนัก และไม่มีเมฆฝนบดบัง จะมีโอกาสเห็นทางช้างเผือกอยู่เบื้องหลังดวงจันทร์ได้ชัดเจน

ผู้ที่มีกล้องสองตาหรือกล้องโทรทรรศน์ สามารถสังเกตได้ว่าขณะเริ่มเกิดจันทรุปราคาเต็มดวง มีดาวฤกษ์ดวงหนึ่งอยู่ใกล้ขอบด้านทิศตะวันออกของดวงจันทร์ ดาวดวงนี้คือดาว 51 คนแบกงู โชติมาตร +4.8 ดวงจันทร์จะบังดาวฤกษ์ดวงนี้ขณะเกิดจันทรุปราคาเต็มดวง เมื่อสิ้นสุดการบังแล้ว ดาว 51 คนแบกงูก็จะกลับมาปรากฏที่ขอบอีกด้านหนึ่งของดวงจันทร์" วรเชษฐ์ ระบุ

จันทรุปราคาเต็มดวง-จันทรุปราคาบังดาวฤกษ์-ทางช้างเผือก มหัศจรรย์งดงามจับใจแค่ไหน อย่าพลาด 15-16 มิ.ย.นี้ โปรดจับจ้องท้องฟ้ายามรัตติกาลโดยพร้อมเพรียงกัน!

หน้า 21 [/size]

จาก นสพ. ข่าวสดออนไลน์
http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROamIyd3dNVEUwTURZMU5BPT0=&sectionid=TURNd013PT0=&day=TWpBeE1TMHdOaTB4TkE9PQ==

      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #2444 เมื่อ: 15 มิถุนายน 2554, 12:21:49 »

อ้างถึง
ข้อความของ Dtoy16 เมื่อ 14 มิถุนายน 2554, 20:35:18
                    สวัสดีค่ะเหยง  อ่านเรื่องตัวเลขเกี่ยวกับข้าวแล้วน่าสนใจดี่นะ
                                         ปริมาณของข้าว น้ำหนัก เด็กสมัยนี้บางคนเทียบไม่เป็นนะ
                                          หน่วยระยะทาง มาตราวัด ก็เช่นกัน แต่ต้อยอยากถามว่า
                                         ปริมาณข้าวที่ปลูกทั้งปีทั้งนาปี ปรัง มารวมกันก็พอพอ
                                          กับประเทศอื่นมิใช่หรือ พันกว่าก.ก  แล้วเมื่อก่อนชาวนา
                                          ไม่ใช้ปุ๋ย ไทยก็ผลิตข้าวได้ตั้งเยอะนี่


ปัญหาก็คือ ต่างประเทศเขาปลูกเพียง 1 ครั้งหรือ 1 ฤดู
ได้ผลผลิตข้าวเปลือกเท่ากับเราปลูกถึง 2-3 รุ่นหรือ 2-3 ฤดู
เท่ากับเรามีต้นทุนเป็น 2-3 เท่าของเขานั่นเอง
ส่งผลให้ราคาข้าวสารของไทยแพงที่สุดในตลาดโลก
ชาติอื่นๆ เขาเลยใช้ราคาข้าวสารของไทยเป็นราคาหลัก
แล้วลดราคาให้คู่ค้า ก็สามารถขายได้กำไรและขายแข่งกับไทยได้ทุกครั้ง เช่น ประเทศเวียตนาม เบอร์ 2 ของโลก
ประเทศไทยจะขายข้าวได้ก็ต่อเมื่อ ข้าวของชาติอื่นๆ ใกล้หมด
หรือปีนั้นเกิดภาวะทุกข์เข็ญ เกิดข้าวยาก-หมากแพง ก็จะขายได้และได้ราคาดี เพราะขายเป็นคนสุดท้าย
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #2445 เมื่อ: 15 มิถุนายน 2554, 12:27:17 »

WTO แปลว่า World Trade Organisation

แต่เราคงต้องแปลว่า Who Take Over my market ครับ


ฝรั่งเป็นคนคิดมาตรการหรือ WTO เพื่อค้าขายไปทั่วโลกโดยมีต้นทุนสินค้าในราคาถูก
แถมมีมาตรการที่ไม่ใช่ภาษี (Non Tarif Barrier) เอาไว้เป็นตัวกันสินค้าต่างชาติย้อนเข้าสู่ประเทศตนเอง
แต่กับประเทศไทย ไม่เคยอ่านกฎหรือระเบียบใดๆ เลย จนเราสูญเสียตลาดให้ฝรั่งไป
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #2446 เมื่อ: 15 มิถุนายน 2554, 19:14:28 »

ฝากอ่านเรื่องนี้ครับ เรื่องจริงที่ข้าราชการไม่อยากรู้ มองไม่เห็น บางครั้งฉกเอาไปทำเอาหน้าพวกนายทุนด้วยซ้ำ


เกษตรพันธสัญญา กับ วังวนของความยากจน
สาระน่ารู้ 12 มิถุนายน 2554 - 00:00

ทศพล ทรรศนกุลพันธ์
คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
เครือข่ายนักวิชาการเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตเกษตรกรในระบบพันธสัญญา

      ระบบเกษตรพันธสัญญา ได้แทรกซึมเข้าสู่ระบบเกษตรกรรมไทยมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน เห็นได้ชัดนับตั้งแต่แผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติฯ ที่ได้ส่งเสริมให้มีการสร้างสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานส่งเสริมการปลูกพืชเศรษฐกิจเชิงเดี่ยว และการเลี้ยงปศุสัตว์เชิงพาณิชย์ แต่คำถามที่เกิดขึ้นในหมู่เกษตรกรและความรับรู้ของคนทั่วไป คือ ทำไมลูกหลานเกษตรกรไม่อยากเป็นชาวนา ชาวสวน ชาวไร่ หรือคนเลี้ยงสัตว์ สภาพความเป็นอยู่และวิถีชีวิตของเกษตรกรเลวร้ายมากเพียงไร ถึงทำให้เกิดภาวะถดถอยของแรงงานในภาคเกษตร สิ่งหนึ่งที่เห็นได้ชัดคือ เกษตรกรไทยกับปัญหาหนี้สิน และความยากจน
      ผู้ที่สนับสนุนระบบเกษตรพันธสัญญา มักหยิบยกประเด็นการสร้างรายได้ที่แน่นอนของระบบพันธสัญญา ที่เกิดจากการตกลงกันระหว่าง บรรษัทธุรกิจเกษตร กับเกษตรกรรายย่อย มาเป็นหลักฐานยืนยันว่า การมีสัญญารับซื้อผลผลิตอย่างชัดเจนในแต่ละรอบการผลิต เป็นการประกันรายได้ที่ชัดเจนให้กับเกษตรกร และหยิบตัวเลขราคารับซื้อ กับต้นทุนที่ลงไปในแต่ละรอบมาคิดผลกำไร ว่าแต่ละรอบเกษตรกรขายได้ราคามากกว่าต้นทุนที่ลงไปในแต่ละรอบ   
     ซึ่งวิธีการมองระบบเกษตรพันธสัญญาแบบผิวเผินก็จะเห็นเพียงว่าเกษตรกรได้รับเงินทุกรอบการผลิต จนเมื่อเครือข่ายนักวิชาการเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตเกษตรกรในระบบพันธสัญญาได้ลงพื้นที่ทำวิจัย ทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ (โครงการวิจัยครอบคลุมทั้งพืชเศรษฐกิจ เช่น อ้อย ข้าวโพด ผัก   และสัตว์เศรษฐกิจ เช่น หมู ไก่ ปลา ลงพื้นที่ภาคเหนือ อีสาน และภาคกลาง   มีเกษตรกรที่เข้าร่วมทำวิจัยไทบ้านกว่า 15 กลุ่ม รวมแล้วเกินกว่า 200 คน) กลับได้ค้นพบว่า ในความเป็นจริงมีสิ่งที่อำพรางซ่อนเร้น ซึ่งถูกกระบวนการโฆษณาประชาสัมพันธ์ของบรรษัทและแนวร่วมปกปิดไว้นานนับสิบๆ ปีอยู่หลายประการ
     ประการแรก เกษตรกรในระบบเกษตรพันธสัญญามิได้นำต้นทุนแอบแฝง เข้ามาคำนวณเป็น “ต้นทุนการผลิตที่แท้จริง” เกษตรกรมักจะคำนวณต้นทุนการผลิตจากสิ่งที่ตนออกเงิน หรือกู้หนี้ยืมสินมาทำการผลิตและเห็นอย่างชัดเจน เช่น ค่าเมล็ดพันธุ์ ตัวอ่อน ปุ๋ย ยา วิตามิน ฯลฯ แต่มิได้คิดค่าแรงของตัวเอง เช่น ทำการเลี้ยงสัตว์ 4 เดือน จนขายได้เงินหลังจากหักต้นทุนแล้ว 100,000 บาท โดยใช้แรงงานตนและคนในครอบครัวรวม 4 คน เท่ากับ ค่าจ้างของคน 4 คน ตกเดือนละ 5,140 บาท/คน ซึ่งน้อยกว่าค่าจ้างขั้นต่ำหากออกไปรับจ้างทั่วไป นี่ยังไม่รวมการไม่คิดค่าน้ำ ค่าไฟ ที่ต้องเสียไปในแต่ละวันอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีค่าเสียโอกาสที่เกิดขึ้นจากการเข้าสู่วงจรเกษตรพันธสัญญา เช่น หากเอาที่ดินของตนไปทำอย่างอื่น หรือเอาที่ดินไปให้คนอื่นเช่าทำแทน จะเป็นเงินเท่าไหร่ที่ตนเสียโอกาสไป และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ค่าเสื่อมโทรมของสุขภาพกายที่ต้องอยู่กับสภาพโรงเรือนและไร่นาที่เต็มไปด้วยสารเคมี และสุขภาพจิตที่อยู่ในภาวะเครียดสะสมจากความเสี่ยงที่ตนต้องแบกรับเป็นเวลานาน
      ประการต่อมา สังคมต้องมาร่วมแบกรับผลกระทบต้นทุนด้านสิ่งแวดล้อม สุขอนามัยที่เกิดจากการทำเกษตรพันธสัญญาอย่างมากมายมหาศาล เทือกเขาและยอดดอยทางภาคเหนือได้เปลี่ยนเป็นทุ่งข้าวโพดพันธสัญญาสุดลูกหูลูกตา  ไร่อ้อย คือสิ่งที่รุกคืบเข้าครอบคลุมที่ราบสูงแถบอีสาน กระชังปลาวางเรียงรายเต็มสองฝั่งลำน้ำมูลและชี กลิ่นขี้หมู-ขี้ไก่ที่รบกวนและเป็นชนวนความขัดแย้งของหลายชุมชน สิ่งเหล่านี้มิได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่เกิดขึ้นจากการผลักดันของบรรษัทโดยมีรัฐหลับตาข้างหนึ่งปล่อยให้เกิดเหตุการณ์เหล่านี้ โดยมิได้คำนึงถึงการจัดการทรัพยากรอย่างยั่งยืน เกษตรกรบนที่สูงมักย้ำว่าถ้าปลูกข้าวโพดกับบรรษัท เจ้าหน้าที่รัฐไม่มายุ่ง แต่ถ้าทำไร่หมุนเวียนตามวิถีของชนเผ่ามักถูกจับถูกห้ามเสมอ
      ประการถัดมา ระบบเกษตรพันธสัญญาเป็นกระบวนการทำธุรกิจที่คิดค้นขึ้นมาโดยบรรษัท เพื่อผลกำไรสูงสุดของบรรษัท ซึ่งมิใช่สิ่งที่เลวร้าย เพียงแต่มิได้ตั้งเป้าหมายอยู่ที่คุณภาพชีวิตของเกษตรกร สิ่งที่ปรากฏในทุกขั้นตอนของเกษตรพันธสัญญาตั้งแต่เริ่มปลูก/เลี้ยง จนถึงขาย จะเห็นการ “ผลักภาระความเสี่ยง” ไปให้เกษตรกรแบกรับฝ่ายเดียว ไม่ว่าจะเป็น ภัยธรรมชาติ หรือราคาที่ผันผวนของราคาสินค้าเกษตรที่แปรผันตามกลไกตลาด และเมื่อมีผลประโยชน์บรรษัทก็จะ “ขูดรีด” ทุกสิ่งที่ตนสามารถกระทำได้ ไม่ว่าจะเป็นอำนาจในการกำหนดราคารับซื้อ วันที่จะไปจับหรือเก็บเกี่ยว หรือมาตรฐานสินค้า ซึ่งในหลายกรณีปรากฏ “การฉ้อฉล” เช่น การโกงน้ำหนัก โกงมาตรฐาน หรือบังคับให้เกษตรกรใส่ยา ให้อาหาร สารเคมี หรือปรับปรุงโรงเรือนเกินความจำเป็น แต่บรรษัทได้กำไรจากการขายของเหล่านี้
      สิ่งที่สำคัญอีกประการ คือ คุณภาพชีวิตของผู้บริโภค กระแสความตื่นตัวเรื่อง “กินอะไรเป็นอย่างนั้น” หรือ “การกินอาหารเป็นยา” ได้ชี้ให้เห็นวิถีแห่งจิตวิญญาณที่เชื่อมโยงกับอาหารการกิน แต่อาหารที่เราซื้อหาได้ในปัจจุบัน โดยเฉพาะตามร้านสะดวกซื้อ หรือร้านอาหารต่างๆ มักถูกกำหนดมาตรฐานโดยบรรษัทธุรกิจเกษตร ที่เน้นการเก็บได้นาน รูปร่างหน้าตาสวยงามน่ากิน ขนาด ฯลฯ ที่ไม่เกี่ยวพันอะไรกับการทำให้อาหารสะอาด กลับกัน-การทำให้อาหารมีลักษณะเช่นว่า นำมาซึ่งมฤตยูในรูปของสารเคมีรูปแบบต่างๆ ที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพอย่างร้ายแรงและเรื้อรัง นอกจากนี้ ราคาอาหารที่พุ่งกระฉูดโดยที่รัฐบาลทำอะไรไม่ได้ ก็เนื่องจากบรรษัทธุรกิจเกษตรมีอำนาจเหนือสายพานการผลิต ช่องทางการตลาด เรื่อยมาจนถึงปากผู้กินผ่านระบบเกษตรพันธสัญญานั่นเอง   หากรัฐไม่เข้ามาแทรกแซงก็ควบคุมราคาไม่ได้
      ประการสุดท้าย เหตุผลที่ไม่มีเกษตรกรจากระบบเกษตรพันธสัญญาคนใดมาปรากฏตัวในสื่อสาธารณะ ก็เนื่องจากเครือข่ายของบรรษัทได้ลงลึกถึงท้องถิ่น มีหลายกรณีที่เกษตรกรให้ข้อมูลด้านลบของเกษตรพันธสัญญา แล้วโดนมาตรการลงโทษจากบรรษัท เช่น ไม่เอาตัวอ่อนมาให้เลี้ยง ไม่มาจับสัตว์ตามที่สัญญาไว้ หรือเลวร้ายกว่านั้น ก็ยกเลิกสัญญาทั้งที่เกษตรกรได้ลงทุนสร้างโรงเรือนไปแล้วเป็นสิบล้าน ก็มีการรวมกลุ่มของเกษตรกรในระบบพันธสัญญาถูกสลายด้วยตัวระบบและวิธีการผลิตที่เกษตรกรต้องทุ่มเทเวลาแทบทั้งหมดของตนไปในโรงเรือนและไร่นาของตนเอง และต้องทำตัวเป็นลูกไร่ที่ดีของบรรษัท จนไม่สามารถทำกิจกรรมกลุ่มร่วมกับผู้อื่นได้ จนเกิดปรากฏการณ์ “เกษตรกรรมไร้ญาติ” ทำให้การรวมกลุ่มต่อรองเป็นไปได้ยากมาก บางกลุ่มรวมตัวได้ บรรษัทก็ใช้สายสัมพันธ์ที่มีกับรัฐเข้าไล่บี้ ดังกรณีผู้ปลูกข้าวโพดเมล็ดพันธุ์ที่ถูกสารวัตรเกษตรอายัดเมล็ดพันธุ์จำนวนมากเกินจำเป็น จนทำให้เกิดความเสียหาย เพราะกลุ่มสหกรณ์ส่งไปขายดี จนแย่งตลาดเมล็ดข้าวโพดของบรรษัท
     บทความชิ้นนี้มิได้ต่อต้านเกษตรพันธสัญญาอย่างเด็ดขาด แต่มุ่งเสนอให้เห็นว่า หากจะมีการส่งเสริมให้เกษตรกรเข้าสู่ระบบพันธสัญญาจะต้องทำในเงื่อนไขที่รัฐและสังคมสามารถควบคุมให้อยู่บนพื้นฐานของ “ความเป็นธรรม”   ดังต่อไปนี้
    1. รัฐให้การคุ้มครองสิทธิของเกษตรกรในการเข้าถึงปัจจัยการผลิตอย่างมั่นคง เช่น การคุ้มครองพื้นที่เกษตร การเข้าถึงเมล็ดพันธุ์พืช ตัวอ่อนสัตว์ โดยปราศจากการหวงกันสิทธิของบรรษัท เพื่อให้เกษตรกรมีสิทธิในการคัดเลือกและพัฒนาสายพันธุ์ที่เหมาะกับท้องถิ่นตนเอง และพัฒนาธุรกิจตน
    2. รัฐต้องควบคุมการจัดสรรทรัพยากรร่วมให้อยู่บนพื้นฐานของความยั่งยืน เช่น การรุกพื้นที่ป่าสงวนเพื่อปลูกพืชเศรษฐกิจเชิงเดี่ยว จนเป็นสาเหตุของภัยธรรมชาติ รวมทั้งการยึดลำน้ำและชายฝั่ง
    3. รัฐเข้ามามีบทบาทในการควบคุมการทำสัญญาให้มีความเป็นธรรม มีกลไกในการบริหารจัดการสัญญาให้เกิดความเป็นธรรมต่อคู่สัญญา และส่งเสริมการรวมกลุ่มของเกษตรกรรายย่อย
    4. การประกันสิทธิของเกษตรกรให้รักษาวิถีการผลิตของชุมชนโดยการจัดหาช่องทางตลาดทางเลือก
    5. การเปิดพื้นที่สื่อสาธารณะให้มีข้อมูลของเกษตรพันธสัญญาอย่างรอบด้านมิใช่เพียงข้อมูลชวนเชื่อ
หากรัฐสร้างเงื่อนไขข้างต้นได้ เกษตรพันธสัญญาก็อาจเป็นวิธีหลุดพ้นจากความยากจน.


http://www.thaipost.net/tabloid/120611/40026
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #2447 เมื่อ: 15 มิถุนายน 2554, 20:20:08 »

เอ้า...มาดูกำหนดการของจันทรคราสของคืนนี้กันชัดๆ จะได้ไม่พลาดชม
ผิดจากครั้งนี้แล้ว โอกาสได้ชมครั้งต่อไปคือ วันที่ ๒๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๖ ครับ

 ๐๐.๒๕ น.จันทร์เริ่มแตะเงามัว
 ๐๑.๒๒ น.จันทร์สัมผัสเงามืดโลก ขอบเริ่มแหว่ง
 ๐๒.๐๐ น.จันทร์ถูกอมครึ่งดวง
 ๐๒.๒๒ น.จันทร์ถูกอมมิดทั้งดวง
 ๐๓.๑๓ น.จันทร์ใกล้ศูนย์กลางเงาโลกมากที่สุด จนคล้ำดำมืดมากที่สุด
 ๐๔.๐๓ น.สิ้นสุดจันทรุปราคาเต็มดวง

      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #2448 เมื่อ: 15 มิถุนายน 2554, 20:29:57 »

อ่านบทความของคุณ เปลว สีเงิน จากไทยโพสต์ครับ

คืน 'พระจันทร์สีเลือด' ก็มาถึง
เปลว สีเงิน  15 มิถุนายน 2554 - 00:00

     คืนนี้ ช่วงรอยต่อของวันที่ ๑๕ กับวันที่ ๑๖ มิ.ย. ตั้งแต่ตอนตี ๑ กว่าๆ เป็นต้นไป อย่าลืมตื่นขึ้นมาดู "พระจันทร์สีเลือด" นะครับ เหตุที่เป็นสีเลือดก็เพราะพระจันทร์ถูกเงาโลกบังมิดทั้งดวง แต่พระจันทร์ขึ้น ๑๕ ค่ำ ก็ยังคงส่องแสงแยงม่านฟ้าเหมือนเดิม จึงเห็นผ่านเงามืดเป็นสีเลือด หรือสีแดงอิฐ
     ครับ...ผมไม่มีความรู้ด้านศาสตร์จักรวาลและดวงดาวหรอกครับ อาศัยอ่านเอา นี่ก็อ่านจากสารคดีหนังสือพิมพ์ข่าวสด ที่เขาไปรวบรวมมาจากการแถลงข่าวของ ดร.ศรัณย์ โปษยะจินดา รอง ผอ.สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ และอาจารย์วรเชษฐ์ บุญปลอด จากสมาคมดาราศาสตร์ไทย
     เห็นคืนนี้จะเกิด "จันทรคราส" ในแบบอมมิดเต็มดวง แถมอมยาวนานเป็นเวลา ๑ ชั่วโมง ๔๐ นาที เรียกว่าเกือบ ๒ ชั่วโมง ไม่อยากให้ท่านนอนหลับทับคราสน่ะ ก็เลยนำมาบอก เผื่อท่านจะได้ดับไฟใส่กลอนนอนแต่หัวค่ำ แล้วลุกตื่นขึ้นมากลางดึกตอน ๒ ยามกว่าๆ
     มาแหงนหน้าถ่างตาดูพระจันทร์สีเลือดน่ะครับ เพราะนานปีทีหนจะมีให้เห็น ครั้งนี้ให้เห็นเป็นครั้งแรกในรอบ ๔ ปี แถมเป็นราหูอมจันทร์ที่อมยาวนานทำลายสถิติตั้งแต่มีมาในเมืองไทย ถ้าเอาแต่นอนจนอดดู ท่านก็ต้องรอไปอีก ๕-๖ ปี
     โน่นแน่ะ รอไปจนถึงวันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๕๖!
     ฉะนั้น คืนนี้ลืมได้แต่พลาดไม่ได้ ไม่ว่าท่านอยู่จังหวัดไหน ทิศไหนของประเทศ ตี ๑ ถึงตี ๔ ตื่นขึ้นมา รีบแหงนหน้าไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้
 แล้วท่านจะพบกับปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่ชวนพิศวงงงงวย โดยดวงจันทร์วันเพ็ญเข้าสู่เงามืดของโลกจนมิดดวง มองเห็นเป็น...พระจันทร์สีเลือด เป็นเวลายาวนานร่วม ๒ ชั่วโมง  
     ส่วนหมาจะหอนทั้งเมืองเหมือนที่เกิดคราสทุกครั้งหรือเปล่าก็ไม่ทราบนะครับ ถึงหอนก็คงหอนประเดี๋ยว-ประด๋าว ขืนหอนต่อเนื่องยาวนานร่วม ๒ ชั่วโมง
     หมาขากรรไกรค้างหมดประเทศแหงๆ!?
     นอกจากเห็นจันทร์สีเลือดจากจันทรคราสแล้ว ยังจะเห็น "ทางช้างเผือก" บนท้องฟ้าด้วย เรียกว่าปรากฏการณ์คืน ๑๕ ต่อ ๑๖ มิ.ย.นี้ ลด-แลก-แจก-แถม ครบเครื่อง ดร.ศรัณย์ท่านบอกว่า
     "ขณะที่ดวงจันทร์เคลื่อนที่เข้าไปในเงาของโลกเกือบเต็มดวงนั้น ดวงจันทร์ยังเคลื่อนที่ไปบังดาวฤกษ์ที่ชื่อว่า 51 Ophiuchi หรือดาว ๕๑ คนแบกงู โดยดาว ๕๑ คนแบกงูนี้ จะเริ่มหายเข้าไปหลังดวงจันทร์สีแดงอิฐในเวลาประมาณ ๐๒.๐๘ น. และจะโผล่พ้นดวงจันทร์ออกมาในเวลาประมาณ ๐๒.๑๒ น. ดาวฤกษ์ Ophiuchi นี้ เป็นดาวฤกษ์สีขาว อยู่นอกระบบสุริยะ มีขนาดใหญ่กว่าดวงอาทิตย์มาก แต่อยู่ไกลจากโลกมากถึง ๔๔๖.๓๕ ปีแสง ดังนั้น เราอาจมองเห็นดาวฤกษ์นี้ด้วยตาเปล่าได้ไม่เด่นชัดมากนัก"
     เอ้า...ก็มาดูกำหนดการของจันทรคราสกันชัดๆ ซักนิด
 ๐๐.๒๕ น.จันทร์เริ่มแตะเงามัว
 ๐๑.๒๒ น.จันทร์สัมผัสเงามืดโลก ขอบเริ่มแหว่ง
 ๐๒.๐๐ น.จันทร์ถูกอมครึ่งดวง
 ๐๒.๒๒ น.จันทร์ถูกอมมิดทั้งดวง
 ๐๓.๑๓ น.จันทร์ใกล้ศูนย์กลางเงาโลกมากที่สุด จนคล้ำดำมืดมากที่สุด
 ๐๔.๐๓ น.สิ้นสุดจันทรุปราคาเต็มดวง
     ย้ำเพื่อเข้าใจตรงนี้นะครับ ขณะที่คราส ตัวดวงจันทร์ยังคงมีแสงสว่างตลอด แต่เมื่อ ดวงอาทิตย์-โลก-ดวงจันทร์ มาเรียงอยู่ในแนวเดียวกัน ทำให้ "เงามืด" โลกทอดยาวออกไปในอวกาศ ดวงจันทร์ก็เข้ามาอยู่ส่วนของเงามืดโลกตรงนี้พอดี จึงเรียก "จันทรุปราคาเต็มดวง"
     "ราหู" ในทางดาราศาสตร์ไม่มีตัวตน ก็แค่เงาโลก แต่ทางคติและความเชื่อบางคน บางกลุ่ม บางลัทธิ บางศาสนา ยึดว่ามีตัวตน หนังสืออาจารย์พลูหลวงบอกว่า ในคัมภีร์โหราศาสตร์กล่าว พระอิศวรเอาผีโขมด ๑๒ ตัวเท่ากำลังพระราหูมาร่ายพระเวทให้ป่นละเอียดแล้วประพรมด้วยน้ำอมฤตชุบราหูขึ้น
     ในขณะที่ตำนานดาวพระเคราะห์บอกว่า ราหูคือด้วงและแมลง ย่อมกัดกินต้นไม้หมดทั้งต้น และบ้างก็ว่าราหูคือดวงดาว เป็นเจ้าแห่งลูกอุกกาบาต เป็นผู้คุ้มครองอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ คือทางทิศที่เราจะเห็นพระจันทร์โผล่หลังถูกคราสในคืนนี้นั่นแหละ
     ในเทพนิยายบอกว่า ราหูเป็นยักษ์พวกหนึ่ง คอยจับพระอาทิตย์และพระจันทร์กลืนกิน และแต่ละครั้งทำให้เกิดคราสขึ้น!
     แต่ในทางวิทยาศาสตร์บอกว่า คราสเกิดจากเงาโลกบังจันทร์ และดวงจันทร์บังอาทิตย์แค่นั้นเอง!!
     ในคัมภีร์พระพุทธศาสนาก็มี เรียกราหูว่า "อรินทรราหู" ถือเป็นราชาแห่งอสูร คือยักษ์ทั้งปวง จอมอสูรนี้ไม่เคยเกรงกลัวใครเลยในจักรวาลนี้ ยกเว้น "สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า"
     ครั้งหนึ่ง พระอาทิตย์ พระจันทร์ ถูกราหูจับ ไม่รู้ทำไงจะรอด จึงรำลึกถึงพระพุทธเจ้า ผมจะยกเรื่องพระจันทร์และพระอาทิตย์ในพระไตรปิฎกให้ท่านอ่าน ดังนี้
     เรื่อง "จันทิมสูตร"
     พระผู้มีพระภาคประทับเขตพระนครสาวัตถี ก็โดยสมัยนั้น จันทิมเทวบุตรถูกอสุรินทราหูเข้าจับแล้ว ครั้งนั้นจันทิมเทวบุตรระลึกถึงพระผู้มีพระภาค ได้ภาษิตคาถานี้ในเวลานั้นว่า
      "ข้าแต่พระพุทธเจ้าผู้แกล้วกล้า ขอความนอบน้อมจงมีแด่พระองค์ พระองค์เป็นผู้หลุดพ้นแล้วในธรรมทั้งปวง ข้าพระองค์ถึงเฉพาะแล้ว ซึ่งฐานะอันคับขัน ขอพระองค์จงเป็นที่พึ่งแห่งข้าพระองค์นั้น"
      ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงปรารภจันทิมเทวบุตร ได้ตรัสกะอสุรินทราหู ด้วยพระคาถาว่า
      "จันทิมเทวบุตร ถึงตถาคตผู้เป็นพระอรหันต์ว่าเป็นที่พึ่ง ดูกรราหู ท่านจงปล่อยจันทิมเทวบุตร พระพุทธเจ้าทั้งหลายเป็นผู้อนุเคราะห์แก่โลก"
     ลำดับนั้นอสุรินทราหู ปล่อยจันทิมเทวบุตรแล้ว มีรูปอันกระหืด-กระหอบ เข้าไปหาอสุรินทเวปจิตติถึงที่อยู่ ครั้นแล้วก็เป็นผู้เศร้าสลด เกิดขนพอง ได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
     อสุรินทเวปจิตติ ได้กล่าวกะอสุรินทราหู ผู้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ด้วยคาถาว่า
     "ดูกรราหู ทำไมหนอ ท่านจึงกระหืดกระหอบปล่อยพระจันทร์เสีย ทำไมหนอ ท่านจึงมีรูปสลด มายืนกลัวอยู่"
     อสุรินทราหูกล่าวว่า ข้าพเจ้าถูกขับด้วยคาถาของพระพุทธเจ้า หากข้าพเจ้าไม่พึงปล่อยจันทิมเทวบุตร ศีรษะของข้าพเจ้าพึงแตกเจ็ดเสี่ยง มีชีวิตอยู่ ก็ไม่พึงได้รับความสุข"
     ครับ...ก็มาอ่าน "สุริยสูตร" คือเรื่องพระอาทิตย์บ้าง ดังนี้
     ก็โดยสมัยนั้น สุริยเทวบุตร ถูกอสุรินทราหูเข้าจับแล้ว ครั้งนั้น สุริยเทวบุตรระลึกถึงพระผู้มีพระภาค ได้กล่าวคาถานี้ในเวลานั้นว่า
     "ข้าแต่พระพุทธเจ้า ผู้แกล้วกล้า ขอความนอบน้อมจงมีแด่พระองค์ พระองค์เป็นผู้หลุดพ้นแล้วในธรรมทั้งปวง ข้า-พระองค์ถึงเฉพาะแล้วซึ่งฐานะอันคับขัน ขอพระองค์จงเป็นที่พึ่งแห่งข้าพระองค์นั้น"
     ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงปรารภสุริยเทวบุตร ได้ตรัสกะอสุรินทราหูด้วยพระคาถาว่า
     "สุริยเทวบุตร ถึงตถาคตผู้เป็นพระอรหันต์ว่าเป็นที่พึ่ง ดูกรราหู ท่านจงปล่อยสุริยะ พระพุทธเจ้าทั้งหลายเป็นผู้อนุเคราะห์แก่โลก สุริยะใดเป็นผู้ส่องแสง กระทำความสว่างในที่มืดมิด มีสัณฐานเป็นวงกลม มีเดชสูง ดูกรราหู ท่านอย่ากลืนกินสุริยะนั้น ผู้เที่ยวไปในอากาศ ดูกรราหู ท่านจงปล่อยสุริยะ ผู้เป็นบุตรของเรา"
     ลำดับนั้น อสุรินทราหูปล่อยสุริยเทวบุตรแล้ว มีรูปอันกระหืดกระหอบ เข้าไปหาอสุรินทเวปจิตติถึงที่อยู่ ครั้นแล้วก็เป็นผู้เศร้าสลด เกิดขนพอง ได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
     อสุรินทเวปจิตติ ได้กล่าวกะอสุรินทราหู ผู้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ด้วยคาถาว่า
     "ดูกรราหู ทำไมหนอ ท่านจึงกระหืดกระหอบ ปล่อยพระสุริยะเสีย ทำไมหนอ ท่านจึงมีรูปเศร้าสลด มายืนกลัวอยู่" อสุรินทราหูกล่าวว่า
     "ข้าพเจ้าถูกขับด้วยคาถาของพระพุทธเจ้า ถ้าข้าพเจ้าไม่พึงปล่อยพระสุริยะ ศีรษะของข้าพเจ้าพึงแตกเจ็ดเสี่ยง มีชีวิตอยู่ ก็ไม่พึงได้รับความสุข"
 ครับ..อสุรินทเวปจิตติ นั่นคือ "พ่อ" ของราหูนั่นเอง สรุปแล้ว คนมีศีล-มีธรรม และคนที่หมั่นสวดมนต์ ไหว้พระ ราหูทำอะไรไม่ได้ ขืนกำแหง
     "หัวแตก ๗ เสี่ยง" ไม่รู้ตัว!


http://www.thaipost.net/news/150611/40223
      บันทึกการเข้า
เหยง 16
Cmadong อภิมหาอมตะเซียน
******


ออฟไลน์ ออฟไลน์

รุ่น: rcu2516
คณะ: เภสัชศาสตร์ 2516
กระทู้: 23,533

« ตอบ #2449 เมื่อ: 16 มิถุนายน 2554, 08:46:55 »

สวัสดีครับ

น่าเสียดายครับ เมื่อคืนไม่เห็นจันทรคราสที่จังหวัดนครสวรรค์
อุตสาห์ตื่นขึ้นมาถึง 3 ครั้ง ตี 1, ตี 2 และตี 3 อยู่รอดู แต่เพราะเมฆมาก จึงมองไม่เห็น
แถมฝนตกช่วง 03.30 น.อีกต่างหาก
คงต้องรอไปดูครั้งหน้า 28 กรกฎาคม 2556 โน่นแล้วครับ
      บันทึกการเข้า
  หน้า: 1 ... 96 97 [98] 99 100 ... 472   ขึ้นบน
  
กระโดดไป:  

     

สมาคมนิสิตเก่าหอพักนิสิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มวลสมาชิกสมาคม คณาจารย์ และนิสิตเก่าทุกคน ขอน้อมเกล้าถวายความอาลัย  พระผู้เสด็จสู่สวรรคาลัย ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ <;))))><